แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ธรรมะปาฏิโมกข์วันนี้ของเราจะพูดกันเรื่อง ปัญญาความรู้ของตัวกูย่อมหลอนตัวกู ปัญญาความรู้ของตัวกูย่อมหลอนตัวกู ขอให้ทำไว้ในใจเสมอว่าเราพูดกันที่นี่ ไม่พูดเรื่องอื่น พูดแต่เรื่องตัวกูของกู ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่เป็นเรื่องหลักจนเรียกว่าเป็นชั้นปาฏิโมกข์ ซึ่งจะต้องทบทวนกันทุกสัปดาห์ พูดเรื่องอะไรก็ตามใจไม่พ้นไปจากเรื่องตัวกูของกู
ที่หัวข้อที่ว่าปัญญาความรู้ของตัวกู นี่มันคืออะไรกันแน่ แล้วทำไมมันจึงกลับหลอนย้อนไปหลอกหลอนหรือหลอนตัวกู เราพูดกันโดยไอ้ logic ก่อน ว่าปัญญาความรู้ทำไมมันจึงกลายเป็นของหลอนไปได้ซึ่งมันไม่ควรจะเป็นนะ ถ้ามันเป็นปัญญาเป็นความรู้แล้วทำไมมันจึงหลอกหลอน แต่คุณก็ควรจะสังเกตดูให้ดี มันมีคำตอบอยู่ในนั้นแล้วอย่างซ่อนเร้นทีเดียว เขาไม่ได้พูดว่าปัญญาความรู้ของ”ตัวกู” ตัวกูนี้อยู่ในอัญประกาศ ตัวกูคำนี้ต้องเป็นพิเศษ อัญประกาศ เรียกว่า quotation mark (นาทีที่ 02:35) เพื่อให้รู้ว่าตัวกูนี่มันเป็นเพียงอะไรอันหนึ่งซึ่งไม่ใช่ของจริง เป็นมายา เป็นกิเลส เป็นอุปาทาน นี้ปัญญาความรู้ของตัวกูนี่มันย้อนกลับไปหลอนตัวกูได้ ทั้งที่เรียกว่าปัญญาและความรู้
เราพูดกันถึงคำว่า ปัญญา ก่อน ทั้งที่ได้เคยพูดมาแล้วในเรื่องนี้เคยพูดมาแล้ว แต่จะต้องพูดอีกเพื่อเตือนแล้วเตือนอีกว่าให้ระวัง บางคนอาจจะไม่เคยได้ยินได้ฟังก็ได้ ว่า ปัญญา คำนี้ในภาษาไทยมันทำพิษได้ คือมัน มัน มันกำกวม หรือมันดิ้นได้ ไม่เหมือนภาษาบาลี ภาษาบาลีถ้าพูดว่าปัญญาแล้วเป็นปลอดภัยแน่ ในภาษาไทยพูดว่า ปัญญา นี้ยังไม่ปลอดภัย เพราะภาษามันเปลี่ยนความหมายเดิม ปัญญาของผู้เอาเปรียบ ปัญญาของคนคดโกง ปัญญาของพวกโจร ปัญญาอะไรเขาก็เรียกปัญญาหมด แต่ในภาษาบาลีปัญญาชนิดนั้นเขาไม่เรียก ปัญญา มันจึงปลอดภัยมันหมายถึง ปัญญาบริสุทธิ์ แล้วปัญญาชนิดที่ไม่บริสุทธิ์หรือว่าที่มันไม่ ไม่ดับกิเลสดับทุกข์ เขาเรียกอีกชื่อหนึ่ง เขาเรียกว่า เฉโก ถ้ายังไม่รู้ก็รู้เสียเดี๋ยวนี้ว่า คำว่า เฉโก นั้นไม่ใช่ภาษาไทย ไม่ใช่คำด่าในภาษาไทย เป็นภาษาบาลีเต็มที่ หมายถึงความฉลาด เฉลียวฉลาด ทั่วๆ ไปที่ไม่ประกอบไปด้วยธรรม ฉลาดพื้นฐาน ฉลาดที่เป็นอันตรายก็ได้เป็นประโยชน์ก็ได้ นี้ไอ้ความฉลาด แววแห่งความฉลาด เรียกว่า เฉโก หรือความฉลาดชนิดที่เรียกว่าเอาเปรียบคนอื่นได้ อย่างว่าฉลาดในแง่กฎหมาย แล้วก็ทำเรื่องผิดให้เป็นถูกได้ อย่างนี้เรียกว่า เฉโก ภาษาบาลีเป็นอย่างนั้นมันถึงปลอดภัย ถ้าพูดว่าปัญญาแล้วมันก็ปลอดภัยไม่ทำอันตรายใคร เพราะเขาแบ่ง เฉโก ออกไว้ชนิดหนึ่ง นี่ในภาษาไทยเราคำว่า เฉโก ก็มีใช้เหมือนกันแต่ใช้ไปในทางต่ำกว่า ไปใช้เหลวไหล หลอกลวง เหลวไหล ไปเลย ภาษาบาลีไม่ถึงอย่างนั้น นั้นเราจึงไม่พูดถึงไอ้เรื่อง เฉโก ที่ใช้ประโยชน์ได้ เราไปใช้ปัญญาเสียด้วย ใช้คำเดียวคำว่าปัญญา แล้วมันจึงมีปัญญา เช่น ปัญญาในทางหลอกลวง มีปัญญาทางเอาตัวรอด เอาเปรียบผู้อื่นอะไรทำนองนั้น ก็เรียก ปัญญา อย่างนี้ในทางภาษาธรรมะก็ไม่เรียกปัญญา
นี้เราก็พูดขึ้นว่า ปัญญาความรู้ของตัวกู นี่คุณดูเจ้าของปัญญาสิ เจ้าของปัญญาคือตัวกู ตัวกูนั้นเป็นอุปาทานเป็นกิเลส นั้นปัญญาของกิเลสก็คือกิเลส คือปัญญาที่ยังไม่จริง นี้ก็มองเห็นได้ง่าย ตรงที่ว่า คนที่เล่าเรียนมีสติปัญญานี่ บวชพระ บวชเณรอยู่เดี๋ยวนี้แหละ แล้วก็เล่าเรียนปริยัติ เรียนพระไตรปิฎกมีความรู้มีปัญญานี่ ปัญญาอย่างนี้ยังไม่ใช่ปัญญา คือปัญญาที่จะหลอนตัวกูอยู่เสมอไป ให้เข้าใจง่ายเราก็มองดูล่วงหน้าไปเลยว่า ไอ้คนที่เรียนพระไตรปิฎกแตกฉาน ก็ยังมีที่เลวทราม ที่ทำผิด ที่อยู่ในผ้าเหลืองไม่ได้ ที่ต้องออกไปเป็นทาสของกิเลสอย่างนี้ก็มี หรือว่าทำผิดในผ้าเหลืองก็มีนี่ คนที่เรียนพระไตรปิฎก แตกฉานนี่มันก็ยังมีถึงขนาดนี้ นี่คือปัญญาชนิดนี้ หรือว่าเรียนอื่นเดี๋ยวนี้ก็มีมาก เช่น เรียนพุทธศาสนาอย่างเซน พุทธศาสนาอย่างมหายาน อย่างอื่น แล้วก็เรียนได้มาก รู้ พูดได้ เข้าใจถูกต้อง แต่แล้วปัญญานี้ก็ยังเป็นปัญญาเฉโกอยู่นั่น คือปัญญาที่จะหลอนตัวกูอยู่เรื่อยไป ในวงที่กว้างออกไปกว่านั้นอีก ก็คือพวกที่เรียนปรัชญาเป็นนักปรัชญา นี่เรียนปรัชญาหมดทั้งโลกนะ ก็ยังคงมีปัญญาชนิดเฉโกที่หลอนตัวเองได้อยู่เรื่อยไป
นั้นคุณมองดูให้ดีๆ ว่า ไอ้รู้มาก รู้จริง รู้มาก อย่างโลกๆ รู้จริง มันก็เพื่อหลอนตัวเองมากกว่า เช่นเดียวกับหมอความ ทนายความ ที่แตกฉานในกฎหมายนี่ ก็เพื่อจะเอาเปรียบในแง่กฎหมาย เพื่อจะช่วยจำเลยที่มีความผิด ให้หลุด ให้รอด หรือเอาเปรียบอย่างใดอย่างหนึ่ง ความรู้กฎหมาย ความมีสติปัญญาในทางกฎหมาย ความแตกฉานในทางกฎหมาย มันก็หลอนตัวเองอย่างนี้ หลอนให้คนนั้นใช้กฎหมาย ใช้ความรู้ทางกฎหมาย ในทางที่ไม่เป็นธรรม ทีนี้ในทางธรรม ทางศาสนานี้ก็เหมือนกัน เรียนพระไตรปิฎก เรียนเถรวาท เรียนเซน อย่าง อย่างที่เรียกว่าเหนือขึ้นไปอีก หรือว่าเรียนมหายานทั่วๆ ไปก็ตามจนแตกฉานไปหมด ทั้งเถรวาท ทั้งมหายาน ทั้งเซน ที่เหนือขึ้นไปอีก เหนือเถรวาท มหายานขึ้นไปอีกนี่ แล้วมันก็ช่วยตัวไม่ได้ ก็มีอยู่ แทบทั้งหมด หรือเรียกว่าทั่วไปเลย เพราะว่าปัญญาของตัวกูมันหลอนตัวกู
อ้าว, ทีนี้เราพูดถึงปัญญากันให้ชัดลงไปอีก ปัญญาในภาษาไทยนี่ คำว่า ปัญญา ในภาษาไทยนี่ มันกำกวม หรือมันกินความกำกวมได้อย่างไรบ้าง เรามีทางที่จะเปรียบเทียบได้หลาย หลาย หลาย หลายชุด หลายชุด พูดเป็นไทย ไทย เช่นว่า ความรู้ ความเข้าใจ แล้วก็ความรู้แจ้งแทงตลอด นี่ คุณจำไอ้คำ ๓ คำนี้ไว้แล้วก็จะเข้าใจได้ ความรู้อย่างหนึ่ง ความเข้าใจอย่างหนึ่ง ความรู้แจ้งแทงตลอดอย่างหนึ่ง ในความรู้ในนี้หมายถึงแต่เพียงว่า เราอ่าน เราฟัง เราศึกษา เราก็มีความรู้ เช่น เด็กๆ ไปเรียนหนังสือมันก็มีความรู้ ไอ้ความรู้นี่มันก็จะไปในทางความรู้ธรรมดานี่ รู้ทั่วๆ ไป ไอ้ knowledge knowledge ธรรมดาๆ นี่ นี่ก็ชั้นหนึ่ง นี้สูงขึ้นมาก็พวกที่เรียกว่า ความเข้าใจ อันนี้มันเพียงแต่เรียนเฉยๆ ไม่ได้ มันต้องใช้การคิดตามเหตุผล reasoning มันมีรากฐานอยู่บน reasoning โดยตรง เราเรียกว่า ความเข้าใจ
ทีนี้มันก็มาถึง ไอ้ความรู้แจ้งแทงตลอด ภาษาฝรั่งเขาจะเรียกอะไรก็ตามใจเขา เช่น realization หรือว่า อิทูอิชั้นอินทูอิ wisdom (นาทีที่ 12:20)อะไรก็ตามนี่มันเหนือกว่า เหนือไปกว่าความเข้าใจ ความเข้าใจนั้นมันมีรากฐานอยู่ที่เหตุผล และ reasoning เป็นวิธีการ แต่ความรู้แจ้งแทงตลอดนี่มันไม่อาศัยเหตุผล อีกต่อไป มันทิ้งเหตุผลเลย เพราะว่ามันได้ผ่านทะลุตลอดไปจริงๆ ใน experience ต่างๆ จนไม่ต้องอิงเหตุผล แล้วก็เหตุผล..แล้วก็เป็น experience ในทางจิตทางวิญญาณด้วย ไม่ใช่ experience ทางเนื้อหนัง คือเป็นเรื่องของสติปัญญาจริงๆ ผ่านมาแล้วจริงๆ ซึมซาบมาแล้วจริงๆ เราเรียกว่า experience ในทางวิญญาณ ขึ้นชื่อว่า experience แล้วไม่ต้องเหตุผลนะ เช่น คุณกินน้ำตาลหวานนี่ คุณไม่ต้องอ้างเหตุผลว่าน้ำตาลหวาน แต่ถ้าไม่เคยกินน้ำตาล สังเกตดูน้ำตาล ได้ยินเขาเล่าเรื่องน้ำตาล ก็ใช้เหตุผลว่ามันอาจจะหวาน ยกตัวอย่างเรื่องน้ำตาล เรามีความรู้เรื่องน้ำตาล เพื่อนบอกว่าน้ำตาลหวาน เราก็มีความรู้จำได้ว่าน้ำตาลหวาน นี่เรียกว่าความรู้ ที่เราสังเกตเห็นไอ้คนที่เขากิน ที่เขา ไอ้ที่เขาใช้ เขากิน เขาอะไร นก หนูมันกินอันนี้ มันคำนวณเอาว่ามันคงจะหวานแน่ นี่ นี่มันความอาศัยเหตุผลนี่ สิ่งแวดล้อมเป็นเหตุผล นี้ต่อมาเรากินน้ำตาลเข้าไปเอง เลยไม่ต้องมีเหตุผล ต้องเป็นไปตามเหตุผล ความรู้ หรือจะเรียกว่า ปัญญา อะไรก็ตามมีอยู่ ๓ ชั้นอย่างนี้ เด็กๆ พอเรียนหนังสือก็มี ปัญญา รู้หนังสือ ต่อมาฉลาดคิดก็มีปัญญาในการคิด ต่อมาได้ผ่านอะไรไปจริงๆ มากก็มีปัญญาในการเจนจัดผ่านสิ่งเหล่านั้นไปมากจริง นี่ปัญญามันมีตั้ง ๓ ชั้น อย่างน้อยแล้วต่างกันลิบ นี่ก็ชุด ๑ ซึ่งมีอยู่ ๓ ต้องเข้าใจคำว่าปัญญา ปัญญานี้ และไอ้ปัญญาที่มันจะหลอนตัวกู มันก็คือปัญญา ๒ พวกแรกนั่นแหล่ะ ปัญญาเพราะได้ยินได้ฟังมา ปัญญาเพราะใช้เหตุผลไปตามการคำนึงคำนวณ ปัญญา ๒ ชนิดแรกนี่ มันจะหลอนตัวกู ปัญญาชนิดรู้แจ้งแทงตลอดนั้นไม่หลอน
ทีนี้ผมอยากจะให้เอาไปดูอีกชุดหนึ่ง ชุดนี้ว่าเอาเอง ไม่มีในตำรา.จิตวิทยา (นาทีที่15:13)เราว่าเอาเองหรือว่ามีตำราหรือไม่นี่มันไม่สำคัญ ถ้าคุณเข้าใจ มองเห็นก็ใช้ได้ ให้เป็นประโยชน์ได้ เรียกสามไอ ไอคือ instinct ไอ คือ intellect และก็ไอคืออินจรูอิชั่น (นาทีที่ 15.34) สามไอ instinct ก็คือว่าสัญชาตญาณ ความรู้ที่เกิดเองตามธรรมชาติ เราเรียกว่า instinct เข้าใจกันดี เช่นสัตว์เดรัจฉาน ก็มีปัญญาอย่าง instinct ดูแมลงผึ้งทำรัง เราทำได้เมื่อไหร่ นกกระจาบทำรัง เราทำให้เหมือนได้เมื่อไหร่ นี่ปัญญาอย่าง instinct นั้นคุณอย่าดูถูกสิ่งเหล่านี้ ไปนั่งดูมันเสียบ้าง ดูนก ดูหนู ดูแมลง ดูปลา ดูให้มันรู้ว่าไอ้ ไอ้ ขอบเขตของ instinct นี่แหมมันน่า น่าตกใจเหมือนกัน
ที่นี้มาถึงเรื่อง intellect ก็คือสติปัญญาที่เกิดจากการอบรมศึกษา มนุษย์เราก็มีปัญญาอย่าง instinct มากเป็นไปได้เอง แต่แล้วมนุษย์นี้ มันก้าวมาไกลกว่าสัตว์ก็คือว่ามีการศึกษามีการอบรม มีเหมือนกับหลักวิชาการศึกษานี่ อบรมหลายๆ อย่างแล้วทางนี้ มันเกิดไอ้ปัญญาขึ้นมา เรียกว่า intellect นี้ยังอยู่ในอำนาจแห่งเหตุผล ปัญญานี้ยังอยู่ในอำนาจแห่งเหตุผล พร้อมกันมากับการศึกษาบวกไอ้ความรู้จากการศึกษาเข้ากับความเข้าใจในทาง Reasoning รวมเข้าด้วยกันมันเป็น intellect พูดกันตรงๆ ว่าพวกคุณเรียนกันในมหาวิทยาลัยอย่างมากก็ได้ intellect
ส่วนไอ้อันสุดท้ายที่เรียกว่าอินทูอิชั่น อิทูอิทิฟวิสดอม (นาทีที่17:22) ใช้คำว่า wisdom ดีกว่ารัดกุมกว่า ยังไม่มี จนกว่าจะผ่านสิ่งเหล่านั้นเป็นผู้มีเรื่องมาก มีปัญหามาก มีการกระทำมากตามความเจนจัดในชีวิตใน…(นาทีที่17:38)ต่างๆ หลังจากนั้นแล้วเป็นเวลานานมากจึงจะมีอิทูอิทิฟวิสดอม ขึ้นมาได้ แล้วมันจึงไปอยู่พวกแก่ๆ ที่คงแก่สติปัญญา ศึกษาเล่าเรียนความไม่ประมาทอะไรต่างๆ
ที่นี้ก็มาไล่ดูว่าไอ้สามอินนะ instinct intellect อินทูอิวิสดอมนี่(นาทีที่ 18:08) สามอินนี่ อินไหนหลอกตัวกู มันก็ไอ้อินตัวกลางนั่นแหละคุณระวังให้ดีไอ้ที่เขาบูชากันนักว่าintellect intellect นี่การศึกษาก็มุ่งผลอันนี้แล้วก็ต้องการกันนัก บูชากันนัก แล้วไอ้ intellect นี่จะเป็นผู้หลอนตัวกู ส่วน instinct นั้น มัน มันเรียบ มันบริสุทธิ์ มัน innocence มันอะไรไปตามธรรมชาติ มันไม่หลอนใคร แล้วมันก็ไม่มากไม่สูงจนจะมายก จะยกเป็นเครื่องอวดดิบอวดดีอะไรได้ นั้นมันจึงเอามาใช้หลอนอะไรไม่ได้ ส่วนไอ้ intellect นี่มันมันเก่งรอบด้านกระทั่งไปในทางที่จะทุจริต ไม่ใช่ว่ามี intellect มากแล้วก็จะป้องกันความทุจริตได้ จะป้องกันความทุกข์ได้อันนั้นเป็นไปไม่ได้ มันไม่เห็นจริงถึงขนาดที่เรียกผ่านมาแล้วหรือชิมรสมาแล้ว มันเป็นแต่เรื่องสติปัญญาจากการคำนึงคำนวณศึกษาเล่าเรียน แล้วมันรับประกันไม่ได้จนกว่า มันจะถึงอินจุอิชั่น อิจูอิทิฟวิสดอม(นาทีที่19:31) มันผ่านมาแล้วมันเคยเข็ดฟันไอ้สิ่งที่เจ็บปวดรวดร้าว มันเคยสะดุ้ง เคยมาแล้วทั้งนั้นแหละในสิ่งที่มัน เจ็บปวดรวดร้าว นี้มันก็เคยสบายใจชื่นอกชื่นใจมาแล้ว ในสิ่งที่มันเป็นไปถูกทางเราเรียกสั้นๆ ว่า wisdom ก็ได้ แต่ใช้ คำว่า อิทูอิทีฟ กำกับเข้าไว้หน่อย อันนี้ก็ไม่หลอนตัวกูเพราะมันไม่ทำให้เกิดตัวกู
ถ้ามีคำพูดอยู่ว่าตัวกูนั้น แล้วมันต้องหมายความว่า มันต้องมี ตัวกู เพราะฉะนั้นไอ้สิ่งที่เรียกว่า ตัวกู นี่มันมีปัญญาได้เพียง intellect อย่างสูง มีปัญญาได้เพียงความเข้าใจ understanding reasoning จาก reasoning แล้วก็มี วิชาความรู้ ปัญญาอย่าง intellect ที่มีเหตุมีปัจจัยปรุงแต่งมัน เพราะฉะนั้นมันไม่เหนือเหตุผลไปได้ นี่คุณอย่าไปปนกันเสีย ว่าไอ้ความรู้ ความรู้แล้วก็เหมือนกันหมด ปัญญา ปัญญาแล้วก็เหมือนกันหมดมันมีอยู่หลายชนิด ที่นี่เครื่องช่วยความจำอีกชนิดหนึ่งก็คือ ไอ้รูปภาพที่เขียนอยู่ข้างประตูทางเข้าทางโน่น ภาพจับปลาดุกด้วยน้ำเต้า จำติดตาไว้บ้าง มันจะได้คอยเตือนไว้กันลืม ถ้าไม่เคยดูก็ไปดูเสียใหม่ ภาพคนๆ หนึ่งเอาลูกน้ำเต้ากลมๆ มานี่แล้วจะเอามาช้อนปลาดุก ถ้าไม่เข้าใจก็ฟังให้ดีๆ เสียก่อน ไปเด็ดลูกน้ำเต้าลูกเหมือนขวดมาลูกหนึ่งจับหัวจับท้าย เอาไปช้อนปลาดุก เพื่อจะจับปลาดุก มันโง่เท่าไร มันบ้าเท่าไร อะไรเท่าไร ก็พอจะรู้กันอยู่ แต่แล้วระวังให้ดี ตรงที่ว่าพวกคุณนั่นแหละกำลังเป็นพวกที่เอาลูกน้ำเต้าช้อนปลาดุก พวกคุณในมหาวิทยาลัยหรือในไหนก็ตาม กำลังเอาลูกน้ำเต้าช้อนปลาดุก คือคุณกำลังคิดว่าปัญหาต่างๆ จะแก้ได้ด้วย intellect นี่ใจความสำคัญอยู่ที่ตรงนี้ คุณกำลังเชื่อ กำลังหวัง กำลังไว้ใจ ว่าคุณจะแก้ปัญหาต่างๆ ได้ด้วย intellect ถ้าคุณกำลังคิดอยู่อย่างนั้น คุณนั่นแหละคือคนที่กำลังเอาลูกน้ำเต้าไปจับปลาดุก ภาพนั้นเขาต้องการจะแสดงว่า ธรรมะ หรือเซน หรือเต๋า อะไรก็แล้วแต่จะเรียกไอ้ธรรมะนั้นหล่ะ รู้ไม่ได้ด้วย intellect เข้าใจไม่ได้ บรรลุไม่ได้ด้วย intellect เหมือนลูกน้ำเต้า ธรรมะเป็นสิ่งที่รู้ได้ ด้วยไอ้สิ่งที่เรียกว่า wisdom อินทูวิทีฟ wisdom เราต้องเอาเครื่องมือ ที่ทำไว้สำหรับจับปลาดุก เป็นอะไรก็ตามใจ เอามาช้อนปลาดุก มันจึงจะได้ปลาดุก อินทูวิทีฟ wisdom มันเป็นเครื่องมือคู่กันกับการที่จะเอามารู้ธรรมะ ลำพัง intellect ลำพัง instinct ช่วยไม่ได้ นั้นอย่าไปหวังคำว่า intellect กันให้มากนัก เดี๋ยวนี้ผมสังเกตเห็นอะไรก็เอ่ยถึง intellect intellectual อะไรไปแต่อย่างนี้ ไม่ ไม่ ไม่ค่อยจะไปถึง อิทูวิทีฟ wisdom ตามหลักของพุทธศาสนาเลย
ถูกแล้วในภาษาอังกฤษภาษาอะไร เขาอาจจะเอา intellect เป็น wisdom ปนกันยุ่งไปก็ได้ ในการพูดจาคงเอา wisdom ไปปนกับ intellect ยุ่งไปหมด แต่ว่าในข้อเท็จจริงตามทางของธรรมชาติแล้วมันเป็นไปไม่ได้ ก็พยายามแยกให้มันเป็นชั้นๆ ไปก่อน ว่า instinct นี่ไม่ต้องใช้เหตุผลไม่ต้องอะไรทำได้โดย สัญชาตญาณที่เกิดขึ้นมาเอง intellect นี่มันต้องอิงการศึกษา อิงเหตุผล อิงอะไรต่างๆ และก็ไม่พ้นไปจากอำนาจแห่งเหตุผล แล้วก็เหตุผลก็เปลี่ยนได้ ความจำก็ลืมได้ เพราะฉะนั้นมันจึงไม่แน่ จนกว่าเมื่อไรมันจะผ่านสิ่งต่างๆ ไป มีไอ้ อินทูวิทีฟวิสดอม เกิดขึ้นมันจึงจะแน่นอนมันเหนือเหตุผล เพราะฉะนั้นอันนั้นไม่หลอนตัวกู มันกลางนี่ intellect นี่จะเป็นผู้หลอนตัวกู เรียกว่าปัญญาความรู้ของตัวกู ย่อมหลอนตัวกู
นี้ปัญญาความรู้ของกู เอ้า, พิจารณากันในแง่นี้ก่อน ตัวกูมันอยากดี ตัวกูมันอยากเด่น มันก็ขยันเรียน มุทะลุ เรียนอย่างมุทะลุ สอบได้ชั้นทุกชั้นเรื่อยไป แล้วมันก็เพิ่มไอ้ความเป็นตัวกู ตัวกู ของกูนี่ เข้มข้นเข้า เข้มข้นเข้า ตามที่ประสบความสำเร็จ ฉะนั้นคุณยิ่งมีความรู้ชนิดนี้มาก คุณก็ยิ่งมีตัวกูที่ลึกซึ้งเหนียวแน่นเข้มข้นมากขึ้น เหมือนภิกษุที่เรียนพระไตรปิฎกจบมานี่ก็มีตัวกูยกหูชูหางเด่นเลย หรือว่าเรียนมหายาน เรียนเซน อะไรแตกฉานพูดคล่องไปหมด มันก็มีหูมีหางยาวขึ้นไปเป็นตัวกูเพราะเหตุนั้น แล้วก็ไอ้ปัญญาชนิดนั้นมันหลอนตัวกูเอง คือทำให้ตัวกูทนงตัวยกหูชูหาง แล้วในที่สุดก็เอามาแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ มันจึงมีการกระทำผิด ทั้งที่แตกฉานในพระไตรปิฏกหรือแตกฉานในวิชาอย่างนั้น มีการทำผิดได้ และก็มีการอวดดี บ้าบิ่น ไม่เชื่อใคร มีมานะทิฐิจัด มีโมโหโทโส มีความโกรธแรงเร็ว ตัวกูยิ่งมากเท่าไร ไอ้สิ่งเหล่านี้ยิ่งแรงเร็ว โลภะ โมหะ โทสะ จะยิ่งแรงและยิ่งเร็ว ฉะนั้นคุณสังเกตเอาได้ง่ายๆ ว่าไอ้คนที่มันฉลาดมีวิชาความรู้ มันโกรธง่าย เกลียดง่าย โมโหง่าย อะไรง่ายทั้งนั้น สู้คนที่เขา อยู่ตามธรรมชาติเดิมของเขาไม่ได้ พวกเทวดาถึงไหว้แต่ภิกษุที่ไม่เรียนพระไตรปิฏก พูดอย่างนี้ไม่น่าเชื่อนะ พวกที่เรียนพระไตรปิฎกนี่ มันยกหูชูหาง พวกเทวดาไม่ไหว้ เทวดาจะไหว้ผู้ที่มีความสุจริตบริสุทธิ์ และก็ไม่ต้องรู้พระไตรปิฏกก็ได้ ข้อความในคัมภีร์ก็มีเขียนอย่างนี้แล้วคุณไปคิดดูก็พอจะเชื่อได้
ผมอายุเท่านี้นะ เห็นพระหลายองค์ พระบ้านนอก ที่มีคนไหว้มีคนนับถือ มากกว่าผม ทั้งที่พระองค์นั้นไม่รู้อะไร นักธรรมก็ไม่เคยเรียน นักธรรมสักชั้นก็ไม่ได้ เป็นพระเถระ เป็นพระผู้เฒ่า ที่อยู่อย่างน่าไว้ใจ การเป็นอยู่ของท่านอยู่อย่างน่าไว้ใจ น่าเชื่อว่าท่านไม่มีอะไร แล้วก็ท่านมักน้อย สันโดษ สุภาพอ่อนโยน แม้กระทั่งเดินมาบิณฑบาต ก็ไม่เดิน ลอกแลกๆ อย่างพระหนุ่มๆ หรอก ทุกอย่างมันน่าเลื่อมใสหมด คนรัก คนติดตาม คนเอาใจใส่ ไม่มีความขัดข้อง เรื่องปัจจัยเรื่องอะไรต่างๆ แล้วแกก็ไม่ต้องการ อย่างผมเป็นมหาเปรียญเป็นครูเป็นไรนี่ มันก็ยังไม่มีคนนับถือ หรือไว้ใจมากเท่าท่านที่ว่านั้น นี่ผมหมายถึงตอนต้นๆ เดี๋ยวนี้ผมก็ไม่รู้แล้ว แต่ว่าที่มันสะดุดมากก็คือว่า เมื่อเราเป็นมหาเปรียญนี่ เมื่อเขาไม่เป็นอะไรเลย นี้ก็มีคนไว้ใจและนับถือมากกว่า
เมื่อเรามีสวนโมกข์มีอะไรหลายปีแล้วนี่ ก็มีอะไรที่คนชักจะไว้ใจหรือเข้าใจเข้าใจผมและไว้ใจผมและนับถือผมขึ้นมากแล้ว ก็มีเพื่อนที่สนิทกันมาก เป็นเพื่อนอย่าง เรียกว่าเพื่อนอย่างจริงๆ คนหนึ่ง เขาไปบอกแม่ยายเขาว่าผมนี่เป็นพระที่ดี ที่ดี ที่น่าทำบุญด้วย แล้ววันหนึ่ง ผมก็เผอิญมีโอกาสไปที่บ้านนั้น เพราะเพื่อนของผมคนนี้ป่วย ก็ไปเยี่ยมที่กรุงเทพ ก็เลยเป็นเหตุให้ได้พบกับแม่ยายคนนั้น แม่ยายของเพื่อน โอ้ แกว่า โอ้ ยังหนุ่มนัก แกว่ายังหนุ่มนัก ยังไม่ไว้ใจ ยังไม่เชื่อ ยังไม่ไว้ใจ ยังหนุ่มนัก นั่นแหละคุณดูเถอะ ก็ว่ามนุษย์ เขาเล็งถึงไอ้ความบริสุทธิ์กับความไว้ใจได้ อย่าไปอวดดีที่มีความรู้เป็นมหาเปรียญมีปริญญายาวเป็นหาง นี้ ไม่ ไม่ทำกับมนุษย์ชนิดที่เขา มีไอ้ความเคารพนับถือตัวเองได้ เมื่อเขาหาอะไรจะมาติเตียนเราไม่ได้แล้วเขาก็อ้างว่ามันยังหนุ่มนัก ก็แสดงว่าไอ้ความหนุ่มนี่มันยังไม่แน่ มันยังเปลี่ยนได้ ยังไม่เชื่อ ยังไม่ไว้ใจ นั้นพระหนุ่มๆ อย่าเพิ่งยกหูชูหาง ถึงจะมีความรู้ความสามารถอย่างไรก็อย่าเพิ่งยกหูชูหาง ไอ้ความหนุ่มนัก นั่นแหละ มันจะเล่นงานเอา และมันจะเป็นแบบไอ้ตัวกู ไอ้ความรู้ของตัวกู นี้มันหลอนตัวกู เพราะคนที่กำลังหนุ่ม กำลังคะนอง กำลังเรียน เรียนเร็ว เรียนพุ่งไปอย่างเร็วมีอะไรรู้ทันใจทันอกนี่ นั้นแหละ อย่าๆ เข้าใจผิดว่ามันลดตัวกูนะ มันเพิ่มไอ้ๆ มันเพิ่มแรงงาน เพิ่มกำลังงานของตัวกู มากขึ้นๆ ยิ่งไปแสดงอะไรออกไปบ้างว่าเขาพอใจเลื่อมใสระบือลือชา ตัวกูมันพุ่งปรู๊ดขึ้นไปไม่ทันรู้สึกเลย
นี่สติปัญญาของตัวกูชนิดนี้ มันจะหลอนตัวกู ให้พุ่งฉูดขึ้นไปเลย แล้วมันจะไม่เชื่อฟังใคร มันจะขี้โมโห โทโส จนกระทั่งมันมีอะไรเลวๆ มันก็ไม่รู้สึกตัว กระทั่งเป็นโรคเส้นประสาทมันก็ไม่รู้ว่าเป็นโรคเส้นประสาท กระทั่งเป็นบ้ามันก็ไม่รู้ว่าเป็นบ้า นี่ก็เรียกว่าตัว เอ่อ เอ่อ สติปัญญา ปัญญาความรู้ของตัวกู มันหลอนตัวกูอย่างสนิทหรือเหลือที่จะสนิท ไม่มีทางจะรู้สึกได้ เราเรียกเป็นภาษาบาลีสั้นๆ คำเดียวว่าความประมาท ถ้าคุณไม่รู้จักความประมาท คุณคิดตามนี้ คิดตามที่ผมกำลังว่านี่ ก็จะเป็นหลักยึดเรื่องหลักความประมาท คำว่าความประมาท คำนี่วิเศษที่สุดมันกินความกว้างเหลือประมาท พูดว่า ประมาท คำเดียวนี่ มันหมายหมดเลย หมายถึงความโง่ ความขี้เกียจ ความเย่อหยิ่ง จองหอง ความอวดดี ความไม่สำนึก ความสับเพร่าหมดเลย จนจนจาระไนไม่ไหว หมดนั้นมันรวมอยู่ที่ความประมาท นั้นตัวกูยิ่งเจริญเท่าไร ความประมาทก็ยิ่งเจริญเท่านั้น นั้นตัวกูมีความรู้ตามแบบของตัวกูมากขึ้นเท่าไร มันก็คือความประมาทมากขึ้นเท่านั้น แล้วมันก็หลอกหลอนตัวกูสนิทสนมมากขึ้นเท่านั้น มันเชื่อตัวกูดี ตัวกูถูกเสมอไปก็มีความรู้มาก มีชื่อเสียงมาก ยิ่งประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานอะไรก็ด้วยแล้ว ยิ่งเอาใหญ่เลย ตัวกูมันอ้างความสำเร็จในหน้าที่การงานขึ้นมาทีเดียว ว่าดี ว่าจริง ว่าถูกต้อง ว่าวิเศษ ประเสริฐ ฉะนั้นจะทำอะไรสำเร็จก็ระวังนะ มันจะช่วยเชิดตัวกูขึ้นไป หรือเมื่อเขาเคารพนับถือ ระวังนะ ระวังให้ดีนะ เมื่อเขาเคารพนับถือยกย่องยกให้เป็นผู้รู้ผู้ดี ระวังให้ดีเถิด ไอ้ตัวกูมันจะหนาแน่นขึ้นไปอีก คุณอย่าไปพอใจนะ ไอ้ความสรรเสริญ ความยกย่องนี่คุณอย่าไปพอใจนัก มันจะเป็นโอกาสแห่งความหลอนของตัวกู ร้ายยิ่งกว่าสิ่งใดหมด
ฉะนั้นถ้าใครเขาพอใจเขายกย่อง เขาให้เกียรติ เขาให้ความช่วยเหลืออะไรก็ตามนี่ ระวังสะดุ้งทันที จงสะดุ้งไว้ก่อน ว่านี่มันจะเล่นงานเราแน่ เพราะนี่แหละมันจะขุดหลุมฝังเราหล่ะ ระวังไว้ให้ดีเถอะ นี่ผมถือคติอันนี้มาตลอดเวลาจึงรอดตัวมาได้ จนบัดนี้ สะดุ้งกลัว สะดุ้งกลัวในความสำเร็จที่เป็นเหตุให้ได้ชื่อเสียงให้ได้คนยกย่องนับถือ นั่นแหละอันตรายที่สุดเลย แต่คนโดยมากเขา โอ้ ความสำเร็จความดี ความได้ ความอะไร ไม่รู้ว่าไอ้นี่ จะกัด จะแว้งกัดเอาทีหลังอย่างไม่มีทางแก้ไขเลย ระวังให้ดีดี ปัญญา ความรู้ หรือความสำเร็จ ของตัวกูนี่มันจะระดมกันหลอนตัวกูเรื่อยไป จนตัวกูเวียนหัว จนตัวกูไม่รู้ทิศเหนือทิศใต้ จนตัวกูเป็นผีเป็นปีศาจไปในที่สุด ในรูปของผู้มีสติปัญญา มีวิชาความรู้ รู้พระไตรปิฎก รู้มหายาน รู้เซน รู้อะไรต่างๆ ทีนี้คุณลองสังเกตดูให้ดีเถอะ คุณจะจับเคล็ดได้ว่า ถ้ามีคำว่าตัวกูอยู่ที่ไหนละก็ ระวังเถอะ นั้นสิ่งที่จะต้องระวังก็คือ แม้แต่ปัญญาความรู้ของตัวกูนี่ เราพูดว่าปัญญาความรู้ ก็ พอ พอ พอจะยกมือรับได้ แต่พอมีคำว่า ของตัวกู ขึ้นมานะปัดทิ้งเลย ปัญญาความรู้นั้นต้องปัดถึง โยนกองขยะ ฝังดินไปเลย มันต้องปัญญาความรู้ของปัญญาความรู้คือของธรรมะโน่น จึงจะใช้ได้ ถ้าปัญญาความรู้ของตัวกูแล้วจงขยะแขยงให้มาก มันจะทำให้ยกหูชูหางอยู่ตลอดเวลา แล้วมันจะเชิดจนไอ้..ไม่รู้ทิศเหนือทิศใต้ แล้วมันจะหลอนให้ เป็นผู้มีกิเลสและเก่งและแรงและรุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ นี่รวมเรียกว่าระวังปัญญาความรู้ของตัวกู มันย่อมจะหลอนตัวกู
เอ้า,ที่นี้ดูกันต่อไปถึงเรื่องมันหลอนตัวกู มัน มันมีอะไรบ้าง มันเดือดร้อนทั้งโลก ไอ้ตัวกูนั่นเองมันถูกหลอนให้ ให้เป็นคนโง่เป็นคนพาลในรูปของบัณฑิต ในรูปร่างของบัณฑิต คุณฟังออกไหม ว่าไอ้ตัวกูน่ะ กิเลส ปัญญาความรู้ของตัวกูนั่น มันทำให้ตัวกูเป็นอันธพาลในรูปร่างของบัณฑิตหรือของสัตบุรุษก็ตาม เพราะใครๆ ดูมันมีปัญญามาก มีความรู้มาก มีชื่อเสียงมาก มีความสำเร็จมากทำอะไรได้มาก เขาก็คิดว่ามันเป็นบัณฑิตหรือสัตบุรุษ แต่ความเป็นอันธพาลมันอยู่ข้างใน มันมีความรู้มีปัญญาตามแบบของตัวกู แล้วความรู้นั้นไม่ใช่ ความรู้แจ้งแทงตลอด ไม่ใช่ปฏิเวทหรือความรู้แจ้งแทงตลอด เป็นความรู้อย่าง intellect เป็นความรู้อย่าง understanding หรือบวกเข้ากับสัญชาตญาณด้วยเลยก็ได้ ฉะนั้นจงปักใจ บากหน้าไปหาไอ้ความรู้ชนิดที่เรียกในพุทธศาสนาว่าปฏิเวทนี่ คืออินทูวิทีฟวิสดอมให้มากๆ เข้าไว้ มุ่งหน้าไปหาแต่ปัญญาชนิดนั้น ไอ้ปัญญา intellect นั้นระวังๆ ระวังไว้ที ควบคุมมันไว้ที ไปหาความเจนจัดในชีวิตในการงานนั้น ในสุข ในทุกข์ในปัญหาต่างๆ ที่ได้ผ่านไปจริง แล้วเอาความรู้จริงๆ นั้นมา ที่ควรกลัวก็กลัวให้มาก ที่ควรจะรับเอาไว้ หรือถือเป็นหลักก็รับเอาไว้ มัน มันเป็นความถูกต้อง มันเป็นของจริง มันความถูกต้อง พอมาถึงขั้นนี้แล้วมันไม่ใช่ ปัญญาความรู้ของตัวกูเสียแล้ว เพราะไอ้ความเอ่อ ปัญญาความรู้ชนิดนี่มันทำลายตัวกูแหลกไปนานแล้ว มีปฏิเวท มีปฏิเวทธรรม คือธรรมะในชั้นปฏิเวทรู้แจ้งแทงตลอดสิ่งต่างๆ ที่ผ่านไปแล้วคือรู้จักแทงตลอด กิเลส และความทุกข์ที่ผ่านไปแล้ว นี่มันทำลายตัวกูหายหัวไปไหนหมด ไอ้ปฏิเวท หรือความรู้แท้จริงนี้มันเป็นปัญญาความรู้ของตัวกูไม่ได้ ไม่มีโอกาสที่จะพบกัน ไม่มีโอกาสที่จะเจอะกัน เหมือนแมวกับหนูมันอยู่ด้วยกันไม่ได้ ถ้าไอ้ความรู้จริงมันเกิดขึ้น คนมันหายโง่เสียแล้ว มันไม่มีความยึดมั่น ถือตัวกูของกูหรือมันไม่โง่จนถึงกับรู้สึกเป็นตัวกูของกู ชนิดนั้นนะ ถ้ามันยังไม่มีปัญญาถึงขนาดนั้นก็ยังไม่ใช่ความรู้ชนิดที่เรียกว่ารู้แจ้งแทงตลอด มัน มัน มัน มันกำกับกันอยู่อย่างนี้ผิดไม่ได้ เข้าใจผิดไม่ได้
ในทางพุทธศาสนามันกล่าวไว้ชัดแล้ว ถ้าความรู้ทางปฏิเวท สติปัญญาในทางปฏิเวทมี เป็นผลการปฏิบัติอย่างถูกต้องแล้ว ไอ้ตัวกู มัน มัน มันจาง จาง จางไปแล้ว หายไปแล้ว หรือว่าในขณะนั้นมันมีตัวกูไม่ได้ ถ้าหากว่าไอ้ความรู้ในชั้นนี้ของเรามันยังไม่ ไม่ตายตัว มันยังกลับไปกลับมา ไอ้ตัวกูมันมีไม่ได้ในขณะที่ความรู้ชนิดนี้มีอยู่ ต่อเมื่อจิตว่างจากความรู้ชนิดนี่ ตัวกูมันอาจจะจู่มาแอบขโมยเข้ามาเป็นครั้งเป็นคราว นี้ไอ้ความรู้ชนิดนี่มันหนักแน่นมันตายตัว มันก็เลยเป็นการบรรลุมรรคผลที่ตายตัว ตัวกูจางไป จางไปไม่ ไม่ย้อนกลับมาอีก แล้วหมดสิ้นไปในที่สุด นั้นไอ้ปัญญาแท้จริงอย่างชนิดปฏิเวทนี้ไม่มีโอกาสที่จะเป็นสมบัติของตัวกู ตัวกูก็ไม่มีโอกาสที่จะมามีสิ่งนี้เป็นสมบัติ มันสกปรก มันเป็นของสกปรก มันมาอยู่ไอ้ของที่บริสุทธิ์นี้ไม่ได้
ที่นี้คุณก็จะเข้าใจได้ทันทีเมื่อผมพูดว่า ปัญญาความรู้ของตัวกูมันหมายถึงอะไร ปัญญาความรู้นั้นมันหมายถึงอะไร แล้วทำไมมันจึงหลอนตัวกู หลอนจนกระทั่งไอ้ตัวกูยิ่งเป็นผีเป็นปีศาจ ยิ่งเป็นอะไรมากขึ้นไป มากขึ้นไป จนกระทั่งล้มละลาย ทีนี้ไอ้ปัญญาของตัวกูนี่ระวังเพราะมันกำลังมีอยู่ในคุณทุกๆ องค์ ทุกๆ คนนี่ คือสติปัญญาที่ได้มาจากการศึกษาการคิดค้น มันยังเป็นปัญญาความรู้ของตัวกูทั้งนั้น รีบ รีบ รีบเลื่อนมันไปหาปัญญาความรู้ของพระพุทธเจ้า ที่ถูกต้องที่นั่น เสีย เสีย เสีย เสียโดยเร็ว เรียกว่ามีปัญญาบริสุทธิ์ ปัญญาตามธรรมดา intellect ยังไม่บริสุทธิ์ ยังไม่รับประกันความบริสุทธิ์ มีแต่ปัญญา มีแต่ความเฉลียวฉลาด แต่ไม่แน่ว่าจะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ เพราะมันยังอยู่ใต้อำนาจของกิเลส เป็นปัญญาที่ยังอยู่ใต้อำนาจของกิเลสเป็นทาสของกิเลส หรือเป็นทาสของความต้องการ
เดี๋ยวนี้มนุษย์ในโลกมีปัญญามากคุณก็รู้ มี intellect มาก แต่แล้วเอาไปใช้เพื่อความต้องการของกิเลสทั้งนั้น โลกนี้จึงระส่ำระสายไปหมด เพราะว่าเขาเป็น มีปัญญาที่เป็นทาสของกิเลส และ intellect ในโลกนี้จึงเป็นที่พึ่งอะไรแก่โลกนี้ไม่ได้ ต้องทำให้เป็น intellect ที่บริสุทธิ์ๆๆ ขึ้นไปเรื่อย ไม่เป็นทาสของกิเกสจนกว่ามันจะกลายเป็นไอ้ ปัญญาแท้ เป็นปฏิเวทธรรมแท้ พอพูดถึง intellect แล้วคุณก็ต้องแน่ใจแล้วว่าต้องควบคุม ต้องควบคุม ปล่อยไม่ได้ ต้องควบคุม intellect นั้นจะย้อนมาหลอนตัวกู เราต้องควบคุม ต้องรู้เท่าทันอย่าให้มันหลอนได้ อย่าให้มันย้อนมากัดเอาได้ ปัญญาของตัวกูนี่ย้อนมาหลอกเจ้าของได้ กัดเจ้าของได้ ทำอันตรายให้แหลกลานไปเลยได้ ระวังให้ดี นี่เรากำลังพูดกันถึงเรื่องตัวกูของกู ในแง่หนึ่ง ในปริยายหนึ่งอีกปริยายหนึ่งแปลกไปจากที่พูดๆ มาแล้วเรื่อยๆ ไป จนกว่าจะจบไอ้เรื่องนี้ ซึ่งยืดยาวพิสดารมาก
ในวันนี้ก็ขอสรุปความว่าทุกคนระวัง ปัญญาความรู้ของตัวกูมันจะหลอนตัวกู มันก็เลยเป็นภูตผีปีศาจอยู่เรื่อย เพราะตัวกูเป็นมายาไม่ใช่ของจริง ยังไม่เป็นธรรมที่บริสุทธิ์ ยังเป็นธรรมที่เป็นของกิเลส เพราะ ”ตัวกู” นี้อยู่ในอัญญประกาศ ไม่ใช่ตัวกูเป็นไอ้คำนามธรรมดา เป็นคำบัญญัติเฉพาะเป็น term ที่บัญญัติเฉพาะสำหรับพูดเรื่องนี้ พูดเรื่องธรรมะหรือปรัชญาอย่างนี้ นั้น คำว่า “ตัวกู” ก็หมายความว่า อุปทาน ยึดมั่นถือมั่น ว่าตัวกู ว่าของกู แล้วก็เป็นของเกิดชั่วขณะๆ เป็น conceptual ชั่วขณะๆๆๆ แต่แล้วมันก็เกิดเก่งแล้วมันก็ชิงเกิดหน้าสิ่งใดๆ หมด ทั้งที่เป็นมายา ทั้งที่ไม่จริงและเป็นมายา มันยังเกิดเก่ง เกิดมาก ทีเดี๋ยวนี้เรายอมกันไม่ได้ เราอะไรๆ เรายอมกันไม่ได้ มันก็ไอ้เรื่องตัวกูอย่างเดียวทั้งนั้น เดี๋ยวนี้ยอมกันไม่ได้ก็ต้องรบราฆ่าฟันกันเป็นการถาวร วิกฤติการณ์ของโลกเป็นไปอย่างถาวรก็เพราะการยอมกันไม่ได้ ตัวกูมันยกหูชูหางด้วยกันทุกฝ่ายทุกพวกยอมกันไม่ได้ ยอมประณีประนอมกันไม่ได้ ยอมเสียเปรียบบ้างก็ไม่ได้ หรือยอมลดราวาศอกมาทำความเข้าใจกันในระหว่างรบพุ่งกันนี้ก็ทำไม่ได้ เพราะไม่รู้จักยอม ไม่รู้จักผ่อนผัน ไม่รู้จักยอม
ประเทศไทยนี่ ถ้าไม่รู้จักยอมไม่รู้จักผ่อนผันนี่ ก็สูญเสียเอกราชไปนานแล้ว นี่ที่เขาเขียนไว้ในประวัติศาสตร์ที่รอดตัวมาได้นี่ไปอ่านดูเถอะ คุณจะพบไอ้ความรู้จักยอมนี่ ไม่ยกหูชูหางของตัวกูไปเสียตะพึด มันก็ยังรอดมาได้ นี่เป็นเรื่องบ้านเรื่องเมืองเรื่องโลกแท้ๆ ก็รอดมาได้ก็เพราะรู้จักไอ้ควบคุมตัวกู
ที่นี่เรื่องส่วนตัวเราก็เหมือนกันอีก ในเรื่องส่วนตัวบุคคล ยิ่งๆๆ สำคัญมาก มันเป็นเรื่องเฉพาะคนๆ มันรู้แทนก็ไม่ได้ช่วยกันไม่ได้ อย่าหวัง อย่าหวังให้คนอื่นมาช่วย พยายามที่จะรู้ของตัว ช่วยของตัวให้สุดความสามารถ แล้วปัญหาของโลกจะหมดไปเพราะว่าถ้าทุกคนในโลกมันดี ไอ้โลกนี้ก็ไม่มีปัญหา ทีนี้แต่ละคน ละคนต่างก็เป็นตัวกูของกู โลกนี้ก็มีปัญหา เป็นไปแต่ในทางที่จะยอมกันไม่ได้ ที่จะต้องทำลายล้างกันเรื่อยไป นั้นการที่จะเอาชนะกันด้วยด้วยฤทธิ์ ฤทธิ์เดชของตัวกูนี่ไม่มีวันสำเร็จ จะปราบคอมมิวนิสต์ หรืออะไรก็ตามแต่ใจ จะหยุดสงครามอะไรก็แล้วแต่ ถ้าใช้ฤทธิ์เดชของตัวกูแล้วไม่มีทางสำเร็จ ต้องใช้อุบายวิธีที่ทำลายตัวกูให้หมดไปเสียก่อน แล้วธรรมะเข้ามา ก็ใช้ธรรมะนั้นเป็นเครื่องมือแล้วมันก็มีทางจะสำเร็จตามพระพุทธภาษิตที่ว่า ชนะคนไม่ดีด้วยความดี ชนะความชั่วด้วยความดี ชนะคนชั่วด้วยความดี แล้วก็จงประพฤติธรรมะให้สุจริต อย่าเอาตัวกูเข้าไปสู้กับมันอีก มันเป็นตัวกูแล้ว เราอย่าเป็นตัวกูอีก ถ้าเป็นตัวกูทั้งสองฝ่ายมันก็กัดกันตามแบบของตัวกู ไม่มีอะไรๆ นอกจากนี้ คนอื่นยกหูชูหางสูงมาเป็นตัวกูจัดมา เราก็หลีกไปเสียสิ อย่าไปเป็นตัวกูออกรับ หาวิธีอย่างอื่น หาโอกาสอันอื่น หาความรู้ที่ฉลาดกว่าที่เหนือกว่า ไปแก้ไขปัญหาเหล่านั้น
นี่สรุปความสั้นๆ ว่าระวัง ระวังคำว่า ปัญญาความรู้ คำว่า ปัญญาความรู้ เป็นสิ่งที่ต้องระวัง เดี๋ยวนี้คุณไปบูชามันตลอดเวลา และผมกำลังบอกว่าไอ้ปัญญาความรู้จงระวัง มันจะหลอนแล้วมันจะแว้งกัด ถ้าหากว่ามันเป็นปัญญาความรู้ของตัวกู นี่เรามันยังไม่หมดตัวกู ทุกคนแต่ยังเป็นปุถุชนยังไม่หมดตัวกูฉะนั้นต้องระวังไอ้ปัญญาความรู้ของมันคือของตัวเราเอง มันจะหลอนเราและแว้งมากัดเรา นี่พอกันทีสำหรับวันนี้