แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เรื่องนี้สำคัญมาก เอ่อ, เรื่องธรรม ในฐานะที่เป็นพระเจ้านี่สำคัญมาก ดังนั้นต้องสนใจและเข้าใจ อย่าให้มันเป็นเพียงว่า เป็นเรื่องฟังแปลก ๆ เพราะเรื่องนี้มันจะเป็นทางเอาตัวรอดได้ สำหรับมนุษย์ทั้งโลก เดี๋ยวนี้มันกำลังทะเลาะวิวาทกัน เพราะไม่เห็นธรรม เพราะไม่มีธรรม เพราะไม่รู้จักธรรม ไม่รู้จักพระเจ้า ดังนั้นจึงถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะต้องรู้ ต้องทำความเข้าใจกันในระหว่างชาติ ระหว่าง คนนี้
ผมก็เลย เสนอ วิธีแก้ไขปัญหาของโลกสมัยนี้ ว่ามันสำคัญอยู่ที่ธรรม โดยให้ เป็น ถึงกับว่า รบกันไปพลางแลกเปลี่ยนธรรมกันไปพลาง เพราะไอ้เรื่องรบกันนี้มัน เอ่อ, มันเลิกไม่ได้ มันเว้นไม่ได้ มันหยุดไม่ได้การรบกันนี่ และกำลังบ้า อ่า, เลือด หรือว่าคลั่ง สงครามหรือว่ามีความหวาดกลัว จนถึงกับ ว่าเลิกไม่ได้ หยุดไม่ได้ ระแวงอยู่เรื่อย ยังไง ๆ ก็ต้องเตรียมสงคราม อ่า, ยืดเยื้อเรื่อยไป ดังนั้นทางออกมันมี ว่ารบกันไปพลางก็ตามใจ แต่ต้องแลกเปลี่ยนธรรมกันไปพลาง เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายรู้จักสิ่งที่เรียกว่า ธรรม
แม้ว่าการขัดข้องหมองใจในวงแคบ ๆ ภายในครอบครัว ผัวเมียทะเลาะกันอย่างนี้ก็ จะทะเลาะกัน ไปพลางก็ได้ แลกเปลี่ยนธรรม ธรรมนี่ไปพลาง คือทำความเข้าใจเรื่องธรรมกันไปพลาง มันจะหยุดได้เอง แต่สำหรับ ระหว่างประเทศ หรือระหว่างครึ่งโลกต่อครึ่งโลกที่มันรบกันนี่ ยิ่งสำคัญ เพราะไม่รู้จักธรรม มันแก้ไม่ได้ เพราะไม่รู้จักธรรม ดังนั้นต้องรู้จักธรรม จึงจะแก้ได้
นี้ถ้า เอ่อ, เขาก็ไม่มีธรรมไม่รู้จักธรรม มันจึงต้องแลกเปลี่ยนกัน ในฐานะ อ่า, แลกเปลี่ยนกันใน ฐานะที่มันเป็นวัฒนธรรม คือสิ่งที่เรียกว่า วัฒนธรรมนั้นเขาชอบ เขาพูดถึงและเขาชอบกันทั่วทั้งโลก โดยรู้สึกว่ามันโก้ดีหรือมันไม่ป่าเถื่อนนัก พวกฝรั่ง พวกฝรั่งชอบอ้างถึงวัฒนธรรม ก็เพื่อจะป้องกัน ไอ้ความ ถูกหาว่าป่าเถื่อนนี้ ถ้าเป็นคนมีวัฒนธรรม ก็หมายความว่า มันพ้นจากความเป็นป่าเถื่อน
นี้เราต้องเสนอเขา อ่า, เสนอธรรมะแก่เขาในฐานะที่เป็นวัฒนธรรม เหมือนกับที่เคยพูดถึง เรื่องวัฒนธรรมที่แท้จริง คืออะไรมาแล้วนะ และเขาก็สนใจ เพราะมันเป็นวัฒนธรรม และมันเป็น วัฒนธรรมสูงสุด ก็ต้องเป็นตัวศาสนา ความก้าวหน้าของมนุษย์ จนกระทั่งรู้จัก สิ่งที่เรียกว่า ศาสนา นี่ก็เรียกว่า วัฒนธรรมได้ ๑๐๐% นะ
นี่ว่าที่จะต้องแลกเปลี่ยนกัน ก็เพราะว่าเรามีศาสนานี้ไม่เหมือนกัน คือมอง เอ่อ, ธรรมะกันคน ละแง่ มองพระเจ้ากันคนละแง่ ฉะนั้นมันจึงต้องแลกเปลี่ยนกัน ให้ให้ให้มีความรู้ครบถ้วน หรืออีกทีหนึ่ง ก็ว่า อ่า, การมองพระเจ้ามองธรรมะ ในแง่ของบางประเทศ บางหมู่ บาง เอ่อ, ชนชาตินั้น มันไม่พอ
ที่จะหยุดสงคราม หรือไม่พอที่จะทำให้คนเข้าใจธรรมหรือพระเจ้า จนหยุดสงคราม แต่ความรู้ทางธรรม ทางศาสนาของชนบางชาติ บางหมู่บางพวกนั้น มันพอ ที่จะทำให้คนเข้าใจได้ง่ายและหยุดสงคราม นี่เป็นความจำเป็นที่จะต้องแลกเปลี่ยนกัน
อย่างเถรวาทกับมหายานอย่างนี้ ก็ยังต้องแลกเปลี่ยนกัน จึงจะเข้าใจพุทธศาสนาทั้งหมด ที่ในโลกนี้มันกว้างขวาง ศาสนาที่มีพระเจ้าพวกหนึ่ง ไม่มีพระเจ้าพวกหนึ่ง ก็ต้องแลกเปลี่ยนกันจน เข้าใจกันได้ว่ามัน พูดกันแต่ ภายนอก ผิว ๆ ที่ว่าไม่มีไม่มีพระเจ้า ที่จริงมันก็ต้องมีอะไรที่ เรียกว่า พระเจ้าด้วยกันทั้งนั้น นี่ก็พอจะเลิก ความเกลียดชังระหว่างศาสนาได้บ้าง ทีนี้ก็รู้ว่าไอ้สิ่งที่เรียกว่า พระเจ้า นี้ก็คือ ธรรม และมีเพียงสิ่งเดียว รู้ดีเข้าใจดีแล้ว มันทำให้มนุษย์เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนการกระทำ เปลี่ยนความต้องการ จนไม่อยากรบกัน ในที่สุด
เดี๋ยวนี้โชคมันไม่ดีจะทำยังไง โชคมันยังไม่ดีก็คือว่า ไอ้มนุษย์กลุ่มที่มีอำนาจ มี กำลังมีอำนาจ นั้นนะ มันยังไม่รู้ธรรม ไอ้พวกที่รู้ธรรมบ้างก็ไม่กี่คน ก็เลยเป็นไม่มีอำนาจ พูดก็ไม่มีใครฟัง จัดอะไรก็ไม่ได้ นี่เรียกว่า ทั้งโลกมันยังเป็นอยู่อย่างนี้ หรือในประเทศหนึ่งประเทศหนึ่งมันก็เป็นอย่างนี้ พวกที่มีอำนาจ ไม่รู้ธรรม พวกที่รู้ธรรมมีไม่กี่คนก็ทำอะไรไม่ได้ หรือคนส่วนใหญ่ประชาชนคนเมือง ก็ไม่รู้ธรรม ก็ไม่ต้องการธรรม ก็ต้องการแต่วัตถุ ธรรมะมันก็ไม่มี เอ่อ, มันก็ไม่มีความสงบสุขได้ ฉะนั้นต้องหาทาง พยายามทุกวิถีทาง ให้มันมี การรู้ธรรมเข้าถึงธรรม ธรรมถึงคนคนถึงธรรมไปทั้งนั้น ก็คือคนถึงพระเจ้า พระเจ้าถึงคนอย่างนี้ แล้วแต่เราจะพูดกันในแง่ไหน
เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่ทำไปก็เพื่อให้ เพื่อนมนุษย์รู้จักธรรม รู้จักธรรมะ นี่แนวใหญ่ ๆ ที่ได้พูด มาแล้ว หลายครั้งหลายหน แล้วจะต้องมีอยู่ ตลอดเวลา อย่าฟั่นเฝือ นี่เราก็พูดกันโดยรายละเอียดยิ่งขึ้นไป ปลีกย่อย เอ่, ออกไปในส่วนหนึ่ง ๆ ของส่วนใหญ่ ส่วนใหญ่ต้องเป็นอย่างนั้นเสมอ นั้นถ้าใครลืมเสีย มันก็ ก็น่าหัว เหมือนคนเห่อฟัง บ้า ๆ บอ ๆ ไปเท่านั้นเอง นี่ถ้าไม่ลืม แล้วก็ไม่ฟั่นเฝือ เอ่อ, มองเห็นชัดอยู่ ตัวเองก็พยายามอยู่ ที่จะให้เป็นอย่างนั้น ตามที่จะทำได้ ตามความสามารถของตน ช่วยกันทำให้ธรรมะ มีในโลก หรือครองโลก ตามภาษาธรรมดาพูดก็ต้องพูดอย่างนั้น เพื่อให้ธรรมะมาครองโลก มีในโลก
เมื่อผมพูดอย่างนี้รู้สึกว่ามันขัด ขัดกันไหม กับที่พูด เอ่อ, มาแล้ว มันก็คงจะรู้สึกขัด ตั้งแต่ผม พูดว่า ธรรมะ มันคือพระเจ้า พระเจ้าก็ต้องครองโลกอยู่เสมอ เดี๋ยวนี้มาพูดว่า เราจะต้องพยายามทำจนให้ ธรรมะกลับมาครองโลก พระเจ้ากลับกลับมาครองโลก ฟังดูมันคล้ายกับขัดกัน แต่ที่จริงมันก็ไม่ได้ขัดกัน เมื่อมนุษย์ไม่สนใจกับศาสนา ไม่สนใจกับพระเจ้า มนุษย์เอาไปตามลำพังความต้องการของตนในทางวัตถุ ธรรมะหรือพระเจ้า ก็ยังครองโลกอยู่นั่นแหละ แต่ว่าครองในรูปแบบที่ตบหน้ามนุษย์ ทุกวันทุกคืน ทุกวันทุกคืน ทำให้มนุษย์เดือดร้อน เป็นทุกข์เหมือนตกนรก ทั้งวันทั้งคืนทั้งวันทั้งคืนอย่างนี้ ธรรมะหรือ พระเจ้ากำลังครองโลกในลักษณะอย่างนี้
นี่ถ้าว่ามนุษย์ มันหันไปถือศาสนา ถือพระเจ้า มีพระเจ้ากันอีก ธรรมะหรือพระเจ้าก็ครองโลก ในฐานะทำให้มนุษย์ อยู่เย็นเป็นสุข มีความสงบสุข ก็แปลว่า ไอ้ธรรมะหรือพระเจ้านี่ ต้องครองโลก ครองมนุษย์ตลอดเวลา แล้วแต่มนุษย์จะจัดให้ครองในแง่ไหน ด้วยความโง่ของมนุษย์ เมื่อมนุษย์มันโง่ ไปมาก ๆ มันก็จัดให้พระเจ้าครองโลกในแง่ที่ว่า ตบหน้ามนุษย์ ทั้งกลางวันกลางคืน ทั้งหลับทั้งตื่น
นี่ถ้ามนุษย์มันรู้จักพระเจ้าถูกต้อง มี เอ่อ, ความสนใจในศาสนา และพระเจ้าอย่างถูกต้อง พระเจ้าครองโลกในทางที่ทำให้มนุษย์เยือกเย็นเป็นสุข ทั้งกลางวันกลางคืน ทั้งหลับทั้งตื่นอีกเหมือนกัน นั่นนะมองให้เห็นว่า ไอ้ธรรมะหรือพระเจ้านี้ ไม่ได้ไปไหนเสีย ยังคงครองโลกอยู่ตลอดเวลา แล้วแต่ว่า มนุษย์ จะจัดให้มันครองในลักษณะไหน พระเจ้าเป็น เอ่อ, เป็น เป็นผู้ที่ ทำได้ทั้งนั้นเลย ทำให้สาสมแก่ มนุษย์ได้ทุกอย่างทุกประการ แล้วแต่มนุษย์ต้องการชนิดไหน
ทีนี้มอง มองดูในวงแคบ ๆ บ้าง ในส่วนตัวบุคคลคนหนึ่งนี้ แม้เป็นพระเป็นเณร จะจัดให้พระเจ้า หรือธรรมะ เอ่อ, คุ้มครองตนในลักษณะไหน ก็มีอยู่เห็นอยู่ บางคนเป็นเอามาก ๆ ทำตัวให้ธรรมะคุ้มครอง ในลักษณะที่ว่า เดือดร้อนเป็นทุกข์อยู่เสมอ ธรรมะในแง่ที่เป็นอกุศล เป็นบาป เข้ามาคุ้มครองบุคคลนั้น ปกครองบุคคลนั้น สนองความต้องการของบุคคลนั้น นั้นบุคคลนั้นก็มีอาการเป็นสัตว์นรก โดยตรง หรือโดยอ้อม ตามมากตามน้อย ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านหรือเป็น อ่า, บรรพชิต ก็มีได้ทั้งนั้น หรือถ้ามันยัง มีความ ทุกข์ ทนหม่นหมองอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ก็ หมายความว่ามัน เอ่อ, มีธรรมะชนิดที่เป็นบาป เป็นอกุศล เป็นผู้ครอบครอง
เรื่องนี้ต้องไม่ลืม ไม่ลืมเพราะพูดมาก ไม่ว่าอะไรหมด เขาเรียกว่า ธรรม ดีก็ได้ชั่วก็ได้ ไม่ดีไม่ชั่ว ก็ได้ เรียกว่า ธรรม ธรรมฝ่ายดีธรรมฝ่ายชั่ว ธรรมที่ไม่พูดได้ว่าดีหรือชั่ว เพราะฉะนั้นอะไรมันเกิดขึ้น ก็ไม่พ้นจากธรรม ที่เป็นผลของธรรม ประเภทที่สร้างสรรปรุงแต่ง ดังนั้นเรา ต้องพิจารณากันอย่างดีที่สุด จนมองเห็นว่า สิ่งนี้สิ่งเดียวเท่านั้นนะ สำคัญที่สุด หรือว่าเป็นทั้งหมด เป็นทุกสิ่ง แล้วทำกันมาให้ถูกต้อง ธรรมะแม้ในพุทธศาสนา ก็มีหลักเกณฑ์อย่างนี้ อยู่ในฐานะอย่างนี้ แล้วใครกี่คนหรือว่ากี่องค์ ที่มันกำลัง พูด เอ่อ, กันในรูปนี้ หรือว่าศึกษากันในรูปนี้ หรือว่าเข้าใจกันในรูปนี้ มีแต่เข้าใจในแง่มุมเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่สามารถจะเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ เต็มที่ได้ นี่ก็เรียกว่า แม้ในพวกพุทธนี่ พวกที่นับถือศาสนาพุทธนี่ มันก็ยังเป็นเสียอย่างนี้
ทีนี้ในศาสนาคริสเตียนเป็นต้น ก็เหมือนกันอีกแหละ ไม่ผิดกันเลย มี มีถ้อยคำหลายคำ ที่เขาฟัง ไม่ถูกไม่เข้าใจ และปฏิบัติไม่ได้ ก็ทิ้งไว้เป็นหมัน อ่า, อยู่อย่างนั้น หรือปฏิบัติผิด ๆ เหมือนที่เราก็ปฏิบัติ ผิด ๆ หรือเป็นหมัน ยกตัวอย่าง ที่น่าน่าขัน หรือน่าหัว หรือน่าเศร้าให้ฟัง เรื่องหนึ่ง (นาที่ที่ 16:31) เช่นพระคัมภีร์ที่เขานับถืออยู่ ไบเบิลตอน นิวเตสเม้นท์ (นาทีที่ 16:42) เขาเรียกว่าพระคัมภีร์โยฮัน บรรทัดแรก ของพระคัมภีร์โยฮัน ทีแรกทีเดียว คำพูดมีอยู่ The Word คำพูดมีอยู่ The Word คำพูดนั้นนะ คือ แสงสว่าง แสงสว่างนั้นคือ พระเจ้า นี้เขาไม่รู้ว่า ไอ้ The Word หรือว่าไอ้คำพูดนั้นมันคืออะไร และมีอยู่ก่อนสิ่งอื่นทั้งหมด รวมทั้งมันแสงสว่างก็มี เอ่อ, แต่ว่าพระเจ้ามันก็มี เมื่อเขาแปลเป็นภาษาไทย เขาแปลว่า พระธรรม The Word นี่เขาแปลว่า พระธรรม คำสั่งที่เขาจะนึกว่ามันแปล (นาที่ที่ 17:34)
ทีแรกทีเดียว พระธรรมมีอยู่ก่อนสิ่งอื่น พระธรรมนั้นคือแสงสว่าง แสงสว่างนั้นคือพระเจ้า พระเจ้าเป็นพระธรรม พระธรรมเป็นพระเจ้า ฉะนั้น The Word ของคริสเตียนนั้นนะ ก็คือสิ่งที่เรียกว่า ธรรมนั่นเอง (นาทีที่ 17:53) นั้นคือแสงสว่าง นั้นคือพระเจ้า แต่The Word นั้นผมลองถามดูหลายคนแล้ว พวกคริสเตียนเองก็ตอบไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าอะไร (นาทีที่ 18:06) นี่คือกฎธรรมชาติ มีอยู่ก่อนสิ่งอื่น (นาทีที่ 18:10) นี่ถ้าเขาเข้าใจคำว่า The Word นั้นคือพระธรรมหรือกฎธรรมชาติ มันก็เหมือนกันกับพุทธศาสนา สิ่งที่เป็นกฎ เอ่อ, เด็ดขาดในการที่จะสร้างสิ่งทั้งหลาย จะควบคุมสิ่งทั้งหลาย จะปรุงแต่งสิ่งทั้งหลาย มันเป็นกฎที่มีอยู่ ก่อนสิ่งใดหมด นี่คือ พระธรรม ในฐานะที่เป็นกฎธรรมชาติ
หรือจะไปเอาโปแตสแตนท์ (นาทีที่ 18:44) คัมภีร์เก่า (นาทีที่ 18:47) ที่ใจความว่าพระเจ้า สร้าง แสงสว่าง ตั้งแต่วันที่ ๑ นี่ พระเจ้าสร้างโลกวันที่ ๑ สร้างแสงสว่าง แล้วสร้างอะไร ๆ วันที่ ๔ จึงสร้าง ดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ คิดดูสิ เราย้อนถามพวกคริสเตียนนะว่า ทำไมพระเจ้าเพิ่งสร้างดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ เมื่อวันที่ ๔ แล้วสร้างแสงสว่างไว้วันที่ ๑ หมายความว่ายังไงกัน มันก็อึกอัก ๆ ตอบ ไม่ได้ศัพท์ไม่ได้เรื่อง เพราะว่ามันไม่รู้ว่าแสงสว่างนั้นคืออะไร ที่จริงเขาควรจะรู้ว่าแสงสว่างนั้นคือ สิ่งเดียวกับ The Word The Word ของคัมภีร์โยฮันในใน นิวเตสเม้นท์(นาทีที่ 19:28) สิ่งเดียวกันนั้น นั่นแหละคือ ธรรม คือ กฎธรรมชาติ
พระเจ้ามีกฎธรรมชาติ ก่อนสิ่งอื่น หรือว่ากฎธรรมชาตินะเป็นพระเจ้าก่อนสิ่งอื่น ดังนั้นคือธรรม ในฐานะที่เป็นกฎธรรมชาติ มันมีอยู่ก่อนสิ่งอื่น พระเจ้าสร้างได้ในวันที่ ๑ ในวันที่ ๔ จึงสร้างดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ มันก็ไม่แปลก นี่มันเป็นวัตถุ แล้วมีแสงสว่าง อย่างวัตถุทางวัตถุ มันก็ไม่แปลก เรื่องก็ลงกันได้ ไม่ต้องอึกอัก ไม่ต้องถูกใครหัวเราะเยาะ นี้พวกคริสเตียน เขาก็ไม่เข้าใจพระคัมภีร์ของเขาเอง โดยเฉพาะใน เอ่อ, ตอนที่มัน ดีที่สุด ถูกต้องที่สุดดีที่สุดนะ เขาก็ไม่เข้าใจ พวกคริสเตียนก็ไม่เข้าใจ ในพระคัมภีร์ของตน เท่ากันกับที่ชาวพุทธ ก็ไม่เข้าใจหลักพุทธศาสนาของตน นี้ศาสนาอื่น ๆ ก็อยู่ใน ฐานะเดียวกันอีก มีปัญหา อย่างเดียวกันนี้
นี้เป็น เป็นเหตุผลที่ว่าเราจะต้อง ร่วมมือกัน แลกเปลี่ยนวิธีการ ความคิดความเห็นกัน ทำให้ต่าง คนต่าง เข้าใจศาสนาของตนดี เช่นลองให้เราซึ่งเป็นพุทธ ตีความหมายคัมภีร์ของคริสเตียน เรื่อง พระเจ้า สร้าง เออ, แสงสว่างวันที่ ๑ หรือว่าคัมภีร์ที่กล่าวไว้ว่า แรกทีเดียวมีแต่พระธรรมคืออะไร ถ้าถ้าผมช่วยตี ให้อย่างนี้ ก็มันหมายความว่านั้นนะ คือเราแลกเปลี่ยน แลกเปลี่ยนธรรม แลกเปลี่ยนธรรมะกัน แลกเปลี่ยนความรู้ทางธรรมะกัน เขาก็อาจจะไปคิดไปนึกหรืออาจจะ มีอะไรที่ ตอบแทนเรานี่ แลกเปลี่ยน ให้กับเรา แลกเปลี่ยนกันไปแลกเปลี่ยนกันมา อือ, หลายครั้งหลายหนเข้านานเข้า ทุกฝ่ายก็จะเข้าใจ ไอ้สิ่งที่ เรียกว่า ธรรมหรือพระเจ้า ถือเป็นของกลาง ไม่เป็นของศาสนาไหนเลย ได้ดี
ผมแกล้งพูดดัง ๆ เมื่อท่ามกลางพวกคริสเตียนนะ ว่าพระเจ้าที่แท้จริง ไม่ใช่ของศาสนาไหนนะ โว้ย, นี่ว่าอย่างนี้เลย ไม่ใช้ ไม่ได้ใช้คำว่า โว้ย, นะ แต่ใช้สำนวนโวหารอย่างนั้น ว่าพระเจ้าที่แท้จริงไม่ใช่ของ ศาสนาไหน เป็นของกลางเป็นของพระเจ้าเอง ถ้าใครรู้จักก็ดีมีประโยชน์ นี่มัวพูดว่า พระเจ้าของฉัน พระเจ้าแต่ของคริสเตียนคนอื่นไม่มี มันเรื่องบ้า นึกว่าพุทธจะว่าธรรมะมีแต่ในพุทธศาสนา ในศาสนาอื่น ไม่มี มันก็เรื่องบ้าเท่ากันเลย มันก็ได้แต่ความบ้า เข้าสาดกัน ใส่กัน แลกกันไปแลกกันมา ด้วยความบ้า ไม่มีทางจะทำความเข้าใจกันได้ นี่จึงเกลียดชังกัน อิจฉาริษยากัน มาแต่ต้นจนบัดนี้
เพราะฉะนั้นเราต้องเปลี่ยนความรู้ หรือว่าเปลี่ยนวิธีการพูดจา แนะนำสั่งสอน แลกเปลี่ยนกัน จนให้เกิดความเข้าใจว่า ธรรมะอย่างเดียวเท่านั้น สิ่งเดียวเท่านั้น ไม่เป็นของใคร ไม่เป็นของชาติไหน ไม่เป็นของศาสนาไหน เรียกว่า พระเจ้าก็ได้ และก็มีหลักเกณฑ์อยู่อย่างนั้น อย่างนั้น อย่างนั้น เหมือนที่ได้ เราได้พูดกันมาแล้ว หลายครั้งหลายหน จนกระทั่งจำแนก ให้เห็นเป็น ๔ อย่าง ให้มันง่ายขึ้นอีก ว่าตัว ธรรมชาติ ทั้งหมดทั้งสิ้น ที่ปรากฎแก่เรานี้ก็คือ ร่างกายเนื้อตัวของพระเจ้า นี้กฎธรรมชาติที่มีอยู่ใน ธรรมชาติทั้งหมดทั้งปวง นั่นแหละคือ จิตใจของพระเจ้า คือชีวิตจิตใจของพระเจ้า
ทีนี้หน้าที่ของมนุษย์ตามธรรมชาติ นั่นแหละคือ เออ, โองการหรือคำสั่ง คำเรียกร้องของพระเจ้า ที่จะเรียกร้องเอาจากมนุษย์ หน้าที่ที่มนุษย์ มนุษย์จะต้องปฏิบัติ นี่คือสิ่งที่พระเจ้าเรียกร้อง ข้อเรียกร้อง ของ อือ, พระเจ้า ให้มนุษย์ทำหน้าที่ ปฏิบัติเคลื่อนไหวทำหน้าที่ นี้ผลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นแก่โลกแก่มนุษย์นี่คือ ของประทาน สิ่งโปรดประทานของพระเจ้า เป็นสุข อ่า, ก็ได้ เป็นทุกข์ก็ได้ คือจะเป็นรางวัลก็ได้ เป็นการ ลงโทษก็ได้ ของประทานของพระเจ้า อย่าเห็นเป็นเรื่องพูดเล่น อุปมากันเล่นสนุก ๆ ขำ ๆ ขัน ๆ เอาไปคิด ดูให้เห็นจริง ว่ามันจริงอย่างนี้
ข้อแรกให้ดู จนเห็นว่าธรรมะนี่คือพระเจ้า หรือพระเจ้านี่คือธรรม คือธรรม หรือธรรมะ เสียชั้นหนึ่งก่อน แม้ไม่ลึกซึ้งทั้งหมดถึงที่สุดก็ยังไม่รู้ ทั้งหมดก็รู้พอให้มองเห็น ว่ามันไอ้พระเจ้าหรือสิ่ง สูงสุด นี่มันคือธรรม หรือว่าธรรมนี่มันคือสิ่งสูงสุดหรือทั้งหมด เพราะฉะนั้นควรจะเรียกว่า พระเจ้า มันต่างกันแต่ภาษา ไอ้ตัวจริงคือสิ่งเดียวกัน นี้แจกคำว่า ธรรมออกไปเป็น ๔ อย่าง คือ ตัวธรรมชาติ ตัวกฎธรรมชาติ ก็หน้าที่ของมนุษย์ตามกฎธรรมชาติ ตัวผลที่มนุษย์ต้องได้รับเมื่อการทำหน้าที่ตาม กฎธรรมชาติ ทำผิดก็ได้ทำถูกก็ได้
ทีนี้ที่ จะต้องดูต่อไปอีกก็คือว่า ที่ว่าพระเจ้า มีอยู่ในที่ทุกแห่งนั้นอย่างไร นี้ไม่ยากหรอก เพราะตัว ธรรมชาติ ก็คือทุกหนทุกแห่งอยู่แล้ว กฎธรรมชาติก็มีทุกหนทุกแห่ง เพราะฉะนั้นการปฏิบัติหรือผล ก็ต้องมีทุกหนทุกแห่ง นี้สำคัญที่ว่า ไอ้ไอ้ไอ้พระเจ้าที่ว่านั้นก็มีอยู่ในเรานี่ นี่สำคัญมาก ดังนั้นต้องดูให้ดีว่า เนื้อตัว ร่างกาย เลือดเนื้อ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง อะไรของเราทั้งหมดนี่ มันสมอง ความคิด อะไรก็ตาม นั่นมันก็คือ ตัวธรรมชาติเหมือนกัน คือร่างกายของพระเจ้าเหมือนกัน แม้แต่พวกคริสต์เขาก็สอนว่า ร่างกายนี้เป็นโบสถ์ของพระเจ้า เป็นวิหารของพระเจ้า เนื้อตัวเรานี่เป็นเป็นบ้าน หรือเป็นโบสถ์ หรือเป็น วิหารของพระเจ้า และพูดอย่างผมพูด ก็ถือว่าไอ้เนื้อตัวเรานี่ คือคือร่างกายของพระเจ้า
ทีนี้กฎธรรมชาติที่มัน ควบคุมตัวเราอยู่นี่ กฎทุกอย่างควบคุมเนื้อเลือด เอ่อ, จิตใจอะไรก็ตามนี้ กฎนี้คือจิตใจของพระเจ้า ที่มีอยู่ในตัวเรา นี้หน้าที่ของเรา อ่า, ของมนุษย์ หน้าที่ของเราต่อพระเจ้า ก็คือ เราทำอยู่แล้วนะ เราทำอยู่ ๆๆ ไม่มีเวลาว่างเว้น ทุกลมหายใจเข้าออก เช่น เราต้องหายใจ เป็นต้น เอ่อ, ลองไม่ทำหน้าที่หายใจสิจะเป็นยังไง มันก็ตายลงทันที ดังนั้นเราจึงต้องหายใจ อยู่ทุกลม ทุกครั้งที่หายใจ นี้เรียกว่า เราปฏิบัติหน้าที่ต่อพระเจ้า ต่อธรรมชาตินี้อยู่ ทุกลมหายใจเข้าออกแล้ว
นี้ไม่มีเรื่องอื่นอีก ที่ร่างกายจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งเราจะต้องบริหารมันให้ถูกให้ตรง เราจะต้องกินข้าว ต้องอาบน้ำ ต้องถ่ายอุจจาระปัสสาวะ จะต้องนอนจะต้องตื่น ทุกอย่างเลย นี่คือ หน้าที่ ตามธรรมชาติ ที่มีหน้าที่จะต้องศึกษาเล่าเรียน จะต้องประกอบการงาน ต้องทำสิ่งที่มีประโยชน์ นี่มันเป็น หน้าที่ และเมื่อความทุกข์เกิดขึ้น ในทางกาย ทางจิต ทางวิญญาณ ก็ตาม มันต้องดับทุกข์ ดับทุกข์ให้หมด จนเป็นนิพพาน นี้ก็เป็นหน้าที่ ที่ต้องทำนิพพานให้ปรากฎ ให้แจ่มแจ้ง ดังนั้นหน้าที่ที่เราจะต้องปฏิบัติ ต่อพระเจ้า มันก็เต็มอัดอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก ในร่างกายนี้เหมือนกัน
ทีนี้ผลประทานของพระเจ้า ในฐานะเป็นรางวัลก็ตาม ในฐานะการลงโทษก็ตาม มันมีอยู่ตลอดวัน ตลอดคืน เดี๋ยวเราก็สบายใจ เดี๋ยวเราก็ไม่สบายใจ เดี๋ยวก็เป็นสัตว์นรก เดี๋ยวก็เป็นสัตว์สวรรค์ เดี๋ยวก็เป็น พ้นนรกพ้นสวรรค์ สลับกันอยู่อย่างนี้ นี่คือไอ้สิ่งประทานของพระเจ้า แล้วแต่ว่าเราปฏิบัติหน้าที่ผิด หรือถูก ถูกมากถูกน้อย ผิดมากผิดน้อย
เพราะฉะนั้นต้องมองให้เห็นว่า ไอ้ทั้งหมดทั้ง ๔ นั้นนะ มันอยู่ในเรานี้ ในเราที่เป็น ๆ นี้ ในเราที่ยัง เป็น ๆ อยู่ ยังมีชีวิตอยู่ ความหมายมันอย่างเดียวกับที่พระพุทธเจ้าตรัสถึง เรื่องโลก หรือเหตุให้เกิดโลก หรือความดับสนิทของโลก ทางถึงความแห่งโลกนี้ อยู่ในร่างกายที่ยาวประมาณวาหนึ่ง มีมีสัญญาณ มีใจ คือ เป็น ๆ มนุษย์เป็น ๆ นั่นนะ มีโลกอยู่ในนั้น มีเหตุให้เกิดโลกอยู่ในนั้น มีความดับสนิทของโลก คือ นิพพาน อยู่ในนั้น แล้วก็มีการปฏิบัติให้ถึงความดับสนิทของโลก อยู่ในนั้น เป็น ๔ อย่างนี้ ก็ได้กลายเป็น เรื่องธรรม เรื่องพระเจ้าไปหมดก็ได้ เพราะโลกคือความทุกข์ ความทุกข์นะคือธรรมชาติ นี้เหตุให้เกิดโลก ก็คือ เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ นี้ความดับสนิท ของทุกข์นี่คือของประทานของพระเจ้า ของธรรมชาติ เมื่อปฏิบัติถูกต้อง แล้วทางปฏิบัติให้ถึงความดับ ของทุกข์ นี่คือหน้าที่นั่นเอง พูดถึงผลก่อนแล้วไปพูดถึง หน้าที่ทีหลัง ไอ้เรื่องก็เท่ากัน เหมือนกัน
เมื่อเป็นอย่างนี้ก็เป็นอันว่า เราลืม ไอ้ไอ้ทั้งหมดไว้ทีก่อนก็ได้ ไม่ไปสนใจกับมัน สนใจแต่ตัวเรา คนเดียวที่มีชีวิตอยู่เป็น ๆ อยู่น่ี แล้วก็แยกแยะออกดูให้เห็นว่า มีธรรมะส่วนไหนเป็นธรรมชาติ ธรรมะส่วนไหนเป็นกฎธรรมชาติ ธรรมะส่วนไหนเป็นหน้าที่ตามธรรมชาติ ธรรมะส่วนไหนเป็นผล จากหน้าที่นั้น ๆ อือ, ถ้าเราพบอันนี้ ถ้าเราพบธรรมโดยสมบูรณ์ พบพระเจ้าโดยอุปมา โดยโวหาร ดั่งเรียกว่า อ่า, เป็นบุคคลขึ้นมา
ถ้าเราไม่เรียก พระเจ้า ก็เรียกว่า ธรรมนี่ ก็พูดตามความจริงเป็น ธรรมาธิษฐาน ถ้าเราชอบไป เรียกว่า พระเจ้า เอ่อ, มันก็เรียกว่า พูดสมมุติอย่างเป็นบุคคลาธิษฐาน ดังนั้นคนที่เข้าใจเรื่อง ธรรมาธิษฐาน บุคคลาธิษฐาน ดี ก็เข้าใจเรื่องอย่างนี้ได้ดี สิ่งที่เรียกว่า ธรรมนั่นแหละ ถ้าไปพูดอย่างสมมุติ ก็กลายเป็นคน ขึ้นมา ถ้าดูให้ดีคนกับธรรมก็คือสิ่งเดียวกัน อย่าพูดเป็นบุคคลาธิษฐาน หรือธรรมาธิษฐาน มันก็คือ สิ่งเดียวกันตามธรรมชาติ
แต่ทีนี้ไอ้คนนี่มัน ไม่ประกอบอยู่ด้วยธรรมชาติ ส่วนที่เป็นความรู้ หรือความถูกต้อง มันปรุงขึ้น แต่ในทางที่เป็นความไม่รู้ เอ่อ, หรือรู้ผิด เพราะว่ามัน ไปตามสิ่งแวดล้อม ชนิดที่มีกำลังมากเกินไป สิ่งแวดล้อมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ที่ชวนให้ปรุง เกิดความเห็นแก่ตัว เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง เกิดความรู้สึกทางนี้นะมันมีมากเกินไป และมันก็ยิ่งมากขึ้นทุกที เพราะความโง่ ความเผอเรอของมนุษย์นั่นเอง เอ่อ, จนมนุษย์สมัยนี้หรือโลกสมัยนี้ มันมีแต่การปรุง เฮไปแต่ในทางที่ เห็นแก่ตัว มีความโลภ ความโกรธ ความหลง สำเร็จรูปเป็นมนุษย์ในปัจจุบันที่รบรากันไม่รู้จักสิ้นจักสุด ไม่มีทางที่จะสิ้นจะสุด ได้จนกว่าเมื่อไรจะรู้ธรรม จะถึงธรรม เท่านั้นเอง
ทีนี้วิธีให้ถึงธรรม ก็ต้องมาคิดกันใหม่ มาแลกเปลี่ยนกัน แลกเปลี่ยนวิธีการ แลกเปลี่ยนความรู้ แก่กันและกัน เพราะต่างคนต่างรู้กันไปคนละอย่าง ๒ อย่าง จนเห็นเป็นขัดกัน มารู้กันเสียใหม่ให้ถูกต้อง จะรู้ว่ามีพระเจ้าองค์เดียวกันนี่ มันก็หมดปัญหาไปเลย หรือว่ามีธรรมอย่างเดียวกัน เป็นธรรมอย่างเดียวกัน มีธรรมอย่างเดียวกัน มันก็หมดปัญหาไปเลย นี่ส่วนนี้มันหมดปัญหาไปได้อย่างนี้ แต่ปัญหามันไปมีอยู่ ตรงที่ว่า เราไม่สามารถจะทำคนบ้าเลือดนี้ ให้รู้จักพระเจ้า ให้รู้จักธรรม นี้คนกำลังบ้าเลือด ไอ้การรบรา ฆ่าฟันกัน หรือกำลังบ้าอารมณ์ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส จนพูดกันฟังไม่รู้เรื่องอย่างนี้ มันก็ไม่มีทาง ไม่มีทางที่จะรู้จักพระเจ้า รู้จักธรรมอะไรเลย ถึงอย่างนั้นมันก็ใช้วิธีการเดียวกันนะ คือ กล่าวพบปะ ปรึกษาหารือกัน แลกเปลี่ยนกัน ชกต่อยกันไปพลาง ด่าแม่กันไปพลาง อะไรกันไปพลางก็ตามใจ
อีกทางหนึ่งถ้าทำได้ ก็คือว่า ถามกันดูว่านี่มันถูกหรือผิด นี่มันจะ ควรทำต่อไปหรือไม่ มันจะมีผล อะไรเกิดขึ้น เดี๋ยวมันก็ อ่า, เข้าใจกันได้ เกิดความเข้าใจกันได้ เห็นอกเห็นใจกันได้นี่ อย่างผัวเมียทะเลาะกัน จนจะฆ่ากันตาย ดีว่าเกิดคิดนึก ขึ้นมาถึงลูก ถึง อ่า, หลาน ถึงปู่ย่าตายาย ถึงนั่นถึงนี่ ถึงความดี อ่า, ความชั่ว ความผิดความถูก อ้าว, เดี๋ยวก็หยุดทะเลาะกันได้ ดังนั้นเมื่อมันยังทะเลาะกันอยู่ ไม่เว้นเว้นไม่ได้ก็ ทะเลาะกันไป แต่ต้องหาทางทำความเข้าใจเกี่ยวกับธรรม ให้มันกลับมา ให้ธรรมะมันกลับมา ก็หยุดความ ทะเลาะกันได้
หรือว่าเพื่อนฝูงทะเลาะกัน เด็ก ๆ ทะเลาะกันนี่นะ มันต้องมีอะไรที่เป็นการ มองกว้างออกไป ถึงการได้เสียร่วมกัน อะไรร่วมกัน อือ, มองไปในแง่ดี เดี๋ยวมันก็ลืมแง่ร้าย ลืมแง่ร้ายเสียได้ ก็พูดกันรู้เรื่อง มาดีกันได้ มากลับดีกันอีก ตรงนั้นมันต้อง ไม่ลืม ข้อสำคัญนี้ ถ้าทะเลาะก็ทะเลาะกันไป แต่ต้องพูดถึง ธรรมะกันไปพลาง แลกเปลี่ยนธรรมะกันไปพลาง นี่เป็นเรื่องภายนอก มันเป็นเรื่องภายนอก หมายความ ว่า ระหว่างบุคคลกับบุคคล ระหว่างคณะ ระหว่างคณะบุคคลกับคณะบุคคล นี้เป็นภายนอก
นี้ถ้าเป็นภายในจะทำอย่างไร เป็นภายในหมายความว่า เราคนเดียวไม่มีคนที่ ๒ การทะเลาะใน ภายในมี คือ ระหว่างความรู้สึกดีกับความรู้สึกชั่ว มันทะเลาะกัน แล้วมันก็กำลัง ตกนรกร้อนเป็นไฟอยู่ มีความทุกข์ ทางจิตใจอยู่ตามลำพังตน เพราะกิเลส เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง นี่เรียกว่า ตกนรกอยู่ เพราะกิเลส ร้อนเป็นไฟนี้ นั้นก็ไม่มีทางอื่น นอกจากจะนึกถึง ไอ้นิพพาน หรือความเย็น หรือตรงกันข้ามไปพลาง ตกนรกไปพลางก็แสวงหานิพพาน ไปพลาง ตกนรกอยู่พลาง ๆ อยู่พลาง ก็แสวงหานิพพานไปพลาง มันก็จะแก้ได้
แต่นี่เขาไม่สอนกันอย่างนี้ เขาสอนตกนรก มันก็แยกกันอยู่ไกลลิบกับนิพพาน คว้าไม่ถึง แล้วตกนรกนี่ ตกกันกี่กัปกี่กัลป์ กี่ร้อยกัปกี่ร้อยกัลป์ก็ไม่รู้ แล้วมันจะคว้าหานิพพาน ไปพลางได้อย่างไร เมื่อสอนกันเสียอย่างนั้น แล้วมันก็ไม่มีทางที่ว่า จะตกนรกไปพลางหา คว้าหานิพพานไปพลาง ก็ทำไม่ได้ เพราะว่าไกลกันเหลือเกิน อยู่คนละชาติ คนละ เอ่อ, ทิศคนละทางแล้ว ไกลกันเกินไป
นี้ผมบอกให้ดูว่า พอตัวกูของกู ยกหูชูหางเกิดขึ้นในจิตใจนั่นแหละ คือ นรกแหละ พอตัวกูของกู เงียบไปดับไปนั่นละก็คือนิพพาน มันอยู่ใกล้กันถึงอย่างนี้ เท่ากับพลิกหน้ามือกับหลังมืออย่างนี้ มันอยู่กัน คนละทีอย่างนี้ ถ้าพลิกเป็นหน้ามือเป็นนรก หลังมือก็เป็นนิพพาน ถ้าตัวกูไม่เกิดก็เป็นนิพพาน ถ้าตัวกูเกิด ก็เป็นนรก เป็นวัฏสงสาร นั้นมันกำลัง เกิดตัวกู เดือดร้อนอยู่ ในขณะที่กำลังเดือดร้อนอยู่ มันนึกหาว่า อะไรมันเย็น อะไรมันหยุด อะไรมันว่าง นี่เราคนหนึ่ง เรามีอิสระที่จะคิดจะนึก ตามชอบใจของเรา เรากำลังร้อนอยู่ ก็คิดว่าอะไรมันเย็น อะไรมันหยุด อะไรมันว่าง นึกอยู่ว่าตกนรกไปพลาง คว้าหานิพพาน ไปพลาง (นาทีที่ 37:23)
แต่เดี๋ยวนี้คนทั่วไป คนโดยมากไม่เป็นอย่างนี้ พอเกิดความทุกข์ขึ้นมา ก็นั่งร้องไห้ อือ, หรือไป โทษผี โทษสาง โทษเทวดา โทษคนนั้นคนนี้ไม่สำเร็จ ก็ฆ่าตัวตายนี้ ไปเสียแต่อย่างนี้ ไม่ได้มีใจเยือกเย็น เป็นนักเลง ตกนรกไปพลาง คว้าหานิพพานไปพลางอย่างนี้ หมายความว่า มันร้อนขึ้นมา ก็ก็คิดดูอะไร มันเย็น มันเย็นที่ไหน เย็นอย่างไร ร้อนนี่มันร้อนเพราะอะไร ถ้าเย็นมันก็ต้องเย็นเพราะดับไฟ แห่งอันนั้นแหละ ดับไฟเพราะอัน ดับเหตุแห่งความร้อนนั้นนะเสีย มันก็เหมือนกับพลิกหน้ามือ เป็นหลังมือ มันก็ดับได้ทันควันได้แล้ว ทันทีทันควัน
เมื่อหัดเก่งเข้าเก่งเข้า มันก็หยุดตัวกูของกู ได้ทันทีทันควัน อ้าว, ไอ้นี่มาอีกแล้ว พอว่าไอ้นี่มา อีกแล้ว มันก็หนีหายไปทันที กลับไปทันที พอเผลอ อ้าว, ออกมาอีก เอ้า, ไอ้นี่มาอีกแล้ว อ้าว, ก็หนีไป ทันที กิเลสมันมันง่ายถึงขนาดนี้นะ ถ้าถ้ามองกันในในลักษณะนี้แง่นี้นะ มันง่ายก็หมายถึงว่า อ้าว, ไอ้นี่มาอีกแล้วเท่านั้นแหละ มันหายไปทันที แต่ถ้าเราไม่ ไม่มีสติที่จะรู้สึกว่า อ้าว, ไอ้นี่มาอีกแล้ว มันก็อยู่นั่นแหละ มันก็ขึ้นขี่คอเราอยู่นั่น ดังนั้นจึงมีโอกาส ในส่วนบุคคลคนหนึ่ง ๆ ที่จะตกนรกไปพลาง คว้าหานิพพานไปพลาง นี่โดยส่วนตัว คนเดียว
นี่ถ้าโดย ส่วน ที่มันเกี่ยวกับสังคม เกี่ยวกับคนอื่น ก็ว่า ทะเลาะกันไปพลาง แลกเปลี่ยนธรรมะ กันไปพลางนี่ นึกถึงนั่น นึกถึงนี่ นึกถึงปู่ย่าตายายของเขา ปู่ย่าตายายของเรา นึกถึงอะไร เดี๋ยวมันก็ดึงไป ในทางที่จะเกิดความหยุด หยุดโกรธ หยุด เกิดความเห็นอกเห็นใจเกิดอะไรกันขึ้นมา หรือว่าทั้ง ๒ ฝ่าย ก็เกิดความรู้สึกขึ้นมาพร้อมกันว่า นี่ทั้ง ๒ ฝ่ายทำผิดต่อพระเจ้า ต่อพระธรรม จะไปโทษใครที่ไหน ความทุกข์อันร้ายกาจมหาศาลนี่ เพราะเราทั้ง ๒ ฝ่ายทำผิดต่อพระเจ้า นี่เพื่อเห็นแก่พระเจ้าก็แล้วกัน อย่าเห็นแก่ฝ่ายโน้นเลย อย่าเห็นแก่ฝ่ายข้าศึกเลย เห็นแก่พระเจ้า ยอมหยุดการกระทำอันนี้ นี่มันจะหยุด การเบียดเบียนได้
ทีนี้ก็มาถึงปัญหาใหญ่ที่ว่า ไอ้พวกที่มันเป็นอันธพาล จะรู้จักได้อย่างไร พวกที่ไม่ถือศาสนา สมมุติว่าพวกคอมมิวนิสต์ ไม่มีศาสนาจริง อย่างที่เขาโฆษณากัน พวกคอมมิวนิสต์ก็ยังต้องถือหลัก ไอ้วิทยาศาสตร์ทางวัตถุ นี้ไอ้ คำว่าธรรมชาติ คำว่ากฎธรรมชาติ คำว่าหน้าที่ตามธรรมชาติ ผลตาม ธรรมชาตินั่นแหละ คือวิทยาศาสตร์สูงสุด นั้นพวกที่ไม่ถือศาสนาอะไรเลย แต่ถือวิทยาศาสตร์ ก็สามารถ แลกเปลี่ยนความรู้อันนี้กันได้ แล้วก็เอออวยกันได้โดย ฝ่ายหนึ่งถือวิทยาศาสตร์ ฝ่ายหนึ่งถือศาสนา แล้วมันเหมือนกันตรงที่ มันมี ๔ อย่างนี้ เมื่อคนหนึ่งเรียกว่าธรรมชาติ คนหนึ่งเรียกว่าธรรมหรือพระเจ้า เมื่อไม่เอาชื่อเป็นประมาณ เอาของจริงเป็นประมาณ มันก็เป็นอย่างเดียวกัน
เพราะฉะนั้นพวกคอมมิวนิสต์ เอ่อ, ถือวัตถุเป็นหลัก เป็นวัตถุนิยมตามกฎวิทยาศาสตร์ มันก็ทำ ความเข้าใจกันได้ กับพวกที่ถือธรรม หรือถือศาสนา ขอแต่ทั้ง ๒ ฝ่าย เข้าใจเรื่องราวของตน ถูกต้องเต็มที่ ก็แล้วกัน พวกนักวิทยาศาสตร์ทั่วไปสมัยนี้ เมื่อศึกษาเรื่องธรรมชาติ เรื่องกฎธรรมชาติ เรื่องอะไร ๔ อย่าง นี้เสร็จแล้ว มันก็จะ เห็นด้วยกับไอ้หลักทางศาสนาทันที ในเรื่องธรรม ๔ ความหมายนี้
เพราะฉะนั้นไอ้พวกศาสนา ก็พูดกับพวกวิทยาศาสตร์รู้เรื่อง แลกเปลี่ยนความรู้กันได้เหมือนกัน พวกศาสนาต่อศาสนาก็พูดกันรู้เรื่อง แลกเปลี่ยนความรู้กันได้เหมือนกันนี่ ดังนั้นเป็นอันว่ามันมีหวังที่จะ แลกเปลี่ยนความรู้ ธรรมหรือธรรมชาติหรือวิทยาศาสตร์ แก่กันและกันได้ แล้วก็ยุติสงครามได้
นี่เป็นหลักใหญ่ และเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องเอาไปคิดไปนึก จะได้ช่วยกันทำประโยชน์สูงสุด ให้แก่มนุษย์ ถ้าไม่อยากจะทำสิ่งที่มีประโยชน์แก่มนุษย์ ก็ก็ไม่ต้องสนใจเรื่องนี้หรอก หรือถ้าใครมีความ คิด มีความต้องการที่จะให้ตนเอง เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์แก่โลก ก็ต้องคิดเรื่องนี้แน่นอน เพราะว่า เรื่องอื่นมันไม่มี มันไม่มีหนทาง ทางอื่นมันก็ไม่มี นอกจากทางที่ว่า เข้าถึงตัวธรรมชาติ กฎธรรมชาติ หน้าที่ตามธรรมชาติ ผลตามธรรมชาติ แล้วเหมือนกันหมดทุกคน
นี้เราพยายาม เตรียมตัวเอง ให้มันรู้ก่อนสิ เดี๋ยวนี้มันอยู่ในขั้นที่ว่า เราเองคนหนึ่งคนหนึ่งนี่ ให้มันรู้ก่อนสิ อย่าเพิ่งพูดถึงคนอื่น อย่าเพิ่งพูดถึงชาติอื่น ประเทศอื่น เราคนเดียวนี่ ให้มันรู้ ให้มันถึงจริง เสียก่อน ดังนั้นอย่าไปมัวหลงใหล ไอ้เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เรื่องของเล่นเอามา มาเป็นเรื่องใหญ่นี้ก็ไม่ได้ ไม่ไม่มีหนทาง ไม่แยแสต่อความดีความจริงความถูกต้อง ไปเอาเรื่องเล่น ๆ เอาเรื่องตามใจตัวเอง เล็ก ๆ น้อย ๆ ตามใจกิเลสของตัวเองเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนี้ไม่มีทาง ที่จะเข้าถึงเรื่องใหญ่ หรือธรรมะ หรือพระเจ้า
ดังนั้นความดื้อดึง ความเย่อหยิ่งจองหอง หรือความประมาทนั้นเองเป็นอุปสรรค แก่การที่จะเข้า ถึงธรรมะ ไม่ยอมฟังคำพูดของผู้อื่น เพราะถือว่ามันไม่ถูก ไม่จริง ไม่เหมาะสำหรับเรา เรามีอะไร ความคิด ของเราถูกจริงเหมาะสำหรับเรา ก็ไม่ยอมฟัง มีแต่จะดื้อจะเถียงตะพึด มันเป็นอยู่อย่างนี้ เดี๋ยวนี้มันกำลัง เป็นอยู่อย่างนี้ จึงไม่เข้าถึงธรรม เมื่อต่างคนต่างไม่เข้าถึงธรรม ก็พูดกันไม่รู้เรื่อง ก็ต้องเลิกรากันไป ปล่อยมันไปตามบุญตามกรรม
ดังนั้นให้มุ่งหมาย ตรงไปยัง ไอ้สิ่งที่เรียกว่า ธรรมนี้ ยิ่งกว่าสิ่งใด พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เคารพ ธรรม เป็นสิ่งสูงสุด ดังนั้นช่วยกันเคารพพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ โดยเคารพธรรม และก็ให้ความเอาใจใส่ แก่ธรรมให้มากที่สุด ให้ความเอาใจใส่แกวัตถุ นิมิต เครื่องหมายของธรรมให้มากที่สุด จะเป็นพระพุทธรูป หรือจะเป็นอะไรก็ตาม ที่มันเป็นนิมิต เป็นเครื่องหมายของธรรม แล้วก็เอาใจใส่ให้มากกว่า ของธรรมดา
ทีนี้เรากำลังประมาท กำลังเหลิง กำลังโง่ กำลังอะไรก็ไม่รู้ เช่น ต้นสาละนั่นนะ เป็นสัญลักษณ์ ของพระพุทธเจ้า ก็ไม่เห็นเอาใจใส่มากไปกว่าต้นไม้อื่น ๆ ซึ่งไม่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า บางทีจะไปเอาใจใส่ กับสวนครัว หรือต้น อ่า, ไม้ดอกอะไร ยิ่งไปกว่าต้นสาละนั้นอีก นี่คือความไม่ ไม่มอบความสนใจ หรือความไว้วางใจ ให้แม้แก่พระพุทธเจ้า เช่น ต้นสาละนี้ เป็นที่ประสูติ เป็นที่นิพพาน เป็นที่อยู่แทบ ตลอดชีวิตของพระพุทธเจ้า เราก็ให้ความสนใจน้อย หรือเท่ากับต้นไม้อื่น ๆ หรือน้อยกว่าต้นไม้ของเล่น บางอย่าง
นี่เห็นไหมมันโง่หรือมันไม่จริง สักกี่มากน้อย แล้วจะไปโทษพระพุทธเจ้า หรือไปโทษธรรมะ อะไรกัน ไอ้เรานี่มันไม่ลืมหูลืมตาและไม่จริง มันควรจะมีกำแพงอิฐล้อม ควรจะมีรั้วล้อม ควรจะมีอะไร ป้องกัน หรืออย่างน้อยก็เพื่อว่าให้มันสมศักดิ์ศรี ของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เป็นนิมิตของพระพุทธเจ้า นี่คุณก็ดูเถอะ ใครไปดูมันกี่หนวันหนึ่ง หรือกี่วันต่อหน หรือที่ให้ความสนใจอะไรบ้างนี่ เอ่อ, เป็นเรื่องที่ ต้องคิดต้องนึกว่า อย่าไปโทษคนอื่น อย่าไปโทษสิ่งอื่น โทษความไม่รู้เท่าถึงการณ์ ความไม่จริง ความไม่ เอ่อ, บริสุทธิ์ใจอะไรของเราเอง
เพราะฉะนั้นไปโทษว่า ธรรมะไม่ช่วย ศาสนาไม่จริง นี้มันก็ไม่ถูก โง่กว่านั้นก็ไปทูด โทษ เออ, เผผีสาง เทวดา เอ่อ, นั้นก็ไม่ถูก โทษเคราะห์โทษกรรม มันโทษความที่ไม่รู้จักธรรมะ แล้วก็ไม่รู้จัก แลกเปลี่ยนธรรมะซึ่งกันและกัน ไม่ทำความก้าวหน้าในทางของธรรมะ ให้แก่กันและกัน เมื่อเป็นอย่างนั้น ธรรมะ หรือพระเจ้า มันก็ตบหน้าเอา ไม่มีวันเจริญในทางธรรมะ ระวังให้ดี ๆ นะ ไม่มีความเจริญใน ทางธรรมะ แต่ไปเจริญในทางอื่น นี้มาโทษว่า เรียนมาก็แยะ ปฏิบัติก็แยะ อะไรก็แยะ เสียสละก็แยะ อะไรก็แยะ มันผิดเรื่องนั้น ในการเรียนการเสียสละนั้น มันก็ไม่ไม่นำมาซึ่ง ผลโดยถูกต้อง หรือตรงธรรม
เพราะฉะนั้นขอให้มีความเคารพ หนักแน่นในธรรมะ ในสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะหรือพระเจ้า เรียกอย่างสมมุติว่า พระเจ้า เรียกจริง ๆ โดย เอ่อ, โดยจริง ๆ ว่าธรรมะ พระพุทธเจ้าในอดีตก็ดี ในอนาคต ก็ดี ในปัจจุบันก็ดี ก็ต้องเคารพพระธรรม ก่อนนี้ผมสวดอยู่เรื่อย สวดมนต์ตามแบบของผมนี่ สวนโมกข์นี่ เดี๋ยวนี้ไม่มีใครชอบสวด นี่เราเลือกเอาบท ที่มันมีความหมายแรง ความหมายปลุกใจดี มารวม ๆ เข้า เป็นเรื่องของพระธรรม พระพุทธ พระสงฆ์ สวดอยู่เรื่อย ตอนนี้มี เย จะ พุทธ อะตีตา จะ เย จะ พุทธา อะนาคะตา เยจะ สัมปันนา ปัจจุปปันนา จะ เย พุทธา สัพเพสัตธรรมะ การุโณ นี่ (นาทีที่ 48:11) พระเจ้าทั้งหลาย ในอดีตก็ดี ในอนาคตก็ดี ในปัจจุบันก็ดี ทั้งหมดทุกพระองค์ มีความเคารพธรรม
เมื่อพระพุทธเจ้าทุกองค์เคารพพระธรรม และก็มันเท่าไร ลองคิดดู มันก็ไม่มีอะไรมากไป สูงกว่านั้น ต้องเคารพธรรม ต้องเคารพพระพุทธเจ้า แม้กระทั่งสัญลักษณ์ของพระธรรม สัญลักษณ์ของ พระพุทธเจ้า ผมว่าไอ้รูปวงกลม ๆ ที่ ๆๆ จอหนัง หรือที่ตรงนี้นี่คือ สัญลักษณ์สูงสุดของพระธรรม แต่คุณก็ไม่เห็นว่ามันสูงสุดอะไร มีใครสนใจมีใครนั่งดูมันเป็นชั่วโมง ๆ เลย เอาเถอะสัญลักษณ์อะไรก็ได้ เอ่อ, ถ้าเมื่อตนยอมรับนับถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของพระธรรม ก็ขอให้เคารพอันนั้น เป็นสัญลักษณ์ของ พระพุทธเจ้า วัตถุอนุสรณ์ของพระพุทธเจ้านี่ก็เคารพกันมาก ๆ เอาใจใส่มาก ๆ มันจะย้อมจิตใจ เปลี่ยน จิตใจของเรา ให้เป็นผู้หนักแน่นในธรรม ไม่อย่างนั้นจะไม่หนักแน่นในธรรม แต่หนักแน่นในกิเลส ในของกิน ของเล่น ของชอบ ของสนุกสนาน เอร็ดอร่อย ไม่หนักแน่นในธรรม
นี้คนแต่ก่อนเขาทำได้ดีในเรื่องนี้ ที่หนักแน่นในธรรม หนักแน่นในนิมิตของธรรม ดังนั้นคนจึงมี ศีลธรรม คนสมัยก่อนมีศีลธรรม เพราะเขาเคารพหนักแน่น ในสิ่งเหล่านี้ คนเดี๋ยวนี้ไม่เอาด้วย สมัยผมเด็ก ๆ หรือว่าสมัยถัดไปนี่ ตัวหนังสือก็ข้ามไม่ได้ โดยเฉพาะตัวหนังสือในใบลานแล้ว ข้ามไม่ได้ เป็นคนเสียหายหมดเลย เดี๋ยวนี้เอาไปเช็ดก้น อือ, ข้ามก็ข้าม ตัวหนังสือหรือกระดาษที่มีหนังสือข้ามไม่ได้ เดี๋ยวนี้เป็นของใช้เช็ดของสกปรก อย่าว่าแต่จะข้าม มากมายหลาย ๑๐ อย่าง ที่เขาเคารพหนักแน่น เรื่อยไป จนถึงนิมิตหรือสัญลักษณ์ของสิ่งนั้น ก็เพื่อจะพยุงมันไว้มันหนักแน่นไปหมด เพราะถ้าเราหลวมไปอย่าง ค่อยหลวมอีกอย่าง แล้วค่อยหลวมไปอีกอย่าง มันก็หลวมเข้าไปทุกที
สมัยผมเป็นเด็ก ขึ้นไปบนที่นอนของอาจารย์ก็ไม่ได้ อย่าว่าแต่จะไปหนุนหมอนของอาจารย์ คลานขึ้นไปบนที่นอนก็ไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงว่า จะไปเอาถ้วย จาน ชามของอาจารย์มากินข้าว เอาขันน้ำของ อาจารย์มากินน้ำอย่างนี้ เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ เพราะมีจิตใจผิดกับคนสมัยนี้ ซึ่งมันมีแต่เป็นไปในทางที่จะให้ หละหลวม และประมาท และก็เย่อหยิ่งจองหอง แล้วก็ไม่มีครูบาอาจารย์ ไม่มีบิดามารดา ไม่มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่คือว่า พระเจ้าจะตบหน้า ไม่มีทางที่จะโงหัวขึ้นมาได้ ติดจมอยู่ในกองทุกข์
เพราะฉะนั้นสิ่งใดที่มันช่วยทำให้หนักแน่น ให้มีความเคารพหนักแน่น ก็ทำ ๆ ไปเถอะ บางทีมัน เป็นเรื่องวัตถุ ทางวัตถุเล็ก ๆ น้อย ๆ แก่นิมิต แก่สัญลักษณ์ของพระธรรมนี่ก็ทำไป นั้นการที่ว่าเหลือบ เห็นรูปพระพุทธรูปก็ยกมือไหว้ เหลือบเห็นพระเจดีย์ก็ยกมือไหว้นี้เป็นการดีนะผมนับถือ แต่บางทีผมก็ ไม่ได้ทำ แต่ว่านับถือเต็มที่ สำหรับคนเหล่านั้นที่จะต้องทำ เห็นอะไรคล้ายพระพุทธรูปก็ไหว้แล้ว นี้มันดี เออ, สำหรับคนในเบื้องต้น ที่จะต้องให้มันหนักแน่นอย่างนั้นไว้ก่อน แล้วก็ไปนึกคิดศึกษาดู จนกระทั่งว่า แม้จะไม่ไหว้ด้วยมือก็ไหว้ด้วยใจก็ได้ แต่ขอให้มันจริงเถอะ บางทีคนที่ไหว้กราบด้วยมือ ด้วยกายนี้ มันไม่จริงเท่ากับคนที่ไหว้ด้วยใจก็มี แต่ถึงอย่างไรก็ดี ไอ้ไอ้มีอยู่บ้างดีกว่าไม่มีเสียเลย
ปูชนียวัตถุมันต้องมี แล้วก็ย้อมจิตใจให้ เข้าไปถึงตัวจริงได้ เขาไม่ดูถูกเหมือนที่เขาคิดนะ จะเป็น พระพุทธรูป หรือจะเป็นต้นโพธิ์ หรือจะเป็นอะไรก็ตาม ก็ไม่ได้ดูถูก ถึงไม่ได้ยกมือไหว้แต่ในใจ มันก็ นึกถึงพระพุทธเจ้าเต็มที่ แต่ถ้าทำอะไรไม่ได้ เอ่อ, มากมากกว่านั้น ก็คือไหว้ คือกราบ คือเป็นคนเคร่ง เออ, ต่อวัตถุ ศักดิ์สิทธิ์สูงสุดแท้จริงไว้ก่อนก็แล้วกัน บางทีก็ต้องพลอย ทำกับพวกที่เขายังต้องทำบูชา ไหว้ กราบ เวียนเทียน เวียนทักษิณาวรรตอะไรก็ตาม มันก็ต้องทำกันไปอย่างนี้ แต่ว่าในใจมันเลื่อนชั้น เลื่อนชั้น เลื่อนชั้นขึ้นไป รู้ว่าทำนี้ก็ทำ แต่ในใจก็จริงกว่านั้นอีก
และบางทีเราไม่จำเป็นต้องทำ แต่ว่าเพื่อเห็นแก่คนอื่น เราก็ทำก็ได้เหมือนกัน ให้เคารพหนักแน่น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่เป็นส่วนใหญ่ รวมกันแล้วก็คือว่า เคารพธรรมนั่นเอง แม้จะเคารพ การศึกษา เคารพการปฏิสันถาร แขก เอ่อ, ไปมา เคารพความไม่ประมาทอีก ๓ อย่าง มันก็เคารพธรรม อีกเหมือนกัน ความเคารพ ๖ ประการนั้นก็คือ เคารพธรรม เคารพพระพุทธ เคารพพระธรรม เคารพ พระสงฆ์ เคารพ การปฏิสันถาร เคารพการศึกษา เคารพความไม่ประมาท รวมกันแล้วก็เคารพธรรม คำเดียว พอไม่ไม่มีความเคารพ ก็คือ มีความประมาท จองหอง อวดดี ดังนั้นเป็นโอกาสที่จะให้มัน เจริญไป ในทาง ที่ไม่ใช่ธรรม หรือว่าธรรมประเภทจะทำอันตราย
นี้เกี่ยวกับภาษาพูด ถ้าไม่เข้าใจมันยุ่งหมดนะ ฟังกันดี ๆ นะ ทุกอย่างมันเรียก ธรรม หมด ความผิดก็เรียกธรรม ความถูกก็เรียกธรรม ความดีก็เรียกธรรม ความชั่วก็เรียกธรรม นั้นก็ต้องแบ่งกันว่า ธรรมประเภทดี ธรรมประเภทชั่ว ธรรมประเภทบุญ ธรรมประเภทบาป ในภาษาบาลีมีคำที่น่าสนใจ อยู่คำหนึ่ง คือ ธรรมที่ทำอันตราย อันตรายิกธรรม ธรรมที่ทำอันตราย นี่ก็ ธรรมประเภทนี้ไปเล่นกับ มันเถอะมันตบหน้านะ เป็นการทำบาปทำชั่วทำอะไรต่าง ๆ จนกระทั่งเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในเรื่องวินัยนี้ อันตรายิกธรรม การมีมีความชั่วแล้วปกปิดไว้นี้ เรียกว่าอันตรายิกธรรม อย่างนี้เป็นต้น คือมันทำอันตราย มันขบมันกัด มันตบหน้า หรืออะไรเรื่อยไปไม่มีหยุด เป็นธรรม ประเภทที่ทำอันตรายแก่บุคคลผู้มี
ทีนี้อีกฝ่ายหนึ่งก็ ธรรมที่ไม่ทำอันตรายเลย มันก็สบาย คือสบาย นั้นเรามีแต่ธรรมประเภทที่ทำ อันตรายแล้ว มันก็ต้องเป็นทุกข์ เป็นนรกทั้งเป็น อยู่เรื่อยไป อย่าไปเล่นกับมัน อย่าประมาท ท่านสอนไว้ คำเดียวว่า อย่าประมาท อย่าไปเล่นกับธรรมที่ทำอันตราย นี่เห็น ๆ อยู่ เป็นพระก็ตาม เป็นเณรก็ตาม เมื่อไม่มีที่เคารพแล้ว มันก็เปิดโอกาส ให้แก่ความประมาท ธรรมที่ทำอันตรายมันก็เข้ามาทันที คือ ทำอันตรายแหลกลาญ ทั้งตนเองทั้งผู้อื่น ที่เกี่ยวข้องด้วย
ภาษาชาวบ้าน เขาพูดถึงธรรม แล้วก็ธรรมเป็นของดี แต่ภาษาภาษาศาสนาที่แท้จริง แล้วมันก็ เป็นคำกลาง ๆ กุศลธรรม อกุศลธรรม กุศลก็เรียกว่าธรรม อกุศลก็เรียกว่าธรรม หมายความว่าธรรมฝ่ายดี ธรรมฝ่ายชั่ว แล้วในที่สุดมาสรุปกัน ธรรมที่ทำอันตราย กับธรรมที่ไม่ทำอันตราย ดีกว่า อย่าไปเล่นกับ ธรรมที่ทำอันตราย ทำเข้าแล้ว เป็นไฟขึ้นมา ธรรมตบหน้าเอา พระเจ้าตบหน้าเอา โปรดประทานนรก ให้มา นี้ถ้าไปเล่นกันกับไอ้ตรง ฝ่ายที่ตรงกันข้าม ก็ไม่ถูกตบหน้า คือเป็นสวรรค์ นี้ถ้าว่าเบื่อไอ้เรื่องนรก เรื่องสวรรค์ก็ เป็นเรื่องสุงสุด คือไม่รับอะไรหมด ไม่เอาอะไรเป็นตัวเรา เป็นของเราหมด เป็นธรรม ธรรมขั้นสูงสุด ไม่ทำอันตรายขั้นสูงสุด หลุดพ้น จากธรรมทั้งปวง
นี่คุณฟังดูให้ดี แล้วก็คุณจะรู้ว่า ผมก็พูดซ้ำ ๆ อยู่บ่อย ๆ นะ แต่ว่าซ้ำบ่อย ๆ นี่ ไม่ได้ซ้ำซากนะ คือว่าซ้ำชนิดที่มีประโยชน์ออกไป มีประโยชน์ออกไป มีประโยชน์ออกไป ขยายความให้เห็นชัดมากขึ้น ทำให้เห็นจริงยิ่งขึ้นอย่างนี้ มันไม่ใช่ซ้ำซาก มันซ้ำเพื่อให้มันงอกออกไป งอกออกไป งอกออกไป แล้วให้ถือสิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญ ชีวิตการเป็นอยู่ทั้งหมด สิ่งนี้สำคัญ นอกนั้นเป็นอุปกรณ์ การทำการงาน ก็เพื่อสละความเห็นแก่ตัว เพื่อเข้าถึงธรรมชนิดที่จะไม่ทำอันตราย
ระวังให้ชีวิตมีค่า มีความหมาย เพราะฉะนั้นเวลาที่อยู่ว่าง ๆ ก็ทำการงาน คือการประพฤติธรรม ชนิดทำลายความเห็นแก่ตัว เวลาที่ไม่ทำการงาน เวลาพักผ่อน ก็เสวยผล ของมัน หรือว่ามานั่งคิดนั่งนึก ถึงเรื่องธรรมะนี้ให้มันลึกซึ้งเข้าไป เวลาที่ศึกษาเล่าเรียน อบรมกัน สนทนากัน ปรึกษาหารือกัน ก็เพื่อให้ เข้าถึงธรรมะมากนี้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ส่วนเรื่องกินเรื่องอยู่เรื่องหลับเรื่องนอนนั้น เป็นเรื่องเล็ก เป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะเราไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งนั้น แต่เกิดมาเพื่อถึงธรรม ดังนั้นกินอยู่หลับนอน แต่พอให้สะดวก แก่การถึง ธรรมก็แล้วกัน ถ้าไปสนใจเรื่องกินอยู่หลับนอน แล้วมันก็ มันก็ย้ายตัวไปทางวัตถุทางกิเลสอีก จะละทิ้ง ธรรมอีก จะจะเอาแต่เรื่องเอร็ดอร่อย สวยงาม ฟุ้งเฟ้อกันไปหมด ละทิ้งธรรมอีก ไปหากิเลสอีก
ดังนั้นอย่าพอใจ ในเรื่องเกียรติ์ เรื่องกาม เรื่องกิน เรื่องอะไรทั้งนั้น พูดถึง ๓ ก แล้วก็ควรจะเข้าใจ กันแล้ว ไม่ต้องอธิบาย เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ์นี้ เป็นธรรมทำอันตราย ดังนั้นต้องชนะสิ่งเหล่านี้ เห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย แล้วก็อยู่เพื่อถึงธรรม ถ้ามุ่งหมายว่ามีชีวิตอยู่เพื่อถึงธรรม ดังนั้นอย่าไปเสียเวลากับ เรื่องอื่นให้มากนัก อย่าไปรับใช้คนอื่น ในเรื่องอื่น ควรจะรับใช้ธรรม ในเรื่องธรรม แม้ว่าเราจะรับใช้ มนุษย์บางคนนี้ แต่ก็ต้อง ทำให้เป็นการรับใช้ธรรม เพื่อถึงธรรม
ถ้าไปทำงานให้วัด หรือทำงานให้อาจารย์นี้ก็ตาม ก็ต้องเพื่อการถึงธรรมของทุกคน อย่างนี้เรียกว่า รับใช้ธรรม ไม่ใช่รับใช้บุคคลนี่ ถ้าไปรับใช้บุคคลเห็นแก่หน้าตา เห็นแก่เงิน เห็นแก่ความขอบใจของเขา จะได้ขอบใจเรา จะได้พึ่งพาเขา อย่างนี้มันรับใช้คน รับใช้กิเลส ดังนั้นใครมีความรู้เรื่องอะไร ที่มีความรู้ เชี่ยวชาญเฉพาะตนเฉพาะคน นั้นระวังอย่าไปใช้ไปในทางรับใช้กิเลสหรือรับใช้คน ต้องใช้ไปในทางรับใช้ ธรรมเสมอ ไม่อย่างนั้นจะเป็นขบถต่อธรรม แล้วมันก็ถูกตบหน้าอีก ไม่มีปัญหา
อย่าไปประจบคฤหัสถ์ เพื่อล่อลวงล่อลวงอะไรเอามา มันรับใช้กิเลส ขบถต่อธรรม มันจะถูก ตบหน้า ถูกลงโทษ ไม่มีปัญหา มีสติปัญญาความรู้ความสามารถความชำนาญอะไร ก็ต้องรับใช้ธรรมรับใช้ พระเจ้า อย่ารับใช้พญามาร คือ กิเลส จึงจะเป็นหมู่คณะ ที่เรียกว่าเป็นอะไร เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า หรือว่าเป็นผู้ประพฤติธรรม หรือว่าเป็นผู้ อุทิศเพื่อธรรม เป็นหมู่คณะที่แยกออกมาจากบ้าน จากเรือน มาเป็นอยู่ ในแบบที่จะเข้าถึงธรรมโดยง่าย หรือเข้าถึงธรรมอยู่เสมอ ตามลำดับ
และนี่ก็มีอย่างนี้ วันนี้ ทวนซ้ำเรื่องธรรมใน ๔ ความหมาย ให้เห็นชัดเจน ยิ่งขึ้น ในเนื้อในตัว ของคนแต่ละคน เพื่อจะได้จัดการให้ดี ให้ถูก ยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก ก็พอกันทีสำหรับวันนี้นะ เพราะผมก็จะไป ขึ้นรถไฟแล้ว ต้องไปดูอะไร เอ่อ, พอเขา พอรถมาก็ออกไป