แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
หา อะไรนั้นแหละ เหมือนกันทุกเรื่อง คือว่า ทุก ๆ เรื่องของเราที่พูด ต้องเป็นเรื่อง เดียว เกี่ยวกับ ตัวกูของกูนั่นเอง เพราะฉะนั้นเราเรียกว่า ปาฏิโมกข์ คือ หัวข้อใหญ่ ในทางธรรมเรียก ธรรมปาฏิโมกข์ เพราะฉะนั้นคนฟังจะต้อง จับให้ได้ หรือเข้าใจให้ได้ มองให้เห็นได้ มันเป็นเรื่อง ๆ เดียว เรื่องตัวกูของกูนี่ นี้มันเป็น เออ, ความรู้สึก หรือเป็น อ่า, เป็นคำพูดตามความรู้สึก ว่าตัวกูของกู ถ้าเป็นกิริยา คือ เป็นความ ยึดมั่นถือมั่น ดังนั้นเรื่องความยึดมั่นถือมั่น กับเรื่องตัวกูของกู นี้เป็นเรื่องเดียวกัน
เพราะฉะนั้นความทุกข์มันตั้งต้น เมื่อมนุษย์เริ่มรู้จักยึดถือ เออ, เป็นตัวกูของกู ในระดับที่เรียกว่า มีดีมีชั่วนี่เป็นหลัก ก่อนนี้มันเหมือนกับสัตว์ ไอ้ตัวกูของกู เออ, เพียงแต่ว่าเห็นแก่ตัว ตามตามธรรมชาติ ของสัตว์ นี่แทบจะไม่ไม่เกี่ยวกับดีหรือชั่ว มันเกี่ยวกับความหิว เกี่ยวกับไอ้ความต้องการตามธรรมชาติ อย่างนี้ไม่ถึงขนาดที่เป็นคน ยังเป็นสัตว์ ถึงแม้ว่าคนรูปร่างเป็นคน แต่จิตใจระดับนี้มันยังเป็นสัตว์ ต่อเมื่อใด มันไปเกิดรู้ความหมายเรื่องดีชั่ว หรือยึดถือ เกี่ยวกับดีหรือชั่ว จะเป็นดีชนิดไหนชั่วชนิดไหน ก็ตาม ก็เริ่มเรียกว่า เป็นคน ความเป็นคนชนิดที่ สมบูรณ์มันตั้งต้น มันก็เริ่มมีความทุกข์
ทีนี้มันก็เป็นคำพูดที่น่าหัว เออ, ที่ว่า เราพอรู้จักดีรู้จักชั่ว มันก็เป็นทุกข์ เพราะฉะนั้นเราก็ก็ทำ ไม่รู้จักดี ไม่รู้จักชั่วเสียสิ ทีนี้ถ้าแกล้งทำ มันก็ไม่ได้ คือ ใจมันรู้จัก แล้วมันแกล้งทำ ถึงจะแกล้งทำไม่รู้จักดี ไม่รู้จักชั่ว มันก็ไม่ได้ นั่นนะมันเป็นจิตว่างอันธพาล ที่เรียกว่า จิตว่างแบบอันธพาล มันใช้ไม่ได้เว้นไว้แต่ว่า จะมองจะเข้าใจเรื่องดีชั่ว ถึงที่สุดจริง ๆ แล้วมันขึ้นสูงไปจนถึงกับว่า ไอ้ดีหรือชั่วนี้ มันเท่ากันมันไร้ ความหมายเท่ากัน นี่จึงจะไม่มีดีไม่มีชั่วอีกครั้งหนึ่ง คือ อยู่เหนือดีเหนือชั่วไปเสีย
จุดตั้งต้นของมนุษย์ ก็เริ่มตรงที่ว่า พอเริ่มรู้จักดีชั่วนั้นนะ ตั้งต้นเป็นมนุษย์ที่มีความทุกข์ แล้วก็ไป เรื่อยไป ๆ ถึงจุดปลายทางสุด ก็คือ ขึ้นเหนือความดีความชั่ว คือ เป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นไม่ เหมือนกัน ไอ้เรื่องไม่มีดีไม่มีชั่วของสัตว์ก่อน ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์นั้นมันยังไม่มี และไม่มีดีไม่มีชั่ว อย่างของพระอรหันต์ นั้นมันอีกอย่างหนึ่ง อย่างหนึ่งเพราะมันไม่รู้ หรือมันหลง หลงขนาดที่ยังไม่รู้ พอรู้เข้าก็เริ่มเป็นทุกข์ เพราะยึดถือ แล้วยึดถือนี่เป็นทุกข์ ๆๆ มากเข้า มันก็รู้ว่าไม่ไหว ทั้งดีทั้งชั่ว จิตใจเลย เฉยเสีย ได้ทั้งดีและชั่ว จึงไม่มีดีไม่มีชั่วอีกต่อไป เออ, อยู่เหนือดีเหนือชั่ว
นี่เรียกว่า เราไม่ได้พูดแต่จุดตั้งต้นอย่างเดียว เราพูดให้รู้ตลอดทั้งสาย เกี่ยวกับดีและชั่ว เมื่อยังไม่ รู้จักดี ไม่รู้จักชั่ว ก็ยังไม่มีความทุกข์ ทีนี้รู้จักดีรู้จักชั่วสำหรับยึดมั่นถือมั่นก็มีความทุกข์ และในที่สุดรู้จักดี และชั่วในฐานะที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น คือ เห็นเป็นของเด็กเล่นไปหมด ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่มีความทุกข์อีก ดับทุกข์ ไม่อาจจะเกิดความทุกข์ มันมีผล เออ, ต่างกัน แบ่งได้เป็น ๓ ตอน ก่อนแต่จะรู้ดีรู้ชั่ว ไม่มีความทุกข์ทางจิตทางวิญญาณเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีแต่ปัญหาเรื่องปากเรื่องท้อง เออ, เรื่องตาม สัญชาตญาณทั้งนั้น มันก็ทุกข์อย่างง่าย ๆ นี่ทุกข์อย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ผิว ๆ เผิน ๆ ไม่ลึกซึ้ง เพราะยังไม่ ไม่เกิด ไอ้ความยึดมั่นถือมั่น ที่จริงจัง
นี่พอรู้จักแบ่งแยก ดี-ชั่ว บุญ-บาป สุข-ทุกข์ เออ, ได้-เสีย สูง-ต่ำ อะไรอย่างนี้ ก็เลย มันก็มีการ ยึดมั่นถือมั่นมาก ฝ่ายที่สนับสนุนความอยาก ความต้องการ ก็เรียกว่า ดี ฝ่ายที่ไม่สนับสนุนความอยาก ความต้องการ ก็เรียกว่า ไม่ดี ไอ้สิ่งที่เรียกว่า ดีก็มีหลายชั้น มันแล้วแต่ว่าอยากไม่อยาก ความอยากนั้นดี หรือไม่ดีอีกทีหนึ่ง ความอยากอย่างโง่หรือความอยากอย่างฉลาด ความต้องการก็มีหลายชั้น ไอ้ต่ำ ๆ ว่า ได้แล้วก็ดี ได้แล้วก็ดี ทีนี้ไปถึงตอนสูงก็ว่า โอ๊ย, เรื่องได้ของนี่มันยังไม่ดี มันต้องได้อะไรกว่านั้น อือ, ได้กามารมณ์ ได้เกียรติยศชื่อเสียง ได้อะไรไปทางนู้น แต่ว่านั่นมันก็ยังไม่ดี มันก็ยังหยุดไม่ได้ ยังเป็นทุกข์ ต้องการความสงบ จึงจะดี เป็นอยู่อย่างนี้ สิ่งที่เรียกว่า ดี มันก็เดินได้
ทีนี้แม้แต่ความเป็นธรรม ความรู้สึกที่ว่าดีนี่ เออ, มันก็ยังเดินได้ แปลว่า ยืดหยุ่นได้ ไอ้ความ เป็นธรรมก็เหมือนกันอีก มนุษย์เริ่มรู้จักความเป็นธรรม หรือความถูกต้อง หรือความดี ความจริง ความงดงามนี้ มาเป็นลำดับ ๆ ไม่ใช่มนุษย์จะเริ่มรู้จักความดีทีเดียว ถูกต้องหมด หรือรู้จักความจริง ความยุติธรรม ทีเดียวถูกต้องหมด มันเคยโง่มาทีละชั้น ละชั้น ละชั้น เป็นลำดับ เอ้า, ยก ยกตัวอย่างว่า ความถูกต้องหรือความเป็นธรรม นี่ความเป็นธรรม ของคนพวกหนึ่ง มัน มันมันรับไม่ได้ สู้ไม่ไหว สำหรับคนอีกพวกหนึ่ง
ถึงเดี๋ยวนี้ คนเดี๋ยวนี้ แม้ในสมัยนี้ยุคนี้นะ ไอ้ความเป็นธรรมของคนบางพวก นะเรารับไม่ไหว บางคนอำนาจเป็นธรรม บางคนได้เงิน อำนาจเงินเป็นธรรม อำนาจ อาวุธเป็นธรรม มันก็ รับไม่ไหว แม้แต่ว่าความเป็นธรรมที่เรียกว่า ยุติธรรม บางทีมันก็ยังใช้ไม่ได้ เออ, ใช้ไม่ได้เอามาก ๆ ไม่อย่างนั้น จะไม่เกิดคำพูดที่ว่า อะไรล่ะ แพ้เป็นพระชนะเป็นมาร อะไรอย่างนี้ ไม่มีใครชอบแพ้ หรือไม่มีใครอยาก จะยอมแพ้ จนต้องพูดว่า แพ้นะเป็นพระ ไอ้ชนะนะเป็นมาร มันต้องการชนะทั้งนั้น ความถูกต้องนั้น คือ ยอมแพ้ อย่างนี้ไม่มีใครเข้าใจเลย ยิ่งคนหนุ่ม ๆ สาว ๆ รุ่นปัจจุบันนี้ด้วยยิ่งไม่ยอม ว่าไอ้ยอมแพ้นั่นแหละดี ยิ่งไม่ยอมแน่ เพราะมันถูกสอนมาอย่างนี้ แล้วก็ถูก อ่า, ถูก ถูกอบรมให้เคยชินแต่เรื่องชนะไปเรื่อย ไม่รู้ว่า ไอ้แพ้นั้นนะ คือ คือ ชนะ ไอ้แพ้ คือ ชนะนี้ฟังไม่ถูก
ดังนั้นนักเรียน ขนาดมหาวิทยาลัย มันก็ยังเป็นอันธพาล มันยกพวกตีกัน แล้วนักกีฬาชั้นเอ ชั้นบี ของประเทศนั้นประเทศนี้ ที่เลือกสรรมาแล้ว ก็ยังเป็นอันธพาล ยังชกต่อยกันในสนามกีฬานี้ สุภาพบุรุษ เลือกมาดีแล้วนะ มาชกต่อยกันในสนามกีฬา เพราะมันมีความเข้าใจเรื่องความเป็นธรรมนะไม่ ไม่ตรงกัน จึงเกิดรู้สึกว่า ถูก ถูกเหยียด ถูกหยาม ถูกลูบคม ถูกอะไร มันก็เลยโมโหขึ้นมา มันก็ทำอันตรายกัน เพราะฉะนั้นเรื่องความเป็นธรรมนี้ ก็ยังมียืดหยุ่น และหลอกลวง ถ้ามันเป็นความเป็นธรรมถูกต้อง ของจิตที่เป็นตัวกูของกูแล้วมันต้องอีกอย่างหนึ่งนะ นี่คุณจำข้อนี้ไว้ให้แม่น ความเป็นธรรมความถูกต้อง ความเป็นธรรมด้วยจิตของตัวกูของกู นี่มันอีกอย่างหนึ่ง
ทีนี้ความถูกต้อง ความเป็นธรรม เออ, ของจิตที่ไม่มีตัวกูนั้นนะ ไม่เกิดตัวกูอยู่ขณะนั้น มันอีกอย่างหนึ่ง ดังนั้นความเป็นธรรม ๒ อย่างนี้ต่างกันลิบ นี่เรายกตัวอย่าง ไอ้เรื่องที่มันเป็น ประวัติศาสตร์สายเดียวกัน เรื่อง คัมภีร์ไบเบิ้ล อือ, ไบเบิ้ลเก่า ไบเบิ้ลที่เรียกว่า คัมภีร์เก่าแหละ Old Testament ความเป็นธรรมนั้น คือ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ถ้าถือตาม Old Testament คัมภีร์เก่าของ คริสเตียน ความเป็นธรรม คือ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน สอนอยู่อย่างนั้น เขาชกเราฟันหักซี่หนึ่ง เราก็ยกชกเขา ฟันหักซี่หนึ่ง นั่นนะคือ ความเป็นธรรม เขาทำตาเราบอดข้างหนึ่ง เราก็ทำตาเขาบอดข้างหนึ่ง นั่นคือ ความเป็นธรรม ในระดับ ในระดับหนึ่ง คือ หลายพันปีมาแล้ว เจ็ดแปดพันปีหรือหมื่นปีมาแล้ว ความเป็นธรรม คือ ฟันต่อฟัน ตาต่อตา
มาถึง New Testament ของพระเยซู ไม่เกินสองพันปีนี้ พระเยซูไม่สอนอย่างนั้น ความถูกต้อง หรือความเป็นธรรม คือว่า เขาตบข้างซ้ายต้องให้เขาตบข้างขวาด้วย นั่นคือ ความเป็นธรรม เขาขโมยเสื้อ ไปแล้ว เอาผ้าห่มตามไปให้ด้วย นี่คือ ความถูกต้อง คุณเปรียบเทียบความถูกต้องดูเถอะ ไอ้ตอนคัมภีร์เก่า ฟันต่อฟัน ตาต่อตา ไอ้ตอนคัมภีร์ใหม่นี่ ตบแก้มซ้ายให้ตบแก้มขวาอีก นี่เรียกว่า มันมาเครือเดียว สายเดียวกันมา แต่มันเปลี่ยนมากถึงขนาดนี้ เพราะมันห่างกันหลายพันปี ก็แปลว่า สติปัญญาของมนุษย์ ดีขึ้น ๆๆ
ไอ้อย่างฟันต่อฟัน ตาต่อตานั้นมัน ความเป็นธรรมหรือความถูกต้องของตัวกู ความเป็นธรรม หรือความถูกต้องของตัวกู ตัวกูของกูมันถูกต้อง นี้ถ้าไม่มีตัวกูของกู โอ๊ย, มันกลับตรงกันข้าม ถึงว่า เขาตบแก้มซ้ายให้ตบแก้มขวาด้วย หรือว่าเรา หรือว่าเขาชกเราฟันหักซี่หนึ่ง เราก็จะ ขอบใจเขาหลาย หลายร้อยครั้ง นี่รู้จักแยกว่า ไอ้ความถูกต้องของจิตที่มีตัวกู กับไม่มีตัวกู มันต่างกันมาก แต่ชื่อมันเรียก เหมือนกัน คือ ความเป็นธรรม เราต้องการความยุติธรรมหรือความถูกต้อง
เพราะฉะนั้นไอ้ศีลธรรมมันจึงต่างกัน ระบบศีลธรรมที่ขึ้นอยู่กับคำสั่งสอนนี้มันจึงต่างกัน ไอ้ระบบศีลธรรม อย่างมีตัวกู ฟันต่อฟันตาต่อตา มันสอนไปอย่างหนึ่ง ไอ้ระบบที่เรียกว่า ตบแก้มซ้าย ตบแก้มขวาอีก นี่มันก็สอนไปอย่างหนึ่ง นี่ไอเคำว่า แพ้เป็นพระชนะเป็นมาร ของไทยเรามันก็มีขึ้น ก็เรียกว่า ไปลึกเหมือนกัน ทีนี้เรื่องศีลธรรมนี่ ก็มันคือ ไอ้ไอ้ดอกผลของไอ้หลักเหล่านี้ ไอ้หลักเหล่านี้ มันเป็นรากเหง้า มันมีหลักอย่างไรมันก็ออกมาอย่างนั้น เดี๋ยวนี้ทั้งโลกนี้ในโลกนี้ มันถือฟันต่อฟันตาต่อตา อเมริกาชกรัสเซียทีหนึ่ง รัสเซียต้องชกอเมริกาทีหนึ่ง นี่ต้องฟันต่อฟันตาต่อตา ไม่มีใครยอมที่ว่า ตบแก้ม ซ้ายให้ตบแก้มขวา
ถึงในวงไอ้คนธรรมดาสามัญแต่ละคน ๆ ก็เหมือนกัน ไม่มีใครยอมหรอก มันก็เป็นเรื่อง เก่ามาก ความเป็นธรรมความถูกต้อง ชนิดที่เก่ามาก ชนิดที่ฟันต่อฟันตาต่อตา ทั้งที่เป็นคริสเตียน ก็ไม่ยอมทำตาม พระเยซู ว่าตบแก้มซ้ายแล้วให้ตบแก้มขวาด้วย ถึงแม้พุทธบริษัท อุบาสก อุบาสิกานี่ ก็หาทำยายาก ที่จะถือว่า แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร นี่ผมกล้าท้าแม้ภิกษุสามเณร ภิกษุสามเณรองค์ไหนที่ถือ แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร
เพราะฉะนั้นขอให้ระวังข้อนี้ อย่าไปเรียนพระไตรปิฎก อย่าไปเรียนเซนเรียนเซินอะไร ให้มันมาก เกินกว่าที่จะต้องรู้เรื่องนี้เสียก่อน ปฏิบัติเพียงเท่านี้ให้มันได้เสียก่อน ไปเรียนพระไตรปิฎกก็เวียนหัวแล้ว มันไม่ เข้าใจไม่ได้ ถ้าไม่รู้ไอ้อย่างนี้เสียก่อน ความที่ไม่มีตัวกูของกูเกิดขึ้น มันคิดไปอย่างไรนั้น มันถูก มันก็ฉลาด มันก็ระงับเรื่องได้ การยอมแพ้อันธพาลนั้นคือ ชนะ พญามารข้างใน เราแพ้พญามารข้างใน เออ, เราชนะพญามารข้างใน มันเป็นการชนะที่ดีกว่า เราต้องชนะอันธพาลนั้นด้วย ไอ้คนมาทำอันธพาล ในวัดนี่ คุณจะทำอย่างไร คุณจะถือลัทธิฟันต่อฟันหรือตาต่อตา มาถลกเปลือกไม้บ้าง มาขับรถเร็วจี๋ จนหนวกหูควันฟุ้งบ้าง เอารถจอดขวางถนนเดินไม่ค่อยได้บ้างนี่ จะยกตัวอย่างของจริงให้ฟัง ว่าคุณมี ความรู้สึกอย่างไร เอ้า, รถจอดขวางถนน เอารถจักรยานยนต์เขาไปคว่ำ นอนตะแคงให้น้ำมันหก นี่คือ ฟันต่อฟันตาต่อตา ความถูกต้องและความเป็นธรรมนี้ ชนิดฟันต่อฟันตาต่อตา
ทีนี้ถ้าไม่มีตัวกูของกู ก็ยกไปวางข้าง ๆ แล้วเฝ้าอยู่ เมื่อเจ้าของมันมา ขอโทษ ๆๆ ฉันได้ยกรถ ของแกตรงนี้ เออ, ของคุณจากตรงนี้มาไว้ตรงนี้นะ ขอโทษ ๆๆ ถ้าไอ้นั้นมันเป็นมนุษย์อยู่บ้าง มันก็จะ ขอโทษ ๆๆ ที่ผมวางตรงนี้ ก็ก้มหัวขอโทษ ๆๆ กันคนละ ๒๐ ครั้ง ๓๐ ครั้งจนน้ำตาไหลแล้วจึงจากกันไป ถ้าทำไม่ได้อย่างนี้ เลวกว่าพวกญี่ปุ่น ก็พวกญี่ปุ่นทำอย่างนี้ ถ้าเลือกเกิดในประเทศญี่ปุ่น เขามีธรรมเนียม อย่างนี้ มีวัฒนธรรมอย่างนี้ ขอโทษ ๆๆจนน้ำตาไหล แล้วมันก็สิ้นสุดของเวรภัย แล้วมันก็เป็นธรรม เป็นความถูกต้องที่แท้จริง ถ้าเขาทำเราลำบาก เราก็ทำเขาให้ลำบาก นี่เป็นฟันต่อฟันตาต่อตา เป็นเรื่องของ ตัวกูของกู ยกหูชูหาง
เพราะฉะนั้นเราอย่า อย่า อย่าเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย ไอ้ความเป็นธรรมนั้น ต้องระวังให้ดี ว่าเป็น ความเป็นธรรมของตัวกูของกูหรือว่าเป็นความเป็นธรรมของไม่มีตัวกูของกู นี่ถ้าแพ้เป็นพระชนะเป็นมาร หมายความว่าอย่างนี้ ถ้ามันมาถกเปลือกไม้ ก็บอกหรือเขียนหนังสือไว้ ให้เขารู้ เพราะว่าบางทีเขาไม่เจตนา เขาต้องการไปจอดเท่านั้น เขาไม่ได้ไปลบหลู่เรา จะไปเสียเวลาถกเปลือกไม้ เพื่อลบหลู่เรานี้ไม่ได้ มันเป็น ไปไม่ได้ ถึงเขาจะจอดรถกลางถนนนี่ก็เหมือนกันแหละ บางทีเขาร้อนใจ เขากำลังหัวเสียมา เขาร้อนใจ แล้วเขาธุระชั่วแวบเดียว เขาจึงทิ้งรถไว้กลางถนน นี่เราโกรธเขาไม่ได้ เพราะมันคนกำลังจะบ้า มันหัวเสีย มันร้อนใจหรือมันต้องการอะไรก็ตาม เราไปทำของเขาเคลื่อนที่ เราต้องขอโทษ เพราะว่าไปทำให้เขาเสีย ประโยชน์ เขาจะเป็นคนดี คนชั่ว คนอะไรเราไม่รู้ แต่ว่าถ้าทำให้เสียประโยชน์เราต้องขอโทษ
ถ้าเขาขับรถเร็ว หนวกหู ฝุ่นฟุ้งไปหมด มันก็เคยคิด ว่าจะทำอย่างไร ผมเคยคิดมากว่า ๕ ปีแล้ว ที่ว่าจะ เอาไม้วางถนนเป็นทอด ๆๆ ให้มันวิ่งเร็วไม่ได้ คือ เอาไม้ลำ ๆ นี่วางไว้ เป็นขั้น ๆ มันก็วิ่งเร็วไม่ได้ แต่คิดแล้วคิดอีก ก็ยังไม่ ไม่ได้ทำ เพราะปัญหาเรื่องความถูกต้อง เราจะได้อะไรบ้าง หรือว่าเขาจะเสียอะไร บ้าง มันเลยลังเล คิดว่าให้เรามันแน่ใจว่า เราไม่ ไม่โกรธหรือเราไม่พอใจ เออ, เราไม่ได้ไม่พอใจเสียก่อน ถ้าเรายังโกรธเพราะหนวกหูละก็ อย่าเพิ่งดีกว่า ทิ้งไว้ก่อน เอาละทนหนวกหูเพื่อสอบไล่ตัวเอง เพื่อทดสอบตัวเอง แต่ว่าครั้งหนึ่งผมก็ เออ, โมโหมากนะ เลยบอกเขาว่านี่ถ้าเป็นที่บ้านคุณ แล้วคุณด่า แล้วนะ เรายังไม่ได้ด่านะ ถ้าทำความรำคาญกันมากถึงอย่างนี้ ถ้าเรา ฉันไปทำที่บ้านคุณ แล้วคุณคงจะด่า แต่ฉันยังไม่ได้ด่านะ มันก็หายไป มันก็หน้าซีดหายไป แล้วคนนั้นคงจะไม่ทำอีก
ดังนั้นเราจึงคิดว่า ยังไม่จำเป็นละที่จะต้อง ปักเอาไม้นอน ๆๆ ให้เป็นระยะ ก็อยากจะให้พระเณร ทุกองค์ รู้เรื่องนี้ แล้วก็ปฏิบัติเรื่องนี้ แล้วก็ทดสอบเรื่องนี้ โดยเฉพาะหัวข้อเรื่องว่า ไอ้ความเป็นธรรม ความถูกต้อง ความยุติธรรม คืออย่างไร เขามาเก็บดอกไม้ผลไม้หรือบุก บุกรุกขึ้นไปเก็บผลไม้บนต้น เราจะคิดอย่างไร มันมีปัญหาที่ว่าโดยส่วนตัว ถ้าเรารู้สึกมีตัวกูของกู ก็คิดว่ามันดูถูกจังเลย ไอ้คนที่มันมา บุกรุกขึ้นเอาอย่างนี้ มันดูถูก มัน ๆๆ หยามน้ำหน้ากันจังเลย หรือว่ามัน มันเหยียดหยามวัด หรือเครดิต เกียรติของศาสนาเลย เราจะทำอย่างไร
ผมนั้นมีหลักอยู่ในใจว่า ถ้าจะทำอะไรลงไปนี้ จะนึก นึกแบบนับ ๑๐ ก่อน นับ ๑๐ เสียก่อน คือ อึก เออ, หยุดกึกไว้ก่อน แล้วก็ตั้งปัญหาขึ้นมาว่า ถ้าพระพุทธเจ้าท่านอยู่ที่นี่ท่านจะแนะอย่างไร บางทีก็ นึกเลยถึงว่า ถ้าพระเยซูอยู่ที่นี่ท่านจะแนะอย่างไรนะ นี่คุณ คุณคงจะเข้าใจได้ ฉะนั้นขอให้ทุกองค์นี่เอาไป วิธีนี้ดีที่สุด เมื่อเกิดอะไรขึ้นอย่างนี้ คุณจะต้องถามตัวเองว่า พระพุทธเจ้าจะแนะอย่างไร ถ้าเราไปถามท่าน หรือท่านเห็นอยู่ด้วย เขามาขึ้นผลไม้บุกรุกอย่างนี้ เขามาถลกเปลือกไม้ เขามาทำ Nuisance เขามาจอดรถ ขวางทาง อะไรก็ตาม เป็นปัญหาที่บันดาลโทสะ ง่าย นั้นจะต้องว่า จะต้องหยุดสักนิดหนึ่ง ว่าพระพุทธเจ้า ท่านจะแนะอย่างไร พระเยซูจะแนะอย่างไร
ถ้าเป็นยิว ก่อนพระเยซู ก็ โอ๊ย, ฟันต่อฟันตาต่อตา ถ้าเป็นยิวพระเยซู คือ ยิวรุ่นพระเยซู ก็ตบแก้ม ซ้ายแล้วให้ตบแก้มขวา แล้วมันก็พอจะนึกออกในทันทีว่า ควรจะทำอย่างไร ทั้งที่พระพุทธเจ้า นิพพานไป สองพันกว่าปีแล้ว เรายังเอาคำตอบจากท่านได้ เพราะเราก็สวดอยู่เสมอว่า แม้ปรินิพพานนานแล้ว แต่ยังทรงอยู่โดยพระคุณ ยังมีชีวิตอยู่ ธะระมาโน (นาทีที่ 24:34) แปลว่า ยังมีชีวิตอยู่โดยพระคุณ เพราะฉะนั้นเราจะถามพระพุทธเจ้าที่ไหน เมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าอย่าโง่เกินไป เพราะจะถามพระพุทธเจ้าที่ไหน เมื่อไหร่ก็ได้ ว่าเรื่องนี้ควรจะทำอย่างไร แล้วคำตอบจะออกมาจากภายในเองว่า ควรทำอย่างนั้น อย่างนั้น ขอให้สะดุด และนึก เออ, ตั้งคำถามอันนี้ก่อน จึงจะพบความเป็นธรรม ชนิดที่ไม่ใช่ตัวกูของกู ซึ่งจะนำไปสู่ ไอ้ฟันต่อฟัน ตาต่อตา
แล้วเดี๋ยวนี้ที่ชกต่อย วิวาทกันเป็นส่วนตัว แม้แต่พระแต่เณรก็ยังวิวาทกัน ชาวบ้านก็วิวาทกัน นักการเมืองก็วิวาทกัน ประเทศชาติต่าง ๆ ก็วิวาทกัน ทั้งโลก มันก็เรื่องตัวนี้ตัวเดียว คือ ความเป็นธรรม ตามแบบของตัวกูของกู คำเดียวเท่านั้น เรื่องเดียวเท่านั้น ต้องแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมสูงสุด ของพระเจ้า คือ วิธีที่จะไม่ถือความเป็นธรรมอย่างนั้น ถือความเป็นธรรมตามแบบของพระเจ้า ที่ถึงอันดับสุด สูงสุด มันทะเลาะกันไปพลาง ก็แลกเปลี่ยนธรรมะกันไปพลาง คือ หัวข้อที่ผมกำลังอยากจะพูด ยุคนี้สมัยนี้ ถ้าเขาให้ไปพูด ระหว่างชาติก็จะพูดข้อนี้ ว่าโลกในปัจจุบันนี้อยู่ในฐานะที่ลึก ไปลึกถึงขนาดที่ว่า ต้องรบ กันไปพลาง แลกธรรมะกันไปพลาง นี่ระหว่างบุคคลที่ ๒ ระหว่างหลายฝ่าย นี้ถ้าฝ่ายเดียว ฝ่ายคน ๆ เดียว ก็ว่า ตกนรกไปพลาง คว้าหานิพพานไปพลาง พอบันดาลโทสะเกิดขึ้นนี่ก็คือ นรก เผาร้อนอยู่ เป็นนรก แล้วคว้าหานิพพานไปพลาง ว่าทำอย่างไร มันจึงจะเย็นลงไปได้ ฉะนั้นตกนรกไปพลางคว้าหานิพพาน ไปพลาง โดยส่วนตัวคนเดียว
ทีนี้โดยส่วนสังคม เราก็รบกันไปพลาง คือ ทะเลาะกันไปพลาง แล้วก็แลกธรรมะกันไปพลาง คือ ทำความเข้าใจอันดี เออ, ให้ถูกต้องในธรรมะที่ดีนะ นี้ถ้าว่าที่เขารบกันอยู่เดี๋ยวนี้ แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ทางวิญญาณกันไปพลาง รบกันไปพลาง ระบุตรง ๆ ว่ารัสเซียกับอเมริกานี้ รบกันไปพลางแลกเปลี่ยน วัฒนธรรมทางวิญญาณกันไปพลาง มันอาจจะหยุดรบกันได้ในเวลาอันควร ถ้ามันฟันต่อฟันตาต่อตา กันอย่างนี้ ไม่มี ไม่มีโอกาสที่จะหยุดได้ มันเป็นเรื่อง เออ, ไม่มีที่สิ้นสุด ของฟันต่อฟันตาต่อตา
นี่เขาจะต้อง แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมทางวิญญาณ ให้รู้ว่า ไอ้วิธีที่จะดับเสียซึ่งไอ้ กิเลสต้นเหตุ ของไอ้ความ ไม่ยอมกันนี้ คืออย่างไร แลกเปลี่ยนกันให้มาก ซึ่งเดี๋ยวนี้ไม่มีเลย ไม่มีแลกเปลี่ยนกันเลย แลกเปลี่ยนทางวัฒ อ่า, วัฒนธรรมทางวัตถุจอมปลอม แลก คำว่า แลกความรู้กัน แลกความรู้กัน แลกความรู้กันนะ ที่จริงมันเอาเปรียบกัน ในทางความรู้ มันคอยใกล้ชิด เพื่อจะล้วงลับ อ่า, ล้วงเอา ความลับ ล้วงเอาความรู้ไปนั้น และถึงมันจะแลกโดยบริสุทธิ์ใจ ก็เป็นเรื่องวัฒนธรรมทางวัตถุ ทำให้มีกิน มีเล่น มีหัว มีสนุก มีหลงใหลมากขึ้น นั่นวัฒนธรรมอย่างนั้น ก็ไม่ทำโลกให้สงบได้
ไอ้วัฒนธรรมทางวิญญาณนี้ คือ ให้รู้ลึกซึ้งเรื่องของจิตใจ ว่าพระเจ้า คือ อะไรกันแน่ เรากำลัง เรากำลังรบกับพระเจ้านะเดี๋ยวนี้ เขาคิดว่าเขารบกับข้าศึก แต่ที่จริงเขากำลังรบกับพระเจ้า เหยียดหยาม พระเจ้า ทำร้ายพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า แล้วพระเจ้าก็ลงโทษให้สาสมกันทุกฝ่ายเลย ให้มันเดือดร้อน เป็นไฟกันไปเลย รบกับพระเจ้า ถ้าเขาศึกษาไอ้วัฒนธรรมทางวิญญาณมากขึ้น ๆ เขาจะรู้สึกว่า ที่เขากำลัง รบกันอยู่นี่ คือ รบกับพระเจ้า หรือถ้าพูดให้ดีกว่านั้น เรากำลังรบกับซาตาน หรือว่าดีกว่านั้น คือ เรากำลัง เป็นซาตานเสียเอง คือว่าซาตานมันหลอกให้เรารบกัน เราเราโง่ ความโง่เป็นซานตาน มาทำให้เรา ต้องรบกัน
แล้วสิ่งที่เรียกว่า ซาตาน นี้ก็น่าหัวนะ อาจจะคิดว่าซาตานเป็นผี เป็นมาหลอกลวงให้ทำความชั่วนี้ ซาตานนี้มาจากไหน ซาตานนั้นมาจากพระเจ้า ของพระเจ้าส่งมา แต่ไม่มีใครพูดอย่างนี้ แล้วพูดอย่างนี้ ก็ไม่มีใครเชื่อว่า ซาตานนั้นของพระเจ้า และพระเจ้าส่งมา พวกคริสเตียนยิ่งไม่เชื่อ ถ้าพูดว่า ซาตานนี้ของ พระเจ้า ส่วนหนึ่งของพระเจ้า พระเจ้าส่งมา มาทดสอบมนุษย์ หรือมาลงโทษมนุษย์ หรือมาทำให้มนุษย์ มันดีขึ้น นี่ส่งซาตานมา หลอกมนุษย์ให้โง่ทำผิด นึกได้ทำผิด คิดได้ทำผิด คิดได้แล้วไม่ทำผิดอีก นี่พระเจ้า ส่งซาตานมา เพื่อให้มนุษย์ดีขึ้น เพื่อทดสอบมนุษย์ เพื่อสอบไล่มนุษย์ นี่เรียกว่า พระเจ้าส่งซาตานมา หลอกให้มันโง่ ให้มันรบกัน ๆๆๆ กว่ามันจะนึกถึงพระเจ้าได้ เข้าใจพระเจ้าใหม่ แล้วมันก็เลิกรบกัน
คุณอาจจะเข้าใจว่านี่พูดผิด ว่าซา ซาตานเป็นข้าศึกของพระเจ้า เป็นคู่ปรับของพระเจ้า มารเป็น คู่ปรับของพระพุทธเจ้านี้ มันคนละอย่าง ถ้าคำว่า พระเจ้า นี่มันไม่ใช่ พระพุทธเจ้า คำว่า พระเจ้า มันหมายถึงอะไรก็ไม่รู้ แต่หมายหมดทุกสิ่ง และก็ยังยืนยันว่า พระเจ้า คือ ทุกสิ่งแล้วซาตานก็ของพระเจ้า คือ ส่วนหนึ่งของพระเจ้า คือ ส่วนที่ส่งมาสำหรับลงโทษมนุษย์ หรือว่าหลอกให้มนุษย์เล่นกับไฟ เล่นกับ ไฟจนรู้ว่าไฟ แล้วไม่เล่นกับไฟอีกต่อไปนี่ ซาตานมาหลอกให้มนุษย์ทำสงคราม ทำสงคราม เล่นกับไฟนี่ จนวินาศจนฉิบหาย จนนึกได้แล้วก็ไม่เชื่อซาตานอีกต่อไป ซาตานก็กลับไปหาพระเจ้าบอกว่า สำเร็จแล้ว
ทีนี้ถ้าเราจะเอาชนะ ไอ้ซาตานนี้เร็ว ๆ มันก็ต้อง รีบแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมทางวิญญาณ คือ ความรู้เรื่องพระเจ้า เรื่องพระธรรม เรื่องไอ้กิเลส เรื่องความทุกข์ เรื่อง ทุกอย่างที่เกี่ยวกับมนุษย์ ความรู้ ในทางจิตใจ ทางวิญญาณสูงสุด ที่ไม่เป็นวัตถุเลยนะ ต้องรีบแลกเปลี่ยนความรู้ข้อนี้กัน นับตั้งแต่ว่าความ เป็นธรรม ความถูกต้อง ความยุติธรรมนี้คืออะไร นับตั้งแต่ว่าไอ้ แพ้เป็นพระชนะเป็นมาร นี้ถูกหรือไม่ เรื่อยขึ้นไปจนรู้ว่า ไอ้เรื่องตัวกูของกูนี้ไม่ไหว เดี๋ยวนี้มันก็ยากอยู่ที่ว่ามัน มันไว้ใจกันไม่ได้ ถ้าเราถืออย่างนี้ ฝ่ายอื่นมันรบเรา มันตีเรา มันฆ่าเรา มันได้เปรียบเรา อเมริกันก็จะถืออย่างนี้ไม่ได้ เพราะคอมมิวนิสต์จะได้ เปรียบ จะบุกรุกเอา คอมมิวนิสต์ก็ไม่ยอมถืออย่างนั้น หรือว่าเพราะว่าต้องการอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ จะเอาเปรียบคนอื่นอยู่ เพราะว่าซาตานสิงมากกว่าคนอื่น อย่างนี้มันก็ยอมไม่ได้ มันก็ต้องเลยรบกันไป
ทีนี้ทาง ๆๆ ออก ทางอื่นไม่มีนะ มันไม่มีเลยที่จะทำให้เข้าใจกันได้ นอกจากว่าเราต้องญาติดีกัน ในส่วนวัฒนธรรม ส่วนรบก็รบกันไป ส่วนวัฒนธรรมก็ญาติดีกัน พยายามให้มัน แลกเปลี่ยนกัน เรื่อง ความรู้ที่ว่า ทำไมเราจึงต้องมีการเสียหายทั้ง ๒ ฝ่าย มีปัญหาว่าทำไมเราจึงเป็นทุกข์ด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย มีความเสียหายด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย แล้วมันจะไปสิ้นสุดเมื่อไร มันจะไปสิ้นสุดลงในสภาพอย่างไร ไอ้ฟันต่อฟันตาต่อตานี้จะช่วยได้ไหม หรือว่าจะต้องย้อนกลับไปหาพระเยซูว่า ตบแก้มซ้ายแล้วให้ตบ แก้มขวาด้วย แล้วเลิกกัน
อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าก็สอนถึง เออ, เรื่องว่า โกรธไม่ได้นะ เรื่อง กกจูปมสูตร มัชฌิมนิกาย นี้ ภิกษุทั้งหลายถ้า อ่า, โจรจับพวกเธอมัดแล้วเอาเลื่อย ๆ นี่ พอผิวหนังขาด เลื่อยเลื่อยผิวหนังขาด เธอก็เจ็บ ถ้าเธอมีจิตประทุษร้ายโจรนั้น แล้วเธอไม่ใช่สาวกของเรา นี่มันเลื่อยจนเนื้อขาด มีความคิดโกรธ ประทุษร้ายต่อโจรนั้น เธอก็ไม่ใช่สาวกของเรา ทีนี้มันเลื่อยถึงกระดูก ถ้ามีจิตประทุษร้ายต่อโจรนั้น เธอก็ไม่ใช่สาวกของเรา นี่ถ้าเลื่อยจนเยื่อในกระดูกขาด มันประทุษร้ายต่อโจรนั้น เธอก็ไม่ใช่สาวกของเรา มีอยู่อย่างนี้ ก็แปลว่าความโกรธนั้น เออ, ความโกรธต่ออีกฝ่ายหนึ่งนั้น มีไม่ได้ เดี๋ยวนี้เรามันยิ่งกว่าโกรธ คือ คิดฆ่าเขาเลย ไม่ใช่เพียงแต่ว่าคิดโกรธเขานะ คิดฆ่าเขาเลย คิดทำให้เขาเสียหาย เสียประโยชน์เลย
นี่ก็เรื่องว่า เดี๋ยวนี้มันอยู่ในสภาพที่ ต้องฟื้นฟูวัฒนธรรมทางวิญญาณ ความถูกต้อง ความจริง ความยุติธรรม ความเป็นธรรม ตามแบบที่ไม่มีตัวกูของกูนั่นแหละ คือ วัฒนธรรมทางวิญญาณ โดยส่วน บุคคล ก็ต้องรื้อฟื้นนี้ขึ้นมาโดยส่วนรวมสังคมทั้งโลกก็ต้องรื้อฟื้นส่วนนี้กันมา ทีนี้ถ้าฝ่ายหนึ่ง มันเป็น อันธพาลมากเกินไป ก็ต้องหาทางประทัง ไอ้การรบนี่ทำเพื่อประทังไว้ เพื่อหาทางเจรจาแลกเปลี่ยน วัฒนธรรมทางวิญญาณเรื่อยไปนะแหละ จึงจะถูกตามหลักของพระเยซู ของพระพุทธเจ้าของพระศาสดา องค์ไหนก็ตามที่เป็นพระศาสดา ที่ควรแก่การนับถือแล้ว ต้องสอนอย่างนี้ทั้งนั้น
ไอ้เรื่องฟันต่อฟันตาต่อตา ของพวกยิวโบราณนั้นต้องตัดทิ้งไป เพราะมันไม่มีที่สิ้นสุด สร้างเวร สร้างภัย ไม่มีที่สิ้นสุด แล้วไม่จริงด้วย ไม่ถูกต้องด้วย ไม่ใช่ความเป็นธรรมด้วย ทำอย่างนั้น มันเพิ่มความ เป็นไม่ธรรมมากขึ้น แก่กันและกันทั้ง ๒ ฝ่าย มันเพิ่มความไม่เป็นธรรมมากขึ้น แก่กันและกันทั้ง ๒ ฝ่าย ระวังให้ดี นี่ที่ว่ามันจะรบกันเรื่อย จะรบกันให้แหลกกันไปเลยนี้ มันก็รบกันไป ก็ไม่มีใครดี คือ รบกับ พระเจ้า พระเจ้าส่งซาตานมาหลอกให้มันรบกัน มันก็รบกันไป จนกว่าเมื่อไหร่ มันจะเห็นคุณพระเจ้า จะไม่เชื่อซาตานแล้วหันไปหาพระเจ้า มันก็เลิกรบกันได้ทีละนิด ๆๆ เพราะฉะนั้นไอ้เรื่องตัวกูของกูเรื่องเดียวนี้ เป็นเรื่องสำคัญ ปัญหาทุกอย่าง เออ, ที่เกิดขึ้น เป็นความยุ่งยากลำบาก แล้วมันเกิดมาจากสิ่งนี้ ฉะนั้นเราจะต้องรู้ไว้ว่า อะไรมันจะเกิดขึ้นจากตัวกูของกู กี่แบบ กี่อย่าง กี่ชนิด แล้วสิ่งใดที่เรายึดถือ เช่น ความดี ความชั่ว ความเป็นธรรม ความถูกต้อง ความจริง ความอะไรก็ตาม ที่ว่าดี ๆๆ ที่เราต้องการยึดถือ ต้องการบูชาสรรเสริญ ก็ระวังให้ดี มันจะเป็นแบบ ของตัวกูของกู ถ้าสงสัยอย่าลืมท่องสูตรว่า ไอ้แพ้เป็นพระชนะเป็นมาร ต้องท่องท่องสูตรนั้นขึ้นมา ทันทีเลย สติไอ้อันนี้ต้องขึ้นมาทันทีเลย เกี่ยวกับคน เกี่ยวกับคนภายนอก บุคคลที่ ๒ นั้นนะ
แพ้ ไอ้แพ้นั่นละ คือ ชนะ เพราะว่าเราบังคับตัวได้ พอเราโกรธบังคับตัวไม่ได้ นั่นนะคือ แพ้ ไม่ใช่ว่าเขามาตีหัวแตกแล้วจะ คือ แพ้ นั่นไม่ใช่ มันอยู่ที่ใจของบุคคลนั้น โกรธหรือไม่โกรธ ถ้าทำให้ โกรธได้ก็คือ แพ้ แพ้หมดแล้วตั้งแต่ไม่ทันตีหัวแตก แพ้แต่เริ่มเห็นว่าเขาทำอะไร เพราะมันแพ้ไปหมดแล้ว ตั้งแต่ทีแรก ยังไม่ทันมาตีหัวแตก ก็แพ้เสียก่อนแล้ว นี่ถ้าจะชนะ ชนะ ก็คือ เราไม่โกรธ ทีนี้การจะทำให้ เรื่องสิ้นสุดไปได้โดยการยอมแพ้ ก็ยอมแพ้ นั่นพระพุทธเจ้าสรรเสริญว่า ไอ้คนนี้ดีกว่าหลายเท่า คนที่ทำ เรื่องให้ระงับไปได้โดยเป็นผู้ยอมแพ้ ดีกว่าไอ้คนชนะ ชนะอย่างโลก ๆ นั้นนะหลายร้อยหลายพันเท่า
เดี๋ยวนี้ผมก็รู้สึกว่า พระเณรช่วยกันระมัดระวังตัวกันขึ้นบ้าง ไม่เสียทีพูดให้คอแห้งคอแหบนัก ไอ้เรื่องที่พูดมาหลาย หลายครั้ง หรือหลาย ๑๐ ครั้งนี้ แต่ก็ยังไม่เป็นที่พอใจ ยังรู้สึกว่าดีขึ้นบ้าง แต่ไม่ถึง ขนาดที่เป็นที่พอใจ เพราะยังมีอึดอัดขัดใจ หรือแสดงอาการกระฟัดกระเฟียด หรือมีอาการโกรธ คือ ยังแพ้อยู่เรื่อย ดังนั้นไม่ต้องนึกถึงเรื่องอื่น ซึ่งเป็นเรื่องละเมอเพ้อฝัน นึกถึงสิ่งที่มีอยู่จริงนี้ ที่ได้เป็นอยู่จริง ในวันหนึ่ง ๆ นี่ถ้าให้แพ้กี่ครั้ง ให้โกรธกี่ครั้ง ก็แพ้เท่านั้นครั้ง ให้หงุดหงิดกี่ครั้ง โกรธก็เพราะมันอยาก อะไร อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ เมื่อไม่ได้อย่างที่อยากมันก็คือ โกรธ เพราะฉะนั้นไอ้โกรธ มันก็คือ อยาก คือ โลภะรวมอยู่ด้วย มันต้องเป็นคนมีโลภะ เออ, รวมอยู่ด้วยนะจึงโกรธได้ คือ มันอยากอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วมันไม่ได้ตามที่อยาก มันก็โกรธ เพราะฉะนั้นเมื่อมีโกรธ มันก็มีโลภะ มีโมหะ คือ ความโง่ด้วย
ไม่ต้องพูดว่า กิเลส เพียงตัวเดียวหรอก มันทั้ง ๓ กิเลสนะแหละ การที่หงุดหงิด อึดอัดขึ้นมาได้ เพราะว่ามันมีความต้องการอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วมันไม่ได้ แล้วมันโง่ ไปกระฟัดกระเฟียด ไปหงุดหงิด ขึ้นมา มันก็มีทั้งโลภะ โทสะ โมหะแล้ว มันก็ควรจะกลัวให้มาก ดังนั้นการปฏิบัติเพื่อจะละโลภะ โทสะ โมหะนั้น ไม่ต้องอะไรที่ไหนอีก ต้องที่มันเกิดขึ้นจริง ๆ ถ้าไม่เกิดขึ้นจริง ๆ จะไปละอะไรที่ไหน มันก็นอนละ แต่ปากนอนฝันอยู่อย่างนั้น มันก็เป็นความฝันเท่านั้นเอง แล้วก็ละไม่ได้ มันรู้กันได้แน่นอน เมื่อมันเกิดขึ้นจริง โลภะ โทสะ โมหะมันได้เกิดขึ้นจริง แล้วละได้หรือไม่ได้มันก็รู้ตอนนี้
ฉะนั้นอย่าอวดดีว่าเรียนหนังสือมาก อ่านหนังสือมาก คิดมากอะไรมาก พูดก็เก่ง อะไรก็มีเครดิตดี เฮ้อ, ป่วยการ เหลวไหล ต้องสอบไล่กันที่นี่ ดังนั้นนะซาตานมีประโยชน์ ไม่ใช่เป็นผีมาหลอกคน เหมือนที่ เขาเขียนรูปภาพโง่ ๆ ไปอย่างนั้นแหละ ไอ้ซาตาน คือ ส่วนหนึ่งของธรรมะ เอาซาตานไปทิ้งไว้ที่ไหน ถ้าไม่รวมอยู่ในคำว่า ธรรม ธรรมทั้งปวง ไม่มีหรอก ไม่มีอะไรนอกไปจากคำว่า ธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้น ส่วนที่มันจะมา ทดสอบคน สอบไล่คนนั้นแหละ คือ ซาตาน มันก็มาจากไอ้สิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ แต่มาใน ฐานะผู้สอบ หรือผู้ยั่วให้ทำผิด ทดสอบดูว่ามันเก่งหรือยัง ถ้ามันเก่งจริง มันจะมายั่วยังไง มันก็ไม่ทำผิด ซาตานก็ดับไป เป็นธรรมตามธรรมดา
เดี๋ยวนี้สอนกันโง่ ๆ ผิด ๆ ว่าซาตานเป็นคู่ต่อสู้พระเจ้า นี่ผมว่าโง่ที่สุดเลย พราะเจ้าส่งมาทดสอบ คน สอบไล่คน ถ้าเมื่อไม่โง่กว่าซาตานละก็ใช้ได้ เป็นคนของพระเจ้า พระเจ้าเป็นเครื่อง เออ, ซาตานเป็น เครื่องมือของพระเจ้า นี้ไปเขียนเป็นรูปผีปิศาจน่าเกลียด น่ากลัวนั้นก็โง่ ซาตานต้องมาใน รูปร่างที่แฉล้ม แช่มช้อย น่ารัก น่าหลงใหล และก็มาเพื่อทดสอบคน ไม่อย่างนั้นคนจะไปโกรธได้หรือ ไปโกรธ ไปโลภ ไปหลงอะไรได้ เรื่องนั้นมันน่ารัก มันยั่วยวนเกินไป ถ้ามาในเรื่องน่าเกลียด มันก็ไม่เกิดอะไรขึ้น แต่มันมา ใน อ่า, ลักษณะที่ยั่วยวนจนเกินไป มันจึงหลงไปได้ เดี๋ยวนี้ไม่รู้จักแม้แต่สิ่งที่เรียกว่า ซาตานนั้นคืออะไร ผมกล้าพูดว่า พวกฝรั่งพวกคริสเตียนนั้นก็ไม่รู้ว่า ซาตานคืออะไร เข้าใจผิดเป็นอย่างอื่นไป เครื่องทดสอบ ของพระเจ้า คือ ซาตาน
ทีนี้ถ้าเราไม่มีพระเจ้า เรามีแต่ธรรม ซาตาน ก็คือ ธรรม ส่วนที่มาทดสอบ เอ้า, ให้ชื่อว่า พญามาร ที่มารบกวนพระพุทธเจ้า นั้นนะก็มาจากพระเจ้า มามาทดสอบพระ พระสิทธัตถะ มาทดสอบพระพุทธเจ้า ว่าเป็นพระพุทธเจ้าจริงไหม จริงก็กลับไปหาธรรม คำว่า ธรรมทั้งปวง มันรวมซาตานอยู่ด้วย แต่เราเรียกว่า มาร เรียกว่า มารผู้มีบาป มาโร ปาปิมา (นาทีที่ 45:23) เรียกชื่ออย่างนี้ ที่ว่ามารผู้มีบาป และบาปก็คือ ธรรม ธรรมฝ่ายบาป บาปพระธรรม มาทดสอบมนุษย์ พูดให้เป็นวิทยาศาสตร์ง่าย ๆ ก็ว่า ไอ้ความคิดเลว ๆ ที่มัน แทรกเข้ามาเป็นครั้ง ๆ คราว ๆ นี่แหละ ไอ้ความคิดเลว ๆ ที่มันแทรกเข้ามาเป็นครั้ง ๆ คราว ๆ
อย่างพระสิทธัตถะกระอักกระอ่วน โอ๊ย, จะกลับไปบ้านดีไหม ก็มีมารมากระซิบ ว่ากลับไปบ้าน ทางบ้านยุ่งใหญ่แล้ว ลูกเมียกำลังนั่นละ ก็ ๆๆ หวนระลึกแล้วก็ต่อสู้กลับไป มารก็หายไป จึงสำเร็จเป็น พระพุทธเจ้านี้ ก็คือความคิดเลว ๆ อกุศลธรรม มา อ่า, แทรกแซงชั่วคราว นี่คือซาตาน มารผู้มีบาป แม้ในวาระสุดท้ายว่าจะนิพพานแล้ว นิพพานเสียเถิด อย่าไปสอนเลย พระพุทธเจ้าก็ว่ายัง มนุษย์ยังไม่รู้ ธรรมะ เรายังไม่นิพพาน ทีนี้พอถึง ๓ เดือนจะนิพพาน เออ, มารทูลนิพพาน เออ, เข้าที ๆ เรียกว่า ๓ เดือนแต่นี้จะนิพพาน
เพราะฉะนั้นมันไม่มีอะไร นอกจากสิ่งที่เรียกว่า ธรรม มีความหมายกว้าง และความเป็นธรรม นี่แหละ ธรรมฝ่ายถูกหรือธรรมฝ่ายผิด ธรรมฝ่ายตัวกูหรือธรรมฝ่ายที่ไม่มีตัวกู ถ้าธรรมฝ่ายตัวกูหรือฝ่าย อกุศลธรรมละก็แย่ละ ความจริง ความถูกต้อง ความงาม ความยุติธรรม ตามแบบนั้นมันกลืนไม่ลง มันไม่ไหว มันต้องเป็นแบบของฝ่ายที่ไม่มีตัวกู ไม่มีของกู จึงจะน่ารักน่าบูชาน่านับถือ น่ายึดถือ เออ, น่านับถือ
นี่ดูเถิดไอ้ความทุกข์มันตั้งต้นเมื่อไร ตั้งต้นเมื่อรู้จักความดีและความชั่วอย่างผิด ๆ ไปรู้จัก ไอ้เรื่องความดีความชั่วผิด จึงยึดมั่นถือมั่นมีตัวกูยกหูชูหาง ฟันต่อฟันตาต่อตา คือ ยุติธรรม นี่มันเข้าใจ ความดีความชั่วผิด แล้วต่อมามันก็เข้าใจความดีความชั่วถูก ว่า โอ้ย, ไม่ไหว ไอ้ที่ไม่เอาอะไรเลยนะแหละ คือ ยุติธรรม คือ มันมันปรกติหรือสมดุล เมื่อเราไม่ต้องการอะไรเลย ฟันต่อฟันตาต่อตานี้ไม่เอา มันเป็นเรื่อง เออ, บาปมาทีแรกฝ่ายหนึ่ง และอีกฝ่ายหนึ่งจะไปบาปเพิ่มขึ้น และฝ่ายนั้นจะบาปกลับมาอีก และฝ่ายนี้จะบาปกลับมาอีก เพิ่มขึ้นเป็นคู่ ๆๆ นี้ นี่คือ ความยุติธรรม เขาด่าเรา เขาก็เป็นฝ่ายบาป หรือฝ่ายสกปรก ถ้าเราไปด่าเขา เราก็เป็นฝ่ายบาปสกปรก แล้วเขาด่ามาอีก เราก็ด่าไปอีก เป็นคู่ ๆ มาอย่างนี้ ฟันต่อฟันตาต่อตา ไม่มีความสงบ ไม่มีความสุข แต่เรียกว่า เป็นธรรม ตามแบบของไอ้กิเลส ถูกต้องหรือยุติธรรมตามแบบของกิเลส
ทีนี้ไม่ต้องการแพ้ ไม่ต้องการชนะ มันก็เลยหมดปัญหา ถ้าต้องการชนะ ก็คือ จะ นี่หมายถึงว่า ชนะภาษาคน คือ จะเพิ่มคู่ ๆๆ ไอ้ความเลวนี้ขึ้นมา ทีละคู่ ๆ มันก็ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ ผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะเรื่อยไป ไม่มีที่สิ้นสุด แล้วมันก็วินาศไป แล้วมันก็ไม่มีทางที่จะแพ้หรือชนะกันได้ เพราะมันรบกับพระเจ้า การที่เราทำผิดทำชั่ว นี่เรารบกับพระธรรม รบกับพระเจ้า อย่าไปเข้าใจว่า รบกับเด็กคนหนึ่ง พระองค์หนึ่ง เณรองค์หนึ่ง ที่เกิดโลภะโทสะโมหะขึ้นมา เป็นเรื่องเป็นราวเป็นปัญหา นี่คือว่า มันรบ รบกับธรรมะ รบกับพระเจ้า ไม่มีทางชนะหรอก เพียงแต่พระเจ้าส่งซาตานมานิดเดียว มันก็ฉิบหายหมดแล้ว ไม่มีทางจะชนะพระเจ้าได้
ทีนี้เราจะไม่รบกับธรรม ไม่รบกับพระธรรม คือ กฎของธรรมชาติ หรืออะไรที่มัน เรียกว่า เป็นตัวธรรม เราทำให้มันถูก ให้มันชนะเรื่อย คือ ไม่ อ่า, ไม่แพ้และไม่ชนะ คือ ชนะ อ่า, ไม่แพ้และชนะ ตามแบบภาษาคนนั้นแหละ หรือชนะตลอดกาลตามแบบภาษาธรรม ไม่มีเรื่องเกิดขึ้น ไม่มีปัญหาเกิดขึ้น ไม่มีทุกข์เกิดขึ้น ไม่มีตัวกูของกูเหลืออยู่ มันก็สิ้นสุด
เอาละ ผมหวังว่าทุก ๆ องค์นี้ จะฟังด้วยดีแล้วไปคิดด้วยดี เพราะนี่แหละ คือ ที่มัน Condense ออกมาจากพระไตรปิฎก จากไบเบิ้ล จากอะไร ทุกคัมภีร์ทุกแขนง มาเป็นคำพูดเพียงไม่มี ไม่กี่ประโยค เอามาพูดให้คุณฟัง ก็เหมือนกับฟังทั้งหมดในโลก ฟังพระธรรมคำสอน พระคัมภีร์ทั้งหมดที่มีอยู่ในโลก มันเรื่องตัด ตัดตัวกูของกูอย่างนี้ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น วันหนึ่ง อ่า, ประจำวัน ประจำคืนนี้ ต้องพยายาม ตัดไอ้ตัวกูของกูนี้ ถ้าตัดยังไม่ได้ก็ควบคุมให้ได้ ควบคุม อย่าให้ตัวกูของกูขึ้นมาบงการ จริงอย่างนั้น ถูกอย่างนี้ ยุติธรรมอย่างนั้น อย่า อย่าให้มันขึ้นมาบงการ
ให้จิตของเราว่างจากตัวกูของกูอยู่เรื่อย จิตของเรารู้เอง จิตจะเป็นผู้รู้เอง ที่ที่จิตที่ว่างจากตัวกูนะ มันจะรู้เอง ว่าอะไรยุติธรรม อะไรไม่ยุติธรรม แล้วควรทำอย่างไรในกรณีนี้ แล้วจิตชนิดนี้มันจะแสวงหา คำตอบจากพระพุทธเจ้า จากพระเยซู มันมีสติสัมปชัญญะ จิตชนิดนี้มันจึงสามารถจะถามพระพุทธเจ้าได้ ว่าควรทำอย่างไรในกรณีนี้ รอเวลา ๑๐ นาที ๕ นาทีก็ถมไป ก็ได้คำตอบที่ดี เรื่องมันก็สิ้นสุดลงไป
ฉะนั้นจะต้อง ถือว่าไม่ใช่เรื่องพูดสนุก ๆ หรือว่าพูด เล่นที เล่นลิ้น เล่นโวหาร เล่นสำนวน แต่เป็นเรื่องที่กลั่นกรอง มาจากทั้งหมดของพระคัมภีร์ มาพูดให้ฟังเพื่อประหยัดเวลา โดยส่วนตัว คุณก็ทำสิ่งต่าง ๆ ที่ เป็นประโยชน์แก่วัด หรือแก่ผม หรือตามความต้องการของผม ผมก็ควรจะขอบใจ แล้วสิ่งที่จะตอบสนองก็คือ สิ่งนี้ ที่มันดีที่สุด แต่ทีนี้เราก็ไม่คิดกันอย่างนี้ ดังที่ได้พูดมาแล้วหลายครั้ง หลายหนว่า ทำงานโดยไม่ต้องเพื่อใคร แต่เพื่องาน ทำงานเพื่องาน คือก็คือ เพื่อให้มันมีผลเกิดขึ้นแก่ทุกคน ก็แล้วกัน แล้วในระหว่างที่ทำงานนั้นเป็นการปฏิบัติธรรม อดทนได้ไหม มีสติรอบคอบไหม มีสติปัญญา ไม่โง่ในสิ่งใด ไม่ เช่น ไม่สุรุ่ยสุร่าย เช่น ไม่ทำผิด เช่น ไม่อะไรเหล่านี้ แล้วก็ไม่เกิดตัวกูของกู ที่จะกระทบ กระทั่งกัน ในระหว่างผู้ที่ทำงานด้วยกัน นั่นแหละทำงาน คือ การปฏิบัติธรรม แล้วในที่สุดก็ไม่เรียกร้อง เอาความเป็นธรรม
เพราะฉะนั้นถ้าทำงานเพื่อเรียกร้องผลงาน หรือเรียกร้องแม้แต่ความเป็นธรรมละก็ ให้เข้าใจ เถิดว่า มันยังจมปลักอยู่นั่นแหละ มันจะมีอะไรไปไม่ได้ แต่ว่าถ้าทำงานเพื่อเพื่องาน เพื่อหน้าที่เพื่องาน เหมือนพระพุทธเจ้าทำงานเพื่อหน้าที่ พระอรหันต์ทำงานเพื่อหน้าที่ เราทำตามอย่างท่าน เดินตามรอยท่าน มันมีหวังที่จะก้าวหน้าในทางจิตใจ
ทีนี้ในไอ้เรื่องที่มันเลวเกินไป อยากดี อยากเด่น อยากมีเกียรต์ิ อยากได้รับคำชมเชย ว่าเก่ง ว่าสามารถ ว่าเป็นหัวหน้า ว่าเป็นผู้บันดาลความสำเร็จนี้ ไม่ไหวหรอก ไปคิดดูก็แล้วกัน นี่เราทำงาน เพื่อทำลาย สิ่งเหล่านั้น เราเหน็ดเหนื่อย เราทำงานทุกวันนี้ เพื่อทำลายสิ่งเหล่านั้นเสีย ซึ่งติดมาจาก บ้านจากเรือน จาก ตั้งแต่เป็นเด็ก ๆ มา มันล้วนแต่เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น เพราะว่าเด็ก ๆ ได้รับการอบรม สั่งสอนมาให้เป็นอย่างนั้นทั้งนั้น ไม่ว่าที่บ้านหรือที่โรงเรียนหรือที่ไหน เด็ก ๆ ได้รับการอบรม ให้มีตัวกูของกูงอกงามทั้งนั้น นี้มันถึงเวลาแล้ว ที่ว่าเราจะ จะเล่นงานมัน ถึงเวลาแล้วที่ว่าจะขุดราก เออ, หรือจะทำลาย เออ, ไอ้สิ่งที่เรียกว่า ตัวกูของกู ที่เจริญอยู่ตลอดเวลา
ก็มีในหลายแง่หลายปริยาย วันนี้พูดกันแง่หนึ่ง ปริยายหนึ่ง โดยให้หัวข้อว่า ระวัง ความเป็น ธรรมตามแบบของตัวกู ระวังการเรียกร้องความเป็นธรรม ตามแบบของตัวกู ที่พูดวันนี้ ไอ้ความเป็น ธรรมตามแบบตัวกูนี้อีกอย่างหนึ่ง ความเป็นธรรมแบบไม่มีตัวกูนี้อีกอย่างหนึ่ง นี้พูดให้เห็นว่า ความเป็นธรรมตามแบบของตัวกู คืออย่างไร เพราะเราใช้คำ ๆ เดียวกันหมด ต้องการความจริง ต้องการ ความถูกต้อง ต้องการความเป็นธรรม ต้องการความยุติธรรม ต้องการความสมดุล อะไรเหล่านี้ คำนี้ไม่ ต้องเปลี่ยน แต่ขอให้มันเป็นของฝ่ายที่ ไม่มีตัวกู อย่าเป็นของฝ่ายที่มีตัวกู ถ้าเป็นของฝ่ายที่มีตัวกู แล้วจะ เพิ่มความทุกข์ จะมีปัญหาเพิ่มขึ้น เอ้า, เมื่อชอบก็เอาสิ ก็สมัครให้ซาตานต้มยำไปได้ ถ้าต้องการอย่างนั้น นี้ถ้าต้องการจะดับทุกข์ ต้องเป็นชนิดที่ไม่ไม่มี เออ, ความรู้สึกเป็นตัวกูของกู ไม่ ๆๆ มีได้ ไม่มีเสีย คือ ไม่มีเอา หรือไม่มีให้ ในที่สุดปัญหามันไม่มี ทีนี้ถ้ามันยังไม่ถึงนั่น ก็ให้ ให้ เสียจะดีกว่า คือ แพ้ ให้ นี้มี คำพูดอีกคำหนึ่ง คือ ยอมแพ้อันธพาล ยอมแพ้แก่อันธพาล นี่แพ้เป็นพระ ทีนี้ถ้าเอาชนะอันธพาลนะ คือ เป็นมาร เป็นอันธพาลเสียเอง เพราะฉะนั้นอย่าไปเอาชนะอันธพาลของตัวกู
นี่ไม่ใช่ชั้นเลวนะ มาในชั้นที่มีดีมีชั่ว มีอะไรเป็น ในระดับที่เขาถือกันว่า เป็นความถูกต้องแล้ว ไอ้ฟันต่อฟันตาต่อตานี้ เขาไม่ได้ถือว่า มันชั้นเลวสุดนะ แต่มันยังไม่ ยังไม่ใช่ชั้นที่ใช้ได้ เป็นวัฒนธรรม อันดับหนึ่งแล้วเหมือนกัน แต่ว่าถ้าคำนี้ ไอ้คำว่าฟันต่อฟันตาต่อตา ไปตีความหมายอย่างอื่น ผมก็อาจจะ ตีได้ ถ้าให้ตีความหมายไปในทางที่ถูกต้อง หรือดีเป็นอย่างอื่นก็ได้ แต่เดี๋ยวนี้ที่เขามีอยู่จริง ไม่ใช่แล้ว มันเป็นเรื่องของว่าไม่ยอม เพื่อความถูกต้อง ฉันไม่ยอม เพื่อความถูกต้อง ผมก็ตัวเก่งเหมือนกัน เรื่องไม่ยอม เพื่อความถูกต้องนี้
เมื่อเด็ก ๆ นี่ ถูกเฆี่ยนถูกตี ไม่ยอมเพื่อความถูกต้อง นี้มาเยอะแยะแล้ว แม่ตีให้ยอมไหม ไม่ยอม เพื่อความถูกต้อง ว่าเราไม่ผิด เราไม่ยอม แต่ว่าความถูกต้องของแม่นั้นมีอยู่ว่า ถ้าทะเลาะกัน ต้องตีทั้ง ๒ คน ทีนี้เราก็มีข้อแย้งว่าเราไม่ได้เป็นผู้ก่อเรื่อง เราไม่ควรจะถูกตี อย่างนี้เราไม่ยอมให้ถูกตีเพื่อความถูกต้อง คือว่าเราไม่ยอมเพื่อความถูกต้อง นี่ก็เป็นกิเลสชนิดหนึ่ง เรามีความบกพร่อง หรือเรามีความไม่ดีอย่างอื่น จนต้องให้การทะเลาะมันเกิดขึ้นได้ ทีนี้เราไม่มอง เราไม่มองในแง่นี้ เราดันทุรังกระต่ายขาเดียว หลับหูหลับตา ฉันไม่ผิด ฉันต้องไม่ถูกตี ไม่ยอมตะพึด
เพราะฉะนั้นระวังให้ดี ไอ้คำว่า ไม่ยอมนั้นนะ มันเป็นเรื่องของซาตาน ผู้รู้จึงพูดว่า แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร เพราะเหตุนี้ ถ้าลูกเด็ก ๆ ของเราได้รับคำสั่งสอนเรื่องนี้ มาตั้งแต่เล็ก แล้วก็วิเศษมาก เรื่องเยอะแยะจะไม่เกิดเลย จะไม่เสียเวลา ยุ่งยากกันตั้งหลาย ๑๐ ปี ดังนั้นการที่ยอม ผิดหรือถูกก็ตาม ในกรณีนั้นเราเป็นฝ่ายถูกหรือผิดก็ตาม การที่ยอมนั้นนะเป็นการที่ถูกที่สุด ที่ดีที่สุด เพราะว่าเรายอม นั้นคือ เราตัดกิเลส เออ, ในภายในได้ มันจึงยอมได้ ตัดกิเลส คือ ความไม่ยอม ความไม่ยอมเป็นกิเลส เราตัดความไม่ยอมได้ ก็คือ ตัดกิเลสได้
แล้วไอ้ส่วนที่เสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ไอ้ที่ว่าเราเป็นฝ่ายผิดหรือฝ่ายถูก ยกเลิกกันไปดีกว่า เราเอาที่ดีกว่า มากกว่านี้ คือ ความตัดกิเลสได้ ให้เรื่องมันสิ้นสุดไปได้ แม่ก็เป็นฝ่ายถูก ว่าทะเลาะกันต้องตีทั้ง ๒ คน คือ มันจะได้ช่วยกัน ระมัดระวังทั้ง ๒ ฝ่าย ไม่ให้เกิดการทะเลาะกันได้ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งจะเผลอ บังเอิญ บันดาล โทสะ มารุกรานเอาฝ่ายหนึ่งก่อนนั้น มันเป็นธรรมดา ให้ถือว่าเป็นธรรมดา บางทีเขาไม่ได้ตั้งใจ บางทีเป็นความเข้าใจผิด เขาไม่ได้ตั้งใจจะดูหมิ่นเรา หรืออะไรเราเลย แต่บังเอิญว่าเขากำลังหัวเสีย หรือเขา กำลังอารมณ์ร้ายอะไรอยู่ เขาจึงทำอย่างนั้น ฉะนั้นเราจะไปถือว่า เขาดูถูกเราไม่ได้ จะว่าเขาทำผิด ก็ไม่ได้ เขาทำถูกตามแบบของเขา นี่เราก็เป็นฝ่ายยอม
ทีนี้เกี่ยวถึงความเป็นธรรมนั้น มันต้องเล็งถึงข้อนี้ ข้อที่ไม่มีตัวกูของกูนี่ แล้วควรจะถือว่า ถ้าเราทำให้ใครเสียประโยชน์ไป แม้แต่นิดเดียวแล้ว เราต้องเป็นฝ่ายผิด แม้เป็นการทดแทน ก็จะต้องถือ ว่าเป็นฝ่ายผิด เราไม่มีหน้าที่จะทำให้ใครเสียประโยชน์ เพราะเราสืบไม่ได้ว่าเขาแกล้งเราหรือเปล่า ทีนี้ถ้าเราสืบได้ว่าเขาแกล้งเรา เราก็ไม่ควรทำให้เราเป็นฝ่ายรายจ่ายเข้าไปอีก เราทำให้เราเป็นฝ่ายรายรับ คือ เราไม่โกรธ และเราไม่ทำให้เขาเสียประโยชน์ เป็นการทดแทน ถ้าว่าโลกมีวัฒนธรรมสูง ทางวิญญาณ อย่างนี้ โลกนี้เป็นโลกพระศรีอาริย์ทันที
เดี๋ยวนี้มันรบราฆ่าฟันกันเป็น สงครามใหญ่ หรือในภายในนี้ก็ เป็นโรงเป็นความ อ่า, เป็นถ้อย เป็นความกัน ตามโรงตามศาล นี่ทะเลาะวิวาทกันเป็นส่วนตัว กระทั่งเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ทั่วไปหมด เพราะความไม่ยอม เพราะความไม่เข้าใจในคำว่า ความเป็นธรรมหรือความยุติธรรม ทีนี้เรื่องกฎหมายนั้น มันเป็นเรื่องวัฒนธรรมฝ่ายวัตถุนะ ไอ้กฎหมายจะวิเศษยังไง ก็ไปในระบบฟันต่อฟันตาต่อตาทั้งนั้นแหละ ขนาดศาลสถิตย์ยุติธรรมของโลก ก็ยังตกอยู่ใต้อำนาจฟันต่อฟันตาต่อตา อย่าไปคิดว่ามันวิเศษ เป็นเรื่อง ฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณ
ไอ้เรื่องฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณนี่เขาไม่สนใจ ฉะนั้นถ้าเราต้องไปตกอยู่ใต้อำนาจหรือในขอบเขต ของเรื่องโลก ๆ อย่างนั้นบ้าง ก็อย่าไปประหลาดใจ เช่น เราไม่ผิด ไปเป็นความแพ้เขา นี่อย่าไป ประหลาดใจเลย เพราะมันเป็นเรื่องของโลก เรื่องของวัตถุ เรื่องของความเป็นธรรมตามแบบวัตถุ เพราะฉะนั้นเรารู้ข้างใน ของเราเอง ว่าเราผิดหรือถูกดีกว่า แล้วก็อย่ารู้ให้เร็วเกินไปนัก คือ อย่ารู้ในขณะ ที่มีตัวกูของกูเกิดอยู่ มันต้องดับตัวกูของกูเสียก่อน ไปจุดธูปจุดเทียน ถามพระพุทธเจ้าเสียก่อน ว่าอะไรเป็นอย่างไรควรทำอย่างไร ถ้าอย่างนี้ละก็ไม่ค่อยมีทางผิด
มันมีสติสัมปชัญญะช่วยอยู่เสมอ นานเข้า ๆ จะไม่มีทางผิดเลย แล้วก็ไปสู่จุดหมายปลายทางได้ ป่วยการที่ไปอ่านหนังสือมาก ๆ ทำให้เวียนหัว ผมอ่านแทนก็ได้ แล้วผมมาเล่าให้ฟัง ว่าไอ้เนื้อแท้สาระ มันมีอยู่อย่างนี้ เพราะผมอ่านหนังสือมา ตั้งแต่เกิด ตั้งแต่อ่านหนังสือเป็นจนบัดนี้ และผมรู้ว่าหนังสือ มันคืออะไร หนังสือ คือ ดงใหญ่สำหรับท่องให้หลงใหลวนเวียนอยู่นี่ แต่ผมไม่หลอกผมได้ เพราะผมอ่าน มาหลาย ๑๐ ปี พอจะรู้ว่าอันไหนเป็นอะไร อันไหนเป็นไอ้หัวใจ เมื่อจับหลักได้แล้ว ก็จับหัวใจได้ จับจับได้ หมด ไม่ว่าจะไปอ่านเล่มไหน เล่มนี้มีสาระเล่มนี้ไม่มีสาระเลย เล่มนี้มีสาระบ้าง แล้วสาระในเรื่องเดียวกัน เล่มไหนพูดดีกว่า เล่มไหนพูด เออ, ไม่ไม่ค่อยดีนี่ทิ้งหมด
เดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้จะเอาหนังสือไปไหน ถึงขนาดที่ต้องเผาไฟฉีกทิ้ง อย่างเหว่ยหล่างแล้ว แปลว่า ไอ้เนื้อหา สาระไอ้น้ำอมฤตของวิชาความรู้ของพระธรรมของศาสนา มันอยู่ที่คำพูดคำเดียวที่ว่า ไม่ยึดมั่นถือมั่น อย่ามีตัวกูของกู เพราะฉะนั้นเสียเวลา ที่ไปเรียนภาษานั้นภาษานี้ คัมภีร์นั้นคัมภีร์โน้น รอบไปหมด ผลสุดท้ายก็มาอยู่ในจุดนี้ เป็นการเที่ยวในป่าในดง ที่ไม่มีที่สิ้นสุด แล้วก็ไม่พบจุดที่ต้องการ ถ้าทำได้ก็ดีเหมือนกันแหละ มันเป็นความเก่งความสามารถ แต่ว่าส่วนมากทำไม่ได้ ถ้าใคร ถ้าใครต้องการ พบธรรมะเร็ว ๆ ก็ต้องเล่นงาน ไอ้ที่ตัวกูของกูนี่ยกหูชูหางอยู่เป็นประจำวัน แล้วก็อย่าเป็น เป็นเสียเอง อย่าให้ซาตานหลอกได้ เป็นตัวกูยกหูชูหางเสียเอง
เราหลีก มาอยู่ในป่าไกลถึงที่นี่นะ คุณคิดดูเถอะ มาจากที่ไกลตัวจังหวัด แล้วก็หลีกมาอยู่ในป่า ในสภาพอย่างนี้ ก็ยังมีปัญหาแยะ มีบทเรียนแยะที่เกี่ยวกับกิเลส คุณ ๆ คิดดู ถ้าอยู่ในบ้านในเมือง มันจะสักเท่าไรนี้ นี่เราหลีกมาอยู่อย่างนี้แล้ว ไม่ค่อยพบค่อยปะกันอย่างนี้แล้ว มันก็ยังมีมาก ที่สางไม่หมด เพราะจับจุดไม่ได้ มีปัญหาที่จะต้องโกรธ ต้องหงุดหงิด ต้องโง่ ต้องหลง ในวันหนึ่งหลาย ๆ หนนะ จนกระทั่งว่า ไปทำงานด้วยกัน ๒-๓ คน ก็มีชนวนที่จะเกิดกิเลส พอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง รู้สึกว่ามัน ไม่เข้าหูเข้าตาบ้าง อะไรบ้าง มันก็ผสมที่จะเกิดกิเลส มันก็ต้องถือว่าประมาทไม่ได้ อย่าประมาท เป็นอันขาด ว่าอยู่ในที่อย่างนี้ก็ดีมากแล้วนี้ไม่ได้ แม้อยู่ในที่อย่างนี้ ก็ยังมีบทเรียนมาก มีปัญหามาก อยู่นั่นเอง
รีบสะสางให้มันสิ้นสุด ไปด้วยความไม่ประมาท เหมือนพระพุทธเจ้าท่านสอนอยู่เป็นคำสุดท้าย นี่ถือเป็นพินัยกรรมของพระพุทธเจ้า ว่าทุกคนจงอยู่ด้วยความไม่ประมาท อย่าคิดว่า เอ้ย, ปล่อยตามเรื่อง ก็ได้ ก็คือ โง่ที่สุด เออ, ไม่มองเห็นในสิ่งที่ละเอียด ที่มีอยู่เต็มไปหมด ที่จะเกิดตัวกูของกู แล้วที่เกิดอยู่แท้ ๆ ก็ยังไม่รู้ ก็กลับใช้ไอ้ตัวกูของกูนั้น ทำงานออกไปเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อย่างนั้นอย่างนี้ เกิดโลภ เกิดหลง ไม่มีที่สิ้นสุด ก็แก้ปัญหาต่าง ๆ ไม่ได้ แล้วมันไม่น้อมไปเพื่อยอมแพ้เลย กิเลสชนิดนั้นมันไม่น้อมไปเพื่อ ยอมแพ้ คือ เพื่อ ๆ ยอมให้ผู้อื่นชนะ ตัวเองเอาชนะกิเลส ให้ผู้อื่นชนะเรา เพื่อเราชนะกิเลส นี่ไม่มีใครชอบ
เพราะฉะนั้นพยายามมีสติสัมปชัญญะ ถามพระพุทธเจ้าก่อนเสมอถ้าอะไรเกิดขึ้น แล้วไม่ต้อง พูดกับใคร ไม่ต้องปากโหว่คุยโว ให้นิ่งอึดอยู่ก็ได้ เรื่องนี้ควรทำอย่างไร นัเสมมุติว่าถ้า พระพุทธเจ้าท่านมา ท่านจะแนะอย่างไร คือว่าเพื่อให้เราคิดรอบคอบนั่นเอง เพราะเราก็อ่านไอ้เรื่องเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า มามากพอ จนรู้นิสัยใจคอของพระพุทธเจ้าแล้ว ถ้ายังไม่พอ ผมแนะ ด้วยเกียรติยศเป็นประกันเลยว่า อ่านหนังสือ พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ เล่มเดียวพอ จะรู้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร มีนิสัยใจคอ เป็นอย่างไร มีอะไรอย่างไร คุณไม่ต้องอ่านหนังสือมาก ถ้าจะรู้จักพระพุทธเจ้า อ่าน พุทธประวัติจาก พระโอษฐ์ ให้เข้าใจทุกตัวอักษร คุณจะรู้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร นิสัยเป็นอย่างไร แล้วพอมีปัญหา เรื่องนี้เกิดขึ้น เอาไปถามพระพุทธเจ้าว่าท่านจะตรัสว่าอย่างไร เราจะตอบออกมาถูกที่สุดเลย พระพุทธเจ้า ไปสิงอยู่ในเรา ค่าที่เราเข้าใจพระพุทธเจ้าดี จะมีคำตอบของพระพุทธเจ้า ออกมาอย่างแท้จริง เลยว่า ควรทำอย่างไร
เดี๋ยวนี้เราไม่มี ความรู้เรื่องพระพุทธเจ้า พออย่างหนึ่ง และเราไม่มีสติสัมปชัญญะที่จะ รอ ไว้ถาม พระพุทธเจ้าเลย เราเอาเลย ฟันต่อฟันตาต่อตาเลยนี่ มันก็ ยังไกลกันมาก ถ้าเป็นชาวบ้านก็จะพอไปได้ แต่ถ้าเป็นพระเป็นเณรนี่ไม่ไหวนะ ถึงชาวบ้านก็พระพุทธเจ้าไม่สอนอย่างนั้น ถ้าชาวบ้านไปถาม พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ไม่สอนอย่างนั้น เพราะพระพุทธเจ้าท่านตรัส เออ, เรื่องสุญตาแก่ฆราวาส ในระดับเดียวกันกับ บรรพชิต ไปอ่านดูก็แล้วกัน
เอาละพอกันที วันนี้ เรื่องความเป็นธรรมของตัวกู อย่าลืมนะ