แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ธรรมปาฏิโมกข์ในวันนี้ พูดแทนเมื่อวาน ซึ่งไม่ได้พูด ข้อนี้ก็หมายความว่าเราพูดกันตามปกติ ตามที่ตั้งใจไว้ว่าธรรมปาฏิโมกข์นี้คือ ผู้พร้อมความเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับตัวกูของกูเท่านั้นไม่มีเรื่องอื่น ทำไมมันมีเรื่องให้พูดมากเป็นปี ๆ ก็ไม่จบ ข้อนี้ก็เพราะว่าทุกเรื่องไม่ว่าเรื่องอะไรในโลกมนุษย์เรานี้ หรือเทวโลก มารโลก ยมโลกก็ตาม มันเกี่ยวกับเรื่องเดียวนี้ หรือสิ่ง ๆ เดียวนี้ คำว่าตัวกูของกู มีความหมายเล็งถึงความยึดมั่นถือมั่น ดังนั้นถ้าเรื่องที่เป็นไปเพื่อความทุกข์ในโลกแล้วมันก็ไม่มีเรื่องอื่นนอกจากเรื่องนี้ มีแต่เรื่องดับทุกข์ ก็ไม่มีเรื่องอื่นนอกจากการดับตัวกูของกู เพราะฉะนั้นมันก็ยังเกี่ยวกับตัวกูของกูอยู่นั่นเอง เรื่องทุกข์ เรื่องความทุกข์ มันก็เรื่องตัวกูของกูโดยตรง เรื่องความดับทุกข์นั่นคือดับตัวกูของกูเสีย ดังนั้นในโลกเรานี้ก็ไม่มีเรื่องอะไร นอกจากเรื่องทุกข์ กับเรื่องความดับทุกข์นอกนั้นมันไม่มีเรื่องอะไร
เพราะฉะนั้นเรากล่าวได้ว่ามันเป็นเรื่องทั้งหมด พูดกันกี่ปีก็ไม่จบ เพราะมันอาจจะพูดแยกแขนงออกไปโดยละเอียดก็ได้ หรือว่าพูดกันโดยมุมนั้นมุมนี้ เหลี่ยมนู้นเหลี่ยมนี้ของเรื่องนี้ก็ได้ ถึงแม้ว่ามันจะอ้อมค้อมอย่างไรมันก็เป็นเรื่องตัวกูของกูอยู่นั่นเอง เพราะฉะนั้นขอให้ทุกคนสังเกตดูให้ดี ๆ แล้วก็เข้าใจเรื่องนี้ให้ดี เพราะไม่มีอะไรที่เป็นปัญหาแล้วก็จะไม่เกี่ยวกับตัวกูของกู การที่พูดมาตั้งหลายสิบครั้งแล้ว มันก็พูดโดยความหวังว่าจะค่อยเข้าใจขึ้นทีละน้อย ทีละน้อย บางคนก็เข้าใจอยู่ส่วนหนึ่ง บางคนก็ไม่เข้าใจในส่วนนั้น ไปเข้าใจในส่วนอื่น ดังนั้นจึงพูดได้เรื่อย ทีนี้ผู้ที่จะเอาไปคิดไปพิจารณาไปศึกษาก็เหมือนกัน ก็เอาไปพิจารณาได้เรื่อยไม่มีที่สิ้นสุด ดังที่ได้กล่าวมาแล้วตั้งแต่ปีก่อนนู้น ก็ชี้ให้เห็นว่ามัน มันมีในเรื่องอะไรเมื่อไรที่ไหนเวลาใดทั้งนั้น แต่แล้วมันก็ยังเข้าใจไม่แจ่ม ไม่กระจ่างถึงที่สุดอยู่นั่นเอง นี่คือการพูดสิ่ง หรือพูดเรื่องที่มันพูดยาก เมื่อมันเป็นอย่างนี้ ดังนั้นอดทดฟังอย่างซ้ำ ๆ ซาก ๆ เพื่อให้เข้าใจดีขึ้น ผู้ที่ไม่เคยฟัง ดูเหมือนไม่มีแล้ว มีแต่ฟังแล้วยังเข้าใจน้อยไป หรือความรู้รากฐานมันไม่พอ ความรู้เรื่องนี้ ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้มันไม่พอที่จะเป็นรากฐาน มันก็ฟังไม่ถูก นี่เป็นการบอกให้ทราบ หรือเหมือนกับเตือนว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป ทำเล่นกับเรื่องนี้ไม่ได้
สำหรับวันนี้นั้นก็ตั้งใจจะพูด โดยหัวข้อว่า “ตัวกูมาแต่ไหน” การที่ตั้งปัญหาว่าตัวกูมาแต่ไหน ก็ไม่แปลกไม่จากที่แล้ว ๆ มา ที่ว่าตัวกูมันเกิดจากอะไร เราได้พูดกันมาแล้วมาก ในความหมายที่ว่าตัวกูมันเกิดจากอะไร แต่นี่มาพูดว่าตัวกูมาแต่ไหน ก็เพื่อจะทำความเข้าใจที่มันคาบเกี่ยวกันอยู่ ว่าตัวกูเกิดจากอะไร ก็พูดกันมากมายแล้วว่ามันเกิดจากความไม่รู้ เกิดจากอวิชชา อุปาทานนี่มันมากจากอวิชชา มีอวิชชามันก็มีอุปาทาน ตามนัยยะแห่งปฏิจจสมุปบาท อวิชชามันก็สร้างสังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน นี่พูดกันอย่างตัวหนังสือ อย่างกำปั้นทุบดินนั้นก็ว่ามาจากอวิชชา แต่นี่ผมจะไม่พูดตามตัวหนังสือ หรือว่าตามหลัก ตามในคัมภีร์ที่ว่าตัวกูมาแต่ไหน จะพูดอย่างภาษาเด็ก ๆ ที่สุด ภาษาชาวบ้านที่สุด เมื่อพูดว่าตัวกูมาแต่ไหน มันก็ยังไม่ได้หมายความว่าตัวกูนั้นมันมีที่มา หรือมันมีที่อยู่ แล้วมันมา แต่กลับต้องการจะพูดให้เห็นว่าตัวกูนั้นไม่ได้มีแหล่ง หรือมีรัง มีเรือน มีอะไรอยู่ที่ไหน มันเพิ่งเกิด แล้วสิ่งที่เพิ่งเกิดเดี๋ยวนั้น แล้วเราจะถามว่ามาแต่ไหนอย่างนี้ ดูซิมันกำกวมแล้วมันฟังยาก มันมาแต่ไหน มันมิได้มาแต่ไหน เพียงแต่มันเป็นความรู้สึกที่โง่ ๆ ที่ผิด ๆ ที่ไม่จริง เป็นมายาหลอกลวง เกิดขึ้นมาเมื่อได้ความคิด หรือความรู้สึก ที่โง่เขลาที่สุด มายาที่สุดเกิดขึ้นในใจ นั่นแหละมันเป็นวิธีที่ตัวกูมันจะปรากฏออกมา แล้วสิ่งที่เป็นมายาไม่มีตัวจริง ก็ไม่น่าจะพูดว่ามันมาแต่ไหน เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เหลวคว้างไม่มีตัวจริง เป็นเพียงความรู้สึก ถ้าพูดว่ามาแต่ไหน มันก็เป็นวิธีพูดอย่างสมมติอะไรอีกอันหนึ่ง ถ้าพูดว่าไม่ได้มาแต่ไหน มันก็ฟังยากฟังไม่ถูก ทำไมมันโผล่ขึ้นมาในจิตใจได้ นี่คือความยากลำบากของคนที่ไม่ได้ศึกษาไม่ได้เล่าเรียนเรื่องความลับของจิตใจอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วที่แท้มันก็ไม่จำเป็นเสียด้วย ก็เอาแต่ให้รู้ว่าไอ้สิ่งที่เรียกว่าตัวกูนั้นมันคืออะไร ปรากฏเมื่อไร หรือย่างไรก็พอแล้ว
เมื่อเราอยู่ตามปกติ ตัวกูไม่ได้มี เมื่อเราสบายอยู่ ใจคอปกติดีอยู่เป็นอย่างนี้ เวลาอย่างนี้เป็นต้น ตัวกูไม่ได้มี หรือเมื่อคุณทำการทำงานกันกับเพื่อนฝูง ก็สักแต่ว่าลงมือทำ ตัวกูมันก็ยังมิได้มี มันไม่ได้นอนรออยู่ที่ไหน คือมันมิได้มีเลย คนอื่นเขาอาจจะพูดอย่างอื่น เขาอาจจะพูดว่า อหังการ มมังการ นอนรออยู่ในนิสัยพร้อมจะโผล่ออกมา แต่ผมไม่พูดอย่างนั้น และไม่ยอมพูดอย่างนั้น และไม่เชื่อว่าที่พูดนั้นถูก ไอ้ความรู้สึกที่เป็นอหังการ มมังการ หรือเป็นตัวกูของกูนี่ มันไม่ต้องมีอะไรมากมายนัก นอกจากความคิดผิด ความเข้าใจผิด ความรู้สึกผิด ๆ ชั่วขณะในขณะนั้นเอง เมื่อเราทำงานกันอยู่กับเพื่อน ก็ไม่มีความรู้สึกที่เป็นตัวกูของกู แต่ถ้าเผอิญเพื่อนเขาทำไม่ถูกใจ หรือว่าพูด หรือว่าทำไปในทำนองที่ว่าดูหมิ่นดูถูกอะไรนี่ ในขณะนั้น นี่ตัวกูมันจะเกิด หรือไม่เกิดมันก็มีอยู่ว่า ไอ้คนนั้นมันมีสติปัญญา มีสติสัมปชัญญะ หรือไม่ ถ้ามีสติสัมปชัญญะมันก็มิได้โกรธ ไม่ว่าเขาจะไปทำอะไรเอา ด้วยการพูดจา ด้วยการดูหมิ่นอะไรก็ตาม มันก็กลายเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีเรื่องอะไร ก็คงทำไปได้ โดยเห็นเป็นของธรรมดา แล้วก็เวทนาสงสาร แล้วบางทีก็นึกหัวเราะอยู่ในใจว่ามันช่างน่าสงสารไอ้คนโง่ ๆ นี้ เสร็จแล้วก็มิได้โกรธ อย่างนี้ตัวกูมันก็ยังไม่ปรากฏ แล้วคงยังไม่มีอยู่ตามเดิม แล้วคงทำงานต่อไปตามเดิมจนเลิกงาน หรือะไรก็ได้
ทีนี้ถ้าว่าไอ้คนที่สอง ที่ถูกดูหมิ่น หรือถูกอะไรนี่ มันก็เป็นคนโง่ แล้วก็เป็นคนไม่มีสติสัมปชัญญะ เมื่อถูกสบประมาทเข้าอย่างนั้นมันก็โกรธ เมื่อเกิดโกรธนั่นน่ะมันจึงจะมีตัวกู หรือรู้สึกว่ากูถูกสบประมาท ก่อนนี้ความรู้สึกว่ากูถูกสบประมาทมันไม่มี เดี๋ยวนี้มันมีขึ้นมา กูถูกสบประมาท คือไม่ได้รู้สึกว่าไอ้คนนั้นบ้า ๆ บอ ๆ มันพูดไปตามภาษาบ้า ๆ บอ ๆ ไม่รู้ภาษีภาษา กลับไปเกิดความรู้สึกว่ามึงดูถูกกู สบประมาทกู ดูหมิ่นกู นี่มันเกิดขึ้นมาพร้อมกัน ทั้งมึง และทั้งกู คุณลองคิดดูว่า กูนี้มาแต่ไหน กูที่โผล่ขึ้นมาจนมีมึงดูถูกกูนี้ ดูถูกมึง ดูถูกนี่ ไอ้กูนี้มันมีมาแต่ไหน ถ้าพูดอย่างภาษาธรรมดาสามัญ ไม่ต้องการเป็นนักปราชญ์นักเปรตอะไรแล้วก็ มันไม่ได้มาแต่ไหน เป็นความคิดโง่ ๆ ของคนนั้น เวลานั้น ขณะนั้น หรือรู้สึกไปอย่างนั้น ก็ไม่ต้องอยากจะเป็นนักปราชญ์ นักปรัชญา นักจิตวิทยาก็ไปแยกแยะเข้าว่า จิตอย่างนั้น จิตอย่างนี้ จิตอย่างนู้น จนกระทั่งจิตประกอบด้วยโทสะ มันก็ยุ่งหัวเปล่า ๆ เสียเวลาเปล่า ๆ ยิ่งแยกยิ่งพิจารณามันก็ยิ่งมีจิตมาก มีลักษณะของจิตมาก อะไรมาก แล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรไม่มีประโยชน์อะไร คือว่าไม่สามารถจะดับตัวกู หรือป้องกันตัวกูไม่ให้เกิดได้ ถ้าไปมองกันในแง่นั้น
นี่อยากจะให้มองในแง่ที่สั้น ๆ ลุ่น ๆ ชั่วขณะนั้นว่า ตัวกูนี้มันมิได้มี มันเป็นเพียงความรู้สึกผิด ๆ ความเข้าใจผิด ๆ ความคิดผิด ๆ เป็นทำนองที่ว่าเขาด่าเรา เขาสบประมาทเรา ถ้ากรณีอย่างนี้เกิดกับพระอรหันต์ ถ้าพระอรหันต์ถูกสบประมาทนี้ ความรู้สึกโกรธนั้นมันไม่มี อ้าว,ตัวกูก็เกิดไม่ได้ หรือตัวกูไม่มีมาไม่รู้ไม่มีมาแต่ไหนแต่ไร หมายความว่า เรื่องอย่างเดียวกัน คน ๆ เดียวกันก็ได้ เขาด่าเรา สบประมาทเรา เกิดตัวกูขึ้นมาในใจของเรา ไอ้คน ๆ เดียวนั้นไปด่าพระอรหันต์อย่างเดียวกัน อ้าว,ไม่มีตัวกูเกิดขึ้นในจิตของพระอรหันต์ เพราะว่าพระอรหันต์ ก็คือมีจิต มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ และก็รู้สิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่าอะไรเป็นอะไร นี่ควรจะดูว่ากูตัวมันมาแต่ไหน มาในจิตใจของคนโง่ ของคนพาล คนปุถุชน คุณไปคิดเอาเอง ภาษาธรรมดา พูดง่าย ๆ ว่ามันมาแต่ไหน ผมอยากให้คิดจนมองเห็นว่ามันมิได้มาแต่ไหน และมันก็มิได้มาด้วยซ้ำไป มันเป็นความคิดผิด ๆ เกิดขึ้นในใจตามประสาคนโง่ ที่ยกตัวอย่างอย่างนี้ ขออภัยที่ถือโอกาสยกตัวอย่างอย่างนี้ ก็เพราะว่าคุณทำงานกันอยู่ทุกวัน โดยหลักการ โดยความมุ่งหมายที่มีอยู่แล้ว
ทีนี้ก็ให้เอาเป็นโอกาสสำหรับที่จะทดสอบตัวเองว่า ถ้ามันมีอะไรไม่ถูกใจโกรธหรือเปล่า ถ้าโกรธมันก็มีตัวกู ถ้ามีโกรธก็หมายความว่ามีตัวกูแน่นอน ลองคิดดูมันมาแต่ไหน เราต้องการจะรู้จักเฉพาะไอ้สิ่งที่เรียกว่าตัวกู แล้วก็จะได้รู้ว่ามันมิได้มีอยู่จริง มันมิได้เป็นของจริง มันมิได้เป็นตัวตนอะไรเลย เป็นความรู้สึกผิด ๆ ชนิดหนึ่ง ชั่วขณะแวบหนึ่ง นี่ก็ฝากไว้ให้เป็นบทเรียน เป็นบทเรียนตลอดกาล ตลอดกาลนาน ตัวคุณต้องเกี่ยวข้องกับบุคคลทั้งสอง คือเพื่อนคนใดคนหนึ่ง เพื่อนที่อยู่ด้วยกัน คนใดคนหนึ่งแล้วก็มีเรื่อง มีอะไรกระทบกระทั่งกันเรื่อย ลองสังเกตดูเถอะ ตัวกูเกิดมาแต่ไร มันมาแต่ไหน แต่ขอให้เป็นในทางที่มันรวบรัด รวบรัดเข้ามาอย่าให้มันบานออกไป จนไม่รู้ว่ามันมาแต่ไหนในที่สุด เป็นเรื่องจับจุดไม่ได้ พร่าไปหมด อยากจะยกตัวอย่างอย่างอื่นมาช่วยประกอบกันอีก เช่นเราหิวข้าว คุณทุกคนก็คงจะเคยหิวข้าวมาบ้างแล้วไม่คราวใดก็คราวหนึ่ง หิวข้าวเป็นอย่างไรก็พอจะฟังถูก หิวข้าวนั้นมันมีหลักง่าย ๆ ว่าไอ้กระเพาะ เกิดต้องการอะไร คล้าย ๆ ลงไปในกระเพาะ เพื่อให้น้ำสำหรับย่อยอาหารนั้นย่อย เพราะน้ำย่อยอาหารนี้ที่มันออกมาตามกำหนด ตามเวลา ตามเวลาที่เราจะกินข้าวกันอยู่เป็นประจำนี่ ถ้ามันมีอาหารอยู่ในกระเพาะมันก็ย่อย มันก็ไม่รู้สึกหิว ทีนี้ถ้าบังเอิญมันไม่มีอะไรในกระเพาะ มันก็รู้สึกหิว นั้นแหละความหิวมันมีเพียงเท่านั้น มันก็ไม่ได้เป็นตัวตนเหมือนกัน ไอ้ความหิวนี้ เพราะว่าในกระเพาะไม่มีอะไรให้น้ำย่อย ย่อยอาหาร มันทำปฏิกิริยาเอากับพื้นกระเพาะ มันก็รู้สึกขึ้นมาอย่างหนึ่ง อย่างที่เราเรียกกันว่าหิว หรือบางคนว่าแสบท้อง หิวข้าวแสบท้อง เพราะน้ำย่อยอาหารมันกระทำปฏิกิริยาลงไปที่กระเพาะ มันจึงรู้สึกแสบท้อง ทีนี้เราก็มองดูว่ามันเป็นอะไร ไอ้ความหิวนี้มันเป็นอะไร มันก็เป็นเพียงเรื่องทางวัตถุล้วน ๆ ความรู้สึกทางเส้นประสาท ทางอะไรที่กระเพาะ ถ้าเราเข้าใจอย่างนี้ รู้สึกอย่างนี้ หรือมีความรู้เรื่องนี้ดีอย่างนี้ มันก็รู้ว่ามันเป็นอย่างนั้นเท่านั้น คือกระเพาะมันต้องการอะไรแล้วโว้ย, แต่ถ้ามันเป็นคนโง่ ที่ปล่อยไปตามกิเลส มันจะไม่รู้สึกว่ากระเพาะมันต้องการนะ มันไปรู้สึกว่ากูหิว กูหิวข้าว เกิดความโกรธ เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจอย่างอื่นต่อไปอีก ตัวกูหิวข้าว กูไม่ได้กินข้าว ไอ้คำว่ากูมันโผล่มาจากไหน ทั้ง ๆ ที่เนื้อแท้มันก็มีแต่เพียงว่ากระเพาะมันกำลังไม่ได้อะไร สำหรับให้น้ำย่อยมันย่อย แล้วรู้สึกกระวนกระวาย
แต่จิตของคนปุถุชนนี้ มันรู้สึกว่ากูหิว สู้หมาตัวหนึ่งก็ไม่ได้ เพราะหมาตัวหนึ่งยังไม่รู้สึกว่ากูหิว มันเพียงแต่รู้สึกกระวนกระวาย เพราะความหิว ในเรื่องที่กระเพาะมันต้องการอาหาร แต่ว่าหมาตัวนั้น จะไม่มีความรู้สึกว่ากูหิวเหมือนกับคน ดังนั้นถ้าผู้ใดรู้สึกว่าโกรธ กูหิวขึ้นมานี้ มันก็เลวกว่าหมา ซึ่งหมาไม่มีความรู้สึกเป็นอุปาทานว่ากูหิวเลย ทั้งที่มันหิว มันก็หิวอย่างเดียวกัน แล้วก็วิ่งว่อนไปหาไอ้นั่นไอ้นี่กิน มันมาหาเรา มาประจบเรา ขอกิน แต่การที่รู้สึกว่ากูนั้นมันไม่มี มันมีแต่ความรู้สึกแสบท้อง หรือหิว หรืออะไรไปตามเรื่องของฝ่ายร่างกาย ฝ่ายวัตถุล้วน ๆ ฝ่ายจิต ฝ่ายวิญญาณไม่ได้ปรุงขึ้นมาว่ากูหิว กูหิว เอามากินเร็ว ๆ เพราะฉะนั้นหมามันก็ดีกว่าคน ที่มีความรู้สึกว่ากูหิว ทีนี้ก็พาลโกรธเรื่องที่สองว่าทำไมไม่เอามาให้กูกิน ทำไมไม่เอาใจใส่กับกู หรือว่ากูมันมีโชคร้าย มีวาสนาน้อย ต่ำต้อยกันไป ตะเหลิดเปิดเปิงไปในทางอื่น มันก็เป็นเรื่องสองกู สามกู สี่กูเรื่อยไป คนมันก็ยิ่งเลวกว่าหมาสามเท่า สี่เท่า ห้าเท่าต่อไปอีก นี่คุณลองคิดดูว่าไอ้กูนี้มันมาแต่ไหน มันมีแต่ความหิว ซึ่งเป็นเพียงปฏิกิริยาภายในของร่ายกายที่รู้สึกอย่างนั้น แล้วร่างกายมันก็ดิ้นรนขวนขายไปหาอาหาร ทีนี้เราจะพูดถึงต้นไม้บ้าง พอมันขาดน้ำ มันก็กระวนกระวาย มันก็ดิ้นรนจะได้น้ำ มันออกรากไปหาที่มีน้ำ ดิ้นรนไปตามเรื่อง แต่มันไม่มีจิตที่จะทำความรู้สึกว่ากูหิว กูจะตาย กูอะไรทำนองนี้เหมือนกับคน นี่เพราะว่ามันต่างกันมาก ตรงที่คนมันมีมันสมองที่ถูกอบรมไปในทางให้เจริญมาก ไวมาก ลึกมาก อะไรมาก มันจึงเกิดตัวกูของกู ว่ากูอะไรขึ้นมาได้ ส่วนสัตว์ ส่วนต้นไม้ มันเกิดไม่ได้ เพราะจิต หรือมันสมองของมันอยู่ในอันดับต่ำ มันก็เป็นคล้าย ๆ กับวัตถุ เป็นเรื่องทางวัตถุล้วน ๆ
เรื่องอยากน้ำ หรือกระหายน้ำ บางทีจะเข้าใจได้ง่ายกว่า กระหายน้ำนั้นมันก็มีหลักใหญ่ ๆ ว่าไอ้น้ำ มันออกไปมากจากร่างกาย คน ๆ เรานี่ ร่างกายนี่มันมีน้ำตั้งแปดสิบเปอร์เซ็นต์ ถ้าน้ำมันออกไป ด้วยวิธีใดก็ตาม มันก็กระหายน้ำ กระหายน้ำก็คือร่างกายมันวิปริตจากสภาพปกติ คือมันต้องการจะให้มีน้ำ แต่ความจริงมันไม่มีจิตใจที่จะต้องการ แต่เส้นประสาทที่อยู่นอกความควบคุมนั้นมันทำงานไปตามหน้าที่ แล้วมันมีความรู้สึกอย่างนั้นขึ้นมา มันจึงต้องการน้ำ ที่เขาต้องฉีดน้ำเกลือ ฉีดอะไรเข้าไปช่วยชีวิตไว้ให้ทันท่วงที โรคบางอย่าง เกิดจากไอ้ประสาทระบบนี้มันคลาดเคลื่อน มันวิปริตไป มันทำให้ถ่ายปัสสาวะเรื่อย ปัสสาวะถ่ายได้วันหนึ่งตั้งปีบหนึ่ง เพราะระบบไอ้ควบคุมน้ำในร่างกายส่วนนั้นมันเสีย หรือว่ามันถ่ายออกไป มันหิวน้ำ ก็กินเข้าไป แล้วมันก็ขับถ่ายปัสสาวะออกไป มันหิวน้ำก็กินเข้าไป ตามที่เขาเคยบันทึกไว้ในวงการแพทย์ วันหนึ่งกินน้ำปีบถึงสองปีบก็มี เพราะกินแล้วถ่าย กินแล้วถ่าย กินแล้วถ่าย นี่มันเหมือนกับเครื่องจักร ระบบประสาทส่วนที่ควบคุมการใช้น้ำ การไหลเวียนของน้ำ ไม่ให้น้ำสูญเสียไปน่ะมันเสีย มันทำให้ขับน้ำออกจากร่างกายเรื่อย จึงกินน้ำวันหนึ่งสองสามปีบ แล้วก็ถ่ายออกมาสองสามปีบ ถ่ายปัสสาวะ ดังนั้นความกระหายมันเป็นแรงมาก เป็นอย่างแรงมาก เป็นเครื่องจักรที่ทำผิดตามธรรมชาติ แต่คนนั้นมันต้องรู้สึกว่ากูหิวน้ำ กูกระหายน้ำ กูจะตายแล้ว กูจะตาย เพราะการกระหายน้ำนี่ มันมีกูเกิดขึ้นมาอย่างนี้ ทีนี้ในกรณีปกติกันดีกว่า เรามาเดินตากแดดนี่ แดดมันเผาระเหย น้ำระเหยไปจากหนัง จากตัวนี่ออกไปมาก หายไปในอากาศ ร่างกายที่มันเคยมีน้ำหล่อเลี้ยง มันก็ขาดน้ำ มันก็เกิดรู้สึกอย่างว่า คืออยากน้ำ หรือว่าเราทำงานเหน็ดเหนื่อย แคลอรี่ของอาหารหายไปพร้อมกับน้ำ มันก็ต้องการน้ำ มันเป็นเครื่องจักรตามธรรมชาติชนิดหนึ่งเท่านั้น แต่แล้วความรู้สึกไอ้กูอยากน้ำนี่ไม่รู้มันมากจากไหน แล้วถ้ากูไม่ได้กินน้ำล่ะก็ มันก็เกิดความโกรธบ้างความกลัวบ้างอะไรต่าง ๆ นี่ กูทั้งนั้น
ทีนี้คุณจะต้องมองให้ดี แล้วศึกษาให้รู้กันบ้าง เรื่องเกี่ยวกับชีวิตร่างกายตามธรรมชาตินี้มันเป็นอย่างไร เรื่องกิน เรื่องถ่าย เรื่องอะไรต่าง ๆ นี่มันเป็นระบบตามธรรมชาติเหมือนเครื่องจักร ทีนี้มันมีอะไรผิดปกติได้ทั้งนั้นแหละ อย่างนู้นบ้าง อย่างนี้บ้าง แต่แล้วมันก็เกิดตัวกูขึ้นมาทุกที กูอยากน้ำ คอแห้งแล้ว กูอยากน้ำจะตายแล้วนี่ แต่สุนัข หรือแมวคิดไม่เป็น เกิดความรู้สึกอย่างนี้ไม่ได้ ถ้าร่างกายมันกระหายน้ำ มันก็วิ่งไปกินน้ำเท่านั้นเอง แม้ไม่ได้กินน้ำ มันก็ไม่เกิดความรู้สึกว่ากู เหมือนมนุษย์ ไม่เกิดมากไม่เกิดเท่าที่มนุษย์มันเกิด ว่ากูอยากน้ำ ถ้าไม่ได้กินน้ำกูก็จะตาย แล้วก็มีความกลัว มีความน้อยใจ มีความโกรธอะไร ล้วนแล้วแต่เป็นกูที่สอง กูที่สาม กูที่สี่เหมือนกันอีก เพราะฉะนั้นคุณลองอดน้ำ ไม่กินน้ำให้มันเกิดความกระหายน้ำขึ้นมา แล้วก็ไปสังเกตดูจิตใจว่ามันยังไงกันโว้ย มันเป็นเรื่องของร่างกาย หรือเป็นเรื่องของจิตใจ หรือเป็นเรื่องของอะไร จะเกิดความรู้สึกง่าย ๆ ตามธรรมชาติว่าร่างกายมันต้องการน้ำ ก็กินน้ำไม่ต้องมีกู ไม่ต้องมีกูอยากน้ำ กูจะตาย กูอะไร ไม่ต้องมี แค่มีความรู้พอ มีสติสัมปชัญญะพอ มันก็ทำได้
นี่หลักธรรมในพระพุทธศาสนาเราก็มีอยู่อย่างนี้ ให้มีสติรู้สึกว่าอะไรมันเป็นอะไร อะไรมันเป็นอะไร ก็ทำไปแก้ไขไปโดยไม่ต้องเกิดความโกรธ หรือว่าเกิดความโลภ หรือเกิดความกลัว หรือเกิดความอะไรต่าง ๆ ที่มันเป็นกิเลส หรือเป็นตัวกู ซึ่งเราก็ศึกษาได้จากเมื่อหิวน้ำ เมื่อหิวข้าว เมื่อถูกสบประมาท เมื่อ อื่น ๆ อีกร้อยอย่างพันอย่างที่มันเกิดขึ้นเป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน วันหนึ่ง ๆ แล้วก็คอยจับให้ได้ว่าไอ้กูมันมาแต่ไหน กูมาแต่ไหน เมื่อตะกี้มันก็มิได้มี ไอ้รกรากของมันก็มิได้มี รังของมันก็มิได้มีอยู่ที่ไหน แต่นี่ทำไมมันโผล่มาได้ ในเมื่อสุนัข และแมวมันก็ไม่มีความคิดอันนี้ เราก็จะได้เข้าใจถูกต้องสักทีว่ามันมาแต่ไหน ถ้าพูดอย่างผมว่า ว่าไอ้สุนัข และแมวมันไม่ได้มีสมองสูงที่จะคิดนึกได้ นี่ก็ยังพูดไปตามไอ้เรื่อง ฝ่ายวัตถุ หรือฝ่ายธรรมชาตินั่นเอง ทีนี้ก็จะไปปรับโทษให้แก่มันสมองที่มันฉลาด แล้วมันสูง แล้วมันก็รู้สึกเป็นตัวกูขึ้นมาได้
แต่แล้วขอให้คิดดูให้ดี ๆ คิดกลับมองอีกมุมหนึ่ง อีกทีหนึ่งว่า อ้าว,ทำไมพระอรหันต์เกิดไม่ได้ พระอรหันต์เกิดความรู้สึกอย่างนี้ไม่ได้ พระอรหันต์มีมันสมองเลว มีมันสมองต่ำ หรืออย่างไร แล้วใครจะคิดว่าพระอรหันต์มีมันสมองเลว มันสมองต่ำ นั่นเป็นคนบ้าไปแล้ว ไอ้คนนั้นมันบ้าเอง และยังต้องถือว่าพระอรหันต์มีสมองดีกว่าปกติ หรือสูงไปกว่าธรรมดาเสียอีก แล้วทำไมจึงไม่เกิดไอ้ตัวกูบ้า ๆ บอ ๆ นี้ขึ้นมา เพราะฉะนั้นมนุษย์คนธรรมดาก็ดีกว่าหมานิดเดียว ที่มีมันสมองเกิดเป็นตัวกูของกูขึ้นมาได้ เมื่อถูกสบประมาทก็ตาม เมื่อถูกเขาด่าก็ตาม หรือแม้แต่หิวข้าว หิวน้ำก็ตาม นี่ขอให้จำไว้เป็นตัวอย่าง แล้วก็ไปพินิจพิจารณา ทีนี้คนบางคนมันจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว เพราะมีตัวกูของกูมากเกินไป วันหนึ่งเกิดได้มากเกินไป อะไรนิดก็เกิดตัวกูได้ มันเสียเปรียบกันมาก ในหลาย ๆ คน หรือหลายสิบคนที่อยู่ด้วยกันที่วัดนี้ มันก็ยังมีเสียเปรียบ ได้เปรียบกันอยู่อีกมาก หรือบางคนมันเกิดยาก บางคนมันเกิดง่าย เกิดเร็ว หรือเกิดเต็มไปหมด
จึงวัดความดีเลวด้วยเรื่องนี้ดีกว่า แน่นอนกว่า จริงกว่าเรื่องอื่นโดยการศึกษาให้เข้าใจ จับให้ได้ว่าไอ้ตัวกูของมันคืออะไร มาแต่ไหน แล้วของใครมันมาบ่อย คนนั้นก็เป็นคนแย่มาก คือเป็นคนดิบ หรือเป็นคนหนามากเกินไป แล้วก็จะต้องนึกสรรเสริญ ชมเชย บูชาไอ้คนที่มันเกิดยาก เพื่อนของเราบางคนนี่ ตัวกูมันเกิดยาก แม้ถูกด่า แม้ถูกสบประมาทเหมือนกัน มันก็มองไปในแง่ที่ว่าไม่มีอะไร เขาไม่ได้ด่าเรา เราไม่ได้ถูกใครด่า มันคนบ้าพูดเพ้อ ๆ ตามประสาคนบ้า ก็เลยไม่โกรธ ก็เลยไม่น้อยใจ ไมกลัว ไม่หวั่นไหว ไม่อะไร ก็คือไม่มีตัวกูเกิด ทั้งที่มันก็ถูกสบประมาทเหมือนกันนั่นแหละ นี่ตัวกูมาแต่ไหน ให้พิจารณาดูให้ดีว่าตัวกูมันมาแต่ไหน ทีนี้ไอ้คนที่จะไปด่า ไปสบประมาทเขาก็เหมือนกัน มันก็เลวเหมือนกัน แต่ว่าคนที่ไปรับเอามานี่เลวกว่า นี่ผมพูดตามหลักในพระคัมภีร์ แต่ความรู้สึกของผมเองก็รู้สึกอย่างนั้น ว่าไอ้คนด่าเขามันก็เลวอยู่แล้วแหละ แต่คนที่ด่าตอบ คือรับเอามานั้นเลวกว่าเสียอีก เขาดูถูกเราเขาก็เลวอยู่แล้ว แต่เราไปเอามาโกรธมาเจ็บนี่เราเลวกว่าเขาเสียอีก เพราะเรามันเกิดตัวกู ชนิดที่เป็นฟืนเป็นไฟมากกว่า ทีนี้ไอ้คนที่ด่าเรามันไม่ได้มีตัวกูเป็นฟืนเป็นไฟอะไรก็มี บางทีมันพูดเล่นก็มี บางทีมันก็พูดโดยไม่ได้เจตนา ไม่ได้รู้สึกอะไรมากก็มี แต่คนรับนี่ไปรับเอามาอย่างเกินความเป็นจริง เกินความที่มันเป็นจริง เอามาขยายให้เขื่องได้มาก
รวมความแล้วไอ้พิษสงของตัวกูมันเผาผลาญมาก เพราะฉะนั้นจึงเลวกว่าอีกผู้หนึ่งที่เป็นผู้ด่า คนที่ด่าตอบนี่ มันก็เลยเลวกว่าคนที่ด่าทีแรก ก็ถือเป็นหลักอย่างนี้ ขอให้เอาใจใส่เรื่องนี้ให้มาก อย่าทำเล่นกับเรื่องอย่างงนี้ หรือว่าเห็นเป็นเรื่องไม่สำคัญ มันเป็นเรื่องในชีวิตประจำวันอย่างยิ่งนะ ซึ่งเราจะต้องกระทบนั่นกระทบนี่ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย นี่มันก็มากอยู่แล้ว มันยังมีบุคคลอีกมาก มีสิ่งของอีกมาก มีธรรมชาติ ตามธรรมชาติอย่างนั้นอย่างนี้อีกมาก ที่จะเป็นชนวนก่อให้เกิดความรู้สึกเป็นตัวกู ทีนี้ถ้ามนุษย์ หรือว่าคนชนิดนี้มัน มันดีเพียงเท่านี้ คือมันเป็นคนเพียงเท่านี้ หรือมันเป็นมนุษย์เพียงเท่านี้ล่ะก็ มันก็จะเรียกว่าโชคร้ายที่สุด คือมันจะเต็มไปด้วย เต็มแต่สิ่งที่ทำให้เกิดตัวกูของกู ไม่ว่าจะเหลียวหน้าไปทางไหน จนกระทั่งว่าไม่ต้องมีใครไม่ต้องมีบุคคลอีกคนหนึ่ง มันก็คิดเองได้ เกิดตัวกูของกู เหมือนกับว่าสร้างขึ้นมา เป็นตัวเป็นตนขึ้นมา ในที่สุดมันก็โกรธได้กระทั่งสิ่งที่ไม่มีชีวิตชีวา ไม่ใช่โกรธสุนัข โกรธแมว โกรธอะไร โกรธมด โกรธแมลง มันอาจจะโกรธได้แม้แต่ก้อนดิน ก้อนกรวด ก้อนกรวดที่ เกะกะอยู่ตามหนทาง ต้นไม้ต้นไร่ อะไรก็ตาม มันก็ถูกเอามารู้สึกเป็นกู กูถูกกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็เดินเหยียบก้อนกรวด ปวดเท้ามันก็ตัวกูอย่างใดอย่างหนึ่ง กูเจ็บบ้าง หรืออาจจะโกรธเอาก้อนกรวดว่ามันทำอันตรายกูบ้าง ความรู้สึกที่เป็นกูมันก็เกิดได้หลายแง่หลายมุม แม้แต่ไปเดินเหยียบก้อนกรวด เกิดความโกรธได้ เกิดความกลัวก็ได้ เกิดความน้อยใจก็ได้ เป็นเรื่องของตัวกูทั้งนั้น นี่ลองคิดดูว่ามันมาแต่ไหน แล้วมันเป็นสิ่งที่มีเต็มไปทุกหนทุกแห่ง ทุกหัวระแหงหรือเปล่า เป็นต้นตอต้นเหตุที่จะทำให้เกิดตัวกูของกู เพราะฉะนั้นคุณจำไว้แต่คำถามว่า มันมาแต่ไหนให้แม่น จำไว้อย่าให้ลืมได้ ไอ้ตัวกูนี่มันมาแต่ไหน ตัวกูนี่มันมาแต่ไหน มาแต่ไหน จะได้นึกได้ทันท่วงที ทุกคราวที่มันมีอะไรมาทำให้เกิดตัวกูขึ้นมา ที่มันเกิดแรง เกิดมาก เกิดง่าย มันก็เกี่ยวกับมนุษย์ด้วยกัน แสดงอะไรออกมา นี่เป็นธรรมดา แล้วก็มีมาก แล้วก็ร้ายแรงเสียด้วย
ทีนี้ที่ไม่เกี่ยวกับมนุษย์ที่สองบุคคลที่สอง เกี่ยวกับหิวข้าว อยากน้ำ หรือว่าเจ็บไข้ หรืออะไรก็ตามมันก็เกิดได้ เป็นตัวกูตัวโต ๆ ขึ้นมาได้ อาละวาดได้ แล้วมันก็ขยายออกไปถึงผู้อื่นได้อย่างไม่เป็นธรรม ว่าทำไมไม่มีใครเอาข้าวมาให้กูกิน ทำไมไม่มีใครเอาน้ำให้กูกิน มันพาลหาเรื่องได้มากอย่างนี้ นั่นแปลว่าไม่มีบุคคล ไม่มีมึงก็สร้างมึงขึ้นมาได้ จนกระทั่งว่าฝันไปเลย หนักเข้ามันก็นอนหลับฝันไป เป็นฝันร้าย เป็นละเมอ เป็นอะไรได้ต่าง ๆ นา ๆ ซึ่งมีความทุกข์เหมือนกัน ฝันร้ายนี้มันก็มีความทุกข์พอ ๆ กัน นี่ผมไม่พูดอะไรให้ชัดมากกว่านี้ ซึ่งจะให้คุณไปคิดเอาเอง ไปสังเกตเอาเอง ไปตอบคำถามเองว่าตัวกูมันมาแต่ไหน ถึงบอกไปก็ไม่ค่อยมีประโยชน์ ได้แต่จำ ๆ แล้วก็ลืม ลืมแล้วก็จำ แล้วก็ลืม ไปจับเอาเองดีกว่า ไปตอบเอาเองดีกว่ามันมาแต่ไหน หรือมันมิได้มาแต่ไหน พูดอย่างภาษาธรรมะว่าตัวกูนี้มันก็เพิ่งเกิด ไม่ได้เกิดอยู่เป็นประจำ แต่ว่าที่เกิดนี่มันเกิดมาแต่ไหน มันไม่มีอะไรมาแต่ไหน แล้วตัวมันก็มิได้มีอยู่ ไอ้ตัวกูมันก็ไม่ได้มีอยู่อย่างเป็นตัวเป็นตนจริง ๆ นี่มันเป็นตัวอะไร เป็นตัวความโง่ ความบ้า ความหลง ความอะไร ความรู้สึกผิดไปคิดเอาเอง เราไม่อยากจะเรียกชื่อเป็นภาษาอะไรอย่างนี้ แต่ขอให้รู้จักตัวมันเลย เหมือนกับเราเห็นสัตว์อะไรตัวหนึ่ง เราก็ไม่ต้องรู้จักชื่อมันก็ได้ มันไม่สำคัญอะไร แต่ขอให้เราได้เห็นสัตว์ตัวนั้นแล้วว่ามันเป็นอะไรได้บ้างก็แล้วกัน แต่รู้จักชื่อมันก็ดีเหมือนกัน แต่ไม่ต้องรู้จักชื่อก็ได้
ทีนี้เรามาให้มันรู้จักความรู้สึกชนิดนั้น มันหิวน้ำ กระหายน้ำมันเป็นอย่างไร มันอยู่คนละอย่าง หรืออยู่คนละส่วนกับที่เรียกว่าตัวกู ก็ถ้าไอ้ระบบประสาทอะไรมันดีอยู่ อะไรมันปกติอยู่ น้ำมันไม่ได้ระเหยไปจากร่างกาย มันก็ไม่หิวน้ำไม่กระหายน้ำ แล้วตัวกูมันจะดันทุนรังมาเกิดว่ากูหิวน้ำนี้มันทำไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าร่างกายมันขาดน้ำ ตามธรรมชาติมันขาดน้ำ ก็มันร่างกายต่างหาก มันต้องการน้ำ มีความรู้สึกต้องการน้ำ แล้วตัวกูมันมาแต่ไหน นี่เป็นปริศนา ปัญหาที่ทิ้งไว้ให้คิด ถ้าคิดอันนี้ออก คิดอันนี้ได้ ก็คิดอันอื่นได้ หิวข้าวก็จะคิดได้ ถูกเขาสบประมาทก็จะคิดได้ หรือว่าเรื่องที่ ชนิดที่มันเป็นไปเองโดยบังเอิญไม่มีใครสบประมาทใคร มันก็ มีเรื่องมีราวขึ้นมาได้ แบบที่เรียกว่าบินมาตก ยกมาใส่ อะไรที่เขาเรียกกันว่า เราไม่ได้ทำมันก็มาถึงนี่ มันก็เหมือนกัน ถ้าไปรับเอามามันก็เป็นตัวกูอย่างเดียวกัน ก็แปลว่าธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้นเอง ไม่มีทางหลีกเลี่ยง มันเหลืออยู่แต่ว่าจะเกิดตัวกู หรือไม่เกิดตัวกู ถ้ามันเกิดเป็นความรู้สึกเป็นตัวกู นั่นแหละเป็นสิ่งที่เรียกว่าความเสียหาย หรือเป็นโชคร้าย หรือเป็นอะไรที่สุด ถ้ามันไม่เกิด ก็ไม่มีเรื่องอะไร ก็ดีที่สุด สบายที่สุด
มีคนถามปัญหามาก มากรายที่เรียกว่าเป็นปัญหาที่น่าเห็นใจ โดยมากก็เป็นผู้บังคับบัญชา หรือว่ายังไม่ทันจะเป็นผู้บังคับบัญชา มันเป็นคู่แข่งกันมา ที่ว่าใครดีก็ได้เลื่อนชั้นเป็นหัวหน้า เป็นหัวหน้าแผนก หัวหน้ากองอะไรทำนองนี้ มันก็คู่แข่งกันมา มันก็เต็มไปด้วยปัญหาตัวกูของกู คือมันแกล้งกัน แล้วคนหนึ่งมันบริสุทธิ์ ยุติธรรม ถือธรรมเป็นหลัก อีกคนหนึ่งมันเป็นอันธพาล ปัญหามีมาก ทีนี้ได้เป็นผู้บังคับบัญชาเขา เป็นหัวหน้าเขา มีลูกน้องอันธพาลทั้งนั้น เป็นผู้เลวทรามในทางที่ว่าเห็นแก่ตัวบ้าง อะไรบ้าง มีกิเลสตัณหามาก อะไรมาก ไม่บังคับบัญชามันก็ไม่ได้ บังคับบัญชามันก็มีเรื่อง มันเป็นปัญหา แล้วต่อไปจะมีปัญหาอย่างนี้มากขึ้น เพราะว่าคนมันเลวลง เลวลง คนในโลกกำลังเลวลง เพราะไปหลงในเรื่องวัตถุที่เป็นเหยื่อของกิเลสตัณหา คนเลวลง ดังนั้นคนที่ไม่ถือธรรมะ ไม่เคารพธรรมะ ไม่อะไรอย่างนี้จะมีมากขึ้น แล้วจะปกครองกันยังไง แล้วจะบัญชากันยังไง นี่เรียกว่าตัวกูเป็นปัญหา เป็นต้นเหตุ พวกอันธพาลมันก็มีตัวกูอันธพาล คนที่เป็นสัตบุรุษ เมื่อยังไม่หมดกิเลส มันก็ยังมีตัวกูที่พร้อมที่จะเกิดอยู่เหมือนกัน ถ้าเป็นสัตบุรุษจริง มันก็ควบคุมบังคับอะไรได้ที่จะไม่ต้องเกิด ก็ไม่วายที่จะเผลอในบางครั้งบางคราว แต่ว่ายังไม่เป็นพระอรหันต์อยู่เพียงใด มันก็ยังมีโอกาสที่ให้เกิดตัวกูของกูตามมากตามน้อย ตามสัดตามส่วน
เอาไปพิจารณาดูว่ามันมาแต่ไหน ใช้คำว่ามาแต่ไหน เพราะว่าคำถามนี้มันค่อยรวบรัดหน่อย มันค่อยเห็นได้ใกล้ชิดหน่อยว่ามันว่าแต่ไหน หรือมันมิได้มาแต่ไหน แต่ไปตั้งคำถามว่ามันมา มันเกิดมาจากอะไรนี้ เดี๋ยวคุณก็จะสาวไป สาวไป ๆไม่มีที่สิ้นสุด นี่เราต้องการจะให้เห็นว่ามันเป็นลม ๆ แล้ง ๆ มิได้มาแต่ไหน และมิได้มีอยู่จริงด้วย ไอ้ตัวกู มิได้มีอยู่จริง แล้วจะมาแต่ไหน ในเมื่อมันมิได้มีอยู่จริง แล้วมันมาแต่ไหน คุณก็ไปคิดให้เห็น ว่ามันมิได้มีอยู่จริงแล้วมันจะมาแต่ไหน มันไม่ใช่ของจริง และมันไม่ได้มีอยู่จริง มันเป็นลม ๆ แล้ง ๆ ยิ่งกว่าลม ๆ แล้ง ๆ มิได้มีอยู่จริง แล้วมันจะมาแต่ไหน มันก็มิได้มาแต่ไหน ถ้ามองไม่เห็น ยังคิดว่ามันมาแต่ไหน ก็ไปค้น ไปค้นเอาเองไปหาเอาเอง มันมาแต่ไหน จนกว่ามันจะพบคำตอบที่ทำให้หยุดถามนี้ได้ ไม่ถามอีกต่อไป ก็ใช้ได้
นี่วันนี้ผมพูดเรื่องตัวกูของกูโดยหัวข้อว่า กูมาแต่ไหนไอ้กูนี่มาแต่ไหน เป็นคำอธิบาย หรือชี้แจงเฉพาะส่วนนี้ อธิบายเรื่องตัวกูของกูเฉพาะส่วนนี้ นิดเดียว ส่วนเดียวว่ากูนั้นมาจากไหน มันยังมีอีกมากที่จะจัดการกับมันอย่างไร อะไรต่อไป ก็เคยพูดกันมาหลายสิบครั้งแล้ว แต่นี่มาเน้นหนัก หรือมาจี้จุดให้สังเกต ให้เอาใจใส่สังเกตอย่างรวบรัดเข้ามา ไม่ให้บานปลายออกไป ว่าตัวกูมาแต่ไหน กูนี้มาแต่ไหน เอาล่ะเราพูดกันทีละเรื่อง ทีละคำ ทีละข้ออย่างนี้มันดี มันไม่ฟั่นเฝือ ก็คงเป็นการย้ำ การซ้ำ การซ้อม การอะไร ซ้ำ ๆ อยู่นี่ เรื่องตัวกูของกูนี่อยู่เรื่อยไป ผมเชื่อว่าผมอาจจะพูดได้จนตาย ผมอาจจะมีชีวิตอยู่อีกสักสิบปี ยี่สิบปีก็ตามแต่ จะพูดเรื่องตัวกูของกูนี่ได้จนตาย หรือถ้ามีชีวิตอยู่อีกร้อยปี หลายร้อยปีก็เข้าใจว่าจะพูดได้ พูดแต่เรื่องตัวกูของกูเรื่อยไป เพราะนอกจากเรื่องนี้มันมิได้มี สำหรับผมรู้สึกอย่างนั้น คนอื่นก็เห็นแต่เรื่องอื่น แล้วมีมากเรื่อง เลยพูดกันแต่เรื่องอื่น แต่ผมไม่เห็นว่ามีเรื่องอื่น ทุกเรื่องมารวมอยู่ที่เรื่องนี้ เราพูดกันในแง่ไหนเหลี่ยมไหนก็ได้ ในที่สุดมันก็ไปหาจุด จุดเดียวกัน คือเรื่องที่ทำให้เกิดมีความทุกข์ขึ้นมา ถ้าใครอยากมีอันนี้ คนนั้นก็ไม่มีความทุกข์เลย ไม่ถูกใครกระทำ แล้วก็ไม่กระทำใคร เราก็ไม่กระทำใคร แล้วใครก็ไม่กระทำเรา แต่ถ้าพูดเป็นเรา มันก็มีตัวกูอยู่อีก ก็เลยต้องพูดเป็นนามรูป นามรูปนี้ อัตภาพนี้ กายใจนี้ ถ้ามันเต็มอยู่ด้วยความรู้สึกผิดถูกต้องแล้วมันก็ จะสบาย จะไม่มีอะไรมากระทำย่ำยีได้ ถ้ามันมีอะไรมากระทำย่ำยีเป็นทุกข์ได้ มันก็ความโง่ของคนนั้นเอง อย่าไปโทษอะไรที่ไหน แล้วก็ไม่ต้องเสียใจไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปเสียใจไปน้อยใจท้อแท้ ก็ตั้งหน้าตั้งตาศึกษา ค้นคว้า คิดค้นให้มันแก้ไขให้มันได้
เดี๋ยวนี้มันรู้จักตัวกูกี่มากน้อย กำลังลืมตัวอยู่ ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ไม่รู้ทิศไหนทางไหน นั่นแหละมันจะยุ่ง มันจะยาก มันจะเป็นแต่ในทางยุ่งยาก จนกลายเป็นว่าในโลกนี้จะไม่มีแผ่นดินอยู่ ไม่ดีทั้งนั้น ไม่ไหวทั้งนั้น โลกนี้จะไม่มีแผ่นดินให้อยู่ เอาล่ะวันนี้ก็มีเท่านี้ พูดกันอย่างนี้สบายดี ผมว่าถ้าอากาศอย่างนี้ เวลาอย่างนี้พูดกันสบายกว่ากลางวันเสียอีก