แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันที่ ๓๐ กันยายน เป็นวันอันดับที่ ๖ แห่งระยะการเข้าพรรษา พุทธศักราช ๒๕๑๒ ในวันนี้จะได้กล่าวถึงสิ่งที่เรียกว่าธรรมประยุกต์ต่อ ในครั้งที่แล้วมาได้พูดถึงธรรมประยุกต์ในแง่ที่ว่าจะต้องทำให้มีธรรมะอยู่ที่เนื้อที่ตัว โดยได้สังเกตจากหัวข้อที่ว่ามีความรู้เข้าขั้น มีการปฏิบัติเข้าขั้น มีภูมิของจิตเข้าขั้น ซึ่งแสดงถึงการที่มี (นาทีที่ 1.58) อยู่ที่เนื้อที่ตัว ความรู้เข้าขั้นไม่ใช่ให้รู้พระไตรปิฎก แต่รู้พอที่จะ เพียงแต่รู้พอที่จะกำจัดความยึดมั่นถือมั่น ปฏิบัติเข้าขั้น ไม่ใช่ปฏิบัติหมดทุกระบอบ ทุกกลุ่มของกรรมฐาน วิปัสสนา แต่ว่าปฏิบัติอยู่ในลักษณะที่ความยึดมั่นถือมั่นมันไม่อาจจะเกิดได้ ภูมิของจิตเข้าขั้นนั้นก็หมายถึง จิตอยู่ในสภาพที่ความยึดมั่นถือมั่นเกิดยากที่สุดจนกระทั่งถึงไม่เกิด ต้องทำได้อย่างนี้จึงจะเรียกว่ามีธรรมะอยู่ที่เนื้อที่ตัว แล้วเราก็เรียกว่าธรรมประยุกต์ คือการประกอบธรรมะเข้าที่เนื้อที่ตัว
ทีนี้ในวันนี้จะได้พูดถึงธรรมประยุกต์ในลักษณะที่จะต้องประกอบธรรมะให้ถูกฝาถูกตัว ไอ้เรื่องถูกฝาถูกตัวนี่เป็นเรื่องสำคัญ คือเป็นปัญหาทั่ว ๆ ไปที่มีอยู่ในเวลานี้ แต่คนทั่วไปที่ตั้งใจจะปฏิบัติธรรมในศาสนาของตน ๆ แต่แล้วมันไม่มีการประยุกต์ หรือประยุกต์แล้วไม่ถูกฝาถูกตัว ก็เข้าใจผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือคำพูด ก็ประยุกต์ผิดแล้ว จึงไม่เข้าใจถ้อยคำเหล่านั้นอย่างถูกต้อง นี่ก็เลยถือเอาความหมายผิด มันก็เลยผิดยิ่งกว่าที่จะไม่ถูกฝาถูกตัว มันกลายเป็นถึงกับว่าไม่มีฝาไม่มีตัวด้วยซ้ำไป นี่ก็เลยไม่ต้องทำอะไรกัน ธรรมะในฐานะที่เป็นเครื่องมือก็เลยเป็นหมันหมด ไม่เคยพบกันกับธรรมะเหล่านี้ หรือใช้ธรรมะเหล่านี้
สำหรับคำพูดที่ว่าถือเอาความหมายผิด หรือประยุกต์คำพูดนั้นผิดความหมาย ตัวอย่างเช่นคำว่า มารกับพระ หรือพระกับมารก็ตามใจ แล้วแต่จะพูด พุทธบริษัทนี่แหละเอามารไปไว้ที่ตัวยักษ์ตัวมาร เป็นสัตว์ดุร้าย รูปร่างน่ากลัวเหมือนกับที่เราพูด ๆ กันอยู่ แล้วก็เอาพระไปไว้ที่พระพุทธเจ้าในลักษณะที่เป็นบุคคล คือบุคคลที่มีรูปร่างงดงามอย่างนั้น ประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ อย่างนั้นอยู่ในเมื่อ ๒,๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว เดี๋ยวนี้ท่านก็นิพพาน เข้านิพพาน ไปอยู่เมืองนิพพานแล้ว พุทธบริษัทก็เอาคำว่าพระในความหมายอย่างนี้ เอามาในความหมายอย่างนี้ อย่างนี้มันเรียกว่าเป็นเด็กอมมือ หมายความว่าถูกก็ถูกอย่างเด็กอมมือ อยู่ในขั้นเบื้องต้นมากเกินไป ไม่เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าท่านต้องการหรือท่านเล็งถึง อย่างในบทว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม แม้จะมากอดแข้งกอดขาเราอยู่ แต่ถ้าไม่เห็นธรรมก็ไม่ชื่อว่าเห็นเรา
คำว่า พระ นั้นมันหมายถึงอะไร ลองคิดดู ธรรมะเป็นสิ่งที่ไม่ใช่บุคคล เพราะว่าไม่รู้จักตาย ไม่รู้จักพระนิพพาน ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงไม่รู้จักพระนิพพาน ยังมีอยู่ตลอดกาล ที่มันกับสิ่งที่เรียกว่าโลกหรือทั้งหมด ถ้ายังมีสิ่งที่มีชีวิตคิดนึกได้คือคนอยู่แล้ว ธรรมะก็ยังมีอยู่เรื่อย ปรากฎอยู่เรื่อย แต่ถ้าคนหมดไป โลกหมดไป ธรรมะก็อยู่ในฐานะที่ไม่ปรากฎ ก็เพราะไม่รู้จักตาย ไม่รู้จักพระนิพพาน ต้องรู้จักพระในลักษณะอย่างนี้จึงจะเรียกว่า ธรรมประยุกต์ แม้ในขั้นตั้งต้นที่เกี่ยวกับคำพูด
ทีนี้เรามาถึงคำว่ามาร มารมีรูปที่เขียนบนฝาผนังโบสถ์ นั่นมารของเด็ก ๆ พระพุทธเจ้ากล่าวถึงมารในพุทธภาษิตอยู่มาก มากครั้งมากแห่ง ไปอ่านดูในพุทธประวัติ แต่ความหมายมันก็อย่างเดียวกันอีกนั่นแหละ คือมันไม่ใช่ตัวคน จะเป็นกายเนื้อหรือกายทิพย์หรือกายอะไรก็ตามมันไม่ใช่ตัวคนอย่างนั้น แต่มันเป็นธรรมะ กายตรงกันข้ามกับไอ้ที่เรียกว่าพระ เมื่อตะกี้ธรรมะ เห็นแล้วก็เป็นเห็นตถาคต ทีนี้ธรรมะที่ตรงกันข้ามนั่นแหละมันคือมาร ครูบาอาจารย์ของเรา รวมทั้งบูรพาจารย์ จำแนกมารไว้เป็น ๕ ปัญจมาร มีคำสวดกับคำกลอน มีกิเลสมาร ขันธมาร มัจจุมาร เทวปุตมาร อภิสังขารมาร เป็น ๕ มาร การแจกมารเป็น ๕ อย่างนี้ยังไม่เคยพบในพุทธภาษิต แต่ก็เป็นที่เชื่อถือได้ หรืออาจจะมีในพุทธภาษิตที่คนยังไม่เคยพบ ข้อนี้จะไม่วินิจฉัย จะวินิจฉัยตัวมารทั้ง ๕ นั่นดีกว่า ถ้าเราไม่รู้จักตัวมารทั้ง ๕ ที่ถูกต้องอย่างเดียวกับพระในลักษณะที่เรียกว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคตแล้ว เราไม่อาจจะกำจัดมาร และไม่อาจจะเอาธรรมประยุกต์เพื่อทำลายมารได้ ธรรมประยุกต์นี่ต้องถูกฝาถูกตัว อย่าลืมว่าต้องถูกฝาถูกตัว ต้องมีฝ่ายที่จะกำจัดมารและก็ต้องมีมารจริง ๆ แล้วก็เล่นงานมารนั่นเข้าไป เมื่อเราฉีดดีดีทีเข้าไปที่มดแมลง มันต้องจริง เป็นเรื่องจริง ต้องถูกฝาถูกตัวอย่างนั้นมันถึงจะมีประโยชน์ เมื่อมีปลวกมีมดมีแมลงก็ฉีดยาปราบแมลงไปที่ตัวแมลง มันก็ถูกเรื่องถูกฝาถูกตัว นี่เพราะเราเห็นหรือรู้จักอยู่ เห็นอยู่คือตัวแมลง เราก็ใส่ยาปราบแมลงนั่นลงไปที่ตัวแมลง นี่เรียกว่าถูกฝาถูกตัว เมื่อเราเอาสิ่งที่เรียกว่ามาร ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน เผลอ ๆ ไอ้สิ่งที่เรียกว่าพระก็ไม่รู้อยู่ที่ไหนที่เป็นตัวจริง มันเป็นแต่ในความฝัน ในความคาดคะเน ในความว่าเอาเอง จะปราบก็เลยไม่มีการกระทำที่ถูกฝาถูกตัว ต้องเอามารมาให้ได้เสียก่อน เราจึงเอาธรรมะประยุกต์เข้าไปที่มาร เหมือนที่เราใส่ดีดีทีลงไปที่มดแมลง ขอให้คำจำกัดความทั่วไปในเบื้องต้นว่า สิ่งที่เรียกว่ามาร มารเนี่ย มันสรุปอยู่ที่คำ ๆ เดียวคือความคิด หรือความรู้สึกที่ไม่พึงปรารถนา ไอ้ความคิดก็คือความรู้สึก ความรู้สึกก็คือความคิด หมายถึงมันเกิดขึ้นในใจ ความรู้สึกที่ไม่พึงปรารถนานั่นก็คือมาร ความรู้สึกนี่เกิดขึ้นเมื่อไหร่แล้วมันก็เดือดร้อน เพราะว่าจะนั่งก้นไม่ติดพื้นเสมอไป หรืออย่างน้อยที่สุดก็ทำให้กระวนกระวายถ้าเราพ่ายแพ้แก่มาร คือมันเกิดขึ้นมาในใจได้ ถ้าเราไม่สามารถจะหยุดมันได้
ทีนี้ทำไมต้องแจกไอ้ความรู้สึกที่ไม่พึงปรารถนาที่เรียกว่ามารนี้ออกไปทั้ง ๕ อย่าง ก็เพื่อง่ายแก่การประยุกต์นั่นเอง เช่นเรารู้จักว่ามดแมลงชนิดไหนต้องใช้ยาปราบแมลงสูตรไหนนี้ มันก็ต้องได้ดีกว่าที่ไม่รู้จักแยกหรือจำแนกออกไปอย่างนี้ นี้คือเรามีจำแนกมารมี กิเลสมาร ขันธมาร มัจจุมาร เทวปุตมาร อภิสังขารมาร อย่างน้อยก็ ๕ แขนงที่มันก่อให้เกิดความรู้สึกกระวนกระวาย ไม่พึงปรารถนา
กิเลสมารอันแรกก็คือ กิเลสโดยตรงที่เราพูดถึงกันมามากแล้ว โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฐิ ริษยา ขี้ขลาด ขี้กลัวอะไรต่าง ๆ เป็นเรื่องกิเลสโดยตรง นี่เป็นมาร นี่ไม่ต้องอธิบายอะไร มันก็ให้เกิดความรู้สึกที่ไม่พึงปรารถนาถึงแม้ทางนั้นจะร้อน เราผ่านไป
ทีนี้ก็มาถึงขันธมาร ขันธ์นี่คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ คือกายกับใจที่ประกอบกันเป็นคนคนหนึ่งนี่มันเป็นมาร ให้เกิดความรู้สึกที่รบกวน ไม่พึงปรารถนา อย่างผมนี่เดี๋ยวนี้ลำบากเรื่องขันธมารอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะเรื่องความอ่อนเพลีย เมื่อมีความอ่อนเพลียมันก็ทำอะไรไม่ได้ หรือรู้สึกไม่สบาย เพราะว่าขันธ์นี่เกิดเป็นมารเพราะมันไม่เป็นไปตามที่เราปรารถนา จะเกิดความรู้สึกที่ไม่พึงปรารถนาขึ้นมาคือความทุกข์ หรือว่าเกิดความรู้สึกทุกข์ที่เป็นกิเลสขึ้นมาอีกก็ได้ ที่มีมูลมาจากการที่ร่างกายล้วน ๆ มันเกิดเป็นอุปสรรคขึ้นมา ไม่ได้เล็งถึงกิเลสโดยตรง ทีนี้คนที่ยังเป็นหนุ่ม ๆ อยู่นี่ มันก็จะเกิดเห็นได้ว่าในบางคราวไอ้ร่างกายนี่มันเป็นมาร อย่างคนหนุ่มที่ร่างกายสมบูรณ์ก็ทำให้เกิดความรู้สึกที่เป็นกิเลส นี่เพราะว่าในตัวคนมันก็มีต่อม Gland ต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดความรู้สึกอย่างนั้นอย่างนี้ มันทำให้เกิดความรู้สึกที่เป็นกิเลสขึ้นมาอีกต่อหนึ่ง ถ้าอยากมีร่างกายชนิดนั้น มันก็จะใม่มีกิเลสได้ มีคนสัตว์บางจำพวกที่มีร่างกายชนิดนั้นก็ตั้งอธิษฐานจิตเป็นคนที่ไม่มีร่างกาย เรียกว่า อรูปพรหม อันนี้ก็สุดแท้เขา ไม่ต้องการจะมีร่างกาย เนื่องมาจากที่ว่าสังขารร่างกายนี่บางทีอยู่ในสภาพที่เป็นอุปสรรคหรือมาร โดยมันทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่พึงปรารถนาขึ้นมา ไอ้มารมันก็มาอยู่ที่ตรงนี้นั่นแหละ ความรู้สึกที่ไม่พึงปรารถนาที่มีมูลมาจากร่างกายล้วน ๆ
ทีนี้ต่อไปถึงมัจจุมาร ความตาย ถ้ามันตายลงไปก็เรียกว่ามันเป็นอุปสรรค โดยเฉพาะที่ว่าไม่มีโอกาสที่จะทำความดีหรือสิ่งที่เราปรารถนา แต่ทีนี้แม้ยังไม่ทันจะตายนี่มันก็เป็นมาร ถ้าเรากลัวตายอยู่ทุกเวลา กลัวตายที่เป็นเหตุให้ทำอะไรไม่ได้ก็มีอยู่มาก คือมันมีมูลมาจากความตาย เพียงแต่นึกขึ้นมาก็เกิดปัญหาเรื่องความตาย อย่างนั้นอย่างนี้อย่างโน้น ถ้ามันเป็นอุปสรรคก็เรียกว่าเป็นมาร ไอ้ขันธมารนี่เราไม่ได้หมายถึงตาย ยังเป็น ๆ อยู่ มันเป็นอุปสรรค ส่วนความตายนี้ รวมถึงภาวะความตายที่จะเกิดแก่ขันธ์เหล่านั้นหรือได้เกิดอยู่ก็ตาม มันเป็นมาร ทุกคนเกลียดกลัวความตาย เกลียดกลัวพญามัจจุราช มันก็เป็นปัญหารบกวนจิตใจ สร้างความรู้สึกที่ไม่พึงปรารถนาขึ้นมาจากความตาย จากสิ่งที่เรียกว่าความตาย ความตายธรรมดาก็เป็นมารอย่างนี้ ทีนี้ความตายที่มีความหมายสูงขึ้นไป ความตายทางจิต ทางวิญญาณ คือความล้มเหลว ทีนี้การกระทำที่ดีที่งามนี่มันก็เป็นมาร เรียกว่า มัจจุมาร ความตายด้วยกันทั้งนั้น
ทีนี้ก็มาถึงไอ้เทวปุตมาร เทวบุตรนี่ เราได้รับคำอธิบายกันไปในทางที่เป็นบุคลาธิษฐานเช่นเดียวกับคำว่า มาร ที่เขียนฝาผนังโบสถ์ คำว่า เทวบุตร ก็อย่างเดียวกับภาพเขียนผนังโบสถ์นี่ ที่เป็นพวกเทวดา เทวดาให้โทษ เราก็เรียกว่าเทวปุตมาร ในคนที่เชื่อเทวดา เชื่อผี เชื่อโชค เชื่อเคราะห์ เชื่อกรรม เชื่อลาง ไม่ใช่เชื่อกรรม มันก็ยกให้เทวปุตมารหมด นี่ผมว่ายังไกลนัก เอาที่มันใกล้ ๆ และที่ถูกความหมายก็คืออุปสรรคที่เกิดมาจากสังคมอันธพาล ระบุจิ๊กโก๋จิ๊กกี๋อะไรอย่างนี้ก็ได้ เพราะว่าคำว่า เทวะ มันแปลว่าผู้เล่น ผู้เล่นสนุก ผู้ไม่เอาการเอางาน ผู้มีแต่เล่นสนุก คำว่า เทวะ ที่มาจากรากศัพท์ว่า ทิวะ แปลว่า รุ่งเรืองก็ได้ แปลว่า เล่น เล่นหัวก็ได้ ไอ้รุ่งเรืองก็ไม่ใช่หมายความว่ารุ่งเรืองที่ถูกต้อง รุ่งเรืองเพราะว่ามันมีอะไรที่เรียกว่าบุญนั่นน่ะ ทำให้ไม่ต้องทำการทำงาน เล่นหัวได้ตลอดเวลา ไอ้เทวดาที่เขียนฝาผนังโบสถ์มันก็มีความหมายอย่างนั้น คือไม่ต้องทำการทำงานอะไร นอกจากเล่นหัวกันระหว่างเพศระหว่างวัยตลอดเวลา ถ้าจะเอาเทวดาในทางนี้ก็คือพวกสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี เล่นหัวตลอดเวลาโดยมีคนอื่นมาช่วยให้ความสะดวกอย่างยิ่งนี่เราเรียกว่าปรนิมมิตวสวัตตี ปรนิมมิตะ แปลว่า ผู้อื่นทำให้ ผู้อื่นเนรมิตให้ คือมีคนคอยให้ความสะดวกอย่างยิ่งขึ้นไปอีก ไอ้ตัวที่มีโอกาสเล่นหัว ถ้าคุณอ่านพุทธประวัติอย่างนิยาย คุณก็จะไปอ่านว่าพญามารนี่มาจากชั้นปรนิมมิตวสวัตตี ขี่ช้างคีรีเมขขึ้นมา เข้ามา ถ้าถอดบุคลาธิษฐานขี่ช้างคีรีเมข นั่นก็คือผู้คอยอำนวยความสะดวกให้เทวดาชั้นนี้มันเล่นหัวได้สูงสุด ทีนี้เราอย่าไปเอาตัวบุคคล เราไปเอาไอ้ตัวความหมาย คือความหมายที่หมายถึงผู้เล่นหัว ตามใจตัวเอง สนุกสนานอยู่ตลอดเวลา เป็นคนพวกหนึ่งที่เรียกว่าผู้มีบุญ ผู้เสวยบุญ ทีนี้คำว่าเทวดานี่ก็หมายความอย่างนี้ เทวดาในสวรรค์ เทวดาในมนุษย์ คือพวกพระราชา พวกกษัตริย์ พวกพระราชานี่ก็คือสมมุติ เป็นสมมุติเทวดา (นาทีที่ 29.05) รวมถึงพระอรหันต์ แต่เทวดาพระอรหันต์นี่หมายถึงไม่มีความทุกข์เท่านั้นเอง รุ่งเรืองอยู่โดยไม่มีความทุกข์ อย่างบริสุทธิ์ อย่างเทวดาในสวรรค์นั้นมันรุ่งเรืองอยู่ด้วยกามารมณ์ ไม่มีความทุกข์แต่ว่าด้วยความหลง ทีนี้เทวปุตมารคำนี้ หมายถึงไอ้เทวดาชนิดที่รุ่งเรืองอยู่ด้วยการเล่นหัวที่เป็นไปด้วยความหลง เพราะงั้นระบุด้วยจิ๊กโก๋จิ๊กกี๋ถูกต้องที่สุด ถ้าอุปสรรคอันตรายใด ๆ อันเกิดมาจากสังคมอันธพาล เราเรียกว่าเทวปุตมารทั้งนั้น ทีนี้การกระทบกระทั่งของไอ้สังคมอันธพาลนี่ทำให้เราเกิดความรู้สึกที่ไม่พึงปรารถนาขึ้นในใจของเรา ไม่ยกเว้นใครทั้งนั้น อย่าว่าแต่จะอยู่ที่บ้าน แม้อยู่ที่วัด เป็นพระเป็นเณรนี่ก็ยังถูกเบียดเบียนด้วยเทวดาพวกนี้ เรียกว่า เทวปุตมาร เทวบุตร เทวดามาเป็นมาร ให้เกิดความรู้สึกอันไม่พึงปรารถนา เกิดความทุกข์ ความกระวนกระวาย
ทีนี้อันสุดท้าย เรียกว่า อภิสังขารมาร นี่ก็คือกรรม ผลกรรม ความที่ต้องไปตามผลของผลกรรมบีบคั้น เช่น ทำไม่ดีไปติดคุกติดตารางก็เรียกว่าอันนั้นมันเป็นมารขึ้นมา นี่เป็นผลกรรม หรือว่าเราจะต้องมีกรรมพันธุ์ มีอะไรเป็นไปตามกรรมด้วยความยากลำบากนี่ก็เรียกว่าผลกรรม เป็นมาร หรือกำลังเสวยผลกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ เป็นเปรต เป็นนรก เดรัจฉาน อสูรกายอยู่ นี่ก็เรียกว่ามันเป็นมาร เปรตคือผลกรรมที่ร้อนใจ เดรัจฉานคือผลกรรมที่โง่ เอ้ย, นรกคือผลกรรมที่ร้อนใจ เดรัจฉานคือโง่ เปรตคือหิวกระหาย อสูรกายคือกลัว ในฐานะที่มันเป็นผลกรรมมันก็เรียกว่ามารได้ แต่ว่าเอาตัวกรรมเป็นมารเลยก็ได้ เพราะมันกินความกว้าง มันมีมูลมาจากกรรมมันจึงมีผลกรรม มันมีผลกรรมแล้วมันก็ทรมานเรา ถ้าเราต้องเป็นไปตามกรรมก็คือเราอยู่ในอำนาจของมารคือกรรมนี้ จะเป็นกรรมดำหรือกรรมขาวก็ตามใจ มันป้องกันไม่ให้นิพพานทั้งนั้น มันต้องเพิกถอนกรรมดำ กรรมขาว กรรมดี กรรมชั่ว กรรมอะไรจนหมดทุกกรรมจนอยู่เหนือกรรม จึงอาจจะทำได้ด้วยกรรมที่ไม่ดำไม่ขาว คืออริยมรรคมีองค์ ๘
วันนี้เรามามองดูกันแต่ในแง่ที่มันเป็นมาร ถ้ากรรมหรือผลกรรมเช่นนี้มาถึง ไอ้ความรู้สึกอันไม่พึงปรารถนาก็จะเกิดขึ้นในใจเรา แล้วก็ทรมานเรา ทีนี้มันจะมาจากแง่ไหนมุมไหนใน ๕ มุมนั้น มันก็เรียกว่ามารด้วยกันทั้งนั้น คือความรู้สึกอันไม่พึงปรารถนา เราต้องเอามารชนิดนี้มาแล้วฉีดดีดีทีเข้าไป ให้ฉีดยาฆ่ามารนี่เข้าไป จะเรียกว่าโดยสมมุติว่าดีดีทีฉีดเข้าไปที่ตัวมารนั้น ไอ้ยาฆ่ามารนี่ก็คือธรรมะที่แท้จริง ที่เป็นเครื่องมือ ที่เราพูดขึ้นมาตั้งมากมาย ธรรมะในฐานะที่เป็นเครื่องมือที่จะฆ่ามาร มีรูปโครงอยู่ในรูปของโพชฌงค์ ๗ ประการ ซึ่งจะสำเร็จได้ด้วยการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ในรูปของอานาปานสติ ๑๖ ขั้น คุณก็สวดมนต์บทนี้อยู่ทุกวัน เมื่อสติ เมื่ออานาปานสติอันบุคคลเจริญทำให้มากแล้วย่อมทำสติปัฏฐาน ๔ ให้สมบูรณ์ สติปัฏฐาน ๔ อันบุคคลเจริญทำให้มากแล้วย่อมทำโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์ โพชฌงค์ ๗ อันบุคคลเจริญทำให้มากแล้วย่อมทำวิชชา วิมุตติให้บริบูรณ์ นี่คือผลมาร วิมุตติ พ้นจากมาร เมื่อเราเอายาปราบมารฉีดเข้าไปโดยตรง มันก็คือทำ อานาปานสติหรือสติปัฏฐาน ๔ นี่ให้มันมีอยู่ที่เนื้อที่ตัว มันก็จะถูกฝาถูกตัว คือมารอยู่ที่ไหนก็ใส่ไอ้ยาฆ่ามารเข้าไปที่นั้น มารเกิดจากจิตใจ อยู่ในจิตใจหรือว่าอยู่ที่ส่วนไหนของจิตใจของพวกอกุศลเจตสิกกลุ่มไหน เราก็ใส่ยาฆ่ามารเข้าไปที่นั่น เมื่อเจริญสติปัฏฐานชนิดที่ทำให้เป็นโพชฌงค์ได้ คือเจริญถูกต้อง ทำให้ถูกต้อง แล้วก็มีโพชฌงค์เจริญขึ้นมาได้ในตัวสติปัฏฐานนั้น มันก็เป็นยาฆ่ามารขึ้นมาทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิเลสมารที่เป็นวัตถุประสงค์โดยตรงสำหรับธรรมะที่จะฆ่าหรือจะปราบมัน
ทีนี้กิเลสอย่างไรก็ต้องรู้ เพราะว่าเจริญสติปัฏฐานในลักษณะที่ประกอบอยู่ในองค์ของแห่งโพชฌงค์เรื่อยไป ๆ จนกว่ามันจะสูญสิ้นไป เราเป็นอยู่อย่างถูกต้องทั้งวันทั้งเดือนทั้งปี เราเป็นอยู่อย่างถูกต้อง คือประกอบด้วยธรรมทั้งวันทั้งเดือนทั้งปี มันก็ใส่ยาไว้ทั้งวันทั้งเดือนทั้งปี ไอ้มด ปลวก แมลงมันเกิดไม่ได้ หรือมันตายไป ๆ เจริญอานาปานสติอยู่ กิเลสไม่มีโอกาสจะเกิด คิดดู ถ้าเจริญอานาปานสติถูกวิธีอยู่ กิเลสไม่มีโอกาสจ้องที่จะเกิด เมื่อเรารู้ว่าเรามีกิเลสอะไรเป็นปัญหาหรือเป็นมารโดยเฉพาะ ก็ต้องรู้จัก ก็ต้องรู้สึกอยู่ให้มันเป็นอะไร เป็นฝ่ายหนึ่งขึ้นมา เป็นคู่ปรปักษ์ฝ่ายหนึ่งขึ้นมาทีเดียว อย่าทำคลุม ๆ ไปว่านี่ทำแล้วมันแก้กิเลสทั้งหมดเลย มันก็ได้เหมือนกันแหละ สำหรับคนที่ขี้เกียจก็ตีคลุมว่าทำไปมันก็แก้กิเลสทั้งหมด แต่ถ้าให้ดีกว่านั้นมันก็ควรจะรู้ว่ามันเป็นกิเลสอะไรที่เป็นเจ้าเรือนที่มีมาก ก็จะต้องเอากิเลสนั้นน่ะมาก่อนเสมอ สำหรับการเจริญกรรมฐาน มองเห็นกิเลสอยู่ว่าเป็นอย่างนั้น รบกวนอย่างนั้น ก็จะเลือกกรรมฐานที่มันถูกเรื่อง หรือในวิธีที่มันถูกเรื่อง เราจะต้องให้มันถูกเรื่องอยู่ทุกครั้งที่หายใจเข้าออก ที่เรียกอานาปานสติ ไม่ใช่ว่าทำวันหนึ่งครั้งหนึ่ง หรือจะกินยาวันละ ๓ หน มันต้องเป็นการควบคุม รู้สึกหรือดูแลอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก เราระวังตัวทุกลมหายใจเข้าออกตลอดวัน ตลอดคืน ตลอดเดือน ตลอดปี เพราะถ้าทำให้จริงยิ่งขึ้นตามนี้ก็จึงเอามาหัดทำอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกมากเป็นพิเศษในบางโอกาส บางเวลาที่จะทำได้ ที่จริงเราทำได้ตลอดเวลา เวลากิน เวลานอน เวลาอาบ เวลาถ่าย เวลาอะไรก็ตาม ต้องมีสติอยู่ตลอดเวลาไม่ให้กิเลสเกิดขึ้นได้ เดิน ยืน นั่ง นอนก็ทำได้ตลอดเวลา ไม่ให้กิเลสเกิดขึ้นได้ ทำในลักษณะต่าง ๆ กัน การที่เอามาทำอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก ทุกครั้งที่มีการหายใจเข้าออกนี่เรียกว่ามันอยู่ที่เนื้อที่ตัวและก็ถูกฝาถูกตัวอย่างยิ่ง เช่น ปกติถูกรบกวนด้วยกิเลสประเภทราคะ ราคะ หมายถึง ความรักระหว่างเพศ โลภะ หมายถึง ความรักที่มันไม่ได้เกี่ยวกับเพศ สมมติว่ามีกิเลสประเภทราคะเกี่ยวกับเพศ มันก็พิจารณาดูโทษของมัน ดูความรบกวนของมันที่เรียกว่า อาทีนวะ ของมัน แล้วก็มองไปแต่ข้างหน้าแต่หนทางออก หนทางออก ความว่างจากราคะอย่างนี้อยู่ทุกครั้งที่หายใจเข้าออก แล้วมันจะเกิดได้อย่างไร แต่เดี๋ยวนี้เราไม่สามารถจะทำอย่างนั้นได้ทุกครั้งที่หายใจเข้าออก เพราะเราบังคับจิตของเราไม่ได้ เราจึงฝึกเบื้องต้นไปกว่านั้น คือบังคับจิตให้ได้ก่อน จะบังคับจิตให้กำหนดลมหายใจทุกครั้งเข้า ให้ลมหายใจที่เข้าออกนี่ อย่างนี้มันบังคับจิตให้สามารถทำอะไรได้ตามที่เราต้องการ ทุกครั้งที่หายใจเข้าออกก่อน พอทำให้ได้อย่างนี้แล้วจึงเอาสิ่งที่เรียกว่าราคะหรือโทษของราคะเข้ามาแทนลมหายใจ ดูราคะหรือดูโทษของราคะอยู่ทุกครั้งที่หายใจเข้าออก เพราะว่าเดี๋ยวนี้เราสามารถกำหนดจิตที่อะไรลงไปได้ทุกครั้งที่หายใจเข้าออกแล้ว มันจึงมีบุพภาคเบื้องต้นคือการหัดกำหนดลมหายใจเข้าออกให้ได้เสียก่อน ให้ได้ทุกครั้งที่มันหายใจเข้าออก เมื่อจิตมีอำนาจขนาดนี้แล้วก็เปลี่ยนเรื่องนิดเดียวว่าเอาราคะหรือโทษของราคะนี่มาดูอยู่ พิจารณาอยู่ เห็นอยู่ experience ลงไปดี ๆ ในสิ่งในโทษของมันอยู่ทุกครั้งที่หายใจเข้าออก ก็เหมือนกับการใส่ยาฆ่าแมลงเข้าไปที่ตัวแมลง ที่เรียกว่าที่เนื้อที่ตัวหรือถูกฝาถูกตัว เรื่องอื่น ๆ ก็เหมือนกัน
ทีนี้สำหรับขันธมาร เช่น ความชรา ความไม่ได้ตามต้องการ หรือเกี่ยวกับเรื่องสังขารนี่ก็เอามาดู จนไม่ให้เกิดปัญหาร้อนใจกระวนกระวาย ดูความที่สังขารจะต้องเป็นไปตามธรรมดาอย่างนั้น แล้วก็เป็นของน่าหัวเราะไปเลย นี่ก็คือฆ่ามารตัวนี้ได้ เหมือนกับใส่ยาแมลงลงไปที่ตัวแมลง ไอ้ขันธ์นั้นก็จะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป ถ้ามันเจ็บไข้ขึ้นมาก็กลายเป็นของน่าหัวเราะ ถ้ามันจะตายลงไปก็กลายเป็นของน่าหัวเราะ ถ้าตายแล้วก็รู้สึกอะไรไม่ได้ก็เลิกเสีย ความเจ็บไข้หรือความตายก็กลายเป็นของน่าหัวเราะ มันเป็นผลของการที่ฆ่ามารชื่อขันธมาร ชื่อมัจจุมารได้เดี๋ยวนี้ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ก่อนเจ็บไข้หรือก่อนตายก็มียาป้องกันมารนี้ หรือมันกำลังเจ็บไข้ หรือกำลังจะตายก็มียาฆ่ามารอันนี้ ถึงจะฆ่าความรู้สึกที่มันเป็นความกระวนกระวายนั้นไปได้ ถ้าความเจ็บไข้ของขันธ์หรือความตายของขันธ์ก็ไม่มีปัญหา
ทีนี้ก็มาถึงเทวปุตมาร เราทำความรู้สึกเกี่ยวกับความเจ็บไข้ความตายทุกครั้ง หายใจเข้าออกอย่างไร เราก็ทำความรู้สึกที่ป้องกันความเบียดเบียนของสังคมอันธพาลอย่างนั้นนะ แล้วถ้าสังคมอันธพาลมันยิงศร ยิงอะไรมาที่เรา เราอย่าไปรับมัน คือไม่ไปรับการกลั่นแกล้งของบุคคลใด การยั่วยวนของบุคคลใด การประเล้าประโลมหลอกลวงของบุคคลใดทั้งโดยรู้สึกตัวและโดยไม่รู้สึกตัว เพราะว่าอันธพาลน่ะมันหมายถึงว่าไม่อยู่สุข กลั่นแกล้งคนอื่น มันจึงจะเรียกว่าอันธพาล ถ้ามันอยู่ตามลำพังมันก็ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ทีนี้สันดานอันธพาลมันก็ต้องกลั่นแกล้ง ถ้าพระเณรองค์ไหนเกิดกลั่นแกล้งองค์อื่นขึ้นมาก็เป็นอันธพาลขึ้นมาทันทีทั้งที่เป็นพระเป็นเณร เพราะฉะนั้นระวังอย่าให้มีอาการอย่างนี้ มันจะกลายเป็นเทวปุตมารไปโดยไม่รู้สึกตัว ทีนี้พระเณรที่รักสวยรักงามรักเล่นรักหัวอะไรมากเกินไป เมื่อไม่ได้ดั่งใจก็จะกลั่นแกล้งผู้อื่นนะ ระวังให้ดี มันจะกลายเป็นอันธพาล เป็นเทวปุตมารอะไรขึ้นมา ทีนี้การที่ต่อต้านกับมารชนิดนี้ก็คือหัวเราะเยาะ จะเมตตา กรุณา สงสารมันบ้างก็ได้ ไอ้การที่ไม่ยอมรับเอาเข้ามาเป็นเรื่องกระวนกระวายใจ กลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะหรือน่าสงสารไปมันก็เหมือนกันน่ะ กับใส่ยาฆ่าแมลงลงไปที่ตัวแมลงคือมารชนิดนี้ คือปัญหาที่เกิดมาจากสังคมอันธพาล เราก็อย่ารับมันทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ตาเห็นรูปสักแต่ว่าเห็น หูได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน จมูกได้กลิ่นสักแต่ว่าได้ดมล่ะก็ อย่าปรุงเป็นไอ้ตัวกูตัวสูอะไรขึ้นมา มันจะขัดกัน มันก็เลยหมดปัญหาไปได้เรื่องเทวปุตมาร
ทีนี้สำหรับอภิสังขารมาร คือกรรมนั้นคงจะมีเรื่องมาก มีเรื่องที่ต้องพูดมาก จะเอาสั้น ๆ ว่าเมื่อปฏิบัติธรรมะในอานาปานสติถึงขั้นที่เห็นอนิจจานุปัสสี เห็นทุกข์ เห็นอนัตตาอยู่เป็นประจำแล้ว มันก็ไม่มีอะไรทำให้กระวนกระวายใจเกี่ยวกับผลกรรมได้เหมือนกัน เพราะมันเห็นเป็นสักว่ากรรม เป็นของปรุงแต่ง กรรมนี่เป็นสังขาร เป็นของปรุงแต่งไหลเวียนเปลี่ยนแปลงไปตามเรื่องของการเปลี่ยนแปลง อย่ารับมาเป็นเรา เป็นของเรา มันก็ขจัดกรรมออกไปได้ นี่ถ้าอธิบายกันละเอียดก็ต้องไปอธิบายอานาปานสติหมวดที่ ๔ อนิจจานุปัสสีเป็นต้นไปถึงปฏินิสสัคคานุปัสสีในที่สุด นั่นก็คือไอ้เรื่องฆ่ามารประเภทอภิสังขารคือกรรม
ทีนี้เอาเป็นว่าเรามีหิริ มีโอตตัปปะดีอยู่ มีความละอายบาป ความกลัวบาปดีอยู่ แล้วก็ไม่ทำกรรมที่ชั่ว ก็เป็นการป้องกันกรรม ดีอยู่แล้วในขั้นต้น ในขั้นเด็กอมมือ ไม่ทำความชั่ว ทำแต่ความดี คือเอากรรมดีไปปะทะความชั่ว ในขั้นที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็ทำกรรมที่เหนือดีเหนือชั่ว คืออริยมรรคมีองค์ ๘ ขจัดออกไปเสียทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว อย่างนี้อภิสังขารมารก็ไม่มีแผ่นดินจะอยู่ ก็เลิกความเป็นมารไป
เท่าที่ผมพูดมานี่คุณพอมองเห็นหรือยังว่าระบบอานาปานสติระบบเดียว สามารถกำจัดมารในแง่ต่าง ๆ ทุกแง่ทุกมุมคือทั้ง ๕ มารนั่นน่ะ เพียงแต่เราปรับปรุงหรือขยับขยายให้มันถูกฝาถูกตัว ทำอานาปานสติลักษณะที่ถูกฝาถูกตัวกับเรื่องของมาร มารใดมารหนึ่งที่มารบกวนมากเสียก่อน กำลังกระวนกระวายอยู่ด้วยมารชนิดไหน ก็ใช้อานาปานสติที่ถูกฝาถูกตัวสำหรับฆ่ามารชนิดนั้น เราจะต้องศึกษาอานาปานสติให้แตกฉาน ก็จะได้ใช้เป็นเครื่องมือ นี่ถ้าว่ามันยังทำไม่ได้ยังไม่แตกฉานก็ใช้เท่าที่มันมีอยู่เนี่ยก็ยังจะพอทำไปได้ คือไม่น้อยเกินไป มีสติในสิ่งนั้น รู้สึกสิ่งนั้นดี มีธรรมวิจยะ และก็มีความพากเพียรที่จะขจัดหรือแก้ปัญหานั้น ก็พอใจอยู่เสมอในการที่ได้ทำอย่างนี้ เพราะการที่ได้ทำอย่างนี้มันถูกต้องที่สุดในการที่เกิดมาเป็นมนุษย์ คือพบพระพุทธศาสนา มีปีติพอใจในการที่ได้ทำอย่างนี้ จนกว่ามันจะสามารถทำได้เป็นร่องเป็นรอย เข้ารูปเข้ารอย สามารถทำได้เป็นว่าเล่น เหมือนเราหัดขี่จักรยานนี่มันก็ต้องล้มลุกคลุกคลานจนกว่ามันจะเข้ารูปเข้ารอยหรือขี่ได้ มันต้องพอใจที่จะรับเอาหรือเผชิญกันกับไอ้ความล้มลุกคลุกคลานในระยะแรก ๆ ต้องพอใจในความลำบากนั่น ที่ได้ประสบกับความลำบากนี่ต้องพอใจว่าได้ทำสิ่งที่ควรจะทำ สิ่งที่ดีที่สุดที่จะต้องทำ ถ้าไม่งั้นมันจะเกิดหนี มันจะทิ้งไปเสีย จะเกิดหนีไปเสีย แล้วก็มันทำไปจนมันเข้ารูป ทีนี้มันก็แน่นอนที่จะไปอย่างถูกต้องข้างหน้า เราก็ระดมสมาธิ คือแรงจิตแรงใจลงไปในความเข้ารูปเข้ารอยนะ ก็ปล่อยไว้อย่างนั้นน่ะ รอได้ คอยได้ ทนได้ รอได้ คอยได้ จนกว่ามันจะมีผลในที่สุดคืออุเบกขา มันจะกี่เดือนหรือกี่ปีหรือกี่ชาติก็ตาม มันต้องทนทำไปได้อย่างสม่ำเสมอ เหมือนกับเราปลูกต้นไม้ลงไป เราก็ต้องรอได้คอยได้จนกว่ามันจะออกดอกออกลูก ถ้าเรารอไม่ได้ เราก็บ้าตายเอง ปวดหัวหรือเป็นบ้าตายเอง นี่เรามีอุเบกขา เรียกว่าจับทุกสิ่งทุกอย่างถูกวิธี แล้วก็รอได้ คอยได้ เฉย ๆ อยู่อย่างนั้น นี่เป็นอุบายอย่างนี้ จะฆ่ามารชนิดไหนต้องทำอย่างนี้ทั้งนั้น ถ้าเกิดรอไม่ได้ คอยไม่ได้ มันก็ล้มละลายหมด นี่คืออุปสรรคอันหนึ่งที่เรียกว่าไม่ประสบความสำเร็จเพราะไม่อดทนพอ ไม่มีความอดทนพอ เปลี่ยนเรื่องที่เรียน เปลี่ยนเรื่องที่ทำ เปลี่ยนเรื่องที่อะไรเรื่อย เปลี่ยนแนวของชีวิตบ้า ๆ บอ ๆ อะไรเรื่อย ไม่มีอะไรที่แน่นอนลงไป นั่นมันกลายเป็นมารเสียเอง เรียกว่าชีวิตมันกลายเป็นมารเสียเอง แล้วมันจะมีความยุ่งยากลำบาก
เอ้า, สรุปความได้ว่าไอ้มารชนิดไหนก็ตาม เรียกชื่ออย่างไรก็ตาม มันคือความรู้สึกที่ไม่พึงปรารถนา ตั้งรูปก่อรูปอะไรขึ้นมาได้เพราะมีอวิชชา มีใจอย่างเดียวก็พอที่จะรับเอามารเข้ามาได้ทุกชนิดทุกสาขาทุกแขนง ทำลายอวิชชาเสียได้อย่างเดียวมันก็ฆ่ามารหมดทุกแขนงเหมือนกัน ทุกอย่างในทางธรรมมันก็คือแสงสว่างเพื่อจะกำจัดเสียซึ่งอวิชชา ถูกฝาถูกตัวก็คือเอาแสงสว่างกำจัดความมืดโดยตรง เอาโพธิมากำจัดกิเลสโดยตรงอย่างถูกฝาถูกตัว ก็เรียกว่าปราบมาร ฆ่ามาร
ที่พระพุทธเจ้าท่านเรียกของท่านตามภาษาธรรมแท้ ๆ ว่า อันโต ทุกขสกิริยา อันโต ทุกขสกิริยา การกระทำที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ การกระทำที่สุดสิ้นแห่งทุกข์ นี่คือการฆ่ามาร การประยุกต์ธรรม ธรรมประยุกต์คือเอาธรรมะเป็นยาฆ่ามารใส่ลงไปในมารให้มันตายให้หมด อย่างที่เรียกว่าถูกฝาถูกตัว มารอยู่ที่ไหนใส่เข้าไปที่นั่น ถ้ามารมันอยู่ที่กายวาจาใจ ก็ใส่เข้าไปที่กายวาจาใจ นี่ก็เลยมีผลดี ไม่มีตก ไม่มีความงมงาย อย่างที่เรียกว่าเป็นเรื่องนิยายลม ๆ แล้ง ๆ ไปหมด พระก็เป็นเรื่องนิยาย เป็นพระพุทธเจ้าในนิยาย ไอ้มารก็เป็นมารในนิยาย มันก็กลายเป็นเรื่องนิยายไปหมด ไม่มีอะไรที่เป็นความจริง มันก็สมน้ำหน้าของคนโง่ที่ทำอะไรก็กลายเป็นเรื่องนิยายไปหมด ไม่มีธรรมประยุกต์ มีแต่ความละเมอเพ้อฝัน
คุณก็จำไอ้คำว่าธรรมประยุกต์นี่เอาไว้ให้ดี ๆ ผมก็ไม่ค่อยชอบคำนี้ ภาษาใหม่ ๆ ของคนหนุ่มบ้าในทางภาษามากกว่า แต่ไม่รู้จะใช้คำอะไรก็พลอยใช้คำว่าประยุกต์อะไรไปกับเขา แต่เมื่อใช้กันจนเป็นที่เข้าใจกันแล้วมันก็ได้ ต่อไปก็เป็นภาษาธรรมดา มาเอาธรรมะนี่ apply เข้าไปที่มาร แล้วมารมันก็จะตายหมด เอาธรรมะส่วนที่พึงปรารถนา apply เข้าไปที่ธรรมะส่วนที่ไม่พึงปรารถนา มันก็กลายเป็นธรรมะที่เป็นผล คือนิพพาน คือความดับทุกข์ อะไร ๆ ก็ไม่พ้นไปจากคำว่าธรรมะ เราก็จัดการกับธรรมะให้มันถูกต้องก็เป็นธรรมประยุกต์ แล้วเวลาของเราก็หมด