แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๒ อย่าประหลาดใจ ว่าเราจะพูด ย้ำ แบบที่ว่าลงปาฏิโมกข์ทุก ๑ เดือน เป็นเรื่องย้ำ อันนี้เป็นเรื่องธรรมะ วันนี้มันหัวข้อที่ย้ำ อย่างเดียวกันอีก ว่ากิเลสหรือความทุกข์ หรือปัญหา ยุ่งยากต่าง ๆ มันเกิดขึ้น เมื่อ เมื่อมนุษย์มีสิ่งที่เราเรียกกันว่าความเจริญ นี่คือหัวข้อที่จะย้ำ เมื่อปัญหา มันเกิดขึ้น เป็นกิเลส เป็นความทุกข์ เป็นอะไร เมื่อมนุษย์มีความเจริญ ฟังดูก็ไม่น่าเชื่อ แต่แล้วมันก็ เป็นเรื่องที่ได้เป็นมาจริง ไอ้เราบวช เพื่อจะแก้ปัญหา เพื่อจะดับกิเลส เพื่อจะดับความทุกข์ ทั้งของตัว เราเอง และทั้งของเพื่อนมนุษย์ ทั้งหมดด้วย นี่มันเป็นที่แน่นอนแล้ว ไม่ไม่มีข้อสงสัยอะไรทั้งนั้น
ที่นี้เราก็เลยต้องรู้ ในข้อที่ว่ากิเลสหรือความทุกข์ หรือปัญหา รวมเรียกว่า ปัญหาของมนุษย์นี่ มันได้ค่อย ๆ เกิดขึ้น ค่อย ๆ ก่อขึ้น อย่างไร และในที่สุดสรุปความว่า ไอ้สิ่งที่เรียกว่า ความเจริญนั่นแหละ คือ ต้นเหตุ ที่ให้เกิดกิเลส ที่เกิดความทุกข์ หรือเกิดปัญหาต่าง ๆ ก็ผมคิดว่า คุณจะไม่คิดอย่างนี้ จะไม่มอง เห็นอย่างนี้ หรือมองเห็นตรงกันข้าม ถึงเอามาพูดย้ำ ๆ อยู่บ่อย ๆ ว่าจะเป็นอย่างเรื่อง เด็ก ๆ ที่มีความรู้ว่า เมื่อมีความเจริญมันก็ดี เมื่อมีความเจริญก็หมายถึง มีความสุขมีความดี ไอ้ความเชื่อความคิดอย่างนี้ มันมีมาตั้งแต่เด็ก แล้วกลัวว่าจะยังอยู่ และกลัวว่าจะ จะอยู่สำหรับ เข้าใจสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ ดังนั้นจึงเอามาพูด และพูดย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ อยู่ และบางคนหรือโดยมาก เพราะคนหนุ่ม ๆ เห็นโลกน้อย ๆ มีการศึกษาอย่าง ธรรมดานี้ จะบูชาความเจริญ คือจะมีการบูชาไอ้ความเจริญ และหวังที่จะไปเจริญ ตามแบบที่เขานิยมกัน ว่าเจริญ อย่างไอ้พระไอ้เณรที่สึกออกไป ก็เพราะไปหลงความเจริญ บูชาความเจริญ แบบนั้น ดังนั้นเรา มองดูกันให้ดีว่า มันคืออะไร
ที่นี้มันก็ต้องนึกถึงคำว่า ความเจริญก่อน และมันก็แยกเป็น ๒ ความหมายไปตามเดิม ความเจริญ ในภาษาธรรม ความเจริญในภาษาคน ความเจริญภาษาคน คือ ความเจริญอย่างที่โลก ๆ หรือชาวโลกเขา เรียกกันว่า ความเจริญ แต่ความเจริญในทางภาษาธรรม ของผู้รู้ธรรมนั่น หมายถึง ความสงบสุขที่แท้จริง
ความสงบสุขที่แท้จริง ทั้งส่วนตัวและส่วนรวม เรียกว่า ความเจริญ มันเลยเป็นคนละอย่าง ไอ้พวก ชาวบ้าน พวกชาวโลก ไอ้ความเจริญ มันหมายถึง เรื่องได้อย่างใจ ได้อย่างอกอย่างใจ และแปลกประหลาด ไม่มีที่สิ้นสุด และได้อย่างอกอย่างใจยิ่งขึ้นไปอีก เรื่องกิน เรื่องดื่ม เรื่องเล่น เรื่องสนุกสนาน เรื่องเอร็ด อร่อย ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ก้าวหน้าไปเรื่อยไม่มีที่สิ้นสุด เขาเรียกว่า ความเจริญ
ดังนั้นคนหนุ่ม ๆ ที่เป็นพระ เป็นเณร มันก็ยังบูชาสิ่งเหล่านี้ เพราะฉะนั้นจึงไม่เข้าใจธรรมะได้ นี้ความเจริญของผู้มีสติปัญญา ของมุนี ของพระพุทธเจ้า ของพระอริยเจ้า มันไปอีกแบบหนึ่ง กลายเป็น เรื่อง ไม่ต้องการอย่างนั้น แต่ว่าเป็นความสงบสุขที่แท้จริงแล้วกัน หมายความว่า ไม่เห็น ไม่เห็นว่า ไอ้ความเอร็ดอร่อย ไอ้ความได้อย่างใจนึกนั้น มันเป็นความสงบสุข กลับจะมองเห็นว่า เป็นเรื่องเฟ้อ เกินจำเป็น นี่อย่างหนึ่ง ไม่จำเป็นนี่ เหนื่อย เหนื่อยมากเปล่า ๆ นี่อย่างหนึ่ง และเห็นว่านี่เอง เป็นมูลเหตุ ของความทุกข์ ความยุ่งยากลำบาก ทั้งทั้งโลก ทั้งเทวดา ทั้งมนุษย์ เทวดาก็กัดกันเพราะเหตุนี้ มนุษย์ก็ กัดกันเพราะเหตุนี้ นี่เรียกว่า เป็นมูลเหตุของความยุ่งยาก ทั้งปัญหาต่าง ๆ ความทุกข์
ที่นี้แม้ว่ามันจะไม่ถึงกับ กัดกันเพราะเหตุนี้ มันก็เป็นเรื่องที่ยุ่งเปล่า ๆ เปลืองเปล่า ๆ ในการที่เรา จะหามาให้มาก ในเรื่อง กินเรื่องเล่น เรื่องไอ้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันเหนื่อยและมันยุ่งยากเปล่า ๆ ดังนั้นเอาเท่าที่มันจำเป็น เท่าที่สมควรกับที่จำเป็นดีกว่า เมื่อเป็นอย่างนี้ มันก็ไม่มีความเจริญทางวัตถุ ไม่ก้าวหน้าในทางวัตถุ เหมือนกับที่เขาก้าวหน้ากันเดี๋ยวนี้ นี่คือ ข้อที่คำว่า ไอ้ความเจริญมี ๒ ความหมาย เมื่อผมพูดว่า ความเจริญเป็นต้นเหตุของปัญหาต่าง ๆ แล้วก็หมายถึง ความเจริญอย่างของชาวบ้าน ของชาวโลก แล้วโดยเฉพาะปัจจุบันนี้
นี้เมื่อคราวที่แล้วได้พูดให้เห็นว่า มนุษย์เริ่มมีปัญหาในทางจิตใจ ตั้งแต่เริ่มรู้จักดี รู้จักชั่ว
มันสมอง วิวัฒนาการสูง จนรู้จักดีรู้จักชั่ว รู้จักเกียรติ์ รู้จักเสียเกียรติ์ อะไรอย่างนี้ ถ้าก่อนหน้านั้น ไม่มีปัญหา เมื่อมนุษย์ยังเป็นคล้าย ๆ กับสัตว์ยังเป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์ มันไม่มีปัญหา ยิ่งเมื่อเป็นสัตว์ และเป็นสัตว์ ที่นั่นที่สุด และก็ยิ่งไม่มีปัญหา นี่ก็ย้อนไปดูกันอีกทีว่า สัตว์ที่มันเป็นเริ่มแรกที่สุด มันก็มีความยุ่ง หรือมีปัญหาน้อยที่สุด สัตว์ที่ฉลาดขึ้นมา ก็มีปัญหามากขึ้นมา กระทั่งเป็นคน นี้พอมันรู้จักดี รู้จักชั่ว รู้จักตามที่บัญญัติเป็นคู่ ๆ มีดี-ชั่ว บุญ-บาป สุข-ทุกข์ หญิง-ชาย ได้-เสีย
เออ, มีลาภ-เสื่อมลาภ มียศ-เสื่อมยศ ไอ้พวก ๆ เขาเรียกว่า พวกความเป็นคู่ ของที่เป็นคู่ ๆ อันนี้เป็น ตัวการที่ปรุงความคิด ที่เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์
ถ้าเราไม่มีเรื่องดี เรื่องชั่ว มันก็ไม่มีปัญหาและไม่มีความทุกข์ เหมือนกับสัตว์ สัตว์เดรัจฉานไม่มี ไม่มีความหมายเป็น ดี-ชั่ว สุข-ทุกข์ บุญ-บาปอะไร มันก็ไม่มีปัญหา นี่มนุษย์ แรก ๆ ก็ไม่มีปัญหาอย่าง เหมือนกับสัตว์ ต่อมาถึงจุดหนึ่ง ระยะ เออ, วันหนึ่งคืนหนึ่ง มันเริ่มรู้ดี-รู้ชั่ว รู้สุข-รู้ทุกข์ รู้หญิง-รู้ชาย อย่างที่ผม ชอบพูดตามคัมภีร์ไบเบิล ที่เขาเขียนไว้ดีแล้ว เมื่อเรากินผลไม้นั้นเข้าไป รู้ดี รู้ชั่ว มันก็เริ่มมีบาป ตั้งแต่ วันนั้น เขาใช้คำว่า มีบาปตั้งแต่วันนั้น และตายด้วย คือ ตายเริ่มตายในวันนั้น หมายความว่า มีความทุกข์ตั้งแต่วันนั้น หมด หมดสภาพที่ไม่ประสีประสาไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ตั้งแต่วันนั้น จะเริ่มมีบาป คือ หนักอกหนักใจ และก็จะเริ่มมีความทุกข์ แล้วก็สืบต่อมาถึงลูกหลาน ก็เพราะว่า มนุษย์หลังจากนั้นมา มันมีความรู้เหมือนกันกับพ่อแม่ของมัน พ่อแม่คู่แรก รู้จักดี รู้จักชั่ว รู้จักว่ามันมีความทุกข์ และก็สอน ลูกหลาน ให้รู้จักให้คิด ให้นึกอย่างเดียวกันหมด สืบมาจนกระทั่งบัดนี้ เขาจึงเรียกกันว่า บาปดั้งเดิมของ พ่อแม่คู่แรก มาจนถึงทุกวันนี้
ทีนี้ที่ว่าความเจริญนั้นมัน มันขยายตัวทางวัตถุเพราะมันมีความคิดยึดมั่นถือมั่น เรื่องดี เรื่องชั่ว เรื่องบุญ เรื่องบาป เรื่องสุข เรื่องทุกข์นี่มันสร้างความรู้สึกเป็นของฉัน เป็นตัวฉัน เป็นของฉันขึ้นมา ก่อนนี้มันไม่มีเดี๋ยวนี้มันมี ที่นี้มันก็เริ่มมีความเจริญ มันรู้จักได้ รู้จักเสีย รู้จักผู้ได้ ผู้เสีย นี้ มันก็เริ่มต่อสู้ เพื่อจะได้และเพื่อจะเอาเปรียบผู้อื่น เพื่อจะสะสม อย่างมันมีข้อความฝากไว้ว่า ทีแรกก็ไปเก็บข้าวที่เกิด อยู่ในป่า มากินเป็นประจำวัน เก็บมาวันหนึ่งกิน วันหนึ่ง มันก็ไม่มีปัญหาอะไรมนุษย์ก็ยังน้อย ทีนี้ต่อมา มนุษย์ คนหนึ่ง คิดว่าเราไปเก็บเอาให้มาก ๆ สำหรับกินหลายวันดีกว่ามาสะสม ทีนี้มนุษย์อื่น ๆ ก็เอาอย่าง ไป เก็บข้าวในป่ามากิน คราวหลาย ๆ วันมันก็เกิดมี ยุ้งฉางสะสมข้าวขึ้น แล้วทีนี้มันจะพออย่างไร ถ้าแต่ละคน ต่างไปเก็บ เอาไว้เป็นของตัวให้มาก เพื่อหลายวันหลายเดือนอย่างนี้ ของนั้น มันก็ไม่พอ” นี่จะเห็นได้ว่า ไอ้เรื่องจับมาใส่ยุ้ง ใส่ฉางนี่คือ ความเจริญของมนุษย์ เจริญตามแบบ แบบวัตถุ แบบโลก ๆ พอต่อมาเห็นว่า มันไม่ไหวที่จะไปเก็บที่เกิดอยู่ในป่า มันต้องปลูก มันต้องเพาะต้องปลูก นี่มันเป็น ความเจริญ เรื่องการเพาะปลูก เพราะมันจะต้องเลี้ยงสัตว์ผสมสัตว์ เรียกว่า เป็นความเจริญทางวัตถุ มันก็เริ่มมีปัญหา
ทีนี้มันไม่หยุดเพียงเท่านั้น มันไม่หยุดเพียงว่าจะทำนาพอกิน เลี้ยงสัตว์พอกิน มันต้องการ จะมีมาก จนไม่รู้ว่าจะไปสิ้นสุดแค่ไหน มันก็ประกวดประขัน แข่งขันกันทำต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างทำ นี่คือ ความเจริญ ถ้าใครฉลาดก็ทำแปลกออกไป แปลกออกไป มันก็เกิดอะไร เกิดใหม่ ๆ ขึ้นมาเรื่อยนี่ คือ ความเจริญที่เขาเรียกว่า Culture เป็นศัพท์ สำหรับเรียก ไถ ไถนา เรียก ไถ ไถนา เป็น Culture เพราะไม่รู้จัก ไถนา มันดีกว่ารู้จักเก็บข้าวที่เกิดอยู่ตามธรรมชาติ ฉะนั้นคำว่า Culture มาเป็นเรื่องความเจริญรุ่นหลัง ๆ ยุคหลัง ๆ จนกระทั่งยุคปัจจุบันนี้ ไม่ได้หมายถึง ไถนาแล้ว ไม่ได้หมายถึง การไถนาหรือตัวไถ ที่ใช้ไถนา
ทีนี้พอมนุษย์รู้จักเอามาไว้ กินไว้ใช้ เออ, สำหรับเดือนหนึ่ง สำหรับปีหนึ่งนี่ ปัญหาเรื่องนั้น มันก็หมด ไป เรื่องกินมันก็หมดไป รู้จักทำนาเก็บไว้กินปี ๑ ๒ ปี ปัญหาเรื่องกิน เรื่องข้าวมันก็หมดไป มันก็ขยายตัว เป็นปัญหา เรื่องที่ประณีตที่ดีไปกว่านั้น มันก็ไม่พ้นไปจากเรื่อง เรื่องกาม มันขยายตัว เรื่องกาม ความรู้สึกที่เอร็ดอร่อยกว่ากิน ก็คือเรื่องกาม ถ้ารู้สึกเอร็ดอร่อยกว่ากาม ก็คือเรื่องเกียรติ์ เพราะฉะนั้นไอ้ คำว่ากิน ว่ากาม ว่าเกียรติ์ เอาไว้คิด เป็นหลักสำหรับ เออ, เข้าใจเรื่องนี้ พอเรื่องกิน หมดปัญหา มันก็เรื่องกาม
ทีนี้เรื่องกามมันไม่รู้จักเต็ม ไม่รู้จักจุดอิ่ม จุดพอ ทีนี้ว่าเบื่อกาม มันก็มีเรื่องเกียรต์ิ หรือพร้อม กันไป ทั้งกาม ทั้งเกียรติ์ เพราะว่าเกียรติ์ มันเป็นเหตุให้ได้กาม และเป็นเหตุให้ได้กิน ดีไปกว่าเดิมด้วย ถ้าเรามีเกียรติ์ เราก็หากามได้ง่าย หากินได้ง่าย อย่างนี้เป็นต้น ดังนั้นไอ้เรื่อง ๓ อย่างนี้ มันจึงไม่แยกจากกัน เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรต์ิ คำว่า เกียรติ์ มันก็หมายถึง อำนาจ เรามีเรื่องกิน เรามีเรื่องกาม แล้วเรามี เกียรติ์ คือ มีอำนาจ หรือมีอะไรที่เป็นฤทธิ์ เพื่อให้สำเร็จประโยชน์ อำนาจเงินก็สำเร็จประโยชน์ อำนาจ อาวุธก็สำเร็จประโยชน์ อำนาจอวิชชาอาคมก็สำเร็จประโยชน์ แต่ว่าเกียรตินี้ มันก็หมายถึง พวกอำนาจ เหล่านี้ เพื่อความสำเร็จประโยชน์ เพราะมันเป็นทางที่ จะให้ได้อำนาจอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนั้นจะต้องรู้ว่า เมื่อมนุษย์หมดปัญหาเรื่องกิน มันก็เลย มาขยายเรื่องกาม ซึ่งไม่มีที่สิ้นสุด นั้นความเจริญที่ทำ อ่า, ที่ทำ ความยุ่งยากมากที่สุด คือ ความเจริญในเรื่องกาม
แต่ทีนี้เรื่องกินกับเรื่องกาม มันไม่แยกกันทีเดียว เพราะว่ากินอร่อยมัน ก็คือกามชนิดหนึ่ง ถ้ากินแต่พอเพียง เพียงอยู่ได้มันไม่ใช่กาม ไม่ใช่กามทางลิ้น ไม่ใช่กามารมณ์ทางลิ้น ถ้าเราฉันอาหาร แต่พออยู่ได้ นี้มันเป็นเรื่องอาหารการกินธรรมดา แต่ถ้ากินอร่อยแล้วก็เป็นเรื่องกาม เป็นเรื่องทาง อ่า, ทางลิ้น เพราะฉะนั้นเราเห็นไอ้การโฆษณา ขายหรือชักชวนให้สนใจ ให้แต่เรื่องกินนี้มาก ในหน้า หนังสือพิมพ์ ตรงนี้มันเป็นเรื่องกามไปไม่ใช่เรื่องกิน ตามธรรมดาปกติ มันขยายได้เรื่อย เรื่องกินให้แปลก ออกไปไม่มีที่สิ้นสุด และไอ้การกินเป็นกามอยู่ในตัว แล้วมันก็ยิ่งส่งเสริมความใคร่ในกาม เพราะว่าถ้า คนเรา กินอาหารเกินที่ธรรมชาติต้องการแล้วมันก็ส่งเสริม ความรู้สึกทางกาม มากขึ้นไปอีก เห็นได้ง่าย ๆ ที่กินอาหารดีดี นั้นนะ มันก็ส่งเสริมในทางกามมากขึ้นไปอีก
ทีนี้เมื่อคราวก่อน ๆ ได้เคยบอก ให้ เออ, เป็นหลักไปแล้วว่า มนุษย์นี่มันแปลกตรงที่ มีความคิด สติปัญญา มากกว่าสัตว์ มีเพียงไอเสัญชาตญาณ ไม่ใช่สติปัญญา นี้เรื่องสติปัญญานี้ สติปัญญาอย่าง ชาวโลกนี่ หรือสติปัญญาตามธรรมดาสัตว์ปุถุชน นี้คือ ต้นเหตุหรือจุดตั้งต้นของความยุ่งยาก ความลำบาก หรือปัญหาต่าง ๆ เมื่อเรากินอาหารแต่เพียงว่า ธรรมชาติต้องการ ทำนากินตามต้องการ เหมือนกับ สมัยโน่น เมื่อหลายพันปีมาแล้ว มันก็ไม่ไม่เกี่ยวกับสติปัญญา ปัญหามันก็ไม่มี นี้พอเรารู้จักประดิษฐ์ ประดอย เรื่องการกิน เพราะสติปัญญามันมีมาก มันก็ประดิษฐ์ประดอยได้ไม่มีที่สิ้นสุด นี่มันกลายเป็น เรื่องกาม ทาง อ่า, ทางลิ้น นี้คือ สติปัญญา ที่มันเป็นจุดตั้งต้นของปัญหายุ่งยาก
ทีนี้ไอ้ความ ความเขลาของมนุษย์ มันวางมาตรฐานสูงขึ้นไป สูงขึ้นไป สูงขึ้นไป ต้องกินอย่างนั้น ต้องกินอย่างนั้นนะ แล้วก็ต้องกินอย่างนั้นนะ จนกระทั่งยุคนี้สมัยนี้ จะต้องกินอย่างนั้น จึงจะเรียกว่า ระดับธรมดา อย่างนี้เป็นต้น นี้เลยเลยความพอดี ปัญหามันก็เกิดขึ้นเรื่อย มีเรื่องกินอย่างเดียวเท่านั้นแหละ มีปัญหาเกิดขึ้น ที่จะต้องกักตุน ต้องมีเงินมากและต้องกักตุน กักกักตุนนี่ไม่ใช่เพื่อตัวคนเดียว มันเพื่อ ประเทศชาติ ดังนั้นปัญหาที่จะไปเอาเมืองขึ้นไปรบราฆ่าฟัน ไปเอาเมืองขึ้นมาเป็นของตัวด้วยเรื่องกินด้วย จะไปเอาไอ้วัตถุในดินแดนที่เรารบชนะมา เป็นของเรา เพื่อสนับสนุนการมีความ มีของกิน ดังนั้นเรื่องกิน ก็ไม่ใช่เรื่องเล่น เป็นต้นเหตุ อ่า, ของความยุ่งยาก
ทีนี้ที่ว่าสติปัญญาเป็นจุดตั้งต้นของความยุ่งยาก มันไม่ใช่เพียง เพียงเรื่องกินนี้ มันเป็นเรื่องกาม ทั้งหมด นี่เราก็ดูว่ามนุษย์นั้นเป็นอย่างไร และสัตว์เป็นอย่างไร การสืบพันธุ์ของสัตว์เป็นสัญชาตญาณ ล้วน ๆ พอต่อมแกรน(นาทีที่ 21:49) ในร่างกายมันสุกจัด มันก็กระตุ้นความรู้สึก เป็นความใคร่สืบพันธุ์ ไม่กี่นาทีก็เสร็จไป หรือเลิกไป หรือไม่กี่วัน ๒ วัน ก็เสร็จไปก็เลิกไป มันเป็นสัญชาตญาณล้วน ๆ ไม่มีสติปัญญา
ทีนี้มนุษย์นั้นมีสติปัญญา สามารถ สร้างมโนภาพ ที่เรียกว่า Imagination เออ, หรือมโน มโนภาพ มนุษย์มีสติปัญญาสร้างขึ้น ดังนั้นมนุษย์ เออ, สามารถจะสร้างมโนภาพในทางกามารมณ์ได้ เออ, เรื่อย เรื่อยไป เรื่อยไปไม่มีที่สิ้นสุด มันจึงเป็นส่วนของไอ้มโนภาพ ไม่ใช่ส่วนของสัญชาตญาณล้วน ๆ ก็จริงแหละที่ว่า มนุษย์นี้ก็มีวันที่ว่า มี ต่อมแกรน(นาทีที่ 23:01)สุก มีร่างกายถึงต่อมแกรน(นาทีที่ 23:04) สุกก็ต้องการการสืบพันธุ์ นั้นมันก็ชั่วระยะ อ่า, ไม่ไม่ไม่กี่วัน ไม่อะไร นั้นมันส่วนหนึ่ง มีแต่ตามไป เป็นไปตามสัญชาตญาณเหมือนกับสัตว์เดรัจฉาน แต่เป็นส่วนน้อย ส่วนมากก็คือ มนุษย์ มีมโนภาพ ที่สร้างขึ้นได้ไม่มีที่สิ้นสุด
นี่ฟังยากแต่ว่า มันเป็นแต่เพียงมโนภาพ ทำไมมันมีฤทธิ์มีเดชมาก มนุษย์สามารถคิด ทำความคิด เกิดความกำหนัดได้ สร้างมโนภาพทางเพศ ให้เกิดความกำหนัดหรือกำเนิดความใคร่ได้ แต่สัตว์ทำไม่เป็น ใครรู้ว่าสัตว์ทำอย่างนั้นไม่เป็น นี้มนุษย์ก้าวหน้าในทางความคิดโดยมโนภาพนี้ยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น และก็ผลิต วัตถุ ที่ส่งเสริมความคิดทางมโนภาพ ทางกามารมณ์นี้มากยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น รวมทั้งการกินการอะไรด้วย ดังนั้นมนุษย์จึงพร้อมที่จะบริโภคกามทุกวัน ทุกคืน ทุกวัน ทุกคืน ตลอดปี ไม่เหมือนสัตว์ ที่เป็นไปตาม สัญชาตญาณ มีความใคร่มีความต้องการเฉพาะเมื่อ ต่อมแกรน(นาทีที่ 24:43) สุกตามธรรมชาติ หรือสัญชาตญาณ
ฉะนั้นสัตว์ตัวหนึ่งไม่มีความปรารถนากามารมณ์ตลอดปีเหมือนมนุษย์ นี่ก็คือผลของสติปัญญา คิดดูสิ ผลของสิ่งที่เรียกว่า สติปัญญาที่เป็นไปตามภาษาโลก สามารถทำให้มนุษย์มีความใคร่ทาง กามารมณ์ หรือปฏิบัติกิจทางกามารมณ์ได้ตลอดวัน ตลอดคืน ตลอดเดือน ตลอดปี ดังนั้นเราจึงเห็นได้ว่า ไอ้ส่วนที่เป็นสัญชาตญาณแท้ ๆ ในทางเพศนั้นนะ สัก ๑ สัก ๑๐ ส่วนและอีก ๙๐ ส่วนนะ เป็นของ ความคิดกับสติปัญญา ที่รู้จักฉลาดในการคิดสร้างมโนภาพ ๑๐๐ ส่วนนี้ตั้ง ๙๐ ส่วน นะเป็นไอ้ผลของ ความมีสติปัญญา ไอ้ ๑ อีก ๑๐ ส่วนนั่นคือตามเดิมตามสัญชาตญาณ ที่สัตว์ก็มีสัตว์เดรัจฉานก็มีมนุษย์ก็มี เพราะฉะนั้นถ้ามนุษย์จะคงสืบพันธุ์กันแต่ตามสัญชาตญาณแล้ว มันก็มีเพียง ๑๐ ส่วนใน ๑๐๐ ส่วน แต่เดี๋ยวนี้มันมีความเก่ง เรียกว่า ความเก่งกล้าสามารถ ความเก่งในทางสร้างมโนภาพ ดังนั้นจึงมีได้ ตลอดปี คืออีก ๙๐ ส่วน ฉะนั้นจึงไม่รู้จบ
ทีนี้พอมาถึงยุคที่มันมีความเจริญ ทางวัตถุส่งเสริมกามารมณ์นี้ มนุษย์ก็ยิ่งไป ไปไกลจนลืมตัว ทีนี้คนรุ่นหนุ่มเกิดมายุคนี้มันก็บ้า มาตั้งแต่เด็ก ปัญหามันก็มีมาก นี่ต่อไปมนุษย์ก็จะเผชิญปัญหา ที่เรียกว่า ล้น เหลือล้นทีเดียว ที่คนหนุ่มเกิดมาในความเจริญอย่างวัตถุ ถูกทำให้หลงใหลในเรื่องทางวัตถุ และมี มโนภาพในทาง เพศนี้ เก่งกว่าบรรพบุรุษขึ้นไปอีก แล้วมองดูให้ดีว่ามันคืออะไร ไอ้ความก้าวหน้า หรือความเจริญ หรือสติปัญญานี้ มันคืออะไร ถ้าปล่อยไปตามเรื่องของมนุษย์ปุถุชน นะมันคืออะไร ความเจริญ คือ คิดเก่ง ในทางที่จะเป็นทาสของอารมณ์ของกิเลสตัณหา นั้นคือ ความเจริญทางจิตใจ แล้วก็ความเจริญ คือ ผลิตวัตถุออกมา ให้ตนเองหลงใหลมากขึ้น นี่คือ ความเจริญทางวัตถุ เจริญทางวัตถุ ก็เพื่อ ผลิตวัตถุออกมา หลอกตนเองให้หลงใหลมากขึ้น เจริญทางจิตใจ ก็คือ ทำให้คิดเก่งในทางที่จะ บริโภค อ่า, กามารมณ์ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เก่งขึ้น นี่เป็นหัวข้อที่จะต้อง ต้องเอาไปคิด
ทีนี้ไอ้ ไอ้ไอ้หลักฐานหรือสิ่งเป็นพยานก็ ก็ดูเอาเอง เขามีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ทุกแขนง ทางเกษตรศาสตร์ ทางเศรษฐกิจ ทางอะไรก็ตาม มันเพื่อผล คือ วัตถุ และเขามีไอ้ความคิดไปในทาง วัตถุนิยมว่า วัตถุเพียงพอแล้วก็หมดปัญหา ถ้ามีวัตถุใช้เพียงพอ กิน กิน อยู่ ใช้สอยกันทุกคนแล้วมันก็ หมดปัญหา จึงระดมทุ่มเททั้งหมด ไปในทางสร้างวัตถุ และพร้อมกันนั้นก็ยิ่งหลงใหล ในทางจิต คือ ทางกามารมณ์นี้ มากขึ้นไปด้วย มันก็สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ มนุษย์ในโลกเวลานี้ปัจจุบันนี้ มันก็มีเพียงเท่านี้
ทีนี้คำว่าไอ้ ธรรมะหรือว่าคำว่า ความสงบ สะอาด สว่างนี้ มันไม่ ไม่ประสีประสา เข้าไม่จุ ไม่มีพื้นที่ให้เข้ามา ฉะนั้นอย่าลืมว่าเราอยู่หัวข้อว่า ปัญหาตั้งต้นเมื่อมีความเจริญ นี่เป็นหัวข้อที่จะลืมไม่ได้ ปัญหา คือ ความทุกข์หรือกิเลสนี่ มันตั้งต้นเมื่อมีความเจริญ นับตั้งแต่เริ่มรู้จักดี รู้จักชั่วในทางไอ้ ยึดมั่นถือมั่น เป็นตัวกูของกู นี่คือ จุดตั้งต้นของปัญหา จะว่าโดยทั้งหมด มนุษย์ทั้งสายก็เหมือนกับที่พูดมา ว่า ยุคที่มนุษย์เริ่มรู้จักความดี ความชั่ว สมมุติเรียกว่า รู้จักกินผลไม้ต้นนั้นเข้าไป นี่ว่าเฉพาะคน คน ๆ หนึ่ง ชาติหนึ่ง เมื่อเกิดมาในท้อง มันยังไม่รู้เรื่องดี เรื่องชั่ว พอมันโตขึ้นหน่อยมันรู้เรื่องดี เรื่องชั่ว มันก็เริ่มมี ปัญหา เริ่มมีความทุกข์ เริ่มมีปัญหาเมื่อรู้จักดี รู้จักชั่ว เมื่อเด็ก เด็กทารกยังไม่รู้จักดี รู้จักชั่วปัญหาก็ยังไม่มี
เพราะฉะนั้นปัญหามันตั้งต้นเมื่อรู้จักดี รู้จักชั่ว พอรู้จักดี รู้จักชั่ว มันไม่ได้ตั้งต้นเพื่อจะศึกษา เพื่อระงับเสีย ซึ่งความยึดมั่นถือมั่น เรื่องดีชั่ว มันยิ่งไปยึดมั่นถือมั่น เรื่องดีชั่ว เธอคิดดูเถอะ พอเรารู้จักดี รู้จักชั่วนี่ จะยิ่งยึดมั่นถือมั่น เรื่องดี เรื่องชั่ว ไม่ใช่มีความรู้เรื่องดี เรื่องชั่ว เพื่อจะไม่ยึดมั่นหรือเพื่อจะเฉยได้ มันไม่เป็นอย่างนั้น คำว่า รู้จักดี รู้จักชั่วนี่คือ ไปรู้จักเพื่อยึดมั่นถือมั่น ที่ว่ามนุษย์กินผลไม้ต้นนั้นเข้าไป รู้จักดี รู้จักชั่ว มันมีความหมายอย่างนั้น ถ้าฟังไม่ดีมันเข้าใจผิดได้ ถ้ารู้จักดี รู้จักชั่ว และก็รู้จักกำจัด ความชั่ว มีแต่ความดี มันจะหมดปัญหาไป แต่ทีนี้มันไม่ใช่อย่างนั้น มันรู้จักดี รู้จักชั่วเพื่อยึดมั่นถือมั่น เพื่อความหนักอก หนักใจ เพื่อความหลงใหลในความดี คำว่า ดี
ทีนี้ไอ้ความที่มันเป็นทาสของอารมณ์ของวัตถุนี่ มันก็คิดว่าได้นั่นแหละดี ได้กิน ได้กาม ได้เกียรติ์ นั่นแหละดี คำว่า ได้มันหมายถึง ได้ในสิ่งที่กิเลสมันอยาก ในเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรต์ิ มันยิ่งได้ มันก็ยิ่งดี ทีนี้มันก็ ระดมทุ่มเททั้งหมดเพื่อเพื่อได้สิ่งเหล่านี้ ทีนี้เมื่อไม่ได้ มันก็เป็นทุกข์ ทีนี้มันไม่ยอม ทนทุกข์ มันก็แย่งชิง มันก็เบียดเบียน มันก็ประพฤติทุจริต เหมือนกับที่กำลังทำกันอยู่เดี๋ยวนี้ ในโลกนี้ รบกันไม่มีที่สิ้นสุด มันถือได้เป็นดี เพราะฉะนั้นก็แปลว่า ไอ้ที่ว่ารู้จักดี รู้จักชั่วนั้นมันไม่ได้รู้ถูก ถ้ารู้จักดี รู้จักชั่วอย่าง พระพุทธเจ้ารู้ก็คือว่า ไอ้ดี ไอ้ชั่วทั้ง ๒ อย่างนี้ ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ เราจะกดไว้ไม่ให้หือขึ้นมา ทั้งดีและทั้งชั่ว ให้จิตใจเป็นอิสระอยู่เหนือ เหนือดีเหนือชั่ว คือ ไม่ต้องมีความทุกข์ เพราะดีและชั่วนั่นเอง อย่างนี้สิถึงจะเรียกว่า รู้จักดี รู้จักชั่ว อย่างถูกต้องและสมบูรณ์
ทีนี้คำว่า รู้จักดี รู้จักชั่วของชาวบ้านชาวเมืองไม่ใช่อย่างนั้น ดีตามที่กิเลสต้องการ คือ ได้ ไอ้ชั่ว คือ ไม่ได้ มันก็จะมีปัญหาอย่างเดี๋ยวนี้ปัญหาอย่างโง่เขลาที่สุด ที่ว่าทำไมทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วไม่ได้ชั่ว คนทำชั่ว กลับรวย คนทำดีกลับจนนี่มัน คือ ปัญหาที่โง่ที่สุด เพราะมันไปเอาดีที่ได้ มันไปเอาดีที่ได้เงิน ได้ทอง ได้กิน ได้กาม ได้เกียรต์ิ มันไปเอาดีที่นั่น ซึ่งมันไม่ใช่ดีจริง ถ้ามันเอาดีจริง ๆ อย่างพระพุทธเจ้า ว่าก็ไม่มีปัญหา ใครทำดีก็ดีจริง ใครทำชั่วก็ชั่วจริง อยู่แล้วตั้งแต่เมื่อทำ เมื่อเราถือว่านี่ดีนี่ชั่วพอไปทำ อย่างดีเข้าก็ต้องถูก บัญญัติว่า ทำดีได้ดีมันก็ได้ได้ทำแล้ว มันก็ได้ดีแล้ว
ทีนี้มันไปเอาดีเรื่องได้เงิน ได้ทอง ได้เกียรต์ิ ได้อะไรต่าง ๆ มันจึงมีปัญหาที่โง่เขลาขึ้นมาว่า ทำดี ทำไมจึงไม่ได้ดี ทำชั่วทำไมจึงไม่ถูกลงโทษ หรือเป็นทุกข์ เพราะมันตีความหมายของคำว่า ดีและชั่วผิด คือ ตีไปตามภาษาชาวบ้าน อ่า, ปุถุชน แล้วเรายังพูดได้ ว่าทุกข์หรือปัญหา มันเกิดขึ้นเมื่อมนุษย์เริ่มมีความรู้จัก ดี รู้จักชั่วอย่างเบื้องต้นอย่างโง่เขลาที่สุด คือ สูงขึ้นมากว่าสัตว์เดรัจฉานขั้นหนึ่ง สัตว์เดรัจฉานไม่รู้จักดี ไม่รู้จักชั่ว ไม่มีเรื่องดี เรื่องชั่ว มันก็ไม่มีทุกข์ เพราะเหตุนี้ มันก็ยังดีกว่าคน เพราะฉะนั้นจึงไม่ถูกสาป ให้มีบาป ตลอดกาลเหมือนคน พอคนเริ่มแยกตัวออกจากสัตว์เดรัจฉานก็คือ รู้จักดี รู้จักชั่วในอันดับโง่ คือ สำหรับจะยึดมั่นถือมั่น มันก็มีความทุกข์
เพราะฉะนั้นในคัมภีร์ไบเบิล เขาเขียนไว้ถูกที่สุดแล้ว ว่ มันเริ่มมีบาปเดิมมีบาปตั้งต้น เริ่มมี เริ่มเริ่มตาย เริ่มตาย เริ่มแห่งการตาย ก็หมายความว่า เริ่มมีสติปัญญา อย่างมนุษย์นะคือ เริ่มตาย น่าขำไหม เริ่มมีสติปัญญาอย่างปุถุชน อย่างมนุษย์ปุถุชนนี้คือ เริ่มตาย แล้วเริ่มมีบาป เริ่มจมอยู่ในบาปตลอดกาล สืบต่อถึงลูกหลาน เพราะสอนมาอย่างเดียวกันหมด พอลูกหลานออกมาก็สอนอย่างเดียวกันหมด ลูกหลานออกมาก็สอนอย่างเดียวกันหมด ฉะนั้นมันจึงมีความทุกข์ เหมือนกันหมด กี่ร้อยชั่วคนมาแล้ว ตั้งแต่เริ่มรู้จักดี รู้จักชั่ว เดี๋ยวนี้ก็ไม่เปลี่ยนแปลงอะไร ยังมีความทุกข์อยู่ ทีนี้การที่มาบวช มาเรียน มาศึกษา ธรรมะ นี่มันก็เพื่อจะอยู่เหนือเหนือสิ่งเหล่านี้ คือ มันรู้ดี รู้ชั่ว อย่างถูกต้อง สำหรับจะอยู่เหนือดี เหนือชั่ว ไม่ให้มันเกิดเป็นปัญหา ขึ้นต่อไป
ดังนั้นเราจึงไม่ถืออย่างที่เขาถือ ว่าได้นั้นแหละดี เพราะฉะนั้นเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ์ เลยกลายเป็นเรื่องสกปรก สำหรับพระอริยเจ้า เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ์ เป็นที่เทิดทูลบูชาของปุถุชน ปุถุชนจะเทิดทูลบูชายิ่งกว่า อะไรเสียอีกนี่ จะบูชาเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ์นี่ แม้ที่อ้างตัวเป็นอุบาสก เป็นอุบาสิกา เป็นพระ เป็นเณร บางคนนั้นนะ มันก็บูชาเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ์ ยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า มันจึงทิ้งพระพุทธเจ้า ทิ้งพระธรรม ทิ้งพระสงฆ์ ดื้อดึง ไปเอาเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรต์ิ ต่อหน้า พระพุทธเจ้า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่ก็เพราะว่ามัน มั ไม่รู้ว่าดีคืออะไร ชั่วคืออะไร จะอยู่เหนือ อย่างไร จะชนะได้อย่างไร มันรุกเข้ามาถึงขนาดนี้
ยิ่งมนุษย์ทั่วไปไม่ต้องพูดถึง แม้พุทธบริษัทบางคนก็ยอมสลัดทิ้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพื่อเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ์ ในบางโอกาส ในบางอย่าง ในบางคราว นี่แปลว่ามัน เป็น อวิชชา เป็นโมหะอะไรถึงที่สุด แต่แล้วเขาก็ไม่วายที่จะเรียกมันว่าความเจริญ คือ ความเจริญ เขาเรียกการได้กิน ได้กาม ได้เกียรต์ ตามที่เขาต้องการ ตามที่เขานิยมกันนั้นว่าความเจริญ ว่าความก้าวหน้าว่าความเจริญ ทุกคนกำลังบูชาความเจริญ แต่ที่แท้นั้นนะคือ สิ่งตรงกันข้ามกับความเจริญ คือ ความเสื่อมอย่างลึกซั่ง
อ่า, ลึกซึ้งในทางจิตทางวิญญาณ ความเสื่อมเสียอย่างถึงที่สุด ในทางจิตทางวิญญาณ เขาเรียกมันว่า ความเจริญ
ดังนั้นก็อย่าลืมว่า ไอ้ไอ้ไอ้ความ ไอ้ปัญหามันตั้งต้นเมื่อมนุษย์เริ่มมีความเจริญ ปัญหาบาปอกุศล ลามก กิเลส ความทุกข์นี่เรียกว่า ปัญหา ปัญหานี่ตั้งต้นเมื่อมนุษย์เริ่มมีความเจริญ คุณก็เห็นได้ว่าเรื่องนี้ ก็เคยพูด มาไม่มาหลายครั้งแล้ว แต่กลัวว่ามันจะ เลือน จะฟั่นเฟือจะไม่นั้น จึงพูดซ้ำ พูดซ้ำ พูดซ้ำอยู่เรื่อย เพราะถ้าเข้าใจข้อนี้ดีแล้ว มันรับประกันได้ รับประกันได้ว่าจะไม่หลงทาง แล้วก็อย่าไปบูชาความเจริญ อย่างที่โลกสมัยนี้เขาเรียกกันว่า ความเจริญ มันเรื่องความรับบาปเก่าและสร้างบาปใหม่ เพิ่มขึ้น ๆ ให้มนุษย์มีปัญหา และมีความทุกข์ยิ่งขึ้นกว่าเก่า นี่ทั้งโลกกำลังเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นคำว่า โลกุตระหรืออยู่เหนือโลก เหนืออะไรนั้นมัน คือ มันเหนือความเป็นอย่างนี้ อย่าไปมุดหัวลงไปใต้ นั้นเหมือนกับเขา เรียกว่า เป็นโลกุตระได้ คือ อยู่เหนือความหลง หลงใหล ในความเจริญทางวัตถุ และความเจริญทางจิตใจอย่างโง่เขลานี่ ความเจริญทางจิตใจอย่างของมนุษย์สมัยนี้ มันเป็นทาสของวัตถุ เพราะฉะนั้นความเจริญทางจิตใจของมนุษย์สมัยนี้จึงเป็นความโง่เขลา เพราะมันอยู่ ใต้อำนาจความเจริญทางวัตถุ
ถ้าพูดอีกทีหนึ่งก็ไม่มีความเจริญทางจิตใจ แต่เดี๋ยวนี้เขา ถือว่านี่คือ ความเจริญของมนุษย์สมัยนี้ ทั้งทางวัตถุและทั้งทางจิตใจ เป็นวัฒนธรรมอย่างสูงแลกเปลี่ยนกัน ระหว่างชาตินั้นชาตินี้ แลกเปลี่ยนกัน แลกเปลี่ยนกัน ยิ่งแลกเปลี่ยนกันก็ยิ่งความ มีความเจริญทางวัตถุ ทุกคนก็ยิ่งเป็นทาสของวัตถุ และทั้งโลก ก็มีแต่ปัญหา คือ ความทุกข์ เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ข้องแวะกับความเจริญ ในของมนุษย์ชนิดนี้ ทั้งทางวัตถุ และทั้งทางจิตใจ และต้องเพ่งหาความเจริญที่ถูกต้อง ของพระพุทธเจ้า ดังนั้นต้องแยกความเจริญ ของพระพุทธเจ้าออกไป ว่ามันยังไม่มา และมีแล้วไม่เกิดปัญหา
เพราะฉะนั้นถ้าผมพูดว่า ปัญหา เกิดเมื่อความเจริญตั้งต้นนี่ มันก็ย่อมเป็นการยืนยันอยู่ด้วยว่า เจริญทาง เออ, ทางวัตถุนั้นเอง เพราะว่าถ้าเจริญ อย่างแบบของพระพุทธเจ้า มันไม่มีปัญหา แล้วจะเอา คำพูดไหนมาพูดว่า ปัญหาตั้งต้น มันไม่มีปัญหา มันจึงไม่มีปัญหาที่จะตั้งต้น นี่มันเป็นความเจริญทาง ธรรมะ มันไม่มี ไม่มีปัญหาที่จะตั้งต้น ดังนั้นปัญหาจึงไม่อาจตั้งต้น เพราะความเจริญทางจิตใจ ตามแบบ ของพระพุทธเจ้า ปัญหามันตั้งต้น เมื่อมีความเจริญตามแบบของคนโง่ คือ คนปุถุชน ที่ถือเอาได้เป็นดีนี่ เอาเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ์ เป็นเรื่องดี
เพราะฉะนั้นโดย Logic มันก็กำกับกันอยู่ในตัว เพราะมันมี คำว่า ปัญหา ฉะนั้นต้องมีปัญหา แล้วปัญหามันตั้งต้นเมื่อมีความเจริญ อย่างวัตถุของคนคนธรรมดาสามัญ สำหรับทางฝ่ายโลกุตระ ฝ่ายพระพุทธเจ้านั้นปัญหาไม่มี เพราะฉะนั้นจึงไม่ไม่พูดได้ว่า ปัญหาตั้งต้น แต่ทีนี้เราก็ ก็มีหลักอยู่แล้ว ว่าคำแต่ละคำ มีความหมายเป็นภาษาคน เป็นภาษาธรรม แล้วก็พูดได้ ชัดเลยว่าไอ้ ปัญหามันตั้งต้นเมื่อ มีความเจริญ วงเล็บว่าภาษาคน ในภาษาคน ตามคนพูด ชาวบ้านพูด คนพูด ปัญหา คือคือ สิ่งไม่พึง ปรารถนาทุกอย่างตั้งต้นเมื่อมนุษย์มีความเจริญ ตามความหมายของมนุษย์ที่ไม่รู้อะไร ทำให้หลงความดี ความชั่ว
เพราะฉะนั้นวันหนึ่งไม่ต้องเข้าใจอะไรมาก เข้าใจเพียงประเด็น เดียวว่า ปัญหามันตั้งต้น เมื่อมนุษย์มีเริ่มมีความเจริญ หรือจะพูดให้กินความกว้างไปว่า ถ้ามนุษย์มันรู้จัก รู้จักดีมากจนถึงอยากจะ ควบคุมความดีความชั่ว ก็เรียกว่า ปัญหามันตั้งต้นเหมือนกัน ปัญหานี่มันวิเศษ มันตั้งต้นเพื่อจะทำลาย ความยึดมั่นถือมั่นในความดีความชั่ว อย่างนี้มันเป็นปัญหาที่จะไปสู่โลกุตระ มันไม่ใช่ปัญหาที่จะทำลาย โลก ไอ้ปัญหาที่มันจะทำลายโลกให้วินาศไปนี่คือมัน ปัญหาที่ตั้งต้นด้วยความเจริญทางวัตถุ แล้วหลงใหล ทางวัตถุ หลงใหลทางวัตถุ แล้วโง่ถึงขนาดที่ว่าปัญหาต่าง ๆ จะแก้ได้ด้วยวัตถุ หรือความเจริญทางวัตถุ มันก็เลยระดมกันใหญ่ ในเรื่องทางวัตถุ มันก็ยิ่งลำบาก ยิ่งมีปัญหามาก
สมมุติว่า แก้ปัญหาเรื่อง คนตายได้ คนไม่ตายนี้ คนมันก็มากขึ้น ยิ่งมากขึ้นเท่าไหร่มันยิ่งก็ไม่พอ มันก็ยิ่ง จะต้องเบียดเบียนกัน ทุจริตแย่งชิงกันมาก เพราะว่าเมื่อมีคนมากมันปกครองไม่ทัน ควบคุมไม่ทัน คนเลวก็มันเกิดขึ้น เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าตรัสว่า เมื่อก่อนนี้อุปัทวะไม่มี พอคณะสงฆ์นี้ตั้งมั่นมาเป็น เวลานาน เจริญด้วย เออ, บริษัทนี่อุปัทวะก็มี อุปัทวะ คือ สิ่งอุบาทว์คำเดียวกับคำว่า อุบาทว์ อุปัทวะก็ไปดู กันก็แล้วกัน สิ่งอุบาทว์นี้ยังไม่มีในธรรมวินัยนี้ เพราะฉะนั้นคณะสงฆ์ตั้งมานาน มีไอ้จำนวนภิกษุมาก มีไอ้อะไรมาก อุปัทวะจึงมี นี่หมายความว่า เพราะคนมากแท้ ๆ เพราะคนมาก ควบคุมกันไม่อยู่อย่างหนึ่ง เพราะคนมาก โดยว่าคนไม่ดีก็จับพลัดจับผลูเข้ามา
ทีนี้ถ้าเราจะเอาแต่เพียงว่า แก้ไขไอ้การเจ็บไข้การหยูกยาพยาบาลให้ดี คนไม่รู้จักตาย นี้คนมันก็ มาก มันก็ต้องมีคนชั่วบ้าง และก็ต้องมีการปกครองที่ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นไอ้เรื่องคนมากนั้นก็ยิ่งเป็นภัย ทำให้โลกนี้มันยิ่งเป็น เออ, นรกมากขึ้นไปอีก แล้วมันก็จะมีการขาดแคลนเร็วเข้า อาหารไม่พอกินหรือ อะไรอย่างนี้ มันจะมีเร็วเข้า แล้วเมื่อการควบคุมไม่พอ ศีลธรรมมันเสื่อม มันก็ล้างผลาญกันเอง ความเห็นแก่ตัวมันทวีขึ้นเร็วกว่า ที่จะมีคนน้อย ๆ เพราะมันไม่พอ
เพราะฉะนั้นไอ้เรื่องความเจริญทางวัตถุ นั้นมันมันมีแต่เรื่องภัย เป็นภัยเป็นอันตรายทั้งนั้นนะ ไอ้คุมกำเนิดนี่ก็เหมือนกันนะ มันเป็นเป็นเรื่อง ถ้าเป็นทางวัตถุแล้วมันก็อันตราย ทำให้เสื่อมเสียศีลธรรม การรู้จักคุมกำเนิดทางวัตถุกันมาก ๆ นี่ ทำให้ศีลธรรมเสียหายหมด มีความชั่วซึ่งซึ่งปกปิดไว้มากมายที่สุด
ถ้าควบคุมกำเนิดกันทางจิตใจ คือ บังคับจิตใจ ไม่กระทำ ไม่ล่วงละเมิด บังคับ มีศีล มีสมาธิอย่างนี้ มันก็ไม่ เป็นอันตราย การคุมกำเนิดนั้นก็ดี เพราะฉะนั้นเราพูดได้ว่า ถ้าเรื่องทางวัตถุแล้ว มันอันตรายทั้งนั้นแหละ มันพร้อมที่จะอันตรายอยู่เสมอ ถ้าเผลอนิดเดียว มันก็อันตรายโครมเข้าไปเลย เพราะมันพร้อมที่จะ อันตรายอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นอย่าไปหลงไอ้ความเจริญทางวัตถุ ซึ่งเป็นต้นเหตุของปัญหา เป็นจุดตั้งต้น ของความทุกข์ ของกิเลส โลก ๆ ของโลก ซึ่งเต็มไปด้วยความทุกข์
นี่พูดมาตั้งชั่วโมง มันก็เป็น ใจความสั้น ๆ นิดเดียว ว่าปัญหาตั้งต้นเมื่อ มีความเจริญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ มนุษย์ รู้จักคิดรู้จักนึกด้วยสติปัญญา ขยายการสืบพันธุ์ตามธรรมชาติ ตามสัญชาตญาณ ออกไปเป็นกามารมณ์ของกิเลส ตัณหา ได้ตลอดวัน ตลอดคืน ตลอดเดือน ตลอดปี ผิดกับสัตว์เดรัจฉานตรงนี้ เพราะฉะนั้นอย่าไปบูชาไอ้สติปัญญาชนิดนี้ เป็นสติปัญญาชนิดที่ไม่ไม่ช่วย ให้พบธรรมะ สติปัญญาชนิดนี้ ไม่ช่วยให้พบธรรมะ สติปัญญาที่เป็นทาสของวัตถุ เหมือนกับภาพภาพที่ ชี้ให้ดูบ่อย ๆ พยายามจะรู้ธรรมะด้วยสติปัญญานั้นมันเหมือนกับ พยายามจะจับปลาดุกด้วยลูกน้ำเต้า เดินผ่านประตูนั้นทีไร ก็ให้คิดนึกถึงข้อนี้ เพราะสติปัญญาที่ทำให้คุณทะเยอทะยาน จะดีจะเด่นอยู่อยู่ อยู่ในทุกวันนี้นั้นแหละ คือ สติปัญญาชนิดนั้นแหละ มันจะทำอันตราย แม้จะอยากดีอยากเด่น จะเป็น อาจารย์ จะเป็นผู้มีเกียรต์ิ เป็นอะไรก็ตาม มันเป็นสติปัญญาชนิดที่ว่า ไม่มีวันจะพบกันกับธรรมะ
มันจะต้องเป็นสติปัญญาที่ ชนะวัตถุ อยู่เหนือวัตถุ ไม่เป็นทาสของวัตถุ มันจึงจะพาไปสู่ธรรมะ แล้วก็จับปลาดุกได้ง่าย ๆ ด้วยเครื่องมือที่มีไว้สำหรับจับปลาดุกโดยเฉพาะ
เอาละมันพอกันทีนะ สำหรับคำอธิบายคำเพียงคำเดียวว่า ความ ความทุกข์ของสัตว์ มันตั้งต้นเมื่อ มันมี มันมี เริ่มมีความเจริญทั้งทางวัตถุ และทั้งทางสติปัญญาที่เป็นทาสของวัตถุ นี่ถ้าจะพูดเป็นคำบัญญัติ รัดกุมตายตัวก็ต้องพูดอย่างนี้ ความทุกข์ของมนุษย์ในโลก มันเริ่มขึ้นเมื่อมนุษย์เริ่มมีสติปัญญา ชนิดที่เป็น ทาสของวัตถุ เรื่องดี เรื่องชั่ว ได้แล้วเป็นดี ไม่ได้ คือ ไม่ดี
หัวข้อเพียงข้อเดียว อ่า, สำหรับไปคิด ว่าการ อ่า, ความ ปัญหาตั้งต้น เมื่อมี เมื่อมีความเจริญนี่ เอาไปคิด เป็นอารมณ์ของปัญญา ของวิปัสสนา เพื่อไปเพ่งหาความจริงของสิ่งนี้ ได้อีกนาน ได้ทุกวัน ๆ ปะเหมาะเข้าวันไหน ดินฟ้าอากาศดี จิตใจโปร่งสบายดี มันก็เห็นลึกซึ้งได้เพียงพอ จนทำให้หยุดได้ ให้ไม่ ลุ่มหลงนัก เพราะฉะนั้นที่สอนกันอยู่ ตักเตือนกันอยู่ว่า อย่าทำเพื่อจะได้รับความขอบใจ อย่าทำเพื่อจะให้ เขาสรรเสริญเยินยอ อย่าทำเพื่อให้ได้เรียกว่า ดี อะไรทำนองนี้ นั่นก็คืออย่างนี้ เพราะฉะนั้นมีชีวิตอยู่ ด้วยการงาน ชนิดที่ไม่เพื่อตัวกู ไม่เพื่อของกู มันก็เป็นการพอกพูนปัญญาที่ถูกต้อง เพราะอันนั้นมันเป็น ตัวปัญญาที่ถูกต้องอยู่แล้ว มันก็มีแต่พอกพูนให้แน่นแฟ้นขึ้น ให้มากขึ้นและให้แน่นแฟ้นขึ้น เป็นอยู่เหมือนตายแล้วอย่างนี้ เป็นคำพูดที่ถูกที่สุด ถ้าถ้าฟังถูก เป็นคำพูดที่ถูกที่สุด เพราะฉะนั้นไอ้ อุดมคติยังคงใช้ได้ตลอดไป กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู เป็นอยู่เหมือนกับตายแล้ว คือ ไม่ไม่มีอะไร เพื่อตัวกูและของกูเลย เอาละพอกันที หมด