แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ
มชฺฌิมา ปฏิปทา ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธา จกฺขุกรณี ญาณกรณีติ ฯ
ธมฺโม สกฺกจฺจํ โสตพฺโพติ ฯ
ณ บัดนี้จะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนาเพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อและวิริยะความพากเพียรของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัทให้เจริญงอกงามก้าวหน้าในทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย กว่าจะยุติลงด้วยเวลา
พระธรรมเทศนาในครั้งนี้เป็นเพียงธรรมเทศนาเพื่อทำความเข้าใจแก่ท่านทั้งหลายก่อนแต่จะกระทำพิธี
อาสาฬหบูชา ด้วยความมุ่งหมายว่า การกระทำพิธีอาสาฬหบูชานี้จักเป็นไปเพื่อผลโดยสมบูรณ ก็โดยที่ผู้กระทำนั้นมีความรู้มีความเข้าใจในสิ่งที่ตนกระทำ และได้กระทำลงไปด้วยการเสียสละสุดความสามารถของตนจริงๆ เพื่อเป็นการบูชา ดังนั้นเราจะต้องทราบว่า วันนี้มีความหมายที่สำคัญอย่างไร และเราจะได้กระทำการบูชากันต่อไป
ความหมายสำคัญของวันนี้ ควรจะกระทำไว้ในใจว่าเป็นวันของพระธรรม เราถือว่าวันวิสาขบูชา นั้นเป็นวันของพระพุทธเจ้า เพราะว่าเหตุการณ์ส่วนใหญ่หรือส่วนสำคัญนั้นเนื่องกับพระพุทธเจ้า คือวันประสูติ วันตรัสรู้ และวันปรินิพพานของพระองค์ ส่วนวันอาสาฬหบูชานี้หมายความว่า เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว ก็ได้ทรงเปิดเผย ธรรมะที่ได้ตรัสรู้นั้นแก่บุคคลในโลกสำเร็จเป็นวันแรก เป็นวันที่พระธรรมปรากฎแก่โลกหรือเป็นวันที่พระองค์ ทรงแสดงธรรมแก่โลก ให้เกิดแสงสว่าง กล่าวคือพระธรรมนั้นแก่โลก เราจึงเรียกวันเช่นวันนี้ว่าเป็นวันพระธรรม ส่วนวันมาฆบูชานั้น พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูปประชุมกัน มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เป็นเหมือนกับการ ประดิษฐานคณะสงฆ์อันเป็นปึกแผ่นมั่นคงเป็นอันดับแรกในพระพุทธศาสนานี้ เราจึงถือว่าวันมาฆบูชานั้นเป็นวัน ของพระสงฆ์ แต่ความเข้าใจข้อนี้อาจจะไม่ตรงกัน คืออาจจะมีคนเหล่าอื่นถือเป็นอย่างอื่นก็ได้ อาตมาได้ชี้ความสำคัญ ของวันนี้ แก่ท่านทั้งหลายในฐานะเป็นวันที่โลกได้รับแสงสว่างคือพระธรรมจากพระพุทธเจ้า จึงได้เรียกว่าเป็นวันพระธรรม เรียกสั้นๆ ว่าเป็นวันพระธรรม ขยายความออกไปว่าเป็นวันที่โลกได้รับพระธรรมจากพระพุทธเจ้า ถ้าพระธรรมยังอยู่แต่พระธรรม ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแก่มนุษย์ ต่อเมื่อใดพระธรรมนี้ปรากฏแก่มนุษย์ จึงจะเป็นประโยชน์แก่มนุษย์ ความสำคัญจึงอยู่ที่ว่ามนุษย์ได้รับพระธรรม วันนี้เป็นวันสำคัญดังนี้
ทีนี้สำหรับคำว่าพระธรรมนั้น มีความหมายมาก มีความหมายสำคัญที่สุดอยู่ข้อหนึ่งว่าเป็นที่เคารพของ พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ คือว่าพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคต ล้วนแต่เคารพพระธรรม พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ดังนี้ เราจึงควรจะถือเอาสิ่งที่เรียกว่าพระธรรมนั้น เป็นสิ่งสูงสุดกว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวง เช่นเดียวกับเหล่าชนที่นับถือพระเจ้าเป็นสิ่งสูงสุด พุทธบริษัทก็ถือเอาพระธรรม เป็นสิ่งสูงสุดในฐานะที่เป็นพระเจ้า เป็นที่เคารพของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ และเป็นทุกอย่างสำหรับมนุษย์ เป็นผู้สร้างมนุษย์ เป็นผู้ควบคุมมนุษย์ หรือจะเป็นผู้ทำลายมนุษย์ ก็ได้ทั้งนั้น แล้วแต่ว่ามนุษย์นั้นเข้าไปเกี่ยวข้องกับพระธรรมนี้อย่างไร และอีกประการหนึ่งนี้ พระธรรมนี้มีอยู่ในที่ทั้งปวงและทุกเวลา คือไม่จำกัดกาลเวลา ไม่มีอายุ ไม่มีขนาด จึงมีอยู่ได้ในที่ทั้งปวงและไม่จำกัดเวลา จึงเป็นสิ่งที่มีอำนาจกว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงดังนี้
แต่ว่าพระธรรมเฉพาะส่วนที่พระพุทธองค์ทรงนำมาแสดงแก่โลกนี้ ทรงแสดงเฉพาะส่วนที่เรียกว่าเญยยธรรม คือ ส่วนที่จำเป็นแก่มนุษย์จะพึงรู้ เพื่อจะกำจัดเสียซึ่งความทุกข์ทั้งปวง พระองค์ไม่ได้ทรงแสดงธรรมในฐานะทุกสิ่ง หรือทั้งหมด เพราะว่าไม่จำเป็นและเพราะว่ามากเกินไปและจะเสียเวลาเปล่า จึงทรงแสดงแต่พระธรรมที่จำเป็น แก่มนุษย์ทุกบุคคลจะต้องรู้ จะต้องประพฤติปฏิบัติ ให้ได้รับผลโดยสมควรแก่การปฏิบัติทุกรูปทุกนาม อย่างนี้เรียกว่าเญยยธรรม คือธรรมส่วนที่สัตว์ทั้งหลายจำเป็นจะต้องรู้ และเมื่อรู้แล้วก็ดับทุกข์ได้ เมื่อดับทุกข์ได้ ก็พอแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปรู้สิ่งอื่นให้มันยุ่งยากลำบาก เพราะความจำเป็นมันมีเพียงเท่านี้
ทีนี้ เราจะให้ความสำคัญแก่สิ่งที่เรียกว่าพระธรรมนี้อย่างไร จึงจะสมกันกับที่พระธรรมนั้นเป็นสิ่งสูงสุด ถึงกับเป็นที่บูชาเคารพของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เราเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า เราก็ต้องทำตามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านเคารพธรรมอย่างไร เราก็ต้องเคารพธรรมอย่างนั้น การเคารพธรรมนั้นทรงระบุไว้ชัดคือการปฏิบัติธรรม นั้นโดยสมควรแก่ธรรม มิได้หมายความแต่เพียงว่าเอามาสวดๆ ท่องๆ หรือเอามาเป็นวัตถุสำหรับกราบไหว้บูชา แต่กิริยาท่าทาง แต่เราจะต้องทำการปฏิบัติด้วยการเสียสละทุกอย่างทุกประการ เพื่อให้เกิดผลขึ้นมาในตัวเราเอง ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ทำไมจะต้องใช้คำว่าเสียสละด้วยเล่า เพราะว่ามันเป็นคำที่ฟังดูแล้วน่ากลัวหรือน่าเจ็บปวด สำหรับคำว่าเสียสละในที่นี้ ก็หมายความว่าเป็นผู้ทำจริง เป็นผู้ทำตามหลักเกณฑ์ของธรรม ไม่ใช่ทำตามความสะดวก ของตน หรือทำตามความพอใจของตน เพราะว่าถ้าทำตามความพอใจของตนแล้ว มันเป็นการกระทำตามความพอใจ ของกิเลส ทั้งนี้ก็เพราะว่าคนธรรมดาสามัญหรือปุถุชนทั่วไปนั้นคือคนที่มีกิเลส ถ้าไม่มีกิเลส เขาก็ไม่เรียกว่าปุถุชน ถ้ายังเรียกว่าปุถุชน ก็หมายความว่ายังมีกิเลส มีกิเลสก็หมายความว่า มีกิเลสเป็นนาย มีกิเลสเป็นเจ้า มีกิเลสเป็นเครื่องบังคับตนให้กระทำไปตามอำนาจของกิเลส เมื่อปล่อยให้ทำไปตามอำนาจของตน หรือตามอำนาจของกิเลสดังนี้แล้ว มันก็เป็นสาวกของกิเลสไม่ใช่สาวกของพระพุทธเจ้าหรือของพระธรรม ดังนั้นแหละเราจะต้องเสียสละสิ่งที่เรียกว่ากิเลส เสียสละความเคยชินที่เคยทำไปตามอำนาจของกิเลสตั้งแต่เราเกิดมา ตั้งแต่อ้อนแต่ออกจนถึงวันนี้ เราก็เคยทำอะไรตามความพอใจของกิเลสจนเคยชินเป็นนิสัย จนเรียกได้ว่าผูกมัดรัดรึงอยู่ในสันดานหรือส่วนลึกของจิตใจ ทีนี้ก็มาถึงการที่จะต้องสละ ก็คือสละความเห็นแก่ตัว หรือความเห็นแก่กิเลส หรือสิ่งซึ่งผูกมัดรัดรึงหนาแน่นอยู่ในจิตใจนั่นเอง เขาจะต้องมีความตั้งใจที่จะเสียสละ และเมื่อเสียสละแล้วก็จะต้องอดกลั้น อดทน มันถึงจะเป็นการเสียสละที่ถึงที่สุดได้
นี้เราจึงเริ่มตั้งแต่การที่ยอมลำบากมาทำพิธีอาสาฬหบูชาเป็นต้นในสถานที่นี้ อย่างน้อยก็ต้องเหน็ดเหนื่อยในการ ที่จะขึ้นมาบนภูเขานี้ ยังจะต้องนั่งในที่ที่ไม่สบาย ยังจะต้องเดินในที่ที่ไม่สะดวก ท่านผู้ใดถอดรองเท้าออกเดิน ผู้นั้นก็จะ ได้บุญมาก เพราะว่ามันเป็นการเสียสละมากกว่าคนที่สวมรองเท้า และถ้าเราจะนึกว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่เคยสวมรองเท้าเลย ท่านเดินไปในที่ทุกหนทุกแห่งในการที่จะโปรดสัตว์ก็ดี หรือกิจส่วนพระองค์ก็ดี ท่านก็ไม่ปรากฏว่าท่านได้สวมรองเท้า และผิวดินในประเทศอินเดีย ก็คงจะไม่ได้ดีไปกว่าผิวดินอย่างที่บ้านเรา มันก็คงจะมีกรวดทราย สิ่งขรุขระต่างๆ เหมือนกัน
และอีกประการหนึ่งนั้น เรายังจะต้องนึกอยู่เสมอว่า พระพุทธเจ้านั้น ท่านประสูติกลางพื้นดิน ท่านตรัสรู้ ก็กลางพื้นดิน ในที่สุดท่านก็นิพพานกลางพื้นดิน ลองคิดดูเถิดว่าท่านจะเป็นอย่างไร พวกเราที่คิดแต่จะอยู่บนตึก บนปราสาท บนวิมาน ทำบุญสักบาทหนึ่งก็อธิษฐานเพื่อจะแลกเอาวิมาน อย่างนี้มันจะต่างกันกี่มากน้อย ถึงแม้อยู่ในปัจจุบัน นี้ ก็อยากจะอยู่บนบ้าน บนเรือน บนที่นิ่มนวล อบอุ่นสบาย ไม่อยากจะอยู่กลางดิน ทั้งที่พระพุทธเจ้าท่านประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน และนิพพานกลางดิน ผู้ที่ยังไม่เคยอ่านเรื่องราวโดยละเอียด ก็ไปหาอ่านเสียโดยละเอียดเถิด ว่าพระพุทธเจ้า ท่านประสูติกลางพื้นดิน ในป่าไม้ซึ่งจัดไว้เป็นอุทยานเรียกว่าสวนลุมพินี ท่านประสูติกลางพื้นดินที่ ใต้ต้นไม้ที่เรียกกันว่าไม้อัสสัตถะ มีหญ้าคารองแต่เพียงบางๆ กลางพื้นดินนั่นเอง แม้เขาจะเขียนภาพการนั่งตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าให้พิเศษ เป็นบัลลังก์ หรือบนเบาะอันสบายรองด้วยดอกบัว นั้นมันเป็นภาพสัญลักษณ์ก็เพื่อให้เกิดความหมายอย่างอื่น ตามความจริงนั้น ท่านประทับนั่งกลางพื้นดิน มีหญ้ารองแต่บางๆ และในการปรินิพพาน ก็ปรินิพพานกลางพื้นดิน ข้อความกำกวม คือจะถือเอาใจความว่า ท่านประทับกลางพื้นดิน รองด้วยผ้าสังฆาฏิ ทับซ้อนเป็นสี่ชั้นอย่างนี้ก็ได้ หรือแม้จะตีความข้อนั้นว่า ท่านประทับบนเตียงน้อยสูงเพียงคืบเดียว แล้วก็รองด้วยผ้าสังฆาฏิซึ่งพับเป็นสี่ชั้น และเตียงนั้นก็วางอยู่กลางดิน จะพูดอย่างไหน จะเข้าใจอย่างไหนก็เป็นเรื่องกลางดินไปทั้งนั้น ในพระบาลีไม่ได้ระบุชัด ถึงถ้อยคำในตอนนี้ จึงเป็นการกำกวมอยู่ จะว่าพระองค์ประทับกลางพื้นทรายเลยก็ได้ หรือบนเตียงเตี้ยๆ สูงเพียงคืบเดียว ซึ่งวางอยู่บนทรายบนดินก็ได้ แต่ความหมายก็คือการปรินิพพานบนพื้นดิน ในป่าไม้สาละ ซึ่งเป็นที่เที่ยวเล่นของพวกกษัตริย์พวกหนึ่งเท่านั้น เราขอสรุปความกันสั้นๆ ว่า ประสูติกลางพื้นดิน ตรัสรู้กลางพื้นดิน นิพพานกลางพื้นดิน และทำอะไรๆ อีกมากมาย หลายสิบอย่าง หลายร้อยอย่าง ก็กลางพื้นดิน และการเทศนาโปรดสาวกภิกษุทั้งหลายเหล่านี้ ส่วนมากก็กลางพื้นดิน เรียกว่าท่านมีชีวิตกลางดิน แต่ว่าสาวกของพระองค์นั้นมีจิตใจที่ทะเยอทะยาน ที่จะอยู่แต่บนฟูกเบาะเมาะหมอน บนที่นอนอันอ่อนนุ่ม นี่จึงเห็นได้ทันทีว่า มันต้องการการเสียสละกันแล้ว เสียสละความสะดวกสบายเหล่านั้น ให้มามีประพฤติเป็นอยู่กระทำเหมือนพระพุทธเจ้ากันเสียก่อน อย่างน้อยที่สุด เราก็กระทำแล้วในวันนี้ คือจะนั่งกลางพื้นดิน จะทำอะไรทุกอย่างกลางพื้นดิน
อยากจะขอกล่าวย้ำ หรือตักเตือนท่านทั้งหลายซ้ำๆ ซากๆ ว่า การที่จะมีความรู้สึกนึกคิดเหมือนผู้ใดนั้น จงพยายามมีการเป็นอยู่ให้เหมือนผู้นั้น หมายความว่าจงมีการเป็นอยู่ กินอยู่ ประพฤติประจำวัน ให้เหมือนท่านผู้นั้น เราจึงจะรู้สึกถึงความรู้สึกคิดนึกของท่านผู้นั้นได้โดยง่าย และเราจะมีความรู้สึกคิดนึกเหมือนท่านผู้นั้นได้โดยง่าย ดังนั้นถ้าเราอยากจะมีความรู้สึกคิดนึกอย่างเดียวกับพระพุทธเจ้าแล้ว ก็จงพยายามมีการประพฤติ เป็นอยู่ หรือการกระทำที่ เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าท่านกระทำ ให้สุดความสามารถของเราเถิด ก็จะเป็นการง่ายดายที่จะมีจิตใจคล้ายๆ หรือเป็น อย่างเดียวกันกับจิตใจของพระพุทธเจ้า ดังนั้นจึงขอให้ท่านทุกคนที่มาประชุมกันทำอาสาฬหบูชาในที่นี้ จงถือเอาว่า เมื่อวันอื่นเราไม่ได้ทำ แต่วันนี้เราจะต้องทำแน่ๆ จะมีชีวิตกลางดินแบบพระพุทธเจ้า และจะชิมรสแห่งแผ่นดินเหมือนที่ พระพุทธเจ้าท่านชิม คือทรงดำเนินไปด้วยฝ่าพระบาทเปล่า อย่างนี้เป็นต้น เป็นตัวอย่างของการเสียสละที่จะกระทำไป เพื่อเป็นพุทธบูชาในวันนี้
นี้คือเป็นการเตือน หรือเป็นการปรับปรุงสิ่งต่างๆ ให้เหมาะสมแก่ท่านทั้งหลายในการที่จะทำพิธีอาสาฬหบูชา ในวันนี้ นี้เรียกว่ากระทำไปในส่วนใช้ร่างกายเป็นพุทธบูชา ทีนี้ในส่วนวาจานั้นเล่า เราก็ทำ เราก็ท่องบ่นพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วก็คือพระธรรมอีกนั่นเอง จะสวดบทอิติปิโส หรือสวากขาโต หรือ สุปฏิปันโน อะไรก็ตาม ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องพระธรรมไปทั้งนั้น ฉะนั้นปากของเราก็จะเอ่ยถึงพระธรรม พร่ำอยู่แต่คุณของสิ่งที่เรียกว่า พระธรรม จะเป็นคุณลักษณะก็ตาม หรือว่าจะเป็นคุณประโยชน์ก็ตาม เรียกว่าคุณ ซึ่งเราจะต้องกระทำไว้ด้วยการสวด ด้วยการพร่ำทางวาจา
ทีนี้ส่วนที่สาม คือทางจิตใจนั้นเป็นส่วนสำคัญที่สุด เราจะต้องตั้งจิตไว้โดยถูกต้องและแยบคาย คือการรู้สึก สำนึกถึงพระธรรม ถึงคุณของพระธรรม และที่สำคัญกว่านั้น ก็คือให้มีพระธรรมจริงๆ อยู่ในจิตใจของเรา ในขณะที่ กระทำพิธีอาสาฬหบูชา จึงจะได้ชื่อว่าเรากระทำพิธีอาสาฬหบูชาพร้อมทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ ครบถ้วนทั้ง สามประการดังนี้ สำหรับทางร่างกายนั้นคงจะทำได้ง่าย ไม่ยากนัก คือเดินเวียนประทักษิณเป็นต้น สำหรับทางวาจา ก็เช่นเดียวกัน คงจะทำได้ง่ายหรือไม่ยากนัก ด้วยการท่องบ่นถึงคุณของพระธรรม แต่ส่วนทางจิตใจนั้น ดูยังมืดมัว มันอยู่ที่ว่าท่านผู้ใดมีความแจ่มแจ้งในพระธรรมอย่างไร ก็จะมีสิ่งที่เรียกว่าพระธรรมอยู่ในจิตใจของตนเพียงนั้น
ดังนั้นจึงอยากจะพรรณนาอานิสงส์ของสิ่งที่เรียกว่าพระธรรม พอเป็นที่ตั้งแห่งความระลึกกันสักหน่อย คือส่วนแรกที่สุดนั้น จะต้องรู้สึกว่าพระธรรมนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้มนุษย์มีความเป็นมนุษย์ ถ้าขาดสิ่งที่เรียกว่าธรรม เสียแล้ว มนุษย์ก็ไม่มีความเป็นมนุษย์ อาจจะเป็นเพียงคนเฉยๆ และมีความหมายไม่แตกต่างกับสัตว์เดียรัจฉานทั่วๆไป ต่อเมื่อมีสิ่งที่เรียกว่าพระธรรม อยู่ที่กาย วาจา ใจ คนจึงกลายเป็นมนุษย์ขึ้นมา นี่แหละท่านลองคิดดูเถิดว่าคุณค่าของ พระธรรมนั้นเป็นอย่างไร หรือสักเพียงไร
เดี๋ยวนี้โลกกำลังเป็นโลกที่จะเลวร้ายไปกว่าโลกของสัตว์เดียรัจฉานด้วยซ้ำไป เพราะว่าในโลกสัตว์ เดียรัจฉานไม่เบียดเบียนกันมากเหมือนโลกมนุษย์ทุกวันนี้ ในโลกสัตว์เดียรัจฉานไม่มีความเสื่อมเสียศีลธรรม ลามก อนาจาร เหมือนกับในโลกของคนในทุกวันนี้ นี่ก็เพราะว่าโลกของคนในทุกวันนี้ ขาดพระธรรม แต่ไปเจริญก้าวหน้า ในทางเรื่องของร่างกายหรือวัตถุหรือเนื้อหนัง จึงมีสงครามมาก จึงมีความประพฤติเสื่อมเสียในทางศีลธรรมมาก จึงมีความเดือดร้อนระส่ำระสายเป็นทุกข์มาก ซึ่งโลกของสัตว์เดียรัจฉานยังคงเป็นไปเท่าเดิม ยังคงสงบอยู่ตามเดิม นี่แหละลองคิดดูเถิดว่า พระธรรมมีความสำคัญอย่างไร มีความจำเป็นอย่างไร
อาตมาอยากจะกล่าวให้เป็นเครื่องช่วยความจำอย่างง่ายๆ แก่สัตว์ทั้งหลาย แก่ท่านทั้งหลายทั่วไปว่า ชีวิตนี้จะต้องเทียมด้วยควาย ๒ ตัว ว่าชีวิตของคนเรานี้จะต้องเทียมด้วยควาย ๒ ตัว ตัวหนึ่งคือเรื่องโลก ตัวหนึ่งคือเรื่อง ธรรม ถ้าจะพูดอย่างสมัยนี้ที่เขาเรียกกัน ตัวหนึ่งก็คือเทคโนโลยี หรือศิลปศาสตร์ในทุกสาขา อีกตัวหนึ่งก็คือธรรมศาสตร์ หรือเรื่องพระธรรม หรือเรื่องพระศาสนา ซึ่งเรียกกันว่า Spiritual Enlightenment ได้แก่ ความสว่างไสวในทางวิญญาณ ความสว่างไสวแจ่มแจ้งในทางจิตในทางวิญญาณนี้ เป็นควายอีกตัวหนึ่ง ลองนึกดูถึงการไถนาตามธรรมดา จะเห็นได้ง่ายจะเข้าใจได้ง่าย ก่อนนี้ชาวบ้านไถนาด้วยควาย ๒ ตัว ในควาย ๒ ตัวนั้น ท่านอย่าได้เข้าใจว่า มันเป็นควายเหมือนกัน ควายตัวต้น เป็นควายฉลาด มีปัญญา ควายตัวปลาย เป็นควายที่มีความโง่ แต่มีกำลังแข็งแรง ตัวที่แข็งแรงนั้นมีหน้าที่ที่มันจะลากไถไปด้วยกำลัง ส่วนตัวต้น ตัวที่ไม่สู้มีกำลังแต่มีความฉลาดนั้น มีหน้าที่ที่จะ ฟังคำสั่งของคนผู้เป็นผู้ไถนา คำพูดที่พูดกับควายนั้นพูดกับควายตัวที่ ๑ เท่านั้น ไม่ได้พูดกับควายตัวที่ ๒ ซึ่งเป็นควายโง่ พูดว่าให้เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา หรือให้หยุดหรืออะไรทำนองนี้ มันพูดแก่ควายตัวแรก คือตัวต้นหรือตัวที่ฉลาด ควายตัวที่ฉลาดมันก็ทำไปในวิธีที่ควายตัวโง่นั้นจะเดิน หรือจะดึงไปในลักษณะที่ตรงตามความประสงค์ของเจ้าของทุกอย่าง ทุกประการ ที่พูดนี้ก็เพื่อจะให้ท่านสังเกตดูให้ดีว่า การไถนาที่ฉลาดนั้นเทียมด้วยควาย ๒ ตัว คือโง่ตัวหนึ่ง ฉลาดตัวหนึ่ง มันจึงจะสำเร็จประโยชน์เต็มที่ ชีวิตคนเรานี้ก็เหมือนกัน จะต้องเทียมด้วยควาย ๒ ตัว คือ ความรู้ความสามารถ ในฝ่ายวัตถุหรือเนื้อหนัง คือเทคโนโลยีหรือศิลปศาสตร์ นี้อย่างหนึ่ง เราจะต้องมี และอีกอย่างหนึ่งนั้น คือ ความสว่างไสว รุ่งเรืองแจ่มแจ้งในทางจิตใจ ในทางวิญญาณ รู้ผิดรู้ถูก รู้ดีรู้ชั่ว รู้บุญรู้บาปอะไร นี้อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งจะเรียกว่า ธรรมศาสตร์ ก็พอจะเข้าใจได้ นี้อีกตัวหนึ่ง เราจะต้องมีทั้งศิลปศาสตร์และจะต้องมีทั้งธรรมศาสตร์ เป็นควาย ๒ ตัว ลากชีวิตนี้ไปให้ถูกทาง มันก็เป็นความถูกต้อง มีความสะดวกสบาย เดี๋ยวนี้คนในโลก ได้ประพฤติ กระทำไปอย่างน่าสังเวช ที่เคยมีธรรมะ มีศาสนาอยู่ในจิตในใจมาแต่เดิม ก็ปล่อยให้เลือนไป ให้จางไป หรือให้สูญสิ้นไปจนเหมือนกับว่าไม่เอาใจใส่ เลยทอดธุระให้ควายตัวที่ ๑ นั้นตายไปเสีย แล้วก็เหลือแต่ควายตัวที่ ๒ แล้วก็เอาใจใส่มันมากยิ่งขึ้นจนเกินความพอดี ได้แก่การที่โลกทุกวันนี้ อะไรๆ ก็มีแต่เทคโนโลยี สนใจแต่เรื่องเทคโนโลยี หรือศิลปศาสตร์นานาชนิดที่จะให้ได้ผลมาเป็นวัตถุ เป็นความสะดวกสบาย เอร็ดอร่อย สนุกสนาน แปลกประหลาด แก่เนื้อแก่หนัง ซึ่งพวกฝรั่งทำได้ดีที่สุด พวกเราสู้ไม่ได้ ทีนี้พวกเราชาวตะวันออกซึ่งมีความสว่างไสวทางวิญญาณ เรื่องธรรมะ เรื่องศาสนาอยู่กับเนื้อกับตัวคู่ชีวิตจิตใจมาแต่เดิมนั้น ก็ค่อยๆ โง่เข้าทีละน้อยๆ คือไปตามก้นพวกฝรั่ง ไปสนใจแต่เรื่องเทคโนโลยีมากขึ้นๆ จนเรื่องทางฝ่ายจิต ฝ่ายวิญญาณนี้ค่อยๆ จางหายไป ก็แปลว่าเราได้ปล่อย ให้ควายตัวสำคัญ ตัวที่ ๑ นั้นตายไป แล้วตัวที่ ๒ ที่เราจะไปเอาอย่างฝรั่งนั้น ก็ยังทำไม่ได้ ก็เลยได้แต่ควายโง่ๆ ผอมๆ ตัวเล็กๆมา ไม่เหมือนฝรั่งซึ่งมีควายตัวใหญ่ล่ำสันแข็งแรง คือวิชาศิลปศาสตร์หรือเทคโนโลยี ทำปรมาณูก็ได้ ไปโลกพระจันทร์ก็ได้ อะไรก็ได้ แต่มันก็มีควายแต่ตัวเดียวคือควายตัวโง่ ไม่มีความสว่างไสวทางวิญญาณ แม้ว่าพวกตะวันตก สมัยหนึ่งจะมีวัฒนธรรมทางฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณ เช่นวัฒนธรรมของพวกเฮบรู(Hebrew)ที่สูง ในทางฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณมาแล้วสมัยหนึ่งก็ตาม มันก็ได้ปล่อยให้ตายไปแล้ว หมดแล้วไม่มีเหลือ ซึ่งพวกฝรั่งก็สารภาพว่า พระเจ้าตายแล้ว ศาสนาไม่จำเป็น เราเป็นคนที่ไม่มีศาสนาดังนี้เป็นต้น และเขาก็มีเทคโนโลยีเข้ามาแทนมากขึ้นๆ จนเต็มไปหมด เหลือแต่ควายโง่ อ้วนพี มีกำลังพลังสูงในการจะที่นำโลกไปหลงใหลมัวเมาอยู่ในความสุขสนุกสนาน เอร็ดอร่อย ทางวัตถุหรือทางเนื้อหนัง แล้วก็นำมาซึ่งสงคราม แล้วก็นำมาซึ่งความเสื่อมเสียทางศีลธรรม และก็พลอยได้รับความเดือดร้อนกันทั้งโลก โลกอยู่ในสภาพที่เทียมไปด้วยควายโง่ ควายบ้า ควายเปลี่ยวแต่ตัวเดียว ไม่ได้ผูกไม่ได้เทียมอยู่ด้วยควายอีกตัวหนึ่ง คือความสว่างไสวในทางวิญญาณ แม้ว่าจะมีฝรั่งบางคนจะมาสนใจ ในพุทธศาสนา ก็จะเป็นเรื่องหยิบมือเดียวก็ไม่ได้ เมื่อพูดถึงโลกทั้งโลกแล้ว มันก็กล่าวได้ว่าโลกกำลังมีแต่เทคโนโลยี คือศิลปศาสตร์ฝ่ายวัตถุและ เนื้อหนัง ไม่มีความสว่างไสวทางวิญญาณ จึงพลอยเดือดร้อนกันทั้งโลกด้วยเหตุนี้ นี่แหละคือการที่ขาดสิ่งที่เรียกว่าพระธรรม ฝ่ายตะวันออกเราซึ่งเคยมีชื่อเสียงว่าร่ำรวยด้วยพระธรรม ด้วยความสว่างไสวทางวิญญาณ ก็ไปโง่ไปหลง ไปตามก้นฝรั่งเสียอีกอย่างนี้ โลกก็พลอยไม่มีที่พึ่ง หนักยิ่งขึ้นไปอีก ถ้าเมื่อใด ตะวันออกก็ดี ตะวันตกก็ดี เต็มไปด้วยสิ่งทั้งสอง คือศิลปศาสตร์และธรรมศาสตร์ มีควาย ๒ ตัวนี้ จูงลากไปพร้อมๆ กันแล้ว โลกนี้ก็จะเป็น โลกของพระศรีอาริย์ มีความสะดวกสบาย เป็นสุขสงบเย็นขึ้นมาได้ ในพริบตา แต่ถ้าขืนลากด้วยควายตัวเดียวอยู่อย่างนี้แล้ว มันก็ไม่มีทางที่จะมีความสงบสุขได้ นี่แหละคืออานิสงส์ของพระธรรม หรือคุณค่าของพระธรรมที่จะคุ้มครองโลกนี้ให้มีความร่มเย็นเป็นสุข ถ้าเรายิ่งมองเห็นในข้อนี้แล้ว เราก็จะยิ่ง เคารพพระธรรมอย่างสุงสุด เหมือนที่พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ท่านเคารพ แล้วก็เราจะเสียสละให้แก่พระธรรม ได้อย่างไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ อย่าว่าแต่จะมาเดินเท้าเปล่าบนแผ่นดินที่ขรุขระนี้เลย จะไปเดินบนขวากหนาม ให้เลือดไหลซิบไปก็ยังจะทำได้ ถ้ามีจิตใจมองเห็นอานิสงส์ของพระธรรมโดยแท้จริงแล้ว ดังนั้นจึงขอให้ท่านทั้งหลาย จงกระทำในใจโดยแยบคาย ให้มองเห็นประโยชน์ หรือคุณค่าอานิสงส์ของพระธรรมอย่างถูกต้องแท้จริงอยู่ในจิตใจ ในขณะที่เดินเวียนประทักษิณซึ่งจะได้กระทำในโอกาสต่อไปนี้ จงทุกๆ คนเถิด นั่นแหละจะได้ชื่อว่าเป็นผู้มีการเสียสละทั้งทางกาย ทั้งทางวาจา และทั้งทางใจ ใช้เป็นวัตถุสำหรับบูชาพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งสรุปลงในคำๆ เดียวว่า พระธรรม หรือธรรมะ ก็จะไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ และพบพระพุทธศาสนา เราได้รับประโยชน์จากพระธรรมถึงที่สุด และก็บูชาเคารพ เสียสละ ต่อพระธรรมนั้นอย่างถึงที่สุด เช่นเดียวกัน
หวังว่าท่านทั้งหลายจะมีความคิดนึกรู้สึกอยู่ในใจในลักษณะที่กล่าวนี้ ขอให้สละความรู้สึกคิดนึกที่มีอยู่ ก่อนหน้านี้ โดยไม่ต้องไปเอาใจใส่ จะเอาใจใส่แต่ว่าวันนี้เป็นวันที่พระพุทธองค์ทรงเปิดเผยแสงสว่างแห่งพระธรรม แก่สัตว์โลก ด้วยความเมตตากรุณาสูงสุดของพระองค์ จะต้องระลึกนึกให้ได้อยู่เสมอว่าพระพุทธเจ้าท่านประกอบไป ด้วยเมตตากรุณาต่อสัตว์ทั้งหลาย ท่านจึงได้ทนลำบาก ลำบากมากกว่าที่พวกเราเคยทน ท่านทนลำบากในการพยายาม เพื่อจะให้เกิดการตรัสรู้ขึ้นมาให้ได้ ท่านอยากจะรู้เรื่องนี้โดยละเอียดแล้ว ก็จงไปหาอ่านดูจากพระพุทธประวัติ ในตอนที่ว่าด้วยการกระทำทุกกรกิริยานั้นเถิด ท่านจะทราบได้ทันทีว่าพระองค์ได้ทรงเสียสละ ทนความยากลำบาก เพื่อให้เกิดการตรัสรู้ ถึงขนาดที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อจะช่วยสัตว์โลกทั้งหลายให้ได้นี้ ด้วยความเสียสละ มากมายอย่างไร โดยหลักทั่วไปนั้น ถ้าต้องการแต่เพียงจะเป็นพระอรหันต์ ดับทุกข์ส่วนตัวสิ้นเชิงแล้ว ก็ไม่ลำบากมากถึงเพียงนี้ แต่ถ้าประสงค์ถึงกับจะเป็นพระพุทธเจ้าเพื่อช่วยเหลือสัตว์โลกทั้งหลายแล้ว ต้องบำเพ็ญบารมีเพื่อให้เกิดการตรัสรู้ ที่มีคุณลักษณะสูง กว้าง มากกว่าที่จะช่วยตัวเองเพียงคนเดียว ความยากลำบากของพระองค์ในการพยายามเพื่อจะเป็น พระพุทธเจ้าช่วยสัตว์โลกทั้งหลายนี่แหละ เป็นหนี้สินที่มีอยู่เหนือศีรษะของพวกเราทุกคนที่ได้รับประโยชน์จากพระธรรม ของพระองค์ แม้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านก็ต้องทนลำบากในการที่จะดำเนินไปโปรดสัตว์ทั้งหลายในดินแดนที่ห่างไกล ออกไป เพราะว่าในสมัยนั้นไม่มีการพิมพ์หนังสือ ไม่มีวิทยุ ไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีอะไรๆ เหมือนที่มีอยู่ในเวลานี้ ซึ่งเป็น เครื่องสื่อสาร อะไรๆ ก็ต้องแสดงกันด้วยปาก หรือแสดงกันด้วยกิริยาท่าทางที่เนื้อที่ตัว พระพุทธเจ้าจึงต้องเสด็จดำเนิน ไปด้วยความเหนื่อยยากลำบาก เพื่อเห็นแก่ใครสักคนหนึ่งก็ยังทรงกระทำ ขอให้อ่านดูในพระพุทธจริยา ว่าเวลาใกล้รุ่งนั้น พระองค์ตื่นพระบรรทมแล้ว ก็ทำงานที่มีชื่อว่าเล็งญาณส่องโลก เล็งญาณส่องโลกนี้ก็คือทรงพระพุทธดำริ สอดส่องไปทั่วๆ ไปว่า วันนี้เหมาะสมที่จะไปช่วยเหลือผู้ใด เมื่อแน่พระทัยว่าจะเหมาะสมที่จะไปช่วยเหลือผู้ใดแล้ว ก็มีแผนการที่จะไป ช่วยเหลือผู้นั้น คือจะพยายามเสด็จไปบิณฑบาตทางนั้น หรือทิศทางนั้นจนไปพบปะกับบุคคลนั้น แล้วพยายามให้เขาเกิด ความสว่างไสวในทางธรรมขึ้นมาจนได้ นี่เรามองกันในข้อที่ว่าท่านต้องตื่นแต่ดึก เพราะต้องใคร่ครวญว่าวันนี้จะทำงาน ให้สำเร็จสักชิ้นหนึ่งในการช่วยคนสักคนหนึ่งนั้น จะต้องไปทำอะไรที่ไหน เมื่อเรายังนอนหลับสบายอยู่นั้น พระพุทธเจ้าท่านมีงานที่จะต้องทำอย่างสูงสุดถึงขนาดนี้ แล้วจะไม่เรียกว่าเป็นผู้ที่ทนลำบากเพื่อพวกเราได้อย่างไรกัน เพราะฉะนั้นขอให้ท่านทั้งหลายนึกถึงพระคุณข้อนี้แล้ว เห็นความลำบากนั้นเป็นของน่าสนุกสนานเถิด เพราะว่าความลำบากนั้น เป็นแต่เพียงเรื่องเจ็บปวดทางร่างกายบ้าง เดี๋ยวเดียวมันก็หายไป เหนื่อยเหลือเกินแล้ว นอนเสียครู่หนึ่งมันก็หายไป แต่ว่าประโยชน์นั้น ย่อมมีมากและอยู่นาน จึงควรแก่การที่จะเสียสละ อดทน ไม่เห็นแก่ความยากลำบาก แม้ในเรื่องที่น่านึกเรื่องหนึ่งในตอนตรัสรู้ใหม่ๆ ว่า พระพุทธองค์ทรงท้อพระทัย ไม่อยากจะแสดงธรรมที่ตรัสรู้นี้ แก่สัตว์ทั้งหลาย เพราะทรงรู้สึกว่าธรรมะนี้ ลึกและไม่ถูกอัธยาศัยของสัตว์ผู้จมอยู่ในกิเลส ไปสอนก็เขาจะไม่เอาใจใส่ จะไม่ฟัง มันก็จะเสียเวลาเปล่า พระองค์เคยทรงพระดำริอย่างนี้ แต่แล้วก็มีพระดำริอย่างอื่นเกิดขึ้นว่า มันก็ยังมีคนบางคน แม้ไม่มาก จำนวนไม่มากที่อาจจะเข้าใจได้ ถ้าเราไม่สอน คนเหล่านี้จำนวนนี้จะสูญเสียจากประโยชน์ที่เขาจะพึงได้รับ จึงตัดสินพระทัยเฉียบขาดลงไปว่าจะทรงสั่งสอนด้วยความพยายาม ความข้อนี้ จงนึกดูให้ดีว่าพระองค์รู้สึกว่า มันยากลำบากเหลือประมาณในการที่จะกลิ้งครกขึ้นภูเขา หรือเข็นสัตว์ที่จมอยู่ในกองกิเลสให้ขึ้นมาจากกองกิเลสนี้ แต่แล้วก็ยังทรงตั้งพระทัยที่ว่าจะกระทำ แม้ว่ามันจะยากลำบากอย่างไร อาศัยความเมตตากรุณาเป็นที่ตั้ง จึงทรงแสดง ธรรมเผยแผ่พระพุทธศาสนาและได้เป็นมรดกตกทอดมาจนถึงพวกเราในทุกวันนี้ ลองคิดดูเถิดว่าเป็นบุญคุณอันใหญ่ หลวงเท่าไหร่ หากพระพุทธองค์ เกิดท้อพระทัยและไม่ทรงแสดงธรรมขึ้นมาจริงๆ แล้ว พุทธศาสนาก็จะไม่ปรากฏออกมา คือเท่ากับไม่ได้เกิดขึ้นในโลก แล้วเราก็จะไม่ได้รับพระพุทธศาสนา แล้วจะมีหวังอะไรที่ไหนที่จะมานั่งทำพิธีอาสาฬหบูชา กันอยู่ที่นี่ ในเวลานี้ ขอให้คิดดูให้ดีๆ ว่า อะไรๆ มันก็เนื่องมาจากความเสียสละ ความเมตตากรุณา ความอดกลั้นอดทน ของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น พวกเราจึงได้รับประโยชน์ดังที่ได้รับอยู่ในทุกวันนี้จากพระพุทธศาสนา ขอให้ทำในใจถึง ข้อเท็จจริงข้อนี้ไว้ในใจตลอดเวลาที่จะทำพิธีอาสาฬหบูชา จงด้วยกันทุกคน ก็จะได้รับผลของการทำอาสาฬหบูชาถึงที่สุด ไม่มีขาดตกบกพร่องแต่ประการใดเลย ขอให้พยายามกระทำให้ดีทั้งทางกาย ทั้งทางวาจาและทั้งทางใจ โดยนัยยะดังที่ได้ กล่าวมาแล้วกันทุกประการ ให้สำเร็จประโยชน์ในการที่วันนี้เป็นที่ระลึกแก่พระธรรม เป็นวันของธรรม เป็นวันที่พระธรรม ได้ส่องแสงลงไปในโลก คือวันเพ็ญแห่งเดือนอาสาฬหะเช่นวันนี้ ครบรอบปีถึงวันนี้วันหนึ่งแล้ว เราก็จะกระทำพิธีอันนี้ ให้เป็นการปฏิบัติธรรมคือการเสียสละ อย่าทำให้เป็นเพียงเป็นพิธีรีตอง ซึ่งเป็นเรื่องของคนงมงาย แต่จะทำให้เป็นให้ เป็นพิธี หรือวิธีที่เป็นการปฏิบัติธรรม ให้เรามีความมีหนักแน่นมั่นคงในพระธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปทุกปี สุดความสามารถ ของตนทุกๆ ประการเถิด พระธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้...(เป็นการสวดมนต์ นาทีที่ 55.38-59.10) // .