แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เข้าใจสักหน่อยของการทำวัตรหรือขอขมา เป็นธรรมเนียมมาแต่โบราณ เป็นธรรมเนียมของไทย บรรพบุรุษไทยมาแต่โบราณเกี่ยวกับทางศาสนา เขาเรียกว่าทำวัตร เป็นการขอขมา ถ้าทำแต่พิธีท่าทางก็ไม่ค่อยมีประโยชน์อะไร ถ้าทำด้วยจิตใจรู้ความหมายมันก็มีประโยชน์มาก เพราะว่าในการกระทำนี้มันมีอยู่ถึง ๓ ความหมาย อุกาสะ วันทามิ ภันเต สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต นี่มันขอโทษ และขอให้ อดโทษ ความหมายหนึ่ง มะยา กะตัง ปุญญัง สามินา อะนุโมทิตัพพัง นี่ก็ให้ส่วนบุญ ขอแบ่งส่วนบุญให้ สามินา กะตัง ปุญญัง มัยหัง ทาตัพพัง นี่ขอมีส่วนบุญในการที่ฝ่ายโน้นมี แล้วมันเป็นการแสดงความเคารพอย่างหนึ่ง เป็นการขอโทษอย่างหนึ่ง เป็นการแลกเปลี่ยนส่วนบุญอย่างหนึ่ง ๓ ความหมาย นี่คุณไปพิจารณาดูทีหลังก็ได้ว่า ถ้ามนุษย์เราในสังคมนี้มีการกระทำที่มีความหมายอย่างนี้ แล้วจะวิเศษสักเท่าไร
ข้อที่ ๑ มีความเคารพซึ่งกันและกันไม่ล่วงเกินกัน แล้วข้อที่ ๒ อดโทษแก่กันและกัน อย่าผูกความโกรธ อย่าถือความโกรธ อย่าอะไร เมื่อเขาขอโทษแล้วก็ต้องให้ แล้วผู้ประพฤติก็ต้องรีบขอโทษ ขอแล้วขออีก ขอแล้วขออีก เป็นวัฒนธรรมญี่ปุ่น แล้วก็มีการแลกเปลี่ยนความดี ของดี ผลดี ความสุข แลกเปลี่ยนกัน เพียง ๓ อย่างเท่านี้ ทำให้โลกมีสันติภาพได้ คุณไปคิดดูเอง มีปัญญาพอที่จะคิดได้ ว่าเพียง ๓ อย่างเท่านี้ มันก็มีพออำนาจพอที่จะทำให้โลกมีสันติภาพได้ เราเคารพซึ่งกันและกันแล้วจะมีอะไรล่ะ เดี๋ยวนี้มันไม่เคารพกัน ไม่เคารพสิทธิของกันและกัน ไม่เคารพไอ้คุณธรรมของกันและกัน มันยกหูชูหาง มันกระด้าง มันมานะทิฐิไปหมด ไม่มีใครยอมใคร โลกมันจึงเป็นอย่างนี้ แล้วก็ไม่พยายามขอโทษ ไม่พยายามอดโทษ บิดพลิ้วเรื่อยไป ไปล่วงเกินเขาแล้วก็บิดพลิ้วว่าไม่ได้ล่วงเกิน แล้วขอโทษก็ไม่ยอม ไม่รู้จักยอม มันมีมานะทิฐิ ผูกโกรธไว้ทั้งนั้น ยังนึกโกรธอยู่ในใจ อย่างนี้ก็ก่อเวรก่อไฟไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีสันติภาพ
แล้วเรื่องที่ ๓ แลกเปลี่ยนให้ปันซึ่งกันและกันในประโยชน์ที่ได้ ผลประโยชน์อะไรก็ตาม นี้เขาเรียกว่าบุญ ขอแลกเปลี่ยนบุญว่าบุญที่ผมทำ ขอให้ใต้เท้ามีส่วน บุญที่ใต้เท้าทำขอให้ผมมีส่วน นี่อย่างนี้แลกเปลี่ยนส่วนบุญกันอย่างนี้ นั้นอย่าทำพอเป็นพิธีรีตรองนะ ขอให้ทำจริงๆ คือให้ติดอยู่ในนิสัย คือ เป็นผู้มีความเคารพ อ่อนโยน นอบน้อมต่อผู้ที่ควรเคารพนี่อย่างหนึ่ง แล้วยินดีขอโทษและให้อภัยโทษ พร้อมอยู่เสมอเลยนี่อย่างหนึ่ง และก็เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เจือจานความดีแก่กันและกันอย่าหวงไว้แต่ผู้เดียว นี่อย่างหนึ่ง ๓ อย่างนี้ก็พอ ในครอบครัวเป็นสุข ในบ้านเมืองก็เป็นสุข ทั้งโลกก็เป็นสุขเพราะการกระทำอย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้มาทำพอเป็นพิธีตามธรรมเนียมตามพิธีแล้วมันก็น่าหัว ของเดิมของเขามันวิเศษ เขาให้ชื่อการทำอย่างนี้ว่าแบบฉบับของพระอริยเจ้า ที่เรียกว่าอริยวังสะปฏิปทา เป็นการปฏิบัติในวงศ์ของพระอริยะ ในสกุลวงศ์ของพระอริยะ หมายความว่าพระอริยเจ้าท่านปฏิบัติกันอย่างนี้ เราก็สมัครเป็นผู้เดินตามท่าน ขอให้เป็นผู้มีหัวอ่อน มีศีรษะอันก้มอยู่เสมอ คือว่าเคารพนบนอบ แล้วก็มีการไม่ผูกโกรธ ไม่ผูกอาฆาต ไม่มีเวร ไม่มีภัย ขอโทษ อดโทษอยู่เสมอด้วยใจจริงๆ แล้วก็เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เจือจานความดีที่ตนมีอยู่ให้ผู้อื่นด้วย ของดีหรือความดีถ้าตนมีอยู่ก็เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ผู้อื่นด้วย รวมเป็น ๓ อย่าง อย่างนี้เรียกว่าระเบียบในวงศ์ของพระอริยเจ้า ในสกุลวงศ์ของพระอริยเจ้า
เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าทำที่นี่ตรงนี้แล้วเลิกกัน มันต้องติดไปในอกในใจในอะไรจนตลอดชีวิตหน่ะ จนตลอดชีวิต ต้องถือหลักการอันนี้จนตลอดชีวิต แล้วพยายามช่วยกันเผยแผ่หลักการอันนี้ เรามีน้อง มีหลาน มีเด็ก มีลูกศิษย์ มีอะไรก็ตาม ก็ให้เขารู้จักการกระทำอันนี้ กระทั่งมีครอบครัว มีลูกมีหลาน มีอะไรก็อบรมลูกหลานให้มันมีวิญญาณเป็นอย่างนี้ มันจะมีความสุข มันจะมีบุญ เรียกว่ามันจะมีประโยชน์อย่างยิ่ง ขอให้นึกดูให้ดี ถ้าผมพูดตรงๆ เดี๋ยวมันก็แรงอีกตามเคย เพราะว่าในระบบการศึกษาอันสูงของโลก ของมหาวิทยาลัยในโลกมันก็ไม่มีระบบนี้ ไม่มีความเคารพซึ่งกันและกัน ไม่อดโทษ ไม่ให้อภัยแก่กันและกัน ไม่แลก ไม่ปัน ไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แจกปันไอ้ความดีแก่กันและกัน นี่ยิ่งขึ้นทุกทีนะ ยิ่งขึ้นทุกที ยิ่งขึ้นทุกที ในโลกนี้ตามสมัยที่วัตถุนิยมมันเข้มข้นมากขึ้น เข้มข้นมากขึ้น ทำไม่ได้ สมัยก่อนน่ะ มันเป็นเรื่องหญ้าปากคอก ในวัฒนธรรมไทยในวัดวาอารามพอเข้าไปในวัด ในรั้ววัดมันก็ต้องพบกับวัฒนธรรมอันนี้ เป็นหัวอ่อนต้องไหว้คนเฒ่าคนแก่ ไม่ใช่ว่าเป็นครูบาอาจารย์นะ ก็ต้องไหว้คนเฒ่าคนแก่ ครูบาอาจารย์น่ะไม่ต้องพูดถึงมันก็ยิ่งต้องไหว้ บิดามารดาครูบาอาจารย์ก็ยิ่งต้องไหว้ แต่ทีนี้คนเฒ่าคนแก่ คนอะไรที่มันมีทั่วไปนี่ มันแก่กว่าเรานี่แล้วมันก็ต้องแสดงความเคารพในฐานะที่เขาเป็นคนแก่ นี่ไม่ใช่ทำให้มันโง่ แต่ทำให้หัวอ่อน ไม่ให้มีความกระด้างกระเดื่อง
แล้วก็การอภัยโทษ พอค่ำลงก็แผ่เมตตาจิตนี่ นี่มันก็เหมือนกับการขอโทษและอภัยโทษ พอค่ำลงแผ่เมตตาจิตเพราะมันด่าใครไม่ได้ มันพูดร้ายกับใครไม่ได้ มันคิดร้ายกับใครไม่ได้ แม้แต่พูดด้วยปากก็ทำไม่ได้ อย่าว่าแต่ไปทำจริงๆ ด้วยมือด้วยเท้า เดี๋ยวนี้มันก็มีการพูดร้าย มีการคิดร้าย ทั้งที่เป็นพระเป็นเณรก็มีพูดร้ายและคิดร้าย มันก็ไม่ต้องพูดถึงเด็กๆ ชาวบ้าน ในวงการกีฬาก็ไม่มีการให้อภัย ขออภัย คุณดูเถอะ มันไปกันใหญ่แล้วเพราะในวงการกีฬาก็เป็นสนามก็ทะเลาะวิวาทได้ นี้เรื่องรักผู้อื่น เรื่องเผื่อแผ่ผู้อื่น เรื่องรักผู้อื่นนั้น ก็ยิ่งหายากเข้าทุกที ตัวใครตัวมัน ตัวมึงตัวกูกันไปเลย ไอ้สิ่งแรกที่ผมสะดุ้งในวัฒนธรรมใหม่ๆ ของเขา ได้ยินเป็นครั้งแรกว่าอเมริกันแชร์ ผมสะดุ้งเพราะไม่รู้ว่าอะไร แต่ฟังดูมันน่าตกใจ อเมริกันแชร์ หมายความว่าไปทำอะไรกันก็ต้องเฉลี่ยเอาตัวเลขหารกันเลย ไปกินหรือไปทำอะไรเข้าก็ตาม อเมริกันแชร์ต้องเฉลี่ยเท่ากันดิกเลย มันไม่เหมือนวัฒนธรรมไทยแต่โบราณ ซึ่งคนที่มีความสามารถก็จะช่วยเสียเป็นส่วนใหญ่ คนมีกำลังน้อยก็ออกแต่น้อยหรือไม่ออกเลยก็ได้ พอได้ยินอเมริกันแชร์อย่างนั้นก็ถามว่าอะไร อะไร เขาอธิบายให้ฟังเป็นอย่างนั้น โอ๊ยก็เลยเห็นว่าโอ๊ย มันไปคนละทาง ทั้งวัฒนธรรมไทยหรือว่าความหมายของพุทธบริษัทที่สอนให้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อยู่เสมอ จนกระทั่งว่าชีวิตก็ยังสละได้ แล้วนับประสาอะไรกับเรื่องเงินทองข้าวของ
พระโพธิสัตว์จะต้องสละจริงๆ ไม่ใช่สละแต่ปาก เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น นี่คือการให้ การให้โดยไม่ต้องรับแล้ว หรือถ้ามีการแลกเปลี่ยนเป็นการได้ทั้ง ๒ ฝ่าย มันก็เป็นการผูกพัน ผูกพันที่ดี แลกเปลี่ยนส่วนบุญ แลกเปลี่ยนความดี ไอ้ความดีนี่มันไม่เหมือนกับสิ่งของ ยิ่งให้มันยิ่งมาก ยิ่งให้แก่กันและกันมันยิ่งมากขึ้นทุกที แต่ว่าสิ่งของก็เหมือนกัน ถ้าให้ด้วยใจจริงมันก็อยู่ตลอดกาล เป็นความดีตลอดกาลได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นคุณไปในฐานะที่คุณมีสติปัญญาคุณไปคิดนึกดูว่าโอ้ ความประเสริฐวิเศษของวัฒนธรรมไทย พุทธบริษัทไทยนี่เป็นอย่างไร วัฒนธรรมของพุทธบริษัทไทยพูดอย่างนี้ รัดกุมมันเป็นยังไง มันผิดกับไอ้วัฒนธรรมใหม่ๆ โลกสมัยใหม่อย่างที่เปรียบกันไม่ได้
และวันนี้คุณทำพิธีขออภัยหรืออดโทษหรืออะไร ที่เรียกว่าทำวัตรนี้ก็ดีแล้ว พิธีก็เสร็จไปแล้ว แต่ว่าความมุ่งหมายของเรื่องนี้จะต้องอยู่ตลอดไปในจิตในใจในนิสัยในสันดาน จงเป็นผู้ที่ว่าก้มศีรษะ สุภาพ อ่อนโยน ถ่อมตัว และเป็นผู้ขอโทษและอดโทษเสมอ และเป็นผู้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ผู้อื่น แลกเปลี่ยนส่วนบุญและความดีถือเป็นหลัก จะเรียกได้ว่าเป็นผู้มีบุญ ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่ามีสวัสดีมงคล คุณลองทำ มันจะมีสวัสดีมงคลอย่างที่บอกไม่ถูก ไม่เย่อหยิ่ง จองหอง กระด้างด้วยมานะทิฐิ นั้นเขาเรียกว่าเสนียด จัญไร หรืออัปรีย์ หรืออะไรไม่ใช่สวัสดีมงคล ไอ้ความยอม ความอดโทษ ความทำจิตใจให้เกลี้ยงเกลาจากเวรจากภัย เผื่อแผ่เมตตาอยู่เสมอนี่เป็นสวัสดีมงคล
เอาล่ะในที่สุดมันก็ย้อนมายังเรื่องตัวกูของกูอีกแล้ว คนที่มีตัวกูของกูจัดมันทำอย่างนี้ไม่ได้ มันก้มหัวให้ใครไม่ได้ มันอดโทษให้ใครไม่ได้ มันเอื้อเฟื้อใครไม่ได้ นั้นคุณก็ถือสรุป ถือเอาใจความสรุปไปในเสียคราวเดียวกันว่าไม่มีเรื่องอะไรเลยที่นอกไปจากเรื่องตัวกูของกู ถ้าเป็นเรื่องความทุกข์ ถ้าเป็นเรื่องความไม่ทุกข์ก็เป็นเรื่องที่ดับตัวกูของกู ถ้าเป็นเรื่องทุกข์ก็เป็นเรื่องพอกพูนไอ้ตัวกูของกู มีเรื่องเดียวนี้ในทั้งหมดในพระพุทธศาสนามีเรื่องนี้เรื่องเดียว เรื่องกิเลส เรื่องอะไรก็ตามมันรวมอยู่ที่นี่ เรื่องสวรรค์นิพพานก็ตามมันก็รวมอยู่ที่นี่ เป็นพระพุทธเจ้าเพราะหมดตัวกูของกู นี่คิดดู ก็ไม่มีอะไรนอกไปจากเรื่องนี้ มรรคผลนิพพานก็คือเรื่องหมดตัวกูของกู ทีนี้ความทุกข์ก็เป็นเรื่องตรงกันข้าม เต็มไปด้วยตัวกูของกู เป็นเรื่องอบาย เป็นเรื่องนรก เดรัจฉาน เปรต อสูรกายไปก็เรื่องตัวกูของกู
นั้นคุณจำนวนหนึ่งที่จะกลับไปกรุงเทพฯ ก็ฟังไอ้คำสรุปนี้ให้เข้าใจ มันจะช่วยให้จำได้ง่าย ไม่ลืม ว่าตลอดเวลาที่มาพักอยู่ที่นี่ก็มีพูดแต่เรื่องนี้ แต่ว่าในชื่อหรือในนามที่ต่างๆ กัน ในชื่ออย่างอื่น ในนามอย่างอื่นก็มี แต่เนื้อแท้ของมันก็เรื่องตัวกูของกูกับความไม่มีตัวกูของกู ของตรงกันข้าม ถ้าเราพูดถึงเรื่องบรมธรรมมันก็เรื่องทำลายตัวกูของกูจนหมดสิ้นไปในที่สุด ถ้าเราพูดถึงความต่ำ ความทราม ความทุกข์ก็คือมีตัวกูของกูจัดขึ้นมา จัดขึ้นมา จัดขึ้นมา นั้นก็พาไปด้วย พาความรู้อันนี้ไปด้วย มันก็ไม่ต้อง ไม่ต้องมีอะไรอีก ไม่ต้องเรียนอะไรอีก มันก็ไม่มีกรุงเทพฯ หรือไม่มีที่นี่ ไม่ต่างกันแล้ว มันอยู่ที่คน ถ้าคนมีอะไรต่างไปมันก็ต่าง ถ้าคนไม่มีอะไรต่างมันก็ไม่ต่างกัน นั้นเราจะอยู่ที่นี่หรืออยู่ที่กรุงเทพฯ หรืออยู่ที่ไหนมันก็ไม่เป็นประมาณ ขอให้มีธรรมะตามแบบฉบับของพระพุทธเจ้า หรือตามแบบฉบับของพุทธบริษัทไทย แล้วก็กลายเป็นเรื่องพูดขวานผ่าซาก หรือว่าเป็นเรื่องกำปั้นทุบดิน คือผมพูดให้คุณเป็นไทให้ถูกเสีย คุณเป็นพุทธบริษัทให้ถูกต้องเสีย เป็นไทให้ถูกต้องเสีย มันก็เท่านั้นเอง มีเท่านั้นเอง เรื่องก็หมด
เดี๋ยวนี้เรามันยังเป็นพุทธบริษัทไม่ถูกต้อง เป็นไทก็ไม่ถูกต้อง เป็นพุทธบริษัทต้องมีอะไรเหมือนพระพุทธเจ้านั่น อย่างน้อยพยายามที่จะมีอะไรเหมือนพระพุทธเจ้าจึงจะเป็นพุทธบริษัท เป็นไทมันไม่ต้องเป็นขี้ข้าแต่กิเลสโน่น ถ้ากิเลสขึ้นขี่คอ ขี่นั่งอยู่บนศีรษะ บัญชาไปให้ยกหูชูหาง ให้เป็นไปตามแบบของกิเลส แล้วมันก็ไม่เป็นไทหรอก มันสูญเสียความเป็นไทหมด นี่ถ้าคุณเป็นไทให้ได้มันก็พอแล้ว เป็น พุทธบริษัทให้ได้มันก็พอแล้ว มันอย่าคิดว่ามันมากเรื่องมากมาย พูดกันไม่รู้จักจบ ทั้งหมดนั้นหน่ะ พูดกันหลายสิบชั่วโมงนั้นหน่ะมันก็จบได้ในคำคำเดียว โดยเหตุหรือโดยการกระทำ ก็คือทำลายตัวกูของกู โดยผลของมันก็คือหมดกิเลส เป็นทุกข์ เออไม่มีทุกข์ เป็นไท เป็นไทไปตลอดกาล มันมีเท่านี้ นั้นคำพูดตั้งหลายๆ สิบชั่วโมง คุณย่นมันเหลือคำเดียว ประโยคเดียว ข้อเดียวพอ แล้วก็มันเนื่องกันหมดเอาสิ ไม่มีตัวกูของกูมันก็เป็นการทำวัตรอยู่ในตัว ถ้ามันมีตัวกูของกู คุณจะทำวัตรสักกี่สิบครั้งร้อยครั้งมันก็ไม่เป็นทำวัตรหรือ ขอขมาอะไรเลย ถ้ามันมีของสิ่งเดียวก็เหมือนกับมีหมด ในฝ่ายความทุกข์หรือฝ่ายชั่วมีตัวกูขึ้นอย่างเดียวมันก็คือมีทั้งหมด ในฝ่ายดับทุกข์ไม่มีทุกข์มันก็มีความว่างจากตัวกูได้อย่างเดียวมันก็มีหมด มีครบหมด นี่ยังไงยังไงก็ต้องพยายามรวบรวมตะล่อมเรื่องที่ได้ยินได้ฟังเยอะแยะเข้ามาเป็นเรื่องเดียว ข้อเดียว อันเดียว มีหัวขั้วอันเดียว มีฝอยมาก มีกิ่งก้านมากก็จริงแต่มีหัวขั้วอันเดียว จับหัวขั้วอันเดียวไว้ได้มันก็ได้ทั้งหมดทุกกิ่งทุกแขนง นึกถึงของมีหัวขั้วอันเดียวไว้เสมอ เช่น บัวกอหนึ่งก็มีหัวขั้วอันเดียว มีใบ มีกิ่ง มีก้านใบมากมาย มีหน่อมีอะไรก็มี มีรากก็มี มันก็เป็นขั้วเดียว เมื่อพยายามจับขั้วได้ คือได้ จับได้ทั้งหมด
เพราะฉะนั้นเป็นอันว่า คำสอนเรื่องตัวกูของกูนี้ ที่เราได้พูดกันคราวนี้ตั้ง ๓๐ กว่าครั้ง หรือว่าที่คุณจะอ่านเอาเองจากหนังสือหนังหาต่างๆ ที่เคยพูดๆ เขียนๆ ไว้ตั้งหลายสิบครั้ง เอามารวมเข้ากันเถอะ มันก็เป็นเรื่องเดียวกันหมด เป็นเรื่องข้อเดียว เหลือเพียงข้อเดียว ว่าทำให้ว่างจากตัวกูของกูอยู่เรื่อยไป จะทำ อานาปานสติ ทำกรรมฐานชนิดไหนก็ตามใจ มันก็เพื่อผลอันนี้ เพื่อกำจัดเสียซึ่งตัวกูของกูที่เดือดพล่านให้มันหยุด ให้มันระงับ ให้มันว่างไป เขาพากันกล่าวหาว่าผมพูดอะไรเอาเองตามชอบใจ เรื่องตัวกูของกูไม่มีในพระไตรปิฎก อย่างนี้เป็นต้น นั่นเพราะว่าเขามองไม่เป็น มองไม่เห็น และไม่เข้าใจ แล้วมันก็เป็นเพราะว่าผมใช้ถ้อยคำ ใช้ถ้อยคำที่ธรรมดาที่สุดด้วย ใช้คำธรรมดาว่าตัวกูของกูนี่มันคำธรรมดาที่สุด มันก็เรื่องเดิมนั้นล่ะ แต่ว่าใช้คำธรรมดานี่เพื่อให้เข้าใจได้ทันที เข้าใจได้ทันที ก็เป็นเรื่องในพระไตรปิฎกทั้งหมดทั้งนั้น แต่เขาใช้คำไพเราะว่าตัวตน ว่าของตนหรืออหังการ มมังการ อะไรก็ตาม เราใช้ภาษาไทยว่าตัวกูว่าของกู พอจะฟังเข้าใจได้โดยไม่ต้องอธิบาย ถ้าผมพูดว่าตัวตน ของตน อหังการ มมังการ ต้องอธิบายกันหลายที ยังมืด ยังงงอยู่ ไม่รู้ว่าอะไร เลยใช้คำธรรมดาดีกว่า นั้นข้อนี้ไม่ต้องไปนึกว่าใครเขาจะว่าอะไรก็ตามใจเขา ไอ้เราพยายามแต่จะมองให้รู้จักหน้าตาของไอ้ตัวกูของกูที่ปรุงแต่งขึ้นมาเรื่อย แล้วก็พยายามกำจัดกีดกันออกไปให้หมดมันก็เลิกกัน ก็กลายเป็นเรื่องว่างจากตัวกู นั้นเมื่อใดตัวกูเกิดขึ้นในจิต ปรุงแต่งเกิดขึ้นในจิต รู้สึกว่าตัวกูของกู เมื่อนั้นก็มีวัฏสงสาร มีความทุกข์ พอเมื่อใดมันว่างจากตัวกูนี้ เมื่อนั้นมันก็มีนิพพานเป็นความสงบเย็นอยู่ตามธรรมชาติเดิม นั้นคุณก็เลือกเอาเรื่องที่มันน่าเอา น่าปรารถนา น่าเอา คือมีความรู้สึก สติ สัมปชัญญะ เป็นเครื่องป้องกันไอ้ตัวกูของกูอยู่ตลอดเวลา อย่าให้มันพลุ่งขึ้นมาได้ ไม่มีวัฏสงสารพลุ่งขึ้นมาได้มันก็เป็นนิพพานอยู่ตามเดิม ถ้ายังไงก็ขอให้สำเร็จประโยชน์บ้างตามสมควรในการที่บวชระหว่างปิดภาค แล้วก็มาอยู่ที่นี่ระยะหนึ่งมันจะต้องได้ประโยชน์อะไรพอสมควร ตามสมควร แล้วถ้าได้ดีเต็มที่ก็ยิ่งดี แล้วผมก็ไม่มีเรื่องอะไรที่จะให้ นอกจากเรื่องนี้ ได้ชี้วิธีการหรือแนวหรืออะไรต่างๆ ไว้มากแล้ว สำหรับจะไปรู้จักหน้าตาของตัวกูแล้วก็กำจัดมันเสีย ป้องกันมันเสีย ทำลายมันเสีย เป็นความรู้ที่ได้เพิ่มขึ้นในชีวิตนี้ เพราะว่าต่อไปในอนาคตมันจะได้เรียกว่าดี ดีขึ้นไปกว่าที่แล้วมา หรือว่าสูงขึ้นไปกว่าที่แล้วมา พัฒนาได้สำเร็จ เพื่อว่าอย่าเป็นผู้ที่ต้องมีความทุกข์เลย เราจะดำเนินชีวิตแบบไหนก็ตามใจ อย่าได้ความทุกข์เลย เป็นฆราวาสมีการงานมากมีอะไรมากก็รู้จักแบ่งเบา อย่าให้มันต้องมีความทุกข์เลย การที่มันมีอุปสรรคมีอะไรบ้างก็ให้มันรู้เท่าทัน และเห็นเป็นของธรรมดาไปเสีย ความเจ็บไข้ ความตายก็เป็นสิ่งที่น่าหัวเราะไปเสีย นี่คือประโยชน์อานิสงส์อย่างแท้จริง ทันตาเห็นของสิ่งที่เรียกว่าพระธรรม คือสิ่งที่เราเรียน เรารู้ เราปฏิบัตินี่เรียกว่า พระธรรม
ทีนี้ก็อยากจะพูดต่อไปอีกที่มันเกี่ยวเนื่องกันอยู่ ว่าอยู่ที่นี่ในสังคมอย่างนี้มันก็ง่าย เพราะมันสะดวกแล้วมันก็ง่าย แต่พอเปลี่ยนไปอยู่สังคมเดิม สึกออกไปเป็นนิสิต นักศึกษา ในกลุ่มมหาวิทยาลัยไปตามเดิมนี่มันก็คงจะยากอย่างเดิม แล้วเราก็อย่าท้อถอย พยายามใช้วิธีการต่อสู้เพิ่มขึ้นให้สมกับที่เราได้บวช เราได้บวชเราก็ได้ของนี้เพิ่มขึ้น นั้นเราก็ต้องมีความสามารถ มีความเก่งกล้าสามารถที่จะต่อสู้อุปสรรคเหล่านั้นดีกว่าเมื่อยังไม่ได้บวช นั้นถ้าสึกออกไปนี้มันไปเผชิญไอ้สิ่งเดียวกันกับที่แล้วมาคราวโน้น เราก็ต้องต่อสู้ได้ดีกว่าคราวโน้นเป็นแน่นอน ถ้าไม่นั้นก็เสียทีบวช
นั้นเพื่อไม่ให้เสียทีบวชก็ต้องตั้งอกตั้งใจ ระวังให้ดีในข้อนี้ นี่เรียกว่า อานิสงค์การบวชและการมาพักอยู่ที่นี่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ให้ได้รับเครื่องมือหรือว่าของวิเศษอะไรก็ตามของธรรมะ ของพระธรรมติดตัวไป เป็นเครื่องคุ้มครองป้องกันตัว เป็นที่พึ่งของตัว มีธรรมะเป็นที่พึ่งเสียก่อนจึงจะเรียกว่ามีตัวเป็นที่พึ่งได้ มีตนเป็นที่พึ่งของตนได้ ให้ธรรมะนั่นแหล่ะเป็นตัวตน อย่ามีตัวกูของกูเป็นตัวตน ให้ธรรมะเป็นตัวตน แล้วมันก็เป็นธรรมะที่คุ้มครอง ที่ป้องกัน ที่อะไร ความทุกข์ไม่เกิด ขอให้มันเป็นไปในลักษณะนี้ นี่เรียกว่าผมให้ศีล ให้พร ให้อภัย ให้อะไรเสร็จคราวเดียวกันหมดเลย ด้วยการขอร้องให้เป็นผู้ไม่ประมาทโดยเอาวิชาความรู้ที่ได้รับนี้ไปผลิตให้มันเป็นประโยชน์จริงๆ ขึ้นมา มีความเจริญทางกาย ทางจิต ทางวิญญาณ สูงสุดอยู่ที่ทางวิญญาณให้พอใจในธรรมะนั้นหน่ะเหมือนกับมหรสพ ให้พอใจในอุปกรณ์ต่างๆ ที่ทำให้รู้ธรรมะนี้ว่าเหมือนกับโรงมหรสพหรืออะไรทำนองนั้น แล้วเราก็จะชอบธรรมะมากขึ้นกว่าแต่เดิม จะขยะแขยงในการที่จะไปดูหนัง หนังสมัยนี้โดยเฉพาะนะ แล้วก็จะรู้สึกกระหายกระหยิ่มในการที่จะเข้าไปสู่ธรรมะ เข้าไปนั่งทำความรู้สึกชนิดที่จะมีธรรมะเกิดขึ้นในใจ นี่เมื่อก่อนมันกระหายกระหยิ่มที่จะไปดูหนังแล้วถูกอกถูกใจแล้วก็หลงใหลไปเลย เดี๋ยวนี้มันจะขยะแขยงในความโง่ชนิดนั้น แล้วจะมองหาไปทางไอ้สิ่งที่ไม่น่าขยะแขยงคือธรรมะ หรือการรู้ธรรมะ หรือความที่เรามีความฉลาดในเรื่องของชีวิตจิตใจ ไปดูหนังสมัยนี้ก็คือว่าไปเป็นเหยื่อเขา เขาสร้างขึ้นเพื่อล้วงกระเป๋าคนทั้งโลกด้วยความตลบตะแลง ไม่มีศีลธรรม มุ่งใช้จิตวิทยาล้วงกระเป๋าคนให้ได้ ด้วยเอาที่เข้าใจว่าคนจะยอมรับ ยอมหลงด้วยใส่เข้าไป คนก็ดูหนัง ประโยชน์ก็ได้แก่ผู้ทำหนัง ที่ว่าเผยแผ่จริยธรรม วัฒนธรรมอะไรบ้างนั้นน้อยเต็มที หาทำยายาก แล้วก็เป็นเรื่องแฝง แฝงอยู่ข้างหน้าเป็นฉากบังหน้า นั้นคุณกลับไปนี้ คุณลองไปคำนวณดูว่ามันขยะแขยงต่อการไปดูหนัง แล้วก็กระหายมานั่งกับธรรมะนี่หรือเปล่า ถ้ามันรู้สึกอย่างนั้นจริง มันก็คือได้ผล ในการที่อุตส่าห์มาลำบากที่นี่ มาหัดนอนกระดานไม่มีมุ้ง กินข้าวกับมือ เป็นอยู่กลางดินตามธรรมชาติ มันได้ผลหรือไม่ มันก็รู้กันที่ตรงนี้ เพราะว่าเราไม่โง่อีกต่อไป เราไม่เป็นเหยื่อของใคร หรือของกิเลส หรือของอะไรอีกต่อไป นั่นก็คือได้ผล ถ้าเรายังเป็นเด็กคนเดียวแต่เดิมมันก็เรียกว่าไม่ได้ผล มันต้องไปเป็นเหยื่อ เป็นทาส เป็นอะไรของคน ของกิเลสต่อไปอีก
เพราะฉะนั้นจงเห็นแก่ตัวเถอะ เห็นแก่คุณเอง อย่าเพ่อเห็นแก่ผมหรือใครก็ได้ เห็นแก่คุณเองนะ ไม่ใช่เห็นแก่ตัวเอง ไม่ใช่ทำนองเห็นแก่ตัว แต่ว่าเห็นแก่ประโยชน์ของตัว เห็นแก่การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ชาติหนึ่งและพบกับพุทธศาสนา เห็นแก่ข้อนี้ แล้วก็ทำไปให้มันได้ผลจริง ประสบความสำเร็จตามความมุ่งหมายของการที่มนุษย์เกิดมาจริง อุปมาโดยภาพบัวภาพอะไรต่างๆ นั้นก็พูดกันจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว ดูสไลด์ดูอะไรกันจนไม่รู้จะดูยังไงแล้ว มันมาจากไหน มันจะไปที่ไหน มันมีผลสุดท้ายอย่างไร นี้ก็เข้าใจกันแล้ว นี่ก็เหลือแต่ไปดูว่ามันเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า มันเป็นไปในทำนองนั้นหรือเปล่า เป็นการทดสอบวัดผลของการกระทำนี้ดูอีกทีหนึ่ง
ที่นี่เราเป็นสถานที่ที่จัดขึ้นเป็นพิเศษเฉพาะสำหรับทดสอบมนุษย์ สำหรับขูดถลกหนังมนุษย์ในส่วนที่ร้ายๆ นั้นออกไปเสีย ให้เหลือแต่ส่วนที่ว่ามันน่าจะมีเหลืออยู่ นี่บางคนก็ได้รับประโยชน์ อันนี้ บางคนก็ไม่ได้เลย มันไม่ยอมรับไอ้การกระทำอันนี้แล้วมันก็ไม่ได้ มันมองเห็นกันอยู่แล้วว่าเดี๋ยวนี้ไม่มีใครนิยมทำอย่างนี้ ไม่มีสถาบันการศึกษาที่ไหนทำไปด้วยความมุ่งหมายอย่างนี้ แต่มุ่งหมายอย่างอื่น มุ่งหมายก้าวหน้าทางวัตถุ ไอ้เรานี่มุ่งหมายที่จะให้ต่อต้านวัตถุ ไม่ตกเป็นทาสของวัตถุ ไม่ชอบความก้าวหน้าของวัตถุในลักษณะอย่างนั้น ชอบความก้าวหน้าทางจิต ทางวิญญาณ แล้วก็เอาวัตถุไปไว้ใต้ฝ่าเท้า จะไม่ทำเหมือนกับพวกอื่นๆ ที่เขาเอาวัตถุนั้นมาเทิดทูนไว้เหนือศีรษะ เราเอาไปไว้ใต้ฝ่าเท้า แล้วยกเอาธรรมะทางจิตทางวิญญาณนี้ไว้เหนือศีรษะ อุปมานี้คงจะจำง่าย ลืมยาก คุณเอาไปคิดดู
แล้วก็เป็นอันว่า ในที่สุดก็เป็นอันว่า เราได้ร่วมมือกันแล้ว ได้ทำสิ่งที่ควรจะทำเป็นอย่างยิ่งแล้ว มันก็หมดความรับผิดชอบ โดยเฉพาะของผมก็หมดความรับผิดชอบ ถึงทางฝ่ายคุณก็เหมือน ถ้าทำได้อย่างนั้นมันก็หมด หมดปัญหา หมดความรับผิดชอบ มันไม่มีอะไรที่จะต้องรับผิดชอบ ว่าอย่างนั้น ถ้าทำได้อย่างนั้นมันหมดปัญหาไปแล้ว เรียกว่าเป็นผู้หมดปัญหา มีความสบาย ชีวิตเป็นประโยชน์อยู่ตลอดเวลา อย่างน้อยที่สุดมันก็เป็นตัวอย่างให้แก่คนอื่น เราไม่ต้องทำอะไร นั่งๆ นอนๆ ให้เขาดูก็ยังได้บุญได้กุศล เพราะมันเป็นตัวอย่างที่ดีแก่คนอื่น ว่า อยู่อย่างนั้นน่ะมันถูกต้อง อยู่อย่างสงบ อยู่อย่างไม่เดือดร้อนอย่างนั้นดีแล้ว ก็ผมนั่งดูปลานี่ อยู่อย่างปลานี่ก็ดีแล้ว เป็น innocence ที่สุดแล้ว มนุษย์นี่คดในข้องอในกระดูก แถมมีไฟติดอยู่ในจิตในใจอยู่ตลอดเวลา นี่มนุษย์เลวมากอย่างนี้ ปลานะ innocence ไม่ประสีประสา ไม่คดในข้อไม่งอในกระดูก ไม่มีความลับ ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความร้อน นั่นหล่ะมันเป็นอาจารย์ในแขนงหนึ่ง ในลักษณะหนึ่ง มันจะเป็นสัตว์ที่ยังโง่ ยังต่ำต้อยอยู่ก็ช่างหัวมัน แต่ในปัจจุบันนี้มันมีภาวะเป็น innocence ดีกว่าเรา บริสุทธิ์ซื่อตรง ไม่ประสีประสา ไม่อยากนั่นไม่อยากนี่ ไม่ทะเยอนั่นไม่ทะเยอทะยานนี่ กินก็ได้ ไม่กินก็ได้ ส่วนมนุษย์นี่เพื่อนลืมเอาอาหารไปให้ซักมื้อหนึ่ง มันก็เป็นยักษ์เป็นมารอยู่ในใจ ส่วนปลานี่ไม่เป็นอย่างนั้น นี่มนุษย์นี่ไม่มีใครขอบใจเมื่อทำงานอะไรสักนิดมันก็เป็นยักษ์เป็นมารอยู่ในนั้น ส่วนปลานี่มันก็ไม่รู้สึกอะไร ไม่ต้องมีใครชม ไม่ต้องมีใครขอบใจ นั้นผมก็ได้รับประโยชน์จากมันมาก ในเรื่องที่จะเป็นอยู่อย่างง่ายๆ ไม่ประสีประสา ไม่เป็นทาสของอะไร แต่เราก็ไม่จำเป็นจะต้องเป็นปลาหรือเป็นอะไรเหมือนปลาไปทั้งหมด ถ้าเราจะไม่มีความทุกข์อย่างปลา เป็น innocence อย่างปลาก็พอแล้ว นี่เรียกว่าธรรมชาติรอบตัวมันเป็นครูบาอาจารย์อย่างนี้ แล้วมันมีอยู่ทั่วไปหมด ไอ้เรามันโง่เองจึงหาไม่พบ จึงดูไม่เป็น ไม่เห็นว่ามีที่ไหน แล้วก็ประพฤติธรรมะไม่ซื่อตรง เข้ามาเกี่ยวข้องกับธรรมะด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์
บางคนมาบวชนี่เพื่อจะอวดอะไรสักอย่างหนึ่งนั้น หรือชีวิตวันๆ หนึ่งก็เพื่อจะอวดอะไรสักอย่างหนึ่ง ไม่เป็นธรรมะ ไม่เป็นอะไรที่บริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นมันก็ไม่มีทางที่จะมีธรรมะ หรือรู้ธรรมะหรือได้ธรรมะ ผลที่สุดมันก็หกคะเมนตีลังกากลับหลังหันไปตามเดิม นี่มันจะโทษใครไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า อย่าไปโทษใคร อย่าไปโทษท่าน อย่าไปโทษพระองค์ และอย่าไปโทษใคร ให้มันโทษตัวเองเท่านั้น หนทางมันมีอยู่แล้วทำไมไม่เดินเล่า จะไปโทษใครล่ะ ไม่เดินมันไม่ถึงแล้วจะไปโทษใคร หรือว่าสระน้ำอันเย็นสนิทมันก็มีอยู่ทำไมไม่ไปตักกินเข้าไปเล่า แล้วจะไปโทษใครเล่า นี่ธรรมะเหมือนสระน้ำที่เย็นสนิททำไมไม่ตักกินเข้าไปเล่า มัวแต่กินไฟ กินนรก กินอะไรเข้าไปอยู่ทุกวันๆ วันละหลายๆ ครั้ง เดี๋ยวก็ยกหูชูหาง เดี๋ยวก็โกรธนั่นโกรธนี่ เดี๋ยวขัดอกขัดใจอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วมันกินนรกเข้าไปนี่ ทำไมไม่กินธรรมะที่เยือกเย็นหล่ะ นี่เรื่องที่ไม่ต้องโทษใครมันเป็นอย่างนี้
นั้นต่อไปนี้คุณได้บวชได้เรียนแล้วก็อย่ามีปัญหาที่ไปโทษคนนั้น ไปโทษคนนี้ เลิกกันทีเถอะ หยุดกันทีเถอะที่จะไปซัดคนอื่นหรือว่าคนอื่นเขาไม่ร่วมมือหรืออะไรทำนองนั้น เรามันทำไม่เป็น เรามันโง่เอง คนอื่นเขาถึงไม่ร่วมมือ เขาไม่นับถือ อย่าไปโทษเขา เขาไม่ขอบใจก็อย่าไปโทษเขา เรามันทำไม่เป็น ทำไม่ถูก แล้วเราก็ทำอย่างชนิดที่ไม่น่าขอบใจนั่นหล่ะมากกว่า และเมื่อเราทำเพื่อตัวเราแล้วยังให้คนอื่นขอบใจทำไมเล่า นี่สังเกตดูให้ดีๆ นะ ถ้าเราทำประโยชน์นี้เพื่อความเห็นแก่ตัวเรา แล้วจะให้คนอื่นขอบใจทำไมเล่า นี้ถ้าเราทำเพื่อความดี เพื่อพระธรรม เพื่อพระพุทธเจ้า เพื่อศาสนา แล้วจะให้ใครขอบใจทำไมอีกเล่า นั้นอย่าไปนึกถึงจะให้คนอื่นเขาชมเชยหรือขอบใจเลย ถ้ามันเป็นธรรมะซื่อๆ เป็น innocence เปิดเผยซื่อๆ ไปก็ละกัน นั่นหล่ะมันจะเป็นความสุข มันจะมีบุญ จะมีความสุข
นี่เป็นการพูดสรุปท้ายเรื่องของเรา ขมวดปมของเรื่องทั้งหมดที่ได้พูดกัน มาอยู่ในความมุ่งหมายสั้นๆ เพียงว่ามันจะทำลายตัวกูของกูอยู่เรื่อยไป จะปฏิบัติเพื่อการทำลายตัวกูของกูอยู่เรื่อยไป ทุกอย่าง ทุกชนิด ทุกวิถีทาง ทุกเวลา ทุกสถานที่นะ จนกว่ามันจะหมดปัญหา จนกว่าตัวกูมันจะตายไปหมด มันก็หมดปัญหา นั้นคุณจงกลับไปเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นลูกที่ดีของบิดา มารดา เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ เป็นสาวกที่ดีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพุทธศาสนาก็แล้วกัน มันก็มีเท่านั้น มันทุกอย่างมันรวมอยู่ในนั้น ถ้าเป็นไม่ได้ก็เพราะว่าขาดธรรมะ เพราะมีตัวกูของกูเป็นอุปสรรค ถ้าเป็นได้ก็คือว่ามีธรรมะควบคุมตัวกูของกูได้ หรือทำลายตัวกูของกูได้เป็นส่วนมาก มันก็มีธรรมะ เราก็เหมือนกับเกิดใหม่ ตั้งชีวิตนี้ใหม่ เกิดใหม่ เกิดในอริยชาติ ในเลือดในเนื้อของพระพุทธเจ้าใหม่ อย่าเอาไอ้เลือดเนื้อเก่าๆ ที่มันสกปรก เศร้าหมอง มีบาปนั้นหน่ะไว้เลย มันเป็นเลือดเก่าๆ นั้นอย่าไปเกิดกับมันอีกเลย มาเกิดใหม่ในอริยชาติโดยอาศัยธรรมะที่กล่าวแล้วนี้เป็นเครื่องมือสร้างจิตใจใหม่ มันก็คือเกิดใหม่ มีเลือดมีเนื้อแบบใหม่ที่บริสุทธิ์ สะอาดดี
เอาละทั้งหมดนี้ขอให้ถือว่าเป็นการให้ศีลให้พรด้วย เป็นการอดโทษด้วย เป็นการกล่าวโอวาทด้วย เป็นการสั่งเสียครั้งสุดท้ายด้วย ก็ขอให้ทุกคนมีความเจริญงอกงามในพระศาสนาตามทำนองคลองธรรมที่ว่ามานี้ทุกๆ ประการเทอญ