แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ผู้ที่บวชใหม่อาจจะยังไม่ทราบว่า การพูดที่นี่ ที่ตรงนี้ มีความมุ่งหมายเฉพาะเรื่อง คือมุ่งหมายจะย้ำ แต่เรื่องเกี่ยวกับตัวกูของกูเรื่องเดียว การพูดที่ตรงนี้ ก็ให้ชื่อมันว่าธรรมปาฏิโมกข์ เหมือนกับเรามาลงปาฏิโมกข์ แต่ว่าเป็นเรื่องทางธรรมะ ปาฏิโมกข์แท้ ๆ เป็นเรื่องทางวินัย ทำทีบนภูเขาอย่างในรูปสังฆกรรม มันก็ต้องทำตามวินัยที่มีบัญญัติไว้ แต่คำว่าปาฏิโมกข์ หมายถึงเรื่องที่เป็นประธาน ก็ต้องย้ำไว้เสมอ ทุก ๆ ๑๕ วัน จึงมีลงปาฏิโมกข์ เกี่ยวกับเรื่องของวินัย เดี๋ยวนี้ที่นี่เรามีทุก ๆ สัปดาห์ ทุก ๆ ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ เป็นเรื่องธรรมะ เรื่องธรรมะนั้นไม่มีเรื่องอะไรที่สูงสุดไปกว่า หรือนอกไปกว่าเรื่องเกี่ยวกับตัวกูของกู จึงเอามาย้ำ ๆ ๆ อยู่ทุกสัปดาห์ แล้วก็เรียกให้ฟังง่าย ๆ ว่าธรรมะปาฏิโมกข์ ปาฏิโมกข์ในทางธรรม ผู้ที่บวชอยู่ก่อนเก่าก็ทราบดีแล้ว เวลานี้มีบวชใหม่มาบางรูปก็ยังไม่ทราบ เพราะฉะนั้นจึงบอกให้ทราบ
วันนี้เวลาก็เหลือน้อย ก็อยากจะพูดสั้น ๆ อีกส่วนหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องเครื่องวัด หรือการวัด หรือวิธีวัดไอ้ความมี ไม่มี มีมาก หรือมีน้อยของตัวกู การปฏิบัติที่ถูกต้องมันก็หมายถึง หมายความว่ามัน มันบรรเทาตัวกูของกูซึ่งเป็นความรู้สึกที่เป็นการเห็นแก่ตัว นี่เราก็พยายามทำทุกอย่าง เช่นการเคลื่อนไหวตลอดวันตลอดคืนนี้ ให้เป็นการทำลายตัวกูของกูอยู่ทั้งนั้น แล้วก็มีหลายคน หรือหลายองค์ที่มีความซื่อตรง บริสุทธิ์ใจไม่ใช่คนคดโกง แล้วก็เชื่อแน่ว่าตัวกูของกูได้บรรเทาลงไปจริง ๆ แต่ก็มีหลายคนที่เป็นคนคดโกง ทำลายตัวกูของกูแต่ปาก ปากว่า ใจจริงนั้นมันคิดหาประโยชน์จากการมีตัวกูของกู เป็นภิกษุหลอกลวงอยู่ก็มี ทีนี้ผู้ที่มีความบริสุทธิ์ใจ ตั้งใจจริง มันก็ยังไม่สำเร็จเด็ดขาดตามนั้นได้ง่าย ๆ เครื่องวัดก็มีสำหรับพวกนี้ ไอ้พวกที่ไม่จริงใจ เป็นคนหลอกลวงนั้นไม่ต้องไปพูดถึง จะไปวัดอะไรกับมันล่ะ เพราะมันเป็นเรื่องหลอกลวงอยู่ตลอดเวลา ผู้ที่ตั้งใจดี หวังดี ซื่อตรงต่อตัวเอง เคารพนับถือตัวเองนี่มันยังมีปัญหาว่า การปฏิบัตินั้นมันมีผลจริงหรือเปล่า ฉะนั้นจึงพูดถึงเครื่องวัด
ทีนี้ไอ้สิ่งที่เรียกว่าเครื่องวัดนี้มีหลายชนิด แล้วถ้าผู้วัดนั้นเป็นตัวเองด้วยแล้วระวังให้ดีเหอะ มันวัดขี้ฉ้อ การที่วัดว่าตัวเองดีมาก ดีน้อย ละตัวกูหรือไม่นี่ เมื่อสอบด้วยตนเอง วัดด้วยตนเอง มักจะวัดหรือสอบอย่างขี้ฉ้อ เอาเป็นประมาณไม่ได้ โดยไม่รู้สึกตัว นี่เรียกว่าผู้บริสุทธิ์ใจนะ ยังไม่รู้สึกตัว คือมันขี้ฉ้อโดยไม่รู้สึกตัว เพราะว่ามันมีไอ้ตัวกูของกู หรือความเห็นแก่ตัวนั้นเป็นพื้นฐานอยู่เรื่อย แล้วมันก็เข้าข้างตัวโดยไม่รู้สึกตัว โดยไม่มีเจตนา นี่วัดผลของการทำลายตัวกูของกูนี่ มันต้องวัดทุกแขนงนะ คือได้พูดกันมาแล้วว่ากิเลสทุกแขนงมันมาจากตัวกูของกูทั้งนั้น แม้แต่ราคะ ความกำหนัดในทางเพศมันก็รวมอยู่ในเรื่องตัวกูของกู ความโลภอยากได้ ไม่เกี่ยวกับเพศ ไม่เกี่ยวกับอะไรก็รวมอยู่ในเรื่องตัวกูของกูทั้งนั้น ทีนี้ไอ้เรื่องโทสะหรือโกรธะนี่ไม่ต้องพูดถึง นั่นมันเป็นเรื่องตัวกูของกูโดยตรงเต็มที่ ไม่ได้ตามที่กูต้องการ มันก็โกรธ ทีนี้โมหะ ก็คือเรื่องตัวกูของกูที่ซับซ้อนกันอยู่ ไอ้เรื่องโมหะนี่บางทีมันไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่มันยังหลงได้ มันหลงในสิ่งที่ไม่รู้ กิเลสทั้ง 3 ประเภทนี้ โลภะ โทสะ โมหะ นี้มันเป็นเรื่องตัวกูของกูโดยตรง ถ้าจะวัดมันต้องวัดด้วยจิตใจที่ซื่อตรง และระวังอย่าเข้าข้างตัวเอง แต่แล้วก็ไม่พ้น ไม่พ้นที่จะวัดผิด ๆ วัดไม่ตรงตามเรื่องจริง
เพราะฉะนั้นผมขอบอกให้รู้จักเครื่องวัดที่แท้จริง ที่ดีที่สุด ที่ไม่เข้าใครออกใครอยู่อย่างหนึ่งให้รู้ คือความฝัน ความฝันเป็นเครื่องวัดที่แน่นอนที่สุด เพราะฉะนั้นคุณลองสังเกตความฝัน ความฝันนั่นแหละจะบอก ความเลว ความดี เลวมาก เลวน้อย ดีมาก ดีน้อย เลวอย่างไม่รู้สึกตัว หรือเลวอย่างรู้สึกตัวได้ดีที่สุด ถ้าพระยังฝันอย่างฆราวาสในเรื่องทางเพศ ก็ต้องถือว่ามันเลวที่สุดที่ว่า ทั้ง ๆ ที่ว่าโดยปรกติภายนอกนี้สำรวมเป็นอย่างดี ไม่ผิดศีล วินัยเกี่ยวกับเรื่องผู้หญิง หรือเพศ หรืออะไรเลย แล้วก็พยายามอย่างยิ่ง มีเจตนาอย่างยิ่งที่จะตัดให้ขาดออกไปจากจิตใจในเวลาที่ตื่น ๆ อยู่อย่างนี้ ทีนี้ถ้าความฝันมันยังมี ฝันอย่างฆราวาสฝันแล้วล่ะก็ ให้ถือว่านั่นแหละคือความจริง จิตใต้สำนึก หรือ subconscious มันยังเป็นอย่างเดิม นี่เราจะวัดด้วยกิริยาท่าทางข้างนอกนี้ไม่ได้ เพราะ subconscious มัน จิตใต้สำนึกมันยังอยู่อย่างเดิม คนนั้นยังเลวอยู่อย่างเดิมในเรื่องกามารมณ์หรือเพศ ทีนี้เรื่องความโลภก็เหมือนกันอีก เที่ยวเป็นผู้เผื่อแผ่อยู่เสมอ เป็นผู้เอื้อเฟื้อเจือจานอยู่เสมอ เป็นผู้ช่วยเหลือไม่เห็นแก่ตัวอยู่เสมอ ก็ยังไม่เป็นการวัดที่แน่นอน ไม่เป็นการทดสอบที่แน่นอน ก็ขอให้เอาความฝันคราวใดคราวหนึ่ง หรือว่าในขณะ ในยุคนั้นเป็นหลักอีกว่า ไอ้ความฝันบางครั้งมันแสดงว่าเป็นคนโลภจัดอย่างยิ่งหรือเปล่า แล้วก็มาเรื่องความโกรธ เราระมัดระวังดี สำรวมดี เพราะว่ามันมีความละอายเข้ามาช่วย มันจึงสำรวมอยู่ได้ แต่จิตใต้สำนึก หรือ subconscious มันยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยก็ได้ ในความฝันบางครั้งมันจะบอกว่า แม้มันไปโกรธอย่างที่ไม่น่าโกรธ มันไปโกรธอย่างเลวที่สุดเลย ด้วยเรื่องที่ไม่น่าโกรธ แล้วก็โกรธอย่างเลวที่สุด นี่ที่ผมพูดว่าความฝันเป็นเครื่องวัด หรือเป็นเครื่องทดสอบที่ดีที่สุด ที่แน่นอนที่สุด หมายความอย่างนี้ ถูกแล้วไอ้เรื่องทางวินัยนั้น ไม่ปรับอาบัติเพราะความฝัน จะฝันว่าอย่างไรก็ตามใจ ไม่เป็นอาบัติ เพราะความฝันตามสิกขาบทนั้น ๆ แต่เดี๋ยวนี้เราพูดกันเรื่องธรรมะ มันไม่เกี่ยวกับอาบัติหรือไม่อาบัติ มันเกี่ยวกับสภาพของจิตใจที่สูงแล้วหรือยัง สะอาดแล้วหรือยัง สว่าง สงบหรือยังต่างหากล่ะ ดังนั้นขอให้คอยสังเกตความฝันของผู้ที่ยังมีความฝัน ยังมีการฝัน เพราะบางทีมันโง่อย่างไม่น่าโง่ หลงอย่างไม่น่าหลง เราทั้งนั้นแหละ ไอ้ความฝันมันเป็นเรื่องเราทั้งนั้นแหละ ขี้ขลาดอย่างไม่ควรจะขี้ขลาด ในความฝันนั้นมันยังมีอยู่ เป็นเครื่องบอก เป็นเครื่องทดสอบ เราไม่เอาความฝันเพียงครั้ง สองครั้งเป็นหลักหรอก เพราะมันอาจจะเป็นเรื่องท้องเสียก็ได้ เราเอาความฝันในยามปรกติ แล้วก็หลาย ๆ ครั้ง หลาย ๆ หน หรือบ่อย ๆ เป็นหลัก เพื่อวัดตัวเองว่ามันมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือไม่ จริงหรือไม่ เรื่องดูกันภายนอกนั้นใช้ไม่ได้เลย ที่เกี่ยวกับธรรมะ เพราะมีเล่นละครก็ได้ เว้นไว้แต่ฉลาดกว่า เหนือกว่า และเป็นเวลานานพอ จึงจะพอรู้ได้ว่าคนนี้มันเป็นคนมีศีลจริงหรือเปล่า เป็นคนมีจิตใจที่ประกอบด้วยศีล ด้วยธรรมหรือเปล่า มันต้องอยู่กันนานมาก หรือจะให้คนอื่นวัดนั้นไม่มีทาง จะให้สังคมวัดนั้นไม่มีทาง เพราะมันแสดงละครตลกอยู่เรื่อย ภิกษุ ครูบาอาจารย์ หรืออะไรก็ตาม แสดงให้คนอื่นเคารพเลื่อมใสได้ตลอดเวลา เพราะเล่นละคร นี่สังคม คนนิยมยกย่อง อย่างนี้มันใช้ไม่ได้ เอาสังคมเป็นเครื่องวัดว่าใครดี หรือไม่ดี อย่างนี้มันไม่ได้ มันได้อย่างชนิดที่เรียกว่าโง่ที่สุด ผู้อื่นจะเป็นเครื่องวัดให้ไม่ได้ แล้วแถมจะทำให้ลืมตัวด้วย เมื่อผู้อื่นเขามาเห็นในท่าที่น่าเลื่อมใส เขายกย่องนับถือเลื่อมใส ไอ้คนนี้ก็จะประมาท และลืมตัว เป็นตัว เป็นดีไปเลย เพราะเขาว่าดี หรือบางทีก็จะประมาทไปในทางว่า ความชั่วของกูไม่มีใครรู้ อย่างนี้ก็เป็นเรื่องประมาทเหมือนกัน หรือว่าเราเล่นตลกเก่ง ไม่มีใครรู้ความจริงของเรา แทนที่มันจะช่วยเป็นเครื่องวัดให้ มันกลายเป็นเรื่องสนับสนุนส่งเสริมให้เลวมากขึ้น ฉะนั้นเราจะไม่เอาเสียงของคนนอก หรือคำพูดของคนนอก หรือการนิยมหรือไม่ของสังคมเป็นหลัก มันใช้ไม่ได้ ต้องเอาตัวเองเป็นหลัก และก็ด้วยความบริสุทธิ์ใจแท้ ๆ
ทีนี้ผมยังยืนยันว่าแม้ด้วยความบริสุทธิ์ใจแท้ ๆ นี่ก็ยังไม่ถึง ก็ให้ทดสอบด้วยความฝัน ในเวลาตื่น ๆ อยู่เราหาความเลว ความชั่ว ความผิดอะไรของเราไม่ได้ จนเรารู้สึกคล้าย ๆ กับว่าไม่มีกิเลส หรือหมดกิเลส แต่แล้วในความฝัน ด้วยจิตใต้สำนึกนี้มันจะแสดงออกมาว่าบางทียังมีความอยากอย่างเลว ความอะไร ๆ อย่างเลวอยู่ บางทีเลวมากกว่าที่นึกด้วย กว่าที่เรานึก แล้วเราก็จะเสียใจ ทีนี้ถ้ามันวัดให้ถึงขนาดนี้ล่ะก็ ถ้าเสียใจก็เสียใจเถอะ มันดีเหมือนกันไอ้เรื่องเสียใจนี้ แต่อย่าท้อถอย อย่าให้เกิดความท้อถอยขึ้นมา ให้พยายามต่อไปอีก ในการที่จะต่อสู้ต้านทาน คือมีการคิด การนึก การพิจารณา การสำรวม การระวังนี้ให้มากขึ้นไปกว่าเดิม จนมันไม่มีฝันชนิดนั้นอีกต่อไป เมื่อนั้นแหละเป็นเครื่องวัดที่แน่นอนว่าไอ้ที่เราคิดว่าเราดีนั้นใช้ได้ ว่าดีจริง ไอ้ที่เราคิดว่าเราดี มันดีจริง ทีนี้ถ้ามันเกิดท้อถอยเสียแล้ว มันก็ล้มละลายเลย ไม่มีการยกตัวขึ้นมาต่อสู้ ต่อต้าน มันก็จะกระโจน ตกกระไดพลอยกระโจนไปอย่างนั้น นั่นแหละคือความล้มละลาย
ดังนั้นเมื่อทราบผลของการวัดที่แน่นอนแล้ว ก็ต้องพยายามต่อสู้ต่อไปจนมันไม่มีอย่างนั้นอีก ผมจะพูดให้แคบเข้ามาสักหน่อย ขออภัยสำหรับพระบวชใหม่ไม่กี่วัน ให้สังเกตว่าความฝันมัน มันเริ่มแตกต่างจากความฝันเมื่อเรายังเป็นฆราวาสหรือยัง เราเพิ่งบวชมาได้ไม่กี่วัน หรือไม่กี่เดือนนี้ ก็เป็นระยะให้ทดสอบว่าไอ้ความฝันต่าง ๆ ที่ฝันอยู่เดี๋ยวนี้เริ่มแตกต่างจากความฝันเมื่อเป็นฆราวาสหรือยัง มันเริ่มแตกต่างบ้างก็ยังดี ถ้ามันยังเลย ก็ต้องรีบแข็งข้อ ต่อต้านกันให้มาก อย่าประมาท อย่ามัวหัวเราะอยู่ อย่าหลุกหลิกอะไรอยู่ จะต้องแข็งข้อต่อต้าน และเตรียมตัวพร้อมอยู่เสมอ วันแรกบวช วันแรกบวช หรือปีแรกบวชก็มีความสำรวมระวังอยู่ อย่างพระบวชใหม่สำรวมมากอยู่ แต่พอเป็นพระบวชเก่า บวชเก่า ๆ เข้ามันก็เริ่มเลวลง ๆ คือมีความประมาท ตามประสาความเคยชิน เพราะฉะนั้นความอวดดี ความอะไรก็เริ่มมีมา อย่างนี้มันก็อยู่ในพวกเดียวกันแหละ คือว่าความฝันจะฟ้องให้ได้ว่ายังไม่ไหว อย่างไร ๆ เพราะฉะนั้นระยะบวชใหม่นี่สำคัญมาก รีบลงหลัก ลงรากให้มันถูกต้อง ดีและแน่นอน มันจะไปในทางดี บวชได้หลายพรรษา หลายปีเข้ามันก็จะยิ่งดี จนบวชมาได้ตั้ง ๒๐-๓๐ พรรษาแล้ว ก็ยังเคร่งครัด มัธยัสถ์เหมือนพระบวชใหม่นี้ก็วิเศษ
ทีนี้ดูไอ้เรื่องที่มันเป็นต้นเหตุให้เป็นอย่างนี้ ก็คือไอ้เรื่องประมาทนี่ ต้นเหตุก็คือเรื่องประมาทนี่เอง ดังนั้นระเบียบวินัยอะไรต่าง ๆ ที่ได้บอกได้สอนกันตั้งแต่วันบวชว่ามีวินัยอย่างไร แม้แต่ว่ามีธรรมเนียมอย่างไร ก็ต้องทำ คุณไปบิณฑบาตจะต้องคิดนึกอย่างไร ก็ต้องทำอย่างเคร่งครัดนะ ไม่อย่างนั้นจะไปเพิ่มโอกาสของกิเลส บางทีไปเดินบิณฑบาตก็ไปเห็นผู้หญิงบ้าง ไปเห็นการทำมาหากินที่เราคิดว่าเราทำได้ หรือทำดีกว่าบ้าง ไปเห็นสิ่งของวัตถุอะไรเข้า คิดถึงโอกาสที่จะใช้มันเป็นประโยชน์ร่ำรวยไปเสียเลยก็มี จนกลับจากบิณฑบาตก็ไม่มีเรื่องอะไร มีเรื่องอย่างนี้ ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วมันก็เป็นความประมาท มันฝังอยู่ใต้ ภายใต้จิตสำนึกมากขึ้น ๆ แต่ถ้าเราเปลี่ยนมาเป็นเรื่องตามธรรมเนียมของภิกษุ ไปบิณฑบาต จะมีการ ปัจจเวก อยู่ตลอดเวลา มีสายตาแต่เพียงชั่ววาหนึ่ง เห็นแต่ชั่ววาหนึ่ง ทอดสายตาไปในระยะ ๑ วาจากเท้าข้างหน้า คือไม่ดู ไม่ส่ายดูไปในที่ต่าง ๆ แล้วจิตก็พินิจพิจารณาสิ่งที่ประกอบด้วยธรรมอยู่เรื่อยไป ทีนี้คนบางคนที่ยังโง่มาก พูดว่าถ้าอย่างนี้รถชนตาย ควายขวิดตายอย่างนี้ก็มี นั่นน่ะมันไม่เคยทำ คนเหล่านั้นชนิดนั้นมันไม่เคยไปทำ การทอดสายตาเพียง ๑ วาตรงหน้านี้มันไม่ได้เห็นแค่ ๑ วาหรอก มันยังมีเห็นรอบด้าน แล้วถ้ามีสติสัมปชัญญะดี มันเห็นมากกว่านั้น มันรู้สึกมากกว่านั้น ในการที่จะมีอันตรายมา มีรถมา มีช้าง ม้า วัว ควายมา มันรู้มันเห็น ไม่ต้องกลัวว่ารถจะชนตาย ธรรมเนียมของภิกษุเขามีกันอย่างนั้น นี่มันเริ่มเปลี่ยนแล้ว มันเริ่มขุดรากจิตใต้สำนึกให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ทีนี้เราแรกบวชใหม่ ๆ มันมีไอ้ผ้าเหลืองนี่ ที่เพิ่งเข้ามาหุ้มห่อร่างกายนี่ เป็นเครื่องสะกิด หรือกระตุ้น นับว่ายังมีความปลอดภัยอยู่มาก แต่พอหลายวัน ๆ เข้ามันชินตา ผ้าเหลืองมันกลายเป็นเหมือนกางเกง หรือเสือผ้าที่เคยนุ่งอยู่ที่บ้าน ถ้าอย่างนี้ล่ะก็แย่ ระวังให้ดี จึงบอกกันนัก บอกกันหนาว่า ผ้าเหลืองนี้เป็นธงชัยของพระอรหันต์ ผ้ากาสายะนี่เป็นธงชัยของพระอรหันต์ มันต้องศักดิ์สิทธิ์อยู่เรื่อยไป เหมือนกับเรามาเหลือบดู เห็นตัวมันยังนุ่งผ้าเหลืองอยู่ ความสำรวมระวังก็ยังมีอยู่ ความละอายก็ยังมีอยู่ มันก็ควบคุมไอ้ความรู้สึกต่าง ๆ อยู่ เพราะว่าจิตใต้สำนึก เมื่อได้โอกาสที่จะแล่นไป เที่ยวไปตามความพอใจ แล้วมันจะเริ่มไม่ฝันอย่างฆราวาส จะเริ่มเปลี่ยนการฝันอย่างฆราวาส มาทีละเล็ก ทีละน้อย ไม่ฝันอย่างฆราวาส แต่ถ้าเป็นผู้ประมาท ละเลยธรรมเนียมอะไรอย่างนี้เสียแล้ว ไม่ต้องสงสัย ในคืนแรก อาจจะฝันอย่างฆราวาส
ฉะนั้นเมื่อจะทำอะไร ทุกอิริยาบถ ทุกเรื่อง ทุกอิริยาบถ ต้องสำนึกอย่างที่เราสวดกันอยู่ อภิณหปัจจเวกขณ์ ว่าเดี๋ยวนี้เราเป็นบรรพชิตแล้ว ว่าเดี๋ยวนี้เราเป็นสมณะแล้ว เดี๋ยวนี้เรามีเพศต่างจากฆราวาสแล้ว ยังมี เววณฺณิยมฺหิ อชฺฌูปคโต นี่สำคัญมาก เดี๋ยวนี้มันขี้เกียจมาไหว้พระสวดมนต์ แม้มาไหว้พระสวดมนต์ก็สวดกันอย่างนกแก้วนกขุนทอง มันก็ช่วยไม่ได้ มันก็เป็นโอกาสที่กิเลสจะได้เปรียบ ขยันไหว้พระสวดมนต์ แล้วก็อย่าสวดอย่างนกแก้วนกขุนทอง มันก็มีผล มีปฏิกิริยาต่อจิตใต้สำนึกที่เคยเป็นอย่างฆราวาส ดังนั้นรีบสร้างเสียให้ดี รีบจัด รีบทำเสียให้ดี เมื่อมีแสงสว่างอยู่ ก็ดูที่ผ้ากาสายะที่หุ้มห่ออยู่ ถ้าไฟดับมืดลงไป ก็พยายามเอามือคล้ำศีรษะดูหลาย ๆ ครั้งก่อนแต่ที่จะหลับลงไป เพื่อกันลืม เอามือคล้ำศีรษะที่ไม่มีผม หัวโล้นนี่ดู โอ้, นี่มันเป็นบรรพชิต เป็นพระ เป็นบรรพชิต ให้มันหลับไปด้วยความรู้สึกว่าเราเป็นบรรพชิต มันหมายความว่าเราเกลียดไอ้ความรู้สึกอย่างฆราวาส ที่มันจะจู่มารบกวนนี่ เราก็ป้องกันอย่างนี้ ถ้าเราเผอิญตื่นขึ้นมา ไม่สว่าง ตื่นขึ้นมาหลาย ๆ หน ก็พยายามที่จะเอามือคล้ำศีรษะดูว่า อ้อ, นี่ยังเป็นบรรพชิต ไม่งั้นไอ้ความมืดมันจะทำให้เราเผลอไป ไม่รู้ว่าเราเป็นสถานะอย่างไร ทิศเหนือ ทิศใต้ ทางไหนก็ไม่รู้ มืดไปหมดอย่างนี้ ไอ้ความรู้สึกคิดนึกอย่างฆราวาสมันก็ครอบงำได้ง่าย เพราะมันเคยชินเหลือเกินตั้งแต่เกิดจนบัดนี้ ดังนั้นผู้บวชใหม่ เมื่อหวังอยู่ในผลอานิสงส์ที่แท้จริง ต้องทำอย่างนี้ ทดสอบ หรือวัดด้วยความฝัน ความฝันอย่างฆราวาสจะหมดไป ๆ มีความฝันไปในทิศทางของบรรพชิตเรื่อยไป ก็ใช้ได้ แปลว่าส่วนลึกมันก็เป็นการบวชด้วย ไม่ใช่บวชแต่ส่วนร่างกาย หรือว่าจิตที่เป็นเจตนาในความรู้สึก จิตไร้สำนึกเป็นจิตไม่มีเจตนาเมื่อมันถูกตกแต่งดีแล้ว มันก็หมุนไปในทางที่เราต้องการ ไปตามเรื่องตามราวของบรรพชิต
ทีนี้ข้างต้นก็บอกแล้วว่าทุกเรื่องมันสำเร็จอยู่ที่ตัวกูของกู มาจากไอ้ความรู้สึกที่เป็นตัวกูของกู ถ้าไม่ฝันอย่างฆราวาส มันก็หมายความว่าตัวกูของกูเบาบาง เปลี่ยนแปลง น้อยลง ถ้าใครยังไม่ทราบ ก็ทราบเสียว่าไอ้เครื่องวัดที่แน่นอนนั้นอย่างหนึ่งก็คือความฝัน หรือการฝัน หรือเรื่องที่ฝัน สำหรับวัดจิตใจ มันมีวิธีที่จะวัดอย่างอื่น แต่ต้องศึกษากันอีกมาก ต้องพูดกันอีกมาก ว่าเรื่องทางจิตใจ แล้วบางทีก็จะไม่เข้าใจก็ได้ ผมก็ไม่เอามาพูด พูดแต่วิธีง่าย ๆ ที่สุดตามธรรมชาตินี่ วัดดูด้วยความฝันว่าสภาพจิตใจของเราเป็นอย่างไร ดีขึ้นหรือเปล่า ไปในทางของบรรพชิต
ดังนั้นขอให้ไม่มีความประมาท ขอให้มีความไม่ประมาทให้มาก อย่าเล่นตบตาสังคม แล้วอย่าตบตาตัวเอง อย่าเชื่อง่าย ๆ ว่าดีแล้ว เพราะไม่เห็นไอ้ความผิดพลาดอะไรอยู่เลย วันหนึ่ง คืนหนึ่ง แล้วก็เชื่อว่าดีแล้ว แม้แต่อย่างนี้ก็ยังไม่ควร ไม่ควรนอนใจ ขอให้ถือเอาความฝันเป็นเครื่องวัด และแน่นอนที่สุด แล้วคงเป็นบทเรียนที่ยากมาก ไปคิด ไปสังเกตดูเหอะ แต่นี่เราเอาจริงกัน อ้าว, เอาจริงกัน พูดถึงเรื่องจริง หรือเอาให้มันจริงกันก็ต้องยอมรับวิธีนี้ หรือหลักการอันนี้ แล้วมันจะวัดได้แน่นอน แล้วเราจะได้ปรับปรุงเร็ว ๆ/เลว ๆ(30.33) ได้ จะไม่ประมาทอย่างแรง แล้วจะปรับปรุงมันเร็ว ๆ/เลว ๆ(30.39) ได้ แล้วก็มีทดสอบอยู่เสมอ แล้วถ้าให้ดียิ่งขึ้นไปอีกก็มีการลงโทษมันบ้าง ลงโทษตัวเองบ้าง จะเป็นการลงโทษวิธีไหนก็หาเอาเองก็แล้วกัน เป็นการทรมานตัวเอง หรือเป็นการประจานตัวเอง หรือเป็นอะไรก็ได้ เรียกว่าเป็นการลงโทษ พอมีความฝันอย่างฆราวาสขึ้นมาครั้งหนึ่ง ก็มาขนทรายที่ตรงนี้ขึ้นไปบนยอดเขาสัก 10 เที่ยว ผมว่าคงจะดีขึ้น มันคงจะดีขึ้น นี่การลงโทษนี่ไม่เป็นของไร้สาระหรอก มันมี effect ลงไปบ้างไม่มากก็น้อยในจิตในใจ มันเป็นความละอาย มันเป็นการประจานตัวเองว่า เอ้า, ขนทรายแล้วโว้ย เพื่อนก็ร้องตะโกนนี้ มันก็ต้องมีผลดี เดี๋ยวนี้ไม่จริง เข้าข้างตัวเรื่อย มันก็ได้โอกาสที่จะฝังตัวอยู่ ซ่อนตัวอยู่ เจริญงอกงามขึ้นไปอีก ความมุ่งหมายของการแสดงอาบัติก็อยู่ที่นี่ แต่เดี๋ยวนี้มัน มันก็น่าเศร้าที่ว่ามันแสดงอาบัติอย่างนกแก้วนกขุนทองเสียอีก การแสดงอาบัติเขามุ่งหมายให้ประจานตัว คือบอกให้ผู้อื่นรู้ แล้วเกิดความละอาย เป็นคนเปิดเผย ทีนี้มันก็ค่อยแก้นิสัยไปทีละนิด ๆ ก็อย่าไปทำเล่น เรื่องแสดงอาบัตินี้ต้องทำให้จริง แล้วก็อย่าทำอย่างนกแก้วนกขุนทอง แต่นั่นมันเป็นเรื่องวินัย ที่เราพูดนี่ แสดงอาบัติอย่างผมว่านี่มันเรื่องธรรมะ ติเตียนตัวเอง ลงโทษตัวเอง เมื่อเกิดอกุศลวิตกขึ้นมาในจิตใจ หรือฝันอย่างฆราวาสอย่างนี้ ก็ลงโทษตัวเอง ด้วยการแสดงอาบัติธรรมะ ทางธรรมะ
ทีนี้คุณก็คิดดูต่อไปอีกนิดหนึ่งว่า ไอ้เรื่องฝันนี่ใครจะมารู้ของเรา ใครจะมารู้ความฝันของเราได้ เพราะฉะนั้นมันเกี่ยวกับความซื่อตรงต่อตัวเองของคนนั้นนะ มันสำคัญอยู่ที่นั่น มันอยู่ที่ หิริ และ โอตัปปะ ของคนนั้น พระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้ ผู้ดีที่สุด คือว่าเป็นผู้ดีที่สุด คือไม่ด่าใคร ไม่ลงโทษใคร ไม่อะไรใคร ท่านบอกให้คนนั้นรู้จักตัวเองแล้วแก้ไขตัวเอง พิจารณาตัวเอง ฟ้องตัวเอง ลงโทษตัวเอง ตัวเอง มันเป็นวิธีของมนุษย์ที่ดี ที่เป็นผู้ดีที่สุด เป็นสุภาพบุรุษที่สุด ไม่กระทบกระทั่งใคร ดังนั้นสาวกของพระพุทธเจ้าก็ควรจะเป็นอย่างนั้นด้วย คุณไปสังเกตดู ศึกษาดูให้รู้เจตนารมณ์ของวินัย หรือของธรรมะก็ตาม มันฝากไว้กับความรู้สึกที่ซื่อตรงของผู้นั้น เท่านั้น แล้วคนนอกไม่เอามาเป็นหลัก ฝากไว้กับความซื่อตรงต่อตัวเองของคนนั้น วินัยทุกข้อเป็นอย่างนั้น ธรรมะทุกข้อเป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านก็มุ่งหมายอย่างนั้น จึงไม่มีคำว่าอาชญา หรืออะไรจากภายนอก ไม่หวังอาชญาอะไรจากภายนอก ต้องเป็นเรื่องที่ผู้นั้นลงโทษตัวเอง โดยไม่ต้องมีใครรู้ เป็นผู้ดี เป็นสุภาพบุรุษอยู่โดยไม่ต้องมีใครรู้ นั่นแหละถูกตามเรื่อง ตามราว ตามวิธีของพระพุทธเจ้า และเขาก็เรียกกันว่า หิริโอตัปปะ ที่ตรงนี้ เป็นอันว่าเราพูดกันถึงเรื่องบุคคลชนิดที่รับผิดชอบตัวเอง มีความซื่อตรงต่อตัวเองเป็นหลัก ตามเจตนารมณ์ของพุทธศาสนาเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะวัดก็ต้องไม่เอาข้างนอกนอกเป็นหลัก ไม่เอาคนนอกเป็นหลัก และไม่เอาการเชื่อง่าย ๆ ของตัวเองเท่าที่ตนรู้สึกในสำนึกนี้เป็นหลัก ต้องให้ความรู้สึกใต้สำนึกเป็นผู้ เป็นหลักฐาน เป็นเหตุผล หรือเป็นหลักฐาน จึงบอกว่าความฝันเป็นเครื่องวัดที่ดีที่สุด แล้วความฝันที่เป็นความฝันจริง ๆ ประจำอยู่ปรกติ ไม่ได้ฝันท้องเสีย เอาล่ะ, ก็พอกันที สำหรับวันนี้ที่มีเวลาน้อย