แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การพูดที่นี่ พูดในฐานะเป็นธรรมปาฏิโมกข์ทุกครั้งไป วันนี้ก็เป็นเรื่องเดียวกันอีก สำหรับวันนี้อยากจะแนะอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ใช่เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร แต่ก็เป็นข้อที่สำคัญ ควรจะสังเกต ทั้งในแง่ภาษาทั้งในแง่ของธรรมะ คือคำว่า “ทำความดี เพื่อการหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง” กับ “การหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เพื่อทำความดี” มีเท่านี้ หัวข้อ ลองฟังดู แล้วคิดดูว่า โดยทางภาษาเป็นยังไง และโดยทางธรรมะเป็นยังไง ทำความดีเพื่อการหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง กับการหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเพื่อทำความดี ถ้าเข้าใจเรื่องนี้ว่ามันต่างกันอย่างไรละก็ จะเข้าใจเรื่องตัวกูของกูเกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วเป็นเรื่องที่เป็นกันอยู่แก่คนทุกคน รวมทั้งฆราวาส ทั้งบรรพชิต
ในตอนแรก ถ้าพูดถึงภาษา ก็น่าจะนึกว่ามันผิดถูกอย่างไร มันเป็นสิ่งเดียวกันหรือเปล่า คุณลองฟังดูให้ดีว่า ทำความดี เพื่อการเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แล้วก็ทำการเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ก็เพื่อทำความดี นี่มันเหมือนกันหรือว่ามันต่างกัน โดย Logic เด็ก ๆ พูด ทาง Logic อาจจะพูดเหมือนกันเลย มีค่าเท่ากัน หรือว่าคนชาวบ้านที่ฟังผิว ๆ เผิน ๆ ก็รู้สึกว่ามันเหมือนกัน หรือว่ามีค่าเท่ากัน แต่ที่จริงมันต้องต่างกันลิบเลย ต่างกันอย่างตรงกันข้าม มองเห็นความต่างตรงกันข้ามหรือยัง ว่าทำความดี เพื่อการเลี้ยงปากเลี้ยงท้องหมายความว่ายังไง แล้วทำการหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เพื่อทำความดี มีเท่านี้ ไม่ต้องเขียนหลายครั้งหลายหน
ทำความดีเพื่อหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เพื่อการเลี้ยงปากเลี้ยงท้องนี่มันเป็นเรื่องของคนมีตัวกู มีตัวกูมีของกู ยึดมั่นถือมั่น ทำความดีทุกอย่าง มันทำเพื่อชีวิตรอด ในที่นี้เรียกว่า เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ชาวบ้าน หรือพระเณรก็เหมือนกันหมด ถ้ามันมีตัวกูของกูขึ้นมาเป็นผู้มีอำนาจบังคับบัญชา มีความเห็นแก่ตัวกูของกู แล้วการทำความดีทั้งหมดเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง การทำให้เขารักเขาชอบก็ดี การทำการงานให้มีเกียรติ ชื่อเสียง มีอำนาจวาสนา มีอะไรก็ดี เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของเขา มันโดยตรงบ้าง โดยปริยาย ไอ้เลี้ยงปากเลี้ยงท้องนี่หมายความว่า เพื่อการกินอยู่ เป็นอยู่ทั่วไป กระทั่งเพื่อกามารมณ์ เพื่ออะไรด้วย แต่เราเรียกว่า การหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องมันเป็นของสำคัญ ก็ลองนึกดูว่าตามธรรมดาสามัญนี่ นึกไปเรื่อย ๆ คนชาวไร่ ชาวนา คนพ่อค้า คนข้าราชการ นักการเมือง
พูดมาแต่นักการเมืองก่อนก็ได้ ทำเพื่อเกียรติ เพื่อชื่อเสียง เพื่ออะไร ต่อสู้กันหน้าดำหน้าแดง ก็เพื่อเกียรติ เพื่อชื่อเสียง พูดกันว่าอย่างนั้น แต่ว่าเกียรติ ชื่อเสียง มันถูกใช้ไปเพื่อการเป็นอยู่ เพื่อการเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง กระทั่งกามารมณ์ กระทั่งความสบายทางเนื้อหนัง นี่ถ้าว่าไปหยุดเพียงแค่เกียรติ ก็น่าฟังดี พวกนักนักการเมืองขวนขวายเรื่องการเมืองเพื่อเกียรติ เพื่อเกียรติอันสูงสุด ก็ดูน่าฟังดี แต่แล้วเกียรติของคนเหล่านี้ มันถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการหาเงิน เพื่อหาอำนาจ หาเงิน หาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องหรือว่าคนทั่วไปค้าขาย ทำมาค้าขายอะไรต่าง ๆ ก็ อาชีพต่าง ๆ ก็เพื่อเกียรติ เพื่ออะไรก็มี มีเงินมากก็มีเกียรติ มีอะไรก็มีเกียรติ แล้วมันก็ไปเพื่อวัตถุ เพื่อผลทางวัตถุ ทางเนื้อทางหนัง ชาวไร่ ชาวนา ทายก ทายิกา เหงื่อไหลไคลย้อย ทำงานอาชีพ แล้วก็ทำบุญ เพื่อทำกุศล แล้วก็เพื่อไปสวรรค์ มันก็ไปจบลงแค่เพื่อปากเพื่อท้องอีก เพื่อการเลี้ยงปากเลี้ยงท้องในสวรรค์อีก นี่มันเป็นไปตามการบังคับของไอ้สิ่งที่เรียกว่า “ตัวกูของกู”
ทีนี้อยากให้มองกลับกันเสีย ว่าหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเพื่อทำความดี เพื่อทำสิ่งที่ดี การที่เราดิ้นรนหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เลี้ยงชีวิต เลี้ยงให้สบาย ให้อะไรต่าง ๆ นี้ก็เพื่อจะให้ได้ทำความดี นี่มันวกกลับอีกแบบหนึ่ง คือบูชาความดี ไม่ใช่บูชาเรื่องปากเรื่องท้อง แล้วความดีชนิดนี้มีความหมายมาก ไม่ใช่ทำบุญกุศลไปสวรรค์ แล้วก็เรียกว่าความดี เป็นความดีของ “ความไม่ยึดมั่นถือมั่น” นี่ฟังยาก ถ้ายังไงก็ลองเทียบดูกับเรื่องเมตตา ๓ ชนิดที่เคยพูดแล้ว เมตตา ๒ ชนิดแรก นี่ของตัวกูของกู เมตตาชนิดหลังสุดของความว่างจากตัวกูของกู เหลืออยู่แต่สติปัญญา แล้วมันทำสิ่งที่ควรทำ ชนิดที่เป็นการช่วยเหลือผู้อื่น นี่ความดีในที่นี้ก็เหมือนกันอีก ความดีของตัวกูของกูมันหมดไปแล้ว ตั้งแต่ไอ้รอบแรก ทำความดีเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องมันหมด หมดค่าไปแล้ว มาในรูปใหม่นี่มันเป็นความดี คือสิ่งที่ควรทำ หลังจากมันหมดเรื่องของตัวกูของกูแล้ว
ที่พูดนี้ก็ไม่มีอะไร นอกจากอยากจะให้ทดสอบตัวเองดูกันทุกคน ๆ เป็นพระ เป็นเณร อยู่ในเพศนี้ มันทำความดีเพื่อปากเพื่อท้อง หรือว่าทำการเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เพื่อทำความดี ให้มันแน่ลงไป ไอ้การที่อุตส่าห์ศึกษาเล่าเรียน อุตส่าห์ทำนั่นทำนี่ หาเกียรติยศชื่อเสียง ก็เพื่อให้เขาบูชาสักการะ ด้วยลาภสักการะ ด้วยความร่ำรวยมั่งมี อย่างนี้ก็ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องแกล้งพูด หรือว่าเป็นเรื่องหาดูยาก มันก็เป็นเรื่องหาดูง่าย ๆ แม้ในหมู่พระ หมู่เณร ทำอะไรให้แปลกเป็นพิเศษ เพื่อให้เกิดอะไรพิเศษขึ้นมาเรื่อย ๆ ในการหาลาภสักการะ หรือเกียรติยศ หรือชื่อเสียง ซึ่งมันก็วนเวียนไปหาลาภสักการะอีกนั่นแหละ ลาภสักการะ สรรเสริญ คำบาลีเป็นสมาส ติดกันเลย เป็นคำเดียวกันเลย เพราะมันไปด้วยกัน มันหล่อเลี้ยงซึ่งกันและกัน ไอ้ลาภสักการะกับการสรรเสริญนี่ มันผลัดกันหล่อเลี้ยงเป็นวงกลมไปเลย
พวกบวชสามเดือนหรือบวชชั่วคราว ไม่มีโอกาสที่จะมีเรื่องอย่างนี้ได้นัก แต่พวกที่บวชอยู่นาน ๆ หรือบวชตลอดชีวิตก็ตามเถอะ มันมีความคิดหรือมีโอกาสที่จะทำอย่างนี้ ขวนขวายเพื่อความมีลาภสักการะ สรรเสริญ เสียงสรรเสริญ การเล่าเรียนก็ดี ได้เป็นใหญ่เป็นโตก็ดี ได้เป็นเจ้ากี้เจ้าการทำนั่นทำนี่ให้ผู้อื่นก็ดี มันวนเวียนอยู่ที่นี่ ลาภสักการะ และสรรเสริญ และเสียงสรรเสริญ เกี่ยวกับลาภสักการะ และสรรเสริญนี่ไปอ่าน “ขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์” ตอนที่ว่าด้วยลาภสักการะสรรเสริญดูละกัน หนังสือขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์ หาดูตามโต๊ะอ่านหนังสือ มันคืออะไร สำหรับบรรพชิต ไอ้สิ่งเหล่านี้คืออะไร การทำอย่างนี้มันทำไปด้วยอำนาจของสิ่งที่เรียกว่าตัวกูของกู ความยึดมั่นถือมั่น และเห็นแก่ตัวกูของกู เพียงเท่านี้มันก็ไม่เท่าไหร่นะ เพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่เนื่องถึงสิ่งอื่น แต่เดี๋ยวนี้มันเนื่องไปถึงสิ่งอื่น เมื่อภิกษุสามเณรเป็นอยู่ในรูปนี้ ก็คือการทำลายศาสนาดี ๆ นั่นเอง มองให้มันเห็น เมื่อภิกษุสามเณรเป็นอยู่ในรูปนี้ ทำความดี เพื่อประโยชน์แก่ปากท้องนี่ มันคือการทำลายศาสนาอย่างดี ๆ อย่างเต็มที่ ถึงแม้เขาจะนิยมทำกันเป็นทั่วไป คล้าย ๆ กับเป็นสถาบันไปแล้ว แต่มันก็คือสิ่งที่ทำลายธรรมะ ทำลายศาสนา ทำลายตัวแท้ของศาสนา อาจจะทำให้เปลือกของศาสนาดูหรูหรา มากมาย สวยงาม กว้างขวางก็ได้ มันเปลือกของศาสนา แต่ว่าหัวใจของศาสนาไม่มีเหลือ มีพระพุทธภาษิตตรัสไว้สั้น ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ไอ้พรหมจรรย์นี้ไม่ใช่เพื่อลาภสักการะ เสียงสรรเสริญ พระพุทธเจ้าตรัสว่าพรหมจรรย์นี้ไม่ใช่เพื่อลาภสักการะ และเสียงสรรเสริญ เป็นพุทธภาษิตในมัชฌิมนิกาย และมีภิกษุ เมื่อมีมากเข้า ๆ ก็มีภิกษุประพฤติพรหมจรรย์นี้ เพื่อลาภสักการะ และสรรเสริญ จึงทำให้พระพุทธเจ้าต้องตรัสออกมาอย่างนี้ พรหมจรรย์นี้มันเพื่อวิมุตติ เป็นผลสุดท้าย ทีนี้ใครประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อวิมุตติกันบ้าง ก็ลองคิดดู ใครประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อลาภสักการะ สรรเสริญกันบ้าง ก็ลองคิดดู ผมเคยเห็นมากมาย พระเณร และมักจะเป็นหลวงตา นี่ขออภัยที่พูดอย่างนี้นะ ที่ใครเป็นหลวงตา ที่ว่าขี้เกียจ เอาเปรียบอย่างอื่นหมด แต่ถ้าไอ้สิ่งที่เป็นไปเพื่อลาภสักการะสรรเสริญของตัวละขวนขวายตัวเป็นเกรียวทีเดียว นี่ก็ไม่แต่หลวงตา พวกมหาเปรียญก็มีอีกแบบหนึ่ง ที่ทำอย่างนี้ ที่มีความหมายอย่างนี้ โชคดี พวกบวชสามเดือนทำไม่ทัน สึกไปเสียก่อน แต่ก็ต้องระวังไว้เหมือนกัน คือภาวนาไว้ว่า “พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า พรหมจรรย์นี้มิใช่มีลาภสักการะ เสียงสรรเสริญเป็นอานิสงส์ แต่มีวิมุตติเป็นอานิสงส์” อย่างแรกมันเข้าบท “ทำความดีเพื่อการเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง” ไอ้อย่างทีหลังอ่ะ “ทำการเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเพื่อทำความดี” ความดีนี้ก็หมายถึงวิมุตติ เป็นอานิสงส์ คือมันดีจริง แล้วก็ไม่ใช่ความดีชนิดที่เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ ยึดมั่นถือมั่น เป็นความดีชนิดที่ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ ถ้ายึดมั่นถือมั่นอยู่ มันไม่วิมุตติได้ ถ้ามันวิมุตติได้ มันก็ต้องไม่มีความยึดมั่นถือมั่น
ดังนั้นความดีชนิดที่เป็นที่ตั้งของความยึดมั่นถือมั่นนั้นมันก็มีอยู่อย่างหนึ่ง พวกหนึ่ง ความดีที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้นั่นน่ะคือแท้จริง แล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจกัน มองไม่ค่อยเห็น แม้พวกที่ถือพระเจ้าเป็นหลักนั้นน่ะ ก็พูดอย่างนี้ แล้วก็พูดได้ แต่ไม่เข้าใจ พระเจ้า คือยอดสุดของความดี ที่รวมหมดของความดี แล้วแกผู้พูดนั้นเข้าใจไหมว่าความดีที่แกยึดมั่นถือมั่น ที่คนทั่วไปยึดมั่นถือมั่น อย่างนี้พระเจ้าสกปรกที่สุดเลย ถ้ามันมีความหมายอย่างนี้ พระเจ้าจะเป็นสิ่งที่สกปรกที่สุด ถ้ามันเป็นที่รวมที่อะไรของความดี สำหรับจะยึดมั่นถือมั่น มันต้องเป็นความดีชนิดอีกความหมายหนึ่ง คือดีจริง ในทางที่มันอยู่เหนือความทุกข์ เหนือกิเลส เหนือความทุกข์ เหนือความยึดมั่นถือมั่น
พวกที่เรียนนักธรรม และสอนนักธรรม ก็ต้องเข้าใจไว้บ้างว่าถ้าเราพูดกันอย่างภาษาคน ภาษาสมมติ เราก็พูดว่า “ไอ้ดีที่สุดคือนิพพาน นิพพานดีที่สุด ของดีที่สุดคือนิพพาน” แต่พอเราเกิดพูดภาษาธรรมะ หรือภาษาความจริงขึ้นมาก็ต้องพูดว่า ไอ้นิพพานนั้นน่ะ พ้นไปจากดีและชั่ว เป็นที่สิ้นสุดแห่งความดีและความชั่ว ไอ้นิพพานที่แท้จริงนั้นมันเป็นที่จบ ที่ดับ ที่สิ้นสุดแห่งความชั่ว และความดีทั้งสองอย่าง จะเรียกนิพพานว่าเป็นของดีที่สุดได้หรือไม่ได้ ก็ลองคิดดู ถ้าได้ก็ได้อย่างภาษาชาวบ้านพูด ไอ้ภาษาจริง Ultimate Truth นั้นก็พูดไม่ได้ เพราะนิพพานมันเลยไปอีก เลยชั่ว และเลยดีไปอีก ระวัง แรกเรียนนักธรรม หรือแรกเป็นครูสอนนักธรรม จะพูดขัดคอตัวเอง เขาต้อนจนมุมได้ ไอ้เรื่องเกี่ยวกับคำว่า ดี ๆ ๆ ๆ อะไรนี่ โดยทั่วไปมันก็ต้องยกว่า ไอ้ของดีมันก็ดีสุด มันก็สุดอยู่แค่ของดี แต่ว่ามันมาอีกแบบหนึ่งที่ว่า มันต้องเหนือดีขึ้นไปอีก จึงจะถึงยอดสุด แล้วจะเรียกว่าอะไรล่ะ ถ้าเรียกภาษาธรรมดาก็ต้องเรียกว่า ดีนั่นอีกแหละ มันจะกัดตัวเอง มันจะคัดค้านตัวเองอยู่อย่างนี้ ที่จบ ที่สิ้นสุดของความทุกข์ ไม่เรียกว่าความสุข หรืออะไร ที่จบ ที่หมดของความทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านเรียกอย่างนี้ ไม่ได้เรียกว่าความสุข แต่ถ้าพูดกับชาวบ้านก็เรียกว่าความสุข นิพพานเป็นที่สิ้นสุดของความทุกข์ ถ้าท่านพูดกับผู้รู้ด้วยกัน หรือพูดอย่างภาษาของท่าน ท่านพูดว่า “ที่สุดแห่งความทุกข์” แต่พูดภาษาชาวบ้านชาวเมือง คนปุถุชนก็พูดว่า เอ้า, นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ๆ เพราะว่าชาวเมืองทั่วไปเขาไม่รู้เรื่องที่ว่ามันเหนือสุข เหนือทุกข์ ก็ต้องพูดว่าเป็นสุขอย่างยิ่ง ความหมายของนิพพานนี่มันจะต้องอยู่เหนือสุขเหนือทุกข์ คือเหนือเวทนา เหนือสุขเวทนา ที่เป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นถือมั่น พูดภาษาสมมติ ภาษา Relative นี่ก็คือว่ามัน “มีความสุข” พูดภาษาวิทยาศาสตร์ก็ว่า “ที่สุดของความทุกข์” จบสิ้นของความทุกข์ หมดกัน เลิกกัน ไม่เอื้อมไปหาสุข ไม่ยื่นมือไปหยิบสุข ไม่ไปที่ไหนอีก มันสิ้นสุดแห่งความทุกข์ พอแล้ว นี่เรียกว่า วิมุตติ พรหมจรรย์นี้มีวิมุตติเป็นอานิสงส์
ดังนั้นถ้าเราหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เพื่อความดีชนิดนี้ก็ใช้ได้ ถึงชาวบ้านทั่วไปก็เหมือนกันน่ะ พ่อค้า ประชาชน นักการเมืองก็ตาม ถ้าเขามีชีวิตอยู่ หาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องอยู่ เพื่อทำความดีแล้วมันก็ใช้ได้ มันจะเป็นดีจริง ๆ เป็นเกียรติจริง ๆ อะไรจริง ไม่มาเป็นทาสของปาก หรือท้องอีก นักการเมืองคนไหนทำความดีเพื่อปากเพื่อท้อง เพื่อสรรเสริญ มันก็อย่างหนึ่ง นักการเมืองคนไหนเลี้ยงปากเลี้ยงท้องอยู่ เพื่อทำความดีเท่านั้น มันก็อีกอย่างหนึ่ง ก็ตรงกันข้าม ต่างกันลิบ ผู้ที่หาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เพื่อทำความดีเท่านั้นน่ะ จะมีคดโกง มีอะไรไม่ได้ และเพื่อหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง มันนิดเดียว นิดเดียวมันก็พอกินแล้ว เรื่องเลี้ยงปากเลี้ยงท้องจะหาทำไมอีก กินแล้วก็ทำความดี เหลือแต่ทำความดี ดังนั้นความดีของแกก็ไม่วกไปเป็นทาสของปากของท้อง ก็เป็นดีจริง ดีไปเรื่อย ๆ นี่เป็นเกียรติยศชื่อเสียง มันก็เป็นเกียรติยศที่บริสุทธิ์ แล้วก็สูงสุด ถ้านักการเมืองเป็นอย่างนี้กันแล้ว โลกนี้ก็มีความสงบสุข มีสันติภาพ เดี๋ยวนี้กล้าทาย ทำนาย เป็นหมอดู ไอ้พวกนักการเมืองนี่มันทำความดี เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง มิได้มีการเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เพื่อทำความดี ถือตาม Logic ไม่ได้ มันจะเหมือนกันไปเสีย ตามความจริงของมันไม่เหมือนกัน ตรงกันข้าม ทีนี้คนอื่น ๆ ก็เหมือนกันอีก คนประเภทอื่น จะเป็นพ่อค้า ประชาชน ชาวไร่ชาวนา ก็ต้องหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เพื่อทำความดี มันไม่ต้องหามากมาย ไอ้หาเพียงเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แล้วทำความดี แต่นี่มันไม่รู้ว่ามันมีขอบเขตที่ตรงไหน ไอ้เรื่องเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เป็นอะไรทั้งหมดรวมอยู่ที่เพื่อจะเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ก็เลี้ยงปากเลี้ยงท้องของลูก ของหลาน ของเหลน ของอะไรไปต่อไปอีก มันมีตัวกู ของกู ที่พ่วงกันเป็นยาว เหมือนกับเรือพ่วง ยาวเฟื้อยไปเลย แล้วมันจะสิ้นสุดได้ยังไง ไอ้เรื่องเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
ดังนั้นอะไร ๆ เราก็เรียนมามาก เรียนนักธรรม เรียนบาลี อะไร ๆ ก็ฟังมามาก เฉพาะที่ฟังผมพูดนี่ก็แยะละ เฟ้อ เกินไปแล้ว นี่เรียกว่าฟังมามาก เรียนมามาก แล้วก็ต้องระวังให้ดี ระวังในข้อนี้ ระวังให้ดี ๆ มีชีวิตอยู่เพื่อความดี อย่าให้เป็นความดีเพื่อมีชีวิตอยู่ มันก็คนขี้ขลาด คนเห็นแก่ตัว ทำความดี เพื่อมีชีวิตรอด เพื่อเอาตัวรอด ไอ้เราต้องรู้ รู้ สามารถเอาตัวรอด เอาชีวิตรอด สามารถที่จะเอาชีวิตรอด แล้วก็อยู่เพื่อทำความดีชนิดที่ดีจริง “อย่าทำดีเพื่ออยู่ ให้อยู่เพื่อทำดี” ภาษาอะไรก็ไม่รู้ นี่เขาว่าอย่างนี้ พูดภาษาอะไรก็ไม่รู้ คุณไปคิดดูเอาเอง จะรู้ว่าภาษาอะไร ไอ้ทำดีเพื่ออยู่นั้น มันเข้าข้างตัว เห็นแก่ตัว เพื่อเห็นแก่ตัว เช่นเดียวกับไอ้สุภาษิตที่ว่า “รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี” ถ้ามันความหมายอย่างนี้ ใช้ไม่ได้นะ มันไม่ใช่ภาษิต ให้รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี ดูมัน จะเป็นอย่างนี้เสียมากกว่า ไม่ใช่หลุดรอด รอดพ้นจากทุกข์ไปนิพพาน ไม่ใช่ เมื่อคนถือหลักว่าเอาเข้าไว้ เพื่อรอด เพื่อตัวรอด เพื่อไปทีก่อน อย่างอื่น ๆ ช่างหัวมันอย่างนี้ ดีไม่ดีก็ช่างหัวมัน เอาเข้าไว้ก่อน ได้นั่นแหละเป็นดี โลกก็เป็นอย่างนี้ โลกกำลังอยู่ในสภาพอย่างนี้ และเป็นอย่างนี้กันมากขึ้น ๆ จนไม่มีตัวของตัว คือว่าไม่มีความเป็นธรรม เป็นตัวของตัว
เมื่อวานอ่านหนังสือพิมพ์ มีเรื่องที่น่าคิดอยู่หน่อยหนึ่ง เรื่องสตรีนุ่งกระโปรงสั้นมากขึ้น ๆ มีผู้แทนราษฎรจังหวัดหนึ่งขอร้องให้นายกรัฐมนตรีออกระเบียบควบคุม เช่น ไม่ให้มาติดต่อทางสำนักงานราชการ หรือไม่ให้เข้าวัดเข้าวานี่ ก็เลยวิพากษ์วิจารณ์กัน ผลสุดท้ายมีคนเห็นว่าเป็นการตัดเสรีภาพของเขา ท่านนายกรัฐมนตรีก็บอกว่า มีเรื่องอื่นที่จำเป็นกว่าที่จะต้องพิจารณาก่อน เรียกว่าดีมาก ออกตัวได้ดี ก็มีคนเขียนในหน้าหนังสือพิมพ์ว่า “เป็นเสรีภาพที่เขาจะทำได้” คุณคิดดู เป็นเสรีภาพที่เขาจะทำได้ เขาก็อ้างว่า ผู้ชายก็แต่งชุด แต่งกายตามแบบนิยมของสากล เป็นชุดสากล ชุดของฝรั่ง แต่งตามฝรั่ง ผู้ชายแต่งตามฝรั่ง ทำไมจะไม่ให้ผู้หญิงแต่งตามฝรั่งบ้าง นี่เขาพูดกันอย่างนี้ คุณคิดดู มันเอาถูก เอาถูก หรือเอามีเหตุผลตรงที่ว่าฝรั่งเขาทำยังไง และก็นั่นเป็นถูกที่มีเหตุผล นี่เรียกว่าคนไทยกำลังไม่มีความเป็นตัวเอง หรือไม่มีความเป็นไทย หรือไม่มีธรรมะ ไอ้เครื่องแต่งกายชุดของผู้ชาย ของแบบฝรั่งนั้นมันไม่ขัดกับศีลธรรม หรือประเพณีอันดีของไทย นี่เครื่องแต่งกายชุดผู้หญิงของฝรั่งนั้นมันเปลี่ยนมาเป็นเลวลง ๆ ขัดกับศีลธรรมอันดีของชนชาติไทย ถ้าผู้หญิงฝรั่งเขานุ่งกระโปรงยาว ๆ เหมือนสมัยก่อนนู้นอยู่ มันก็ดีสิ ก็เอาอย่างได้ เพราะมันไม่กระทบกระเทือนจิตใจ หรือศีลธรรมอันดีของคนไทย ทีนี้ผู้หญิงฝรั่งเขาถูกป้อยอ ถูกล่อหลอกให้กลายเป็นสัตว์อะไรชนิดหนึ่งไปแล้ว แล้วแต่เขาจะแนะให้ทำอย่างไร แล้วคนไทยจะไปเอาอย่าง อ้างว่าเป็นเสรีภาพ ถ้าตามอย่างฝรั่งก็ตามให้หมดทั้งหญิงทั้งชาย นี่มันเป็นการแสดงให้เห็นว่าในอนาคตมันจะเป็นอย่างไร ความนิยมของคนจะเป็นอย่างไร มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร แล้วคนจะไปกันทางไหน นี่ฟังดู เสียงหนังสือพิมพ์นั้นสนับสนุนให้ผู้หญิงแต่งตัวตามอิสระ คือตามแบบฝรั่งนั้น นี่แสดงว่าไอ้คนเขียนบทความนั้นมันเป็นอย่างนั้น มันเป็นคนชนิดนั้น ไอ้คนที่เขามีความคิดอย่างอื่น เขาไม่ได้มาเขียนโต้แย้ง จะเอามาเป็นประมาณไม่ได้ น่าสงสาร ที่ผู้หญิงถูกหลอกให้เป็นคนบาป เป็นคนบาป เป็นผีบาป หรือเป็นคนบาปก็ตามได้ทุก ๆ นาที ทุกชั่วโมง ที่มันใช้เครื่องแต่งกายชนิดที่เป็นการยั่ว ยั่วคน ก็มันรู้กันอยู่แล้วว่าไอ้ที่ทำนี้ เพื่อยั่วคน ยั่วเพศตรงกันข้าม ใช้สิ่งนี้เป็นเครื่องตกเบ็ดเพศตรงกันข้ามให้มาอยู่ในอำนาจของตัว มันก็หลอกง่าย หลอกให้ยินดีรับทันทีเลย กลายเป็นคนมีการกระทำชนิดที่เป็นการหลอกลวง ตกเบ็ดผู้อื่นด้วยเครื่องแต่งชุดนั้นน่ะ แบบนั้น พอเอามาสวมเข้ามันก็กลายเป็นคนบาปทันที เพียงแต่เอาเครื่องแต่งกายชนิดนี้มาสวมเข้า ก็กลายเป็นคนตกเบ็ดผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา เพื่อจะเอาประโยชน์อะไรมาเพื่อตัว มันไม่ต้องไปทำอะไรให้มากไปกว่านั้นหรอก มันก็เป็นบาปถึงที่สุดอยู่แล้ว ที่มีเจตนาตกเบ็ด จะนุ่งไปวัด หรือจะนุ่งไปที่ไหน มันเกิดเรื่องราวอะไรกันขึ้นนั้นมันก็อีกส่วนหนึ่ง มันของแถมพก แต่ที่มันได้อยู่ร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว ก็คือว่ามันได้บาป ได้เป็นคนบาป เป็นผีหลอกลวง ตกเบ็ดคนอยู่ตลอดเวลาทุกนาทีที่สวมเครื่องแต่งกายชุดนั้น
ทีนี้ผู้ชายไม่มีปัญหา ไม่ถูกหลอก เพราะว่ายังมีชุดยาวอยู่ ชุดที่ไม่ตกเบ็ดใคร นี่หมายถึงใช้ความรู้สึกทางกามารมณ์เป็นเหยื่อ จนผู้หญิงที่เขาใช้ เขาหลอกกันจนให้กลายเป็นอย่างนี้ไปแล้ว นี่แสดงว่า เหยียดเกียรติยศของสตรีไม่มีเหลือ โดยเจ้าตัวยินยอม หรือสมัครใจ มนุษย์ก็ขาดสิ่งที่คู่ควรกันกับบุรุษ ฟังถูกไหม มนุษย์นี่ ในโลก หรือโลกมนุษย์นี่มันมีทั้งบุรุษและสตรี ซึ่งเป็นผู้มีเกียรติยศด้วยกัน เป็นเพื่อนกัน เป็นคู่อะไรที่ไปด้วยกันมาแต่เดิม ในบาลีก็มีการกำชับ หรือแนะนำให้ให้เกียรติแก่สตรี ให้ยกย่องสตรี แล้วก็เป็นหลักธรรมในพุทธศาสนา ที่เป็นส่วนตัวก็มีเรื่องพูดสรรเสริญ ไอ้ลักษณะ คุณสมบัติอันนี้ของกษัตริย์ พวกศากยวงศ์ ของพวกลิจฉวีอะไรเป็นการใหญ่ การให้เกียรติแก่สตรี มนุษย์จึงมีทั้งบุรุษ และสตรีที่เคียงบ่า เคียงไหล่กันไป นี่มาถึงสมัยนี้ สตรีถูกล่อลวงต้มยำให้สูญเสียเกียรติศักดิ์ เกียรติยศของสตรี กลายเป็นผีปีศาจ คอยตกเบ็ดคนอื่น ไม่มีค่าเป็นสตรีที่สมบูรณ์ ที่จะเป็นคู่กับบุรุษ ก็แปลว่าโลกนี้ไม่มีสตรี มีแต่บุรุษที่หลอกลวง เพราะสตรีนั้นถูกเหยียดหยามโดยไม่รู้สึกตัว โดยสมยอม โดยอะไรไปจนหมดสิ้น หมดเกียรติของสตรี นี่ด้วยเครื่องแต่งกายนิดเดียว มันแสดงมากถึงอย่างนี้ แล้วกำลังมีเรื่องราวอะไรมากกันทุกวันเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายของสตรีแบบนี้ ลำบากยุ่งยากไปหมด แม้ในการที่มาวัด ก็ต้องรับแขกคนที่แต่งกายแบบนี้ ยุ่งยากลำบากกันไปหมด นี่มันมาเพิ่มความยุ่งยากลำบากโดยไม่จำเป็น นี่มันมีมูลนิดเดียว ที่ว่า ทำไมจึงยอมทำอย่างนั้น ทำไมสตรีจึงยอมทำอย่างนั้น มันก็เพื่อประโยชน์แก่การที่ว่าเลี้ยงปากเลี้ยงท้องนี่ แต่มันเป็นการเลี้ยงปากเลี้ยงท้องที่ไม่มีขอบเขตจำกัด เลี้ยงปากเลี้ยงท้องอย่างมนุษย์ไม่พอ ก็เลี้ยงปากเลี้ยงท้องอย่างอะไรก็ไม่รู้ อย่างเทวดาชนิดไหนก็ไม่รู้ มันก็ตกเป็นเหยื่อแห่งความหลอกลวง ทำให้บุรุษออกแฟชั่นแบบเครื่องแต่งกายให้ผู้หญิงในลักษณะนี้ แล้วผู้หญิงก็สมยอม ทำให้โลกหมดความมีธรรมะ ความเป็นไปอย่างถูกต้องของโลก แล้วมันก็น่าแปลก น่าขันตรงที่ว่า กำลังจะยินดีรับเป็นทางการ ยินดีรับเป็นทางการว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ เป็นสิ่งที่ไม่น่าติเตียน ไม่เสียหายอะไร พวกสตรีก็มีสมาคมทวงสิทธิอย่างนู้น ๆ อย่างนี้ กันมากไป ทวงสิทธิที่ให้เสมอภาคบุรุษ แต่ทีอย่างนี้ไม่เห็นเขาทวงสิทธิที่ว่าถูกเหยียบย่ำจนไม่มีอะไรเหลือแล้ว เป็นปีศาจตกเบ็ดคน ไม่มีอะไรเหลือแล้ว ก็ไม่เคยเห็นว่าทักท้วงทวงสิทธิเรื่องนี้
นั่นน่ะคุณไปคำนวณดูเองว่า ไอ้คำว่า “เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง” นี่มันเป็นยังไง มันมีความหมายสักเท่าไร มันมีอำนาจ มีฤทธิ์เดชพิษสงสักเท่าไร เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง อะไรมันเหล่านี้มันเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ทำความดีเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง อย่างจะเลี้ยงปากเลี้ยงท้องอยู่ เพื่อทำความดี นี่มันไปอีกอย่างหนึ่ง ตรงกันข้าม ไปกันลิบ ถ้าเพื่อปากเพื่อท้องไม่มีขีดจำกัดแล้วมันก็จะมีอะไรเกิดขึ้นอีกมาก ไม่เพียงแต่เรื่องกระโปรงสั้นนี่ มันมีอะไรอีกมากในโลกนี้ ในหมู่มนุษย์ในโลกนี้ ไอ้ส่วนทางศาสนาน่ะมันฉิบหายหมดเลย ทางธรรมะธรรมโมมันฉิบหายหมดเลย ประพฤติพรหมจรรย์นี้เพื่อลาภสักการะ และเสียงสรรเสริญอย่างนี้มันครบ เรียกว่าล้มละลายหมดเลย ศาสนาถูกทำลายไปหมดเลยด้วยอาการอย่างนี้ ให้มันรู้สึกกันไว้ ระวังกันไว้ นี่พรหมจรรย์นี้ เพื่อวิมุตติ เป็นอานิสงส์ เรียกว่าเรายอม เราหากิน หาเลี้ยงชีวิต ประพฤติพรหมจรรย์นี้ก็เพื่อวิมุตติเป็นอานิสงส์ อยู่ในพวกที่เรียกว่าหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เพื่อทำความดีเรื่อยไป สุดอยู่แค่ความดีนะไม่วกมาเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องอีก
ดังนั้นอย่างที่เคยพูดเสมอ ๆ ว่า ทำงานเพื่องานเท่านั้น ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ เพราะหน้าที่มันเป็นของดี เป็นของถูก เป็นสิ่งสูงสุดอยู่แล้วในชีวิตนี้ ดังนั้นทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ก็แล้วกัน นอกนั้นเป็นผลพลอยได้ เรื่องเงินเดือน เรื่องลาภสักการะ เสียงสรรเสริญอะไรเป็นของพลอยได้ นี่ก็อย่าได้เอามาเป็นเรื่องบูชา เทิดทูน หรือเป็นทาสมัน ต้องได้มาเป็นเครื่องใช้สอย เป็นเครื่องอุปการะใช้สอย ไม่ใช่มาเป็นที่เทิดทูนบูชา ดังนั้นให้ถือว่าไอ้ลาภสักการะ เสียงสรรเสริญ ที่เขาเทิดทูนบูชากันนักนั้นน่ะ มันต้องมาใหม่ในรูปที่เรียกว่าเป็นเครื่องใช้สอยในทางที่ถูกที่ควร อย่าไปเทิดทูนบูชา
เอาล่ะพอถึงตรงนี้ ผมก็บอกได้อีกว่า หรือขอร้องได้อีกว่า ครูสอนนักธรรม นักธรรมตรีโดยเฉพาะนี่ พอสอนว่าประพฤติธรรมะอย่างไร เขาก็จะพูดสอนกันในทางว่าให้ได้ลาภ ให้ได้เกียรติยศ ให้ได้ชื่อเสียง นี่เขาสอนในรูปนี้กันทั้งนั้น นั่นน่ะมันคือการประพฤติธรรมะ ทีนี้คนแรกเรียนมันไม่รู้นี่ มันก็เลยหลงไปบูชาสิ่งเหล่านี้มากเกินไป ไม่พูดกันให้จบเรื่องว่ามันเพื่ออะไรในที่สุด ดังนั้นแทนที่จะสอนธรรมะ ให้รู้จักธรรมะ ให้รู้จักความจริง ไปสอนให้หลงมากเข้าไปอีกส่วนหนึ่ง อีกด้านหนึ่ง เราประพฤติธรรมะก็เพื่อควบคุมไอ้ลาภ ยศ ชื่อเสียง หรือว่าประพฤติธรรมะ เพื่อจะให้หาลาภ ยศ ชื่อเสียงในทางที่ถูก แล้วควบคุมมันไม่ให้มาเป็นเรื่องสำหรับทำให้คนหลงใหล แล้วก็คดโกง ไม่ได้สอนกันอย่างนี้ แม้ที่เทศน์บนธรรมาสน์ ก็เทศน์กัน ให้ทุกคนทำให้มันได้ลาภ ได้สักการะ ได้ชื่อเสียง ได้เกียรติยศ ปรากฏไปยืดยาวถึงลูกถึงหลาน มันก็เผลอได้ง่าย ก็มันมีทางที่จะหาได้โดยไม่ต้องนึกว่าดีหรือชั่ว คือเป็นลาภสักการะที่ปลอม เป็นชื่อเสียงที่ปลอม ได้มาโดยการใช้อำนาจเงิน อำนาจวาสนา ก็มีเหมือนกัน ของพวกที่ว่าเพื่อปากเพื่อท้องในที่สุด มีอำนาจวาสนาก็เพื่อปากเพื่อท้องในที่สุด นี่ผมพูดเรื่องนิดเดียว ก็พูดยืดยาว เพ้อเจ้อด้วยคำพูด แต่ต้องการจะพูดให้รู้ว่า ทำดีเพื่อเลี้ยงชีวิต กับทำดีเพื่อปากเพื่อท้องนี่อีกอย่างหนึ่ง กับเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเพื่อทำดีนี่อีกอย่างหนึ่ง ให้ถือเป็นปาฏิโมกข์ เป็นหัวข้อปาฏิโมกข์สำหรับประพฤติประจำวัน มันก็ยังมีเรื่องที่ต้องประพฤติ ยังอยู่ในฐานะที่จะต้องประพฤติ ก็ต้องประพฤติ อย่าฟุ้งซ่าน อย่ามองข้าม อย่ามองข้ามไอ้เรื่องนี้ เดี๋ยวจะเห็นว่า เอ้อ, มันเป็นเรื่องที่มีอยู่แล้ว ดีอยู่แล้ว พยายามที่จะพิจารณา ที่เรียกว่า “ปัจจเวกขณ์” เวลาที่จะฉันอาหาร หรือว่าจะนุ่งห่มจีวร หรือจะใช้สอยเสนาสนะ หรือยาแก้โรคตามปัจจัยสี่ ให้มีความหมายถูกต้องตามที่ว่านี้ แล้วมันก็จะตรงกับความหมายที่เราพิจารณา ยะถาปัจจะยัง ปะวัตตะมานัง ธาตุมัตตะเมเวตัง ถ้าพิจารณาอย่างบทบาลีนั้นอยู่แล้วก็ไม่มีทางกลับมาสู่ระบบที่ว่าทำความดีเพื่อปากเพื่อท้อง มันทำความดีเพื่อความดี หรือว่าปากท้องก็เพื่อความดี
ดังนั้นเมื่อจะฉันอาหาร ก็นึกถึงว่านี่ฉันทำไม นึกสักนิดก็ยังดี เพราะระเบียบมันก็มีอยู่แล้วว่าต้องปัจจเวกขณ์ การฉันอาหารของพระของเณร ต้องปัจจเวกขณ์ ยะถาปัจจะยัง นี่ นี่ว่าบาลีไม่รู้ว่าอะไรนี่ มันก็น่าหัว ถ้ารู้ว่าอะไร มันก็ต้องรู้ว่าอย่างนี้ แต่นี่มันฉันอาหารแล้ว เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง คือฉันอาหาร หล่อเลี้ยงชีวิตแล้ว แล้วมันก็เพื่ออะไร เพื่อประพฤติพรหมจรรย์ มันมี พรหมจริยานุคคหายะในบทปฏิสังขาโย แล้วก็เพื่ออะไร ก็เพื่อวิมุตติหลุดพ้นเป็นอานิสงส์ ไม่ใช่เพื่อลาภสักการะเป็นอานิสงส์ ถ้าพิจารณาอย่างนี้อยู่ ปลอดภัย แล้วมีความเจริญก้าวหน้า ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ก็เป็นวัว เป็นควาย ตายไปเกิดเป็นวัว เป็นควาย ไปรับใช้ ทำงานใช้หนี้ ทายกทายิกาผู้ใส่บาตรใส่ปิ่นโตมาให้ฉัน นี่ไม่ใช่ผมว่านะ เขาว่ากันมา สืบ ๆ กันมาแต่โบราณ อาจารย์ของอาจารย์นี่ว่ากันมาอย่างนี้ ผู้ที่ใช้ปัจจัยสี่ โดยเฉพาะอาหารบิณฑบาต บริโภคแล้วไม่พิจารณานี่ ถ้าตายไปเป็นวัว เป็นควาย ทำงานหนัก ชดใช้ให้กับทายกทายิกาผู้ใส่บาตร ถวายอาหารให้ฉัน เรื่องเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเพื่ออะไร มันมีอยู่อย่างนี้ ความจริงมันก็กลายเป็นวัวเป็นควายตั้งแต่บัดนี้ ที่นี่แล้ว ไม่ต้องรอต่อตายเข้าโลงไปแล้ว เดี๋ยวนี้มันก็เหมือนกับวัว กับควายอยู่แล้ว คือไม่รู้อะไร ไม่มีความเข้าใจอะไร เมื่อเวลาเดินไปบิณฑบาตก็ต้องพิจารณา มาอยู่ตรงหน้า จะฉันแล้วก็ยังต้องพิจารณา พอฉันเสร็จแล้ว โอกาสหลังยังนึกได้ ตอนกลางคืนยังนึกได้ ยังต้องพิจารณาย้อนหลังอีก มีบท ยะถาปัจจะยัง ไว้ มีบท ปฏิสังขาโย ไว้ มีบท อัชชะ มะยาไว้ ทั้งสามเวลาอย่างนี้ ก็ว่าระเบียบของท่านดีมาก ครูบาอาจารย์ อุปัชฌาอาจารย์ที่ได้ทำไว้ให้พวกเราชั้นหลังนี้ ทำไว้ดีแล้ว ป้องกัน รับประกันไม่ให้เป็นอย่างนั้นได้ นี่เรามันละเลยกันเสียเอง แล้วก็ปล่อยไปด้วยความประมาท สรวลเสเฮฮาอยู่เรื่อย ก็ลืมหมด ไม่ได้ทำ มันก็ได้เป็นวัวเป็นควาย ไม่รู้อะไร ตายไปแล้ว ก็ต้องไปเกิดเป็นวัวเป็นควายอีก ใช้หนี้เขา นี่ทำผิดนิดเดียวจากกฎเกณฑ์ที่ว่านี้ เลี้ยงปากเลี้ยงท้องเพื่อความดี หรือว่าทำความดีเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เลี้ยงปากเลี้ยงท้องเพื่อทำความดี วนกันเป็นวงกลมกันอยู่อย่างนี้ ระวังให้ดี
เอ้า, ทีนี้พวกบวชสามเดือนจะสึกออกไป มันก็ต้องกระโจนเข้าไปสู่เรื่องหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องอีกแหละ ก็ควบคุมมันให้ดี หาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เพื่อทำความดีชนิดที่จะไม่วกมากลับมาเป็นทาสของปาก ของท้อง แล้วเราจะไปหา เราจะทำความดี เพื่อความดี เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เพื่อทำความดี มันขึ้นไปทางสูง ไม่ใช่ทำความดี วกลงไปหาเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง วกต่ำไปหาทางต่ำ นี่คือข้อที่ผมเรียกว่า ธรรมปาฏิโมกข์ ที่พยายามนึก หรือนึกได้ แล้วพยายามนึกมาพูดให้ฟัง โดยเห็นว่า ถ้าทำผิดในเรื่องนี้แล้วเป็นฉิบหายหมด เรื่องอื่นฉิบหายหมด เรื่องอื่นกลายเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปหมดเลย เรื่องอุตส่าห์เล่าเรียน เรื่องมีความรู้มาก เรื่องพูดเก่ง เรื่องอะไรเก่งนั้นน่ะ มันจะกลายเป็นไม่มีประโยชน์อะไร เพราะทำผิดในส่วนหัวใจ เรื่องสำคัญที่เป็นหัวใจ
ดังนั้นธรรมปาฏิโมกข์ ก็คือเตือนกันอยู่ เตือนกันอยู่ทุก ๆ วันพระ วันธรรมสวนะ ทุก ๆ วันพระนี่ ให้ปฏิบัติอย่างนั้น ๆ ๆ อย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย อย่างไม่เอือมระอาในการที่จะบอกกันอย่างซ้ำ ๆ ซาก ๆ เหมือนปาฏิโมกข์ทางวินัย ที่เราต้องลงปาฏิโมกข์ ๑๕ วันครั้งหนึ่ง ต้องยินดีฟัง ตั้งอกตั้งใจฟัง ไม่รู้สึกเบื่อหน่ายทั้งที่มันซ้ำ ๆ ซาก ๆ ก็สวดหัวข้อวินัยขึ้นมา เพื่อให้เรานึกว่าเราทำผิดเรื่องนี้หรือเปล่า เราทำผิดเรื่องนี้หรือเปล่า เราทำผิดเรื่องนี้หรือเปล่า จนต้องตลอดทั้ง ๒๒๗ ข้อ ต้องทำโดยไม่รู้จักเบื่อหน่าย จึงจะปลอดภัย คือปลอดภัย ไม่ขาดทุน ไม่เสียหาย การบวชนี่เป็นไปเพื่อผล เพื่อกำไร เพื่อไม่ขาดทุน แล้วก็จะพลอยเป็นผลเป็นกำไรแก่บิดามารดา แก่ญาติโยมทายกทายิกา และผู้อื่นทุกคนด้วย พลอยได้รับผลเป็นกำไร ไม่ขาดทุนตาม ๆ กันไปด้วย หัวข้อวินัยเป็นอย่างไร หัวข้อธรรมะก็เป็นอย่างนั้น ถ้าทำผิด ก็ต้องเสียไป มันสมบูรณ์อยู่ที่ว่ามีทั้งธรรมะและวินัย เราบวชในธรรมวินัยนี้ แล้วเราศึกษาธรรมวินัย ปฏิบัติธรรมวินัย มีความเจริญงอกงามในธรรมวินัย คงจะได้ยินชินหูมากขึ้น ๆ เพราะในบาลีมันเป็นอย่างนั้น ใช้คำว่า “ธรรมวินัย” เรื่อยไป กระทั่งว่าในธรรมวินัยนี้ มีสมณะที่หนึ่ง สมณะที่สอง สมณะที่สาม สมณะที่สี่ ในธรรมวินัยนี้ คือมีพระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ มีแต่ในธรรมวินัยนี้ มีแต่ในธรรมวินัยอย่างนี้ ดังนั้นต้องทั้งธรรมะทั้งวินัย ซึ่งมันแยกกันไม่ออก จริงที่ว่าธรรมะกับวินัยนี้แยกกันไม่ออก แยกจะประพฤติแต่อย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ ต้องประพฤติให้เต็ม ให้บริบูรณ์ทั้งสองอย่าง
ดังนั้นเราลงปาฏิโมกข์ ทั้งทางธรรม และทั้งทางวินัยกันอยู่เสมอ แล้วก็เพื่อเตือนกันลืม เพื่อกันลืม นี่จะได้ปฏิบัติโดยสมบูรณ์ แล้วก็จะพอใจตัวเอง จะนับถือตัวเอง จะไหว้ตัวเองได้ เรื่องมันก็มีเท่านั้น ไม่ต้องเอาอะไรมากกว่านั้น คำว่า “ความดี” นี้เอาแต่เพียงว่าไหว้ตัวเองได้ก็พอ นอกนั้นมันก็เป็นไปเอง อย่าไปยุ่งกับมันเลย มันเป็นไปเองของมันเองได้ เราทำเพียงให้ยกมือไหว้ตัวเองได้ก็พอ อย่าไปหวังลาภสักการะอะไรให้มากไป มันเป็นไปของมันเองโดยถูกทางได้
เอาล่ะ เวลาก็หมด พอกันที