แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พระศาสนา ทุกศาสนาก็ต้องการเพื่อจะทำลายสิ่งนี้สิ่งเดียว มันเป็นอย่างนี้ ฉะนั้นจึงไม่มีเรื่องอื่น นับตั้งแต่เรื่องของส่วนตัวบุคคลคนเดียว แต่ละคน ๆ จนถึงเรื่องที่มันเกี่ยวกันกับบุคคลหลายคน กระทั่งเรื่องระหว่างชาติ ระหว่างศาสนา แต่ปัญหาสำคัญมันก็อยู่ที่บุคคลคนเดียว ถ้าเอาชนะตัวกูของกูได้ก็เป็นอันว่าชนะหมด ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วมันก็ทำอะไรไม่ได้ มันบังคับตัวเองไม่ได้ มันก็ทำไม่ได้หมดทุกอย่าง ดังนั้นขอให้ตั้งใจฟังด้วยความตั้งใจที่มาก คือ จริงจังให้สมกับที่มันเป็นเพียงเรื่องเดียว มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น ไม่ว่าความทุกข์ในแง่ไหน ประเภทไหน ชนิดไหน หรือปัญหาชนิดไหน มันรวมอยู่ที่สิ่งนี้สิ่งเดียว ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่ยากอยู่บ้าง เพราะมันเป็นทั้งหมด มันเป็นเรื่องทั้งหมด ของทั้งหมด เพราะฉะนั้นมันก็ต้องมีความยากลำบากอยู่บ้าง หรืออาจจะมาก หรืออาจจะทั้งหมดเลย เป็นความยากลำบากทั้งหมดเลย สำหรับคนบาปบางคน ซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่เกี่ยวกับเรื่องนี้เสียเลย คนโดยมากก็เรียน หรือศึกษาอะไรอย่างนกแก้วนกขุนทองไปทุกเรื่อง พอมาศึกษาเรื่องนี้ก็ศึกษาอย่างนกแก้วนกขุนทองอีก ก็ไม่ได้ผลอะไร เลยเป็นปัญหาทั้งหมด นี่ผมก็พูดมาหลายสิบครั้งแล้ว ก็เรื่องเดียวนี้ พูดหลายสิบครั้งแล้ว มันจะได้ผลอย่างไรบ้าง ผมก็ไม่ทราบ ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำไป ก็มีหน้าที่ ๆ จะพูดให้เข้าใจ หรือพูดให้มันสุดความสามารถที่จะพูดได้ ทีนี้ใครจะเข้าใจ หรือไม่เข้าใจ ได้รับประโยชน์ หรือไม่ได้รับประโยชน์ มันก็เป็นเรื่องที่ไม่ใช่ของผม ผมก็ไม่มีปัญญา ไม่มีความสามารถที่จะไปสนใจได้
ทีนี้ถ้าหากว่าเผอิญบางคนเข้าใจมาได้ตามลำดับ ก็นับว่าวิเศษ คือยิ่งกว่าดี ถ้ามันไม่มีผลอะไรเลย มันก็ยังเหลวเท่าเดิม เป็นเรื่องพูด เป็นเรื่องคำพูด เป็นเรื่องตัวหนังสือไปตามเดิม ไม่ว่าเรื่องอะไร จะเรื่องวิเศษชนิดไหนมันก็เป็นตัวหนังสือ หรือเป็นคำพูดเท่านั้นแหละถ้าไม่เข้าใจ ถ้าเข้าใจก็เป็นธรรมะขึ้นมา เป็นของจริงขึ้นมา มีประโยชน์ขึ้นมา เพราะฉะนั้นเราก็พูดกันได้ เฉพาะคนที่มีความจริงใจ มีความซื่อตรงต่อตัวเอง นับถือตัวเอง ซื่อตรงต่อตัวเอง มันก็คือซื่อตรงต่อธรรมะ ต่อพระธรรม ถ้าอย่างนั้นมันเป็นคนที่บ้าบอชนิดหนึ่งนะ ถึงแม้จะสนใจอย่างตัวเป็นเกรียว มันก็สนใจชนิดที่เป็นหนังสือ หรือเป็นคำพูดไปเท่านั้นเอง ไม่เป็นธรรมะ ไม่เป็นของจริงขึ้นมาได้
ทีนี้ขอให้สังเกตดูเรื่องอื่น ๆ การศึกษาเล่าเรียนอย่างอื่น เรียนนักธรรม เรียนปรัชญา เรียนอะไรที่เรียน ชอบ ๆ เรียนกันนัก มีหนังสือหนังหาเยอะแยะ ก็ยังเป็นเพียงคำพูด เป็นเพียงหนังสืออยู่ ก็เลยพร่า เป็นของพร่า หรือเลือนไปหมด ไม่มีอะไรเข้าถึงจุดได้สักเรื่องเดียว คือ ไม่กลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมาได้สักเรื่องเดียว จึงขอร้องให้ช่วยพยายามเป็นพิเศษ ทีนี้มันจะมีเรื่องอะไรก็ตามใจ ให้มันมาสู่จุด ๆ นี้ให้ได้ เราจะพูด เราจะคิด เราจะนึก เราจะไปเอาอะไรที่ไหนมา เราจะทำในแขนงไหน ประเภทไหน ก็ต้องให้ความรู้ หรือการงานนั้นมันมาอยู่ที่เรื่องนี้ เรื่องสิ่งที่เรียกว่า ตัวกู – ของกู ที่เป็นผี ที่ลึกลับกลับกลอก จับตัวได้ยาก หรืออะไรที่สุดเลย
ฟังแต่ชื่อของมันก็รู้แล้ว ตัวกู – ของกู มันตัวกู แล้วมันยังของกูอีก แล้วมันก็เล่นตลก มันเล่นตลกยิ่งกว่าเล่นตลก เพราะมันจะเป็นตัวกู แล้วมันจะมีตัวอะไรที่ไหนมาสอนตัวกู หรือชนะตัวกู หรืออะไรตัวกูอีก ฉะนั้นเมื่อพูดว่าตัวกู – ของกูนี่ เราหมายถึงอย่าง อย่างของกิเลส ถ้าเป็นอย่างของวิชาความรู้ ของสติปัญญา ของธรรมะที่ถูกต้องนี้เราจะไม่เรียกว่าตัวกู – ของกู จะเรียกให้เพราะพริ้งสักหน่อยว่า ตัวเรา หรือของเรา อัตตา หรืออัตนียา ตัวตน – ของตนดีกว่า นี่มันตัวกูชนิดที่ดี มีสติปัญญา แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันเป็นสติปัญญาชั้นสูงสุด หรือหลุดพ้น เพราะว่าถ้าชั้นหลุดพ้น มันไม่มีตัวกู ไม่มีของกู ไม่มีตัวตน ไม่มีของตน แต่ที่เลวมาก ที่รบกวนอยู่ทุกวัน เป็นปัญหาอยู่ทุกวันนี่เราเรียกชื่อมันว่าตัวกู – ของกู ถ้ารู้จักมันมากแล้ว รู้จักใช้มันเป็นประโยชน์ อาศัยความรักตัวสงวนตัวอะไรนี้เป็นตัวตนที่ดีขึ้นมา มีธรรมะที่ดี ธรรมะฝ่ายดีมากขึ้น เป็นตัวกูอย่างดี เป็นตัวกูชั้นดี บางคราวบางเวลาก็เป็นตัวกูชั้นดีกันอยู่ได้บ้าง แต่นั่นแหละมันไปดูเอาเองเถอะ ไปดูจิตใจของตัวเองเอาเองเถอะว่ามันยังชั่วคราว ยังตลบตะแลง ยังชั่วคราว ยังหน้าไหว้หลังหลอกต่อตัวกูอยู่นั่น คือมันไม่จริง แม้จะเป็นตัวกูชั้นดี มันก็ยังไม่จริงพอ
ทีนี้ปัญหามันก็เกิดขึ้นจากการที่ว่าต้องทรมานกันนาน ทนทุกข์ทรมานกันนาน เปรียบอุปมาหลายหมื่น หลายแสน หลายอสงไขยชาติ นี่ความทุกข์ทรมานมาก มากขนาดนี้ ทีนี้คุณก็ลองนึกทบทวนดู ยิ่งที่จดไว้ก็ยิ่งดี ว่าได้พูดกันแล้วอย่างไรบ้างในเรื่องเกี่ยวกับตัวกูนี้ในแง่ไหน ในแขนงไหน หรือปมไหน ก็พอจะรู้ได้ว่าเรามันยังเหลวไหล เรายังเหลวไหล ยังแก้ไขสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ ในที่สุดมันก็จะน่าสงสารที่ว่าจะพูดกันสักพันครั้งก็ยังไม่ได้อะไรกี่มากน้อย ทั้ง ๆ ที่ว่าผมก็พยายามที่สุดแล้ว ที่จะพูดในรูปของการปฏิบัติ หลีกเลี่ยงที่จะไม่พูดในรูปของหนังสือ หรือปริยัติ หรือปรัชญา ซึ่งมันเป็นเรื่องพูดเสียมาก จะพูดถึงเรื่องการปฏิบัติ หรือที่เกี่ยวกับชีวิตจิตใจโดยตรง
ที่พูดถึงความฝัน คือลักษณะอันแท้จริงของตัวกู ให้รู้จักสังเกตตัวเองจากเรื่องที่ฝัน จากน้ำหนัก จากความหมาย จากความฝันของเรื่องที่ฝันนั้น ว่าตัวเองมันเลวกี่มากน้อย ยังเลวอยู่กี่มากน้อย วัดได้ดีมาก เพราะเรื่องฝันนี่มันไม่ใช่เรื่องที่จะไปบังคับ หรือเล่นตลกกับมันได้ มันก็ฝันไปตามความจริงของมัน เหมือนกับเราถือเป็นเครื่องวัด เครื่องตวง เครื่องชั่งอะไรได้ดีว่ามีตัวกูอย่างไร ชนิดไหน นี่ถ้าว่าเป็นคนที่ไม่หน้าด้านมากเกินไป คงจะละอายบ้าง ในเมื่อมันฝันเลว ๆ ไม่สมกันกับที่เป็นมนุษย์ หรือเป็นพุทธบริษัท หิริโอตัปปะมันก็จะเกิดขึ้น อะไรมันก็จะดีขึ้น ถ้าเราเอาจริง ถ้าเราไม่มีหิริโอตัปปะ มันก็ล้มละลาย มันก็เล่นตลกกันอยู่เรื่อยไป สิ่งที่มันจะทำให้มีหิริโอตัปปะได้นี่ดี อุตสาห์รักมันให้มาก สนใจมันให้มาก ชอบเที่ยวเตร่ เที่ยวคุยที่นั่น เที่ยวพูดที่นี่ แต่นี่มันไม่มีประโยชน์อะไร มันสู้มองเข้าไปข้างใน รู้จัก และจัดการกับมัน ไอ้ตัวกูของกูนี่ดีกว่า
ทีนี้วันนี้จะพูดถึงเรื่องตัวกูเมื่อตื่นนอน เราเคยพูดกันมาแล้วเรื่องตัวกูในความฝัน ทีนี้ก็จะพูดเรื่องตัวกูเมื่อตื่นนอน ขอให้สนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับตัวเองเมื่อตื่นนอนขึ้นมาแต่ละวัน ๆ มันตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกว่าอย่างไร ด้วยความรู้สึกที่มีความหมายว่าอย่างไร แบ่งเป็นประเภทใหญ่ ๆ กันก่อนว่า ด้วยความสดชื่นสบายใจ พออกพอใจ พอจะยกมือไหว้ตัวเองได้ หรือว่ามันตื่นนอนขึ้นมาด้วยความละเหี่ย ด้วยความเศร้า ด้วยความรู้สึกโลกนี้ไม่มีอะไรดี ชีวิตไร้ค่า ไร้ความหมาย รำคาญ หงุดหงิดถึงอยากจะฆ่าตัวตาย จะไปทำอะไรที่ไหนก็ไม่รู้ มันไม่รู้ถึงขนาดนั้น นี่ตัวกูเมื่อตื่นนอน พอจะแบ่งเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ ๒ ความหมายอย่างนี้ เพราะมันมีการปรุงอยู่ตลอดเวลาหลับภายใต้จิตสำนึก กึ่งสำนึก หรือใต้สำนึกว่ามีการปรุงอยู่ตลอดเวลา ทั้งหลับและตื่น แต่เวลาหลับนั้นปรุงได้ดีกว่า เพราะว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย มันไม่ทำงาน พวก tenconsion(๑๕.๕๒) มันหลับ จิตใต้สำนึกที่จะปรุงอยู่โดยไม่รู้สึกนั้นมันก็มีโอกาสที่จะทำได้มาก มันจึงปรุงเสร็จไปตามเรื่องตามราวของมัน
ฉะนั้นเพียงแต่เราตื่นนอนขึ้นมา บางทีรู้สึกคล้ายกับว่าอยู่ในสวรรค์ สบาย พอใจ สดใส ร่าเริง ชีวิตมีความหมาย การงานเป็นของสนุก แต่ว่าบางวันตื่นขึ้นมาในลักษณะที่มันตรงกันข้าม ชีวิตไม่มีความหมาย การงานน่าเบื่อ แล้วก็ไม่รู้ว่าการงานอะไรที่จะเป็นประโยชน์ เป็นที่พึ่งได้ ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไมยิ่งขึ้นไปอีก นี่เรื่องนี้ขอให้ถือว่าไม่ใช่เรื่องคำพูด ไม่ใช่เรื่องปริยัติ ไม่ใช่เรื่องอะไรกันแล้ว ไม่ต้องใช้เหตุผลคำนึงคำนวณแล้ว ใช้ความรู้สึกจริง ๆ ในใจเป็นหลัก แล้วก็ไปทำเอาเองก็แล้วกัน ตามความโง่ ตามความฉลาดของตัวเอง ว่าทำอย่างไรมันจึงจะตื่นนอนขึ้นมาอย่างสบาย อย่างสดใส อย่างมีความหมาย เป็นมนุษย์ที่มีจิตใจสะอาด สว่าง สงบ โลกนี้น่ารื่นรมย์ หรือว่า...ขออภัยจะพูดว่าเอาแต่เพียงอย่างสุนัข และแมวก็ยังดี ผมเป็นผู้เลี้ยงสัตว์ เลี้ยงปลา เลี้ยงสุนัข เลี้ยงแมว เลี้ยงไก่ เลี้ยงอะไรทุกอย่าง เพื่อประโยชน์แก่การศึกษาสิ่งที่ผมอยากจะรู้ ในหลาย ๆ สิบอย่างนั้น ผมก็รู้เกี่ยวกับสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่านี้ สุนัข และแมวตื่นขึ้นมาในลักษณะที่ไม่อาจจะเรียกว่าเป็นความเศร้า เป็นความหม่นหมอง เป็นความอะไรเหมือนกับคนบางคน หรือคนส่วนมาก เพราะว่ามันอยู่ไปตามลักษณะของสัตว์ คือมันมีตัวกูของกูน้อยอยู่แล้ว มันไม่มีความคิดที่เก่งเหมือนคน เพราะไอ้ความคิดปรุงเรื่องตัวกู – ของกูมันมีน้อย ถ้ามันนอนหลับสนิท การคิดปรุงของตัวกู – ของกูไม่มี ทีนี้มันก็ตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น ที่เกิดมาจากการพักผ่อนตลอดคืน
ส่วนมนุษย์มันไม่เป็นอย่างนั้น ไอ้ความหลับ หรือการพักผ่อนมันไม่มี จิตใจมันเป็นเปรต มันกำลังไปตกนรก หรือไปเป็นเปรตอยู่ตลอดเวลาที่มันนอน ภายใต้จิตสำนึก มันตื่นขึ้นมา มันจึงมีแต่ความหิว หิวดี หิวเด่น หิวอะไรไปตามเรื่อง ยกหูชูหางตัวกูแล้วมันก็ไม่ได้ แล้วมันก็เศร้าสร้อย ละห้อย ละเหี่ย โลกนี้ไม่น่ารื่นรมย์ อย่างที่ว่ามาแล้ว ถ้าเอาได้อย่างสุนัขและแมวก็ดี มันก็ยังเป็นกลาง ๆ อยู่ ไม่ต้องเอาถึงมนุษย์ที่แท้จริง หรือพระอริยเจ้าที่มีจิตใจสูงแล้ว ตื่นขึ้นมาด้วยจิตที่พอจะเรียกได้ว่าน่าดู หรือจิตเป็นกุศล น่าดู ไม่สัประยุทธ์ด้วยโมหะ ด้วยความมืดหม่นอะไรเลย สนใจให้เป็นพิเศษ ในฐานะเป็นเครื่องวัด หรือทดสอบตัวเองที่แน่นอน เหมือนกับความฝันนั้นเหมือนกัน แล้วมันก็จะไปเกิดหิริ และโอตัปปะอย่างเดียวกัน เพราะฉะนั้นถ้าตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่เลว ที่ร้ายนี่ก็ต้องเสียใจให้มาก ละอายให้มาก ยังไม่เป็นมนุษย์ ยังไม่เป็นภิกษุ หรือเป็นพุทธบริษัทที่ดี ก็รีบแก้ไขสิ ก็อย่าไปคิดอย่างนักปราชญ์บ้า ๆ บอ ๆ ท่วมทุ่ง น้ำท่วมทุ่ง เอาสามัญสำนึกนี่ จะนอนกันใหม่ คืนหลังจะนอนกันใหม่อย่างไร จะไม่ให้ตื่นขึ้นมาด้วยอารมณ์อย่างนั้น ถ้ามันยังไม่ได้ คืนหลังก็พยายามใหม่ ค้นคว้าด้วยตัวเอง ตั้งอกตั้งใจกันใหม่ จะโดยวิธีสวดมนต์ภาวนา ทำสมาธิ นึกถึงอะไรก็สุดแท้ ตามที่สอนกันมาก็เหลือเฟือแล้ว
แต่โดยสรุป โดยใจความแล้วก็คือว่า จะต้องพยายามที่จะให้ไม่มีความรู้สึกเป็นตัวกู – ของกูก่อนนอน จัดจิตใจให้มันเหมาะ อย่าให้มันกลุ้มไปด้วยตัวกูของกู แล้วทนกระวนกระวายหลับไป กลางวันก็ต้องทำดี ทำถูกต้อง ทำสิ่งที่น่าพอใจ ยกมือไหว้ตัวเองได้ พอจะนอนมันก็ยังจะพอมีทุนสำรอง สำหรับเวลาหลับนั้นน่ะ ถ้าจะมีการปรุงแต่ง มันจะมีปรุงแต่งไปในทางดี ฝันดี ตื่นขึ้นมาสดชื่น ตัวกูเมื่อตื่นนอนเป็นเครื่องวัดที่ดีอย่างนี้ ถ้ามันออกมาในรูปของผี ปีศาจอะไร ก็ต้องเสียใจให้มาก พยายามแก้ไข จนมันพบเองนะ พบเอง แล้วมันก็จะแก้ได้เอง แล้วมันอยู่ได้ดีกว่าที่ไปเที่ยวถามคนอื่น นี่รวมความในตอนนี้ก็ว่าไอ้ตัวกูเมื่อตื่นนอน มันก็คือความทุกข์ หรือสิ่งไม่พึงปรารถนาอย่างยิ่ง เป็นความเสียหายอย่างยิ่ง ทนทรมานอย่างยิ่งได้เหมือนกัน แล้วผมก็หมายถึงสิ่งนี้โดยเฉพาะ ที่เอามาพูดนี่หมายถึงตัวกูชนิดเลวร้ายอย่างนี้โดยเฉพาะ เมื่อตื่นนอนขึ้นมา เพราะตัวกูอย่างดีน่ะมันไม่มีปัญหา ตัวกูอย่างเลวร้ายนี่มันมีปัญหา แล้วเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุดด้วย เมื่อมันมีอาการอย่างนี้ แล้วมันมาจากอะไร ก็มาจากความคิดปรุงแต่งที่เป็นไปตามทางของกิเลสตลอดเวลาที่หลับอยู่โดยร่างกาย แต่ไม่ได้หลับโดยจิตใจ หรือวิญญาณ แล้วมันมาจากอะไร อีกทีหนึ่งก็มาจากความที่เรายังโง่ ยังรู้ไม่พอ ยังรู้จักตัวกู – ของกูนี่ไม่พอ เกิดมาอายุตั้งสามสิบปี สี่สิบปี ห้าสิบปี หกสิบปีแล้วก็มี ก็ยังไม่รู้ ไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าตัวกู – ของกูนี้อย่างเพียงพอ อย่างถูกต้อง มันก็เลยมีส่วนที่จะปรุงอยู่เป็นประจำ จนเคยชินเป็นนิสัย
ทีนี้เราจะลองนึกดูถึงชาวบ้านบางกลุ่ม บางคน บางพวก บางพวกที่มีวัฒนธรรมเลว หรือวัฒนธรรมทางศาสนามีไม่พอ อะไรนี้ มันก็ยิ่งเป็นมาก มันจึงหาความสุขยาก หาความสงบสุขยาก หิวเป็นเปรตอยู่เสมอ จนต้องมีการสอน การเดา ไปตามความเดา สอนไปตามความเดาต่าง ๆ นา ๆ เป็นอย่าง ๆ ไป เป็นลัทธิ ๆ ไป เช่นสอนให้หวังมากขึ้น เช่นสอนให้อธิษฐานจิตให้หวังมากขึ้น ถ้าทำถูกวิธี หวังไปในทางที่ถูก หวังในทางที่ดี หรือพอเหมาะพอดี มันก็จะดีไป ถ้ามันผิดวิธี หวังมากขึ้นนี้ มันก็จะเป็นบ้าเลย ที่พูดกันว่าชีวิตอยู่ด้วยความหวังนั้นน่ะระวังให้ดี เพื่อจะเป็นบ้า หรือเป็นสัตว์นรกไปเลยก็ได้ หรือเพื่อจะเป็นมนุษย์ที่ดีขึ้น ๆ ก็ได้เหมือนกัน ถ้ามันรู้จักหวัง รู้จักคำว่าความหวัง มันตั้งอธิษฐานจิตที่ถูกทาง แบบที่มันแก้ไขความเดือดพล่านของตัวกู – ของกูได้มันก็ดี ทีนี้เท่าที่สังเกตเห็น รู้สึกว่ามันไม่เป็นอย่างนั้น มันเป็นหวังชนิดที่เป็นโรคเส้นประสาทเสียมากกว่า ในที่สุดมันก็เป็นบ้า หรือฆ่าตัวตาย ในเมื่อมันไม่ได้อย่างหวัง มันก็น่าสงสาร หรือน่าเห็นใจไปอย่างสำหรับฆราวาสทั่ว ๆ ไป
ทีนี้สำหรับพระ เราอยู่ในผ้ากาสาวพัตร์ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็แย่มาก ผมเคยพูดหลายครั้งหลายหนแล้วว่าถ้าพระเป็นโรคเส้นประสาท หรือปวดหัวนอนไม่หลับ ก็เป็นสิ่งที่น่าละอายที่สุดแล้ว น่าละอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหนแล้ว ถ้าเป็นพระ เป็นโรคเส้นประสาท หรือนอนไม่หลับนี้ มันเป็นเรื่องของชาวบ้านโดยตรง ถ้าใครมีอยู่ ก็รีบจัดการเสียโดยด่วน เป็นเรื่องของชาวบ้าน นั่นน่ะคืออาการที่แสดงอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้นคนชนิดนี้เป็นนรก เป็นสัตว์นรกทั้งหลับและตื่น ก่อนจะนอนก็เป็นสัตว์นรก เพราะมันหลับยาก ตื่นขึ้นมา ก็ตื่นขึ้นมาด้วยความเศร้าสร้อย ละห้อยละเหี่ย ชีวิตไม่มีความหมาย ไม่มีความหวัง ก็ตื่นขึ้นมาด้วยความเป็นสัตว์นรก แล้วก็ตื่นอยู่ตลอดวันนี่ก็ด้วยความหิว ด้วยความที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี แต่ต้องทนทำไปตามความจำเป็นบังคับอย่างนั้นอย่างนี้ ด้วยความทนทรมาน พอถึงจะหลับมันก็ทรมานอีก ในรูปที่ว่ามันไม่มีอะไรที่ทำให้นอนหลับสนิทได้เลย
ทีนี้เราดูกันต่อไปว่ามันจะมีส่วนดีที่ตรงไหนบ้าง อาการอย่างนี้ เพราะว่าเราควรจะถือหลักว่า มันไม่มีอะไรที่จะมีโทษโดยส่วนเดียว หรือมีคุณโดยส่วนเดียว มันต้องมีได้สองแง่ทั้งนั้นไม่ว่าอะไร จนกระทั่งผมก็เคยบอกว่า แม้แต่ความทุกข์นี่ก็มีค่ามากกว่าความสุข ก็มาบอกความจริง มาสอนความจริง มาพูดจริง คือไม่หลอก ส่วนความสุข หรือความได้อย่างอกอย่างใจนั้นเป็นเรื่องหลอกให้หลงมากขึ้นไปอีก ไอ้ความทุกข์ หรืออุปสรรคนี่มันมีประโยชน์ ที่จะมาทำให้เรามันเก่งขึ้นกว่าเดิม ถ้าไม่มีความทุกข์ ไม่มีอุปสรรค ไอ้คนมันก็ไม่ดีขึ้นกว่าเดิมได้ ฉะนั้นอย่าไปมัวท้อใจ ในเมื่อกำลังอยู่ในสภาพของสัตว์นรกอย่างนี้อยู่ทั้งหลับและตื่นนี่ อย่าไปท้อใจ จะต้องถือว่ามันมาเพื่อให้เราดีขึ้น มันมาสอนเรา มาสอบไล่เรา มันมาจัดเรา เราก็ต้องเอากับมันนะ คือชนะมันให้ได้ เพราะมันมาสอบไล่เรา
ทีนี้เราจะเอาชนะได้อย่างไร ก็คือวิธีที่พูดกันมาแล้ว หลาย ๆๆ ครั้ง หรือหลาย ๆ สิบครั้ง บรรเทาความคิด ความรู้สึกที่เป็นตัวกู–ของกู ควบคุมอยู่ อะไรอยู่ด้วยความพยายาม ด้วยเจตนาพยายาม แล้วก็เสมอต้นเสมอปลายตลอดกาลนาน คุณช่วยจำไว้ด้วยนะว่าผมพูดว่าตลอดกาลนานนะ ไม่ใช่ว่าทำได้วันสองวันทันที ผมผ่านมาแล้ว ยี่สิบปี สามสิบปี สี่สิบปี ห้าสิบปี ก็เคยผ่านมาแต่เรื่องนี้ รู้ว่ามันมีเท่าไร มากน้อยอย่างไร ยากง่ายอย่างไร เดี๋ยวนี้พวกคุณโดยเฉพาะไอ้บวชใหม่เหมือนกับเด็กอมมือนี่ อย่ามาอวดดีกับสิ่งเหล่านี้ มันยังเป็นเด็กอมมือ จะมาอวดดีกับเรื่อง ตัวกู – ของกูนั้นมันไม่ได้หรอก แล้วมันก็ยิ่งไม่ได้ที่ว่าไม่รู้จักชีวิต ไม่รู้จักโลก ไม่รู้จักค่า หรือน้ำหนักความหมายของสิ่งเหล่านี้ เด็กอมมือเหล่านี้ก็ตีราคาสิ่งเหล่านี้น้อยไปบ้าง แล้วก็คิดว่ามันทำได้ในประเดี๋ยว ๆ ในชั่วเวลาที่ตั้งใจว่าจะทำ มันถึงคิดฝันยุ่งไปหมด เดือนนี้จะเป็นพระโสดาบัน เดือนหน้าจะเป็นพระอรหันต์ ปีหน้าจะเป็นพระอรหันต์ ก็คิดสร้างวิมานในอากาศตามประสาเด็กอมมือ ก็ไม่แปลกประหลาดหรอกที่คุณจะมีอายุเท่านี้ มีพรรษาสองสามพรรษา สี่ห้าพรรษา แล้วมันจะโง่เรื่องนี้ มันยังต้องมีความโง่ในเรื่องนี้ ในเรื่องอย่างนี้
ไม่อย่างนั้นคุณลองไปทดสอบดูว่าตัวกูเมื่อตื่นนอนนี่ ตัวกูเมื่อจะหลับ ตัวกูเมื่อจะตื่นนอน มันเป็นอย่างไร มันบอกให้ กว่าจะควบคุณไอ้ตัวกูเมื่อจะหลับ หรือตัวกูเมื่อจะตื่นนอนนี้ได้นี่ยังอีกนาน เพราะฉะนั้นไอ้เด็กอมมือเหล่านี้มันก็กวัดแกว่ง วันนี้ต้องการอย่างนี้ พรุ่งนี้ต้องการอย่างอื่น เดือนนี้ต้องการอย่างนี้ เดือนหน้าต้องการอย่างอื่น จนไม่รู้ว่าทำอะไร จนไม่รู้ว่าจะทำอะไร ไม่สามารถจะทำสิ่งใดให้พออกพอใจไปได้ เป็นปี ๆ มันก็เปลี่ยนเรื่อย เดี๋ยวสึก เดี๋ยวอยู่ เดี๋ยวสึก เดี๋ยวอยู่ ผมก็เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าคุณข้างเดียว เพราะผมก็เคยเป็นเด็กอมมือ ระหว่างที่เป็นเด็กอมมือมันเป็นอย่างไรบ้างก็ยังจำได้ สดใสอยู่ในสมอง คราวหนึ่งมันอยากจะสึก เหมือนกับใจจะขาด แล้วไม่ใช่เรื่องผู้หญิง เรื่องว่าจะซื้อปืนสักกระบอกหนึ่ง แล้วจะไปเที่ยวยิง เที่ยวอะไร เอามากินมาแกงให้สนุก เท่านี้ มีเท่านี้ ดูไอ้ความเล่นตลกของมัน แต่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าเรามันเป็นคนนับสิบก่อน หรือเป็นคนอดทน หรือทบทวน หรืออะไรเสมอ หลาย ๆ เดือนมันก็ผ่านไป แต่ผมเชื่อว่าเด็กอมมือหลายสิบคน หลายร้อยคนมันผ่านไปไม่ได้ แล้วมันก็สึกออกไปจริง ๆ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ หรืออย่างนี้ น้ำหนักเพียงเท่านี้ เรื่องอื่นก็ตามใจ
ฉะนั้นรวมความแล้วมันต้องอาศัย สัจจะ ธรรมะ ขันติ จาคะ หรือฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ที่พูดกันแล้วพูดกันอีกที่ตรงโน้น ในการที่จะตั้งป้อมค่ายประจันหน้ากันกับ ตัวกู – ของกูเหล่านี้ ก็ต้องใช้ความฉลาดมาก ความอดทนมาก กำลังมาก และเวลานาน ผลสุดท้ายมันก็หลีกไม่พ้น คำตรัส คำวิเศษประเสริฐของพระพุทธเจ้าที่ว่าอยู่โดยชอบไซร้ อยู่โดยชอบ เป็นอยู่โดยชอบไซร้ โลกไม่ว่างจากพระอรหันต์ มันต้องมีความคิดตัวกู – ของกูอย่างเลวเกิดขึ้นเมื่อตื่นนอน หรือเมื่ออะไรก็ตามใจ ต้องมีสติทันท่วงทีที่จะนึกถึงสิ่งประเสริฐสุดที่พระพุทธเจ้าท่านมีให้ คืออยู่ให้มันถูก อยู่ให้มันดีเรื่อย ๆ ไป เรื่องนั้นมันเป็นเรื่องพญามาร เรื่องซาตานมาหลอก มายั่ว มาเย้า มาทดสอบอะไรเป็นครั้ง เป็นคราว เป็นธรรมดา ซาตานนี่เขาทดสอบคนทุกคนแม้แต่พระพุทธเจ้า หรือพระเยซู หรืออะไรก็ตาม ซาตานมีปัญญา มีความสามารถที่จะเล่นงาน จะทดสอบบุคคลทุกคนนับตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมา ผมเคยบอกพวกคริสเตียนว่าซาตานไม่กล้ารบกวนก็แต่พระเจ้า พระเป็นเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่ซาตานไม่กล้ารบกวน นอกนั้นอยู่ในวิสัยที่ซาตานจะรบกวนทั้งนั้น จะทดสอบทั้งนั้น แล้วนับประสาอะไรกับเด็กอมมือชนิดนี้ พระ เณรที่ยังไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไร เกิดมาทำไมนี้ก็ยังไม่รู้ อย่างนี้ซาตานจะเขกหัวเล่นกี่วันละกี่สิบครั้ง ไปคิดดูเอง มันคืออารมณ์ร้าย อารมณ์เสียที่มันเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง ๆ เมื่อฝันร้าย เมื่อตื่นนอน เมื่อนอนไม่หลับ ก็ต้องเป็นอยู่ชอบคำเดียว ซึ่งยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร ระบุไปยังมรรคมีองค์ ๘ สรุปให้สั้นก็คือความรู้ ความฉลาด ที่ว่าไม่มีอะไรที่น่ายึดมั่นถือมั่นเป็นตัวกู – ของกู สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่มีอะไรที่ควรยึดมั่นถือมั่น หรือน่าจะยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวกู – ของกู ถ้าอยู่ด้วยความรู้สึกอย่างนี้ เรียกว่าเป็นอยู่ชอบ ซาตาน หรือพญามารไม่กล้ำกรายเข้ามา เรื่องก็มีว่าถ้ามีสติอยู่อย่างนี้ได้ก็ปลอดภัย เดี๋ยวนี้มันแพ้ พอตื่นนอนขึ้นมามันแพ้มาแล้ว แล้วจะเอาใจไหนมาสู้ เพราะพอเราตื่นนอนขึ้นมา มันมาด้วยจิตใจ ตื่นขึ้นมาด้วยจิตใจอย่างนี้เสียแล้ว ไอ้เด็กอมมือมันจะเอาปัญญาไหนมาสู้ พอหลาย ๆ หนเข้าความคิดก็เขวไปในทางยอม ยอมล้มละลาย ๆ เกิดมาไม่ต้องเอาอะไร เอาไปตามบุญตามกรรม ตามอะไรก็ไม่รู้ ตามความมืดบอด มันยอมแพ้ ยอมล้มละลาย พุทธบริษัทที่มีสติสัมปชัญญะจะเป็นอย่างนั้นไม่ได้ ถ้ามันเกิดขึ้น มันก็เสียใจ พอละอาย มันก็กลัว ก็รีบแก้ไข
คนแก่ คนเฒ่า เขาบอกเราว่าให้สวดพุทธคุณก่อนนอน กราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก่อนนอน แล้วจะได้ไม่ฝันร้าย นี่คุณฟังดูเถอะ แล้วคุณทำหรือเปล่า นี่ไปคิดดูอีกทีว่า สวดอิติปิโส สวดพุทธคุณก่อนนอนนี่จะไม่ฝันร้าย จะหลับสนิท แล้วจะคุ้มครองตลอดเวลาที่หลับ เรื่องนี้ควรจะแบ่งแยกออกเป็นสองขนาด คือว่าสวดพุทธคุณนี่ก็สวดไปโดยที่ว่าไม่รู้ว่าอะไร พิจารณาอะไรไม่ได้ เพียงแต่สวดไป ๆ มันก็มีสมาธิเท่านั้น มีสมาธิ มีพุทธานุสติ เป็นสมาธิ มันก็รับประกันได้ไม่น้อยอยู่เหมือนกันนะ ที่จะไม่ให้ฟุ้งซ่าน แต่จะให้หลับสนิทนี่ เพราะมันนึกว่าคุ้มครอง มันก็หลับสนิท มันมีความมั่นใจ เชื่อแน่ว่าหลับสนิท แล้วมันจึงไม่ฝันร้าย แล้วก็ตื่นขึ้นมาไม่ละเหี่ยนี่เรียกว่าขนาดหนึ่ง เด็ก ๆ เราทำกันตามคำแนะนำของพ่อแม่ ทำได้เพียงเท่านี้
ทีนี้ถ้าทำได้ดีกว่านั้นก็คือมีปัญญาพิจารณา รู้ความหมายของพุทธคุณ นี่ก็พิจารณาไป พอใจในพระพุทธเจ้าอย่างยิ่ง ศรัทธาเลื่อมใสอย่างยิ่ง มีปีติปราโมทย์อย่างยิ่งในพระพุทธเจ้านั้น กระทั่งในความหมายของคำว่าพระพุทธเจ้า คือวิธีที่จะดับความทุกข์ หรือชนะความทุกข์ได้ อย่างนี้มันอิ่มอกอิ่มใจ ปีติปราโมทย์ นอนหลับสนิทไป ไม่ฝันร้ายยิ่งขึ้นไปอีก ดีกว่าอย่างแรกเสียอีก นี่เป็นขนาดดี ขนาดสูง ทีแรกว่า(42.56)ก่อนนอนก็เจริญพระพุทธคุณ จะเจริญอย่างสวด ๆ แต่ปาก หรือว่าจะเจริญด้วยพิจารณา ด้วยปัญญาก็ได้ทั้งนั้น มันเป็นสองขนาดอยู่อย่างนี้ อย่างนี้ก็เป็นเครื่องป้องกัน นับสงเคราะห์รวมอยู่ในพวกที่ว่าเป็นอยู่โดยชอบ มีหลักในการเป็นอยู่โดยชอบ ตั้งกาย ตั้งวาจา ตั้งใจไว้โดยชอบ มันก็ป้องกันโรคร้าย หรือว่าความรู้สึกฝ่ายเลว ฝ่ายร้ายได้ ฉะนั้นอุตสาห์ทำจนกว่ามันจะมีความเคยชินเป็นนิสัย หรือเพียงพอ เรื่องไหว้พระ สวดมนต์นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ถ้าเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย ก็คือโง่มาก ผมเดี๋ยวนี้ไม่ได้ไปจริงไหว้พระ สวดมนต์ แต่ผมมีความเคยชินที่จะเป็น เพราะว่าผมก็เคยไปไหว้พระ สวดมนต์เช้า – เย็น ๆ ไม่เคยขาดเป็นห้าปี สิบปี ไปทุกวันไม่เคยขาด เป็นห้าปี สิบปี เมื่อแรก ๆ บวช มันก็มีความเคยชินพอ แต่นี่พวกคุณที่บวชเพียงปีสองปีนี่ยังอวดดีมาก ยังเป็นเด็กอมมือของซาตานอยู่มาก ที่ไม่ชอบสวดมนต์เช้า – เย็นอะไรนี่ให้มันเป็นนิสัย อย่าไปฝังไอ้ ๆๆ ของดี ของขลัง วิธีปฏิบัตินี่ในแบบของสมาธิก็ดี ในแบบของปัญญาก็ดี ลงไปในจิตใจ โดยเห็นว่ามันเป็นเรื่องพิธีรีตอง เป็นเรื่องโง่เขลาอะไร ถ้าไม่อยากไปสวดมนต์ที่โบสถ์ ที่ศาลาละก็ในห้องนอน นี่ขอให้ทำให้ได้ มันก็เหลวตามเคย คนอวดดี หรือคนโกหกตัวเอง มันทำไม่ได้ ที่ไม่ใช่พิธีรีตอง ทำเพื่อแก้ไข ป้องกัน ป้องกัน และแก้ไข การเบียดเบียนของมารร้าย คือตัวกู – ของกูที่มันจะครอบงำเวลาตื่น เวลาหลับนี่เรียกว่าพูดอย่างอุปมา
ถ้าเราพูดไม่อุปมาก็พูดว่า จัดให้การเป็นอยู่มันถูกต้อง หรือโดยชอบอยู่เสมอ จิตใจมันก็ถูกปรับปรุงไปแต่ในทางที่จะเป็นผลดี ไม่ถูกปล่อยปละละเลยไว้ในมือของซาตาน ของพญามาร ตามที่เขาพูดกันว่าหลับเป็นสุข ตื่นเป็นสุข มีความหมายมาก เป็นอานิสงส์ของการเจริญเมตตา เจริญพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ อะไรก็ตาม พวกอนุสติทั้งนั้นน่ะ เขาจะบอกอานิสงส์ถึงว่า สุขํ สุปฺปติ สุขํ ปฏิพุชฺฌติ นี่ นอนหลับเป็นสุข ตื่นอยู่เป็นสุข แต่คนโดยมากก็เห็นเป็นเรื่องครึคระ พ้นสมัย ตัวเกิดในสมัยนี้ มีฝีไม้ลายมืออย่างนั้นอย่างนี้ เห็นเรื่องอย่างนี้เป็นของครึคระพ้นสมัยไปเสีย ฉะนั้นมันก็ได้เป็นตัวกู - ของกู ยกหูชูหางโด่งฟ้าอยู่เรื่อย ครั้นพอตื่นขึ้นมามันก็ต้องถูกเบียดเบียนด้วยอันนี้ ดูหน้าตามันเศร้า ดูลูกตามันอิดโรย ดูหน้าตามันโศกเศร้า เป็นเปรตอยู่ในภายใน มันน่าหวาดเสียวสักเท่าไหร่ คุณลองคำนวณดู มันไม่อิ่มเอิบ มันไม่แจ่มใส มันไม่มีวี่แวว ไม่มีร่องรอยของผู้มีความสงบสุข เพราะว่าเขาสมัครจะหาความสุขด้วยปีศาจ คือตัวกู – ของกู ได้ยกหูชูหางแก่ตัวกู – ของกู ถือว่าเป็นความสุข พยายามจะแสวงหาความสุขอย่างนั้นเรื่อยไป ก็เลยเป็นเข้ารูปที่เรียกว่า เห็นกงจักรเป็นดอกบัว มันก็ไม่รู้ว่าเป็นกงจักร เห็นเป็นดอกบัวอยู่เรื่อย
เอาละสรุปความว่า ถ้ามันตื่นนอนขึ้นมาด้วย ตัวกู – ของกูที่เลวร้ายอย่างนี้ ขอให้ละอายให้มาก กลัวให้มาก แล้วเสียใจให้มาก แล้วพยายามปรับปรุงการเป็นอยู่ ความคิด ความนึกอะไรต่าง ๆ ใช้ความสำรวมระวังให้มาก แล้วอย่าปล่อยความคิดกวัดแกว่งจนไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไรในชีวิตนี้ ส่วนอื่น ๆ เราก็ได้พูดกันมามากแล้วนะ ว่าการทำการงานนี้ก็เพื่อจะทำลายตัวกู – ของกู กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู เป็นอยู่เหมือนตายแล้ว ทำงานโดยไม่หวังอะไรตอบแทนอย่างนี้ มันก็เพื่อทำลายตัวกู – ของกูอยู่เรื่อยไป
เมื่อตัวกู – ของกูมันเกิดขึ้นมาครั้งหนึ่ง ลงโทษตัวเอง โดยเปิดเผยได้ก็ยิ่งดี ไม่ละอาย ไม่ละอายชาวบ้าน ขนทรายขึ้นไปบนยอดภูเขาหลาย ๆ เที่ยว เพื่อนก็รู้ว่า อ้าว!! นี่มันเกิดอกุศลวิตก อกุศลจิตแล้วโว้ย เขาไม่ละอายแก่ชาวบ้าน ไม่ละอายแก่คน แต่ละอายแก่กิเลส พยายามที่จะไม่ ๆ ปล่อยให้ตัวกู – ของกูมันมีอำนาจครอบงำเรา เราจึงทำอย่างนี้จนกว่ามันจะชินเป็นนิสัยในฝ่ายที่เรียกว่าดี เป็นตัวกูฝ่ายดีขึ้นมา แล้วกระทั่งหมดตัวกูในที่สุด ตัวกูชั้นเลว อย่างเลว อย่างที่เราเรียกว่าตัวกู – ของกูนี่ ต้องกระทำอย่างที่เรียกว่าหั่นแหลกกันเลย คือไม่ไว้หน้า เจ้าตัวกูอย่างดี ตัวตน – ของตนอะไรอย่างดีนี้ ก็พยายามที่จะให้มันก้าวหน้า ก้าวหน้าในทางธรรม สมมุติ ๆ เรียกว่าตัวตน – ของตนไปทีก่อน เพราะว่าเด็กอมมือมันไม่อาจจะรู้ว่า ไอ้ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรเลยนี้จะทำอย่างไร มันจะวิเศษอย่างไร มันก็ต้องยึดมั่นถือมั่นไปก่อน แต่ยึดมั่นถือมั่นในฝ่ายดี จนกว่าจะโตเป็นผู้ใหญ่ พ้นเขตของเด็กอมมือ มันก็จะค่อย ๆ ปล่อยความยึดมั่นถือมั่น จนกระทั่งในที่สุด ก็คือไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรเลย เป็นผู้ใหญ่โตเต็มที่ แล้วเป็นพระอรหันต์ ถ้ายังเป็นปุถุชนอยู่ ก็ถือว่าเป็นเด็กอมมือไปก่อน เรียกว่าเอาจริงกันแล้ว และก็มีข้อทดสอบ คอยทดสอบตัวเอง เพื่อให้รู้ข้อเท็จจริงไว้เรื่อย อย่าให้หลงได้ อย่าให้หลงผิด หลงเข้าใจผิดอะไรได้
เพราะฉะนั้นผมจึงพูดเรื่องตัวกู – ของกูในหลายแง่ หลายมุม โดยเฉพาะตัวกู – ของกูในความฝัน และตัวกู – ของกูเมื่อตื่นนอนอย่างนี้ ซึ่งมันเป็นปรอท หรือ Indicator อะไรก็ตามที่มันแท้จริง มันไม่เข้าใครออกใคร มันแสดงได้ ให้เห็นได้ มันวัดให้ดี วัดให้ตรงไปตรงมา เป็นอันว่าเราก็พูดกันประเด็นหนึ่งแล้วในวันนี้ เรื่องตัวกู – ของกูเมื่อตื่นนอน ให้เอาใจใส่ให้มาก ชักจะเหนื่อย พูดอะไรไม่ค่อยได้นาน พอกันที