แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันที่ ๕ กันยายน วันนี้เป็นวันที่ ๓๙ แห่งระยะการเข้าพรรษา พุทธศักราช ๒๕๑๒ วันนี้จะได้กล่าวโดยหัวข้อว่าการเป็นอยู่โดยจิตว่างนั้นจะทำได้โดยวิธีใด ในครั้งที่แล้ว ๆ มาเราได้กล่าวถึงเรื่องนี้โดยหัวข้อว่า คืออะไร จากอะไร และเพื่อประโยชน์อะไร มาพอสมควรแล้ว ในวันนี้จะได้กล่าวโดยหัวข้อว่า จะทำให้สำเร็จได้โดยวิธีใด สำหรับคำพูดที่เราใช้พูดกันอยู่นั้นมันจะพูดสรุปให้เหลือเพียงคำเดียว สองคำ ไม่กี่คำก็ได้ หรือจะพูดให้ละเอียดลออยืดยาวอย่างไรก็ได้ สำหรับคำอธิบายในวันนี้ก็จะได้กล่าวโดยเค้าโครง เพื่อให้เห็นเค้าโครงทั่ว ๆ ไปเป็นเหมือนกับแนวทาง หรือแผนที่ หรืออะไรทำนองนั้น เราจะใช้เวลาวันหลัง ๆ พูดโดยรายละเอียดเฉพาะเรื่องพอสมควรที่จะเข้าใจได้ สำหรับการพูดเป็นแนวนี้ เราหมายถึงว่าจะมองดูโดยรอบ ๆ ตัวแล้วก็จะเจอะอะไรบ้าง เช่นว่าจะเจอะปัญหาหรืออุปสรรค หรือจะเจอะความราบรื่นไม่มีอุปสรรค หรือจะพบข้อเท็จจริงอย่างอื่นเกี่ยวกับมนุษย์นั่นเอง ไม่ได้เกี่ยวกับธรรมะมากมายนักก็มี วิธีปฏิบัติที่จะให้เกิดการเป็นอยู่ด้วยจิตว่างนี้ก็คือตัวพุทธศาสนาทั้งหมดนั่นเอง ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่พูดเอาเปรียบหรือว่าพูดอาศัยเป็นเครื่องบังหน้า จะยกย่องในการเป็นอยู่ด้วยจิตว่างให้มากมาย ตายไปก็หาไม่ได้ มันเป็นความจริงที่ว่า ตัวพระพุทธศาสนาทั้งหมดก็เป็นเรื่องการทำเพื่อให้เรามีการเป็นอยู่ด้วยจิตว่างในลักษณะอย่างที่ว่ามาแล้ว
ทีนี้ธรรมะในพระพุทธศาสนาทั้งหมด พระพุทธเจ้าท่านเรียกสั้น ๆ เรียกมันด้วยคำ ๆ เดียวว่าหนทางก็มี พรหมจรรย์ก็มี ธรรมวินัยก็มี อะไรก็มีหลายคำ แต่คำว่าพรหมจรรย์กับคำว่าหนทางนี้ ท่านตรัสเรียกมากที่สุด คล้าย ๆ กับว่ายอมรับว่าเป็นคำที่เหมาะสม ที่จะต้องใช้ คำว่าพรหมจรรย์กับคำว่ามรรคนี้เป็นเรื่องเดียวกัน โดยพระพุทธเจ้าท่านเองได้ตรัสว่าอริยมรรคมีองค์ ๘ นั่นแหละคือพรหมจรรย์โดยตรง เป็นการตรัสไว้โดยตรงอย่างนี้ เพราะว่าอริยมรรคมีองค์ ๘ ก็เรียกได้สั้น ๆ ชัดเจนคำเดียวว่า ทางหรือหนทาง การประพฤติไปตามทาง เดินไปตามทาง อยู่ในทาง เรียกว่า พรหมจรรย์ สำหรับคำว่าทางนี้เกือบจะไม่ต้องอธิบายความหมายอีกแล้ว เพราะใคร ๆ ก็รู้ว่าทางนี้มีไว้สำหรับเดิน ทางนี้มันก็เป็นทางสำหรับจิตใจเดิน หรือว่าเดินทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ แต่ส่วนใหญ่ก็หมายถึงหนทางในทางจิตใจ หรือทางวิญญาณ
สำหรับความก้าวหน้าทางวิญญาณ ในบางทีพระพุทธเจ้าท่านตรัสในฐานะที่เป็นผลของสระน้ำสำหรับดื่มแก้ความร้อน ความหิวกระหาย นี่คือมรรคผลนิพพาน ทางก็เดินไปที่นั่น เดินไปที่สระน้ำ แต่ว่าหนทางในสระน้ำมันมีปัญหาอยู่มากตรงที่ว่า ไม่มีใครจะเดินหรือไม่มีใครจะดื่มน้ำในสระนั้น นี้เราก็มองดูพวกเราเอง ตัวเราเองด้วยสมัยนี้ คนไม่อยากเดินทางนี้ หรือไม่อยากจะดื่มน้ำนี้ ไปถึงแล้วก็ไม่ดื่ม เพราะว่าไม่รู้จักหนทางหรือไม่รู้จักสระน้ำ เป็นเรื่องของยุคสมัยก็มี แล้วก็เป็นเรื่องของบุคคลโดยเฉพาะส่วนตัวเขาก็มี ที่ว่าเป็นยุคสมัยนั้นก็อย่างสมัยวัตถุนิยมที่เคยพูดตั้งมากแล้ว คือสมัยนี้ที่คนเป็นเป็นทาสของวัตถุหรือลุ่มหลงวัตถุ อย่างวัตถุเข้าตา เป็นยุคสมัยที่คนไม่อยากจะเดินทางนี้ หรือจะดื่มน้ำนี้เป็นส่วนมาก เรียกว่ายุคเลย แต่ว่าถึงแม้ในยุคที่ไม่เป็นอย่างนี้คือไม่ได้ยุควัตถุนิยม แม้ในทั้งพุทธกาลในประเทศอินเดียซึ่งไม่ใช่ยุควัตถุนิยมเหมือนสมัยนี้ ก็ยังมีคนส่วนหนึ่ง จำนวนหนึ่ง หรือบางทีก็เป็นส่วนมากเหมือนกันไม่ยอมเดินทางนี้หรือไม่ยอมดื่มน้ำนี้ แม้ว่าจะมีคนบรรลุมรรคผลมาก ตามที่พูดกันหรือปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ แต่ก็ดูว่ามีคนอีกมากที่ทำตัวเป็นข้าศึกแก่พระพุทธเจ้าหรือแก่ธรรมะ ดูจะมากกว่าผู้ที่รู้จักเข้าใจและยอมดื่มมากมายหลายเท่า เรียกว่ายุคที่คนนิยมทางจิตใจและก็ยังมีคนที่ไม่ยอมเดินไม่ยอมดื่ม
มาถึงสมัยยุคที่โลกกำลังนิยมวัตถุมันก็ยิ่งเป็นมากขึ้น นี้ปัญหามันก็เลยมีขึ้นมาว่ามันเพราะเหตุใด เป็นเพราะความยาก ความง่าย หรือเพราะอะไร นี่ถ้าจะมองกันให้ลึกในเรื่องความยากและความง่ายมันก็มีความหมายพิเศษอย่างหนึ่งซึ่งคนเรามักจะไม่ค่อยมองกัน แต่คนโบราณเขามองกันมาก เขาจึงพูดว่ายากเพราะไม่อยากจะทำ ที่มันยากจึงไม่อยากจะทำ เพราะมันฝืนความรู้สึก เพราะมันไม่อยากจะทำ โดยเนื้อแท้แล้วมันไม่ได้ยาก ขอไปคิดดูกันบ้าง พวกที่บอกว่ายาก ปฏิเสธว่ายาก จะปฏิบัติธรรมะนี่เป็นของยาก ทางไปนิพพานเป็นของยาก มันก็รวมอยู่ในคำพูดนี้ คือยากเพราะไม่อยากจะทำ นี่ถ้าไม่อยากจะทำนี้มันก็มีอยู่ ๒ นัย คือว่าไม่อยากจะทำเพราะว่ากำลังหลงอะไรอยู่อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งอร่อยแก่ความรู้สึกของเขา พอหันมาทางนี้มันก็กลายเป็นของยาก อีกอย่างหนึ่งมันก็ยากเพราะไม่รู้ เพราะความรู้ไม่พอ หรือเพราะไม่รู้เพราะโง่ อยากเพราะไปหลงกินอะไรอยู่ก็มี อยากเพราะโง่ ไม่รู้จัก สิ่งนี้ก็มี แต่รวมความแล้วมันก็เป็นเรื่องอวิชชาด้วยกัน คือความไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
ในเรื่องทั่ว ๆ ไปก็ควรจะพิจารณากันอย่างนี้ว่าความยากมันอยู่ที่ไม่อยากจะทำ ไม่สนใจจะทำ มันก็เบื่อล่วงหน้า มันก็ยาก ถ้าอยากจะทำ ถ้าสนใจจะทำแล้วมันก็ง่ายขึ้นมาเกิน ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ท่านจึงให้ปลูกในความรู้ความอยากจะทำนี้เสียก่อนซึ่งเราจะต้องสนใจด้วยเหมือนกัน สำหรับความยากและความง่ายนี้ไม่มีอะไรเป็นเครื่องวัดเพราะคนมันไม่เหมือนกัน แล้วมันก็จะเหลือเพียง ๕๐ เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าว่าคนเราอยากจะทำแล้วมันก็ง่ายไป ๕๐ เปอร์เซ็นต์ เหลืออีก ๕๐ เปอร์เซ็นต์นี้มันก็เกี่ยวกับสติปัญญาความสามารถของคน แล้วมันก็ไม่เหลือวิสัยเพราะว่าอย่างน้อยมันก็ต้องเกิน ๕๐ เปอร์เซ็นต์ในความที่มันจะเป็นไปได้ เพราะมันแล้วมันก็ ๕๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว ทีนี้มันยังมีสติปัญญาอยู่บ้างมันก็เกิน ๕๐ เปอร์เซ็นต์ มันก็ควรจะเป็นไปได้ในการทำในสิ่งที่ว่ายาก
ทีนี้ก็มาถึงเรื่องที่ต้องดูให้ดีกันอีกอย่างหนึ่ง คือว่าเราอาจจะโง่ ยังไม่รู้สึกตัวอยู่อีกบางอย่าง ตัวเรามักจะเอาแต่ความรู้ในยุคปัจจุบันเป็นหลัก ในเวลาปัจจุบันของเราเป็นหลัก เราก็ไม่ค่อยจะรู้สิ่งที่ถอยหลังไกลออกไป คือไม่รู้ว่ามันมีอะไรที่ยากมาก แต่เขาคิดได้หรือทำได้เรื่อยมา สอนทำกันตามเรื่อย ๆ มาจนมันกลายเป็นของง่าย นี่ระวังให้ดี สิ่งที่มันคิดกันว่าเหลือวิสัย มันกลายเป็นของง่ายไปเสียในที่สุดเพราะมีอยู่มากในทางวัตถุ ถ้าเราดูผลิตผลที่ก้าวหน้าของสมัยปัจจุบัน การประดิษฐ์เกี่ยวกับสมัยนี้เรื่องวิทยุ เรื่องโทรทัศน์ เรื่องที่กำลังมีอยู่นี้ เป็นของยากสุดวิสัยของคนเมื่อไม่กี่สิบปีหรือร้อยปี แต่เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเด็ก ๆ มาเรียน มาทำ มาแก้ มาอะไรได้ง่าย ไม่ยากเลย
วันหนึ่งผมนั่งดูต้นกระจูดในกระถางที่เลี้ยงปลา ความคิดนี่ก็เกิดขึ้นมา เห็นความรู้สึกของคนสมัยโบราณนู้นที่ว่าทำไมถึงเอารู้จักเอาต้นกระจูดมาสานเป็นเสื่อเป็นกระสอบ คุณก็ลองคิดดูว่าคนสมัยหินหรือต่อจากถัดจากสมัยหิน ต่อด้วยจากสมัยหินจะรู้จักนุ่งผ้าขึ้นมาได้อย่างไร ก็รู้จักได้โดยไม่มีใครสอนเพราะไม่มีตัวอย่าง นุ่งเปลือกไม้ นุ่งหนังสัตว์ และก็นุ่งผ้าที่ทำขึ้นด้วยเส้นด้าย เส้นใยต่าง ๆ นุ่งหนังสัตว์มันก็คิดไม่ยากเพราะว่าหนังสัตว์มันก็มีอยู่ ก็ฆ่าแกงกิน เพิ่งที่จะมาเปลี่ยนเป็นเส้นด้ายทอถักนี้มันยาก เมื่อเป็นของยาก คือวิเศษ แปลกประหลาดเหมือนที่คนสมัยนี้จะเห็นว่าวิทยุหรือโทรทัศน์หรืออะไรนี้เป็นของแปลกประหลาด การที่เอาต้นกระจูดมาสานเป็นเสื่อเป็นกระสอบมันก็ยาก เพราะมันไม่เคยมีตัวอย่าง ความยากความลำบากเพื่อความก้าวหน้ามันก็มาก ถ้าเราคิดว่าคนสมัยนี้กำลังมีความคิดความสามารถที่จะไปโลกพระจันทร์ ขอให้เทียบดูว่าความยากลำบากหรือความน่าชมเชยหรือความมีสมรรถภาพอะไรก็ตาม คนป่าในยุคที่จะเอาต้นกระจูดมาสานกระสอบได้มันมีน้ำหนักในความหมายมีอะไรเท่ากับคนสมัยนี้ที่จะไปโลกพระจันทร์เท่ากันเลย แล้วต่อไปข้างหน้าไอ้การไปโลกพระจันทร์มันก็จะกลายเป็นของง่าย จะมีของอื่นมาแทน ยากไปกว่า
ฉะนั้นเราอย่าให้กฎของความหลอกลวงนี้มาหลอกลวงเรา หรือ relativity หรือความสัมพันธ์กันทางสัดส่วนนี้ เฉพาะสิ่งเฉพาะยุคเฉพาะสมัยมันจะหลอกเราให้กลายเป็นคนโง่ สำหรับผมรู้สึกอย่างนี้ เพราะการที่คน ๆ แรกที่จะเอาต้นกก ต้นกระจูดมาสานเป็นเสื่อเป็นกระสอบได้ด้วยความยากลำบากเท่าที่คนสมัยนี้จะไปโลกพระจันทร์ ดูส่วนของ ratio ของ relativity อันนี้ให้ดี ๆ เราก็จะเกิดความเข้าใจขึ้นมาถึงเรื่องความยากความง่าย ในการที่จะเป็นอยู่ด้วยจิตว่างหรือว่าจะไปนิพพานก็ตาม แล้วไอ้เรื่องที่ว่ายากหรือใหญ่หลวงนั้นน่ะบางทีกลายเป็นเรื่องที่น่าหัวเราะมากขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง คือมันน่าหัวเราะชั้นหนึ่งแล้วก็คือว่ามันง่าย หรือว่ามันอึ้ง หรือว่ามันไม่มีอะไร เท่ากับเรื่องที่เราคิดว่าเล็กน้อย อย่างคนสมัยนี้จะไปเอากระจูดมาสานเสื่อนี้มันก็ง่ายจนรู้ว่าเด็ก ๆ อมมือก็ทำได้ แล้วการเป็นโลกพระจันทร์นั้นเด็ก ๆ ก็แม้แต่จะนึกก็ยังนึกไม่ถึง นึกไปไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่เห็นอยู่หรือว่าอะไรอยู่นี่ ยิ่งสำหรับชาวไร่ชาวนาชาวบ้านที่ไม่มีการศึกษาก็ไม่เข้าใจว่าไปโลกพระจันทร์ได้อย่างไร แม้เดี๋ยวนี้ได้อ่าน ได้เห็นภาพ เห็นอะไรอยู่บ้าง นี่ชั้นหนึ่งแล้ว อีกชั้นหนึ่งมันก็คือผลของมัน อันไหนมันจะมีมากกว่ากัน ผมว่าไอ้รู้จักเอากระจูดมาสานกระสอบนี่มีประโยชน์มากกว่าไปโลกพระจันทร์ ตามที่เป็นจริงอยู่เดี๋ยวนี้ เพราะมันได้ใช้สอยกันอยู่ทุกคนทุกบ้านทุกเรือนทั่วทั้งเมืองทั้งโลก การไปโลกพระจันทร์นี้ไม่รู้มีประโยชน์อะไร ยังไม่มีประโยชน์อะไร ยังไม่พิสูจน์ประโยชน์อะไร ไปอยู่ก็ไม่ได้ จะเอาอะไรมาใช้ให้เป็นประโยชน์จากโลกพระจันทร์ก็ไม่ได้ หรืออาจจะไม่มี มีนักวิทยาศาสตร์หรือนักค้นคว้าคนหนึ่งบอกว่าไปค้นใต้ทะเลดีกว่า ใต้มหาสมุทรนั่นมีอะไรที่เป็นประโยชน์แก่มนุษย์มากกว่าไปโลกพระจันทร์หลายร้อยเท่าหลายพันเท่าหลายแสนเท่า และอยู่ในวิสัยที่ทำได้ด้วยกันทั้งนั้น ไปเอาทองคำที่ใต้มหาสมุทรดีกว่า แต่ละคนก็ไม่ทำ เพราะว่าการไปโลกพระจันทร์นั้นมันเชิดชูตัวกูของกูมากกว่าที่ไปค้นใต้ทะเล เรื่องมันกลับกันเป็นอย่างนี้
พวกจีนก็เคยคิดเรื่องนี้กันมาก ฉะนั้นนิทานของจวงจื๊อก็เป็นเรื่องที่น่าเอามาคิด จวงจื๊อนี้เป็นศิษย์เป็นหลานศิษย์ของเล่าจื๊อ เขาสอนด้วยการเล่านิทานตามเคย นิทานของจวงจื๊อที่มีชื่อเสียงมากที่สุด เรื่องหนึ่งก็คือเรื่องที่ปลาคุ้ง นกคุ้ง แต่ชื่อนี้อาจจะกลับกันอยู่ก็ได้ นกคุ้ง ปลาคุ้ง ว่านกยักษ์ตัวนั้นมันใหญ่ขนาดที่เรียกว่าใหญ่ มนุษย์จะคำนวณกันได้มาก ปีกมันยาวตั้ง ๙๐,๐๐๐ โยชน์ ลองเทียบดูว่าโลกทั้งโลกนี้ โลกเรานี้ ไอ้นกตัวนี้พอมันขยับปีกไปทางทิศนี้ ไปทางทิศตะวันออก จากตะวันตกไปถึงตะวันออก จากทิศเหนือไปถึงทิศใต้ด้วยการขยับปีกทีเดียว หรือขยับปีก ๒ - ๓ ทีมันก็บิน จากทิศเหนือไปสู่ทิศใต้ของโลก หรือจากทิศตะวันออกไปสู่ทิศตะวันตกของโลก ภาษาคนสมัยนั้นถือว่าโลกแบน ทีนี้ไอ้ปลา ปลาซิวตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่งมันก็หัวเราะก๊าก ๆ ขึ้นว่าถ้าเราเป็นนกกระจิบตัวนิด ๆ แล้วไปเที่ยวบินเล่นอยู่ตามระหว่างต้นไม้ในสวนในอุทยานก็จะดีกว่า เป็นสุขกว่า มีประโยชน์กว่าอย่างที่จะเทียบกันไม่ได้ กับไอ้นกตัวนั้นที่มันมีปีกยาวตั้ง ๙๐,๐๐๐ โยชน์กวักปีกทีเดียวถึงโลกฝ่ายนี้ถึงสุดโลกฝ่ายนู้นมันจะมีประโยชน์อะไร มันบ้า
ทีนี้คุณก็คำนวณดูความยากง่ายหรือประโยชน์ของความยากง่าย การจะมีนกหรือเป็นนกใหญ่ขนาดนั้นขึ้นมาได้มันก็ยากว่าประโยชน์ของมันคืออะไร ก็ดูจะไม่มีอะไร กวักปีกทีเดียวถึงมุมโลกฝ่ายนู้น กวักปีกทีเดียวถึงมุมโลกฝ่ายนี้ ส่วนนกกระจิบตัวเล็ก ๆ มันมีที่เที่ยวมาก เฉพาะในสวนโมกข์ของเรานี่ นกกระจิบตัวน้อย ๆ นี้ก็เที่ยวหาความสบายความเพลิดเพลินได้ไม่รู้จักจบจักสิ้น ยังไม่ทั่วสวนโมกข์ มันก็ได้รับความสุขความสบายใจอะไรมากมายก็ยังไม่หมด แล้วการยากลำบากก็ไม่มี มันก็จะทำให้มีปีกยาวใหญ่ขนาดนั้นแล้วก็บินไปบินมาโดยไม่มีประโยชน์อะไร นี่ความสัมพัทธ์ระหว่าง time/space นั่น เวลาและอวกาศมันหลอกได้มากอย่างนี้ แล้วเราก็เป็นทาสของความหลอกลวงอันนี้ แล้วจะไปหวังอะไรมากเกินขอบเขต เหมือนกับนกตัวนั้นเลยไม่ได้อะไร นกตัวนั้นไม่ได้ประโยชน์อะไร นกอินทรียักษ์ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการเป็นนกอินทรียักษ์ แต่ว่านกกระจิบได้อะไรมากเกินกว่าที่จะเรียกว่ามาก
ไอ้เรื่องธรรมะนี่ก็เหมือนกัน ระวังอย่าให้มัน มันกลายเป็นของยากอย่างใหญ่หลวง ทำได้แล้วกลับไม่มีประโยชน์อะไร ที่จริงมันไม่ได้เป็นของยากขนาดนั้นแล้วมันก็มีประโยชน์มากกว่าในความยากเล็กน้อยของมันมากมาย มันมีประโยชน์มากกว่าความยากเล็กน้อยของมันเสมอ แต่มนุษย์ก็มองไม่เห็น ไม่รู้จักปมอันนี้ แล้วก็ไปเที่ยวควานหาอะไรอีกไม่รู้ เหมือนกับไอ้นกตัวนั้นมันยังอยากจะมีปีกยาวกว่านั้นอีก จนมันมีปีกยาวใหญ่กว่าโลกแล้วมันจะไปไหนทีนี้ มันจะไปโลกพระจันทร์เหมือนคนสมัยนี้ มันเป็นเรื่อง ขออภัย พูดหยาบ ๆ ว่าบ้าขึ้นไปเท่านั้นเอง สู้นกกระจิบตัวเล็กนั้นก็ไม่ได้ นี่เรารู้จักถือเอาประโยชน์จากพระศาสนาจากพระธรรมนี้ให้ถูกต้อง ให้สบายอกสบายใจเหมือนนกกระจิบตัวนั้น อย่าไปบ้าตามพวกบ้า ซึ่งมันจะไม่มีอะไรจบ แล้วไม่ได้อะไรในที่สุด
ในพระสูตร ในพระไตรปิฎกก็มีพูด คล้าย ๆ กับว่าด่าคนจำพวกนี้ไว้เหมือนกัน ที่เรียกว่าพวกแบกกระได มันเรียนวิชาความรู้ความเฉลียวฉลาดมาก คำนวณแล้วขนาดไปโลกพระจันทร์หรือโลกไหนก็ได้อยู่ในความรู้ขนาดนี้ แต่แล้วมันไม่รู้ว่าจะใช้ความรู้นั้นอย่างไร คือเคว้งคว้าง เขาเรียกว่าพวกแบกกระได มันมีกระไดเที่ยวแบกอยู่ ไม่รู้จะเอาไปจดเข้าที่ไหน แล้วใช้ประโยชน์อะไร ก็เที่ยวแบกกระไดอยู่ตามท้องตลาดตามท้องถนนเมืองนั้นเมืองนี้ไปนั้นไปนี้ เที่ยวแบกกระได อวดกระได เหมือนคนไปเรียนเมืองนอกเมืองนาได้ปริญญายาวเป็นหาง มันก็เที่ยวแบกกระได ไม่รู้จะเอาไปจดเข้าที่ไหนที่จะได้ประโยชน์ที่น่าชื่นใจ ทันอกทันใจ ฉะนั้นในโลกนี้มันจึงมีแต่คนแบกกระไดหรือว่าคนที่เตรียมจะแบกกระไดเรื่อยไป อุตส่าห์เล่าเรียนจากการศึกษาขึ้นมาในโลกนี้กลายเป็นเรื่องแบกกระได เรียนที่จะแบกกระไดอยู่เรื่อย ไม่รู้ว่าจะใช้สติปัญญานี้อย่างไร ที่ไหน ใช้กับอะไร ที่ไหน อย่างไร ไม่รู้ มันมีแต่กระไดทั้งนั้น เด็ก ๆ ก็จะแบกกระไดอันเล็ก ๆ โต ๆ ก็จะแบกกระไดอันใหญ่ ๆ ยาว ๆ กระไดก็ยาวไปทุกที แล้วไม่รู้จะไปจดกันที่ไหน จะดับทุกข์ของโลกนี้ได้อย่างไร เรียกว่าเป็นของมนุษย์โดยส่วนรวมว่าไปโลกพระจันทร์ได้แล้ว แต่ในโลกนี้ก็ยังไม่มีข้าวกิน ยังไม่รู้หนังสือ ยังฆ่ากันตายวันละหลายหมื่นหลายพันอยู่อย่างนี้ นี่มันผลของการแบกกระไดที่ไม่รู้จะเอาไปใช้กันที่ไหน อย่างไร เพื่อสันติภาพ นี่พูดเตลิดเปิดเปิงมาอย่างไม่เสียดายเวลา
ในเรื่องความยากความง่าย ที่เกี่ยวข้องกันอยู่กับสิ่งที่มนุษย์จะต้องทำ ก็มีความเข้าใจผิดครอบงำอยู่อย่างไม่รู้สึกตัว รู้สึกว่ายากในทางที่จะปฏิบัติธรรม ทั้งที่ที่แท้มันก็ไม่ได้ยากอะไรมากมายถึงขนาดนั้น แต่ไม่สนใจ ไอ้เรื่องไปโลกพระจันทร์ซึ่งดูจะไม่มีสาระหรือว่าไม่ยากอะไรกลายเป็นเรื่องยากเรื่องมีสาระ เพราะว่าตื่น เหมือนกับตื่นตูม อย่างตื่นตูมกันทีเดียวไอ้เรื่องไปโลกพระจันทร์ แต่เรื่องธรรมะซึ่งมันมีประโยชน์กว่าอะไรกว่าหรือว่ายากก็ยากพอ ๆ กัน ไม่ยากกว่า ไม่มีใครสนใจ ศาสนาในโลกก็เป็นหมัน ธรรมะก็เป็นหมันอยู่ เพราะความถูกมองไปในแง่ด้วยยากและก็ไม่มีประโยชน์คุ้มกัน ไม่มีประโยชน์อย่างคุ้มค่า ที่ผมพูดเรื่องนี้คนก็มักจะมองว่าผมมันเข้าข้างตัว เพราะมีหน้าที่เผยแผ่ธรรมะ ก็เข้าข้างตัวพูดประณามวิชาความรู้ฝ่ายอื่น กลายไปแล้ว แต่ความจริงไม่ได้เป็นเรื่องเข้าข้างตัวหรือประณามวิชาความรู้ฝ่ายอื่น นี่ต้องไปช่วยกันคิดให้ดี ๆ ต้องการจะชี้ข้อเท็จจริงหรือความจริง เรื่องความยากความง่ายความที่มนุษย์จะต้องทำอะไรก่อน เรื่องความเป็นอยู่ด้วยจิตว่างนี้มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ยากเหมือนที่เข้าใจกัน ถ้ามันยากมันก็ยากอยู่ที่พระพุทธเจ้าผู้ค้นพบเป็นคนแรก นั่นส่วนหนึ่ง ในส่วนหนึ่งมันยากหรือง่ายมันอยู่ที่อยากทำหรือไม่อยากทำ สนใจหรือไม่สนใจ ต้องการหรือไม่ต้องการ ฉะนั้นในอินเดียครั้งกระโน้นจึงไม่ใช่ของยาก เป็นของที่มีผู้บรรลุตามพระพุทธเจ้าได้จำนวนมากมาย มันเป็นเรื่องที่ถูกฝาถูกตัว เป็นเรื่องถูกฝาถูกตัว ทีนี้มันยากตรงที่มันพยายามกันไปคนละทางถูกฝาถูกตัว มันเดินกันคนละทาง แยกทางกันเดิน เป็นอันว่ายุติได้ในเรื่องความยากความง่าย อย่าเอามาเป็นข้อแก้ตัว คิดจะปฏิบัติธรรมหรือจะบรรลุธรรม เอาเป็นว่าทุกคนสนใจและต้องการจะใช้กำลังความคิดสติปัญญาทั้งหมดของตนในเรื่องนี้
ทีนี้ก็มาถึงตัวการปฏิบัติหรือตัวธรรมะที่เป็นการปฏิบัติ มันก็มีอะไร ๆ อยู่ที่จะต้องดูให้ดีอีกต่อไปอีก การดูให้ดี มองให้ดี สังเกตให้ดีต่อไปอีก มันก็ได้แก่ระบบธรรมะจัดไว้เป็นระบบ ๆ หลาย ๆ ประเภท แปลว่าธรรมะทุกระบบนั้นน่ะมันเรื่องเดียวกัน มันเอื้อส่งเสริมแก่กันและกัน ไม่ใช่เพื่อจะแยกคนเป็นพวก ๆ ให้พวกหนึ่งเดิน พวกหนึ่งไม่เดิน พวกหนึ่งดื่ม พวกหนึ่งไม่ดื่ม น้ำในสระนั้นมุ่งหมายให้ทุกคนเดินและก็ไปดื่มน้ำในสระนั้นด้วยกันทั้งนั้น อย่าโง่อย่าเขลาไปตามนักปราชญ์ลืมตาโง่สมัยนี้ ที่แยกโลกียะ เรื่องโลกไว้ให้คนพวกหนึ่ง แยกโลกุตตระไว้ให้คนอีกพวกหนึ่ง อย่างนี้ผมเรียกว่านักปราชญ์ประเภทลืมตาโง่ ไม่ได้หลับตาโง่นะ มันลืมตาโง่ ที่ว่าลืมตานี้คือเรียนอะไรมากแล้วพูดเก่ง เรียกว่าคนลืมตา แล้วมันก็ลืมตาโง่เพราะแสงสว่างมันบังลูกตา แสงสว่างแห่งวิชาความรู้ของเขาน่ะเป็นแสงสว่างที่บังลูกตา ทำให้โง่ แสงสว่างที่บังลูกตา บังความจริง บังข้อเท็จจริง มันคือความโง่ทางวิญญาณ แสงสว่างชนิดนี้คือความโง่ทางวิญญาณ จึงลืมตาโง่ แยกพวกกันทีเดียวว่าพวกนี้จงไปอยู่ในโลก จงทำอย่างโลก จงจมอยู่ในโลก จงดื่มกินเมามายอยู่ในโลกด้วยกิเลสตัณหาไปก่อน ใช้คำว่าไปก่อน ตามพวกตามประสาของพวกนี้
ส่วนพวกที่จะไปอยู่ป่าอยู่เขาไปมีศีลเป็นไปโลกุตตระก็ไปอีกพวกหนึ่ง มันก็ปฏิบัติคนละอย่าง แยกทางกันเดิน นี่นักปราชญ์ลืมตาโง่เป็นอย่างนี้ ถ้าทุกคนต้องเดินไปที่สระนั้นแล้วก็ไปดื่มน้ำนั้น ตามมีตามได้ ตามที่จะกินได้ อาบได้ ดื่มได้ คือพระธรรม ที่เป็นเหมือนน้ำที่ไม่มีตม ธัมโม ละหะโธ อักขะธัมโม พระพุทธเจ้าท่านเรียกสั้น ๆ ดังนี้ เพราะธรรมะเป็นเหมือนสระน้ำที่ไม่มีตม ทั้งใสทั้งสะอาดทั้งเย็นทั้งระงับความทุกข์อะไรได้ ให้ทุกคนไปที่สระนี้แล้วก็ดื่มน้ำนี้ ไอ้ส่วนคนที่ไม่ยอมไปนั้นมันคนอีกพวกหนึ่ง ไม่ใช่พุทธบริษัท ฉะนั้นการที่จะแยกตัวไปหมกจมอยู่ในโลกนั้นมันไม่ใช่พุทธบริษัท มันไม่ใช่ความเป็นพุทธบริษัท มันแยกตัวไปเสียจากความเป็นพุทธบริษัท อย่าเอามารวมกันในนี้ ถ้าเป็นพุทธบริษัทต้องไม่แยกตัวเป็นโลกียะโลกุตตระในทำนองนี้ ไอ้โลกียะมันเป็นอยู่เต็มตัวแล้วอย่าไปสมัครเพิ่มเข้าอีกเลย ความเป็นชาวโลกอย่างหลง อย่างมัวเมา หลงใหลมัวเมาเต็มที่แล้ว อย่าสมัครเป็นให้มากกว่านั้นเลย แล้วก็สมัครหันหน้าเดินไปทางที่เรียกว่าโลกุตตระเพื่อจะไปดื่มกินน้ำในสระนั้น อาบน้ำในสระนั้นให้จนได้ มีพวกเดียวเท่านั้น นี่ว่าถ้าจะเรียกว่าโลกียะ ก็คือว่ายังทำไม่ค่อยได้ ยังเหมือนเดิมอยู่นั้นน่ะ อย่าให้มากกว่าเดิม ยังวกกลับมาที่เดิมอยู่บ่อย ๆ เดินไปได้ครึ่งทางวกกลับมาที่เดิมอยู่บ่อย ๆ เดินไปจวนถึงเดินวกกลับมาที่เดิมอยู่บ่อย ๆ หรือไปถึงสระแล้วยังห่วงอาลัยกลับมาที่เดิมอีกสักครั้งหนึ่งก่อนแล้วกลับไปอีก ถ้ายังไม่ถึง ยังกลับไปกลับมาอยู่นี้ก็เรียกว่าเป็นโลกียะ ไม่ใช่เขาหันหลังไปทิศทางอื่นก็ยิ่งจมหนักเข้าไปอีก
โลกียะในทางพุทธศาสนามีความหมายเพียงเท่านี้ ถ้ายังเป็นโลก โลกยังเดินอยู่ ยังพยายามอยู่ ยังดิ้นรนอยู่ มีจิตสงบได้บางครั้งแล้วมันก็กลับไปสู่ภาวะเดิมอีกนี้เรียกว่าเป็นโลกียะ ถ้าจิตสงบไปได้เลยมันก็เป็นโลกุตตระ ไม่ได้สอนให้หันหลังกลับไปหมกจมหลงใหลมัวเมาอยู่ให้ยิ่งขึ้นไป ในโลกในสมัยนี้มีวัตถุเป็นที่ตั้งแห่งความหลงใหลมาก มากกว่ามากมันก็ยิ่งไปสมัครใจเข้าไปอีกแล้วมันก็ไปกันใหญ่ อย่างนี้ไม่มีหวังที่จะไปสนใจเรื่องโลกุตตระ เรื่องมรรคผลนิพพาน คนพวกนี้จะรู้สึกว่ายาก ๆ ๆ เหลือวิสัย ปฏิบัติธรรมยากเหลือวิสัย และยิ่งกว่านั้นก็ว่าเป็นสิ่งน่าเกลียดน่ากลัว น่าขยะแขยงไปเลย ไม่ใช่ว่ายากอย่างเดียวนะ เป็นอันว่าเรื่องปฏิบัติธรรมะนี่น่ากลัวน่าขยะแขยง มีภิกษุองค์หนึ่งซึ่งดูเหมือนจะมาจากพวกเจ้านายหรือเศรษฐี มาจากพวกเจ้านายหรือวรรณะกษัตริย์มาบวช แล้วก็ทูลพระพุทธเจ้าว่า การมาอยู่ในที่ ๆ สงบสงัดในป่า ในพรหมจรรย์นี่ ปรากฏแก่ข้าพระองค์เหมือนกับว่าตกลงไปในเหวมืด ว้าเหว่ เหมือนพลัดลงไปในเหวมืด นี่มันทั้งยากทั้งน่ากลัว น่าระอา น่ากลัวน่าเกลียดน่าชัง เพราะว่ามันเคยสบายในเรื่องทางวัตถุ
ทีนี้คนสมัยนี้ก็มีเรื่องให้สบายทางวัตถุยิ่งกว่าอย่างสมัยนั้นหรือคนนั้นอยู่มากมาย มันก็เลยมองศาสนาหรือมองธรรมะเป็นเรื่องยาก และเป็นเรื่องน่าขยะแขยง น่าเกลียดน่ากลัว เราจึงหันหลังให้ศาสนากันหมด หลอกลวงตัวเอง หน้าไหว้หลังหลอก ทำพิธีทางศาสนากันทั่ว ๆ ไป แม้ในกองทัพที่กำลังรบกันอยู่ก็ทำพิธีทางศาสนา มันก็เป็นเรื่องหลอกลวงตัวเอง ไม่ต้องการ ไม่รู้ไม่เข้าใจ โดยใช้สิ่งไม่ต้องการไม่รู้ไม่เข้าใจแต่มันขี้ขลาดและมันโง่ มันไม่รู้จะทำอะไรก็ทำพิธีทางศาสนาตามธรรมเนียม ทำตามธรรมเนียม ขอพรพระเจ้าให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ก็ฝืนความต้องการหรือฝืนคำสั่งของพระเจ้าอยู่เรื่อย นี่คุณมองข้อนี้กันให้มากก็จะพบความจริงหรือข้อเท็จจริงของโลกกระมัง เมื่อพระเจ้าสอนว่าให้อภัย เขาก็ยิ่งผูกอาฆาตพยาบาทหนักขึ้นและก็ทำพิธีอ้อนวอนพระเจ้าให้ช่วยกันใหม่ นี่มันเป็นเรื่องของคนสมัยนี้ นี่เป็นเหตุให้เห็นว่าเรื่องศาสนานี่มันยาก กับมนุษย์คำว่าศาสนานั้นมันยาก พระเจ้ามีไว้สำหรับพูดอย่างเดียวสำหรับทำพิธีอย่างเดียว สำหรับเป็นอุบายทางหลอกลวงกันในทางการเมืองอะไรต่อไปอีก ครั้นจะใช้ศาสนาเป็นทางเดินไปดื่มน้ำในสระนั้น เขาใช้ศาสนาสำหรับเป็นเครื่องตบตาหลอกลวง เอาเปรียบกันทางการเมือง ทางการรบราฆ่าฟัน นี่เรียกว่าลืมตาโง่ก็มี หลับตาโง่ก็มี แต่ไม่ร้ายเท่ากับลืมตาโง่ แยกตัวเองไว้ หาทางออกให้ตัวเองไว้ สำหรับไปกินน้ำสกปรกที่ในหนองที่เป็นโคลนเป็นตม ไม่เดินตามทางสะอาดไปสู่สระน้ำอันสะอาด ไม่มีตมของพระพุทธเจ้า แล้วก็เป็นสุนัขจิ้งจอกหางด้วน สอนคนอื่นให้ตัดหางอีก ตัวเองมันหางด้วน คือไม่มีโอกาสที่จะไปกินน้ำในสระนั้นแล้วไปหลอกคนอื่นว่า หางนี่รุงรัง ตัดเสียเถอะ ก็คือว่าอย่าไปที่โน่นเลย มาที่นี่เถิด ตัวเองมีลักษณะเหมือนกับวัวดื้อ ไม่ขึ้นจากโคลน
ทีนี้ลัทธินี้มันเจริญ มันแผ่กว้างไปในโลก ครอบงำโลกอยู่ มันก็เป็นการยากลำบากที่จะพอใจในการมีชีวิตด้วยจิตว่าง หรือว่ามีการเป็นอยู่ด้วยจิตว่าง ต้องการจะเป็นอยู่ด้วยจิตสกปรก มืดมัวเร่าร้อนอยู่เสมอ แล้วก็มีอะไรมาเป็นเครื่องบังหน้า เป็นเครื่องแก้ตัว เป็นเรื่องหาทางออก เพราะว่าตัวมันเกิดมาในเลือดในเนื้อของปู่ย่าตายายที่เป็นพุทธบริษัท แล้วมันก็หมดกับอุดมคติอันนั้น ๆ แล้วมันก็หาทางออก แก้ตัว คำพูดที่แก้ตัวอย่างนั้นอย่างนี้อย่างโน้น เพื่อจะไปตามกิเลสของตัว ขอให้ระวังให้ดี ๆ เพราะว่าถ้าคุณผ่านปัญหาอันนี้มาไม่ได้แล้ว ไม่มีหวัง ผมบอกว่าไม่มีหวัง ถ้าผ่านความเข้าใจผิดอันนี้มาไม่ได้หรือมันไม่ผ่านมา ไม่ผ่านความเข้าใจผิดอันนี้มาแล้วมันก็ไม่มีหวัง มันเป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องเหลือวิสัย เป็นเรื่องมองแล้วน่าเบื่อ น่าระอา เหมือนมองที่ปากเหวแล้วไม่อยากจะลงไปนั่น จะมีความเกลียด ความกลัว ความอะไรเท่านั้นเลย อันนี่ไม่ใช่เรื่องลงเหว เรื่องลงเหวเป็นเรื่องของคนโง่ เป็นเรื่องที่จะเดินไปตามหนทางที่ดีที่จะไปสระน้ำ กินแล้วไม่ตาย เป็นน้ำอมฤตที่กินแล้วไม่ตายเท่านั้น มันมีความหมายอย่างนั้น
นี่วันนี้ผมพูดจนหมดเวลาแล้ว ถึงปัญหาต่าง ๆ ที่มันสกัดกั้นหนทาง ยังไม่ได้พูดถึงตัวหนทางหรือการเดินทางเลย พูดถึงแต่ปัญหาต่าง ๆ ที่มันสกัดกั้นหนทางที่จะเดินไปสู่ความเป็นผู้มีชีวิตด้วยจิตว่าง หรือเป็นอยู่ด้วยจิตว่าง จนหมดเวลา ก็เพราะว่า ทั้งนี้ก็เพราะว่ามันมีความสำคัญมาก เหมือนกับการสอบคัดเลือก การสอบในเบื้องต้นที่เป็นการคัดเลือก ถ้ามันสอบไอ้การคัดเลือกนี้ไม่ได้ ผ่านไปไม่ได้ แล้วมันก็ไม่มีหวังที่จะเรียนอะไรให้ตลอดรอดฝั่งไปได้ การที่จะมีชีวิตอยู่ด้วยจิตว่างต้องชำระสะสางปัญหาเหล่านี้ก่อน มันจึงจะเข้าไปในเขตแดนของไอ้เรื่องความว่าง เดี๋ยวนี้มันยังดิ้นออกไปจากบ่วงหรือว่าจากตาข่ายที่รัดตรึงไม่ได้ เพราะเหตุนี้ เป็นตาข่ายแห่งความไม่รู้ แล้วก็คิดว่ารู้จนลืมตาโง่ อยู่ทั่ว ๆ ไป ยกหูชูหาง เป็นคนฉลาดทั้งนั้น ไม่มีใครเป็นคนโง่ จึงใช้คำว่าลืมตาโง่ เป็นวิชาความรู้ของสมัยปัจจุบันนี้ก็มีแต่จะทำให้ฉลาดในทางที่จะทำให้ลืมตาโง่ เพราะมันเป็นวิชาความรู้ที่มีวัตถุนิยมเป็นจุดหมายปลายทาง คุณไปสำรวจดูวิชาความรู้แขนงไหนมีจุดหมายก็มีวัตถุ มีความอร่อยทางวัตถุเป็นจุดหมายปลายทางแม้แต่วิชาที่เขาเรียกว่า จิตวิทยา ปรัชญานี้ก็ตาม มันไปเป็นทาสของวัตถุ นี้จะเอาคนเหล่านั้นมาเรียนพุทธศาสนานี้มันต้องถาก ต้องเอาขวานถากมันอย่างแรง ถากเปลือก ถากกระพี้ ถากอะไรออกกันอย่างแรงเสียก่อน มันจึงจะหมุนเข้ามาได้ นี้มันจะมีโอกาสหรือไม่ก็แล้วแต่บุญแต่กรรมสำหรับคนส่วนมากแล้ว แต่สำหรับคนส่วนน้อยที่มีความรู้สึกหรือเป็นพุทธบริษัทที่แท้จริงอยู่มันควรจะทำได้ โดยไม่ยาก โดยไม่ลำบาก แล้วก็มีประโยชน์ คุ้มกันตั้งแต่ต้น ก็ดูกันให้ดีในส่วนนี้ทีหนึ่งก่อน มันอยู่ที่ว่าจะเดินหรือไม่เดิน จะดื่มหรือไม่ดื่ม เพราะความยากลำบากในเรื่องนี้มันอยู่ที่สมัครหรือไม่สมัคร ไอ้ความสมัครหรือไม่สมัครมันอยู่ที่มีความรู้พอหรือไม่พอ ความเข้าใจถูกหรือความเข้าใจผิด ถ้าเข้าใจถูกมันก็ไม่มีปัญหาอะไร มันก็กลายเป็นของง่ายไปตามลำดับ ไม่ต้องเป็นพวกที่ว่าลืมตาโง่ ลืมตาคัดค้าน ลืมตาทำตัวเป็นอุปสรรคแก่ตัวเองอยู่อย่างนี้ ในโอกาสต่อไปก็จะได้พูดถึงตัวการปฏิบัติโดยตรง วันนี้เราพูดถึงเรื่องอุปสรรคของการที่จะมีการปฏิบัติกันจนหมดเวลา เวลาของเราก็หมด