แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เอาละ เป็นอันว่าเราจะพูดเรื่องที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่จะลาสิกขาบท เพื่อให้เรื่องมันสมบูรณ์ หรือสำเร็จประโยชน์ มันก็ต้องมองกันมาตั้งแต่เรื่องการเข้ามาบวช และจนกระทั่งลาสิกขาบท สำหรับเรื่องเข้ามาบวชนั้น ขออย่าได้เห็นเป็นเรื่องทำเล่น ๆ ตามประเพณี ขอให้ถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดเรื่องหนึ่ง คือเรื่องเข้ามาศึกษาส่วนที่มันยังขาดอยู่สำหรับความเป็นคนที่ถูกต้องและสมบูรณ์ เรื่องใหญ่คือมันเรื่องความเป็นคนที่ถูกต้องสมบูรณ์ ตามความหมายของมนุษย์
ทีนี้มันจะไม่สมบูรณ์ ถ้ามันขาดเรื่องบางเรื่อง ในเรื่องบางเรื่องที่ว่านี้ ก็คือเรื่องที่จะต้องเข้ามาเรียนในการบวช ที่จริงแม้ว่าจะไม่มาบวชมันก็เรียนได้ แต่มันไม่สะดวก มันไม่ ยิ่งไม่สะดวกสำหรับสมัยนี้ ถ้าไม่มีเวลาพอ ฉะนั้น ถ้าเราปลีกตัวมาบวช มันทำให้มีโอกาสมาก มีเวลามากพอ สำหรับจะศึกษาเรื่องที่มันยังขาดอยู่นี่ สำหรับความเป็นมนุษย์ เขาไปเล่าเรียนที่นั่นที่นี่ อย่างนั้นอย่างนี้ ไปกระทั่งไปเมืองนอกเมืองนามา มีปริญญาเยอะแยะ มีอะไรต่าง ๆ เยอะแยะ
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็กล้าท้าว่ามันยังขาดอยู่ส่วนหนึ่ง หรือเรื่องหนึ่งสำหรับความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ คือเรื่องที่จะต้องเข้ามาบวช มาเรียนกัน นี่คือเรื่องทางจิตใจ ชนิดที่ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัยไหนในโลก แม้เขาจะมีเรื่องศีลธรรม เรื่องจริยธรรม มันก็พูดกันไปอย่างนั้นแหละ เป็นเรื่องทฤษฎีแทบทั้งหมด แล้วก็อย่างผิวเผินด้วย
ถ้ามาเรียนหลักของพุทธศาสนาโดยเฉพาะ มันเป็นเรื่องทางจิตใจโดยตรงก็เป็นเรื่องที่จำเป็นจะต้องมี จะต้องปฏิบัติ มันเป็นความรู้พิเศษที่ไม่มีสอนที่อื่น หรือในแขนงอื่น คือความรู้เรื่องเป็นอยู่ด้วยจิตที่ไม่ต้องยึดมั่นถือมั่น เรามีชีวิตอยู่ด้วยจิตที่ว่างจากความยึดมั่นถือมั่นเต็มอยู่ด้วยสติปัญญา นี่ มีสอนในมหาวิทยาลัยไหนบ้างก็ไม่ทราบ แต่ที่แน่นอนน่ะคือ ในพุทธศาสนาที่ต้องสอนกันทุกวัน ต้องพูดกันทุกวัน เรื่องเป็นอยู่ด้วยจิตว่างจากความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกู ว่าของกู ถ้าใครไม่เป็นอยู่โดยวิธีนี้ คนนั้นตกนรกทั้งเป็น ให้มีความรู้ทางโลก มีปริญญามาเป็นหางท่วมหู ท่วมตัว มันก็ยังต้องตกนรกทั้งเป็น
ยิ่งรู้มากยิ่งยากนาน รู้จนท่วมหัวเอาตัวไม่รอด คือมันรู้อะไรสารพัดอย่าง แต่มันไม่รู้เรื่องที่จะทำอย่าให้มีความทุกข์ ไม่รู้เรื่องนี้ มีเงินก็เป็นทุกข์เพราะเงิน มีเกียรติก็เป็นทุกข์เพราะเกียรติ เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดถึง ยังไม่มีเงิน และยังไม่มีเกียรติ เพราะว่าแม้มีเงินแล้วก็ยังต้องเป็นทุกข์เพราะเงิน มีเกียรติก็ยังเป็นทุกข์เพราะเกียรติ มีอำนาจวาสนาก็เป็นทุกข์เพราะอำนาจวาสนา หรือสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดจะมารวมกันเชือดคอบุคคลนั้นด้วยซ้ำไป นี่ โดยส่วนตัวมันก็เบียดเบียนตัวเอง โดยส่วนผู้อื่นมันก็เบียดเบียนผู้อื่น นี่ ความเห็นแก่ตัวมันเป็นอย่างนี้ ฉะนั้นเรามาเรียนเรื่องนี้โดยเฉพาะในระหว่างบวช
ผมไม่ได้แนะนำว่าเรียน เอ่อ เรียนนวโกวาท เรื่องที่ปฏิบัติ เรื่องปฏิบัติต่อพ่อแม่ ต่อครูบาอาจารย์ ต่อเพื่อนฝูง อะไรอย่างไร ที่ปฏิบัตินั้นอ่านเอาโดยไม่ต้องบวชก็ได้ มันไม่ยาก แต่ถ้าเรื่องที่จะรู้จักสิ่งที่เรียกว่าจิตใจ หรือวิญญาณ และต้องการจะควบคุมมันให้ได้ ต้องเป็นเรื่องของการบวชโดยเฉพาะ ฉะนั้นเราจะต้องบวชเข้ามาเพื่อศึกษาสิ่งนี้ เพื่อรู้สิ่งนี้ ถ้าเวลามันน้อย มันก็ต้องมีหลักสูตรน้อย ๆ พอทันแก่เวลา ๒ เดือน ๓ เดือน ๔ เดือน แต่รวมความแล้วต้องเป็นเรื่องทำลายความยึดมั่นถือมั่น ถอนความยึดมั่นถือมั่น มันจึงจะได้ประโยชน์ อย่างที่เรียกว่าตรง ตรงจุดมุ่งหมาย ถูกต้อง
ทีนี้ในระหว่างนั้นเราก็ถือโอกาสปฏิบัติทุกอย่าง ที่จะปฏิบัติได้ จะทำอานาปานสติ หรือว่าจะทำการงานพร้อมกันไปในตัว ตลอดถึงการเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันนี่ก็ต้องการให้เป็นไปเพื่อบรรเทาความยึดมั่นถือมั่น หัดทำลายความเห็นแก่ตัวอยู่เรื่อย ฉะนั้นตลอดเวลาก็หัดทำประโยชน์ หัดเสียสละทำประโยชน์ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และไม่หวังเอาอะไรตอบแทน แม้แต่คำว่าขอบใจ เมื่อหัดอยู่อย่างนี้มันเป็นเรื่องทำลายความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น เมื่อเราก่อนบวชทำอะไรก็ทุกกระเบียดนิ้ว เพื่อตัวเองทั้งนั้น พอเราบวชหัดทำอะไรทุกกระเบียดนิ้วเพื่อความว่าง คือไม่ใช่เพื่อตัว ทีนี้พอเราจะทำเพื่อความว่างนี่ ประโยชน์มันไปได้แก่ศาสนา ไปได้แก่ผู้อื่น เราอย่ากล้าหวังที่ว่าจะได้แก่ตัว แม้แต่ชื่อเสียง ถ้าไปหวังจะได้ชื่อเสียง มันก็เป็นเรื่องเห็นแก่ตัวไปเสียอีก เลยไม่ได้ ไม่ได้ประโยชน์ ไม่ได้ ไม่ได้ผลสมตามที่มุ่งหวัง ถ้าจิตมันเผลอมันคิดไปทางเห็นแก่ตัว เช่น หวังชื่อเสียง หวังไอ้อย่างนี้ ก็ต้องลงโทษตัวเองกันเสียบ้างด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง เหมือนกับแสดงอาบัติอย่างนั้น เป็นเรื่องลงโทษตัวเองที่ทำผิดในทางวินัย ทีนี้ในทางธรรมะนี่ก็ลงโทษตัวเองด้วยการทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งให้เป็นที่ระลึกแก่การที่มัน มันเผลอ นี่เรียกว่าบวช เข้ามาเพื่อฝึกฝนในบทเรียนทำลายความเห็นแก่ตัว ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน จนกว่าจะสึก
เอ้า, ทีนี้ก็มาถึงเรื่องสึกที่ต้องการจะให้พูด ถ้าทุกคนที่บวชเข้าใจเรื่องการบวชดี จริง ตรง ถูกต้องนี่ ก็จะรู้เรื่องการสึกได้เองหละ จะรู้เรื่องการสึก หรือวิธีสึกที่ถูกต้องได้เอง แต่ถ้ามันยังโง่จนไม่รู้ว่าบวชนี้คืออย่างไรกันแน่ มันก็ไม่รู้ว่าสึกคืออะไรกันอีก ฉะนั้นจะต้องรู้ เอ่อ, สิ่งที่เรียกว่าบวชนั้นแหละ ให้ถูกต้อง ว่าเราปลีกตัว ปลีกเวลามาเพื่อศึกษาเรื่องนี้ สำหรับผู้บวชชั่วคราว กลับออกไปจะได้ใช้ความรู้อันนี้ เพื่อความสมบูรณ์แห่งความเป็นมนุษย์ ฉะนั้นก็ควรจะสึกไปเพื่อความสมบูรณ์แห่งความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่อย่างอื่น แต่ถ้าบวชไม่สึกกัน บวชไม่มีความมุ่งหมายที่จะสึกกัน มันก็กลายเป็นว่า บวชนี่เพื่อเดินเร็ว ๆ ไปสู่จุดหมายปลายทางของความเป็นมนุษย์ ถ้าเป็นฆราวาสมันก็เดินช้า ๆ มันหาบ มันคอน มันหิ้ว มันลาก มันจูง มันอะไรหลายอย่าง มันก็เดินช้า ๆ นี่เป็นกฎทั่วไป
แต่ว่ามันยังขึ้นอยู่กับไอ้สติปัญญา ความเฉลียวฉลาดของบุคคลผู้นั้นอีก ถ้านักบวชมันโง่ ชาวบ้านมันฉลาด ชาวบ้านอาจจะ ถึงกว่า ถึงก่อนเสียกว่า ก่อน กว่าก็ได้ ฉะนั้นมันจึงอยู่ที่ว่าใครยึดถือน้อย ใครยึดถือมาก ถ้ายึดถือมากมันก็รุงตุงนังอยู่นั่นแหละ ไปช้า ใครยึดถือน้อยก็ไปเร็ว ฉะนั้นฆราวาสแม้จะมีอะไรมาก มีเรื่องมาก มีอะไรมาก แต่เขารู้จักทำไม่ยึดถือแล้ว มันก็ไปเร็ว คือ มันเป็นการบวชอีกชนิดหนึ่งโดยไม่รู้สึกตัวอยู่ใน ในนั้นน่ะ มันอยู่ในเพศฆราวาส ถ้าเขาฝึกฝนจิตใจได้สูง มันก็เป็นการบวชอยู่ในนั้น เป็นการบวชที่แท้จริงอยู่ในนั้น นี่เรียกว่าบวชไม่สึกกัน
ทีนี้ถ้าบวชสึก ก็ขอให้เป็นอย่างว่า เรามาเรียนวิชาส่วนหนึ่งซึ่งมันยังขาดอยู่ เพื่อความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ แล้วก็กลับไปเพื่อจะใช้วิชานั้นเพื่อทำความเป็นมนุษย์ของเราให้สมบูรณ์ อย่างน้อยที่สุดก็ว่ามีเงินก็อย่าได้เป็น มีความทุกข์เพราะมีเงิน มีครอบครัว ก็อย่าได้เกิดความทุกข์ขึ้นเพราะความมีครอบครัว มีเกียรติยศ ชื่อเสียง อำนาจวาสนา ก็อย่าได้เกิดความทุกข์ขึ้นเพราะมีเกียรติยศ ชื่อเสียง อำนาจวาสนา มีลูกน้อง เอ่อ, คนใช้อยู่ใต้บังคับบัญชา ก็อย่าให้ต้องเป็นทุกข์เดือดร้อน เพราะคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชา ให้เราทำจิตใจถูกต้องอย่างเดียว ปัญหาเหล่านั้นมันก็ไม่เกิดขึ้น จึงหวังว่าบวชเข้ามาเพื่อจะศึกษาไอ้ของวิเศษอันนี้ เคล็ดลับอันนี้ของพระพุทธเจ้า เป็นเครื่องรางติดตัวไป ก็จะคุ้มครองป้องกันสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาเหล่านั้น คือ ธรรมะ คือ เครื่องรางสูงสุดของมนุษย์ เหมือนที่พูดถึงบ้างแล้วเมื่อวานนี้ว่า เครื่องรางที่ดีที่สุดคือสิ่งนี้ ไม่ต้องแขวนคอให้รุงรัง แต่มันแนบสนิทอยู่ในจิตในใจ เกิดขึ้นในจิตในใจ สามารถที่จะจัดการกับจิตใจนั่นแหละมันเป็นจิตใจที่ไม่มีความทุกข์ ไม่มีปัญหา ถ้าเราจะแขวนอะไรที่ให้ไอ้รุงรังอยู่ที่คอ มันก็ถูที่เนื้อที่คอ จัดการที่คอที่เนื้อที่คอให้รำคาญไปอีก
จงรู้จักใช้เครื่องรางของพระพุทธเจ้า คือ ธรรมะนี่ที่เรามาค้นพบในการบวช แม้ชั่ว ๓ เดือน ๔ เดือนนี้ ฝังแน่นอยู่ในใจ ติดเอาไปเป็นเครื่องคุ้มครองไม่ให้เกิดปัญหา ไม่ให้เกิดความทุกข์อะไรขึ้นมา นี่ เรียกว่าการสึกเป็นอย่างไรก็ลองคิดดู เข้ามาหาเครื่องรางวิเศษอันหนึ่ง สึกก็คือเอาเครื่องรางนั้นกลับ กลับออกไปใช้ นี่ความหมาย ความมุ่งหมาย หรือเจตนารมณ์มันอยู่อย่างนี้
ไม่เห็นจำเป็นอะไรที่จะต้องนิมนต์พระมาชยันโต รดน้ำกันเป็นโอ่งเป็นอ่าง ให้คนสึกนั้นเปียกหนาวสะท้านไปเลย นั่นไม่รู้ว่ามันได้อะไร แล้วมันก็น่าหัวเราะที่สุด ที่เอาชยันโตของพระพุทธเจ้าไปสวดให้คนแพ้ ชยันโตเป็นเรื่องชนะ เราไปสวดให้คนแพ้ เราต้องถือว่าไอ้คนสึกนี่ต้องเป็นคนแพ้ แม้จะไม่แพ้แก่กิเลสมันก็ แพ้แก่เหตุการณ์ หรือสิ่งแวดล้อมซึ่งทำให้ต้องสึก เราเอาชนะสิ่งแวดล้อมไม่ได้ เราก็ต้องสึก ก็ต้องถือว่าเป็นคนแพ้โดยปริยายเหมือนกัน พูดกันได้ง่าย ๆ ว่าถ้าต้องสึกก็คือ คือคนแพ้ ในปริยายใดปริยายหนึ่ง แพ้อย่างมีเกียรติ หรือไม่มีเกียรติ หรือว่าอย่างมีระเบียบ หรืออย่างไม่มีระเบียบก็ตามเถอะ มันต้องถือว่าเป็นคนแพ้
ส่วนบทชยันโตเป็นบทสรรเสริญชัยชนะของพระพุทธเจ้าผู้ชนะมาร เป็นบทสวดสำหรับชัยชนะ แล้วเอาไปสวดให้คนแพ้ คือคนสึก แล้วก็รดน้ำมนต์ในขณะที่สวดชยันโต แล้วเรียกนี้ว่าสึก ผมว่าบ้าเต็มที คือมันเรื่องทำพิธีไสยศาสตร์อะไรชนิดหนึ่งมากกว่า แล้วมันน่าหัวที่ว่าเอาเรื่องของคนชนะไปใส่ให้คนแพ้ ไปสรรเสริญคนแพ้ ไปยกย่องคนแพ้ อันนี้ไม่ใช่การสึก นี่ไม่ใช่เรื่องสึก เป็นพิธีของคนขี้ขลาด ของคนไม่รู้อะไรมากกว่า
ทีนี้ว่าสึกก็หมายความว่าเรามีพระเครื่องรางฝังแน่นอยู่ในใจติดกลับออกไป ไปเป็นฆราวาสที่สมบูรณ์ คือว่าจะให้แพ้น้อยเข้า จะให้แพ้น้อยเข้า แพ้น้อยเข้า จนไม่รู้จักแพ้อีกต่อไป หรือว่าถ้าทำได้จริง หรือชนะได้จริงในเมื่อบวชอยู่นี่ สึกออกไปมันก็ไม่แพ้ เพราะว่าจิตใจมันไม่ได้เปลี่ยน
อย่าเข้าใจว่าไอ้การสึกนี่เปลี่ยนกลับหน้ามือเป็นหลังมือ อีกครั้งหนึ่ง นั่นมันคนไม่รู้อะไรพูด เอ่อ, คนสึกนี้ คนที่เข้ามาหาอะไร หาเพชรหาพลอย หาของวิเศษแล้วเอากลับไปเต็มกระเป๋าเลย นั่น คนสึกที่ถูกต้อง สมกับที่เขาเรียกคนสึกนี้ว่าบัณฑิต คำว่าบัณฑิตเป็นภาษาบาลีใช้เรียกคนที่ศึกษา และปฏิบัติ คือ เทรนในสิ่งใดสิ่งหนึ่งตามหลักสูตรนั้นจบแล้ว เขาเรียกว่าบัณฑิต ทีนี้ไอ้คนหนุ่ม ๆ เข้าไปอยู่ในอาศรม เรียน และเทรนอะไรต่าง ๆ จนเป็นที่พอใจของอาจารย์ผู้เป็นหัวหน้าแล้ว ก็เขาเรียกว่าบัณฑิต ทีนี้ก็ส่งแกกลับไป ไป ไปเผชิญโลก ไปทำอะไรตามหน้าที่ของแก นี่เรียกว่าเป็นบัณฑิต
บัณฑิต ในวิชา เอ่อ, ที่เกี่ยวกับความมีชีวิตอย่างถูกต้อง ปริญญาอย่างนี้ในโลกมีไหมเดี๋ยวนี้ คุณไปค้นดู บัณฑิตแห่งวิชาความมีชีวิตเป็นมนุษย์อย่างถูกต้อง อย่างผู้มีชัยชนะ คือไม่มีความทุกข์ เขาเรียกบัณฑิต ทีนี้คนไทยเราก็รับวัฒนธรรมอินเดีย แบบนี้ คืออแบบว่า เข้าไปบวชในอาศรมครั้งคราวหนึ่งแล้วก็เสร็จแล้วก็มา ออกมาเป็นบัณฑิต กลับออกมาเพื่อเผชิญโลก ทีนี้ทิด ผู้บวชแล้วสึกใหม่นี่เขาเรียกว่าบัณฑิต ตามแบบโบราณนั้นเลย ในอินเดีย ทีนี้มันน่าขันตรงที่ว่า ไอ้ภาษาไทยไม่ออกเสียงบัณฑิต ไปออกเสียง บัน-ทิด ฑ นางมนโฑ ออกเสียงเป็น ท เขาเรียกว่า บัน-ทิด มันกลายเป็น บัน-ทิด เข้ามาแล้ว ทีนี้มันหนักเข้าเลยขี้เกียจพูดสองพยางค์ บัน ทิ้งเสียเหลือแต่ทิต นี้ต่อมามันเลวกว่านั้นอีก ก็คือว่าไอ้คน ไอ้ที่สึกออกมานี่มันโง่ เพราะมันไม่บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริงอันนี้ ไอ้ทิต ที่ ต เต่าสะกดกลายเป็นทิด ที่ ด เด็กสะกด เป็นทิดสำหรับล้อเลียน เป็นทิดที่งุ่มง่าม เลยเรียกพี่ทิดเป็นคำล้อไปเลย
คุณอย่าสึกแบบนั้นเป็นอันขาด อย่าสึกออกไปเป็นพี่ทิด พี่ที นกถึดทือมันร้อง พี่ทิด พี่ที อย่างเมืองใต้นี่เขา เรียกว่ามันเป็นเรื่องน่าละอายที่สุด ฉะนั้นขอให้สึกอย่างถูกต้องคือว่าเป็น บัณฑิต ผู้จบวิชาความรู้เกี่ยวกับความมีชีวิต ของความเป็นมนุษย์อย่างถูกต้อง และกลับออกไป นี่สึกออกไปเป็นบัณฑิต ออกไป พาปริญญานี้ซึ่งไม่มีใครแต่งตั้ง มันจะต้องแต่งตั้งด้วยตัวมันเอง คือบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริงมันก็มีมาเอง บวชเหลว เรียนเหลว อะไรเหลว ๆ มันก็ไม่ได้เลย มันก็ไม่มีปริญญาติดไปเลย ฉะนั้นอย่ามามัวอวดดีกันอยู่ในวัด ในการบวชนี้ ต้องตั้งอกตั้งใจทำให้มันเป็นเรื่องบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง แล้วมันก็ได้ปริญญานี้ออกไป นี่คือการสึก
ที่นี้มันก็มีเรื่องเกี่ยวกับภาษา ความโง่เกี่ยวกับภาษา เมื่อลาสึก หรือ สึก หรือ ลาสึกนี่ พวกชาวบ้านเขาได้ยินว่าสึกกัน ทีนี้ความหมายเขาถือเอาว่าสึกเลย เพราะมันสึกหรอ มันพ่ายแพ้แก่การประพฤติพรหมจรรย์ และมันสึกหรอ มันกลับออกไปเป็นฆราวาส สู่ความต่ำอีก เรียกว่าลาสึกมันกลายเป็นสึกหรอ อย่างนี้มันไม่ถูก ไอ้คำว่าลาสึกในที่นี้ไม่ใช่หมายถึงตัวสึก ส เสือ สระ อึ ก สะกด มันเป็นการออกเสียงคำว่าศึกษาในภาษาไทย ซึ่งมาจากสิกขาในภาษาบาลี ไอ้ลานี่ เรียกว่าลาสิกขา คือ คืนสิกขาอย่างภิกษุเสีย ไปรับสิกขาอย่างฆราวาส ทีนี้สิกขานี้ ในภาษาไทยเราออกเสียง ตามสันสกฤต เป็นศึกษา เช่น กระทรวงศึกษาธิการ คำว่า ศึกษา ลาศึกษา ลาการศึกษา ทีนี้แทนที่จะเรียกว่าลาสิกขา หรือว่าลาศึกษา มันเหลือแต่ลาสึก นี่หูของคนฟังป็นลาสึก ชนิดสึกหรอ แล้วส่วนมากมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ
บรรดาคนที่บวชแล้วสึกออกไปเป็นรูปสึกหรอเสียอีก ไม่ใช่เพียงแต่เปลี่ยนสิกขาอย่างฆราวาส จากของภิกษุไปเป็นสิกขาของฆราวาส ฉะนั้นขอให้ถือว่าส่วนระเบียบปฏิบัตินั้น เดี๋ยวนี้เราไม่ต้องปฏิบัติอย่างภิกษุ เราปฏิบัติอย่างฆราวาส แต่ว่าในจิตใจนั้นยังสูงเท่าเดิม คือมีความมุ่งหมายอย่างไร ปฏิบัติอย่างไร ไม่ยึดมั่นถือมั่นเท่าไร ต้องรักษาไว้ตามเดิม เพียงแต่ระบบการกินอยู่ เป็นอยู่ประจำวันนี่เปลี่ยนเป็นอย่างฆราวาส ไม่ได้เป็นอย่างภิกษุ นี่แปลว่ามันเปลี่ยนเท่านี้ ฉะนั้นมันไม่ใช่สึกหรอ เมื่อลาสิกขานี่ ไม่ใช่ ไม่ใช่บอกคืนศาสนา ไม่ได้บอกคืนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่ขอเตือนหน่อยว่าเมื่อถึงนาทีที่คุณจะเปลื้องผ้าเหลือง หรือว่า ไปลาสิกขานั้น ในใจต้องให้มันแน่นอนนะว่าไม่ได้ คืนศาสนา ไม่ได้คืนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คืนแต่ระเบียบปฏิบัติอย่างภิกษุ เพื่อไปรับระเบียบปฏิบัติอย่างฆราวาส ทีนี้จะไปเข้าใจกันว่าคืนหมดตอนนั้น แล้วตั้งตนกันใหม่อย่างฆราวาส เราไม่คืนหมด ไม่คืนศาสนา ไม่คืนพระรัตนตรัย ไม่คืนอะไร คืนแต่ระเบียบปฏิบัติอย่างปาฏิโมกข์ ๒๒๗ ข้อ จะไปรับปฏิบัติอย่างศีลของฆราวาสเท่านั้นเอง ในเวลานั้นต้องมีความรู้สึกอย่างนั้น ถ้าไม่เช่นนั้นจะเคว้งคว้าง จะเป็นผู้ว่างจากศาสนา ว่างจาก พระรัตนตรัยไประยะหนึ่งทีเดียว กว่าจะได้รับกันใหม่ ทีนี้คำว่าลาสิก เอ่อ, ลาสิกขา หรือว่าลาสึกนี่ มันเกี่ยวเนื่องกันอยู่กับระเบียบพิธีก็มาก ผิดก็มี ถูกก็มีแล้ว แล้วมันยังเกี่ยวกับจิตใจโดยตรงก็มี แล้วมันยังเกี่ยวกับความมุ่งหมายอันกว้างขวางอะไรก็มี ที่เกี่ยวกับระเบียบปฏิบัติเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่ เราก็ทำตามธรรมเนียม ตามประเพณีให้รู้ว่าเดี๋ยวนี้เราลาสิกขาอย่างภิกษุแล้ว ที่เกี่ยวกับประเพณีรีตรองอะไรบ้างก็ทำแต่พอที่มันไม่น่าหัว ทำพอเหมาะสม ทีนี้เกี่ยวกับจิตใจนั้นก็อย่าลากคืนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่าลากคืนศาสนา
ทีนี้เกี่ยวกับความมุ่งหมายทั่วไปนั้น ก็หมายความว่าเราเข้ามาหาเพชรพลอยอันวิเศษ มีค่ามากติดตัวออกไป หรือว่าเราเข้ามาหาเครื่องรางอันสูงสุด อันวิเศษแล้วติดตัวออกไป ไปเป็นทรัพย์สมบัติบ้าง ไปเป็นเครื่องคุ้มครองบ้าง เพื่อความมี มีความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ที่ถูกต้อง ถึงที่สุด นี้คือการสึก มันก็เลยไม่ใช่เรื่องเสียหาย ไม่ใช่เรื่องถอยหลัง ไม่ใช่เรื่องที่ต้องละอายหรือน่าเศร้า มันกลายเป็นเรื่องที่ไปทำอะไร อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่ยังขาดอยู่ให้มันเต็ม
ฉะนั้นขอให้มี เอ่อ, ความเข้าใจอย่างนี้ ในความหมายคำว่าลา เอ่อ, ลาสิกขา หรือลาสึก ซึ่งมันคู่กันได้กับการบวช การบวชเข้ามาหาเพชรพลอย การสึกก็พาเพชรพลอยกลับออกไป การบวชเข้ามาหาเครื่องราง การสึกก็พาเครื่องรางกลับออกไป ไม่เห็นว่ามันมีอะไรที่จะต้องเสียหาย หรือถอยหน้าถอยหลัง มันยังคงก้าวหน้าอยู่เรื่อย ก็นับว่าได้อานิสงค์มากที่สุด ในการที่ได้บวชนี่ ตัวเองก็ได้ ญาติโยมก็ได้ ศาสนาก็ได้ เพื่อนมนุษย์ก็ได้ อะไรก็ได้ พลอยได้กันไปหมด เป็นการสืบอายุพระศาสนาไว้ด้วย
เป็นพุทธบริษัทที่ดี เป็นพุทธบริษัทอย่างบรรพชิตไม่ได้ ก็ไปเป็นพุทธบริษัทที่ดีอย่างฆราวาสต่อไป ฉะนั้นมันต้องเป็นเรื่องที่น่าชื่นใจไปทั้งหมด ทั้งสิ้น ทุกสิ่งทุกอย่างในการที่ได้เข้ามาบวช เอ่อ, ชั่วคราวแล้วกลับออกไปนี้
เอ้า, ทีนี้ก็อยากจะพูดเลย ๆ ไปเรื่อย ต่อไปเรื่อย ถึงข้อที่ว่า เมื่อได้บวชอย่างนี้แล้ว ก็ขอให้กล้ารับผิดชอบเต็มที่ เมื่อได้เป็นผู้บวชแล้วอย่างนี้ ต่อไปนี้ ขอให้เป็นผู้กล้ารับผิดชอบเต็มที่ รับผิดชอบทุกอย่างที่จะต้องรับผิดชอบ ไม่ต้องปัด ไม่ต้องแก้ตัว แล้วบางทีก็ไม่ต้องง้อ ขออภัย เพราะว่าเรามารับผิดชอบเต็มที่
เมื่อเรายังไม่ได้บวช เขาให้อภัย ทำอะไรผิดพลาด เขายังให้อภัยว่าไอ้คนนี้มันยังดิบ มันยังไม่ได้บวช มันทำอะไรผิด ๆ พลาด ๆ ไปบ้างก็อย่าไปถือมันเลย ทีนี้เมื่อบวชแล้ว จะไม่ให้อภัย ถ้ามันทำอะไรผิด ต้องชี้หน้าด่ามัน ว่ามันเสียทีที่ได้บวชแล้ว นี่คือข้อที่เราจะต้องรับผิดชอบ ทำอะไรทุก ๆ อย่างให้มันสมกับการที่ได้เป็นผู้บวชแล้ว อย่าปฏิเสธ อย่าเบี่ยงบ่าย อย่าแก้ตัว อะไรที่มันเป็นความรับผิดชอบของผู้ที่บวชแล้ว ต้องรับเอาหมด ฉะนั้นต้องทำทุกอย่างให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ต้องศึกษาทำให้ได้เพิ่มเติมให้มันทำได้
ตลอดกระทั่งพิธีรีตรองเกี่ยวกับทางศาสนา ที่อุบาสกที่ดีจะต้องทำได้ เราก็ต้องทำได้ แล้วเราก็จะได้ช่วยเหลือเพื่อนฝูงต่อไป แล้วเราก็จะได้สั่งสอนลูกหลานของเราต่อไปในการที่จะบวชให้ดี บวชให้ถูกต้อง บวชให้ได้ประโยชน์ อย่าต้องเอาชาวบ้านโง่ ๆ ชาวนาโง่ ๆ มาสอนอะไรงุ่มง่ามไปหมดในเวลาที่จะบวช ซึ่งเชื่อว่าคุณบางคนก็จะต้องประสบมา
เพราะมันเหลวไหลกันหมด ไม่เห็นเรื่องนี้สำคัญ ไปตกเป็นหน้าที่ของไอ้คนที่ไม่มีการศึกษามาช่วยสอน ช่วยแนะ ในเรื่องจะบวช จะต้องทำอย่างนั้น จะต้องกราบอย่างนี้ จะต้องว่าอย่างนั้น จะต้องว่าอย่างนี้ มันน่าขายหน้า นี่เราทำเสียให้เป็น รู้ความมุ่งหมายการบวชดี รู้วิธีการปฏิบัติดี
พอลูกหลานจะบวช เรานี่จะสอน จะควบคุม จนกระทั่งเขาบวชเสร็จ ไม่ต้องไปเอาชาวบ้านโง่ ๆ มาช่วยสอนลูกสอนหลานของเราเมื่อบวช สอนก็สอนไม่ถูก เพราะคนเหล่านั้นก็ไม่รู้ว่าบวชทำไม มีความมุ่งหมายอย่างไร เขาไม่รู้ เดี๋ยวนี้เรารู้ มีความมุ่งหมายอย่างไร เพื่ออะไรเราก็สอนไปตั้งแต่บ้านเลย ถ้ามันเกิดพอใจในการบวชแล้วมันก็มีความเอาจริงเอาจังในการบวช พิธีรีตองต่าง ๆ เราช่วยควบคุมให้มันถูกต้องตามเหตุผล ไม่มีงมงาย ทีนี้ก็ยังช่วยคนอื่นได้ ทีนี้ช่วยเพื่อนฝูง ช่วยชาวบ้านก็ได้ ช่วยสังคมก็ได้ มันก็เป็นคนมีประโยชน์แก่สังคม มันก็เรียกว่าได้กำไร นี่พูดกันอย่างชาวโลกก็เรียกว่าได้กำไร ทีนี้เมื่อเป็นเรื่องที่ว่า เอ่อ, ต้องรับผิดชอบ ในการที่ได้บวชแล้ว ต้องทำอะไรได้ สมกับที่เป็นผู้บวชแล้ว แล้วก็ต้องรับผิดชอบที่ว่าต่อไปนี้ ถ้าทำผิดก็ยอมให้ด่า ก็ไม่ต้องให้ใครให้อภัยเรา เพราะเราบวชแล้ว เขาก็คงไม่ใช้อภัยด้วย
ทีนี้เกี่ยวกับส่วนตัวอีกก็ เอาละยอมว่าตั้งต้นกันใหม่ ไอ้ความผิดพลาดแต่หนหลังเลิกกันเลย ลบกระดานดำ ล้มกระดานชนวนทิ้งไป ตั้งต้นนับหนึ่งไปใหม่ ต่อไปนี้อย่าผิดพลาด นับแต่นาทีที่คุณสึกออกไปนี่ เป็นจุดตั้งต้น ศูนย์ แล้วก็หนึ่ง สอง สามเรื่อยไป มีแต่บวกไม่มีลบ คือมีถูกเรื่อย อย่าไปวกกลับผิด อย่างวันที่ทำมาแล้วแต่หนหลัง แล้วก็แก้ตัวอย่างนั้นอย่างนี้ เรื่องกินเหล้าเมายา เรื่องอบายมุข เรื่องอะไรต่าง ๆ นั้น อย่าได้มีอีก ให้เป็นการตั้งต้นนับหนึ่งไปใหม่ แต่ในทางดี ทางบวก ที่แล้วมาให้อภัย แม้จะได้ทำอะไรผิดพลาดไปมาก ๆ ก็ยกเลิกกัน ให้อภัยได้ พระพุทธเจ้าท่านให้อภัยแก่ผู้ที่กลับใจตั้งต้นใหม่
ทีนี้มันเป็นจุดอันหนึ่งที่ว่าเราจะถือเอาจุดนี้เป็นจุดตั้งต้นใหม่ นับหนึ่งไปใหม่ ให้มีแต่ฝ่ายบวก คือถูกแล้วก็ ดี ให้สำเร็จประโยชน์ในความเป็นมนุษย์ที่ว่า เป็นมนุษย์จะต้องได้อะไรบ้าง เราต้องได้สิ่งนั้นไม่อย่างนั้นก็อย่าถือว่าตัวเองเป็นมนุษย์ ในทางฝ่ายวัตถุ ดูเหมือนเขาจะวางมาตรฐานกันไว้ว่ามนุษย์คนหนึ่ง ๆ นี้จะต้องมีทรัพย์สมบัติ เท่าที่ควรจะมี จะต้องมีเกียรติยศชื่อเสียงเท่าที่ควรจะมี จะต้องมีสังคม สมาคมมิตรสหายที่ดีพร้อมหน้าเท่าที่ควรจะมี
ในตำราเรียนของเราก็คงจะมีว่าทรัพย์ ยศ และไมตรี มีทรัพย์ คือทรัพย์สมบัติ มียศ คือมีเกียรติ มีไมตรี คือมีคนรัก มีมิตรสหายที่หวังดี มีคนรักเท่าที่ควรจะมี มีทรัพย์ มีเกียรติ มีไมตรี นี่ก็เป็นเครื่องวัดในส่วนวัตถุ ทางฝ่ายวัตถุ จะต้องมีให้ได้ในทางฝ่ายวัตถุ ถ้าไม่มีก็ถือว่ายังสอบไล่ไม่ได้ ยังเป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์ในทางฝ่ายวัตถุ
ทีนี้ทางฝ่ายวิญญาณ ฝ่ายนามธรรรมนั้นมันไปไกลกว่านั้น มันสูงกว่านั้น คือต้องมีภูมิของจิตใจสูง อยู่เหนือความครอบงำของความทุกข์ กิเลสและความทุกข์ครอบงำได้ยาก จึงจะเรียกว่าเป็นเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ในทางวิญญาณ ในทางฝ่ายด้านจิตใจ ก็เล็งถึงการบรรลุมรรคผลขั้นใดขั้นหนึ่ง หรือกระทั่งถึงขั้นสุงสุด
แต่ผมอยากจะแนะให้ เอ่อ, ให้ ให้จำง่าย ให้ ให้ยึดถือกันได้เป็นวงกว้างทั่วโลกว่า ไอ้หลักสัจธรรมสากลจริยธรรมสากล ใช้ได้เพราะว่ามนุษย์ที่ได้สิ่งที่ดีที่สุดนั่น ก็คือ จริยธรรมสากล ๔ อย่าง อย่างที่เราพูดกันเมื่อวานแล้ว ความเต็มแห่งความเป็นมนุษย์ ความสุขทางจิตใจที่แท้จริง ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ เพื่อมีความรักสากล ไม่มีกู มีสู ไม่มีเรามีเขา ใครมีจิตใจอย่างนี้เรียกว่ามีจิตใจสูง มีความเป็นมนุษย์เต็มเปี่ยม ในทางฝ่ายจิต หรือ ฝ่ายวิญญาณ
ในทางฝ่ายวัตถุก็มีอย่างว่า มีทรัพย์ มียศ มีไมตรี ทางฝ่ายวิญญาณก็มีความเต็มเปี่ยมของความเป็นมนุษย์ มีความสุขที่แท้จริง มีการทำหน้าที่ เอ่อ, เพื่อหน้าที่ของ ของธรรมชาติ ไม่ใช่เพื่อตัวกู ของกู แล้วก็รักสิ่งที่มีชีวิตเสมอกันหมด ใจสูง เป็นมนุษย์เป็นได้ที่ใจสูง ในด้านจิตใจเป็นอย่างนี้ นี่ก็เป็นข้อวัด ข้อทดสอบว่าเราเป็นมนุษย์เต็มรึยัง สึกออกไปนี่มันก็ต้องเผชิญกับบทเรียนนี้ หน้าที่อันนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราสอบไล่ได้แล้วมันก็หมดภาระ หมดปัญหา เดี๋ยวนี้ก็ยังสอบไล่ไม่ได้ มันยังเผชิญกันกับภาระ หรือปัญหา ฉะนั้นคุณต้องไปเผชิญภาระอันนี้ ปัญหาอันนี้ ด้วยจิตใจ ที่เป็นนักเลง เป็นนักกีฬา ทางฝ่ายวัตถุก็ให้เต็มด้วยให้ทรัพย์ ยศ ไมตรี ทางฝ่ายวิญญาณให้เต็มด้วย ไอ้ความ ความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องเต็มเปี่ยม มีความสุข มีจิตใจบริสุทธิ์ สะอาด ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ มีความรักสากล
นี่เป็นหลักสูตร เป็นหลักสูตรมาตรฐาน สำหรับความเป็นมนุษย์ ทีนี้คุณก็จะคำนวณได้เองว่า แหมมันก็มากอยู่ ถ้าเราไม่ได้เข้ามาบวช บางทีเราจะไม่ได้ทราบเรื่องนี้ หรือแม้ทราบเรื่องนี้เราก็จะไม่เหลือวิสัยที่จะทำให้มันมีขึ้นมาได้ แต่ถ้าเราเข้ามาบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ก็ได้รับสติปัญญาของพระพุทธเจ้าไป เอาไปใช้เครื่องมือ ทำไอ้สิ่งเหล่านี้ให้เต็มได้โดยไม่ยากเลย แล้วจะกลายเป็นของสนุกไปด้วย ขอให้บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง เพื่อรับเอาสติปัญญาของพระพุทธเจ้าติดตัวไป เป็นเพชรพลอยอันวิเศษ เป็นเครื่องรางอันวิเศษ เป็นเครื่องมืออันวิเศษ ออกไปเป็นพุทธบริษัทที่ดีในโลกนี้ แล้วอะไรก็จะเต็มเปี่ยมเอง
ผมพูดคำเดียวว่าเป็นพุทธบริษัทที่ดีให้ได้ ปัญหาหมดทั้งโลก เป็นพุทธบริษัทที่ดีแล้วมันก็เป็นพลเมืองที่ดี เป็นข้าราชการที่ดี เป็นศิษย์ที่ดี เป็นลูกที่ดี เป็นหลานที่ดี เป็นที่ที่ดีหมดเลย เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา น่าชื่นใจ เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นผัวที่ดีของเมีย เป็นเมียที่ดีของผัวอะไรก็แล้วแต่จะ จะ จะ จะมอง กระทั่งว่าเป็นพุทธบริษัท ที่พระพุทธเจ้าท่านประสงค์
ถ้าทุกคนเป็นกันอย่างนี้ทั้งประเทศ ประเทศของเราก็เป็นโลกพระศรีอารย์ ถ้าทั้งโลกเป็นกันอย่างนี้ ทั้งโลกก็เป็นโลกพระศรีอารย์ ขอให้ไปดูให้ดีว่า วิชาความรู้ การศึกษาที่โลกกำลังจัด กำลังมีกันอยู่นี้ มันพร่องอยู่ในส่วนนี้ ทำโลกให้เต็มไปด้วยสงคราม เมื่อมีสงครามก็ทำให้โลกนี้เต็มไปด้วยพวกฮิปปี้ มากขึ้นทุกที มากขึ้นทุกที ความกดดันของศีลธรรม พร้อมกับความกดดันของไอ้ความรู้ที่เรียนมาอย่างท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ช่วยกันผสมโรงบีบคั้นจิตใจของมนุษย์ หาทางออกได้ด้วยการกระทำอย่างฮิปปี้ คือกูเป็นอิสระแล้ว นี่มันทำโลกให้เต็มไปด้วยฮิปปี้อย่างนี้
ปรัชญาของการศึกษาในยุคปัจจุบันนี้ ช่วยโลกไม่ได้ นี่ทำโลกให้เต็มไปด้วยสงคราม หรือฮิปปี้ สองอย่าง เพราะว่าเดี๋ยวนี้สิ่งที่เขาปรารถนาบูชากันอย่างยิ่ง ก็คือความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนัง และอีกอันหนึ่ง ก็คือวัตถุปัจจัยที่จะให้ชนะสงคราม คุณไปพิจารณาดู จริงไม่จริง เพราะสิ่งที่มนุษย์ใฝ่ฝันบูชา เทิดทูน หวังกันอย่างยิ่ง อันแรกคือความสุขทางเนื้อหนัง ความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนัง ไม่มีขอบเขต เรื่องกินดีอยู่ดีตามภาษาคนปัจจุบันนั้น คือ ความสุขทางเนื้อหนัง ทีนี้กลัวว่าจะไม่ได้ความสุขทางเนื้อหนัง ทีนี้กลัวว่าจะมีใครมาแย่งเอาไป มันก็นึกถึงการต่อสู้ คือสงคราม
ฉะนั้นวัตถุปัจจัยอันใดก็ตามที่จะให้ชนะสงครามได้นั่นน่ะ คือสิ่งที่เขาต้องการที่สุด เป็นวิชาความรู้ในทางเศรษฐศาสตร์ ในทางการทหาร การเศรษฐกิจ การเมือง การอะไรก็ตาม ที่มันจะเป็นวัตถุปัจจัยที่จะชนะสงครามนั้นน่ะ เขาบูชากันที่สุด ยิ่งกว่าบูชาพระเจ้า ยิ่งกว่าบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วแต่ว่าเขาจะนับถืออะไร
พวกที่มันนับถือพระเจ้าก็บูชาสิ่งนี้ยิ่งกว่าพระเจ้า พวกที่นับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็บูชาสิ่งนี้ยิ่งกว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณระวังให้ดี อย่าไปเป็นสมาชิกในกลุ่มนั้นเข้า เพราะสิ่งที่เขาบูชากันก็มีอยู่สองอย่าง คือ ความเอร็ดอร่อย หรือความสุขทางเนื้อหนัง คือรสของวัตถุนิยม แล้วก็วัตถุปัจจัยชนะสงคราม คือ เครื่องมือที่จะได้มาซึ่งความสุขทางเนื้อหนัง หรือรักษาไว้ได้ซึ่งความสุขทางเนื้อหนัง ทีนี้ไอ้พวกนายทุนมันก็ต้องการความสุขทางเนื้อหนัง พวกกรรมกรมันก็ต้องการความสุขทางเนื้อหนัง แล้วโลกจะยุติสงครามได้อย่างไร ก็ต้องบูชา วัต เอ่อ, วัตถุหรือความสุขทางเนื้อหนังเป็นพระเจ้า แล้วก็บูชาวัตถุปัจจัยที่ทำลายล้างกันนั่นแหละเป็นพระเจ้าคู่กันไปเลย
นี่เรียกว่าการศึกษาส่วนใหญ่ของโลกมีมากมายล้นเหลือ แล้วมันยังแหว่งเว้าอยู่ในส่วนนี้ ส่วนที่ทำให้มนุษย์รู้จักทำลายความเห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้เราสอน เราอบรมลูกหลานให้ ให้เห็นแก่ตัวยิ่งขึ้น แล้วก็โดยไม่รู้สึกตัว โดยไม่รู้สึกตัวทั้งผู้สอนและผู้เรียน ครูบาอาจารย์ หรือหลักสูตรการสอนมันก็ว่า เพื่อเป็นสุภาพบุรุษที่ดี เพื่อไม่เห็นแก่ตัว แต่ไอ้ที่ปฏิบัติจริงมันล้วนแต่เพื่อเห็นแก่ตัว เพราะเราสอนเขาให้มุ่งหมาย ไอ้ ไอ้ความเอร็ดอร่อยทางวัตถุ ทางเนื้อหนังนี่แหละ เป็นวัตถุที่ประสงค์ เขาสอนเด็ก ๆ ให้เมาในลาภ ยศ อำนาจ วาสนา ความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนังที่ไม่มีขีดสุด สอนเขาให้ยินดีในการที่จะฆ่าฟันผู้อื่น ถึงเราไม่สอนเขา เขาก็ต้องฆ่าฟันผู้อื่น เพราะว่าเขาบูชา ไอ้ความสุขทางเนื้อหนัง ฉะนั้นเด็ก ๆ ไอ้วัยรุ่นที่เป็นปัญหานี่เพราะเขามีความบูชาความสุขทางเนื้อหนังอย่างเดียวเท่านั้น พอแล้ว ทีนี้หลังจากนั้นเขาก็ไปขว้างระเบิดขวด หรือทำอะไรก็ได้ทุกอย่างแหละ ไม่ต้อง ไม่ต้องสอน มันกด กดดันของมันไปเอง นี้เขาก็พอใจที่จะฆ่าผู้อื่น เพื่อรักษาไว้ซึ่งประโยชน์ทางเนื้อหนัง ที่เป็นส่วนใหญ่ของประเทศชาติมันก็เป็นไปอย่างนี้
ไอ้สิ่งที่ส่งเสริมให้เกิดความเห็นแก่ตัวทุกชนิด ใช้ไม่ได้ แต่เรากลับเอามาใช้มากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น ให้ลุ่มหลงในความสวย ความงาม ความเอร็ดอร่อย ความมีหน้ามีตา ความอะไรโดยไม่ต้องคำนึงว่าอะไรผิดอะไรถูก ผมยกตัวอย่างให้ฟังบ่อย ๆ เช่นว่า มหาวิทยาลัย สองมหาวิทยาลัยไปแข่งขันกันก็มีกองเชียร์ ไปตั้งไว้เพื่อเชียร์ นั่นน่ะคือการเพิ่มความเห็นแก่ตัว กองเชียร์นี่ คือบทเรียนเพิ่มความเห็นแก่ตัว เห็นแต่พวกกูเท่านั้นน่ะ
ถ้าอยากมีกองเชียร์ก็ไม่ได้เรียนเรื่องความเห็นแก่ตัวข้อนี้ มันก็ยัง ยังดีอยู่ ยังดีกว่าที่จะมีขึ้นมา ที่นี้ให้เด็กไปนั่งเชียร์นั่นก็คือ สอนหรือเพิ่มความเห็นแก่ตัว นี่คือความผิดพลาดที่ไม่รู้สึกตัวว่าสอนคนให้เห็นแก่ตัวโดยไม่รู้สึกตัวอย่างไร นี่มันเป็นกันทั้งโลก ไอ้การแข่งขันกีฬา มันไม่ ไม่ ไม่มีเจตนารมณ์เป็นกีฬา เป็นการเอาชนะเพื่อเห็นแก่ตัวมากขึ้น มากขึ้น มากขึ้นไม่บริสุทธิ์ ไม่เป็นกีฬาบริสุทธิ์ ฉะนั้นยิ่งเล่นกีฬาก็ยิ่งเห็นแก่ตัว ผิดความมุ่งหมายของการเล่นกีฬา หาวิธีคดโกงต่าง ๆ นานา ที่จะเอาชนะให้ได้ตามสติปัญญา ที่มันมีมากขึ้น
ทีนี้การเล่นกีฬาเป็นอย่างไร การเล่นการเมืองก็เป็นอย่างนั้น มันจึงมีแต่วจีทุจริต กายทุจริต มโนทุจริต เต็มอัดอยู่ในใจเรื่อยไปตลอดเวลาที่เล่นการเมือง เป็นนักการเมือง ปฏิบัติหน้าที่การเมือง ไม่มีการผ่อนสัน เอ่อ, ผ่อนผัน สั้นยาว ไม่มีการเห็นแก่ประเทศชาติ จะเห็นแต่แก่พรรคการเมืองของตัวเท่านั้น ผมท้าให้ไปดูประเทศไหนที่ว่านำหน้า เอ่อ, ในวิชาการเมืองหรือประชาธิปไตย ประเทศนั้นก็ยิ่งมีระบบการเมืองที่ล้วนแต่เห็นแก่พรรคของตัวเท่านั้น ไม่ได้เห็นแก่ประเทศชาติ ให้พรรคของตัวชนะขึ้นมาได้แล้ว ด้วยวิธีทุจริตก็เอา หรือจะเสียหายแก่ประเทศชาติก็จะยังเอา ให้พรรคของตัวชนะเข้ามาแล้วกัน นี่ทุกอย่างมันเป็นไปเพื่อส่งเสริมเพิ่มพูนความเห็นแก่ตัวไปหมด ฉะนั้นโลกมันก็ไปไม่รอด ก็ทรุดหนักลงทุกที
เว้นไว้แต่เมื่อไหร่จะไปเอาส่วนที่มันยังขาดอยู่ แหว่งเว้าอยู่นั่นมาใส่ให้เต็ม คือเรื่องของทางพระเจ้า เรื่องของทางศาสนา ซึ่งจะเป็นศาสนาไหนก็ได้ ทุกศาสนามันล้วนแต่สอนความไม่เห็นแก่ตัว สอนให้ทำลายความเห็นแก่ตัวทุกศาสนาเลย พระเจ้าทุกองค์ก็สอนให้ทำลายความเห็นแก่ตัว ถ้าเป็นพระเจ้าแท้ ไม่ใช่พระเจ้าเก๊ ถ้าพระเจ้านแท้ทั้งนั้น มีเก๊ไม่ได้ ถ้าเก๊ มันก็ไม่ใช่พระเจ้า ทีนี้คนไปเข้าใจผิด ถือเอาพระเจ้าผิด เลยได้ ได้พระเจ้าเก๊มา เห็นพระเจ้า เห็นแก่ตัว เห็นพระเจ้าเป็นผู้เห็นแก่ตัว มีโลภ มีโกรธ มีหลง เหมือนคนธรรมดา อย่างนี้ไม่ใช่พระเจ้าแท้ มันพระเจ้าเก๊ เขาถือศาสนาผิด เรียนศาสนาผิดได้พระเจ้าเก๊มา อย่างนี้อย่าไปพูดถึง พระเจ้าอย่างนี้ไม่พูดถึง พระเจ้าที่ถูกต้อง จะต้องยุติธรรม ต้องตรงไปตรงมา แล้วก็ต้องการความไม่เห็นแก่ตัวของสิ่งทั้งปวง ของสัตว์ทั้งปวง
ศาสนาทุกศาสนา เรามุ่งหมายอย่างนี้ จะเป็นศาสนาเล็ก ศาสนาใหญ่ ศาสนาอะไรก็ตาม มันเพียงแต่ผิดกันในส่วนเปลือกนอก คือ วิธีการที่จะไม่เห็นแก่ตัว ถ้าศาสนาไหนถือเอา เอาปัญญาเป็นหลักก็สอนให้ใช้ปัญญาพิจารณาพื่อไม่เห็นแก่ตัว ถ้าศาสนาไหนเอาความเชื่อเป็นหลักก็ให้ระดมหนักไปทางความเชื่อพระเจ้า แล้วไม่เห็นแก่ตัว แต่เห็นแก่พระเจ้า นี้เป็นต้น จะใช้ความเชื่อเป็นเครื่องมือ หรือใช้ปัญญาเป็นเครื่องมือ ผลมันก็คือความไม่เห็นแก่ตัวนั้น ถ้าลงไม่เห็นแก่ตัวแล้ว มันถูกหมดไม่มีงมงายเลย และไม่เป็นอันตรายแก่ใครด้วย กิเลสเป็นเหตุให้เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัวก็หมายความว่าไม่มีกิเลส
ฉะนั้นเรามารู้กันสักทีว่า เราจะช่วยกันสร้างโลกให้น่าอยู่ได้ด้วยอาศัยสิ่งที่วิเศษที่สุดที่เราอุตส่าห์บวชเข้ามาเรียนเอานี่ บวชเข้ามา ๓ เดือนเพื่อเข้ามาเรียนเอานี่ เอาสิ่งที่วิเศษที่สุดที่จะไปช่วยมนุษย์ทั้งโลกได้ ในส่วนตัวเราก็เต็มเปี่ยมไปตามที่มันจะต้องเป็น แต่ว่าส่วนโลก ส่วนประเทศ ส่วนโลกก็เต็มเปี่ยมไปตามที่ควรจะ จะปรารถนา ฉะนั้นการบวชของเราก็ต้องนับว่ามีค่ามากได้สิ่งที่ไปเป็นประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่น ประโยชน์แก่โลกทั้งโลก ประโยชน์แก่ศาสนาเอง นี่อานิสงส์การบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง ทีนี้ว่าสึกออกไปก็ไปทำให้ได้อย่างนั้น ไปทำตามหน้าที่อันนั้นให้ได้อย่างนั้น ฉะนั้นอย่าเห็นว่าเรื่องสึกนี้เป็นเรื่องเลวลง หรือว่าเป็นเรื่องกลับตาลปัตร หรือเป็นเรื่องอะไร เป็นการก้าวเดินต่อไปด้วยสิ่งที่ยังขาดอยู่และได้มาแล้วครบถ้วน จึงเป็นจุดตั้งต้นที่จะก้าว ก้าวที่หนึ่ง ก้าวที่สอง ก้าวที่สามไปตามลำดับ โดยปราศจากความผิดพลาดนับตั้งแต่วันสึก
นี่ผมเรียกว่าการสึก เมื่อขอร้องให้ผมพูด ผมก็ต้องพูดอย่างนี้ เพราะผมพูดอย่างอื่นไม่เป็น เพราะมันมีความคิดอย่างนี้ ไม่มีความคิดอย่างอื่น ฉะนั้นถ้าผมพูดอะไรผิดแปลกไปบ้างก็ต้องให้อภัย ว่าผมมันต้องพูดตามที่ผมพูดเป็น หรือว่ารู้สึกอยู่ในใจ ทีนี้ถ้าจะขอบใจบ้างก็เอาไปคิดดู ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่า เอาไปคิดดู ถ้าเห็นด้วยละก็ขอให้ช่วยปฏิบัติตามให้เคร่งครัดที่สุด อย่างน้อยก็คงจะคิดว่าผมสนใจเรื่องนี้มาเป็นเวลา ๔๐ กว่าปี ก็เกือบ ๕๐ ปี แล้ว พวกคุณบางทียังเพิ่งสนใจไม่กี่ปี หรือไม่กี่เดือน หรือไม่กี่วัน เพราะฉะนั้นคงจะไม่เป็นอันตรายอะไรที่จะฟังความคิดของผม ที่เคยสนใจเรื่องอย่างนี้มาตั้งเกือบ ๕๐ ปี
เอาไปคิดดู พิจารณาดู เห็นด้วยก็ทำตาม เราก็ได้เชื่อว่า เอ่อ, ทำประโยชน์แก่กันและกันในการที่คุณอุตส่าห์บากบั่น มาจนถึงที่นี่ด้วยหวังว่าจะได้รับประโยชน์อะไรจากผมบ้าง ผมก็ไม่มีอะไรอื่นนอกจากที่พูดไปแล้วนี่ แล้วแต่ว่าจะตั้งปัญหาข้อไหนมา ฉะนั้นขอแสดงความหวัง ความปรารถนาดีว่าทุกองค์ จงมีความสุข จงมีความเจริญในพุทธศาสนา ของสมเด็จพระบรมศาสดาสมตามความประสงค์มุ่งหมายทุกประการเทอญ