แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เราย้ำ เราย้ำ เออ, ไอ้เรื่อง ที่ควรจะพูดอยู่เสมอ แล้วมันไม่ต้องเป็นเรื่องอะไรยืดยาวออกไป มันเป็นเรื่องซ้ำ ซ้ำกับเรื่องเดียวอยู่เลย แต่ว่ามันพูดในแง่ใดแง่หนึ่ง มุมใดมุมหนึ่ง ให้ละเอียดยิ่งขึ้นทุกที นี่นะ ก็เรียกว่าซ้ำหรือย้ำ เหมือนกับปาฏิโมกข์ ปาฏิโมกข์สวด เมื่อใดมันก็ไอ้ปาฏิโมกข์นั้น ย้ำอยู่อย่างนั้น ไอ้คำว่า ปาฏิโมกข์นี่ก็เหมือนกันก็ต้องย้ำ อยู่ในเรื่อง ทุกข์เรื่องดับทุกข์ โดยยึดมั่นหรือไม่ยึดมั่นเท่านั้นเอง ก็ได้รู้ไว้ว่าทุกที่พูดมันคือย้ำ เฉพาะมุมใดมุมหนึ่ง ส่วนใดส่วนหนึ่งของของทั้งหมด ของไม่ยึดมั่นถือมั่น ของเรื่องไม่ยึดมั่นถือมั่น ขยายออกเป็นส่วนละเอียด ละเอียดออกไป แล้วก็ย้ำอยู่เรื่อย ก็ได้สังเกตเห็นว่า เออ, พูดทีเดียวนี้ไม่สำเร็จประโยชน์ มันเพียงแต่ฟังแปลก ๆ แล้วผ่านพ้นไป ก็เงียบหายไป เพียงแต่ย้ำ มันก็ยัง ครั้ง ๒ ครั้งก็ยังไม่พอ มันจึงย้ำเรื่องเดียวกัน หนักขึ้นไปอีก ละเอียดขึ้นไปอีก ละเอียดขึ้นไปอีก
เรื่องตั้งต้น จุดไอ้จุดตั้งต้นของ ของความรู้สึกที่เดินมาผิด ๆ จนยึดมั่นถือมั่นจนเป็นความทุกข์ เราพูดแล้ว พูดกันแล้ว ไม่น้อยกว่า ๔-๕ ครั้ง แต่แล้วมันก็มีทางที่จะพูด ให้ชัดลงไปอีก ให้ละเอียดลงไปอีก เรื่องจุดตั้งต้น ของความทุกข์ แล้วก็ของสิ่งที่มีชีวิต ของสิ่งที่มีชีวิต เราพูดถึงเรื่องคนก็จริง แต่ว่า มันต้อง หมายถึง สิ่งที่มีชีวิต แล้วก็ถอยหลังไปจนถึง สัตว์ จากคนที่ฉลาดปราดเปรื่องอย่างสมัยนี้ ก็ถอยหลังลงไป ถึง คนที่ไม่ปราดเปรื่องอย่างคนสมัยนี้ กระทั่งคนป่า อ่า, คนป่า คนที่ยังคล้ายสัตว์ หรือว่ายังเป็นสัตว์ กระทั่งสัตว์ที่เลวลงไปอีก กระทั่งถึงสัตว์เลื้อยคลาน กระทั่งสัตว์ในน้ำ เป็นที่สุด เพราะว่าชีวิตมันตั้งต้น ในน้ำ แล้วมันจึงขึ้นบก
เพราะฉะนั้นเราต้องถือว่า บรรดาสิ่งที่มีชีวิตทั้งหมดนี้ มีความเนื่องกัน มีเรื่องราวที่สัมพันธ์กัน มีปัญหาอย่างเดียวกัน เพียงแต่มันสูงต่ำกว่ากันเท่านั้น ดังนั้นควรจะดูว่า นับตั้งแต่ ชีวิตมันเริ่มตั้งต้นขึ้นมา นี่ในน้ำ แล้วมาเป็นสัตว์ แล้วมาเป็นคน จนกระทั่งคนในปัจจุบันนี้ เรื่องที่เกี่ยวกับความทุกข์ มันได้เปลี่ยน แปลงมายังไง ได้พยายามพูดให้เห็นว่า ถอยหลังลงไปเท่าไร มันก็ยิ่งมีความทุกข์น้อยลงเท่านั้น หรือพูดว่า มันยิ่งมีวิวัฒนาการสูงขึ้นมาเท่าไร มันก็ยิ่งมีความทุกข์ มากขึ้นมาเท่านั้น เพราะว่าไอ้ ไอ้วิวัฒนาการนี้ มัน เป็นเรื่อง หลอกลวงอยู่ในตัว คือ ยิ่งฉลาดเท่าไรมันก็ยิ่งโง่ มากเท่านั้น วิวัฒนาการที่ปล่อยมาเองตาม ธรรมชาตนี่ ยิ่งมีมากเท่าไร ที่เขาเรียกกันว่าความฉลาด มันก็ยิ่งกลับเป็นความโง่ คือความยึดมั่นถือมั่นนั่น มากขึ้นเท่านั้น
ไอ้สุภาษิต ไอ้สุภาษิตไอ้เด็ก ๆ หรือสุภาษิต ที่เราพูดกันติดปากว่า ไอ้ยิ่งรู้มาก ยิ่งยากนาน ไอ้นั้นนะ เอามาใช้ได้กับเรื่องนี้ แต่ว่าคนไม่เข้าใจ ใจมันสั้น มันตื้อไปหน่อย ยิ่งรู้มากยิ่งยากนาน ก็หมายความว่า ยิ่งเป็นทุกข์มาก ยิ่งรู้มากยิ่งลำบากมาก แล้วเขามีความหมายตื้น เราต้องการความหมายที่ลึก เออ, ก็ต้อง
มองกันไปถึงไอ้ เงื่อนต้น เมื่อชีวิตเริ่มตั้งต้น ซึ่งยังรู้น้อยหรือยังไม่รู้เลย กระทั่งมันยิ่งรู้มากขึ้น มากขึ้น จนเป็นมนุษย์ปัจจุบันนี้ นี่ก็ยิ่ง เรียกว่ายิ่งรู้มาก ยิ่งรู้มากก็ยิ่งยากนาน ก็ยิ่งมีความทุกข์มาก
เราดูกันทางวัตถุ ก่อนก็ได้หรือทางชีวิตจะยาก เรื่องวัตถุ ชีวิตตั้งต้นในน้ำ อ่า, จนกระทั่งเป็นสัตว์ ชนิดปลาขึ้นมา เรียกว่า เป็นสัตว์สมบูรณ์แบบ เมื่อยังเป็นเซลล์ เป็นอะมีบาเป็นอะไรทำนองนั้น เรียกว่า ยังไม่สมบูรณ์แบบ ยังไม่มีกระดูกสันหลัง ยัง สืบพันธุ์โดยไม่รู้สึก ยังไม่มีความเป็นตัวผู้ตัวเมียด้วยซ้ำไป ตอนนี้ยังไม่นับ พอเริ่มมีกระดูกสันหลัง นี่ก็ถือว่าสมบูรณ์แบบของสัตว์ มีปลาเป็นจุดตั้งต้น แล้วปลานะ มันรู้น้อยเท่าไร เราก็รู้เอาเอง ไปดูปลาในสระก็ได้ แล้วจากปลามาเป็นสัตว์เลื้อยคลาน ครึ่งน้ำครึ่งบก เช่นเต่า เช่นตะกวด เช่นอย่างนี้ มันก็ดีกว่าปลาขึ้นมาหน่อย กระทั่งเป็นสัตว์ทางบก อ่า, สัตว์บกโดย สมบูรณ์ กระทั่งเป็นสัตว์ขึ้นไปอยู่บนต้นไม้สายหนึ่ง จนไป กลายเป็นสัตว์บินไปในอากาศ อีกสายหนึ่ง
ทีนี้ไอ้สายที่มาเป็น สัตว์ เป็นลิง เป็นคน แล้วก็มาเป็นคนเดี๋ยวนี้ สายนี้เป็นสายที่มีวิวัฒนาการ สูงขึ้นมา สูงขึ้นมา คือ รู้ รู้อะไรได้มากขึ้น ตั้งต้นเมื่อมีภาษาพูด ไอ้วัฒ ไอ้วิวัฒนาการชนิดที่เป็นปัญหา ยุ่งยาก ตั้งต้นเมื่อสัตว์มีภาษาพูด เมื่อยังเป็นลิง เป็นอะไรทำนองนี้ มันยังไม่มีภาษาพูด นอกจากภาษาใบ้ มันก็ถ่ายอะไรกันไม่ได้ นอกจากเป็นไปตามสัญชาตญาณ นี้ลิงมาเป็นมนุษย์ ครึ่งลิงครึ่งมนุษย์ มันก็เกือบ จะไม่มีภาษาพูด ไอ้พวกเอลฟ์เหล่านี้ก็ไม่มีปัญญาที่จะถ่ายทอดความรู้กัน จนถึงสมัยหนึ่ง มันฟลุ๊ก เป็นคนมากขึ้นนี้ จนกระทั่งมันมีภาษาพูดทีละคำสองคำมากขึ้น มากขึ้น จนเป็นภาษาที่สมบูรณ์
ทีนี้ไอ้ภาษานี้มันเป็นต้นเหตุ เป็นจุดตั้งต้น ที่ทำให้สัตว์เรา เริ่มเปลี่ยนสภาพ วิวัฒนาการ เหมือน กับวิ่ง วิ่งไปเลย คือคนที่แรกมันรู้อะไร มันก็ถ่ายให้คนทีหลังด้วยภาษาพูด ฉะนั้นไอ้คนทีหลังก็รู้ความรู้ ของคนทีแรกหมด แล้วมันก็รู้อะไรเพิ่มขึ้น เพราะมันพูดจากันได้ มันแลกเปลี่ยนถ่ายทอดกันได้ มันก็ถ่าย ให้คนทีหลังอีก คนชั้นที่ ๓ มันก็ยิ่งรู้อะไรมาก ชั้นที่ ๔ มันยิ่งรู้อะไรมาก เพราะภาษาพูดเป็นเหตุ ดังนั้นวิวัฒนาการทางสติปัญญา มันก็เริ่มมีสูงขึ้นกว่าสัญชาตญาณ ไอ้ตรงนี้ เรียกง่าย ๆ ว่า มันยิ่งรู้มากขึ้น
ทีนี้คนรู้มากขึ้น ก็คิดได้มากขึ้น ก็ทำได้มากขึ้น อ่า, มันก็สร้าง ไอ้วัฒนธรรมทางวัตถุขึ้นมานี่ ทำบ้าน ทำเรือน ทำรังอย่างนี้ดีกว่าเก่า ทำอาหารการกินดีกว่าเก่า เลี้ยงสัตว์ดีกว่าเก่า เรื่อยมาจนจนเดี๋ยวนี้ โดยเอาหน้าที่มันมีการถ่ายในภาษาพูด นี้ภาษาพูดมันปรับปรุง อือ, มันวิวัฒนาการสูงจนมีตัวอักษรแทน นี้มันยิ่งช่วยกันอีก เพราะมันบันทึกลงเป็นตัวอักษร มันมันสูญยาก แล้วมัน อ่า, มันอยู่เป็นหลักฐาน สำหรับที่คนชั้นหลัง ที่จะรับเอา รับเอา จนกระทั่งเรามีไอ้เครื่อง เออ, เครื่องพิมพ์หนังสือนี่ มันก็ยิ่งไปกันใหญ่ มนุษย์เหมือนกับวิ่งหรือเหาะ มีสภาพยิ่งกว่าวิ่ง คือ กลายเป็นเหาะไปเลย
เมื่อสัตว์ยังเป็นปลาอยู่ มันก็เหมือนกับหยุดนิ่งอยู่ มีแต่สัญชาตญาณ พูดกันไม่ได้ ถ่ายกันไม่ได้ อะไรกันไม่ได้ แต่พอมันมันมาเป็นคนที่เริ่มพูดกันได้นี่ มันก็เริ่มถ่ายกันได้ เพราะมันพูดกันได้ ความรู้ของ คนเก่าตกมาเป็นของคนใหม่ คนใหม่ทำมากขึ้นก็เป็นของคน หลังมาอีก มันก็มากขึ้น นี่มนุษย์มันเริ่มวิ่ง ในทางวิญญาณ วิ วิวัฒนาการทางวิญญาณ มันมีลักษณะเหมือนวิ่ง จนกระทั่งเรามีเครื่องมือ Mass Medium ต่าง ๆ มีเครื่องพิมพ์ มีวิทยุ มีอะไรต่าง ๆ มนุษย์มันก็เหมือนกับเหาะไปเลย ในทางวิญญาณ นี่เรียกว่า ความเจริญ เออ, ของ ความรู้สึก ความคิดนึก และอันนี้นะคือ ยิ่งรู้มากยิ่งยากนาน ยิ่งรู้มาก อ่า, ยิ่ง โง่มาก ยิ่งฉลาดมากยิ่งโง่มากเพราะอันนี้ เพราะว่ามันรู้ไปแต่ในทางจะยึดมั่นถือมั่น มันไม่รู้ไปในทางที่จะ ไม่ยึดมั่นถือมั่น
มีพระศาสดาเกิดขึ้นมาเป็นพระศาสดาองค์หนึ่ง ๆ ก็เหมือนกับห้ามล้อ มันไม่อยู่ มันห้ามไม่อยู่ เพราะว่ากระแสหรือเกลียวของมนุษย์ ที่มันจะวิ่งนี่มันแรงเกินไป ดังนั้นจึงห้ามได้แต่บางคน พระพุทธเจ้า ถึงตรัสว่า มันมีน้อยคน ที่จะมีธุลา อ่า, ธุลีในดวงตาแต่เล็กน้อย นะมันมีน้อยคน ถึงกับจะไม่เทศน์ไม่สอน ในสิ่งที่ตรัสรู้นั้น เพราะว่าตรัสมันไม่อาจจะเข้าใจได้ มันอยู่ในเกลียวของความวิ่งจนรั้งเอาไว้ไม่อยู่ อ้าว, แต่คิดว่าคงจะมีบ้าง บางคนมีธุลีในดวงตาแต่เล็กน้อยพอจะสอนได้ พระพุทธเจ้าจึงสอน คนได้ ส่วนพวกพุทธะเจ (นาทีที่14:14) กับพุทธะนั้น ยอมแพ้ไปเลย คือ ไม่สามารถจะสอน ไม่คิดจะสอน เพราะว่าท่านไม่มีสมรรถภาพ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็พยายามสอน เหมือนกะห้ามล้อ ในความวิ่งของมนุษย์นี้ มันก็ได้แต่ บางคน น้อยคนมาก พระเยซูก็สอน พระมะหะหมัดก็สอน พระศาสดาองค์อื่น ๆ ก็สอน มันก็เหมือนกับ ห้ามล้อเล็ก ๆ น้อย ๆ น้อยคนจะเข้าถึง เหลือแต่สมาชิก เป็นบัญชีหางว่าว มันมันไม่ไม่ไม่สำเร็จประโยชน์ มันเป็นคนที่ไม่รู้ แต่ว่ามาสมัครนับถือ นับเป็นสาวก นับเป็นอะไรไป แต่สาวกที่แท้จริง เป็นพระอริยบุคคลนี้ มีไม่กี่คน ในมัชฌิมนิกาย อ่า, มีอยู่สูตรหนึ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่า สาวกของเรา มีจำนวนร้อย จำนวนร้อย ๆ แต่สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมตไตรยนั้นจะมีจำนวนพัน
ไอ้สูตรนั้นมันจะจริงหรือไม่จริงก็ตามแต่ แต่มันมีในพระไตรปิฎกในมัชฌิมนิกายนั้นนะ เอาแต่ใจความว่า ผู้ที่จะ บรรลุธรรมะเป็นพระอรหันต์ในศาสนาของพระพุทธเจ้า นี่มีเพียงร้อย ๆ แล้วในศาสนาของพระเมตไตรยนั้นจะมีเป็นพัน ๆ คือมากกว่า คำว่าร้อย ๆ นี้คิดดูว่ามันน้อยมากนะ เมื่อเทียบกับคนเป็นล้าน ๆ นะ นี่คนที่จะรู้ธรรมะ และหยุดหลุดพ้นไปได้ก็มีเป็นร้อย ๆ ในคนจำนวน
ล้าน ๆ ดังนั้นจึงเหมือนกับว่า เป็นห้ามล้อที่เล็กน้อย จึงห้ามล้อไอ้มนุษย์นี้ไม่อยู่
เพราะฉะนั้นมนุษย์นี้ มันจึงวิ่ง วิ่งจนเหาะไป ในวัตถุนิยม ในกระแสแห่งวัตถุนิยม คือ ตกเป็นทาส ของวัต วัตถุ ความเอร็ดอร่อยจากวัตถุเป็นนาย จึงถือได้ว่าความวิ่งไปตาม ความหลอกลวงของวัตถุที่ตัว สร้างขึ้นเองนั้นนะ เป็นกระแส อันหนึ่งซึ่งมีอยู่ สำหรับให้ความคิดของมนุษย์เดินไปตามนั้น เพราะฉะนั้น มันจึงยิ่งฉลาดก็คือยิ่งโง่ มันยิ่งฉลาดในการสร้างวัตถุ ประดิษฐ์วัตถุเพื่อตัวเอง จะได้ยึดมั่นถือมั่นยิ่งไป กว่าเก่า ดีไปกว่าเก่า หลงใหลมากไปมากกว่าเก่า เราจึงพูดว่ายิ่งฉลาดก็คือยิ่งโง่
สมมุติเดี๋ยวนี้ฉลาดถึงกับไปโลกพระจันทร์ได้ ก็คือ ยิ่งโง่ในการที่หลงยึดมั่นถือมั่น ในความ สามารถ ในการคิดนึกอันนี้ มีตัวกูของกูมากไปกว่าเดิม เพราะฉะนั้นความทุกข์ในโลกจะต้องมากไปกว่า ที่แล้วมาอีก ยิ่งไอ้ยิ่งรู้มาก ยิ่งลำบากมาก นี่คนโบราณไทย ๆ เขาพูด ยิ่งรู้มาก ยิ่งยากนาน ก็คือ มนุษย์นี่ ที่เราพูดว่ายิ่งโง่ อ่า, ยิ่งรู้มากยิ่งฉลาดมาก คือ ยิ่งโง่มาก ยิ่งฉลาดมากยิ่งโง่มาก ยิ่งมี Intelligence มาก ยิ่งโง่มาก ไม่อาจจะจับปลาดุกได้ด้วยน้ำเต้า เหมือนภาพนั้น ใครที่คิดว่าจะพยายาม จะเรียนรู้ธรรมะด้วย Intelligence คนนั้นจะไม่ประสบผลสำเร็จ เหมือนคนใช้ลูกน้ำเต้าจับปลาดุก
เพราะ Intelligence นี่มันตกเป็นทาสของวัตถุ ของ อือ, วัตถุนิยม แบบยิ่งฉลาดมากยิ่งมืดมาก ยิ่งมีสติปัญญามากก็คือ ยิ่งโง่มาก เพราะว่าสติปัญญาชนิดนี้มันไม่ ไม่ใช่ความรู้ที่ถูกต้อง เป็นความรู้ที่ เจริญขึ้นเพราะ หลงในวัตถุนิยม มนุษย์วิ่ง วิ่งจนเหาะไปเลยนี่ก็เพราะอำนาจ ความหลงในวัตถุนิยม พวกที่ยังล้าหลังก็เหมือนกับเดินอยู่ มนุษย์ที่ล้าหลัง ก็ยังเหมือนกับเพียงเดินไปเร็ว ๆ อย่างนี้ นี่พวกฝรั่ง ที่มันฉลาดก็เหมือนกับวิ่ง ที่ฉลาดมากก็เหมือนกับเหาะไป ไปอย่างเร็ว แต่เพื่อไปหาความลำบากมาก ความยุ่งยากมาก ความทุกข์มาก ยิ่งรู้มากยิ่งยากนาน ยิ่งฉลาดก็คือ ยิ่งโง่
นี่ใจความมันสั้น ๆ แต่เพียงเท่านี้ แต่มันสำคัญมากที่สุด ที่จะเป็นจุดตั้งตนของการศึกษา เรื่องความยึดมั่นถือมั่น หรือความไม่ยึดมั่นถือมั่น เรื่องตัวกูของกูนี่ มันตั้งต้นที่จุดนี้ ตั้งต้นที่ จุดที่ มนุษย์เริ่มฉลาด ตัวกูของกูก็เริ่ม เออ, มี เริ่มมี ฉลาดมากไอ้ตัวกูของกูก็ยิ่งมีมาก ไอ้ฉลาดกันถึงที่สุด อย่างสมัยนี้ มันก็ยิ่งมีเต็มที่ ดังนั้นสติปัญญาของมันจึงถูกใช้ไปในทาง ส่งเสริมตัวกูของกู ยึดมั่นตัวกู ของกู และก็ทำลายผู้อื่น เรียกว่า เป็นจุดตั้งต้นของปัญหาของมนุษย์ ปัญหาของมนุษย์เริ่มตั้งต้นเมื่อ มนุษย์เริ่มฉลาด เมื่อยังเป็นปลานี้ มันไม่ความฉลาดอะไร ไปตามธรรมชาติ ผมก็ดูปลามานานพอสมควร แล้วมองเห็นว่ามันไม่มีความฉลาด มีแต่ Instinct ไม่มี Intelligence Instinct นั้นมีมาก มันทำอะไรได้ แปลก ๆ แต่ว่ามันไม่ใช่สติปัญญา ไม่ใช่ Intelligence สัตว์ไม่มี Intelligence มีแต่ Instinct
ทีนี้เพียง Intelligence มันก็เป็นทาสของวัตถุนิยม มันเพิ่งไม่ได้อีกนะ มันต้องถึงขนาด Intuition, Intuitive, Wisdom เป็นญาณทัสนะอย่างของพระพุทธเจ้านี้ เราเรียกสั้น ๆ ว่า Intuition ก็ได้ นี่มันจึงจะรู้ว่า บ้าแล้ว เว้ย, ไอ้ ไอ้วิ่ง ไอ้เดิน ไอ้วิ่งอันนี้ มันจึงสามารถจับปลาดุกได้ คือ หาความหยุด ความดับอะไรได้ ผมชอบใช้ไอ้คำที่จำกันง่าย ๆ Instinct ก็คือว่า สัญชาตญาณของสัตว์ Intellect ก็สติปัญญาของมนุษย์ ธรรมดาปุถุชน Intuitive Wisdom หรือ Intuition นี้ญาณของพระพุทธเจ้า พูดจำง่าย ๆ ก็ ๓ I มันขึ้นด้วยตัว I Instinct, Intellect, Intuition ๓ I ก็จริง แต่มันคนละ I
อย่างสัตว์เดรัจฉาน เราดูที่ปลาดีกว่า เพราะมันเป็นจุดตั้งต้น ของสัตว์ทั้งหลาย มันมีอะไรอย่างไร กี่ร้อยล้านปีหรือว่า กี่พันล้านปีมาแล้วอย่างไร มันก็ยังอยู่อย่างนั้น แน่นอนที่สุด ไอ้ฟอสซิลของปลา เขาว่าอายุ ๓ พันล้านปนี้ี อยู่ในหินก็ยังเหมือนกับปลาเดี๋ยวนี้ ยังมีอยู่หลายชนิด ยังหาได้ มันเรียกว่า ไม่มีสติปัญญาเลย แต่มันก็ก็ก็น่าขอบใจอยู่ มันก็ไม่มีความทุกข์เลย ไปดูสิ ไปนั่งดูปลาสิ มันไม่มีความทุกข์ เลย เรื่องกินก็ไม่มีปัญหาอะไรนัก คุณอย่าไปโง่มากจนเห็นว่า เราไม่ได้กินสัก ๓ ชั่วโมง ๔ ชั่วโมง แล้วก็ เดือดร้อน ปลานี่ไม่ได้กินอาหารอาทิตย์หนึ่ง ก็ไม่ตายและไม่เดือดร้อนนะ มันอยู่ของมันได้ ขออย่างเดียว แต่ให้ไอ้สิ่งแวดล้อมนี้ดี คือน้ำนั่นแหละดี ถ้าน้ำไม่ดี ๓-๔ ชั่วโมงก็ตาย ถ้ามันน้ำปกติตามธรรมชาติ ไม่กินอาหารเลยอาทิตย์หนึ่งก็ไม่ตาย เดือนหนึ่งก็ไม่ตาย แล้วไม่ได้กินก็ไม่ไม่มีอารมณ์ร้าย ไม่มีอารมณ์ หงุดหงิด
ผมเคยดูนกเขา ไก่ เรามีไก่แยะที่สวนโมกข์แห่งเก่านี่ ไก่ป่ามากินไอ้อาหารที่เราให้ จนมันมาเป็น ไก่อยู่กับผม อยู่บนกุฏิ บางวันให้กิน ใหกินเป็นปกติ อิ่มสบาย ทีนี้บาง บางวันเราไม่มีอะไรจะให้เลย มันก็นอนเฉย มาไม่ได้กิน ก็ไปเขี่ยนิด ๆ หน่อย ๆ แล้วก็นอนเฉย เหมือนกับทุกวัน ไม่หิวแล้วไม่กระวน กระวาย แล้วไม่แสดงอะไร จนวันนั้นไม่มีอะไรจะกิน ไม่อยากจะไปกินตามธรรมชาติของมัน เพราะมันกิน ข้าวสุก กินกู๊ อ่า, กินกุ้ง กินหมู กินอะไรเสียจนชิน เพราะเราเลี้ยงมัน แล้วนกเขาก็เหมือนกัน บางวันก ไม่ได้ให้กินอะไร มันก็เฉย ก็ไปนอน เกาะไผ่อยู่ทั้งวัน ไก่นี่ก็ไปนอนในซุ้มกอไผ่ กอไผ่ข้าง ๆ กุฏินี่ เฉย ไม่ดูออกว่าเขากระวนกระวาย แต่เมื่อเอาให้กิน มันก็นั้นแหละ แสดงอาการลุกลี้ลุกลน กินด้วยความหิว เหมือนกัน แต่ไม่ไม่ร้องอุทธรณ์หรือโวยวายอย่างมนุษย์
ปลานี่วันไหนไม่ให้กิน มันก็อยู่อย่างนั้น มันมีอาการอย่างนั้น ไม่ให้กินสัก ๓-๔ วัน มันก็มีอาการ อย่างนั้น ฉะนั้นเรื่องกินไม่มีปัญหา ต้องการไอ้เรื่องสิ่งแวดล้อมให้ถูกต้อง ให้น้ำมีออกซิเจนพอ ไม่มีตาย แต่ถ้าขาดออกซิเจน น้ำเสียนี้ ๓-๔ ชั่วโมงก็ตาย ตายเพราะหายใจไม่ได้อย่างไร ไม่ไม่มีออกซิเจนเข้าไปนี่ ในเนื้อตัว ไปเลี้ยงตัว ดังนั้นเรื่องกินเลยเป็นเรื่องเล็ก สำหรับปลา แต่มันเป็นเรื่อง ใหญ่สำหรับคน ระดับธรรมชาติเอาละ สมมุติว่าเท่ากัน แต่เรื่องกินนี้เป็นเรื่องเล็กสำหรับคน เออ, เป็นเรื่องเล็กสำหรับสัตว์ เรื่อง เออ, เรื่องสำหรับ สำหรับปลา แต่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับคน คนมีปัญหาเรื่องกินแยะ
นี้พอ พอมาถึงเรื่องกาม ไอ้เรื่องกามของปลานี่ก็เป็นเรื่องเล็กลงไปอีก เป็นเรื่องเล็กไปกว่า เรื่องกินอีก เรื่องกาม แต่ของคนนี่เรื่องกามใหญ่กว่าเรื่องกินอีก ความบ้ามันบานปลาย ขยายตัวอย่างนี้ เมื่อไอ้ทางโน้นมันเล็กลงไป ไอ้ทางนี้มันใหญ่ขึ้นมา คนมีปัญหาเรื่องกิน ที่รบราข้าฟันกันนี้ มัน มันมีส่วน เรื่องกินอยู่มาก stock stock อาหารนี่ มันมีปัญหาอยู่ที่อันนี้มาก พอมาถึงเรื่องกาม ไอ้คนมันขยายมาก ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ นี้ขยายมาก ไอ้เรื่องปลามันหดเล็กลงไปอีก เรื่องกินเล็กกว่าเรื่อง อ่า, เรื่องกามเล็กกว่า เรื่องกินเสียอีก
ที่นี้พอมาถึงเรื่องเกียรติ์ ไอ้ปลาหมดเลย ไอ้ของคนนี่ใหญ่เต็มฟ้า เต็มจักรวาล เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ์ของคนนี่มันขยายใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด ไอ้ของสัตว์มันเล็กลง เรื่องกินก็เล็กกว่าของคน เรื่องกาม เล็กลงไปอีก เรื่องเกียรติ์หายไปเลย หรือมันจะมีบ้าง มันก็เพียง สัตว์บางชนิด ที่มีอุปาทานจัด เช่น สัตว์บางชนิด เทียบส่วนแล้ว หมื่นชนิดจะมีสักชนิดหนึ่ง สัตว์ที่จะดุร้าย เช่น ปลากัด เห็นใครไม่ได้อย่างนี้ ดูสิก็มีปลากัดหรือปลาจำพวกปลากัด แล้วปลาอีกหลายล้านชนิดไม่มี หวงถิ่นนี้ก็ ก็ยังมีน้อย หวงคู่ยังมี มาก แต่พอมาเทียบกับคนแล้วมันเป็นเรื่องน้อยมาก จนพูดได้ว่าของมันเล็กลงทุกที เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ์ เล็กลงทุกที ของเราเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ์ใหญ่ออก ใหญ่ออก
ทีนี้จุดตั้งต้นของมัน มันอยู่ตรงที่ว่ารู้จัก มีอะไรเป็นดีเป็นชั่ว ดี หมายความว่า ส่งเสริมตัวเรา ดี คือว่า ได้อร่อย ได้ตามกิเลสนี่คือ ดี มนุษย์เริ่มเป็นทุกข์เหมือนกับที่เขียนไว้ในคัมภีร์ไบเบิล คือ เริ่มกินผลไม้ ตั้งแต่ทีแรก เริ่มรู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว พออดัมกับอีฟกินผลไม้นี้เข้าไป ก็คือ รู้ว่าดีชั่ว แล้วก็ รู้จักยึดมั่นถือมั่น เรื่องดีชั่ว ความทุกข์ก็ตั้งต้นที่จุดนั้น อย่างสัตว์นี้ไม่ ไม่มีว่าดีว่าชั่ว ไม่รู้แบ่งแยก
อะไรดี อะไรชั่ว เพราะฉะนั้นมันจึงไม่มีความทุกข์เรื่อยมา เรื่อยมาจนกระทั่งเป็นคน มีร่างเป็นคนนี้ เป็นคนป่าเกินไป จนไม่มีความหมายของคำว่าดี หรือความหมายของคำว่าชั่ว
แต่พอคนป่ายุคหนึ่งสมัยหนึ่งเริ่มตั้งต้น อ่ะ, แยก แยกสิ่งซึ่งเคยมีเพียงสิ่งเดียวออกเป็น ๒ สิ่งได้ โดยคุณสมบัติที่เรียกว่า ดีหรือชั่วนั้น นั่นคือ จุดตั้งต้นของความทุกข์ แต่คัมภีร์ไบเบิลเขาเขียนไว้ ในรูปนิยาย เป็นรูปของ Methodology คนไม่เข้าใจก็หาว่าเรื่องบ้า ๆ บอ ๆ ของพวก Hebrew ที่จริง เขาเขียนไว้ถูก และตรงกันกับพวกอินเดีย พวกจีน พวกอื่น ๆ ซึ่งแสดง ใจความสำคัญอยู่ที่ว่า มนุษย์เริ่มมี ความทุกข์ ในเมื่อรู้จัก Discriminate ฝ่ายนี้ชั่ว ฝ่ายนี้ดี แล้วก็หลงรักไอ้ดี แล้วก็เกลียดชั่ว นี่แหละความ ยึดมั่นถือมั่น ตั้งต้นอย่างนี้ แล้วสมัยนั้น ดีก็คือ ได้ตามกิเลส ได้ตามความต้องการของกิเลส เพียงเท่านั้น ดีมันมีเท่านั้นในสมัยนั้น แต่มีปัญหาทันที นี่เอา นี่ไม่เอา นี้รัก นี้เกลียด นี้ของเรา นี้ของศัตรู อะไรทำนองนี้
ดังนั้นคัมภีร์ไบเบิลเป็นคัมภีร์ที่ดีมาก ที่เขียนไว้อย่างรัดกุมดี ในรูปว่าไอ้อีอัม อดัมกับอีฟกินผลไม้ ต้นที่หนึ่งรู้ดีรู้ชั่ว พระเจ้าเลยสาปให้เริ่มเป็นจุดตั้งต้นของความทุกข์ แล้วเป็นความทุกข์ถาวรเสียด้วย อ่า, เป็นบาป เป็นบาปถาวรเสียด้วย คือลูกหลานจะต้องได้รับด้วย เพราะลูกหลานจะทำเหมือนอย่างเดียวกับ คู่มนุษย์คู่แรก คือ ยึดมั่นถือมั่นดีชั่ว นี้ตามหลักธรรมะในพุทธศาสนาก็เหมือนกันดิกนะ อุปาทานตั้งต้น เมื่อรู้รู้รู้จักแยกดี แยกชั่ว ไม่อย่างนั้นมัน มันเกิดอุปาทานไม่ได้ ไอ้ตัณหา อย่างหิวข้าว อย่างสัตว์หิว หิวอาหารนี้ ไม่ไม่จัดเป็นตัณหาในความหมายนี้ มันเป็นความหิวตามธรรมดาไม่ใช่ตัณหา
ตัณหาต้องประกอบด้วยอวิชชา ความโง่ เป็นเหตุให้อยาก แล้วความอยากนั้นจึงจะเป็นตัณหา ในส่วนปลาอยากกินอาหาร นี้ไม่ได้ประกอบด้วยอวิชชา หรือคนเราที่เป็นคนไม่ ไม่บ้ามากนัก หิวข้าวตาม ธรรมชาติก็ไม่ถึงกับเป็นตัณหา เพราะมันไม่ได้มาจากอวิชชา แต่เดี๋ยวนี้คนมันโง่จนเป็นนิสัย เป็นอนุสัย พอหิวก็คือ หิวด้วยอวิชชา มันโกรธตัวเอง มันโกรธคนใช้ มันโกรธไอ้คนครัว มันก็ต่าง ๆ ด้วยมานะ ตัณหา อวิชชา อุปาทาน มันไม่ใช่ความหิวอย่างเดียวกับปลาหิว ผมเป็นพยาน ด้วยตนเองได้ เพราะว่าบางทีเราก็ ไม่ได้หิว อย่างกับปลาหิว เราหิวด้วยกิเลส แต่ปลาหรือสัตว์ทั่วไปมันไม่ได้หิวด้วยกิเลส มันหิวตามแบบ ของ Instinct
ส่วนเรามี Intellect สติปัญญา ชนิดที่ยิ่งฉลาดยิ่งโง่นี่เป็นเครื่องหิว นั้นพอเริ่มหิวมันไม่มีความรู้สึก อย่างสัญชาตญาณ มันมีความรู้สึกน้อยใจ ที่ไม่ได้กิน ที่อับโชค อับวาสนานี่ ถ้าไม่มีที่โทษใคร ถ้าไม่มีคนใช้ ไม่มีคนครัว มันก็คิด คิด ความคิดทุจริต เออ, ต่อคนใช้ คนครัว ต่อคนนั่งอยู่ข้าง ๆ อะไรอย่างนี้ อย่างนี้ถือว่า ขึ้นชื่อว่าความหิวแล้ว มันจะเหมือนกันหมด รู้จักแยกความหิวตาม Instinct รู้จักแยกความหิว ด้วยอำนาจเหนือกว่า Instinct คือ Instinct ด้วยแล้วก็บวกไอ้ความโง่เข้าไปด้วย ดังนั้นความหิวชนิดนี้ จะต้องเป็นตัณหา ในเมื่อความหิวอย่างแรก ไม่เป็นตัณหาเลย
มนุษย์จึงมีความทุกข์ เพราะความหิว มากกว่าสัตว์ เช่น ปลา ซึ่งหิว ๆ แล้วก็หาย เลิกกันไปเลย ก็ได้ ๓ วันไม่กินก็ได้ ยังยังมีอาการปกติอยู่ แต่คนถ้า ๓ วันไม่ได้กินนี้มัน มันจะไม่ใช่คน มันมีความ หงุดหงิด งุ่นง่าน มีความคิดนึกไปในทางอกุศลไปต่าง ๆ นานาแล้ว แต่นี่มันต้องยกเว้น คนบางคนนะ ยกเว้นพระอริยเจ้า ยกเว้น ฤๅษี มุนี ชี ไพรอะไรบางคน บางชนิด นี่ซึ่งเขาฝึกมาดี นี้เราว่าปุถุชนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งปุถุชนสมัยนี้ สมัยปัจจุบันนี้ พอหิวขึ้นมาก็เป็นยักษ์เป็นมาร อือ, ทางจิต ทางวิญญาณ ชนิดใดชนิดหนึ่ง
เริ่มรู้จักจุดตั้งต้นของความยึดมั่นถือมั่นกันเสียบ้าง นั่นแหละคือ จุดตั้งต้นของความทุกข์ ของปัญหาของมนุษย์ในโลก เขาประมาณกันว่าสัก ๘ พันปีนี้ เพราะเขาถือกันว่าคัมภีร์ไบเบิล ตอนเยเนซิส นั้น คง คงมุ่งหมายเมื่อ ๘ พันปีมานี้เอง ที่มนุษย์เริ่มจริงจังกับความดีและความชั่ว ก่อนนี้มนุษย์ไม่มี ความรู้สึกจริงจัง กับความดี ความชั่วอะไรนัก แม้เป็นมนุษย์แล้ว มีบ้านเรือนอยู่แล้ว มีอะไรอยู่แล้ว มันไม่จริงจังกับความยึดมั่นถือมั่น เรื่องความดีชั่วอะไรนัก เมื่อ ๘ พันปีมานี้ มนุษย์เข้าใจ คำว่าดี ว่าชั่ว ในลักษณะที่ทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ ได้แล้ว ยิ่งโง่ยิ่งฉลาด เอ้ย, ยิ่งฉลาดยิ่งโง่กันตอนนี้ เขาฉลาดวก ในทางที่ ยึดมั่นถือมั่น เก่งในทางที่ยึดมั่น ถือมั่นมาก ยึดมั่นถือมั่นอย่างแนบเนียน อย่างละเอียดสุขุม ตั้งต้นเมื่อสัก ๘ พันปีมานี้
ถ้าดูตามร่องรอยของ เออ, ซากโบราณสถานโบราณวัตถุก็น่าจะจริง แปลว่าก่อนพระพุทธเจ้าสัก ๕ พันปี มนุษย์เริ่ม เริ่มฉลาดไปในทางยิ่งโง่ คือเริ่มยึดมั่นถือมั่น ดีชั่ว แล้วก็มีความทุกข์ และคัมภีร์ไบเบิล ตอนนั้นก็ยังเขียนว่า ต้นไม้ต้นที่ ๒ ยังมีอีก ไอ้ Tree of life กินแล้วไม่รู้จักตายนั้น แล้วเขาเขาก็เขียนไว้ชัด ว่า มนุษย์ไม่มีโอกาสกิน เพราะพระเจ้าตั้งอารักขาขนาดกินไม่ได้ แล้วมันก็จบเรื่องของพวกคัมภีร์เก่า ที่พูดถึงเรื่องนี้ ที่มีพูดไว้มีเพียงเท่านี้ไอ้คัมภีร์เก่า มาโผล่คัมภีร์ใหม่พระเยซูนี้ สอนเรื่องไม่รู้จักตายนี้ คล้าย ๆ กับว่าจะทำมนุษย์ให้รู้จัก หมดความยึดมั่นถือมั่น แล้วก็ไม่รู้จักตาย คือไม่รู้ ไม่มีตัวตนที่เป็นทุกข์
เพราะฉะนั้นจึงหาคำสอน ในคัมภีร์ใหม่นี้พบ เหมือนกับในพุทธศาสนา ที่ว่ามีภรรยา ก็จงมี ความรู้สึกเหมือนไม่มีภรรยา มีทรัพย์สมบัติก็มีความรู้สึก เหมือนกับไม่มีทรัพย์สมบัตินะ มีความสุขก็ เหมือนกับไม่มีความสุข มีความทุกข์ก็ไม่เหมือน ก็เหมือนกับไม่มีความทุกข์ หรือว่าไปซื้อของที่ตลาด แล้วอย่าเอาอะไรมาอย่างนี้ ของที่หิ้วมาจากตลาดอย่าได้คิดว่าเป็นของเรา เมื่อพระเยซูมีชีวิตอยู่ก็ไม่ได้สอน ด้วยคำพูดชัดอย่างนี้ เพราะฉะนั้นสาวกของ Saint Paul หรืออะไร ที่เขียนลงไปชัดอย่างนี้ ถึงพวก Orenstein (นาทีที่ 40:02) ให้ปฏิบัติกันอย่างนี้ เถิด
แต่เราพอจะพูดได้ว่า คัมภีร์ใหม่นี้ New Testament นี้เริ่มสอนเรื่อง Eternal life ชีวิตที่ไม่รู้จักตาย แล้วก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น เป็นเรา เป็นของเรา ไม่คิดว่าเป็นอะไรเสียเลยก็ดี แต่ถ้าคิดให้คิดว่าเป็นของพระเจ้า บรรดาสิ่งทั้งหลายที่เรากิน เราใช้ เรามีอะไรเป็นของพระเจ้า ไม่ใช่ของเรา แต่ถ้าจะไม่คิดว่าเป็นของใคร เสียเลยได้ก็จะยิ่งดี สังเกตเห็นมาอย่างนั้น นี่คือกรณีที่พุทธศาสนาเราถือว่าเป็นของธรรมชาติ อย่าเป็นโจร ปล้นธรรมชาติ อย่าเป็นโจรตู่เอาของธรรมชาติมาเป็นของเรา ก็แปลว่า ไอ้คำสอนของพระศาสดาคริสต์ ก็ตาม พุทธก็ตาม มุ่งหมายจะห้ามล้อมนุษย์ หยุดมนุษย์ ในเรื่องยึดมั่นถือมั่น เรื่องดีเรื่องชั่ว เอาว่าตัวกู ว่าของกู
แต่แล้วก็มองเห็นอยู่ชัด ๆ ว่าไม่ประสบความสำเร็จเต็ม ๑๐๐% เลย พวกคริสเตียนก็ไม่เข้าใจ เรื่องนี้ ในไบเบิลด้วยซ้ำไป ที่พวกพุทธเราก็เท่า ๆ กัน ไม่เข้าใจเรื่องสุญตา เรื่องอนัตตา เท่า ๆ กับพวก คริสเตียนไม่รู้ไอ้คำสอนใน Orenstein (นาทีที่ 41:29) ข้อนี้ และก็ตีความไม่ถูกแม้แต่ในคัมภีร์เยเนซิส ตั้งแต่ หน้าแรกว่าหมายความว่าอะไร ผมเคยถามแล้วงงไปหมด ตอบไม่ถูก ว่าทำไมมันจึงคล้าย ๆ กับเมื่อ ๘ พันปีมานี้ ผมก็งง เพราะเดี๋ยวนี้เขาก็รู้กันว่ามนุษย์มีมาเป็นล้าน ๆ ปี แล้วทำไมพระพุทธ อ่า, พระเจ้า เพิ่งสร้างมนุษย์ เมื่อ ๘ พันปีนี้ มันก็แย่ แล้วถามว่าทำไม พระเจ้าสร้างแสงสว่างตั้งแต่วันที่ ๑ วันแรก แล้วไปสร้างดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ต่อวันที่ ๔ นี้ อธิบายได้ว่าอย่างไร มันก็นิ่ง อึกอัด ๆ เราก็ไม่กล้ารุกนัก มันเสียมรรยาท ก็แปลว่า เขาไม่มีความรู้เรื่อง หน้าแรก ของคัมภีร์ไบเบิลอย่างถูกต้อง สิ่งที่เรียกว่า The Word ซึ่งก็คือ ความจริงทั้งปวง เขาก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรแน่
ถ้าถือตามหลักของเราก็คือว่า กฎธรรมชาติ The Word คือกฎธรรมชาติ In the beginning is the word ทีแรกที่เดียวมี The word The word คือ The light The light คือ God เขาไม่สนใจจะเข้าใจคำ เหล่านี้เลย พวกคริสเตียน ผมกล้า อ่า, ผมผมเชื่อเพราะผมถามแล้วมันอธิบายไม่ได้ พระเจ้าสร้างแสงสว่าง ตั้งแต่วันที่ ๑ ก็คือสร้างกฏธรรมชาติ ตั้งแต่วันที่หนึ่ง The word นั่นแหละ คือกฎธรรมชาติ พระเจ้าสร้าง แล้วตั้งแต่วันที่ ๑ คือธรรมนั่นแหละ หรือธรรมชาติมีแล้วตั้งแต่ก่อนสิ่งใดหมด วันท่ี ๔ หรือยุคที่ ๔ ถึงจะสร้างพระอาทิตย์ พระจันทร์ ในคัมภีร์ไบเบิลหน้าแรกก็เป็นหนังสือวิทยาศาสตร์ที่ดีที่สุดเลย เพราะมันมีกฎธรรมชาติแล้ว ตั้งแต่วันที่ ๑ ก่อนสิ่งใดหมด เมื่อนั้นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ในสากลจักรวาล นี้ยังไม่มี ยังไม่มี Systemize or solar system or lunarlize ก็ยังไม่มี จนกว่าถึงยุคที่ ๔ จึงเกิดดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ อันนี้มันก็ถูก ไบเบิลหน้าแรกคือบันทึกทางวิทยาศาสตร์ที่ดีเลิศที่สุด ที่มนุษย์ควรจะรู้ แต่มันก็ไม่รู้ แล้วมันก็ตอบไม่ถูก
ถามอย่างเด็ก ๆ ถาม ว่าทำไมสร้างแสงสว่างวันที่ ๑ แล้วมาตั้งดวงอาทิตย์ตั้งวันที่ ๔ นี้ อึกอัก ๆ ไปหมด ดังนั้นไอ้กฎธรรมชาติมันมีก่อนสิ่งใด มันจึงบันดาลสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นมาตามลำดับ แม้กระทั่งมี สัตว์มีชีวิต ก็ยังมีปัญหาเรื่องความทุกข์ จนกว่าจะถึงสมัยหนึ่ง เมื่อมนุษย์มันเริ่มโง่ คือเริ่มรู้จักดีชั่ว คือเริ่มโง่ กินผลไม้นั้นเข้าไป มันอร่อย ความอร่อยทำให้รู้จักความอร่อยและความไม่อร่อย เลยรู้จัก แบ่งแยก อร่อยเป็นดี ไม่อร่อยเป็นชั่ว มันก็มีอุปาทานเกิดขึ้น มันมีความอยากในอร่อย และอยากจะไม่มี ในความไม่อร่อย อยากจะมีในความอร่อย มันก็มีเป็นความอยากของความโง่ อวิชชาก็ตั้งต้น อุปาทาน ก็ตั้งต้น มนุษย์ก็เริ่มมีความทุกข์
นี่เขาเขียนไว้เมื่อ ๘ พันปี ประมาณ เขาไม่ได้เขียนชัดนะ แต่ว่าถ้าเราคำนวณดู มันจะเป็นเรื่อง เมื่อสัก ๘ พันปีมา ก็พอเหมาะ ๆ กัน มนุษย์เมื่อ ๘ พันปีมานี้ เริ่มโง่ เริ่มหลงในความดีความชั่ว มนุษย์ก่อนนั้นไม่เคยหลง มันไม่ปัญหาจะต้องหลง เพราะมันไม่มีปัญหาใด ๆ ที่จะทำให้ ต้องคิดอย่าง กิเลสคิด อย่างในสูตร เช่นใน ในทีฆนิกายนั้นนะ เมื่อมนุษย์ยังอยู่ใน ในระบอบที่ไม่มีอะไรเป็นของใคร ไม่มีความทุกข์เหมือนกัน คือ สว่างขึ้นก็ไปเก็บพืชผัก ไอ้เมล็ดสารข้าวนี้จากในป่ามากิน เขาเรียกว่า ข้าวสาลี แต่ไม่ได้จำเป็นจะต้องเป็นข้าวสาลีอย่างเดี๋ยวนี้ก็ได้ มนุษย์คนหนึ่งก็ไปเก็บเอามา สำหรับกินวันนี้ มนุษย์คนหนึ่งก็ไปเก็บมาแล้วก็กินวันนี้ ถ้ามนุษย์จะ ไปล่าสัตว์กิน ก็ไปล่าสัตว์มาสำหรับกินวันนี้ มันก็ไม่มีความอยาก ความยึดมั่นอะไรนัก นี้นานเข้า นานเข้า ไอ้มนุษย์บ้าคนหนึ่งมันคิดว่า โอ๊ย, ป่วยการ ไปเอามาทีเดียวกินหลายวันดีกว่า นี่มันเป็นจุดตั้งต้นอย่างนี้
ทีนี้มนุษย์อีกคนหนึ่ง ก็คิดว่าเราเอามากินหลายวันดีกว่า พอเอามากินหลายวันดีกว่าทุกคน มันก็หมด มันก็เกิดไม่ทัน แล้วมนุษย์มันก็มากขึ้น ไอ้กิเลสที่เรียกว่า ความมีอะไรเป็นของเรา มันก็เริ่มมีขึ้น เริ่มมีการ Stock แล้วสัตว์ ก็เริ่มเอาสัตว์มาเลี้ยง มาเป็นของเลี้ยง มาผสมพันธุ์ มาอะไร มันก็เริ่มมีความคิด ในทางตัวกูของกู รุนแรงขึ้น รุนแรงขึ้น เรามีสัตว์มากขึ้น เรามีข้าวมากขึ้น เรามีอะไรมากขึ้น มันก็พอแล้ว สำหรับที่จะนอนไม่หลับเหมือนแต่ก่อน นี้เราลองเปรียบเทียบดู ให้เห็นความแตกต่างระหว่าง ไอ้ความ ต้องการตามสัญชาตญาณ กับความต้องการด้วยสติปัญญา มันเริ่มแยกตัวกันตอนนี้ อันนี้มันใช้สติปัญญา กวาดล้อมเอามา หรือว่าผสมสัตว์ เลี้ยงสัตว์มา
ที่นี้ต่อมามันคิดว่า โอ๊ย, เลี้ยงเองทำไม ไปปล้นเอาของผู้อื่นมาดีกว่า จะเป็นข้าวเปลือกก็ดี เป็นสัตว์ก็ดี อะไรไปไปบุกรุก ปล้นของผู้อื่นเอามา แล้วมาสร้างกำลังสร้างอาวุธ สร้างกำลัง นี่มันก็เริ่มบ้า กันแล้วตอนนี้ ไอ้จุดที่มันมียึดมั่นถือมั่นว่าตัวกูของกู มันไกล มันไกล มันย้อนหลังไปกว่านั้น มันเริ่มเป็น ทุกข์แล้ว ตั้งแต่เริ่มมีความคิดที่จะมีตัวกู มีของกู มีอะไร ดังนั้นมันน่าอิจฉาไอ้คนที่เขาอยู่กันสมัยที่ ไม่มีกิเลส ไม่มีสติปัญญา มีแต่ความโง่ แต่มันเป็นความฉลาดอยู่ในตัว แล้วก็น่าสงสารคน ที่พอเริ่มฉลาด ก็คือ เริ่มโง่ พอฉลาดมากก็คือ โง่มาก
อย่างคนเดี๋ยวนี้ พวกฝรั่งที่ว่าเก่งมาก ฉลาดมาก ก็คือยิ่งโง่มาก ยิ่งตีตนไกลออกไปจากความสงบ ความสงบสุข เพราะว่ายิ่งอยากมาก ยิ่งหลงมาก ยิ่งยึดถือมาก ยิ่งจะเอามาไว้เป็นของตัวมาก พระคัมภีร์ สอนไว้ว่า ใครแสวงหาหรือมีไว้มากกว่าความจำเป็น คนนั้นมีบาป เดี๋ยวนี้ไม่มีใครเชื่อ พวกคริสเตียน สมัยก่อน โบราณเขาก็เชื่อ เขาก็ปฏิบัติในข้อนี้ ไม่แสวงหาหรือมีไว้เกินจำเป็นเพราะเป็นบาป ที่นี้พวกฝรั่ง สมัยนี้ ปฎิบัติตรงกันข้าม เพราะฉะนั้นจึงต้องทิ้งศาสนาคริสเตียน นี้ก็กลายเป็นผู้ไม่มีศาสนา
ทีนี้พวกอื่นก็เหมือนกัน พวกพุทธเราก็เหมือนกัน พวกอื่นก็เหมือนกัน มันเริ่มเห็นแก่ตัวมากกว่า เห็นศาสนา มันก็เริ่มทิ้งศาสนา มีศาสนาแต่ปาก แต่บัญชี แต่ทะเบียนเท่านั้น มันก็เป็นกันหมดทั้งโลก นั้นถ้าคริสเตียนกลับไปเป็นคริสเตียนที่ดี พุทธกลับไปเป็นพุทธที่ดี อิสลามไปเป็นอิสลามที่ดี ก็หมดปัญหา มันก็ย้อนกลับไปหาไอ้การควบคุมกิเลสตัณหา โดยสติปัญญา ซึ่งเดี๋ยวนี้มันมีมาก ให้สติปัญญานี้มัน มันหมุนกระแสวก ๆๆ กลับไปหาความสงบ มันก็หยุด มันมันก็ลดไอ้ไอ้ลดสติปัญญาประเภทบ้า สติปัญญาประเภทที่จะไปเป็น ทาสวัตถุนิยมมันก็เริ่มลด มันก็มีสติปัญญาที่ถูกทาง มันจะกลายไปเป็น ญาณทัสนะตามแบบของพระอริยเจ้าขึ้นมา
ดังนั้นผมคิดว่าถ้ามีโอกาสไปพูด พวกที่ประชุมระหว่างชาติใหญ่ ๆ ผมก็จะพูด ว่ารบกันไปพลาง แลกธรรมะกันไปพลาง รบกันไปพลางหมายความว่า มันหยุดไม่ได้แน่ เพราะมันยังโง่ ยังโง่เกินกว่าที่จะ หยุดรบ หรือทำสันติภาพกันได้ มันระแวง มันกลัว มันต้องรบกันไปพลาง ในโลกนี้ต้องรบกันไปพลาง แต่ว่าพร้อมกันนั้นแล้ว คือ แลกเปลี่ยนธรรมะ คือความรู้ข้อนี้ ข้อที่ว่ามนุษย์ยิ่งฉลาดยิ่งโง่ มนุษย์เดินมาใน ทางที่ยิ่งฉลาดยิ่งโง่ ยิ่งบ้า ยิ่งมืด ก็คือวัฒนธรรมทางศาสนานั่นเอง เดี๋ยวนี้รัสเซียกับอัง อ่า, กับอเมริกาก็ แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม แต่วัฒนธรรมทางวัตถุ เรื่องทางวัตถุที่ทำให้บ้ามากขึ้น ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ยิ่งแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมอย่างนี้ ไอ้โลกนี้มันยิ่งบ้าไปตามเดิม
มันต้อง แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมทางวิญญาณ คือ ความรู้ที่อิงอยู่กับศาสนา หรือสติปัญญาของ พระศาสดาของเรา ของเรา ของพุทธ ของคริสต์ ของอิสลาม ของโตรลุสเตอร์ (นาทีที่ 52:15) ของเล่าจื้อ ขงจื้อ ของใครก็ตาม ตะวันออกแลกเปลี่ยนกับตะวันตก ด้วยของที่ดีที่สุด นั่นคือวัฒนธรรมทางวิญญาณ หรือเราเรียกว่าธรรมะเฉย ๆ รบกันไปพลาง พยายามหาของดี ๆ มาแลกเปลี่ยนกันไปพลาง คือ ธรรมะ รัสเซียก็มีพุทธศาสนา อเมริกาก็มีคริส อ่า, คริสเตียน อ่า, คริสเตียนิตี้ มีคริสตธรรมที่ดี รัสเซียอยู่ใน ตะวันออก มันก็มีพุทธศาสนา หรือศาสนาไหนก็ตาม แขนงไหนก็ตาม ที่มันตรงกันหมด ที่สอนให้ทำลาย ความเห็นแก่ตัว ให้เห็นอันตรายของการที่มีตัวกูของกู
ที่จริงมันก็เริ่มกลัว สงครามกันแล้วเดี๋ยวนี้ ทุกชาติมันก็เริ่มกลัวสงครามกันแล้ว เริ่มเบื่อสงคราม กันแล้ว แต่มันกลัวความพ่ายแพ้มากกว่านั้น กลัวความอดอยาก กลัวความเห็นแก่ปากแก่ท้อง มากกว่านั้น มันจึง จึงไม่อาจจะหยุดสงครามได้ แล้วพร้อมกันนั้นมันก็ไม่พยายามจะแลกเปลี่ยน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่สามารถหยุดสงครามได้ คือ ธรรมะ ไม่สนใจ ไม่เข้าใจ เลยไม่มีการแลกเปลี่ยน เพราะฉะนั้นในในใน ระบบของการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างชาติ ระหว่างโลกนี้ แทรกไอ้ธรรมะนี้เข้าไป ให้มีการ แลกเปลี่ยนธรรมะ คือ ของดีทางจิตทางวิญญาณระหว่างกันและกัน ชาติไหนประเทศไหนมี ก็เสนอเข้าไป เพื่อแลกเปลี่ยนกัน อย่างนี้ก็ดี
นี่แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมมีอะไร เขามาสอนให้เราทำการประมงดีขึ้น หรือว่าคนไทยจะให้ ภาพเขียนฝาผนัง ไปให้แก่พวกฝรั่งดู แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมอย่างนี้ มันช่วยอะไรได้ มันเป็นวัฒนธรรม ทางวัตถุ มันก็ช่วยโลกไม่ได้ เพราะไม่รู้จัก เออ, ไม่รู้จุดตั้งต้นของความทุกข์ เออ, ของโลกนั่นแหละ นี่เราต้องแลกเปลี่ยนธรรมะกันไป ให้นานพอ จนทุกคนเข้าใจ ไอ้ความลับของความทุกข์ ไอ้ความลึกลับ ของความทุกข์ ที่มันทำให้ยิ่งฉลาดยิ่งโง่นี่ มนุษย์ทุกคนในโลกนี่ เริ่มรู้จุดตั้งต้นของความฉลาดชนิดที่ ยิ่งฉลาดแล้วยิ่งโง่ ยิ่งฉลาดเท่าไรยิ่งโง่ ค้นพบจุดตั้งต้นอันนี้กันเสียก่อน คือ จุดที่อดัมกับอีฟเริ่มดื้อพระเจ้า กินผลไม้นั่นแหละ
นั่นแหละจุดตั้งต้นอันนั้น มนุษย์เริ่มดื้อพระเจ้าไปกินผลไม้นี่เข้า ไปหลงในความดีความชั่ว ก่อนนี้ ไม่รู้จัก พอรู้จักก็เริ่มหลง เรื่องดีเรื่องชั่ว เรื่องยึดมั่นถือมั่น จุดตั้งต้นนี้ทุกคนจะต้องรู้ ทุกประเทศ ทุกชาติ จะต้องรู้ นี้เมื่อ เออ, พอหาทางแลกเปลี่ยน สิ่งที่จะทำให้มันรู้ เสียจนกระทั่งมันรู้ ให้ความรู้มันระบาดไป ตามประชาชน คนเมือง ตามนักศึกษา ตามมหาวิทยาลัย กระทั่งพวกนี้โตขึ้นไปเป็นนักการเมืองนี่ โลกมันจะเปลี่ยนโฉมหน้า ไปในทางที่ฉลาด ฉลาดจริง ไม่ใช่จะยิ่งฉลาดยิ่งโง่
นี้สำหรับพวกเรา ก็รู้จุดตั้งต้นของความทุกข์ ในโลก คือ ร่างกายที่ยาวประมาณวาหนึ่งนี้ ที่ยังมี ชีวิตอยู่นี้ มันตั้งต้นในวินาทีที่เราเริ่มหลงความดีความชั่ว เราเกิดมาจากท้องแม่ ร้องแง้ ๆ อย่างนี้ ยังไม่รู้จัก ดีจักชั่ว รู้จักเพียงสัญชาตญาณ รู้จักเพียงเรื่องเจ็บ เรื่องปวด เรื่องหิว เรื่องกระหาย มันก็ยังไม่มีความทุกข์ อะไรมาก ไปกว่าธรรมชาติ คือไม่ไม่ไม่แปลกกว่าปลาเท่าใด แต่พอไอ้เด็ก ๆ นี้มันเริ่มได้ยินคำว่า แม่ของกู พ่อของกู ตุ๊กตาของกู บ้านเรือนของกู อะไรของกู เมื่อไรมันเริ่มรู้จัก แยก เป็นระหว่าง ได้กับเสีย หรือดีกับชั่ว กำไรหรือขาดทุน หรืออะไร พอมันเริ่มรู้อย่างนี้แล้ว นั่นนะคือ เริ่มกินผลไม้แบบอาดัมกับอีฟ เข้าไปแล้ว มันเริ่มมีความทุกข์แล้ว
นี่เด็กเหล่านี้ไม่ได้รับการสั่งสอนที่ถูกต้อง เพราะว่าครอบครัว แต่ละครอบครัวละทิ้งศาสนากัน เสียหมด เด็ก ๆ ก็ไปตามบุญตามกรรม ไปตามสิ่งที่มันประสบ เมื่อวัฒนธรรมของพวกฝรั่งทางวัตถุเข้ามา เด็ก ๆ เหล่านี้ก็เป็นทาสอารมณ์หมด พ่อแม่สอนก็ไม่เชื่อ ไม่ฟังแล้ว จุดตั้งต้นมันก็มีแน่นแฟ้น ที่จะเป็น ทุกข์ นี่เป็นพระเป็นเณรแล้วอย่าบ้ามาก อย่าโง่มากถึงขนาดนั้น มันจะต้องตีกลับ ไปในทางที่ไปมีความรู้ ชนิดที่ไม่ ไม่ยึดมั่นถือมั่นเรื่องดีชั่ว เรื่องได้เรื่องเสีย เรื่องกำไร เรื่องขาดทุน อย่างนี้ ที่เรียกว่า อนุสัย หรือสังโยชน์ นั้นสอนกันผิด ๆ ว่ากิเลสนอนนิ่งในสันดาน อ่า, เป็นพื้นฐาน เหมือนกับตะกอนนอนก้น นั้นมันสอนผิด สอนอย่างนั้นเป็นสัสตทิฐิ เป็นมิจฉาทิฐิ
กิเลสต้องเกิดดับ เกิดดับเรื่อย แต่ว่ามันมีความ อ่า, ชนิดหนึ่งมันมีความเคยชินมาก จนเหมือนกับ ไม่ได้เกิดดับ พออารมณ์นี้มา รักทันที พออารมณ์นี้มา โกรธทันที คล้าย ๆ กับว่ามันมีอยู่ตลอดเวลา ที่จริง มันก็ปรุงแต่ง ที่นั่นและเดี๋ยวนั้น แต่เพราะความเคยชินหลายหมื่นหลายแสนครั้ง มันทำให้เร็วมาก จนเรารู้สึกคล้าย ๆ กับว่า มีอยู่ในสันดาน เตรียมพร้อมอยู่ในสันดาน คำว่า อนุสัย ก็แปลว่า นอนอยู่ใน สันดาน ถูก แต่คือความเคยชิน ต่างหาก ความเคยชินที่หมักหมมลงไป หมักหมมลงไป หมักหมมลงไป
สมมุติว่าเกิดมาอายุ ๓ เดือน เริ่มรู้ รู้จักพ่อแม่รู้จักอะไร ๖ เดือน เด็ก ๆ ถ้าเกิดมา ๖ เดือน ก็รู้จักยิ้ม รู้จักพ่อแม่ รู้จักอะไรเป็นทำนอง ของกูอย่างนี้ นี่หลังจากนั้น วันหนึ่ง วันหนึ่ง ก็มีความเคยชินมากเท่าไร เคยชิน จะรัก จะโกรธ จะเกลียด จะโง่ จะหลงนะ มันมีความเคยชินเท่าไร แล้วแล้วเดือนหนึ่งกี่วัน แล้วปีหนึ่งกี่วัน พออายุ มัน ๒๕ ปี สมมุติว่าอายุ ๒ รอบนี้ ไอ้ความเคยชินที่จะรัก จะโกรธ จะเกลียดนั้น นับโดยไม่รู้กี่ล้าน ๆ ครั้งแหละ ความเคยชินนี่เป็นอนุสัย มันก็ยากที่จะถอน ลำบากที่จะถอน ถ้าถอนได้ ก็เป็นพระอรหันต์ แต่มันก็ต้องต่อสู้ ชีวิตมีปะทะ ปะทังบ้าง บรรเทาบ้าง ป้องกันบ้าง ทำลายกันจริง ๆ บ้าง หลาย ๆ อย่าง ตามแบบของวิธีปฏิบัติในศาสนา ให้ความเคยชินนั้นมัน มันถอยกำลัง มันลดอำนาจ ลดกำลัง ลงเรื่อย ๆ จนกว่า ความเคยชินนั้นจะสูญไป เราก็มีสติปัญญาใหม่จริง มีญาณทัสนะ มีอะไรจริง ถ้าความเคยชินนี้ยังอยู่ มันก็เป็นทาสของอารมณ์ ยิ่งฉลาดก็ยิ่งโง่มาก ยิ่งฉลาดก็ยิ่งโกหกเก่ง ยิ่งฉลาดก็ยิ่ง ขโมยเก่ง ยิ่งฉลาดก็ยิ่ง ไปทำเลว ๆ อะไรเก่ง ยิ่งฉลาด คือ ยิ่งโง่ ยิ่งฉลาด คือ ยิ่งเป็นทุกข์ เพราะอำนาจของ สิ่งนี้ ที่เรียกว่าอนุสัยบ้าง สังโยชน์บ้าง แล้วแต่จะเรียก
นี่ก็เป็นความรู้อันหนึ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์ หรือเป็นจิตวิทยาที่มีรากฐานในวิทยาศาสตร์ ที่เราสามารถใช้เป็นเดิมพัน เอาไปแลกเปลี่ยนกับพวกฝรั่ง ว่าวัฒนธรรมทางจิตของเรามีอย่างนี้ ธรรมะ ของเรามีอย่างนี้ ของคริสเตียนมีอย่างไร ของอิสลามมีอย่างไร เอามาแลกเปลี่ยนกัน ผลสุดท้ายก็เป็นเรื่อง เดียวกันหมด ขอให้ตีความให้ถูก อิสลามเขาก็รับคัมภีร์ของพวกฮิบไรว์ (นาทีที่ 01:02:22) คัมภีร์ Old Testament ของคริสเตียน
เล่าจื้อยังพูดคมคายกว่านี้อีก พูดเรื่องเดียวกันนี้ แต่เราไม่ได้ศึกษา ไม่ได้สนใจ ไม่ศึกษา
ที่เล่าจื้อพูดให้มองเห็น ความหลอกลวงของไอ้สิ่งทุกอย่าง ที่เรามองเห็นด้วยตา และจวงจื้อลูกศิษย์นี่ สอนได้ดี อธิบายได้ดีกว่าเล่าจื้อ นี่ถ้าพวกจีนถืออันนี้เป็นเดิมพัน ไปแลกเปลี่ยน ไปต่อรองกับพวกฝรั่ง พวกฝรั่งก็จะเข้าใจได้ เราก็เข้าใจของฝรั่ง ฝรั่งก็เข้าใจของเรา ตะวันอก อ่า, ตะวันตกเข้าใจตะวันออก ตะวันออกเข้าใจตะวันตก แล้วโลกก็มีสันติภาพ แต่เดี๋ยวนี้มันพูดกันแต่ปาก ถึงพวกฝรั่งมันก็พูดว่า จะพยายามทำความเข้าใจ ระหว่างตะวันออกกับตะวันตก แต่มันเหลว เหลว ๑๐๐% มันพูดเพ้อ ๆ ไปบ้าง พูดแบบไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรบ้าง อะไรเป็นของดีของตะวันตก อะไรเป็นของดีของตะวันออก มันต้องเอาสิ่งนั้นมาทำ ความเข้าใจกัน ไม่ใช่มาสอนให้เรา ทำการประมงเก่ง ทำพลังไฟฟ้าเก่ง อย่างนั้น มันไม่ช่วยได้
มันไม่ช่วยให้โลกนี้มีสันติภาพได้ ให้รู้หนังสือให้มาก แล้วไปเรียนเมืองฝรั่งนั้น หรือให้ทำนา ให้ปีหนึ่งมีผลมาก ๒-๓ เท่า นี้มันก็ช่วยไม่ได้ มันเป็นคนเห็นแก่ปากแก่ท้อง มันคิดว่าไอ้โลกนี้ไม่มี สันติภาพ เพราะอาหารไม่พอกิน มันเป็นเรื่องยิ่งฉลาดยิ่งโง่ ถ้าทำให้คนฉลาดจริง มันก็ต้องไม่มีปัญหา อะไรเหลืออยู่ แต่คนไม่รู้หนังสือ คนยังเจ็บไข้ได้ป่วย หรือยังตายมาก หรือคนยังไม่มีอาหารพอกิน นี่มันปัญหาทางวัตถุ เป็นปัญหาเฉพาะหน้าทางวัตถุ จะว่าเป็นต้นเหตุของสงครามบ้าง มันก็ถูกบ้าง เหมือนกัน แต่ไอ้รกรากอันใหญ่ มันอยู่ที่มนุษย์มีกิเลส เห็นแก่ตัว มันจึงเป็นอย่างนั้น เขาสอนเรื่อง ให้มนุษย์ฉลาดเสียก่อน มนุษย์จะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้เอง หนังสือไม่ต้องรู้ก็ได้ นี่ผมกล้าพูด แต่ไม่มีใครเชื่อ เพราะคนเราไม่ต้องรู้หนังสือก็ได้ สอนกันด้วยปากนี่ พอ พูดกันชั่วโมง ปฏิบัติจนตายก็ไม่หมด ปฏิบัติแต่ในทางไม่เห็นแก่ตัว ก็ได้
ทีนี้เรารู้หนังสือเกินไปแล้ว เครื่องมือสื่อสารวิทยุ ก็มีมากเกินไปแล้วที่จะถ่ายทอดกัน แต่สิ่งที่จะ ถ่ายทอดไม่มี สิ่งที่ดีสำหรับการถ่ายทอดยังไม่มี นี่ยิ่งถ่ายทอดเท่าไร ยิ่งบ้ามากขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ของพวกฝรั่งมาทำให้เด็ก ๆ ของเรา บ้ามากขึ้นเท่านั้น ไม่รู้หนังสือเลยดีกว่า ไม่รู้หนังสือฝรั่ง เสียยังดีกว่า ไม่ต้องมีโทรทัศน์ ไม่ต้องมีวิทยุนี้ เสียยังจะดีกว่า เพราะเอามาใช้ถ่ายทอด สิ่งที่ทำให้บ้ามากขึ้น ไม่เอามาถ่ายทอด สิ่งที่ทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์มากขึ้น มันก็เลยเป็นเครื่องมือของพญามารหมด
เรามีสถานีวิทยุกี่สถานี มีหนังสือพิมพ์กี่ฉบับเป็นเครื่องมือของซาตานหมด ที่จะทำให้มนุษย์ เป็นทุกข์ และเลวลง เพราะฉะนั้นเราไม่บูชา ความเจริญแบบนี้ แม้ที่เป็นความมุ่งหมาย เป็นวัตถุประสงค์ ขององค์การสหประชาชาติ ขององค์การไหนก็ตาม ผมไม่เลื่อมใส ผมพูดกับฝรั่งก็พูดอย่างนี้ เพราะยัง ไม่ช่วยให้มนุษย์ลืมหูลืมตา หรือสว่างขึ้นมาเลย กลับทำให้เขาปิดตาปิดหูมากขึ้น
เพราะฉะนั้นขอร้องให้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างประเทศ ในลักษณะที่ทำให้มนุษย์รู้จัก จุดตั้งต้นของความทุกข์ อย่าไปยึดมั่นถือมั่นเรื่องตัวกูของกู เรื่องดีเรื่องชั่ว เรื่องดีกว่าผู้อื่น เรื่องชนะผู้อื่น แล้วมันก็จะค่อย มันก็จะค่อยซาลง ซาลง ผลที่สุดไอ้การเบียดเบียนหรือสงครามนี้ มันก็จะซาลงเอง จะหายไปเองได้ ถ้ามนุษย์มันเป็นมนุษย์กันขึ้นมาจริง ๆ เดี๋ยวนี้มันเป็นกำลัง กำลังเป็นมนุษย์บ้า กำลังวิ่ง กำลังเหาะ กำลังกระโจนไปหาไอ้ความ มืด นี่เราจะพูดว่า จุดตั้งต้นของคนคนหนึ่งก็เหมือนกัน ที่จะมี ความทุกข์ หรือว่าจุดตั้งต้นของโลก ที่จะมีความทุกข์ เมื่อ ๘ พันปีมาแล้ว เริ่มบูชาไอ้ ตัวกูของกูอย่างนี้ เริ่มต้นความทุกข์
ทีนี้เด็ก ๆ เมื่ออายุสัก ๘ ปี มันจะเริ่มตั้งต้นไอ้ตัวกูของกู ก็จะมีความทุกข์ จะเรียกว่า ๘ พันปี หรือ ๘ ปี มันก็คล้ายๆ กัน ที่นี้กว่าจะมีอายุ ๔๐ ปี ๓๐ ปี มันเคยชินเสียแล้ว แล้วมันจึงยาก ละลายออกยาก ล้างออกยาก ฉะนั้นผมพูดที่นี่ก็หลาย ๑๐ ครั้งแล้ว เรื่องเดียวกันนี้ แต่คุณถือเอาไอ้คำอธิบายที่มัน ละเอียด ยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น ในความหมายหนึ่ง ๆ หรือคำหนึ่ง ๆ ซึ่งในวันนี้เราเรียกว่า ไอ้จุดตั้งต้นของตัวกูของกู มันอยู่ที่ตรงไหน ความทุกข์มันก็ตั้งต้น ที่ตรงนั้นและเมื่อนั้น นี้เราก็มีการพูดว่าจะทำลายมันอย่างไร ต่อไป คราวอื่น ๆ อีก เราไม่ละโมบ พูดคราวเดียว วันเดียวทุกเรื่องได้ เราพูดได้วันเดียวก็แต่จุดเดียว ข้อเดียว แง่เดียว ก็ยังไม่ค่อยพอ
นี่ที่คุณเข้าใจนี้ ไม่ได้เสี้ยวหนึ่งที่ผมเข้าใจ ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไง พูดไปเท่าไร ๆ คนฟังก็ไม่เข้าใจ หมดตามที่คนพูดพูด เพราะฉะนั้นมันจึงต้องพูด พูดแล้วพูดอีก มันต้องเน้นหรือเน้น หรือย้ำให้มันชัดเจน มันก็คงจะไม่ซ้ำซากจนน่าเบื่อ ถ้าหากว่าคุณเข้าใจ มากขึ้นทีละนิด ละนิด จะไม่รู้สึกว่า ซ้ำซากจนน่าเบื่อ แล้วก็จำไอ้คำที่ว่า อาจจะไม่มีใครเชื่อก็ได้ ยิ่งฉลาดคือยิ่งโง่ หมายถึง ความฉลาดของมนุษย์ปุถุชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ มนุษย์สมัยปัจจุบันนี้ ยิ่งเรียนมากยิ่งโง่มาก เรียนประถม เรียนมัธยม เรียนมหาวิทยาลัย ไปเรียนเมืองนอก ยิ่งเรียนมากยิ่งโง่มาก ยิ่งไกลจากแสงสว่าง ยิ่งไกลจากความสงบ แล้วไปช่วยกันทำโลกนี้ให้มืดมน เราไม่เลื่อมใส
ดังนั้นพระองค์ไหนจะสึกมุดหัว ลงไปเรียนวิชาอย่างนั้น ก็เอาให้หมด ไปลองดูให้เห็นจริง ว่าผมพูดจริงหรือไม่จริง ก็รู้โดยตนเอง มันไม่มี ไอ้พยานหลักฐานทางวัตถุที่จะมา แฉให้ดูได้ มันเป็น เรื่องจิต เรื่องวิญญาณ ดังนั้นไปชิมดูเอง ไปลองดูเอง ว่าการศึกษาปัจจุบันนี้มันเป็นอย่างไร โลกมนุษย์ใน ปัจจุบันนี้ เป็นอย่างไร ไปเรียนเมืองนอกเมืองนา กลับมาแล้วมันเป็นอย่างไร มันทำให้ยุ่งมากขึ้นหรือเปล่า หรือทำให้มันเขวไกล อ้อมไกลหรือเปล่า เรียกว่า ทิ้ง ทิ้งของดี ๆ ของเดิม ๆ ของปู่ย่าตายาย แล้วมันเป็น อย่างไร พูดซ้ำ ๆ เรียกว่า ธรรมปาติโมกข์ คือ พูดซ้ำ ๆ เรื่องธรรมะที่เราจะต้องเข้าใจในหัวข้อประเด็น ที่สำคัญที่สุด เท่าที่ ผมจะมองเห็นว่ามันสำคัญที่สุด เชื่อก็ได้ไม่เชื่อก็ได้
ไอ้ผลร้ายมันไปอยู่ที่ความนิยมผิด ๆ นิยมความเจริญสมัยใหม่ที่ผิด ๆ เพราะมันหาที่ถูก ๆ ดูยาก เดี๋ยวนี้ยิ่งเลวลงเพราะโลกมันตกอยู่ใต้กำมือของนักการเมือง นักการเมืองมันก็เลวลง ๆ ในประเทศไทย เรานี้เห็นได้ง่ายที่สุด เมื่อ ๑๐ ปีก่อนโน้น เลือกตั้งผู้แทนเฉพาะคน เฉพาะคน ไม่พูดคำหยาบ คำเลวมาก เหมือนคราวนี้ ที่เลือกตั้งประเภทพรรค คุณก็เห็นอยู่แล้ว ได้ยินอยู่แล้ว ระบบคราวนี้เรา เลือกตั้ง ระบบพรรค พูดเลวทราม พูดหยาบคาย พูดโกหกกันทั้ง ๒ ฝ่าย ทั้ง ๒ ฝ่ายเลยที่ที่พูดกัน ทั้ง ๒ ฝ่ายนี้ ไม่ควรจะไปเป็นผู้แทน ไม่ควรจะไปมีอำนาจในรัฐบาล พูดโกหกเพื่อประโยชน์เข้าตัวทั้งนั้น ไม่เอาธรรมะ เป็นหลัก มีแง่ไหนที่เอาประโยชน์ตัวได้ ก็พูดทั้งนั้น แล้วก็ด่าคนอื่น แรงกว่าเมื่อ ๑๐ กว่าปีมาแล้ว
นี่ผมถือว่านักการเมืองในประเทศไทยก็ไม่ได้ดีขึ้น แต่กลับเลวลง โดยพูดคำหยาบมากขึ้น คำโป้ปด มดเท็จอะไรมากขึ้น นี่มันพระพุทธเจ้าห้าม ศาสนาไหนก็ห้าม พระเยซูก็ห้าม ไม่ให้พูดคำหยาบ ไม่ให้พูด โกหก ไม่ให้พูด เพื่อประโยชน์แก่ตัว แต่ฝ่ายต่างหยุดพูดอย่างนี้ แล้วถือธรรมะเป็นหลัก แล้วก็พูดจากัน แต่ที่จะให้มันมีธรรมะอยู่ได้ อย่าเข้าใจว่ามัน โลกมันดีขึ้น หรือแม้แต่ประเทศชาติมันดีขึ้น ในด้านจิต ด้านวิญญาณนี้ มันเลวลง ถ้าใครจะทำประโยชน์ ก็ทำประโยชน์ในทางที่มันดีขึ้น อย่าทำในทางที่มันเลวลง มันไม่ใช่ประโยชน์ เพราะคนที่มีกิเลสมาก มีความเห็นแก่ตัวมาก มีความยึดมั่นมาก นี้จะไปบริหารโลก ไม่ได้ ไม่อาจจะบริหารโลกนี้ ให้มีความสงบได้
ผมพอรู้สึก รู้สึกแปลกใจ หรือเรียกว่ายินดี ทีแรกอ่านหนังสือพิมพ์ว่า นิกสันเขาจะยอมเสียสละ เกียรติภูมิ ประธานาธิบดีคนใหม่นี้ จะยอมเสียสละเกียรติภูมิ เพื่ออดกลั้นอดทน ดึงจูงคนไปสู่สันติภาพ ถือหลักในไบเบิลว่าจะเปลี่ยนดาบให้เป็นคันไถ อะไรทำนองนี้ ผมก็รู้สึก เรียกว่า ถ้าอย่างธรรมดา ก็เรียกว่า ตื่นเต้น แต่แล้ว พอต่อมา ต่อมา พอดู มันก็ไปรูปเดิมอีก มันไม่มีหวังอีก มันก็นโยบายเดิม รูปเดิมอีก คำพูด ที่พูดเมื่อวันที่เป็นประธานาธิบดี ฟังดูแล้วน่าตื่นเต้น ผมขอสำเนาเขามาอ่านดู ทุกบรรทัด มันเป็นเรื่อง ยอมสละเพื่อสันติภาพ จะคอยดูต่อไป โลกมันจะดีขึ้น หรือว่าจะมีสันติภาพ จะใกล้สันติภาพ หรือว่าจะ ดีขึ้นอย่างไร จะคอยดูต่อไป เพราะนี่เขาเป็นเจ้ามือใหญ่ อเมริกากับรัสเซีย ที่จะหมุนโลกไปยังไงก็ได้
ถ้ามันยังหลง อย่างกินผลไม้ดีชั่วนั้นอยู่ ก็มันหวังยาก รีบแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ทางศาสนา กันดีกว่า รบกันไปพลาง แลกเปลี่ยนธรรมะกันไปพลาง ดีกว่า ดีกว่าเอาเงินมาจ้างให้พวกคนหนึ่ง เป็นพรรคพวกของตัว เอาเงินนั้นไปลงทุนให้มีการแลกเปลี่ยนธรรมะ ของพระเจ้ากันเสียดีกว่า แล้วใช้เงิน ไม่มาก ค่าเครื่องบินลำเดียวก็พอที่จะ พิมพ์โฆษณา หรือลงทุน ให้คนเข้าใจธรรมะนี้ ค่าเครื่องบินรบ ลำเดียวก็พอ เดี๋ยวนี้เขาเอาเรือ เอาเครื่องบินรบมาทำลายเสีย เดือนหนึ่ง เดือนหนึ่งไม่รู้กี่เครื่องต่อกี่เครื่อง เป็นเครื่องที่ร่วม ๒๐๐๐ เครื่อง แล้วกระมัง เป็นเฮลิคอปเตอร์อย่างเดียว ของอเมริกัน เครื่องบินอื่นไม่นับ
นี่เราใช้เงินกันอย่างไรในโลกนี้ ใช้ไปตามความพระประสงค์ของพระเป็นเจ้าหรือเปล่า ไม่รู้จุด ตั้งต้นของปัญหา มันแก้ปัญหาไม่ได้ พอพูดขึ้นไม่มีใครเชื่อ ดังน้ันต้องต่อรองกันว่า เอ้า, รบกันไปพลาง คุยกันไป พลาง คุยกันไปพลาง รบกันไปพลาง สนทนาเรื่องพระเจ้ากันไปพลาง เอาละจำไว้ทีก่อนว่า ยิ่งรู้มาก ยิ่งยากนาน ยิ่งฉลาดแล้วก็ยิ่งโง่ต้องแบบนี้ หมดเวลา