แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
...เป็นเวลา ๒๑ น. เศษแล้ว อยากจะพูดอะไรต่อจากที่ได้พูดแล้วเมื่อ ๐๔ น. เมื่อเช้านี้ได้พูดกันถึงเรื่องให้สังเกตให้ดี จากหัวข้อที่เป็นหลักสำคัญที่มันขัดกันอยู่ในระหว่างคำพูดของชาวบ้านกับคำพูดของผู้รู้ คือข้อที่ว่าเมื่อปรารภถึงความสิ้นอายุ ความที่อายุจะต้องสิ้นไป และพวกเทวดาก็บอกว่ารีบทำบุญเข้า ส่วนพระพุทธเจ้าก็ว่ารีบละเหยื่อในโลกเสีย รีบทำบุญกับรีบละเหยื่อในโลกเสียนี้ มันต่างกันอย่างตรงกันข้ามทีเดียว เพราะสิ่งที่เรียกว่าบุญนั่นแหละมันเป็นเหยื่อในโลก โลกสวรรค์หรือพรหมโลกหรืออะไรก็ตาม พระพุทธเจ้าท่านเป็นคนสุภาพ ฉะนั้นจึงไม่พูดตัดหน้าเทวดาองค์นั้นที่มาแนะว่าต้องรีบทำบุญ ท่านพูดเบี่ยงบ่ายไปทางว่าให้ละเหยื่อในโลกเสีย ข้อนี้ก็หมายความว่าคัดค้านเรื่องรีบทำบุญนั่นเอง เรื่องทำบุญนี้มันไม่มีทางที่จะเอาชนะอายุหรืออะไรได้ เพราะมันเป็นไปเพื่อเกิดแล้วเกิดอีก หรือเพื่อตัวกูเพื่อของกูนั่นแหละในรูปใดรูปหนึ่งเรื่อยไป ทีนี้เรื่องละเหยื่อโลกเสียนี้ มันเป็นของยกเลิกหมดทั้งกระบิ คือไม่ทำสิ่งที่จะไปให้เกิดในโลกไหน เทวโลก มารโลก พรหมโลก หรือโลกอะไรก็ตาม นี่มันเป็นเรื่องของคนที่มองเห็นโทษในการที่จะต้องสิ้นอายุหรือการคุกคามของความตาย เพื่อจะต่อสู้กับความตาย นี้เป็นหัวข้อสำคัญที่จะต้องเข้าใจให้ถูกต้อง แล้วเรื่องอื่นๆ มันก็จะผิดไม่ได้ และเราก็ได้พูดกันมาถึงเรื่องการบวช ว่าการบวชนี้มันเป็นวิธีการอันหนึ่งที่จะหยุดตัวกูของกู ถึงขนาดที่เรียกว่าเป็นวัคซีนสำหรับแก้โรคบ้า หมายถึงการบ้าในการท่องเที่ยวไปในโลกนั้นโลกนี้ตามที่เรียกว่ามีบุญ แล้วก็พอใจในบุญ แล้วก็ได้เกิดอย่างมีบุญ ถ้าหากว่าใครเกิดความคิดเห็นไปในทางที่ว่าบวชนี้ก็เพื่อจะสร้างบุญกันขึ้นมาอีก นั่นแหละมันเป็นเรื่องที่มันจะเพิ่มอะไรขึ้น ลองคิดดู ความหวังที่จะให้การบวชเป็นวัคซีนกันบ้า มันก็ล้มละลาย
ทีนี้เราก็จะพูดกันต่อไปถึงข้อที่ว่าจะพยายามทำให้การบวชนี่ เป็นการกระทำชนิดที่จะล้ออายุได้ หมายความว่าถ้าบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง นี่มันก็หมายถึงการที่ไม่หลงใหลในเรื่องตัวกูของกูกันอีกต่อไป อายุที่ล่วงมาแล้วแต่หนหลังนั้นมันเต็มไปด้วยเรื่องอยากดีอยากเก่งกระทั่งมีบุญ เดี๋ยวนี้เรามองเห็นเป็นของเด็กเล่น จนถึงกับอาจจะล้อเลียนได้
ฉะนั้นอยากจะสรุปให้เห็นว่า ถ้าจะให้เรื่องการบวชนี้มันช่วยให้เป็นวัคซีนป้องกันโรคบ้าดีบ้าเก่งบ้าบุญกันได้จริงๆ หรือเร็วๆ แล้ว มันก็ต้องมีการปรับปรุงกันทุกอย่างทุกทางที่มันเกี่ยวข้องกัน ข้อแรกก็อยากจะพูดว่า อย่ามัวฉลาดในการเพิ่มอาหารไปในการหล่อเลี้ยงเชื้อโรคที่มันบ้าดีบ้าเก่งบ้าบุญ คำว่าอย่ามัวฉลาดนี่ มีความหมายพิเศษ พวกคนบางคน หรือว่ามีคนส่วนมากเหมือนกันที่ฉลาด หมายความว่าไม่ใช่คนโง่ แต่แล้วมันมีอะไรบางอย่างที่มีความยึดมั่นถือมั่น เช่นยึดมั่นถือมั่นในเรื่องดีเรื่องเก่งนั้น เขาใช้ความฉลาดในทางที่จะหล่อเลี้ยงความรู้สึกอันนี้เสมอ มันจึงบ้าดี บ้าเก่ง บ้าอะไรมากขึ้นกว่าเดิม ข้อนี้ได้เคยพูดกันมาหลายหนแล้วว่าเรื่องความฉลาดนี้มันมีอยู่ ๒ ชนิด ฉลาดอย่างภาษาโลกๆ มันก็เป็นความฉลาดในการที่จะทำอะไรให้ได้ตามต้องการด้วยเหมือนกัน แต่มันเป็นสิ่งที่อาจจะผิดได้ ในที่นี้หมายถึงฉลาดในการที่จะหล่อเลี้ยงกิเลส มันมีข้อแก้ตัวมีอะไรสารพัดอย่าง ที่จะทำให้หล่อเลี้ยงกิเลสอยู่จนได้ มันไม่ใช่แก้ตัวกับคนอื่น มันแก้ตัวกับตัวเองหรือมันเป็นเรื่องหลอกตัวเอง ให้จิตใจมันตกเป็นฝ่ายที่จะหล่อเลี้ยงกิเลส ฟังดูแล้วมันก็ไม่น่าเชื่อ ทีนี้มันเป็นกิเลสชนิดหนึ่งที่เรียกว่ามายา สาไถยยะ สารัมภะ ความบิดพลิ้ว มันก็มีทางบิดพลิ้วมีทางออกจนได้ที่จะทำไปตามที่เคยชินหรือที่มันอยากจะทำ ทีนี้ถ้าใคร ยิ่งๆ มีใครไปห้ามไปแนะนำเข้าด้วยแล้ว มันก็ยิ่งเอาใหญ่ มีคำพูดฉลาดๆ ต่อสู้หรือแก้ตัวเป็นคุ้งเป็นแควไปทีเดียว ฉะนั้นเราจึงต้องระวังกันมาก ก็อย่าเป็นคนฉลาดชนิดนี้ ความฉลาดชนิดนี้ไม่ใช่ของแปลกหรือของหายากนะ มีทุกคน แต่ว่าไม่มีใครสังเกต ดูให้ดีๆ นะ ความฉลาดในการแก้ตัวให้ตัวเองจนได้ทำสิ่งที่เคยชิน ที่ทำมาจนชิน หรือเป็นนิสัย มันมีกิเลสประเภทหนึ่งต่างหากที่ทำให้บิดพลิ้ว ก็แก้ตัวจนได้ทำการพอกพูนกิเลสจนได้ นี่คือข้อที่ยากลำบากในการที่เราคนเราจะละกิเลสได้ เพราะมีความฉลาดที่เป็นกิเลสอีกส่วนหนึ่ง คอยต่อสู้ให้ คอยแก้ตัวให้ คอยบิดพลิ้วให้ เราเรียกว่าความฉลาดในการที่จะเพิ่มอาหารให้แก่กิเลสที่เคยชิน พระเณรที่ไม่ประมาท จะต้องสังเกตดูข้อนี้ให้ดีๆ ความฉลาดที่จะทำให้ปากแข็ง เสียงแข็ง แก้ตัวให้แก่กิเลสเรื่อยไป จนหนักเข้าๆ มันก็กลายเป็นนิสัย เหมือนอย่างว่าจะขี้เกียจไม่อยากทำอะไรนี่ ขึ้นมาอย่างนี้ มันมีความรู้สึกอันหนึ่งมันก็รู้ว่าขี้เกียจนี้ไม่ดี แต่ความรู้สึกอีกทางหนึ่งมันก็หาข้อแก้ตัวให้จนได้ว่ายังไม่ต้องทำ ยังนอนต่อไปได้ หรือบางทีข้อแก้ตัวนั้นมันก็มีเหตุผล มีสมเหตุสมผล จึงเรียกว่าเป็นความฉลาดชนิดหนึ่งด้วยเหมือนกัน นี่ขืนทำไปๆ มันจะฉลาดมาก จนถึงกับว่าแคล่วคล่องว่องไวในการจะแก้ตัวให้ได้ขี้เกียจให้ได้เหลวไหล นี่เป็นอย่างน้อยที่สุด กระทั่งได้ไปหล่อเลี้ยงกิเลสประเภทที่ว่ายกหูชูหาง มันบิดพลิ้วได้อย่างมากอย่างแรง จนได้มีโอกาสยกหูชูหางต่อไป และหลอกตัวเองให้สบายใจพอใจไปได้ทุกทีเลย นี้เป็นข้อแรกที่เอามาพูด จากการที่สังเกตเห็นกิเลสชนิดนี้ซึ่งผมก็เคยมีแล้วก็เห็นว่ามันมีกันอยู่มากๆ คน เรียกว่าทุกคนก็ได้แต่มันตามมากตามน้อย ฉะนั้นระวังความฉลาด ที่มัน ที่เขา ที่เขาชอบ ที่เขาบูชากันนัก มันก็มี มีโทษมีพิษมีอันตรายได้ถึงขนาดนี้เหมือนกัน
ทีนี้ข้อถัดไปอีก ก็อย่ามัวดื้อด้านอย่างปิดหูปิดตา รักษาหรือสงวนเอาไว้ซึ่งความไม่รู้จักยอม ที่เอามาพูดนี้มันเป็นเรื่องตัวกูของกูที่ยกหูชูหางทั้งนั้น ความไม่รู้จักยอมนี่ มีความหมายกว้างขวางมาก มันมีความเคยชินเป็นนิสัยว่ากูจะไม่ยอมอยู่เรื่อยไป มันหาทางออกที่จะไม่ต้องยอม เมื่อจนตรอกเข้ามันก็ไม่ยอมเอาดื้อๆ นี่เรียกว่าดื้อด้านอย่างปิดหูปิดตา แต่รักษาหรือสงวนเอาไว้ซึ่งนิสัยแห่งความไม่ยอม ถ้าเป็นพระเป็นเณรแล้วก็จะต้องเป็นชั้นที่เลวมาก ความไม่รู้จักยอมนี้ เพราะว่าตามหลักทั่วไปพระพุทธเจ้าท่านสอนให้ยอม แม้แต่ว่าเราไม่ผิด เราเป็นฝ่ายที่ไม่ผิด แต่ในบางกรณีก็เป็นเรื่องที่ควรจะยอม ยอมก็เพื่อไม่ให้มันเกิดเรื่อง ไม่ให้มันเกิดเรื่องขึ้นมา หรือว่าอย่างเลวที่สุด อย่างหยาบอย่างต่ำที่สุด ก็เหมือนเรื่องในชาดกที่ว่าราชสีห์ยอมแพ้หมูสกปรกตัวเล็กๆ เมื่อหมูสกปรกตัวเล็กๆ มันไปท้าราชสีห์ชวนรบกัน ราชสีห์มันก็ยอมแพ้แต่ทีแรก นี่ก็หมายความว่าผู้ที่มีสติปัญญานั้นน่ะ จะรู้จักยอม ไม่ ไม่ดื้อด้านอย่างปิดหูปิดตาเหมือนคนโง่ ทีนี้แม้ในกรณีที่ว่ามันไล่เลี่ยกัน มันพอจะฟัดเหวี่ยงกันได้ มันก็ยังมีส่วนที่จะต้องยอมเพื่อไม่ให้มันมีเรื่องแก่หมู่แก่คณะ นี่ก็ถือเป็นหลักทางวินัยทางระเบียบของหมู่ของคณะ แต่นี้มันก็ไม่เท่าไรหรอก มันไม่ใช่เรื่องวิเศษอะไรนัก เรื่องวิเศษมันอยู่ตรงที่ว่าถ้ารู้จักยอม แล้วกิเลสมันละลายไป ละลายไปเรื่อยๆ ถ้าไม่รู้จักยอม กิเลสมันหนาขึ้นๆ ฉะนั้นการที่ยอมแพ้คนเพื่อให้กิเลสของตัวเองละลายไปนี่ มันก็ได้ ได้กำไรโขทีเดียว ไม่ใช่เป็นเรื่องขาดทุน แต่คนที่มันโง่มาก โง่อย่างดักดานน่ะ ก็มองไม่เห็นประโยชน์ข้อนี้ ก็จะเอาแต่ชนะเรื่อย คือไม่รู้จักยอมอยู่เรื่อยไป ดื้อด้านอย่างหลับหูหลับตา แล้วในที่สุดมันก็มากขึ้นจนเหมือนกับว่าไม่รู้จักยอมแม้แก่ครูบาอาจารย์บิดามารดาครูบาอาจารย์อะไร ก็ไม่รู้จักยอมทั้งนั้น
ความไม่รู้จักยอมชนิดนี้เป็นกิเลสที่ใหญ่โตมาก สำหรับบรรพชิตแล้ว ก็ใช้ไม่ได้ แม้ถึงสำหรับฆารวาสมันก็ยังไม่ดีอยู่นั่นแหละ ฉะนั้นต้องหาเวลาสงบอกสงบใจ สำรวจดูความดื้อด้านชนิดนี้กันไว้บ่อยๆ ที่ทำให้เสียเวลาบวช เสียผ้าเหลือง ไม่คุ้มค่ากันกับที่ว่าลงทุนมาบวช สิ่งที่มีโทษอย่างร้ายกาจอย่างนี้มองข้ามกันไปเสีย ไปมองดูแต่เรื่องอื่น ซึ่งที่จริงก็ไม่ใช่ความผิดร้ายกาจ ก็ดูเป็นเรื่องสำคัญ แต่เรื่องสำคัญอย่างนี้ก็ดูเป็นเรื่องที่ไม่ร้ายกาจ นี่คือข้อที่ว่าบวชๆ เท่าไร บวชจนตาย บวชจนตายแล้วหลายหนแล้วมันก็ไม่เคยได้ประโยชน์จากการที่จะลด ลด ลดกิเลสลงไป คือลดตัวกูของกูลงไป นี้เรียกว่าอย่ามัวดื้อด้านอย่างปิดหูปิดตา รักษาสงวนเอาไว้ซึ่งความไม่รู้จักยอม
ทีนี้ข้อถัดไปอีก ให้รู้จักละอาย ให้รู้จักกลัวต่อตัวบาป ในอาการยกหูชูหางอีกนั่นเอง หมายความว่าการยกหูชูหางของตัวกูนั้นมันเป็นบาปอย่างยิ่ง แล้วก็ไม่เห็นเป็นบาป มันก็เลยไม่ละอายและไม่กลัว ความละอายกับความกลัวนี่เป็นรากฐานของความดีอย่างอื่นๆ ทุกอย่าง แต่เราทุกคนก็ลองพิจารณาดูให้ดีว่าเรามีความละอายมีความกลัว ถึงขนาดที่ควรจะมีกันหรือเปล่า ลองสำรวจดูในการกระทำประจำวัน ในชีวิตประจำวัน ในการพูดจาประจำวัน เป็นอยู่ประจำวันอยู่นี่ แล้วก็ดูให้ดีว่ามันมีความรู้จักอายรู้จักกลัวอย่างที่ควรจะมีกันหรือไม่ หรือจะเป็นพระเป็นเณรด้วยแล้วมันก็ยิ่งมีความสำคัญมาก ทีนี้มันลืมไป ชินๆ จนเคยชินไปในการที่มันไม่ละอายหรือไม่กลัว แล้วไปคิดเสียว่าไม่มีใครรู้ด้วยแล้ว ก็ยิ่งไปกันใหญ่ ถ้ามีความละอายมีความกลัว มันก็รู้ รู้ว่าเรานี่รู้ รู้ของเราเอง ถ้าคนไม่รู้จักอายไม่รู้จักกลัวก็คิดว่าไม่มีใครรู้ของเรา ฉะนั้นมันจึงไม่อายไม่กลัว มันก็เลยได้เป็นคนที่บ้าดีบ้าเก่งบ้าบุญ ยกหูชูหางอะไรอยู่ตลอดเวลา นี่มันทำให้การบวชไม่เป็นบวช แล้วก็ไม่เป็นวัคซีนที่จะป้องกันโรคต่างๆ ที่เป็นความมุ่งหมายโดยตรง
ทีนี้ข้อต่อไปก็ว่าต้องรู้จักสำนึกบาป สำนึกบาปคำนี้มันมีความหมายลึกมาก คือมันต้องออกมาจากความรู้ความเข้าใจหรือความรู้สึกจริงๆ ไม่ใช่ทำพอเป็นพิธีแต่ปากว่า เช่นแสดงอาบัติแต่ปากว่านั้นน่ะ แสดงอาบัติอย่างนกแก้วนกขุนทอง หรือพิธีแก้บาปในศาสนาอื่นๆ ก็เหมือนกัน มันทำตามพิธีประจำวันไปเสีย ไม่เกี่ยวกับความรู้สึกจริงๆ ฉะนั้นต้องมีความรู้ รู้สึกและรู้จักสิ่งที่เรียกว่าบาปแล้วก็ไม่ดื้อไม่กระด้าง มี ก็อาจจะมีความละอายมีความกลัว การสำนึกบาปมันจึงจะมีขึ้นมาได้อย่างถูกต้องอย่างแท้จริง มันต้องรู้จักสำนึกบาปถึงขนาดน้ำตาไหลอยู่ตั้งหลายวันหลายคืน ใครเคยมีอย่างนี้บ้าง ถ้าใครทำได้อย่างนี้ นี่เป็น เป็นวัคซีนอย่างแรงที่จะป้องกันโรคกิเลสนานาชนิด โดยเฉพาะเรื่องยกหูชูหางนี้ ถ้าหากไม่มีการพิจารณาจนมองเห็นแล้วเอามาสำนึกแล้วก็เศร้าแล้วก็เสียใจน้ำตาไหลอยู่หลายวันหลายคืน มันก็ยังไม่พอ ทีนี้มีระเบียบมีพิธีแสดงอาบัติหรืออะไรคล้ายๆ นั้น ขอโทษพระรัตนตรัยบ้างอะไรบ้าง ก็เป็นเรื่องทำอย่างทำแต่ปาก ไม่เคยน้ำตาไหลตั้งหลายวันหลายคืน ฉะนั้นจึงแนะให้ว่ารู้จักสำนึกบาปถึงขนาดน้ำตาไหล แล้วก็ได้ตั้งหลายวันหลายคืน คิดมาทีไรมันก็น้ำตาไหลทุกที นี้มันจะป้องกันได้จริงในการที่จะไม่ให้บาปนั้นกลับมาอีก มันก็มีอำนาจแรงที่พอที่จะระงับการยกหูชูหางได้จริงเหมือนกัน
ข้อถัดไปนี้อยากจะระบุว่าให้เพิ่ม เพิ่มการทำงานด้วยจิตว่างนี่ให้มากขึ้น เรื่องทำงานด้วยจิตว่างนี้เคยพูดกันมาหลายครั้งหลายหนแล้ว คือว่าทำงานด้วยจิตที่ไม่มีตัวกูของกู ฉะนั้นจึงไม่ต้องการจะเอาอะไร จะเอาผลงานอะไรเป็นของกู ไม่หวังจะได้รับรางวัลจากใคร ไม่หวังแม้แต่จะได้ฟังคำว่าขอบใจจากใคร นี่ต้องไม่มีตัวกูของกูถึงขนาดนี้จึงจะเรียกว่า ทำงานด้วยจิตว่าง ฉะนั้นให้นิยมนับถือหลักที่เรียกว่าทำงานเพื่องาน ทำงานเพื่องานนี้มีความหมายมาก มันเป็นสิ่งสูงสุด ทำงานเพื่องานเพราะว่าเราก็มีชีวิตอยู่ ยังไม่ตาย ยังมีกำลัง ฉะนั้นจะใช้มันไปในทางไหนให้มีประโยชน์ ก็ใช้ไป ฉะนั้นจึงทำงานเพราะว่ามันควรจะทำงานก็แล้วกัน แต่ไม่เรียกร้องเอาผลงานจากใครหรือผู้ใด นี่ทำงานเพื่องาน ทีนี้ทำงานเพื่องานชนิดนี้มันเป็นการกำจัดกิเลสอยู่เรื่อยไป ถ้าทำงานเพื่อตัวกูเพื่อของกูมันก็ส่งเสริมกิเลสอยู่เรื่อยไป มันตรงกันข้ามอย่างนี้ ฉะนั้นเดี๋ยวนี้เรายังทำกันน้อยไป การทำงานด้วยจิตว่างนี้ยังทำกันน้อยไป บางทีปากก็พูดว่าทำงานด้วยจิตว่าง แต่ว่าแท้จริงไม่เป็นอย่างนั้น ฉะนั้นไปหัดกันเสียใหม่ ให้วันหนึ่งๆ ทำงานอะไรกี่อย่าง แล้วก็ไปทดสอบดูว่ามันทำงานด้วยจิตว่างจริงหรือเปล่า ถ้ามันทำงานเพื่อเงิน ทำงานเพื่อเกียรติ ทำงานเพื่อให้เขาปลอบใจอะไรทำนองนี้แล้ว ก็ยังไม่เรียกว่าทำงานด้วยจิตว่าง ชาวบ้านอาจจะทำยาก แต่ว่าพระเณรย่อมมีความสะดวกที่จะทำ เพราะมันเป็นอยู่กันคนละแบบ เป็นโอกาสเหมาะที่ว่าผู้บวชแล้วจะฝึกหัดการทำงานด้วยจิตว่างซึ่งเป็นการลดตัวกูของกูอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้นก็ได้แก่ที่เราพูดกันอยู่เป็นประจำวันอยู่แล้ว จะกินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู เป็นอยู่เหมือนกับตายแล้ว คือทำงานโดยไม่ต้องรับผลตอบแทน มาเป็นตัวกูมาเป็นของกู มันต้องเพิ่มขึ้นอีก การทำงานชนิดนี้มันยังน้อยไป ต้องเพิ่มขึ้นอีกเรื่องการทำงานด้วยจิตว่างหรือการทำงานเพื่องาน ไม่เอาแม้แต่ดีหรือเก่ง คือไม่เอาแม้แต่ชื่อเสียงว่าดีหรือเก่ง แม้จะทำให้ดีให้สุดความสามารถนี่ ก็ยังไม่หวังที่จะให้ใครเขายกย่องว่าดีว่าเก่ง หรือจะพูดตัดไปเสียเลยว่าไม่เอาดีไม่เอาเก่งโดยประการทั้งปวง แต่ตั้งใจทำด้วยความรอบรู้หรือสติปัญญาที่เพียงพอให้เต็มที่ของความรอบรู้ก็แล้วกัน ถ้าทำด้วยคิดว่าจะเอาดีเอาเก่ง มันก็เพิ่มอีกแล้ว ก็เพิ่มตัวกูของกู นี่มันไม่ลด อยากจะลดตัวกูของกู ก็ต้องทำทุกอย่างๆ อย่างที่ว่ามาแล้ว ที่มันเป็นข้าศึกแก่ตัวกูของกู มันตัดทอนกำลังของสิ่งนี้ของกิเลสข้อนี้ นี่เรียกว่าเพิ่ม เพิ่ม เพิ่มให้มากขึ้น เพิ่มการทำงานด้วยจิตว่างและให้มันมากขึ้น มันยังน้อยนัก ทีนี้อายุยิ่งมากขึ้น มากขึ้น มากขึ้นนี่ เราก็ควรจะเพิ่มสิ่งนี้ให้มันมากขึ้นไปตาม มันจะได้มองย้อนหลังแล้วเห็นสิ่งที่จะเคารพนับถือตัวเองได้ โดยแอบเคารพนับถือตัวเองไม่ให้ใครรู้ ไม่ต้องให้ใครรู้ ถ้าใครรู้มันก็หมายความว่ามันเป็นเรื่องเอาดีเอาเก่งเอาเกียรติ
ทีนี้ข้อต่อไปก็อยากจะเรียกว่าเพิ่ม อีกเหมือนกัน เพิ่มอาการเป็นอยู่เหมือนกับตายแล้วนี่ หรือตายเสียก่อนตายนี่ ให้มันมากขึ้นไปอีกกว่าที่แล้วมา กว่าข้อที่แล้วมา เดี๋ยวนี้เราไม่เป็นอยู่เหมือนกับตายแล้ว อะไรมานิดหนึ่งก็กระโดดผลุงขึ้นมาทีเดียว นี่มันไม่ใช่คนตาย มันเป็นคนที่คอยระแวงหรือคอยจ้องอะไรอยู่ มีอะไรนิดหนึ่งก็กระโดดผลุงขึ้นมาทีเดียว คอยเงี่ยหูฟังหรือคอยแอบฟังว่าใครนินทาเราบ้าง คอยเป็นห่วงอยู่เสมอว่าใครจะว่าอะไรเรา เพราะมันคิดอย่างนี้ หรือมันคิดว่าจะมีใครว่าอะไรเรามากเกินไปนี่ มันจะต้องขาดทุนมาก คือเพียงแต่คิดอย่างนั้นเท่านั้นแหละ คือว่าคอยฟังว่าใครจะนินทาเราบ้างเท่านี้เอง มันก็เพิ่มตัวกูของกูจัดขึ้นมา มันเตรียมที่จะยกหูชูหางยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม กว่าปกติ ถ้าเป็นอยู่อย่างคนตายแล้วมันก็หมายความว่าไม่มีใครด่า ไม่มีใครทำอะไรเอา ไม่ต้องระแวง หรือว่าใครจะไปด่าคนที่ตายแล้วมันก็ไม่ลุกขึ้นมาต่อสู้หรือด่าตอบอะไร ฉะนั้นเพิ่มอาการชนิดนี้ให้มากเข้าไว้ ถ้าใครด่า ก็เป็นเหมือนกับคนตายแล้ว
ภาษิตในพระคัมภีร์มันก็มีเหมือนกันที่ว่า มีตาก็ให้เหมือนตาบอด มีหูก็ให้เหมือนหูหนวก มีลิ้นก็ให้เหมือนคนใบ้คือไม่พูด เกิดเรื่องอะไรมากระทบ ก็ทำให้เป็นคนที่ตายแล้ว เกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็ให้เหมือนกับคนที่ตายแล้ว คืออย่าไปรับอารมณ์นั้น อย่าให้อารมณ์นั้นมันมาทิ่มแทงจิตใจได้ นี่คือเหมือนกับตายแล้ว นอนเสียให้เหมือนกับคนที่ตายแล้ว การเป็นอยู่เหมือนกับตายแล้วหรือว่าตายเสียก่อนตายนี่ มันยังน้อยไป มันยังมีกันน้อยไป ก็จึงแนะนำว่าให้เพิ่มให้มันมากขึ้นกว่าเดิม มันมีคำอธิบายอย่างอื่นอีกมาก เรื่องอาการของคนที่เป็นอยู่เหมือนกับตายแล้วนี้ นี่ยกมาพูดก็เพียงเป็นตัวอย่างเท่านั้น เดี๋ยวนี้มันไวมากเกินไป มันไวยิ่งกว่าคนเป็นๆ เสียอีก มันไวที่จะรับอารมณ์ มันไวที่จะเอามาขยายให้เคือง เอาเรื่องเล็กๆ มาขยายให้เคือง เขาว่าเอานิดเดียวมันก็เอาสิบคูณเอาร้อยคูณพันคูณ มันก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ นี่คือการที่มันมากเกินไปจนกระทั่งมันเคยชินเป็นนิสัยแล้วจะลำบากมาก มันจะระแวงมันจะสะดุ้งอยู่เรื่อยไป ก็เลยไม่มีความสุขด้วย แล้วมันก็จะมีตัวกูของกูแรงขึ้นด้วย มันก็เป็นถึงขนาดที่ว่าเป็นบ้า ฉะนั้นถ้าว่ามันเป็นอยู่อย่างพยามยามที่จะเป็นอยู่เหมือนกับคนที่ตายแล้ว หรือตายเสียก่อนตายนี่ มันก็เป็นนิพพานอยู่เรื่อย คือไม่มีเรื่องร้อน ไม่มีเรื่องทุกข์
ข้อต่อไปก็อยากจะพูดว่า มีครูบาอาจารย์กันเสียบ้าง หมายความว่ามีครูบาอาจารย์ที่จริง ที่เป็นครูบาอาจารย์ตามความหมายของคำว่าครูบาอาจารย์กันให้จริงๆ เสียบ้าง เดี๋ยวนี้มีอาจารย์แต่ปาก มันเรียกอาจารย์กันได้ง่ายๆ ทั้งบ้านทั้งเมืองจนกระทั่งมันเฟ้อไปหมด แต่ว่าไม่ได้ทำให้มันเป็นครูบาอาจารย์ที่แท้จริง การที่จะเป็นครูบาอาจารย์ที่แท้จริงได้นี่มันเป็นฝ่ายที่ลูก ฝ่ายลูกศิษย์จะต้องทำ หรือว่าทำหน้าที่ให้ถูกต้อง ครูบาอาจารย์จึงจะมีขึ้นมา ปฏิบัติตามหน้าที่ให้ถูกต้อง มันจึงจะเป็นการทำให้มีครูบาอาจารย์ขึ้นมา ไม่อย่างนั้นมันก็มีแต่ปาก มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร มันเป็นเรื่องตามธรรมเนียมหรือเป็นเรื่องพูดแต่ปาก และข้อนี้มันคู่กันไป มันเลยกันไปเป็นคู่กันกับเรื่องพระพุทธเจ้าในที่สุด คือมีพระพุทธเจ้าที่จริงกันเสียบ้าง อย่ามีพระพุทธเจ้าแต่ปาก ในเวลาทำวัตรสวดมนต์อย่างนี้ก็มีพระพุทธเจ้าแต่ปาก ไม่มีพระพุทธเจ้าจริงๆ ถ้าจะมีพระพุทธเจ้าจริง มันอยู่ที่การกระทำให้สมกับที่ว่ามีพระพุทธเจ้า ถ้าเรามีพระพุทธเจ้าเป็นของเรา เราจะต้องทำอะไรบ้าง เราก็ต้องทำสิ่งนั้น แล้วพระพุทธเจ้าจึงจะมี มีสำหรับเรา เดี๋ยวนี้เราว่าง่ายๆ แต่ปาก มันก็มีพระพุทธเจ้าชนิดแต่ปาก มีค่าเท่ากับน้ำลายที่เสียไปในการพูดคำๆ นั้น อย่างนี้คือพระพุทธเจ้าที่มีกันอยู่โดยมาก ก็ไม่ใช่พระพุทธเจ้าจริง มันเป็นเรื่องอย่างเดียวกับครูบาอาจารย์ เดี๋ยวนี้ก็มีครูบาอาจารย์กันแต่ปาก เช่นเดียวกับที่มีพระพุทธเจ้าแต่ปาก ถ้าไม่คิดมันก็ไม่เห็น เรื่องนี้นะ ถ้าไม่คิดก็ไม่เห็น เพราะมันเคยชินมากเกินไป
ฉะนั้นธรรมเนียมโบราณที่เขาให้ พอถึงเวลาแล้วก็ให้นึก ให้สำรวมจิตใจนึกถึงคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ของบิดามารดาครูบาอาจารย์ นี่ก็เพราะมุ่งหมายข้อนี้ คือมุ่งหมายให้คนๆ นั้นมี บิดามารดาจริงๆ เสียบ้าง มีครูบาอาจารย์ที่จริงๆ เสียบ้าง กระทั่งมีพระพุทธเจ้าที่จริงๆ กันเสียบ้าง อย่ามีแต่ปาก มันต้องมีบิดามารดาครูบาอาจารย์หรือพระพุทธเจ้าจริง มันจึงจะช่วยได้ ฉะนั้นถ้ามีแต่ปาก มันก็ช่วยแต่ปากเท่าๆ เท่าไปเท่ามากับที่ลงทุนเพียงแค่เสียน้ำลายไปนิดเดียวในการพูดคำนี้ออกไป ฉะนั้นผลที่เกิดขึ้นมี้มันจะต้องเท่ากันเสมอ ทำแต่ปากมันก็ได้ผลสักว่าแต่ปาก ทำไม่จริงมันก็ได้ผลเป็นความไม่จริง เป็นของปลอมอยู่เรื่อยไป ทั้งหมดนี้มันเป็นตัวอย่างที่ว่าเราจะบวช หรือจะเป็นพระเป็นเณร กันให้เต็มตามความหมายนี่ มันต้องทำอย่างนี้ คือมันเนื่องกับการทำจริงๆ ทั้งนั้น เรื่องพิธีรีตองนั้นมันก็เป็นเรื่องพิธีรีตอง ทำพิธีบวชเสร็จ มันก็เป็นพระเป็นเณรแต่ตามพิธี ที่มาว่าอะไรอยู่โหวกๆ ตามบทที่ต้องสวดต้องท่อง มันก็เป็นแต่เพียงเท่านั้น ในจิตใจมันเป็นไม่ได้ ถ้าจะให้จิตใจมันเป็นได้ มันก็ต้องทำให้ได้จริงๆ ในการที่จะลด ลดตัวกู ลดของกูนี่ กิเลสทั้งหมดมันมารวมอยู่ที่นี่แห่งเดียว แต่แล้วมันก็มีหลายแง่หลายมุม สิ่งที่เรียกว่าตัวกูของกูนั้นมันหลายแง่หลายมุมอย่างที่พูดมาแล้ว มันทำให้คดโกง มันทำให้บิดพลิ้ว มันทำให้ไม่รู้จักอาย มันทำให้ยกหูชูหาง หลายสิ่งหลายอย่าง หลายแง่หลายมุม จนจับไม่ค่อยจะไหวคือป้องกันไม่ค่อยจะไหว ถ้าใครทำได้ คนนั้นก็เป็นพระจริงเป็นเณรจริงเป็นผู้บวชจริง ถ้าใครไม่ทำในส่วนนี้ มันก็เป็นแต่เพียงพิธี เป็นแต่เพียงบัญชี เป็นแต่เพียงธรรมเนียม นี่คือข้อที่การบวชมันไม่เป็นเหมือนวัคซีนที่คอยป้องกันโรคนี้ ไม่ป้องกันแล้วก็ไม่แก้ไข ไม่อะไรหมด ทีนี้อายุมันก็ล่วงไปๆ อายุทางเนื้อหนังมันก็มากขึ้น และอายุทางวิญญาณมันก็ลดลง มองดูข้อนี้กันเสียให้ดีๆ อายุทางเนื้อหนังมันก็เพิ่มขึ้นเพราะเวลามันก็ล่วงไป อายุมันก็เพิ่มขึ้น เนื้อหนังมันก็แก่ไป แต่ว่าอายุทางวิญญาณนั้นมันยังไม่เพิ่มขึ้น แล้วมันกลับจะลดลง คือว่าต้องทำให้ถูกวิธี ให้ตรงตามเรื่องตามราว ให้มันเป็นการเพิ่มอายุในทางสติปัญญาทางวิญญาณ อายุทางเนื้อหนังนี้ก็ไม่สำคัญ แล้วเราควรจะลดมันเสียด้วย ลดอายุฝ่ายเนื้อหนังและไปเพิ่มอายุฝ่ายวิญญาณให้มันมากขึ้น ลดอายุทางเนื้อหนังก็คือว่าขยันล้อมันเรื่อยๆ ล้อความโง่ ความหลง ความเป็นทาสของวัตถุ ความมีตัวกูของกูที่ยกหูชูหาง ถ้าว่าเรามีการล้อเรื่องทางเนื้อหนังอยู่อย่างนี้มันก็เป็นการเพิ่มให้แก่เรื่องทางวิญญาณ
ฉะนั้นการล้ออายุทางเนื้อหนังนี้มันก็มีประโยชน์ ทำให้สิ่งที่เรียกว่าชีวิตนั้นมันเป็นไปถูกทาง นี่การล้ออายุแบบนี้มันก็คือการต่ออายุชนิดที่แท้จริง คือทำให้มันมีประโยชน์ ทำให้มันสะอาด ทำให้มันถูกต้อง ให้มันขยายสิ่งที่เรียกว่านิพพานนั้นออกไป เวลาที่เป็นนิพพานนี่มันถูกขยายออกไป เวลาที่เป็นวัฏฏสงสารให้มันหดเข้ามา ฉะนั้นชีวิตของเรามันก็เต็มไปด้วยอาการของนิพพานมากขึ้น ลดอาการของวัฏฏสงสารเสียเรื่อยๆ ไป ทีนี้สำหรับสิ่งที่จะสะดุดตาสะกิดใจ มันก็มีอยู่พร้อมแล้ว พูดกันเล่นสนุกๆ ก็ได้ ในวัดเรา ที่ตรงนั้นมันมีเสือเน่าอยู่ตัวหนึ่ง นายสว่างเขาเป็นคนทำขึ้น เสือตัวนั้นมันกำลังเน่า เรามีเสือเน่าเอาไว้แลบลิ้นหลอกคนที่อยากจะเก่งกว่าใครๆ ในวัด พระก็ดี เณรก็ดี องค์ไหนอยากจะเก่งกว่าใครๆ ในวัด เรามีเสือเน่าตัวนั้นไว้แลบลิ้นหลอกคนนั้น ใครยกหูชูหาง ก็ให้เสือตัวนี้มันแลบลิ้นหลอก ให้มันรู้จัก ลดราวาศอกเหมือนกับเสือที่กำลังเน่า นี่เรามีมะพร้าวนาฬิเกร์กลางทะเลขี้ผึ้ง ไว้หล่นใส่หัวคนที่ฉลาดในการที่จะรักษากิเลสเอาไว้ เป็นพระเป็นเณรก็ได้ เป็นฆราวาสก็ได้ มันฉลาดในการที่จะถนอมกิเลสเอาไว้ ก็ขอให้มะพร้าวนาฬิเกร์นี้หล่นรดหัวมันบ่อยๆ นี่เราไม่ได้มีไว้เฉยๆ มีไว้หล่นรดหัวคนที่ฉลาดในการที่จะถนอมกิเลส ฉะนั้นไปนั่งดูให้ดีๆ ว่ามันไม่ใช่เสียหลายอะไร และมีก้อนหินพูดได้ วัดเรามีก้อนหินพูดได้ทั่วไปหมด เอาไว้ทักทายปราศรัยกับนักทัศนาจรทั้งตัวผู้และตัวเมีย ทั้งตัวเล็กและตัวใหญ่ที่มันช่างไม่รู้อะไรเสียเลย ว่าวัดนี้มีไว้ทำไมกัน ว่ามหรสพทางวิญญาณนี้มีไว้ทำไมกัน มันก็ไม่สนใจและไม่รู้จัก มันมีแต่อาการของคนยกหูชูหาง เอะอะวุ่นวายไปหมด นี่เป็นนักทัศนาจร มีทั้งตัวผู้มีทั้งตัวเมีย มาเที่ยวแสดงกิริยาอาการอะไรต่างๆ ที่ไม่ควรจะมีในวัดในวา แล้วก็มีต้นไม้ที่ร้องเพลงได้ที่พูดได้ ต้นไม้ของเราก็พูดได้ ร้องเพลงได้ เอาไว้ร้องเพลงพระธรรม ธรรมะคีตา ไว้แข่งกับเพลงสากลที่พวกพระพวกเณรชอบแอบเปิดวิทยุฟังกันนัก นี่เรามีต้นไม้ไว้ร้องเพลงธรรมะคีตาของพระพุทธเจ้า แข่งกับพวกนี้ ถ้าใครมองเห็นได้อย่างนี้ก็วิเศษ เป็นเรื่องดีอย่างยิ่ง ก็ยังมีนกกางเขน อกสีแดง ที่ร้องเวลาตีห้านั้น มีนกกางเขน อกสีแดง ไว้ถลกหนังหัวพระเณรที่ชอบนอนสาย นกกางเขนนี้ไว้ถลกหนังหัวพระเณรที่ชอบนอนสาย อย่าให้มันนอนสาย ให้มันรู้จักตื่นแต่ดึกๆ ไหว้พระสวดมนต์หรือทำอะไรก็ได้ ก็ยังดี มันยังดีกว่านอนสาย มีมดมีแมลงมีปลวก ที่ขยันขันแข็งที่สุด ปลวกนี่ เป็นสัตว์ที่ได้รับยกย่องว่าขยันที่สุด นี่เอาไว้เป็นเพื่อนคุยกับพระกับเณรที่ขี้เกียจและเอาเปรียบในการทำงานเป็นประจำวันหรืออะไรก็ตาม ขี้เกียจแล้วก็เอาเปรียบ นี่เรามีมด มีปลวก มีแมลงเหล่านี้ไว้คุยกับพระเณรพวกนี้ แล้วก็มีลูกหมา ไอ้เป็ด ไอ้หมี ไอ้เสือ นี่ ไว้เห่าคนที่ดีแต่จะเห็นแก่ตัวไม่เอาใจใส่ผู้อื่น นั่นก็คือไม่เอาใจใส่หมานั่นแหละ หมามันจึงเห่า ถ้าจะรู้จักเอาใจใส่สัตว์เล็กสัตว์น้อยสัตว์ที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายเสียบ้าง หมาก็คงไม่เห่า นี่พระเณรองค์ไหนเป็นเอามากๆ ถึงกับไม่สนใจผู้อื่นเสียเลยนี่ ลูกหมามันก็เห่า เห่ามากอย่างไม่น่าเชื่อ เท่านี้มันก็เป็นตัวอย่างที่มากพอแล้วที่ว่า ทุกหัวระแหงมันก็มีอะไรที่จะเป็นครู เป็นผู้ตักเตือน เป็นผู้ช่วยให้นึกคิดได้ แต่แล้วมันก็ไม่สำเร็จประโยชน์ เพราะมันไม่ได้ยิน มันดูไม่เห็น พอบอกว่าต้นไม้ก็พูดได้ ก้อนหินก็พูดได้ แต่ก็ไม่มีใครได้ยิน นี่เพราะหูมันหนวก ฉะนั้นใครมาที่นี่ ถ้าไม่ได้ยินก้อนหินพูด ไม่ได้ยินต้นไม้พูดแล้ว ก็เรียกว่าขาดทุน เสียเวลาเปล่าๆ ขาดทุนอย่างล้มละลายไปเลย เพราะเหตุว่าต้นไม้ของเราพูดดีมาก ก้อนหินก็พูดดีมาก นกกางเขนก็พูดดีมาก มดปลวกมดแมลงนี่ก็พูดดีมาก พูดเรื่องตัวกูของกูยกหูชูหางทั้งนั้นเลย ว่านั้นมันไม่ใช่ความสงบ คือมันพูดเรื่องความสงบ พูดเรื่องอย่ามีตัวกูยกหูชูหาง สัตว์เหล่านี้มันไม่ได้ยกหูชูหาง หรือว่าสิ่งเหล่านี้มันก็ไม่ได้ยกหูชูหาง มันอยู่เงียบสงบตามแบบของธรรมชาติตามวิธีของธรรมชาติ แต่แล้วทำไมไม่มอง ทำไมไม่มองให้เห็น มองเห็นข้อนี้เรียกว่าฟังได้ยิน ฟังมันพูดได้ยิน เราบอกว่าทั้งวัดเป็นมหรสพทางวิญญาณ มีเสียงอันไพเราะทั่วไปทั้งวัด แต่ก็ไม่มีใครได้ยิน หรือว่าแสดงภาพอันสูงสุด แต่ก็ไม่มีใครเห็น ชอบที่จะขอดูหนังดูสไลด์ เป็นเรื่องเล่นๆ ของเด็กอมมือ ส่วนที่ธรรมชาติมีให้จริงๆ มีให้อย่างดี มีให้อย่างสูงสุดนี้ก็ไม่สนใจ คือส่วนที่เป็นมหรสพทางวิญญาณนั้นไม่สนใจ แต่ไปสนใจเรื่องมหรสพทางเนื้อหนังทางวัตถุ ถึงแม้จะเอามหรสพทางวิญญาณมาแสดงให้ดู มันก็มองไปในทางเรื่องทางเนื้อหนังไปหมด นี่เป็นเรื่องที่น่าเศร้าหรือว่าน่าเสียใจ ในการที่วันคืนล่วงไปไม่ได้รับประโยชน์อย่างสมกัน
รวมความแล้วมันเป็นเรื่องที่ว่าอายุกำลังล่วงไปแต่ในทางเนื้อหนัง และมันเป็นหมันในทางสติปัญญา ผู้ที่อยู่ประจำที่นี่ก็ดี ผู้ที่เป็นแขกมาเป็นครั้งเป็นคราวก็ดี ล้วนแต่มีปัญหาเหมือนกันทั้งนั้นแหละ ดูให้ดีเถิด คือถ้าจะขาดทุน มันก็ขาดทุนเหมือนกันแหละ ถ้าจะได้กำไรมันก็ต้องได้กำไรเหมือนกัน อย่าไปคิดว่าใครเป็นเจ้าถิ่น ใครเป็นแขกเลย โลกนี้มันใหญ่มากเกินไปกว่าที่ใครจะเป็นแขกหรือเป็นเจ้าของบ้านได้ มันเป็นกันทั้งหมด จะเป็นอะไรก็ต้องเป็นด้วยกันทั้งหมด ในโลกนี้มันมีธรรมชาติรวมกันหมด มันพูดคือมันแสดงธรรมหรืออะไรก็ตามนี่พร้อมกันไปหมด ทั่วกันไปหมด อย่างเดียวกันหมด ถ้าฉลาดจริงแล้ว อยู่ที่ไหนก็ได้ยินได้เห็นสิ่งเหล่านี้ แต่เดี๋ยวนี้มันไม่เคยนึก ไม่เคยคิด ไม่เคยสนใจ ปล่อยไปตามอารมณ์ ปล่อยไปตามเรื่องตามราว อายุมันก็ล่วงไปอย่างที่เรียกว่าแก่แดดหรือแก่แรด ดูมันก็แก่อยู่แต่ว่ามันยังไม่ ที่จริงมันยังไม่ได้แก่ เพราะแดดมันเผา ผิวมันเกรียมเหมือนกับของสุกหรือของแก่ แต่แล้วข้างในมันไม่ได้แก่ นี่การบวชหรือการอะไรทำนองนี้ มันมีอาการอย่างนี้ ดูคล้ายๆ กับว่ามันเป็นอย่างนั้น แต่ว่ามันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ฉะนั้นเราอยากจะสำนึกบาปกันเสียที มาตั้งกองรวมหัวกันเศร้าสลดสังเวชกันเสียสักที ล้ออายุทางเนื้อหนัง ยกย่องอายุทางวิญญาณเพื่อจะแก้ไขปัญหาข้อนี้กันเสียที แล้วมันก็เป็นสิ่งที่ทำได้ด้วยกันทุกคน ผมหมายความว่าเรื่องล้ออายุนี่ ทำกันได้ด้วยกันทุกคน เพียงแต่ว่าจะสนใจหรือไม่สนใจเท่านั้นเอง ถ้าเป็นเด็กอมมือ มันก็สนใจแต่เรื่องกินเรื่องเล่นเรื่องสนุกสนาน ไม่มีจิตใจไหนที่จะมาสนใจในการที่จะดูอายุด้วยความไม่ประมาท แล้วก็ล้ออายุที่เหลวไหล แล้วก็ยกย่องอายุที่เต็มไปด้วยแก่นสาร นี่อายุทางเนื้อหนังหรืออายุทางวิญญาณ มันแตกต่างกันอยู่อย่างนี้ คุณลองคิดดูให้ดีว่าปีหนึ่งเอามาพูดกันครั้งเดียวนี่ มันจะพอไหม นั่นมันอยู่ที่ว่าคนมันจริงหรือไม่จริงนี่ คนมันมีความละอายหรือว่าหน้าด้าน ถ้าคนมันมีความละอายแล้วก็พูดกันสองสามนาที มันก็ปฏิบัติได้จนตาย เพราะมันไว มันไหว มันไวต่อความหมายความรู้สึกนั้น มันเข้าใจทุกคำที่พูด กระทั่งมันเป็นเรื่องที่ไม่รู้จักละอายหรือดื้อด้านแล้วพูดกันทุกวันๆ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร แล้วก็ไม่ใช่วิสัยที่ควรจะทำด้วย มันเป็นเรื่องทำความรำคาญ
เรานึกถึงข้อที่ว่าพระพุทธเจ้า ท่านได้ตรัสอะไรไว้บ้าง แล้วก็เอามาพินิจพิจารณาดู มันก็มีวิธีที่จะพิจารณาได้ ลึกๆ ลึกๆ ลึกๆ ยิ่งขึ้นไปทุกที แต่เดี๋ยวนี้มันขี้เกียจ ไม่ได้พิจารณาแม้แต่ครั้งแรก ไม่เคยพิจารณาคำตรัสต่างๆ ของพระพุทธเจ้าด้วยซ้ำไป แล้วก็ฟังหรือเรียนกันอย่างละเมอเพ้อฝันไปเท่านั้น ไม่ได้เอามาคิดอย่างตั้งอกตั้งใจ ถ้ามาคิดอย่างตั้งอกตั้งใจมันจะลึกลงไปทุกวันๆ การคิดในวันที่หนึ่งนี่จะช่วยให้เกิดความลึกในวันที่สอง การคิดในวันที่สองก็จะเกิดความลึกต่อไปได้ในวันที่สาม วันที่สี่ ที่ห้า ที่หกมันก็เป็นอย่างนี้ ฉะนั้นไม่กี่วันหรือไม่กี่เดือนมันก็ลึกพอที่จะเข้าถึงหัวใจของธรรมะหรือศาสนานี่ เดี๋ยวนี้วันคืนมันล่วงไปด้วยการหัวเราะสรวลเสเฮฮาหยอกกันเล่นเสียมากกว่า นี่จะเอาจิตใจไหนมาพิจารณาอย่างลึกๆ แม้แต่วันเดียววันตั้งต้นวันที่หนึ่งก็ไม่ได้ทำ วันที่สองที่สามที่สี่มันก็ไร้ความหมาย ฉะนั้นการบำเพ็ญสติปัญญานี้ ต้องทำกันจริงๆ จริงติดต่อไปทุกวัน แล้วมันก็จะลึกๆ ลึกๆ ลงไปทุกวันด้วยเหมือนกัน นี่มันเป็นอายุที่เจริญ เจริญด้วยอายุหรืออายุที่เจริญมันอยู่อย่างนี้ ทีนี้เดี๋ยวนี้มันตรงกันข้าม มันเป็นอายุที่ตายด้าน ที่ไม่มีความเจริญ อยู่กันเป็นวัดเป็นวามากมาย มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างที่เรียกว่าน่าพอใจ มันมีน้อยเกินไป ไม่ใช่ว่ามันจะไม่มีอะไรเสียเลย แต่รู้สึกว่ามันยังน้อยเกินไป ที่ถูกมันควรจะได้มากกว่านั้น ไม่ใช่ว่ามันยากจนว่าไม่อาจจะรู้ได้เข้าใจได้ มันอยู่ในระดับที่พอจะรู้ได้หรือเข้าใจได้ แต่แล้วก็ไม่เอามาสนใจ ไม่เอามาทำไว้ใจ ไม่กระทำจริงๆ จังๆ อย่างที่ว่า นี่เรียกว่าวันคืนล่วงไป วันคืนล่วงไปอย่างไม่มีอะไรเพิ่มขึ้น พระพุทธเจ้าท่านก็สอนให้พิจารณาว่าวันคืนล่วงไปบัดนี้เรากำลังเป็นอย่างไรนี่ กถมฺภูตสฺส เม รตฺตินฺทิวา วีติปตนฺตีติ วันคืนล่วงไปๆ เรากำลังเป็นอย่างไร ให้รู้ว่าเรากำลังเป็นอย่างไร ในเมื่อวันคืนมันล่วงไป มันก็จะเกิดความไม่ประมาท แล้วก็ทำให้มีอะไรเป็นที่น่าพอใจได้ สมตามที่วันคืนมันล่วงไป ถ้ามันเหลวไหล ก็ควรจะเอามาล้อ คือเอามาเศร้า เอามาสลด เอามาสังเวช เป็นผู้ติเตียนตนด้วยตนอยู่บ่อยๆ โดยไม่ต้องให้มีคนอื่นมาติเตียน ให้โจทท้วงตนด้วยตน ให้ติเตียนตนด้วยตนในส่วนที่มันเป็นความผิด แล้วก็ให้เคารพนับถือตนในส่วนที่มันเป็นความถูกต้อง ขอให้เป็นอย่างนี้เป็นประจำวัน เป็นหลักการในชีวิตประจำวัน การทำบุญอายุมันก็มีความหมาย หมายความว่านี่คือวิธีที่จะทำให้อายุมันเจริญ ที่เรียกว่าแม้เพียงวันเดียวมันก็เจริญ ที่เรียกว่า ภทฺเทกรตฺโต นี่ ภทฺเทกรตฺโต ภัททะ+เอกรัตตะ แม้วันเดียวมันก็เจริญ คือวันเดียวมันก็มีอะไรๆ ที่น่าบูชา น่าชม ถ้าผิดจากนี้แล้ว มันจะอยู่สักร้อยปีพันปีมันก็ไม่มีอะไรที่น่าชื่นใจ
ฉะนั้นจึงหวังว่า การที่เรามาประชุมกันที่นี่ในวันนี้ ซึ่งเป็นวันพิเศษที่ผมมีอะไรจะพูดเป็นพิเศษนี้ จะเป็นสิ่งที่ดี จะเป็นสิ่งที่ได้สิ่งที่ดี ไม่ใช่เป็นการทำให้รำคาญหรือว่าทำให้เจ็บใจ เป็นโอกาสที่จะได้สำนึกบาป เป็นโอกาสที่จะได้ตักเตือนตนด้วยตน หรือว่าโจทท้วงตนติเตียนตน ที่ผมเรียกว่าล้อ ล้อตัวเอง ก็แนะนำให้ทุกๆ คนรู้จักล้อตัวเอง รู้จักคิดบัญชีกับตัวเองให้มันรู้ว่าเป็นเรื่องขาดทุนหรือได้กำไร ถ้าเป็นเรื่องขาดทุนก็จะได้ล้อ ล้อตัวเอง ตำหนิตัวเอง ถ้าเป็นเรื่องกำไรก็จะได้บูชาตัวเองนับถือตัวเอง ให้มันมีความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป ทุกคนก็จะสังเกตเห็นได้ว่า ผมไม่ได้พูดอย่างนี้ทุกวัน ถือโอกาสพูดปีหนึ่งสักครั้งหนึ่งเท่านั้น แล้วความตั้งใจก็อยากจะพูดกับตัวเองมากกว่า แต่แล้วก็พูดชนิดที่ผู้อื่นจะพลอยได้รับด้วย ว่าผมตำหนิติเตียนตัวเองได้อย่างไร ก็ให้ผู้อื่นนำเอาไปสำหรับจะได้ตำหนิตำเตียนตนเองได้มากได้อย่างนั้นเหมือนกัน มันเป็นแนวที่แสดงให้เห็นลู่ทางที่ว่าจะจัดการกับตัวเองอย่างไร ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วมันอาจจะมืดมน นี่ยังมีอายุน้อย ยังไม่รู้จักตัวเอง ยังไม่รู้จักจะจัดการกับตัวเองอย่างไร ฉะนั้นการที่ได้ฟังสิ่งที่ควรจะนำมาเล่าสู่กันฟังเสียบ้างนี้ ก็คงจะเป็นการดีเป็นแน่นอน
ฉะนั้นจึงหวังว่าทุกคนจะเอาไปคิดดู ถ้าอย่าไรก็มีการ คือว่าถ้าเห็นด้วยนะ ก็จะมีการล้อตัวเองกันบ่อยๆ อย่าให้คนอื่นต้องมาล้อเลย มันไม่ปลอดภัยและมันก็ไม่ดีด้วย พยายามติเตียนตัวเองหรือล้อตัวเองด้วยตัวเองนี่ดี ดีกว่า นี่รวมความว่าปีนี้ผมก็ได้พูดพอสมควรแล้ว การที่ชี้ให้เห็นว่าวันคืนมันล่วงมาอย่างไร เราโง่หรือฉลาดกันอย่างไร เก็บเอามาวิพากษ์วิจารณ์ แล้วก็ล้อมันเล่นสนุกๆ ในส่วนที่มันโง่มันหลงหรือมันทำอย่างที่ไม่ควรจะมี ไม่ควรจะทำ มันก็พูดได้ว่าผมก็ได้ทำดีที่สุดแล้ว ตามที่ควรจะทำได้อย่างไรกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน สรุปความว่าทั้งหมดนี้มันคงจะเป็นไปเพื่อ ประโยชน์ เป็นไปเพื่อเกื้อกูล เป็นไปเพื่อความสุข ตลอดกาลนานเป็นแน่ แล้วก็พูดคราวเดียวก็คงจะคุ้มไปได้ปีหนึ่ง ถ้าไม่ตายเสีย ก็คงจะได้พูดกันอีกในปีต่อๆ ไป วันนี้ก็ขอจบกันที เพียงเท่านี้