แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไอ้ธรรมะปาฎิโมกข์วันนี้ก็ เรื่องตัวกูของกูอีกตามเคย ถ้าฟังไม่เข้าใจก็ยิ่งเบื่อ ยิ่งง่วงนอน เพราะพูดกันแล้วว่าจะพูดกันแต่หัวข้อที่เป็นหัวใจของธรรมะ ไม่พูดเรื่องอื่นที่นี่ ทีนี้มันก็ไม่มีเรื่องอะไร นอกจากเรื่องตัวกูของกูกับเรื่องไม่มีตัวกูของกูนี้ พอมีตัวกูของกูในจิตก็เป็นวัฏฏะสงสาร พอไม่มีตัวกูของกูก็เป็นนิพพาน มีแต่สองเรื่องเท่านี้ นั้นถ้าฟังเฉยๆ ฟังเข้าหูนี้ออกหูโน้น หรือว่าอ่านแล้วแล้วไป ในหัวข้อนี้แล้วก็ ก็ไม่มีทางที่จะรู้ธรรมะจนตายเลย คือ รู้ธรรมะแต่กระดาษแต่คำพูดหรือเสียงที่พูด ก็ไม่เป็นธรรมะขึ้นมาได้ เดี๋ยวก็ลืม เดี๋ยวก็เฟือน จะให้สำเร็จประโยชน์ต้องเอาไป ไปสังเกตอยู่เสมอ เรื่องว่าพอจิตมีตัวกูของกูเกิดขึ้นก็เป็นวัฏฏะสงสาร พอจิตไม่มีตัวกูของกู ยังว่างอยู่ก็เป็นนิพพานมีเท่านี้ ไอ้หลักมันมีเท่านี้ แต่พูดพูดได้มาก ไปสังเกตเอาเองว่าจิตชนิดไหนมันกำลังมีตัวกูของกู และจิตชนิดไหนมันกำลังไม่มีตัวกูของกูเป็นนิพพาน ทั้งที่เราเป็นๆ อยู่มีชีวิตเป็นๆ อยู่ ทีนี้คนที่ไม่รู้อะไรเอามากๆ ไม่รู้อย่างยิ่ง เขาไม่เข้าใจจนถึงกับว่าเราไม่อาจจะมี จิตชนิดที่ไม่มีตัวกูของกู เขาให้จิตต้องมีตัวกูของกูซะเรื่อย
นั้นให้ถือหลักในพุทธภาษิตที่เคยอ้างถึงเสมอ “โลกก็ดี ความดับของโลกก็ดี อยู่ในร่างกายยาววาหนึ่งที่ยังเป็นๆ คือยังไม่ตาย” นี้ ร่างกายเป็นๆ ที่ยังไม่ตายนั้น มีทั้งโลกมีทั้งความดับสนิทของโลก ไอ้โลกในที่นี้คือความทุกข์หรือตัวกูของกู เกิดตัวกูของกูเมื่อไหร่ก็มีความทุกข์เมื่อนั้น นี่เรียกว่าโลก นี้ไอ้ดับตัวกูของกูเสียโลกก็ดับเมื่อนั้น ก็เป็นนิพพาน เรียกอีกอย่างว่านิพพาน แล้วคนนั้นก็ไม่ต้องตาย เพราะพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า “ในร่างกายที่ยาววาหนึ่งที่มีทั้งสัญญาและใจคือยังเป็นๆ อยู่ นั้น ในคนที่ยังเป็นๆ อยู่ มันมีตัวกูของกูก็ได้ ไม่มีตัวกูของกูก็ได้ คือมีโลกก็ได้ดับสนิทแห่งโลกก็ได้ ถ้าใครขวนขวายจะเข้าใจข้อดี เอามาคิดเอามานึกทบทวนกันอยู่เสมอล่ะ ก็มีหวังที่จะเข้าใจธรรมะ นี้อย่าไปพูดให้มันมากเรื่องหรือเป็นเรื่องที่มันฝอยเกินไป มันไม่เข้ามาสู่จุดที่เป็นหัวใจของเรื่อง
นี้วันนี้ก็อยากจะพูดโดยหัวข้อที่ว่า “ตายเสียก่อนตาย” อีกครั้งหนึ่งเพราะว่ามีผู้แสดงความประสงค์อยากจะให้พูดหรือได้ฟังให้มันชัดเจนยิ่งขึ้นไป และผมก็รู้อยู่ว่าส่วนมากนี่ไม่รู้ฟังไม่รู้เรื่อง ไอ้เรื่อง ตายเสียก่อนตาย ฟังไม่รู้เรื่อง หรือรู้เรื่องน้อยเกินไป ที่นี้ไปนึกถึงพุทธภาษิตที่ว่า โลกก็ดี เหตุให้เกิดโลกก็ดีนี่อย่างหนึ่ง ความดับสนิทแห่งโลกก็ดี ทางให้ถึงความดับสนิทแห่งโลกก็ดี นี้อีกอย่างหนึ่ง ทั้งหมดนี้ตถาคต บัญญัติไว้ใน ร่างกายที่ยาวประมาณวาหนึ่ง ที่มีทั้งสัญญาและใจ ไอ้คู่หลัง ความดับสนิทแห่งโลก และทางให้ถึงความดับสนิทแห่งโลกนั้นน่ะมันคือ ตายแล้วก่อนตาย แต่ยังมีชีวิตทางร่างกายอยู่ คือมีสัญญาและใจ เขาไม่เรียกว่าตัวกูนะ แม้จะมีสัญญามีจิตนี่ก็ไม่เรียกว่าตัวกู มันสัญญาที่ไม่ใช่ตัวกู เป็นเพียงสัญญารู้สึก รูป เสียง กลิ่น รสตามธรรมดา จิตก็รู้สึกได้ แต่คนยังไม่ต้องตาย แต่โลกดับสนิท ทางให้เกิดโลกก็ดับสนิท เหลือแต่ความไม่ตาย ในความที่ไม่มีโลก แล้วที่นี้อยากจะพูดให้เข้าใจละเอียดเป็นส่วนๆ ไปด้วยเหมือนกัน
ส่วนที่ ๑ นี้อยากจะพูดบอกให้รู้ว่า ไอ้คำพูดที่รุนแรงอย่างนี้ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นพระพุทธภาษิตโดยตรงเสมอไป คือพระพุทธเจ้าไม่ได้ใช้คำว่า “ตายก่อนตาย” แต่ใช้คำอย่างที่ว่าซึ่งมันมีความหมายเหมือนกัน ไอ้คำว่า “ ตายก่อนตาย ” นี้ไม่รู้ใครพูด แล้วก็ในบ้านเรานี่ ในเมืองไทยนี่ คือในเมืองไทยนี่ไม่ใช่ในอินเดีย แล้วก็จะต้องเป็นภาคใต้เสียด้วย โดยที่ผมเคยบอกให้ฟังหลายหนแล้วว่ามันมาคู่กันกับคำพูดอีก ๓ ข้อคือว่า “งามอยู่ที่ซากผี ดีอยู่ที่สละ พระอยู่ที่จริง นิพพานอยู่ที่ตายก่อนตาย” เขาพูดติดเนื่องกันมาถึง ๔ อย่าง งามอยู่ที่ซากผี ถ้าใครต้องการจะหาให้พบความงาม ไปหาที่ “ซากผี” ที่นั่นมีความงาม ถ้าใครอยากจะหาให้พบความดีให้หาที่ “การเสียสละ ” คือการละหรือการเสียสละ หาความดีที่นี่ ที่นี้ใครอยากจะหาให้ พบพระ หาพระ หาความเป็นพระอะไรก็ตามให้หาที่ “ความจริง” พูดจริงทำจริง อะไรจริง จริงไปนี่ ให้หาพระที่จริง ที่ความจริง ถ้าหานิพพานให้หาที่ว่า “ ตายเสียก่อนตาย ” น้ำหนักมันพอๆ กันทั้ง ๔ ข้อนี่ นี่เป็นคำพูดของคนที่รู้ธรรมะ แล้วพูด แล้วพูดให้รุนแรง นี่เป็นเรื่องบ้านเรา เรา คนบ้านนอกเรา เรา แล้วก็ยุคหลังๆ แต่เราอาจจะหาพบโดยนัยยะ โดยปริยายหรือโดยนัยยะจากพระพุทธภาษิตนั่นเอง จะพบใจความว่าอย่างนี้ ก็อ่านดูพระไตรปิฎกทั้งหมดก็จะพบไอ้ที่มันมีใจความที่แสดงให้เห็นว่าไอ้งามอยู่ที่ซากผี ดีอยู่ที่ละ พระอยู่ที่จริง นิพพานอยู่ที่ตายเสียก่อนตาย แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสเป็นคำพูดตรงๆ อย่างนี้
ที่นี้จะชี้ให้เห็นว่ามันอาจจะกล่าวลงไปเป็นหลักได้เลยว่า ไอ้คำพูดที่รุนแรงนี่ ภาษารุ่นหลังบางคนที่เป็นผู้คิดเก่ง สร้างคำพูดเก่งนี้พูดขึ้นมา เช่นเรื่อง อนัตตา พระพุทธเจ้าก็พูดไปตามเนื้อผ้าไปตามระเบียบคำพูดธรรมดา ไม่มีตัวตนไม่มีอะไรทั้งนั้น แต่คนที่เป็นสาวกกลับพูดรุนแรง หรือชัดกว่า ชัดเจนกว่า แต่ยิ่งชัดเจนเท่าไรยิ่งฟังยากเท่านั้น ยิ่งฟังไม่ค่อยรู้เท่านั้น แล้วคนนั้นก็เป็นภิกษุณี เป็นผู้หญิงซะด้วย วชิราภิกษุณี เป็นผู้ตั้งบทสูตรขึ้นมาว่า “การกระทำมีอยู่แต่ผู้กระทำหามีไม่ การเดินก็เดินไปแล้วแต่ผู้เดินหามีไม่” เป็นอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งเราจะขยายออกไปเป็นกี่คู่ก็ได้ ความทุกข์ก็มีอยู่แต่ผู้ทุกข์หามีไม่ ความดับทุกข์ก็ทำไปแล้วแต่ผู้ดับทุกข์หามีไม่ ถ้าใครฟังข้อความเช่นนี้ออก ก็คือจะฟังไอ้อย่างที่ว่านี้ออก ที่ว่าตายก่อนตายนี้ออก “การกระทำมี แล้วก็ทำเสร็จแล้วด้วย แต่ไม่มีผู้กระทำ ” นี้ไอ้.. ถ้ามันเล็งถึงผู้ที่ยังมีกิเลส ถ้าว่าคำพูดนี้เล็งถึงผู้ที่ยังมีกิเลส ก็หมายความว่า ที่แท้ไอ้ผู้ที่ทำนั้นมันก็ไม่ใช่ผู้..ไม่ใช่บุคคล สัตว์ บุคคล ตัวตนอะไร มันเป็นกิเลส เป็นเหตุให้ทำกรรม มันก็ทำกรรมไป การกระทำมี แล้วก็ทำเสร็จแล้ว แล้วผู้กระทำไม่มี ยกตัวอย่าง สุนัขมันไปกินอุจจาระเป็นอาหาร อย่างนี้ ถ้าเราพูดอย่างธรรมดาภาษาคนก็คือว่า มีสุนัขตัวหนึ่งไปกินอุจจาระ แต่ถ้าเราพูดภาษาธรรม ภาษาที่ลึกภาษาธรรม มันก็ไม่มีสุนัข คือมีกลุ่มแห่งสังขาร เหตุปัจจัยอันหนึ่ง ที่เราสมมติเรียกว่าสุนัขนี้ มันมีความรู้สึกหิวมันก็ไปงับเอาอะไรเข้า ซึ่งมันก็ไม่รู้สึกว่าอุจจาระหรืออะไรด้วยซ้ำไป ถ้าเราพูดอย่างภาษาคนก็มีสุนัขตัวหนึ่งกินอุจจาระเข้าไปแล้ว แต่ถ้าพูดอย่างภาษาธรรม มันก็ไม่มีอะไร ไม่มีสุนัขหรือไม่มีอุจจาระ นี่ธรรมชาติ เหตุปัจจัยสังขารเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของมัน เนื้อหนังมันรู้สึกหิวมันก็ต้องไปงับอะไรกินกลืนเข้าไป เราก็ไปดูสัตว์เล็กๆ น้อยๆ จะเห็นได้ง่าย โดยเฉพาะพวกสัตว์จุลินทรีย์ ไม่มีความคิดนึกอะไร มันก็กินอาหาร
นี่ให้รู้ว่าคำพูดที่ลึก เพิ่งเกิดทีหลัง ลึกกว่า คมคายกว่า รุนแรงกว่า เป็นคำพูดของภิกษุณีชื่อวชิรา พูดเรื่องอนัตตา สุญญตา รุนแรงกว่าคำพระพุทธเจ้าตรัสเสียอีก ว่า “ทุกข์มีอยู่ ผู้ทุกข์หามีไม่” “การกระทำมีอยู่ ผู้กระทำหามีไม่ ” ว่าไปได้เรื่อย จนกระทั่ง “ การตายก็มีอยู่ แต่ผู้ตายหามีไม่ ” เพราะฉะนั้นควรจะรู้ไว้เสียด้วยเป็นหลักอย่างหนึ่งว่า คำพูดที่รุนแรงกว่าครูก็มี มีอยู่เรื่อยๆ และก็ถูกแล้วรุนแรงด้วย ถูกอย่างรุนแรง จนกระทั่งมาถึงคำเดี๋ยวนี้ที่ว่า “ นิพพานคือตาย อยู่ที่ตายเสียก่อนตาย ” เป็นคำพูดที่รุนแรงมาก รุนแรงกว่าที่พระพุทธเจ้าหรือพระสาวกเคยพูดด้วยซ้ำ นั้นอย่างประมาทคนชั้นหลัง ถ้าเขามองเห็นอะไรลึกเข้าไปเขาก็พูดใหม่ ออกมาในรูปอื่นมันก็รุนแรงได้เหมือนกัน
ที่นี้ยิ่งกว่านั้น ผมอยากจะพูดไปเลยว่า ไอ้การที่สาวกชั้นหลัง พูดอะไรให้รุนแรงให้ชัดยิ่งขึ้นไปกว่าเดิมนี่เป็นของธรรมดา ต้องมีอย่างแน่นอนและเป็นของธรรมดา ยกตัวอย่างในฝ่ายคริสต์เตียน ศาสนาคริสต์ พระเยซูก็พูดเรื่องไม่มีเรา ไม่ให้มีตัวของตัว ไม่เห็นแก่ตัว ให้เอาตัวไปให้เพื่อนบ้านเสีย ให้เอาตัวไปให้พระเจ้าเสีย ไม่มีตัวของตัว นี่ก็พูดอย่างเนื้อผ้าตามเนื้อผ้าธรรมดานี่ตามปกติ นี้สาวกชั้นหลังเช่น เซ็นต์ปอลล์ มาสอนพวกชาวเมืองโครอินเทียร (นาที่ที่ 15:35) อย่างที่ผมเคยยกมาพูดเล่าให้ฟังว่าเป็นหัวใจของศาสนาคริสต์เตียนอย่างยิ่งคือคำพูดเหล่านั้น เมื่อมีสามีก็ให้เหมือนกับไม่มีสามี มีภรรยาก็มีจิตใจเหมือนกับไม่มีภรรยา มีทรัพย์สมบัติก็มีจิตใจเหมือนกับไม่มีทรัพย์สมบัติ มีทุกข์ มีความทุกข์ก็มีจิตใจเหมือนกับไม่มีความทุกข์ แล้วมีความสุขก็มีจิตใจเหมือนกับไม่มีความสุข แล้วประโยคสุดท้ายว่า ไปซื้อของที่ตลาด อย่าเอาอะไรมา นี่มันรุนแรงเท่าใดคิดดู มันเป็นสาวกพูดเอาเนื้อหาสาระของพระศาสดามาพูดใหม่เป็นคำพูดที่รุนแรงอย่างนี้ นี่เป็นของธรรมดา เนื้อความมันเท่าเดิม อย่ารู้สึกว่ามีอะไรเป็นของเราเป็นอันขาด เป็นของพระเจ้า ถ้าพูดตัดบทแล้วเป็นของพระเจ้า ลูกเมีย ทรัพย์สมบัติ เงินทอง สุขทุกข์อะไรก็ตาม แม้ของที่เราไปซื้อมาก็ของพระเจ้า ไม่ใช่ของผู้ขายหรือของผู้ซื้อ นั้นที่เราถือมาไม่ใช่ของเรานั้นจึงไม่ได้ถือมา นี่คือหัวใจของศาสนาคริสต์เตียน ซึ่งเป็นอย่างเดียวกับของพุทธ
นั้นถ้าเข้าถึงหัวใจกันแล้ว ศาสนาทุกศาสนามันเหมือนกันเป็นอันเดียวกันตรงนี้ ตรงที่ไม่ให้มีตัวกูของกูนี้ นี่ถ้าเราจะเอาคำพูดที่ว่าตายเสียก่อนตาย ไปใช้กับทฤษฎีอันนั้นก็ได้เหมือนกันนะ คือเมื่อเราไม่รู้สึกว่าเรามีเรา มีตัวเรา มีของเรา มันก็คือตายแล้วก่อนตาย ตั้งแต่มีชีวิตอยู่ตัวเราไม่มีแล้วมีค่าเท่ากับตายแล้ว มันเหลือแต่ กาย จิต ร่างกายจิตใจที่จะแยกเป็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แล้วแต่จะแยก ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาณ ก็แล้วแต่จะแยก มันมีแต่อย่างนั้นแหละ ธรรมชาติอย่างนั้นแหละ ไม่มีตัวฉันไม่มีของฉัน อันนั้นแหละมันมีสติปัญญาบ้าง มีความโง่บ้าง ถ้ามีสติปัญญาก็ทำไปอย่าง มีความโง่ก็ทำไปอย่าง ถ้ามันมีความโง่มันก็คิดว่ามีตัวกู มีตัวฉันมีของฉัน ตลอดเวลาที่มันยังคิดว่ามีตัวฉันของฉันอยู่เป็นความโง่ทั้งนั้น พอมันเอาออกไปเสียไม่มีตัวฉันไม่มีของฉัน เป็นธรรมชาติเป็นสมบัติของพระเจ้าของธรรมชาติ อย่างนี้มันก็ฉลาดขึ้นมาทันที ทีนี้ใครมันรู้สึกไม่ได้ มันยากที่จะรู้สึกได้ เอ้า,ทีนี้ระวังให้ดีว่าไม่มีความรู้สึกว่าตัวกูว่า ของกูนี่เรียกว่า “ ตาย ตายแล้วก่อนตาย ”
ที่นี้ก็มาถึงเรื่องที่จะต้องระวังอีกเรื่องสำคัญคือคำพูดที่มันดิ้นได้ หลายแง่หลายมุม ที่เรียกว่าภาษาคนภาษาธรรม “ ตายก่อนตาย ” นี่มี ๒ ความหมาย ตายก่อนตายอย่างอันธพาลก็มี ตายก่อนตายอย่างพระอริยะเจ้าก็มี “ตายซะก่อนตายอย่างอันธพาล” ก็หมายความว่ามันเลว เลวหมดท่าเลย มีความประมาทเต็มที่ก็เรียกว่าคนตายแล้วเหมือนกัน ตายแล้วยังไม่ทันตายเหมือนกัน มันยังเดินได้อยู่แต่มันตายแล้ว โดยพุทธภาษิตว่า เย ปะมัตตา ยะถา มะตา ปะมาโท มัจจุโนปทัง (นาทีที่19:43) ประมาทเป็นทางแห่งความตาย เย ปะมัตตา ยะถา มะตา (นาทีที่19:56) “ผู้ประมาทแล้วชื่อว่าคนตายแล้ว” เป็นพระพุทธภาษิต ในหนังสือนี่ก็มีไปเปิดดู พุทธศาสนาภาษิตนักธรรมตรีล่ะมี ผู้ประมาทชื่อว่าผู้ตายแล้ว อย่างนี้มันคนอันธพาล ตายอย่างอันธพาล คือคนโง่ คนหลง คนพาล คนประมาทถึงที่สุด นี่ถือว่าเป็นคนตายอยู่ตลอดเวลา คนอย่างนี้ก็จะตายแล้วก่อนตายเหมือนกัน แต่มันตายอย่างอันธพาล ที่นี้ถ้าว่า “ตายอย่างพระอริยะเจ้า” ตายแล้วก่อนตายหมายถึงว่า มันมีสติปัญญารู้ว่าไม่มีตัวฉัน ไม่มีของฉัน ไม่มีตัณหา ไม่มีอุปาทานเกิดขึ้นได้ อย่างนี้ตัวกูตายไป ตัวกูของกูตายไป เหลือแต่เบญจขันธ์ที่บริสุทธิ์ หรือในขณะนั้นกำลังเป็นเบญจขันธ์ที่มีปัญญา หรือความบริสุทธิ์ อย่างนี้ก็เรียกว่าตายแล้วเหมือนกัน ตัวฉันตัวกูตายแล้วตั้งแต่ก่อนตาย แล้วไม่มีความทุกข์ เป็นตายก่อนตายชนิดที่ถูกต้อง ที่ควรปฏิบัติ เป็นวิธีของพระอริยะเจ้า ที่นี้ส่วนที่ไปทำชั่ว ทำเลว ทำโง่ ทำหลงให้มันหมดค่าหมดราคา ไปเหมือนกับคนตายแล้ว มันตายอย่างอันธพาล ตายก่อนตายนั้นมันตายอย่างอันธพาล นี้ต้องรู้ไว้ว่าไอ้ที่ตาแก่อะไรก็ไม่รู้คนหนึ่งพูดว่า นิพพานอยู่ที่ตายแล้วก่อนตายนี่ เขาก็หมายถึงอย่างหลังอย่างพระอริยะเจ้าว่า คืออย่างที่มีสติปัญญามีความรู้ธรรมะ ไม่เกิดความยึดมั่นว่าตัวกูว่าของกู แกหมายอย่างนั้น
ไอ้เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ควรเอาไปดู ไปพิจารณาดูไป ทดสอบดูให้เห็นชัดอยู่เสมอว่ามันมีอยู่ ๒ ความหมายอย่างนี้ ไอ้ตายก่อนตายชนิดหนึ่งใช้ไม่ได้ มันเลวถึงที่สุดไปเลยคือ เป็นประมาท เป็นความไร้ ไร้ค่า ไร้ความหมาย ไร้สาระไปเลย แต่อีกทางหนึ่งเป็นเรื่องสูงสุด มีสาระถึงที่สุด เป็นนิพพาน ไม่มีความทุกข์อีกต่อไป นี่มันเกี่ยวกับจิตใจ มีอะไร ถ้ามีอวิชชา มีความโง่มันก็ตายก่อนตายอย่างอันธพาล เอากิเลสตัณหาเข้าว่า ตัวกูไม่มีเอาแต่กิเลสตัณหาตามที่มันต้องการ มันก็ทำไปอย่างอันธพาล เป็นจิตว่างอย่างอันธพาล เอาประโยชน์ท่าเดียวไม่ต้องคิดถึงอะไร ที่นี้ถ้ามันมีสติปัญญา มันรู้ตามความเป็นจริง รู้ธรรมะที่ว่า ธรรมะสักว่าธรรมะ ธรรมชาติสักว่าธรรมชาติ ไม่มีสัตว์บุคคล ตัวตน เราเขา อย่างนี้มันก็เป็นว่างอย่างแท้จริง เป็นว่างอย่างพระอริยะเจ้า หรือว่าตายเสียก่อนตายตามแบบของพระอริยะเจ้า แล้วเราก็หมายกันถึงข้อนี้ ไอ้อย่างแรกมันมีตัวกูของกู คิดดูว่าจัดจนไม่รับผิดชอบ จนไม่รับรู้ ไม่รับผิดชอบมันมีตัวกูของกูเดือดจัดขนาดนั้น อย่างนั้นตายก่อนตายเหมือนกัน ยังหายใจได้ก็ตาย ตายจมดิ่งโลกันต์ มหานรกไปเลย ที่นี้ถ้ามันมีสติปัญญา ไม่ยึดถือตัวกูของกู มันก็ตายก่อนตายเหมือนกัน แต่เป็นเรื่องนิพพานไปเลย มันคนละแบบ
ที่นี้คนธรรมดาสามัญเคยชินแต่เรื่องมีตัวฉัน มีตัวฉัน ต้องมีตัวฉัน ไม่อย่างนั้นจะมีสาระอะไร มีค่าอะไร จะมีความหมายแก่ใคร ความสุขจะมีความหมายแก่ใครถ้าไม่มีตัวฉัน เขาต้องการจะมีตัวฉันเป็นผู้มีความสุขอยู่เรื่อย เป็นผู้ทำนั่นทำนี่อยู่เรื่อย นี่แหละปุถุชนคนธรรมดา ไม่เข้าใจคำพูดที่ว่า “ การกระทำมีอยู่ แต่ผู้กระทำหามีไม่ ” ของภิกษุณีรูปนั้น ถ้าคุณไม่เข้าใจข้อนี้ คุณก็ยังเป็นปุถุชนหนาอย่างยิ่งอยู่ ไม่เข้าใจคำว่าการกระทำมีอยู่ แต่ผู้กระทำหามีไม่ ไปคิดดูให้ดี ที่นี้คนปุถุชนนี่มันต้องการจะมีตัวฉัน แล้วมันก็จะคิดไปในทางที่จะให้มีตัวฉันอยู่เรื่อย ต้องการให้มีตัวฉันอยู่เรื่อยไป ไม่อยากจะหมดตัวฉัน ก็เลยว่ามีตัวฉัน มีตัวฉันชนิดที่มีปัญญาไม่ดีกว่า ไม่ดีกว่าไม่มีตัวฉันเสียเลยเหรอ นี่คนปุถุชนคนธรรมดาสามัญ จะร้องอุทธรณ์ขึ้นมา จะขอแย้งร้องอุทธรณ์ขึ้นมาว่า มีตัวฉันอย่างที่มีปัญญาสิ ให้มีตัวฉันอย่างที่มีปัญญาอย่าไปยึดถือนั่นและยึดถือนี่ เขาจะคิดอย่างนี้แล้วเขาคิดว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ มีตัวฉันที่มีปัญญาอย่าไปยึดถืออะไร ไอ้อย่างนี้คำพูดมันขัดกันอยู่ในตัว ถ้ามีตัวฉันนั่นแหละมันคือยึดถืออยู่แล้ว เขาจะมีตัวฉันที่ไม่ยึดถืออะไรมันก็เป็นไปไม่ได้ ไอ้คนพวกนี้อยากมีตัวฉันเรื่อย ขอมีตัวฉันที่เป็น ไม่ยึดถือ มีตัวฉันที่มีปัญญา อย่ามีตัวฉันที่ไปโง่ไปยึดถือ ให้ตัวฉันประเภทหนึ่งเป็นตัวฉันที่โง่ ยึดถือตัวกูของกูอยู่ ตัวฉันอย่างนี้ไม่เอาถูกแล้ว แล้วไปมีตัวฉันอีกแบบหนึ่ง ตัวฉันที่มีปัญญาไม่ยึดถืออะไร นี่มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะความรู้สึกที่รู้สึกว่าตัวฉันคือความโง่ ถ้าเรามีปัญญาจริง ความรู้สึกว่าตัวฉันมันมีอยู่ไม่ได้ มันก็ไม่มี ฉะนั้นเหลือแต่ร่างกายกับจิตใจที่บริสุทธิ์ ไม่เรียกว่าตัวฉัน เอาแหละเขาจะร้องขออีกครั้งว่าเอานี่ ร่างกายจิตใจที่บริสุทธิ์ไม่ยึดถือว่าตัวฉัน เอานี่มาเป็นตัวฉันอีกทีเถอะ ฉันอยากจะมีตัวฉัน มันก็ได้แต่พูดอยู่นั่นแหละ เพราะว่าถ้าไม่ยึดว่าตัวฉันมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าว่ายังมียึดถืออยู่ ยังมีตัวฉันยึดถืออยู่มันก็ยังไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้นเลย
ที่นี้ปัญหามันก็มาถึงเรื่องที่ว่าพูดแต่ปากสิ ทีนี้พูดแต่ปากสิ นี่จะมายึดติดกันได้ตอนนี้ ถ้าพูดว่าตัวฉันก็ตัวฉันแต่ปากสิ ที่ผมเคยพูดว่าไอ้ปากอย่างใจอย่าง หัดกันเสียใหม่เป็นคนปากอย่างใจอย่าง เมื่อปากพูดว่าตัวฉันใจอย่าเป็น อย่างนั้นก็ได้ นี่ก็เหมือนกับที่ว่า ผู้รู้แล้วเป็นพระอรหันต์แล้ว เขาพูดปากอย่างใจอย่างทั้งนั้นแหละ พระพุทธเจ้าพูดว่า ตถาคต อย่างนี้ ไม่มีหรอก ตถาคต จริงๆ ไม่มีหรอก แต่ปากก็พูดว่าตถาคต หรือเราหรือฉัน นั่นแหละคือความที่มันตายแล้วก่อนตาย ฉันก็ยังพูดอยู่ ยังเป็นอยู่ ยังเดินอยู่ อะไรอยู่ แต่มันตายแล้วเป็นฉันที่ตายแล้ว เป็นฉัน เป็นตัวเราตัวฉัน ตถาคต อะไรก็ตามแล้วแต่จะพูดไปคำชนิดไหน แต่ตายแล้วตายเสร็จแล้ว ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้น นี่คำอธิบายคำพูดที่ว่านิพพานอยู่ที่ตายเสียก่อนตาย คือว่านิพพานอยู่ตรงที่ไม่มีตัวฉัน เมื่อใด หรือที่ไหน หรือใคร ไม่มีความรู้สึกว่าตัวฉันเมื่อนั้นเป็นนิพพาน พอมีรู้สึกว่าตัวฉันขึ้นมาเท่านั้นแหละ ไม่เอาปากเป็นเกณฑ์กันนะเอาใจเป็นเกณฑ์กันนะ พอใจรู้สึกว่ามีตัวฉันมันก็เป็นวัฏฏะสงสารเป็นความทุกข์ นั้นระวังให้ดี วันหนึ่งๆ เดี๋ยวเป็นวัฏฏะสงสาร เดี๋ยวเป็นนิพพาน เดี๋ยวเป็นวัฏฏะสงสาร เดี๋ยวเป็นนิพพานสลับกันอยู่ในคนๆ เดียวกัน เดี๋ยวเป็นวัฏฏะสงสาร เดี๋ยวเป็นนิพพาน
ที่นี้ก็ต้องรู้ต่อไปถึงข้อที่ว่า ถ้านิพพานนี่มันก็หลายชนิด นิพพานแท้จริงเด็ดขาดกับนิพพานที่ไม่แท้จริงไม่เด็ดขาด ที่นี้นิพพานที่ไม่แท้จริงไม่เด็ดขาดนี้ก็ยังมีหลายชนิด มันเป็นไปอย่างบังเอิญ หรือเป็นไปเพราะเราบังคับไว้ไม่ให้เกิดความยึดถือ อย่างนี้ก็มี ไอ้นิพพานที่ยังไม่แท้จริงแต่ก็เรียกว่านิพพานเหมือนกัน อันนี้ก็มีหลายชนิด แม้แต่ว่านอนหลับเสียสบายไม่มีเรื่องอะไร มันก็เป็นไอ้ความหมายหรือมีความหมายอย่างนิพพานชนิดหนึ่งเหมือนกัน แต่เขาไม่เรียกนิพพาน ทีนี้ถ้าบังเอิญไปเห็นอะไร ได้ยินอะไร ชนิดทำให้จิตใจมันวูบลงไปในเรื่องสลดสังเวช ไม่ยึดมั่นถือมั่นไปชั่วขณะหนึ่งนั่นก็เป็นนิพพานโดยบังเอิญ ทีนี้ถ้าไปทำสมาธิให้ถูกวิธี ให้เย็นอยู่ตลอดเวลา ลืมตัวกูของกูอยู่ตลอดเวลา นี่ก็เป็นนิพพานชนิดที่บังคับเอาไว้ แต่ว่านิพพานเหล่านี้ทุกชนิดไม่ใช่นิพพานจริง เรียกว่านิพพาน เหมือนกัน แต่ไม่ใช่นิพพานเด็ดขาดไม่ใช่นิพพานถาวร ไม่เป็นสมุทเฉทประหาร ต้องไปทำโดยวิธีที่ถูกต้องจนว่ามันดับสนิทลงไปจริงๆ เกิดอีกไม่ได้ ตัวกูของกูเกิดอีกไม่ได้ จึงจะเป็นนิพพานถาวร นิพพานจริง ไอ้นิพพานจริงแต่ยังไม่ถึงจริงแท้ ก็ยังมีอยู่หลายชั้น อย่างพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี ที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ ก็เป็นนิพพานอยู่ในประเภทจริงเหมือนกันแต่มันยังไม่ถึงขนาด ไม่ถึงขนาดสมบูรณ์ แต่มันเริ่มเป็นนิพพานจริงเข้าไปตามลำดับ พวกโลกุตรธรรม ๙ นี้ ที่เรียกกันชั้นหลังว่า โลกุตรธรรม ๙ นี้ คือมันเป็นฝักฝ่ายของนิพพานหมด กระทั่งเป็นนิพพานจริงรวมอยู่ด้วย
ทีนี้ไอ้พวกเราปุถุชนนี้ที่ยังมีกิเลสนี้ เมื่อใดว่างจากกิเลสโดยเหตุใดก็ตามนั้นมีนิพพานตัวอย่าง นิพพานชิมลอง นิพพานชั่วขณะ นิพพานชั่วที่ข่มเอาไว้บังคับเอาไว้ แล้วแต่กำลังทำได้อย่างไร ถ้าไม่มีนิพพานอย่างนี้เข้ามาช่วยเสียเลย มันเป็นบ้าตาย แล้วก็ตายแล้วด้วย ไม่กี่วัน ไม่กี่ชั่วโมงมันต้องตายแล้วด้วย ถ้ามันมีแต่วัฏฏะสงสารเดือดพล่านอยู่ตัวกูของกูเรื่อย ไม่กี่วันมันก็ต้องตาย เป็นบ้าแล้วก็ตาย นี่ธรรมชาติมันใส่มาให้เสร็จคือไอ้นิพพานชั่วคราว นิพพานชิมลอง นิพพานไอ้ ประทังไอ้ความบ้า ความตายไอ้นี่ไว้พอดีๆ กัน จึงไม่ถึงกับตาย นั้นเวลาที่เรานอนหลับพักผ่อน นี่มันก็มีความหมายอย่างเดียวกัน เวลาที่เราไม่เกิดตัวกูของกู เราเหนื่อยขึ้นมา ขี้เกียจขึ้นมา ขี้เกียจบ้ามันแล้วโว้ย หยุดเสียที นี่มันก็ช่วยประทังไว้เหมือนกัน หรือว่าเราก็ไปปฏิบัติในทางสมาธิภาวนาหยุดได้มาก หยุดได้นานนี้มันก็ดีมากขึ้นไปอีก ก็ประทังไอ้ความบ้าและความตายได้มากขึ้นอีก นี่การที่อยู่มาได้ไม่ตายนี่มันเป็นเพราะว่ามันมีนิพพานชนิดนี้ช่วยชะลอไว้ คือเป็นเวลาหรือเป็นขณะที่เราไม่มีความรู้สึกว่าตัวกูของกูเกิดขึ้นโดยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง อย่างนี้มันก็เป็นนิพพานชนิดนั้น ในอันดับนั้นในตามธรรมชาติ แต่ที่คนนี้เขาพูดว่านิพพานอยู่ที่ตายเสียก่อนตาย นี่เขาเล็งความหมายกว้าง คือว่าได้ทั้งสองอย่างเลย คือนิพพานจริงเด็ดขาดก็ได้ นิพพานที่ยังไม่เด็ดขาดนี่ก็ได้ ถ้าแกอยากได้นิพพานชิมลอง ก็ลอง ลอง ลองไม่มีตัวกูของกูดูสักพักหนึ่งสิ มันก็ได้นิพพานตัวอย่างมา เป็นตัวอย่างสินค้าได้เหมือนกัน อ้าวถ้าอยากนิพพานจริงก็ให้มันเด็ดขาดลงไป ก็ไม่มีความทุกข์จริงเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นคำว่า “ตายเสียก่อนตาย” นี่เป็นความหมายอย่างเดียวกับนิพพาน คือแทนชื่อนิพพานได้ ดังนั้นมันจึงมีหลายชั้นหลายระดับอย่างเดียวกันอีก ในเมื่อคำว่า นิพพาน มันมีหลายความหมายหลายชั้นหลายระดับ ไอ้คำว่า “ ตายเสียก่อนตาย ” มันก็มีหลายชั้น หลายความหมาย หลายระดับ ระดับน้อยๆ มันก็ให้ผลน้อยๆ แต่ถึงอย่างไรก็ตามเถอะ มันมีประโยชน์ ไอ้เรื่องให้ตัวกูของกูตายไปเสียสักขณะหนึ่ง เป็นขณะ ขณะหนึ่งนี่มันมีประโยชน์ ไม่นั้นมันเป็นบ้า ไม่กี่วันมันก็ตายจริงๆ ด้วย ตายร่างกายตายเลยทีนี้ นั้นกิเลสเดือดจัดจนนอนไม่หลับ นี่ มันก็คือตัวกูของกูมันเดือดจัด เป็นความโลภ เป็นความโกรธ เป็นความหลง เป็นความอะไรก็ตาม จนนอนไม่หลับ มันก็เป็นบ้า เป็นบ้าแล้วก็ตาย นั้นใครรู้จักหยุดตัวกูของกูได้เท่าไรมันก็มีประโยชน์เท่านั้น ทีนี้ไอ้คนตะกี้ที่ว่าอยากจะขอให้ว่าขอเสนอให้ว่ามีตัวฉันที่มีปัญญาตัวฉันที่ตายก่อนตายก็เอา ตัวฉันที่ตายก่อนตายก็เอา แต่ขอให้เรียกว่าตัวฉัน ก็ต้องกลายเป็นเรื่องพูดกันแต่ปากนะ ตัวฉันแต่ปากก็ได้ ตัวฉันจริงๆ แล้วก็ไม่ได้ ไม่มีทางทำได้ มันไม่มีการตายก่อนตายได้เลย
ไปศึกษามาตั้งแต่การนอนหลับ ว่าสบายยังไง นอนหลับสนิทจริงๆ น่ะมันสบายยังไง แล้วก็อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี เช่นอย่างที่นี่หรือที่ไหนก็ตาม ในสิ่งแวดล้อมที่มัน มีอะไรแวดล้อมที่มันดี จนไม่เกิดตัวกูของกูขึ้นมานี่มันสบายยังไง หรือว่าไปอยู่ในสมาธิที่เหมาะสมที่ถูกกันกับนิสัย จริต ที่เหมาะสมแล้วสบายอย่างนี้มัน สบายอย่างไร ก็ไปดูสิ ทีนี้ก็ง่ายนิดเดียวคือขยายไอ้สบายอย่างนี้ออกไปเรื่อย ขยายให้มันยาวออกไป ถ้ามันจะหยุดหรือมันจะสิ้นสุดเสียอย่าให้มันสิ้นสุด ไอ้นิพพานชั่วคราว นิพพานชิมลอง นิพพานตัวอย่างสินค้านั่นหล่ะเอาไว้ให้ได้ แล้วอย่าให้มันดับไปเสียให้มันขยายออกไป ขยายออกไปๆ พูดง่ายๆ คือว่าเวลาที่ตายเสียก่อนตายให้มันขยายเวลาออกไป ขยายเวลาออกไปๆ ไอ้เวลาที่เป็น เป็นตัวกูของกูมันก็น้อยลง น้อยลง เนื้อที่มันน้อยลงเพราะทางนี้มันขยายออก ถ้าเราเก่งมากวันหนึ่งคืนหนึ่งมันก็เป็นอยู่แต่ไอ้นิพพาน ไอ้ตายก่อนตายนี่เรื่อยไปไม่เผลอ ถ้าทำอย่างนี้ได้บ่อยๆ เข้า หลายๆ เดือนหลายๆ ปีเข้า ไอ้ใครทางโน้นแหละมันหมด หมดความเคยชิน หมดอนุสัยคือหมดความเคยชิน ความเคยชินที่เกิดตัวกูของกูนั้นมันค่อยๆ เสื่อมกำลัง ถอยกำลังจนมันหมดความเคยชินไม่อาจจะเกิดได้ หมดสังโยชน์หมดอนุสัย พูดอุปมาอีกแบบหนึ่งก็ว่ากิเลสไม่ได้กินอาหาร ถ้าเราปฏิบัติได้ ปฏิบัติชนิดตายก่อนตายอยู่ได้ทั้งทุกๆ ชั่วโมง ทุกๆ วัน ทุกๆ เดือนนี้ กิเลสไม่ได้กินอาหาร ความเคยชินของกิเลส เรียกว่ากิเลสไม่ได้กินอาหาร ความเคยชินของกิเลสไม่มีโอกาสแสดงบทบาทอย่างนี้เราเรียกว่ากิเลสไม่ได้กินอาหาร ทีนี้กิเลสไม่ได้กินอาหารมากเข้า มากเข้า หลายวัน หลายเดือน หลายปีเข้า มันจะเป็นอย่างไร ก็คือว่า เรียกว่า มันผอม เรียกว่ามันผอม ผอมๆๆ ถ้ามันผอมขนาดนั้นมันต้องตายแน่ คือมันเริ่มเดินไปในทางเสื่อมในทางสิ้นมันก็ต้องตายแน่ นี่เรียกอุบายวิธี จับเสือคือกิเลสนี่ จับกิเลส จับเสือคือกิเลสมากักไว้ในภาวะที่มันไม่ได้กินอาหาร แล้วมันจะเป็นยังไง เราไม่ต้องทำอะไร เพียงว่าจัดไว้ในภาวะที่มันไม่ได้กินอาหาร ก็ด้วยตายเสียก่อนตาย ตายเสียก่อนตายขยายยืดเวลาออกไปไว้เรื่อย ไอ้ตัวกูของกูไม่มีโอกาสโผล่หัวนานเข้ามันผอมลง ผอมลง เพราะมันไม่ได้โอกาสที่จะกินอาหารมันก็ต้องตาย มันมีความเคยชินไปในทางที่จะดับ จะตายจะดับ ก่อนนี้มันมีความเคยชินในทางจะเกิดจะโผล่หัว จะแสดงบทบาท นั้นจึงเรียกว่าไม่ต้องรู้อะไรมาก ไอ้รู้มากยากนาน รู้มากก็เพื่อยกหูชูหาง มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร รู้แต่ตรงนี้แหละรู้แต่คุมไอ้ตายเสียก่อนตายนี่ให้มันอยู่ก่อน เมื่ออยู่แล้วขยายให้กว้างออกไป ยาวออกไป ยาวออกไป จนวันหนึ่งมันไม่มีโอกาสจะเกิด สองวันก็ไม่มีโอกาสจะเกิด สามวันก็ไม่มีโอกาสจะเกิดนี่ มันก็เรื่องเดียวกัน ในที่สุดมันผอมตาย เป็นนิพพานจริงขึ้นมา นั้นนิพพานตัวอย่าง นิพพานชิมลอง นิพพานชั่วคราวชั่วขณะนั้นจับไว้ให้ได้ และขยายให้ยาวออกไปยืดออกไปในที่สุดก็ต้องเป็นนิพพานจริงขึ้นมา ไม่ต้องหลายอย่าง ไอ้อย่างนี้มันจะล้มลุก ล้มลุก ทีนี้ทำไม่ให้มันล้มลุก ให้มันตั้งแน่วอยู่เรื่อยจนมันล้มไม่ได้อีกต่อไป
นั้นคำที่ไอ้ตาแก่คนนี้พูดนิพพานคือตายเสียก่อนตาย ก็มีความหมายกว้าง คือว่าอย่างจริงแท้ก็ได้ อย่างชั่วคราวก็ได้ อย่างตัวอย่างสินค้าก็ได้ นั้นเอาไปทำให้มันถูกกับเรื่องแล้วกัน ทดลองตายเสียก่อนตายพอเป็นตัวอย่าง พอชิมลอง ชิมสินค้าตัวอย่างดูก็ได้ ก็จะรู้ว่าเออมันก็สบายโว้ย มันก็เป็นของเย็น ตามความหมายของคำว่านิพพานที่แปลว่า “เย็น” ก่อนนี้เคยพูดกันอย่างฟุ้งซ่านมาก รวมทั้งผมเองด้วย นิพพานไม่รู้แปลว่าอะไร แปลได้หมดทุกอย่าง แต่พอตอนท้ายมาพบ ค้นกันหมดทั่วถึงแล้วมันพบว่าแปลว่า เย็น ในทีนี้ก็เย็นเพราะว่าหมดความร้อนคือกิเลส หมดตัวกูของกู หมดวัฏฏะสงสาร คือเย็น นิพพานแปลว่า “เย็น” ภาษาชาวบ้านพูดภาษาคนป่าเถื่อนสมัยโน้นพูด
เดี๋ยวนี้ถ้าพูดภาษาบาลี ถ้าไฟดับก็ยังว่า ไฟนิพพาน อยู่นั่น ถ้าพูดภาษาบาลีกันนะ ถ้าไฟมันดับนี่เรียกว่าไฟนิพพาน ไฟถึงซึ่งนิพพาน หมายถึงไฟเช่น ไฟฟ้าหรือไฟตะเกียงนี่มันดับลงไป ของร้อนคือไฟ ถ้ามันเย็นลง ดับลงก็คือนิพพาน นี่คนป่าสมัยโน้นก็พูดเป็นคำว่านิพพานแต่ในความหมายวัตถุ ทางวัตถุ ทางเรื่องภายนอก ทางวัตถุ เดี๋ยวนี้มันพูดทางเรื่อง ทางธรรม ทางภายใน ทางจิตใจ หมายถึงไฟคือกิเลสมันดับลงไปแล้วมันก็เย็น เมื่อมีตัวกูของเกิดขึ้นเป็นวัฏฏะสงสารก็ร้อนวู่ๆ ร้อนหลายแบบแต่ว่าร้อนทั้งนั้นแหละ พอตัวกูของกูดับไป ก็เป็นนิพพานมันก็เย็น มันก็เย็นได้หลายแบบเหมือนกัน จนกว่ามันจะเย็นมีแบบเดียว ถ้าเย็นยังไม่จริงมันก็มีหลายแบบ
นั้นหัดตายเสียก่อนตายเล่นเล็กๆ น้อยๆ ดูก่อนก็ได้ เป็นไรไป ถ้ามันยังไม่เก่งพอที่จะทำได้มาก ก็ทำน้อยๆ ดูบ้าง วันหนึ่งๆ กี่นาทีกี่ชั่วโมงลองเย็นดูว่า เป็นเวลาที่ไม่มีตัวฉันไม่มีของฉัน ไม่มีตัวฉัน เย็นยังไง ถ้ามันโง่มากเกินไปธรรมชาติมันก็คอยช่วยอยู่บ่อยๆ ธรรมชาติช่วยทำให้ฟลุคให้เย็นอยู่ได้บ่อยๆ หมายความว่าคนนั้นมันโง่เกินไปทำเองไม่ได้ ธรรมชาติมันก็ยังช่วยแวดล้อมให้ได้บ้างในบางคราว หรือเพื่อนฝูงครูบาอาจารย์พูดจาชี้ชวนอย่างนั้นอย่างนี้มันก็เย็นลงไปได้ในบางคราว นี่หมายความว่าทำเองไม่เป็นทำเองไม่ได้ หรือเอาหนังสือบางเล่มมาอ่าน ถ้าปะเหมาะเข้ามันก็พบไอ้ที่ทำให้เย็นลงได้ในบางคราว แล้วยังมีหลายวิธีที่จะเย็นดูบ้างเป็นตัวอย่าง เป็นสินค้าตัวอย่าง แต่อย่าลืมว่าเวลานั้นมันเป็นเรื่องลืมตัวกูไม่มีตัวกู ตัวกูตายอยู่ ไม่เกิดและตายอยู่ โดยที่ร่างกายนี้ไม่ต้องตาย นามรูปนี้ยังไม่ต้องแตกดับ แต่ตัวกูตายได้
เอาล่ะทีนี้ไปมองดูข้อเท็จจริงที่บุคคล ที่มนุษย์ มันจะพบว่าเขาเคยชิน ความรู้สึกเคยชินแต่มีตัวฉัน ไม่ยอม ไม่ยอมตายก่อนตายแน่ แล้วหาว่าคำพูดนี้บ้าๆ บอๆ ไม่มีประโยชน์ คำพูดว่า “ไม่มีตัวเรา” ของพระพุทธเจ้า คนประเภทนี้ยังหาว่าบ้าๆ บอๆ แล้วนะ เขาไม่ยอมเชื่อพระพุทธเจ้าว่า ไม่มีตัวเราไม่มีตัวฉัน ไม่ยอมเชื่อ พระพุทธเจ้าพูดก็ไม่เชื่อ แล้วยิ่งตาแก่อะไรคนหนึ่งมาพูดว่าอุ้ย,ตายก่อนตาย สิ ก็ยิ่งหาว่าไอ้นี่ยิ่งบ้าใหญ่เป็นคนบ้า อย่าไปสนใจเลย คำพูดบ้าๆ บอๆ ชนิดนี้ มันก็เลยเหลวไป ก็เป็นผู้ที่มีตัวกูของกู ระอุอยู่ในรูปใดรูปหนึ่ง เร่าไปเร่ามา ร้อนไปร้อนมาอยู่นั่น เขาก็ถูกแล้วมันก็เป็นเรื่องถูกแล้ว เพราะเป็นเรื่องไม่เอา ไม่เอาเพราะไม่เข้าใจ เท่าที่ไปเห็นไอ้คนที่ไม่รู้ธรรมะไม่รู้ศาสนาของพระพุทธเจ้านี้จะต้องร้อนอยู่ จะต้องมีเป็นตัวกูของกู ซื้อของที่ตลาดนี่เอาอะไรมาเต็มเชียว เผลอเข้าขโมยด้วย เข้าไปซื้อของที่ตลาดไม่เพียงแต่ซื้อเอามาโดยตรง ตรงไปตรงมา เผลอขโมยของเขามาด้วย นี่มันมากอย่างนี้ แล้วก็มีตัวกูของกูจัดแบบนี้ ส่วนพระศาสดาสอนว่าซื้อของที่ตลาดอย่าเอาอะไรมาหรือว่าที่ไหนก็ตามใจ ไม่มีอะไรที่หอบหิ้วไปเป็นของเราเลย แม้แต่ร่างกายชีวิตนี้ก็ไม่ได้หอบหิ้วไปในฐานะเป็นของเรา ไม่มีตัวเรามันก็ไปของมันเองได้ แม้แต่สุนัขหิวมันไปกินอุจจาระได้ ไม่ต้องรู้สึกว่าเป็นตัวฉันของฉันมันก็ไปกินอุจจาระได้ ไอ้คนคิดได้มากคิดได้เก่งเกินไปมันปรุงไปเป็นตัวฉันของฉัน ไอ้สุนัขนี่มันไปตามความรู้สึกที่เป็น Impulse ทางความรู้สึกมันไปทำอะไรก็ได้ ไม่ต้องมีไอ้ตัวกูของกูอย่างคน แล้วปลานี่ ผมนั่งอยู่ทั้งวันทั้งวันนี่ มันไม่มีโมโหเลย ไม่ได้กินอาหารมันก็ไม่โมโห ถ้าคนไม่ได้กินอาหารตามเวลาแล้วจะโมโหจะพาลหาเรื่องคนนั้นคนนี้ นี่ไอ้ตัวกูของกูมันอยู่ที่ส่วนนี้ ทำไมไม่เอามาให้เรากินถึงเวลาแล้ว นี่เดี๋ยวจะมีเรื่องอย่างนั้นอย่างนี้ขึ้นมา นี่สัตว์ ไอ้นก ไอ้หนู ไอ้ เหล่านี้ มันไม่มีไอ้ความเดือดของตัวกูชนิดนั้น มันมีเนือยๆ น้อยๆ มาก คล้ายๆ กับมันไม่มีตัวตนอยู่ อยู่แล้ว มันจึงมีความทุกข์น้อย มันไปโดยธรรมชาติของมันอีกแบบหนึ่งไม่เหมือนกับของคน ของคนนี่มันรุนแรง เพราะคนมันเป็นชีวิตที่วิวัฒนาการมาก แล้วมันก็แรงไปหมด อะไรก็แรงตามไปหมด ความคิดก็รุนแรง ความรู้สึกก็รุนแรง ยึดถือก็รุนแรง โกรธก็รุนแรง อะไรก็รุนแรง ทำให้พัฒนาตัวกูของกูมันมีมากเกินไป ก็เรียกว่าคนไง นั้นคนต้องเป็นทุกข์มากกว่าสัตว์ นี้เราไม่ต้องการจะเป็นสัตว์ แต่เราจะไม่ให้เสียเปรียบสัตว์ ไม่ให้น้อยหน้ากว่าสัตว์ เราก็อย่าเป็นทุกข์ให้มากกว่าสัตว์ มีวิธีอย่างของคน ที่เป็นทุกข์น้อยกว่าสัตว์ ก็คือ ตายเสียก่อนตาย เพราะว่าเมื่อมันพุ่งไปแรงมากในทางสติปัญญา มันต้องมีวิธีที่จะกดมัน บีบบังคับให้มัน ถอยหลังนี่มากเท่า มากพอกันนี่มันจึงจะทันกันได้ นั้นจึงมีธรรมะสำหรับคนระบบหนึ่งโดยเฉพาะหยุดไอ้ตัวกูของกู ให้มันเย็นเป็นนิพพาน ก็เป็นนิพพานอย่างของคนก็ดีกว่าของสัตว์มากมาย
ผมก็บอกไม่ได้ว่าใครเป็นผู้พูด แต่ผมได้ยินคนแก่ๆ พูดกัน แล้วไม่รู้ว่าคนแก่ๆ เขาไปจำมาจากไหนกี่ชั่วคนมาแล้วก็ไม่รู้ ถ้าใครรู้ ใครรู้ช่วยบอกผมว่าใครเป็นคนพูด ผมรู้แต่ว่าคนแก่ๆ เขาพูดๆ กันมา อาจารย์แก่ๆ อาจารย์ผู้เฒ่าเขาพูด พูด พูดพล่ามๆ อยู่เรื่อย ไม่รู้อะไรก็พูดทั้งนั้นแหละ บางทีโมโหขึ้นมาก็พูด เอามากับตัวเองรำพึงกับตัวเอง งามที่ผี ดีที่สละพระที่จริง นิพพานตายก่อนตาย ก็กลายเป็นหัวใจของพุทธศาสนา และทุกศาสนา ศาสนาไหนก็ตาม ถ้าเป็นศาสนาที่ถูกต้องที่มีความหมายถูกต้องมันต้องดับตัวกูของกูทั้งนั้นแหละ ทีนี่คนฟังคนศึกษามันเป็นคนโง่เสียเอง มันจับฉวยเอาหัวใจของศาสนานั้นไม่ถูก ไปเอาไอ้กระพี้ ไอ้อะไร ของศาสนานั้นมา แล้วมาหาว่าอุ้ย พูดคนละอย่าง มันกลายเป็นคนละอย่าง กลายเป็นคู่ต่อสู้คู่ปรปักษ์กัน มนุษย์ก็เลยมีแต่ศัตรูกัน เป็นศัตรูกันมากขึ้น พยายามทำลายล้างกันมากขึ้น นั้นถ้าเรียนศาสนาของตัวแต่ละคนให้ถูกต้องให้ดี ลดความเห็นแก่ตัวเสียได้ โลกนี้ก็จะมีแต่มิตร มิตรสหาย มีแต่ความสงบสุข นั้นอย่าทำเล่นกับเรื่อง ตายเสียก่อนตาย
ทีนี้ก็อยากจะย้ำถึงคำขวัญของพวกเราตามเคย “ กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู เป็นอยู่เหมือนกับตายแล้ว” กี่พยางค์ ๓ ข้อ “กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู เป็นอยู่เหมือนกับตายแล้ว” เหมือนอย่างที่เป็นๆ อยู่ทุกวันนี้ ทำอะไรไปนี่ไม่ใช่เพื่อเรา ไม่ใช่เราทำด้วยซ้ำไป แล้วก็ไม่ใช่เพื่อเรา ไม่ใช่เพื่อเอาผลของเรา นี่เป็นอยู่เหมือนตายแล้ว “กินข้าวจานแมว” ก็อย่าตะกละ อย่ายกหูชูหางเรื่องจะกินให้ดีให้เด่น อย่างนั้นอย่างนี้อวดกันเรื่องกิน นี่เรียกกินข้าวจานแมว ทีนี้ “อาบน้ำในคู” หมายความว่าอยู่อย่างง่ายๆ ไม่ต้องมีห้องน้ำห้องส้วมไม่ต้องมีอะไรที่เป็นเรื่องหรูหราแบบอยู่ดีกินดี เอาแต่พอได้พออยู่ได้ เรียกว่ากินอยู่พอดี ไม่ใช่กินดีอยู่ดี ที่เคยพูดกันอยู่เสมอ นั้นพยายามหมุนมาทางนี้ มีคนสร้างกุฏิเสร็จแล้ว ๒-๓ หลัง ตอนหลังนี่ เขียนจดหมายมาบอกว่าอยากจะเพิ่มขอให้เพิ่มเติมใส่มุ้งลวด ใส่มุ้งลวดให้กุฏิ ๒-๓ หลังที่เพิ่งสร้าง ผมยังเฉยอยู่ รู้สึกมันไม่จำเป็นหรือมันอาจจะเกินไปก็ได้ เลยยังเฉยอยู่ ไม่ตอบ หรือคิดจะตอบไม่ต้องก็ได้ เพราะกลัวว่าจะทำให้ผู้อยู่มันลืมตัวขึ้นไปอีกนิดหนึ่ง ถ้ามันไม่เคยถูกยุงกัดหรือนอนสบายเกินไปมันจะลืมตัวไปได้อีกนิดหนึ่ง แล้วพระพุทธเจ้าก็ไม่เคยอยู่กุฏิ มีมุ้ง มุ้งลวด หรือมุ้งธรรมดาก็ไม่รู้จัก ในบาลี ในวินัย ในพระสูตร ไม่มีคำว่ามุ้ง หมายความว่าพระพุทธเจ้า ท่านไม่รู้จักมุ้ง แล้วในอินเดียมันก็ยุงชุมตลอดเวลาเหมือนกัน ถ้ามันไม่มียุงมันก็ต้องไม่มีบาลีที่ว่า ฑังสะมะกะสะวาตาตะปะสิริงสะปะสัมผัสสานัง ปะฏิฆาตายะ( นาทีที่ 54:10) อย่างที่สวดอยู่ทุกวัน นี่แสดงว่าอินเดียมันก็มียุงชุม แต่แล้วว่าคำว่า มุ้งมันไม่มี ให้ใช้จีวรนี้เป็นเครื่อง ปะฏิฆาตายะ ( นาทีที่ 54:23) ต่อสัมผัสเหล่านั้น เราก็พูดกันอยู่อย่างนี้ทุกวันนะ เราจะหวังหามุ้ง หามุ้งลวดนอนให้สบายเลย นี่เผลอเข้ามันจะโง่จนเขายาวขึ้นมา ไปหลงว่าโอ้ย,นั่นนี่ นั่นนี่ นั่นนี่ใส่เข้าไป ใส่เข้าไป ผมก็ยังนอนคุยกับยุง ยุงมาร้องเพลงที่หู วี้ วี้ วี้ อยู่ทุกคืน มองไปในแง่ที่มันมาร้องเพลงให้ฟัง ใช้วิธีป้องกันไปตามธรรมชาตินั้นแหละ ก็ทำให้ไม่ลืมตัว ถ้าได้ขยับขยายมันเอ้าทำมุ้งลวด เดี๋ยวทำห้องน้ำ ห้องนอน ทำห้องน้ำในห้องนอน ทำห้องส้วมในห้องนอน มันก็ไปกันเรื่อยไป มันก็เสียที่ว่าอาบน้ำในคู ความหมายที่ว่าอาบน้ำในคู นั่นดี กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู เป็นอยู่เหมือนกับตายแล้ว คือทำอะไรไม่มีตัวเอง ไม่มีตัวเองที่จะทำอะไร แล้วก็ไม่มีอะไรทำเพื่อตัวเอง นี่เหมือนกับตายแล้ว อย่าลืมไปสิ ถ้าข้อนี้ยังเป็นหลักอยู่ ปฏิบัติอยู่แล้วมันมีความก้าวหน้าทางมรรคผลนิพพาน โดยไม่รู้สึกตัว เป็นไปเองโดยไม่รู้สึกตัว ถ้าไปหมุนกลับแล้วมันก็เดินห่างไปคนละทิศคนละทาง ไปทางตัวกูของกูมากขึ้น มากขึ้น วัฏฏะสงสารก็มากขึ้น ถ้ายุงมันกวนแล้วก็ยิ้มได้ หัวเราะได้ ปกติได้ มันก็ดีกว่าที่ว่าโกรธ อึดอัด โกรธแค้น นั้นยุงก็มีประโยชน์ไล่แขกที่ไม่มีมะ(นาทีที่ 56.27) ให้กลับไปเสียเร็วๆ เราให้นอนบนโรงธรรมหรือห้องไหนก็ตามที่มันไม่มีมุ้งนะแล้วยุงมันก็มี แล้วคนเหล่านี้เคยนอนมุ้ง เขาก็นอนไม่หลับ เขาก็โกรธ พอจะพักสัก ๔-๕ วัน ๒-๓ วันกลับแล้ว มันก็ดีเหมือนกัน เอาไว้สอบไล่ว่าเป็นพระมากน้อยเท่าใด รวมความแล้วก็ไอ้เรื่องนี้ “กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู เป็นอยู่เหมือนตายแล้ว” นี่เป็นทั้งบทเรียนเป็นทั้งบทสอบไล่ เป็นทั้งเครื่องช่วยให้มันมีความเหมาะสมอย่างอื่นอีก ใครทำงานเหน็ดเหนื่อยเหงื่อไหลไคลย้อย แล้วไม่หวังอะไรเป็นของตัวเป็นเพื่อตัว คือว่าเป็นอยู่เหมือนกับตายแล้ว มีชีวิตอยู่เหมือนกับตายแล้ว ก็อย่างแบบของพระอริยะเจ้าไม่ใช่อย่างของอันธพาล ขอให้พยายามทำประโยชน์ให้มากที่สุดที่จะทำได้ แล้วอย่ากล้าไปคิดว่าเพื่อตัว เพื่อประโยชน์แก่ตัว เพื่อความดีของตัว เพื่อจะเรียกร้องอะไรเป็นของตัว มันก็คงมีอะไรกระทบกระทั่งบ้างก็ธรรมดา แต่ก็คงมีผลดีมากกว่า ที่ไปสูสีกับไอ้เรื่องอย่างนั้นอย่างนี้ตัวฉันของฉันคนนั้นคนนี้ มันก็เป็นคนธรรมดามากเกินไป แล้วที่บ้านก็เป็นอย่างนั้นอยู่ ทำงานเพื่อลูกเพื่อเมีย ทำงานเพื่อเกียรติยศชื่อเสียง ทำงานเพื่ออะไรซึ่งล้วนแต่ว่าเพื่อตัวกูของกูทั้งนั้น
เดี๋ยวนี้เราทำเพื่อความว่างจึงเรียกว่าเหมือนกับไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ไม่มีตัวฉัน ทีนี้มันต้องอาศัยความกล้าหาญ ความเข้าใจที่ถูกต้องและความแน่ใจ ความกล้าหาญก็ตามมาไม่กลัวอะไรหมด ไม่กลัวโรคภัยไข้เจ็บ ไม่กลัวความตาย ไม่กลัวทุกอย่างเลย เป็นของที่ธรรมดาไปหมด แล้วมันก็จะต้องเจ็บไข้มันก็น่าหัวเราะ ไม่มียากินไม่มีใครรักษามันก็จะต้องตายมันก็น่าหัวเราะ แต่มันเป็นอย่างนั้นไม่ได้ ผมมองเห็นแล้ว ที่ว่าผู้ที่ปฏิบัติตามธรรมะของพระพุทธเจ้าอยู่ แล้วจะเจ็บไข้โดยไม่มีใครรักษานี่เป็นไปไม่ได้ มันไม่มีทางจะเป็นไปได้ ผู้ที่ประพฤติธรรมะสูงสุดนี่ไม่ต้องกลัว แต่ว่าเอาล่ะถ้าสมมติว่ามันเป็นไปได้ก็ไม่ต้องกลัว ความตายก็ไม่มีความหมาย ถ้าไปกลัวมันก็กลายเป็นไม่ใช่พระไปแล้ว ไม่จริง ไม่ใช่พระแล้วก็ไม่จริง แล้วเป็นพระก็จริงก็ไม่ต้องกลัว ตายหรืออยู่ก็เท่ากัน ดังนั้นมันจึงทำไปได้โดยไม่ต้องกลัว ว่าจะไม่มีใครชอบ ว่าจะไม่สร้างสมอะไรเอาไว้ เจ็บไข้จะไม่มีใครรักษา ตายจะไม่มีเงินเผาศพ เป็นเรื่องที่ไม่ต้องกลัว ถ้ายังกลัวอยู่ก็ยังเป็นชาวบ้าน ยังเป็นคนโง่อย่างชาวบ้าน หมายถึงเป็นพระนะ ชาวบ้านบางคนก็ยังไม่กลัว นี่มันเรื่องกลัวตัวฉันจะไม่ได้อะไร มันไม่ควรจะมีแล้ว เพราะไม่ต้องการอะไร คนตายแล้วไม่ต้องการอะไร แต่ทีนี้แรงมันมีอยู่คนตายแล้วมันยังมีกำลังขาแขนแรงยังมีอยู่ มันก็ใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ใครก็ได้ แก่เพื่อมนุษย์ แก่ศาสนา แก่อะไร แล้วแต่มันจะควรจะทำ มันรู้ของมันเอง เมื่อจิตมันว่างจากความเห็นแก่ตัวแล้วมันก็รู้ของมันเองว่าแรงงานที่เหลืออยู่นี้ควรจะใช้ทำอะไร ควรจะใช้นอนเสีย หรือควรจะใช้อยู่เงียบๆ คนเดียวหรือว่าจะใช้ทำประโยชน์อย่างนั้นอย่างนี้ ไปคิดดู มันรู้ของมันเอง แต่เราเชื่อได้โดยอนุมาน เช่นว่าพระอรหันต์หรือพระพุทธเจ้าเองเป็นผู้หมดกิเลสแล้ว เป็นพระพุทธเจ้าด้วยก็ยังทำงาน ทำงานที่เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์แล้วมากเสียด้วย ไม่รู้ว่าทำด้วยกำลังอะไร ผลสุดท้ายก็ต้องถือว่าทำด้วยกำลังปัญญา ปัญญาที่ทำให้มันหมดกิเลสนั้นแหละ ปัญญามันยังเหลืออยู่มันก็รู้ว่าชีวิตที่เหลือซากอยู่นี่จะทำอะไร จะใช้อะไร ใช้ไปยังไง เหมือนไอ้ตาแก่นี่จะถือศรัทธาแจกของส่องตะเกียง ตัวเองหมด หมดเรื่องของตัวเองแล้วส่วนที่ยังเหลืออยู่ก็จะแจกของส่องตะเกียง รูปนี้ดีมากไปดูกันเสียบ้าง นั่นแหละซากศพเดินได้แจกของส่องตะเกียง ตายแล้วก่อนตาย
เอาหล่ะจะสรุปความสั้นๆ ว่า เรื่องของสวนโมกข์นี่ก็คือ เรื่องอยู่อย่างตายแล้ว ไม่มีอะไรมากกว่านั้น คำสอนก็ตาม การปฏิบัติก็ตาม ผลของการปฏิบัติการก็ตามสรุปความอยู่ในประโยคสั้นๆ ว่า “อยู่เหมือนตายแล้ว” คำว่า เป็นอยู่เหมือนตายแล้ว มันเป็นตัวความรู้ก็ได้ เป็นตัวการปฏิบัติก็ได้ เป็นตัวผลสุดท้ายของการปฏิบัติก็ได้ ถ้าเราเรียน เราเรียนเพื่อให้รู้ว่ามันจะต้องเป็นอยู่เหมือนกับตายแล้ว นี่พอปฏิบัติอยู่ก็ปฏิบัติอยู่เหมือนกับตายแล้ว นี้ได้ผลเกิดขึ้นก็ได้ผลเหมือนกับตายแล้ว คือมันไม่มีความทุกข์ ไม่มีตัวตนจะเป็นความทุกข์ เช่นเดียวกับคำว่า “ตายเสียก่อนตาย” นี่เป็นหลักวิชาก็ได้เป็นตัวการปฏิบัติก็ได้ เป็นผลของการปฏิบัติอันดับสุดท้ายก็ได้ เมื่อมันตายเสียก่อนตาย มันก็ไม่มีความทุกข์ เป็นความสงบสุขตลอดเวลา เมื่อเป็นอย่างนี้ไอ้คำว่า “นิพพาน” คำเดียวก็เป็นได้ทั้งสามความหมาย “นิพพาน” ในฐานะที่เป็นวิชาที่ต้องเรียนก็ได้ นิพพาน คือดับทำให้มันดับด้วยการปฏิบัติก็ได้ และ นิพพาน เป็นผลสุดท้ายคือมันเย็นแล้วก็ได้ คำเหล่านี้คำเดียวให้ความหมายได้ทั้ง ๓ ระดับ เป็นการศึกษาก็ได้ เป็นการปฏิบัติก็ได้ เป็นผลของการปฏิบัติก็ได้
เราก็สรุปความกันทีหนึ่งก็ว่า “ ตายเสียก่อนตาย” นี้คือ คือ คำขวัญที่เรามีอยู่แล้ว เป็นอยู่เหมือนกับตายแล้ว ก็มีหลักในพระบาลีที่ว่า การกระทำนั้นมีอยู่ แต่ตัวผู้กระทำหามีไม่ ความทุกข์ก็มีอยู่แต่ตัวผู้ทุกข์หามีไม่ ความทุกข์ก็ดับแล้ว แต่ตัวผู้ดับทุกข์หามีไม่ การเดินทางก็เดินไปแล้วแต่ผู้เดินหามีไม่ ซึ่งเป็นคำ Formula ของภิกษุณีองค์หนึ่ง ตรงกับหลักของพระพุทธเจ้าที่ว่า ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรโดยความเป็นตัวกูของกู ก็ทุกอย่างมันเป็นธรรมชาติ อย่าไปปล้น เป็นโจรปล้นธรรมชาติมาเป็นตัวกูของกูอย่างนั้น อย่างนี้ แม้ว่าไปบิณฑบาตก็อย่ารับเอาอะไรมา ฟังไม่ถูกก็ไม่กล้าปฏิบัติ ถ้าฟังถูกก็ปฏิบัติได้ ไปบิณฑบาตก็อย่ารับเอาอะไรมา ทำได้อย่างนี้ก็ไม่แพ้พวกคริสต์เตียนที่ว่าไปซื้อของที่ตลาดก็ไม่เอาอะไรมา เพราะตายเสียก่อนตายอยู่ตลอดเวลา ทุกวินาที ทุกนาที ทุกชั่วโมง
นี่ได้ยินเสียงของความสงบ เสียงของมือที่ตบข้างเดียวกระทบอารมณ์ไม่เอามาปรุงเป็นตัวกูของกู เป็นเสียงของนิพพาน เพราะนั้นเท่านี้กันที พอเท่านี้กันที ก็สรุปไว้ในใจว่า พูดอีกกี่ครั้ง พูดมาแล้วกี่ครั้ง พูดอีกกี่สิบครั้งก็ตามเรื่องเดียวนี้ข้อเดียวนี้ไม่มีข้ออื่น พูดมาแล้วก็หลายสิบครั้ง แล้วถ้าผมกับคุณยังไม่ตายเสียยังอยู่ในสภาพเช่นนี้ ยังพูดอีกหลายสิบครั้ง มันก็ไม่มีเรื่องอะไรนอกจากเรื่อง เป็นอยู่เหมือนกับตายแล้ว เป็นอยู่อย่างกับตายแล้ว เรียกว่า “ธรรมะปาฏิโมกข์” ไม่มีเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง อะไร ก็ไม่มีหลักอะไรนอกไปจากข้อนี้ นี่พูดทุกแง่ทุกมุม หลายแง่หลายมุมหลายทิศหลายทางเพื่อให้เข้าใจจุดๆ นี้อย่างชัดเจนถูกต้องสมบูรณ์