แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
รหัส |
1115120302010 |
รายชื่อ |
มาฆบูชาเทศนา ปี 2512 |
วันที่แสดง |
02/03/2512 |
ชื่อเรื่อง/ชุด |
กัณฑ์ 1 บ่าย |
ผู้ถอด |
พรเพชร ปัทมฤดี |
ผู้ตรวจทาน |
สิริพร เอกวรานุกูลศิริ |
อีเมล์ |
p_petch007@hotmail.com |
อีเมล์ |
keng_matoom@hotmail.com |
หมายเหตุ |
นาทีที่ 0.01,70.57 สวดมนต์, นาทีที่ 18.58 ไม่แน่ใจว่าต้องเป็นกามารมณ์รึเปล่าค่ะ, นาทีที่ 33.14, 33.24, 50.29 ไม่แน่ใจค่ะ, นาทีที่ 54.42, 65.04, 69.23 ฟังไม่ชัดค่ะ |
บทสวดมนต์ (นาทีที่ 0.01)
ณ บัดนี้ จะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธา ความเชื่อ วิริยะ ความพากเพียร ของท่านทั้งหลายที่เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงาม ก้าวหน้า ตามทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลายกว่าจะยุติลงด้วยเวลา ธรรมเทศนาในวันนี้ เป็นธรรมเทศนาพิเศษ ปรารภเหตุเป็นวันมาฆบูชา ดังที่ท่านทั้งหลายก็ทราบกันอยู่กันอย่างดีแล้ว และวันนี้เราจะกระทำมาฆบูชาเป็นที่ระลึกแก่การที่พระพุทธองค์ทรงแสดงโอวาทปาติโมกท์ในท่ามกลางพระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป เป็นการประดิษฐานพระพุทธศาสนาลงอย่างปึกแผ่นในโลกนี้ เป็นการประดิษฐานคณะสงฆ์ลงอย่างมั่นคงในโลกนี้
เราถือว่า วันนี้เป็นวันสำคัญที่ควรระลึกนึกถึง ที่ควรจะประกอบการบูชาให้เป็นพิเศษ เรียกว่า มาฆบูชา จึงได้มาประชุมพร้อมกัน ณ ที่นี้ เพื่อประโยชน์อันนี้ แต่ว่า การที่จะกระทำมาฆบูชานี้ ควรจะมีความเข้าใจในการกระทำให้เป็นที่แจ่มแจ้ง ความเข้าใจนั้นจะช่วยให้เกิดความรู้สึกที่เป็นบุญเป็นกุศล คือ เป็นปีติและปราโมทย์โดยแท้จริง และยิ่งไปกว่านั้นอีก เราควรจะมีการเตรียมตัวให้เหมาะสม แก่การที่จะทำมาฆบูชาด้วย ถ้าจะเรียกให้ถูกกว่านั้น ก็จะเรียกว่า ควรจะชำระตัว ให้สะอาดหมดจด ควรแก่การทำมาฆบูชาด้วย ก็จะยิ่งถูกกว่า เพราะว่า การกระทำประทักษิณ เวียนไปทางขวา ๓ รอบ วัตถุศักดิ์สิทธิ์เป็นเครื่องหมายแด่พระบรมศาสดาอันมีอยู่เกลื่อนกล่นไปในสถานที่นั้น มีใจความสำคัญอยู่ตรงที่ว่า เราเป็นผู้แสดงความเคารพอย่างใกล้ชิด หรือเข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราจะเข้าไปด้วยเนื้อตัวที่ไม่เหมาะสมนั้น ย่อมรู้กันอยู่แล้วว่าเป็นการไม่สมควร เราจะเข้าไปหาคนสะอาด ด้วยเนื้อตัวสกปรก ใครๆ ก็ต้องร้องว่ามันไม่สมควร เมื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มีความสะอาด สว่าง สงบ ถึงที่สุด เราก็ควรจะเตรียมเนื้อเตรียมตัวสำหรับเข้าไปใกล้ โดยมีความสะอาด สว่าง สงบ เช่นเดียวกัน จึงจะสมกัน แม้แต่พวกจีน ก็มีภาษิตกล่าวไว้แต่โบราณกาลมาว่า ดับไฟในอกเสียก่อน แล้วจึงจะจุดธูปที่หน้าพระ ท่านลองคิดดูว่า ดับไฟในอก ในใจ ของตัวคุณนั้นเสียก่อนแล้วจึงจะจุดธูปที่หิ้งบูชาพระ นี้มันหมายความว่าอย่างไร หมายความว่า ถ้าในจิตใจของคนนั้น มีความร้อนเป็นไฟอยู่แล้ว มันก็คงจะจุดธูปที่หน้าบูชาไม่ติด คือไม่มีความหมายอะไรเลย ไม่มีค่าอะไรเลย เขาจะต้องดับไฟในจิตใจ ในความโกรธ ความโลภ ความโง่ ความหลง ความอิจฉาริษยา ความเห็นแก่ตัว หรือความอะไรต่างๆ ซึ่งกำลังร้อนกรุ่นอยู่ในใจนั้นให้เย็นเสียก่อน แล้วจึงจะไปจุดธูปเทียนที่หิ้งบูชาพระติด คือสำเร็จ คือมีความหมายถูกต้อง
เราพุทธบริษัทโดยทั่วไปก็จะต้องมีหลักเกณฑ์อย่างเดียวกันนี้ ควรจะดับไฟในจิตในใจกันเสียก่อน ให้หยุดระงับไปเสียก่อน แล้วจึงจุดธูป จุดเทียน บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่นี่และเดี๋ยวนี้ มันจึงจะมีความหมาย คือ ทำสำเร็จ แต่อาตมากล่าวเกินไปกว่านั้นว่า เราจะต้องชำระชะล้างเนื้อตัวให้สะอาดเสียก่อน จึงจะทำการเวียนประทักษิณมาฆบูชานี้ การชำระชะล้างตัวเองให้สะอาดเสียก่อนนี้ ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าทำจิตใจให้สะอาด สว่าง สงบ อีกนั่นเอง เราจงสลัดความโง่เขลาต่างๆ ออกไปเสีย ให้เป็นคนฉลาด มีความสว่างเหมือนพระพุทธเจ้า เราจะต้องสลัดสิ่งสกปรกต่างๆ ออกไปเสีย ให้มีความสะอาดเหมือนพระพุทธเจ้า เราจะต้องสลัดความเร่าร้อนต่างๆ ออกไปเสีย ให้มีแต่ความสงบเย็นเหมือนพระพุทธเจ้า อย่างน้อยก็ชั่วขณะหนึ่งคือขณะนี้ แล้วจึงเวียนเทียน มันจึงจะสมกัน หรือยิ่งไปกว่านั้น ในข้อปลีกย่อยยิ่งขึ้นไปอีก ก็คือว่า เราจะต้องทำจิตใจของเราให้ละเอียด ให้ประณีต ให้แยบคาย ราวกับว่าเราไปนั่งอยู่ในที่นั่น ในวันนั้น คือที่เวฬุวันมหาวิหารที่พระอรหันต์ประชุมกัน ๑,๒๕๐ รูป มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ในเวลาตอนกลางวัน ในสวนป่าไผ่นั้น ไม่ได้มีอาคาร สิ่งปลูกสร้างใดๆ ต้องนั่งประชุมกันแทบพื้นดิน เหมือนที่เรากำลังนั่งกันอยู่ที่นี่ เราจงทำในใจ ให้วันนี้เป็นเหมือนวันนั้น ที่มีใจความสำคัญ ก็คือ เราเป็นเกลอกันกับธรรมชาติเสียก่อน แล้วจึงเวียนเทียน ถ้าใครมาอึดอัดขัดใจที่ต้องนั่งกลางดิน บนก้อนหิน กลางทราย อย่างนี้เรียกว่า ไม่สมัครเป็นเกลอกับธรรมชาติ เพียงเท่านี้ มันก็หลีกทางกันเสียแล้ว กับพระอรหันต์ทั้งหลาย ที่ท่านเป็นอยู่ตามธรรมชาติ นั่งประชุมกันกลางพื้นดิน ถ้านึกไปถึงพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ยิ่งมีความหมายมากกว่านั้น คือพระองค์ประสูติกลางพื้นดิน ปรินิพพานกลางพื้นดิน และชีวิตส่วนมากก็อยู่กลางพื้นดิน แม้แต่ตรัสสรู้เป็นพระอนุตตร เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสรู้กลางพื้นดิน นี้เรียกว่า ท่านมีความใกล้ชิดกับธรรมชาติถึงขนาดที่เป็นเกลอกันทีเดียว ถ้าเราต้องมาอิดหนาระอาใจที่จะต้องนั่งกลางพื้นดิน หรือทำอะไรง่ายๆ อย่างนี้ นี้มันผิดจากหลักเกณฑ์ ที่รู้กันอยู่ทั่วๆ ไปว่า เราจะมีความคิดนึก รู้สึกอย่างผู้ใด เราจะต้องเป็นอยู่ให้คล้ายผู้นั้นที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ เมื่อเราเป็นอยู่ให้คล้ายท่านผู้นั้นแล้ว มันการง่ายที่เราจะมีความรู้สึกคิดนึกอย่างท่านผู้นั้น
เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงชอบใจ การเป็นเกลอกับธรรมชาติ เป็นอยู่กลางพื้นดิน นั่งอยู่ในสถานที่นี้ เหมือนกับว่านั่งอยู่ในวิหาร ในโบสถ์ทางวิญญาณ มีต้นไม้ต่างๆ นี้เป็นเสาเป็นฝาผนัง มีใบไม้ข้างบนนี้เป็นหลังคา เราอยู่ในร่มเงาของวิหาร สิ่งนี้ เรียกว่า มีความใกล้ชิดโดยทางร่างกาย ตามธรรมชาติ คล้ายกับพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลาย จงได้มีความพอใจในการที่จะเป็นเกลอกับธรรมชาติในทำนองนี้ เสียก่อนเถิดแล้วจึงเวียนเทียน อย่าได้มีความรู้สึกที่เป็นไปในทางอิหนาระอาใจในการที่จะต้องนั่งนอนอย่างนี้ ทีนี้เราก็เตรียมตัวต่อไปในการที่จะสลัดความโง่เขลาออกไปเสียจากจิตใจเป็นส่วนสำคัญ ในการแสดงธรรมคราวอื่นๆ ได้กล่าวถึงกิเลสที่อื่นๆ แต่ในวันนี้จะได้กล่าวถึงกิเลสในที่ของความโง่เขลา เราจะต้องสลัดความโง่เขลาออกไปจากจิตใจของเราให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ เราจึงจะมีจิตใจที่สะอาดดี ดังนั้นเราจะต้องพิจารณาตัณหาที่จะต้องสลัดออกไปนั้นมีอะไรบ้าง อาตมาอยากจะชี้ให้เห็นเป็นเรื่องๆ เป็นรายๆ ไป ขอท่านทั้งหลายจงตั้งอกตั้งใจฟังให้ดีเป็นพิเศษ ให้สำเร็จประโยชน์เถิด
สิ่งแรก ความโง่เขลาข้อแรกที่สุด อยากจะระบุถึงความโง่เขลาของเรา จนถูกลวงหรือถูกจ้างโดยธรรมชาติ เกี่ยวกับเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ ๓ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องที่ทำให้เกิดปัญหายุ่งยาก เราตกอยู่ใต้อำนาจของการกิน เรื่องกามารมณ์ และเรื่องเกียรติยศชื่อเสียง สิ่งเหล่านี้มันเป็นนายจ้างเรา เป็นผู้หลอกลวงเราให้กระทำสิ่งที่ไม่ควรกระทำ จงคิดดูเถิดว่า เรากำลังตกอยู่ใต้อำนาจความหลอกลวงหรือสินจ้างของสิ่งเหล่านี้อย่างไรบ้าง คนเราตกอยู่ใต้อำนาจของกามารมณ์มากน้อยเท่าไร เป็นทาสของสิ่งนี้มากน้อยเท่าไร และกำลังไม่รู้สึกตัวอยู่อย่างไร นี้เรียกว่า ความโง่เขลาที่เกี่ยวกับกามารมณ์ อันนี้ต้องหมดไปจากใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลานี้ ในขณะนี้ เราจะมีจิตใจเป็นอิสระ จากการล่อลวงบีบคั้น หรือจ้างออนของสิ่งๆนี้ นึกดูให้ดีว่ามนุษย์ในโลกเวลานี้กำลังตกเป็นทาสของสิ่งเหล่านี้สักเท่าไร
แม้จะกล่าวโดยธรรมชาติ สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงก็ตกเป็นทาสของสิ่งเหล่านี้ ยอมลำบากมากมายเพราะเหตุนี้ กระทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสิ่งๆ นี้ อยู่ทั่วๆ ไปในโลก ดูเหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่กว่าสิ่งใด จนนักปราชญ์บางคนพูดว่า ทุกเรื่องของมนุษย์ในโลกขึ้นอยู่กับสิ่งที่เรียกว่า ความรู้สึกระหว่างเพศหรือกามารมณ์ และเขาเห็นเป็นสิ่งที่ไม่ร้ายแรงอะไร ส่วนพุทธบริษัทรู้สึกว่า ความเป็นทาสนี้ ไม่ดีเลย ไม่สนุกเลย สู้ความเป็นอิสระไม่ได้ จำเป็นจะต้องมีความรู้ความเข้าใจต่อสิ่งนี้ จนไม่มีความเป็นทาสของสิ่งนี้ เรื่องกินก็เหมือนกัน เมื่อเป็นผู้หลงใหลในเรื่องกิน ไม่มีที่สิ้นสุด มันก็มีการกระทำชนิดที่เหมือนกับเป็นทาสของสิ่งนั้น เดี๋ยวนี้มนุษย์มีความรู้สึกในเรื่องกินเป็นพิเศษ จนเกินกว่าที่ธรรมชาติต้องการ กลายเป็นกามารมณ์ไป คือ กลายเป็นกามารมณ์ทางลิ้นโดยเฉพาะไป ถ้ากินอาหารแต่พออยู่ได้หรือตามที่ธรรมชาติต้องการ การกินอาหารนั้น ไม่เป็นกามารมณ์ แต่ถ้ากินเพื่อความเอร็ดอร่อยทางลิ้นแล้ว ก็กลายเป็นกามารมณ์ทางลิ้น เรียกว่ารสารมณ์ รวมอยู่ในรูปเ สียง กลิ่น รส สัมผัส มนุษย์สมัยนี้มีการกินที่เป็นกามารมณ์ แทนที่จะเป็นการกินตามที่ธรรมชาติต้องการ ดังนั้น จึงต้องตกเป็นทาสของการกิน การกินนั้นไม่ได้เป็นการกินอาหาร แต่เป็นการกินเหยื่อชนิดหนึ่งของภูติผีปีศาจ คือ กามารมณ์ทางลิ้น ระวังให้ดีอย่าเอาไปปนกัน
เรื่องการกินอาหารตามธรรมชาตินั้นมันเป็นอย่างหนึ่ง แต่การกินเหยื่อของความเอร็ดอร่อยทางอายตนะนั้นมันเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก อย่างแรกเป็นเรื่องที่ธรรมชาติต้องการ ไม่มีบาป ไม่มีกรรมอะไร แต่เรื่องหลังนี้เป็นเรื่องที่ ทำให้เกิดบาป เกิดกรรม ได้หลายอย่างหลายประการทีเดียว กินอาหารไม่เป็นไร แต่ถ้ากินเหยื่อของกามารมณ์แล้ว เป็นเรื่องที่เสียหาย ไม่สมกับพุทธบริษัท เพราะฉะนั้นเรื่องกินนี่ ก็เป็นปัญหาที่จะต้องสะสางให้ถูกต้อง ให้เป็นเรื่องกินอาหาร อย่าเป็นเรื่องกินเหยื่อดังที่กล่าวแล้ว เมื่อมาถึงเรื่องเกียรติ หมายถึงเกียรติยศ คนเราเมื่อหมดปัญหาเรื่องกิน และเรื่องกาม ก็ยังมีเรื่องเกียรติ หรือบางทีก็ใช้เรื่อง ใช้เกียรตินั่นเองเป็นเครื่องมือแสวงหาเรื่องกินและเรื่องกาม คนที่มีเกียรติก็หมายความว่ามีอำนาจชนิดหนึ่งที่จะบันดาลอะไรได้ แต่เขาได้บันดาลไปในทางที่จะแสวงหาเหยื่อ คือ เรื่องกินและเรื่องกามไปเสียอีก เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ ๓ อย่างนี้จึงพัวพันกันไป แต่ในลักษณะที่ทำให้มนุษย์เป็นทาสของกิเลส เป็นทาสลิ้น ก็คือ เรื่องกิน เป็นทาสอายตนะ ก็คือ เรื่องกามารมณ์ เป็นทาสเกียรติยศชื่อเสียง ก็เป็นเรื่องธรรมารมณ์ (ไม่แน่ใจว่าควรเป็นกามารมณ์รึเปล่าค่ะ นาทีที่ 18.58) เหล่านี้มันก็ล้วนแต่เป็นของที่ไม่เหมาะสม ที่จะมีอยู่ที่เนื้อที่ตัวของพุทธบริษัท ที่จะทำการเวียนเทียน
จึงขอร้องให้ทุกคนมีความเข้าใจในเรื่องนี้ให้ดี แล้วมีจิตใจชนิดที่ไม่เป็นทาสของสิ่งเหล่านี้ รู้จักมันดี มันก็จะกระเด็นไป นี่เป็นของที่ง่ายดาย กิเลสนี่เหมือนกับผี พอรู้จักมันเท่านั้น มันก็หนีไปทันทีในพริบตาเดียว ถ้าเราไม่รู้จักมัน มันก็หลอกอยู่เรื่อย พอรู้จักเท่านั้น มันก็หนีไป กิเลสเหมือนกับผีอย่างนี้ จงได้พิจารณาดูให้ดีให้รู้จักกิเลส แล้วก็เกิดความกลัว เกิดความละอายใจขึ้นมา มันก็จะหนีไปทันที มันก็กระเด็นไปจากจิตใจทันที เราก็มีความสะอาด สว่าง สงบ พอที่จะทำการเวียนเทียน นี้เรียกว่า ความโง่ข้อแรกที่จะต้องสลัดออกไปก่อนการเวียนเทียน
ทีนี้เราดูต่อไป ว่าโลกสมัยนี้มีความโง่หลงในวัตถุนิยม คือ โง่ จนไปหลงในวัตถุนิยม วัตถุนิยมนี้หมายความว่า เรื่องทางเนื้อหนัง ทางวัตถุ ตรงกันข้ามกับเรื่องทางจิตทางวิญญาณ ความสุขที่มา ที่ได้มาจากวัตถุนี่เราเรียกว่า ความสุขทางวัตถุ ถ้าเป็นความสุขที่ได้มาจากการอบรมจิตใจล้วนๆ เราเรียกว่า ความสุขทางวิญญาณ ทางวัตถุ ทางวัตถุกับทางวิญญาณต่างกันอยู่อย่างนี้ เดี๋ยวนี้เราโง่กันมากเกินไป จนไปหลง ในเรื่องของวัตถุ หรือ วัตถุนิยม เพราะเหตุไรเราจึงโง่กันมากถึงอย่างนี้ ก็เพราะว่า ตลอดเวลาทั้งหมดทั้งสิ้น เราศึกษากันแต่เรื่องนี้ เราค้นคว้ากันแต่เรื่องนี้ เราพยายามกันแต่เรื่องนี้ ทั่วๆ กันไปทั้งโลก มีน้อยจนพูดได้ว่า ไม่มี ที่จะมาสนใจศึกษาค้นคว้าเพื่อความก้าวหน้าในทางจิตทางวิญญาณ ดังนั้นความโง่มันจึงเกิดขึ้นในหมู่มนุษย์ในโลกนี้มากจนไปหลงในวัตถุนิยม คือเหยื่อ ที่จะให้เกิดความเอร็ดอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางผิวหนัง ในที่สุดก็กลายเป็นคนหลงในรสอร่อยเหล่านั้น ในความหลงนั้น ก็เป็นอุปาทานให้เกิดความยึดมั่น สำคัญมั่นหมายเป็นของเรา เมื่อเป็นของเราก็เกิดมีเขา จึงมีการแบ่งแยกเป็นเราเป็นเขา เกิดการแย่งชิงกัน แข่งขันกันในระหว่างเรากับเขา จนมีการทะเลาะกัน เกี่ยวกับความมีเรามีเขา หรือ มีของเราของเขา การทะเลาะกันเมื่อเป็นขนาดใหญ่เราก็เรียกว่า สงคราม พิจารณาดูสงครามในโลกเวลานี้ ที่เขาจะพูดกันว่า เพื่ออย่างนั้นเพื่ออย่างนี้ กี่ร้อยอย่างพันอย่างก็ตาม แต่ในที่สุดมันก็เพื่อประโยชน์ด้วยกันทั้งนั้น แต่สิ่งที่เรียกว่าประโยชน์นั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่าวัตถุ ไม่มีอะไรมากไปกว่าความร่ำรวยทางวัตถุ เพราะคนเหล่านี้ทั้งหมดเชื่อว่า วัตถุจะบันดาลความสุขโดยเมื่อมีความเพียงพอทางวัตถุแล้ว จะมีความเพียงพอทางจิตใจขึ้นมาเอง เราเรียกความคิดชนิดนี้ว่า dialectic materialism แต่แล้วเราดูให้ดีก็จะเห็นว่า มันเป็นกันเสียทั่วไป ไม่เฉพาะพวกใดพวกหนึ่ง พวกที่รังเกียจผู้อื่นว่าเป็น dialectic materialism แต่ตัวเองก็ไม่พ้นไปจากความเป็นเช่นนั้น คือ มีความคิดว่าเมื่อวัตถุเพียงพอแล้ว จิตใจก็จะดีเอง ดังนั้น พวกนายทุน ก็เป็น dialectic materialism พวกกรรมกรหรือ พวกคอมมิวนิสต์ ก็เป็น dialectic materialism คือ บูชาวัตถุว่า เมื่อวัตถุสมบูรณ์แล้วจิตใจก็จะดีเอง
เมื่อมีความรู้สึกอย่างนี้ ก็มีการแย่งชิงทางวัตถุ จึงเกิดเป็นสงครามแย่งชิงวัตถุที่ถาวร ติดฉลากว่าเพื่อยุติธรรมบ้าง เพื่อสันติภาพบ้าง เพื่ออะไรบ้าง มันก็เป็นไปตามติดฉลากอยู่ข้างหน้า แต่เนื้อแท้นั้นก็ เพื่อประโยชน์ของตัว และประโยชน์นั้นก็เพื่อประโยชน์ที่เป็นวัตถุ ไม่ใช่เป็นเรื่องจิตใจแต่อย่างใด เพราะเหตุเช่นนี้แหละจึงรบกันไปได้เป็นการถาวร จนโลกนี้ มีวิกฤตการณ์ถาวร รบกันที่นี่ รบกันที่นั่น ไม่มีหยุดไม่มีหย่อน เพราะว่าโง่จนไปหลงในวัตถุ กลายเป็นวัตถุนิยม เราจะต้องปลีกตัวออกมาจากความรู้สึกชนิดนี้ ในฐานะที่เป็นพุทธบริษัท จะไม่บูชาวัตถุ จะไม่มีเขามีเรา เพื่อแย่งวัตถุแก่กันและกัน เรามีจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์เพียงพอ ที่จะกล่าวว่า เราไม่เป็นทาสของวัตถุ เราจึงจะมีความเหมาะสม ที่จะมาเวียนเทียน ให้แก่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี้เป็นเรื่องที่จะต้องระวังด้วยข้อหนึ่งเหมือนกันว่าอย่าให้ความโง่ชนิดนี้มาครอบงำอยู่ในเวลานี้ ถึงจะมีความเหมาะสมที่จะทำมาฆบูชา
ที่นี้จะดูกันให้ละเอียดต่อไปอีกในฐานะที่เป็นพุทธบริษัทที่มีสติปัญญา ถ้าเราจะไม่มีความโง่จนไปหลงยึดมั่นในเรื่องดีเรื่องชั่ว จนกระทั่งเป็นทาสของความดี ไม่สามารถจะเป็นอยู่ได้โดยไม่เป็นทาสของความดี เรื่องเป็นทาสของความชั่วนั้นไม่ต้องพูดถึงเพราะเข้าใจกันได้ดีว่า เป็นสิ่งที่น่าขยะแขยง แต่ส่วนที่เป็นทาสของความดีนั้นก็มีอยู่มาก คือ คนจำพวกที่มีปัญหาเกิดขึ้น เพราะอยากดี และมีความทุกข์เดือดร้อนเกี่ยวกับความดี มีคนเป็นจำนวนมากฆ่าตัวตายเพราะความดี มีคนเป็นจำนวนมากไม่รู้จักตัวเอง ยกหู ชูหางอวดความดี เข้าใจว่าตัวมีความดี เป็นผู้หลงใหลในความดี หรือว่ามีความดีอะไรสักนิดหนึ่ง ก็ยกขึ้นมาสำหรับโอ้อวด หรือทะนงตัวมันก็กลายเป็นความชั่วมากเกินกว่าความดี นี้เรียกว่า คนที่จมอยู่ในความดีหรือเป็นทาสของความดี ก็มีความหลง ยึดมั่นถือมั่นในเรื่องดีเรื่องชั่ว
สำหรับพุทธศาสนานี้ต้องการจะให้รู้จักดีรู้จักชั่ว ในลักษณะที่เราจะอยู่เหนือความดีและความชั่ว คือ ไม่ให้ความดีหริอความชั่วเกิดเป็นปัญหาขึ้นมา อย่าให้ต้องเป็นความทุกข์เดือดร้อนขึ้นมาเพราะเรื่องความดีความชั่ว จึงจะเรียกว่า มีความดีอย่างถูกต้อง ถ้ามีความดีแล้วเป็นปัญหาเกิดขึ้นเพราะความดี มีความทุกข์เพราะความดีแล้ว มันก็เป็นคนโง่ คนโง่ชนิดนี้ไม่ควรจะมาใกล้ชิด ด้วยการทำมาฆบูชา เวียนเทียนต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่าเป็นคนทะนงด้วยความดี อย่าเป็นคนที่รู้จักความดีในฐานะเป็นสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นไว้ได้ คนเราเป็นทุกข์เดือนร้อนก็เพราะยึดมั่นถือมั่นในความดีมากกว่าสิ่งอื่น เราทำความดีได้โดยไม่ต้องยึดมั่นถือมั่น เราเป็นคนดีก็ได้ โดยไม่ต้องมีความยึดมั่นถือมั่นและไม่ต้องยกหูชูหางเพราะความดีนั้น ถ้าใครมีความดี สำหรับจะยึดมั่นถือมั่นจนยกหูชูหางแล้ว ก็จงรีบสลัดออกไปเสียเถิด เราจะได้ทำมาฆบูชาในลักษณะที่ถูกต้อง นี้ก็เรียกว่าเป็นความโง่ชนิดหนึ่งหมือนกันที่จะต้องชำระชะล้างให้สะอาดกันเสียก่อนแล้ว จึงจะทำมาฆบูชา
ดูต่อไปอีกบางทีก็ละเอียดยิ่งขึ้นไปอีกว่า คนบางคนโง่จนไม่รู้ว่า ศาสนานี้มีไว้เพื่อดับทุกข์ของเรา โง่จนไม่รู้ว่าศาสนานั้นมีไว้เพื่อช่วยดับความทุกข์ในโลกนี้ เพราะมีความรู้สึกไปว่า ศาสนา นั้นเป็นของเกะกะ ครึคระในโลก เห็นเป็นของโบรม โบราณ ทำกันมาอย่างครึคระ เลยตีตัวออกห่างจากศาสนา ชาวต่างประเทศที่มาที่นี่ เมื่อถามเขาดูว่าถือศาสนาอะไร เขาพอใจที่จะเน้นจะยืนยันว่าไม่มีศาสนา อย่างนี้ตั้ง ๘ คนใน ๑๐ คน หมายความว่า ๘๐ เปอร์เซ็นต์นั้นพอใจที่จะยืนยันว่าตัวไม่มีศาสนา สัก ๒๐ คนเท่านั้นที่จะสารภาพว่ามีศาสนานั่น มีศาสนานี่ เมื่อถามเข้าจริงก็ปรากฏว่ามีศาสนา เพียงแต่ตามบิดามารดา หรือไม่ให้ขัดใจบิดามารดา อย่างนี้ก็ต้องเรียกว่าไม่มีศาสนาด้วยเหมือนกัน นี่แหละคือข้อที่มนุษย์ในโลกส่วนมากเวลานี้ โง่จนไม่รู้ว่า สิ่งที่เรียกว่า ศาสนานั้น คือสิ่งที่จำเป็นที่สุดยิ่งกว่าสิ่งใดสำหรับมนุษย์ เพราะว่ามีไว้เพื่อจะดับความทุกข์ของมนุษย์นั่นเอง ไม่ใช่ของครึคระ เกะกะอยู่ในโลกนี้ ซึ่งสืบกันมาอย่างปรัมปรา ปัญหาต่างๆ ที่เข้า ประดังกันเข้ามาเป็นไฟ สุมเผาอยู่ในจิตใจของมนุษย์นั้น มันดับออกไปได้ด้วยสิ่งที่เรียกว่าศาสนา เดี๋ยวนี้มนุษย์ส่วนมากก็เต็มไปด้วยปัญหา ใครๆ ก็เห็นอยู่แล้ว การฆ่าตัวตายก็มีมากขึ้น การประกอบการอันไม่สมควรก็มีมากขึ้น ไปดูสถิติต่างๆ ที่เขาประกาศและเปิดเผยกันอยู่ก็แล้วกัน มันมีมากอย่างไม่น่าเชื่อ เช่นว่า ในโลกนี้ ในนาทีหนึ่ง มีการประพฤติอนาจารทางชู้สาวกี่ร้อยเรื่อง มีการฆ่ากันกี่ร้อยเรื่อง หรือมีอะไรๆ ที่ไม่น่าเชื่ออีกกี่ร้อยเรื่องในวันหนึ่งๆ สิ่งเหล่านี้เรียกว่าเป็นปัญหาเฉพาะหน้ามนุษย์ มันไม่มีทางจะหมดไปได้โดยวิธีอื่น นอกจากการใช้สิ่งที่เรียกว่าศาสนาเป็นเครื่องมือ แต่เดี๋ยวนี้คนมาหันหลังให้ศาสนา หันหลังให้พระเป็นเจ้ากันยิ่งขึ้นๆ ปัญหาชนิดนี้มันก็ยิ่งมากขึ้นจนแทบจะกลายเป็นของธรรมดาไป ศีลธรรมถูกแก้ไขไปโดยปริยาย ศีลธรรมเกี่ยวกับประเพณี เกี่ยวกับความซื่อตรงระหว่างผัวเมีย ความไม่ล่วงละเมิดของรักของบุคคลอื่นเหล่านี้ ถูกแก้ไขไปโดยปริยาย เพราะความเสื่อมทางจิตใจของบุคคลผู้หันหลังให้ศาสนา หันหลังให้พระเจ้า และสิ่งจะที่ช่วยดับทุกข์ก็ไม่มี เพราะตัวถือเป็นของน่ารังเกียจ น่าขยะแขยง ของครึคระ เกะกะไปเสียแล้ว นี่แหละ คือ ความโง่ โง่จนไม่รู้ว่า ศาสนานั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดสำหรับมนุษย์ทุกคน เราจะต้องสลัดความโง่อันนี้ออกไปเสียถ้าหากว่ามีอยู่ ถ้าไม่มีก็ดีไป แต่ก็ยังจะต้องพิจาณาให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปอีกว่า ศาสนานั้นเป็นของจำเป็นสำหรับคนทุกคนจริงๆ
แล้วจะดูให้แคบเข้ามา พวกเรากำลังโง่จนไม่รู้ว่า จะตัดต้นเหตุแห่งความเสื่อมเสียทางศีลธรรมนี้ได้อย่างไรกัน เราร้องตะโกนกันทั่วไปว่า ความเสื่อมเสียทางศีลธรรมกำลังระบาดไปทั่วทุกหัวระแหง แต่เราก็โง่จนไม่รู้ว่าจะตัดต้นเหตุ ของมันได้อย่างไร เราก็พยายามกันเป็นอันมาก ก็พบผลของการมีใจ (ไม่แน่ใจค่ะ นาทีที่ 33.14) ว่าจะแก้ไขกันอย่างนั้นจะแก้ไขกันอย่างนี้ มีเทคนิคในการจะแก้ไขกันอย่างนั้นอย่างนี้ จนเรียกว่า เลอเลิศที่สุดที่เป็นผลของการมีใจ (ไม่แน่ใจค่ะ นาทีที่ 33.24) แต่แล้วก็ทำไม่ได้ คือทำให้เป็นไปตามนั้นไม่ได้ ก็แปลว่า เราก็มีความโง่ที่ไม่รู้จะตัดต้นเหตุของการเสื่อมเสียทางศีลธรรมนั้นอย่างไรกัน เราต้องดูให้ดีว่าความเสื่อมเสียทางศีลธรรมนั้น มันอยู่ตรงที่คนดูถูกศาสนานั่นเอง โดยรู้สึกตัวบ้าง โดยไม่รู้สึกตัวบ้าง โดยรู้สึกตัวนั้น เรียกว่า เป็นคนพาล เป็นอันธพาล อย่าเอามาพูดถึงก็ได้ แต่ว่าดูถูกศาสนาโดยไม่รู้สึกตัวนี้ก็มีอยู่มาก คือความเข้าใจผิด มันก็โทษใครนักก็ไม่ได้ เพราะว่าทางฝ่ายศาสนาเองก็ทรุดโทรมลง การศึกษาไม่เพียงพอ ไม่ถูกต้อง ไม่สมบูรณ์ การปฏิบัติ ไม่เพียงพอ ไม่ถูกต้อง ไม่สมบูรณ์ การเผยแผ่ ไม่เพียงพอ ไม่ถูกต้อง ไม่สมบูรณ์ คนก็เข้าใจศาสนาผิดๆ จนไม่สามารถจะนำมาใช้เป็นประโยชน์เพื่อแก้ปัญหาอันสำคัญนี้ได้ เรื่องก็ว่าเลยไม่รู้ว่าจะโทษใครดี ก็โทษรวมๆ กันก็แล้วกัน ว่ามนุษย์นี้กำลังโง่ลงไป โง่ลงไป จนไม่รู้ว่าจะตัดต้นเหตุแห่งความเสื่อมเสียทางศีลธรรมได้อย่างไร จนกระเดียดไปในทางว่า จะบัญญัติความเสื่อมเสียทางศีลธรรมนั้น ว่าไม่เป็นความเสื่อมเสียไปเสียแล้วก็มี
นี่แหละ คือ ปัญหายุ่งยากที่กำลังมีอยู่ในปัจจุบันนี้ เราที่เป็นพุทธบริษัทจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจถูกต้องว่า โทษของการหันหลังให้ศาสนา โทษของการไม่บังคับตัวเองให้ดำเนินตนอยู่ตามหลักของพระศาสนานั้น ความไปหลงใหลในวัตถุนิยมเห็นแก่ความสุขทางเนื้อทางหนัง ความไปนิยมบุคคลชนิดนี้หรือลัทธิชนิดนี้ มาเป็นครูบาอาจารย์ มันจึงเกิดเรื่องความเสื่อมเสียทางศีลธรรมขึ้นมา และขยายตัวกว้างขวางออกไปๆ จนในโลกนี้ไม่รู้ว่า จะมีศีลธรรมกันอย่างไร ถือเอาแต่การได้ทางวัตถุเป็นความดีหรือเป็นความถูกต้อง ที่เรียกกันว่า วัฒนธรรมนั้น กลายเป็นเรื่องวัตถุไปหมด เป็นความก้าวหน้าทางวัตถุไปหมด แล้ววัตถุนั้นก็เพื่อหลอกตัวเองให้โง่หลงยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม มันจึงเป็นไปในทางที่มีปัญหาหนัก และเป็นปัญหาลึกซึ้งลึกลับมากขึ้น จนไม่รู้จะแก้ไขกันอย่างไร จนกว่าจะมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องนี้ พากันหันหน้าให้ศาสนา พากันหันหน้าเข้าหาพระเป็นเจ้า ให้ถูกต้อง ไม่เป็นของซื้อของงมงาย หรือน่ารังเกียจอีกต่อไป ศีลธรรมในโลกนี้ก็คงจะดีขึ้น อย่างน้อยเราก็มีความรู้สึกที่มองเห็นข้อเท็จจริงข้อนี้ปรากฏอยู่ในใจสักหน่อยหนึ่ง ก็จะเป็นความเหมาะสมที่จะทำมาฆบูชา
ถ้าดูให้ละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ยิ่งขึ้นไปอีก เราก็จะมองเห็นว่าเรากำลังโง่จนไม่รู้ว่า จะจัดการอย่างไรกับลูกกับหลานยุคนี้สมัยนี้ ลูกหลานแห่งยุคนี้แห่งสมัยนี้เป็นอย่างไร เราก็พอจะรู้กันอยู่ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรกับลูกหลานยุคนี้สมัยนี้ ลูกหลานยุคนี้สมัยนี้ไม่เป็นลูกของพระเจ้า หรือไม่เป็นลูกของมนุษย์ แต่กลายเป็นลูกของลิงทะโมนไปเสียแทบจะหมดสิ้น ข้อนี้หมายความว่าอย่างไร เรา เราควรจะพอใจที่จะรับเอาคำของพวกคริสเตียนในไบเบิลมาถือว่า ลูกผู้ชายนั้นเป็นลูกของพระเจ้า ลูกผู้หญิงนั้นเป็นลูกของมนุษย์ มีความหมายอย่างไร มันต้องวินิจฉัยกันมาก แต่เป็นคำที่เหมะสมและถูกต้องที่สุด ถ้าเป็นลูกของพระเจ้าจริง เป็นลูกของมนุษย์จริง ปัญหาก็จะไม่มี แต่เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นลูกลิงทะโมนไป หรือไม่เป็นลูกพระเจ้า ไม่เป็นลูกมนุษย์ ไม่ถือธรรมะอย่างมนุษย์ ไม่เชื่อฟังพระเจ้า และพ่อแม่ก็ไม่รู้ว่าจะจัดการกับลูกหลานแห่งยุคนี้อย่างไร และก็ไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำไปว่า ลูกของตัวได้กลายเป็นลูกลิงทะโมนไปแล้ว บิดามารดาที่ยังมีความหลับหูหลับตาในเรื่องนี้ ก็มีอยู่เป็นอันมาก เป็นผู้ที่ไม่สมควร แก่ความเป็นพุทธบริษัทของตน ความไม่แน่นอนเด็ดขาดของตนในการที่จะเป็นพุทธบริษัทหรือไม่นั่นเอง ทำให้เกิดปัญหาข้อนี้ขึ้น เพราะว่าบิดามารดาเสียเองก็ไปลุ่มหลงในเรื่องทางวัตถุ ไปบูชาเรื่องวัตถุเป็นตัวอย่างแก่ลูกหลานในการที่จะลุ่มหลงในเรื่องทางวัตถุ คือ ทางเนื้อหนัง หรือความสุขทางฝ่ายร่างกาย ลูกหลานก็เอาอย่างและทำได้ดีกว่าพ่อแม่ มันจึงกลายเป็นลูกลิงทะโมนไป
สำหรับเด็กๆ ของเรามีปัญหาอยู่มากอย่างนี้ เป็นหน้าที่ของบิดามารดาที่เป็นพุทธบริษัท เพราะว่าเด็กของเรากำลังมีปัญหาเพิ่มขึ้นๆ จนไม่รู้ว่าจะไปสิ้นสุดลงอย่างไร หรือจะไปโทษใคร แต่ถ้าว่าโดยเนื้อแท้แล้ว เด็กๆ ของเรามีหลักเกณฑ์ที่จะแก้ไขได้ ด้วยข้อความที่เป็นโอวาทปาฏิโมกข์ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่พระอรหันต์ทั้งหลายในวันนี้ ในวันเช่นวันนี้ ซึ่งจะได้กล่าวต่อไปในตอนถัดไป แต่ขอยืนยันไว้เฉพาะหัวข้อว่า หัวข้อของโอวาทปาฏิโมกข์นั้น จะช่วยแก้ปัญหาที่เกิดอยู่กับเด็กๆ ของเรา เพราะว่าคำสั่งสอนที่เป็นโอวาทปาฏิโมกข์นั้น จะช่วยให้เด็กๆ ของเราเปลี่ยนนิสัยจากลูกลิงทะโมน ไปเป็นผู้ที่ยินดีพอใจที่จะทำงานในหน้าที่ของตน ด้วยความทรหดอดทนจนเป็นนิสัย มีจิตใจครื้นเครงในการทำงาน คือ สนุกสนานในการงาน ไม่ร้องไห้ ไม่ฆ่าตัวตาย เมื่อประสบความไม่สำเร็จก็ไม่ร้องไห้หรือไม่ฆ่าตัวตาย เพราะว่าเขามีความรู้เพียงพอที่จะไม่ต้องร้องไห้ ที่จะไม่ต้องฆ่าตัวตาย เด็กๆ ของเราจะต้องเห็นการพ่ายแพ้กีฬา พ่ายแพ้การแข่งขันกีฬาว่า นั่นมันเป็นการพบความจริง นั่นมันเป็นการพิสูจน์ความจริง แล้วก็ไม่เป็นอันธพาลในวงหรือในสนามกีฬานั้น แต่เดี๋ยวนี้เด็กๆ ของเราเป็นอันธพาลในสนามกีฬานั้น เล่นกีฬาทีไร เพิ่มความเป็นอันธพาลขึ้นทุกทีไป ไม่เล่นกีฬาเสียดีกว่า จะได้ไม่มีโอกาสเพิ่มความเป็นอันธพาล นี่ก็เพราะว่า วัตถุนิยมสร้างความเห็นแก่ตัวมาก เป็นผู้ไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าเกียรติ ไม่รู้จักสิ่งที่ควรจะรู้จักอีกหลายๆ อย่าง เลยไม่พอใจในการที่จะแพ้ ไม่พอใจโดยคิดเห็นว่ามันเป็นความเสื่อมเสียเกียรติ หรือมันเสียอะไรไปอีกมากมาย ฉะนั้นจึงมีการต่อสู้ด้วยความเป็นอันธพาล ยิ่งเล่นกีฬาเท่าไรก็ยิ่งเพิ่มความเป็นอันธพาลมากขึ้นเท่านั้น แม้ที่เป็นกีฬา การกีฬาระหว่างภาค ระหว่างภาคที่มีเกียรติ นักกีฬาของชาติที่มีเกียรติ ก็มีความเป็นอันธพาลในสนามกีฬานั้น เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วก็ไม่ต้องพูดถึงลูกเด็กๆ เล็กๆ ของเราที่จะไม่มีความเป็นอันธพาลในสนามกีฬานั้น
เพราะฉะนั้นเราจะต้องมีความฉลาดพอที่จะจัดการกับลูกเด็กๆ ของเรา อย่าให้กลายเป็นลูกลิงทะโมน แต่กลายเป็นลูกของพระเจ้า หรืออย่างน้อยก็เป็นลูกของมนุษย์ จึงจะเรียกว่า เรามีจิตใจเป็นอิสระจากความโง่ เหมาะสมที่จะทำมาฆบูชา เป็นต้น เพื่อการใกล้ชิดโดยทางจิตใจกับพระพุทธเจ้า หรือพระธรรมและพระสงฆ์ สำหรับความโง่อันสุดท้ายนั้น อยากจะระบุไปว่า เห็นจะได้แก่ความโง่ในการที่ไม่รู้จักทำคนทั้งโลกให้เป็นคนๆ เดียวกัน ลองฟังให้ดีว่า เรามีความโง่จนไม่รู้จักทำคนทั้งโลกให้เป็นคนๆ เดียวกัน คือ เราทำความเข้าใจกันไม่ได้ในเรื่องที่จะไม่ต้องมีเขา ไม่ต้องมีเรา เราทำความเข้าใจกันไม่ได้ว่ามนุษย์ทั้งหลายทั้งหมดนั้นมาจากต้นตอเดียวกัน เรานึกถึงในสมัยที่โลกนี้ยังไม่มีมนุษย์ แล้วก็ถึงสมัยที่โลกนี้เริ่มมีมนุษย์ มันก็มาจากต้นตออันเดียวกัน ควรจะถือว่าเป็นญาติกัน เป็นพี่น้องกัน เราควรจะนึกต่อไปว่า แม้ว่าบัดนี้เรามีกันเป็นอันมาก มีมนุษย์เป็นอันมากในโลกนี้ แตกต่างกันโดยขนบธรรมเนียมประเพณี ชาติ ศาสนา ภาษาอะไรก็ตาม แต่เมื่อมองดูในหัวใจแล้ว มันเหมือนกัน คือมีปัญหาอย่างเดียวกัน มีหัวอกอย่างเดียวกัน กำลังเป็นทุกข์ กำลังเดือดร้อนโดยลักษณะเดียวกัน มีกิเลสเหมือนกัน มีความทุกข์เหมือนกัน ควรจะเรียกว่าเป็นผู้ที่มีปัญหาอย่างเดียวกัน มีหัวอกเดียวกัน เป็นคนๆ เดียวกัน แล้วเมตตาปราณีแก่กัน และอดออมแก่กัน ด้วยความอดออมให้ถึงที่สุด อย่าไปมัวหลงแบ่งแยก เป็นคนต่างชาติ ต่างศาสนา ต่างลัทธิ ต่างผิว เป็นทางขวา เป็นซ้าย มุ่งหมายจะประหัตประหารกันด้วยความรู้และสติปัญญาทั้งหมด จนกระทั่งกล่าวได้ว่า สติปัญญาทั้งหมดของคนเหล่านั้น มีเพียงเพื่อจะประหัตประหารทำลายล้างกันเท่านั้น แม้จะใช้ไปในทางศึกษาค้นคว้าอะไร ก็จะศึกษาเพื่อให้ได้เปรียบผู้อื่นในการที่จะทำลายล้างกัน นี่แหละคือความโง่ของการที่ไม่รู้จักทำคนทั้งโลกให้เป็นคนๆ เดียวกัน
เดี๋ยวนี้ก็มีคนพูดว่า จะช่วยเหลือกันสร้างสันติภาพขึ้นในโลกนี้ แต่แล้วก็ยังคงทำผิดทาง หรือไม่ๆๆๆ เป็นไปได้ตามความประสงค์อันนั้น ยกตัวอย่างเช่น จะพยายามให้คนรู้หนังสือกันให้หมดทั้งโลก ฟังดูก็น่าเลื่อมใส ที่ว่าจะช่วยกันแก้ไขให้คนทั้งโลกรู้หนังสือ แต่เมื่อรู้หนังสือขึ้นมาแล้ว รู้ไปทำไม รู้เพื่อให้รู้วิธีเอาเปรียบผู้อื่น แข่งขันผู้อื่น แบ่งแยกเป็นเขาเป็นเรา เอาเปรียบกันให้มาก ให้เก่ง เมื่อเป็นดังนี้โลกของคนที่รู้หนังสือนั้น ก็ยิ่งมีความเบียดเบียนกันยิ่งไปกว่าก่อน ยิ่งไปกว่าเมื่อยังไม่รู้หนังสือ หรือว่าจะช่วยกันผลิตอาหารให้เพียงพอ ให้คนทุกคนมีอาหารกิน แล้วมันรอดตายอยู่ได้เพื่ออะไร เพื่อมีความคิดนึกที่จะประหัตประหารกัน เพื่อจะเอาเปรียบกัน แข่งขัน แย่งชิงกัน คิดดูเถิด เพราะว่าไม่มีใครสนใจเรื่องความผิดทางวิญญาณ เรื่องพระเจ้า เรื่องศาสนา ยิ่งมีจำนวนมากขึ้นเท่าไร ถึงได้มีความเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้นในโลกมากเท่านั้น แล้วจะช่วยกันสร้างความเจริญทางเรื่องอนามัย เรื่องการเจ็บไข้ การเยียวยาโรคภัยไข้เจ็บ ทำให้โรคภัยไข้เจ็บสูญสิ้นไปจากโลก ฟังดูก็ไพเราะ หรือน่าเลื่อมใส แต่แล้วมันก็ทำไปทำไม ในเมื่อคนเหล่านั้นจะมีชีวิตอยู่ เพื่อมีความเห็นแก่ตัว เพื่อศึกษาค้นคว้าแต่ในทางที่จะเอาเปรียบผู้อื่น ไม่มีความรู้สึกคิดนึกในการที่จะทำคนทั้งโลกให้เป็นคนๆ เดียวกัน มีแต่จะแบ่งแยกเป็นเราเป็นเขามากขึ้นไปเท่านั้น
แล้วในที่สุดมองดูกันใกล้ๆ นี้ก็จะเห็นได้ว่า สิ่งที่น่าหัวเราะที่สุดก็คือ สิ่งที่กำลังบูชากันนักหนาว่า ประชาธิปไตย ประชาธิปไตยของคนที่ตกอยู่ใต้อำนาจวัตถุนิยมนี้ มีแต่จะทำโลกนี้ให้กลายเป็นนรก ที่พูดกันว่า ของประชาชน เพื่อประชาชน โดยประชาชนนี้ ฟังดูก็น่าเลื่อมใสและไพเราะดี แต่ถ้าประชาชนนั้นไม่มีธรรมะเลย เป็นประชาชนที่เป็นวัตถุนิยมจัด ไม่ว่าชาติใด ภาษาใด ก็ล้วนแต่วัตถุนิยมจัดแล้ว มันก็ไม่มีธรรมะเสียเลย เป็นประชาธิปไตยที่ไม่มีธรรมะแล้ว มันก็ทำโลกนี้ให้เป็นนรกไปได้ในพริบตาเดียว เพราะว่าคนทุกคนถือว่า ประเทศชาตินี้ หรือว่าโลกนี้เป็นของตน มีสิทธิที่จะช่วยกันทำ โดยเรา เพื่อเรา ของเรา พร้อมเพรียงกันทำอย่างที่พร้อม แต่แล้วก็ทำไปด้วยจิตใจที่เป็นทาสของวัตถุนิยม ก็เลยเป็นว่าช่วยกันทำโลกนี้ให้เป็นนรกยิ่งไปกว่าเดิม หรือจะมีความเห็นแก่ตัวมากไปกว่าเดิม จะมีการแบ่งแยก เป็นพรรคเป็นพวก แล้วพร้อมเพรียงกันต่อสู้กันแข่งขันกัน แย่งชิงกันยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม โลกนี้ก็จะกลายเป็นนรก ยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม เพราะอำนาจสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตย แต่ถ้ามีธรรมะเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว อะไรๆ ก็ดีหมด ประชาธิปไตยที่มีธรรมะนั้น ก็จะเป็นการสร้างโลกนี้ให้มีสันติสุข หรือว่า เอกาธิปไตย ราชาธิปไตย คณาธิปไตย อะไรก็ตาม ถ้าประกอบไปด้วยธรรมะแล้ว ก็สามารถทำโลกนี้ให้มีความสุข ขอแต่ให้มีธรรมะอย่างเดียวเท่านั้น โลกนี้จะถูกปกครองโดยคนๆ เดียวก็ยังได้ หรือจะถูกปกครองโดยมติมหาชนก็ยังได้ ขอแต่ให้มีธรรมะอย่างดียวเท่านั้น เดี๋ยวนี้ไม่มีใครสนใจธรรมะ ไม่มีใครสนใจความจริง สนใจแต่ประโยชน์ ประโยชน์นั้นเป็นพระเจ้า ประโยชน์นั้นเป็นสิ่งสูง สูงสุดเหนือสิ่งใด ประชาธิปไตยของคนที่บูชาประโยชน์นี้ ก็คือประชาธิปไตยที่จะพร้อมเพรียงกันทำโลกนี้ให้ลุกเป็นไฟในเวลาอันใกล้ที่สุด
เราจงสลัดความโง่เขลาอันนี้ให้ออกไปจากจิตใจให้หมดสิ้น ให้ไม่มีเหลือในขณะนี้ ในโอกาสนี้ที่เราจะกระทำมาฆบูชา ทีนี้ เราจะมีความเห็นอย่างแจ่มแจ้งว่า ความโง่นั้นไม่ใช่สมบัติของพระอริยเจ้า ความโง่นั้นไม่ใช่สมบัติของพระอริยสาวก ความโง่นั้นไม่ใช่สมบัติของอารยชน ถ้าใครผู้ใดอยากจะเรียกตัวเองว่าอารยชนก็จงรู้ไว้เถิดว่า ไม่ควรจะมีความโง่เป็นสมบัติของตน เดี๋ยวนี้ยิ่งอารยชน ดูจะยิ่งโง่มาก เพราะว่าอารยชนของสมัยปัจจุบันนี้ หมายถึงความก้าวหน้าทางวัตถุ และมายืนยันว่า ยิ่งหลงใหลทางวัตถุอะไร จะยิ่งมีความโง่มากขึ้นไปเท่านั้น ยิ่งฉลาดในทางวัตถุ ก็คือยิ่งโง่ ยิ่งฉลาดยิ่งโง่ฟังดูแล้วไม่น่าเชื่อ ยิ่งฉลาดในทางวัตถุ ก็จะยิ่งโง่ในการที่จะเป็นทาสของวัตถุ แล้วก็จะห่างเหินจากเรื่องทางจิตทางวิญญาณ เราต้องยิ่งฉลาดในการควบคุมวัตถุ อย่าให้ปีศาจวัตถุหลอกหลอนได้ การหลอกหลอนของวัตถุนั้นเรียกว่า ปีศาจของวัตถุ ความเอร็ดอร่อย ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย หรือที่เขาเรียกกันสั้นๆ ว่า ทางเนื้อหนังนั้น อย่าให้มันหลอกหลอนได้ เราต้องฉลาดไปในทางที่จะไม่ให้มันหลอกหลอนได้ เดี๋ยวนี้การค้นคว้า การประดิษฐ์ การ จิตใจ (ไม่แน่ใจค่ะ นาทีที่ 50.29) อะไรต่างๆ ฉลาดไปแต่ในทางให้วัตถุมันหลอกหลอนได้ คนเป็นทาสทางวัตถุมากขึ้น คนยิ่งฉลาดในการหาประโยชน์แก่ตัว มันก็คือยิ่งโง่ ฟังดูให้ดีว่า คนยิ่งฉลาดในการหาประโยชน์ใส่ตัว นั้นมันคือยิ่งโง่ ไม่ใช่ยิ่งฉลาด ถ้ายิ่งฉลาดก็ต้องยิ่ง ก็ควรจะฉลาดในการเห็นแก่ผู้อื่น หรือยิ่งฉลาดในการที่จะรู้ว่า ทุกคน คือ คนๆ เดียวกัน ทุกคนในโลก คือคนๆ เดียวกัน ฉะนั้นต้องไม่มีความฉลาดในการหาประโยชน์แก่ตัวอย่างเห็นแก่ตัว เพราะว่า เห็นแก่ตัวนี้มีความหมาย ๒ ความหมาย คือ มีความหมายที่เป็นไปในทางดีก็มี รักตัว สงวนตัว ไม่ทำชั่วทำแต่ความดี แต่คำว่าเห็นแก่ตัวตามปกตินั้น หมายถึงเห็นแก่ตัวล้วนๆ ไม่ได้คำนึงถึงดี ถึงชั่ว เห็นแก่ประโชน์ของตัวอย่างเดียว นี้เรียกว่า คนเห็นแก่ตัว คนยิ่งฉลาดในความ ในการหาประโยชน์ใส่ตัวเท่าไร ก็ยิ่งเป็นคนโง่มากขึ้นเท่านั้น นี้คือ ยิ่งฉลาดยิ่งโง่ ถ้ามองอีกทีหนึ่ง ก็คือ คนที่ยิ่งรู้มากยิ่งยากนาน ยิ่งมีความรู้มากยิ่งลำบากมาก เรื่องง่ายๆ ที่พอเห็นได้ ก็คือว่า ไอเรื่องต่างๆ ที่เขาถือกันว่าเป็นเทคนิคจัด หรือเป็นวิชา เป็นหลักวิชาจัดนั้น ล้วนแต่เป็นเรื่อง ยิ่งรู้มากยิ่งยากนานทั้งนั้น มันจึงไม่เพียงพอแก่การที่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หรือปัญหาปัจจุบันของคนในโลก ในสมัยนี้
ระวังให้ดีเราอย่าตกไปอยู่ในวิสัยที่เรียกว่า ยิ่งรู้มากยิ่งยากนาน ยิ่งรู้มากยิ่งไม่รู้จะทำอย่างไร ยิ่งรู้มากด้วยอำนาจแห่งความอยากของกิเลสแล้ว มันก็รู้ไปในทางที่ไม่มีประโยชน์ คือเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์อะไรไม่ได้ทั้งที่เป็นนักปราชญ์ มันก็ยิ่งยากนานเหมือนกัน ปู่ย่าตายายของเราพูดไว้ดีแล้ว ว่ายิ่งรู้มากยิ่งยากนาน เข้าใจฟังท่านให้ดีๆ ประพฤติให้ถูกต้อง เกี่ยวกับข้อนี้ อาตมายกตัวอย่างสำหรับปัจจุบันนี้ว่า ยิ่งเรียนพุทธศาสนา ยิ่งไม่รู้พุทธศาสนา อาตมาเคยพูดอย่างนี้ แล้วไม่มีใครเชื่อ มีคนเชื่อสัก สอง สาม คนเห็นจะได้ ว่ายิ่งเรียนพุทธศาสนา ยิ่งไม่รู้พุทธศาสนา บวชพระ บวชเณร หรืออุบาสก อุบาสิกาก็ตาม เรียนธรรมะ เรียนบาลี เรียนพระไตรปิฏก นี่เรียกว่าเรียนพุทธศาสนา ยิ่งเรียน ยิ่งไม่รู้พุทธศาสนา มันยิ่งรู้แต่อักษรศาสตร์ แต่วรรณคดี แต่ปรัชญา รู้อะไรไปไม่มีที่สิ้นสุด ไม่รู้พุทธศาสนาเลย เรียนจนตาย เป็นมหาเปรียญหรือเป็นนักปราชญ์ เป็นอะไรกันไปจนไม่รู้ว่าจะเป็นอะไรแล้ว มันก็ยังไม่รู้พุทธศาสนา เพราะว่า พุทธศาสนา นั้นต้องเรียนที่ชีวิต จิตใจจริงๆ ต้องเรียนที่ตัวสิ่งที่มีอยู่เป็นสภาวะธรรมตามธรรมชาติจริงๆ จึงจะรู้พุทธศาสนา ยิ่งเรียนพุทธศาสนา ยิ่งไม่รู้พุทธศาสนา แต่ถ้าเธอยิ่งเรียนชีวิตจิตใจของตัวเองนี่แหละ จะยิ่งรู้พุทธศาสนา ขอให้ไปพิจารณาดูให้ดีๆว่า การเรียนพุทธศาสนาสมัยนี้ ปัจจุบันนี้ ยิ่งเรียน ยิ่งไม่รู้พุทธศาสนา เป็นสิ่งที่น่าเศร้าใจ น่าสลดสังเวชใจในการที่ตกหลุมพรางของตัวเอง ตกบ่อของความโง่ของตัวเอง ยิ่งรู้มากยิ่งยากนาน ยิ่งเรียนพุทธศาสนา ยิ่งไม่รู้พุทธศาสนา ยิ่งเรียนพระไตรปิฎก ยิ่งไม่รู้พระธรรม ยิ่งไม่ถึงพระธรรม เพราะว่าพระธรรมนั้นไม่เกี่ยวกับตัวหนังสือเลย พอไปเกี่ยวกับตัวหนังสือ ก็เป็นภาพของหนังสือ พอไปเกี่ยวกับความรู้ ก็เป็นภาพของความรู้ พอไปเกี่ยวข้องกับอักษรศาสตร์ ก็เป็นภาพของอักษรศาสตร์ ในพระไตรปิฎกนั้นมีครบหมดทั้งอักษรศาสตร์ ทั้งวรรณคดี ทั้งประวัติศาสตร์ ทั้งปรัชญา ทั้งจิตวิทยา ...(ฟังไม่ชัดค่ะ นาทีที่ 54.42) อะไรก็มีครบไปหมด ยิ่งไปแตะเข้ากับสิ่งใด ก็ยิ่งเป็นภาพของแขนงนั้น เลยไม่รู้พระธรรม เหมือนกับยิ่งเรียนพระไตรปิฎก ยิ่งไม่รู้พระธรรม
เราเป็นโรคที่เป็นกันอยู่มากมายในสมัยนี้ และเป็นยิ่งขึ้นๆๆ จนน่าเศร้าใจ นี้เป็นสิ่งที่เรียกว่า ความโง่ ไม่ใช่สมบัติของพระอริยสาวก ไม่ใช่สมบัติของพระอริยเจ้า เราจะต้องสลัดออกไป เราจึงจะมีความเหมาะสมที่จะทำมาฆบูชา ที่นี้อยากจะกล่าวประโยคคต่อไปว่า ความสิ้นเนื้อประดาตัวทางวิญญาณ นั้นคือยอดของความสุข ความสิ้นเนื้อประดาตัวนี้ ฟังดูแล้วมันน่าตกใจ แต่อย่าลืมว่า มีคำว่า ทางวิญญาณเข้ามากำกับด้วย หมายความว่าเป็นความหมายในทางจิต ทางวิญญาณ เราสิ้นเนื้อประดาตัว คือ ไม่ได้ถือว่าอะไรเป็นตัวเราหรือเป็นของเรา ไม่มีอุปาทานมั่นหมายสิ่งใดว่าเป็นตัวเราหรือของเราเลย มีจิตใจว่างจากตัวกูของกูอยู่เสมอ นี้เรียกว่า ความสิ้นเนื้อประดาตัวทางวิญญาณ นี่แหละคือยอดสุดของความสุข การที่เราไม่มีความยึดถือเป็นตัวกูของกูนั้น เป็นความสุข คนฟังไม่เข้าใจ เพราะว่าไม่มีตัวกูของกู ก็รู้สึกเหมือนกับว่า สูญเสียอะไรหมดสิ้น ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย แล้วก็กลัว หรือบางคนถึงกับไม่สนใจเอาเสียทีเดียว ในเรื่องการที่จะว่าง หรือไม่มีสิ่งที่เรียกว่าตัวกูหรือของกู แต่อย่าลืมว่านี้มันหมายถึงเรื่องทางจิตทางวิญญาณ ทางวัตถุนั้นมันก็มีอยู่ ร่างกายชีวิตจิตใจทางวัตถุนี้มีอยู่ ไม่มีใครมาแย่งชิงเอาของเราไปได้ ทรัพย์สมบัติก็ยังมีอยู่ กฎหมายก็ยังคุ้มครอง ขนบธรรมเนียมประเพณีก็ยังคุ้มครอง ที่ดิน ไร่นา เรือกสวน เงินทอง แก้วแหวนก็ยังมีอยู่ เป็นของคนนั้นอยู่ โดยกฎหมาย โดยประเพณี หรือโดยที่ธรรมชาติทางฝ่ายวัตถุมันจะพึงมี และมนุษย์ก็มีความเข้าใจกันได้ในเรื่องนี้ ส่วนทางจิตหรือทางวิญญาณนั้นอย่าไปกล้ามี พอไปมีเข้าเมื่อใดมันก็ตกนรกทันทีเมื่อนั้น พราะว่ามันจะนำมาซึ่งความร้อนใจ มันก็เป็นนรก เพราะความโง่ชนิดนั้น มันก็เป็นกำเนิดเดรัจฉาน ไอ้ความหิว กระหาย ทะเยอทะยาน ที่เกิดจากสิ่งนั้น มันก็เป็นเปรตอยู่แล้ว และโดยเวลาส่วนมากก็เป็นไปด้วยความกลัว กลัวนั่น กลัวนี่ กลัวจะเสียไป กลัวความยากจน กลัวความตาย กลัวอะไรต่างๆ นี่ มันก็เป็นอสุรกายอยู่แล้ว ดังนั้นอย่าได้มีความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกู ว่าของกูเสียเลยจะเป็นการดีกว่า ทรัพย์สมบัติสิ่งของชีวิตร่างกายนี้ก็ไม่หนีหายไปไหน แต่แล้วก็ไม่มีความทุกข์อันใดที่จะเกิดขึ้น เรามีความรู้ทางศาสนาเพื่อแก้ปัญหาข้อนี้ คือ อย่าให้ความร่ำรวยของเราเป็นความพิษ เป็นพิษ เกิดเป็นของมีพิษขึ้นมา ปราศจากความรู้ทางธรรมแล้ว ยิ่งมีอะไรก็ยิ่งมีความทุกข์ มีลูกก็ต้องมีความทุกข์เพราะลูก มีสามีก็ต้องมีความทุกข์เพราะสามี มีภรรยาก็ต้องมีความทุกข์เพราะภรรยา มีทรัพย์สมบัติก็ต้องมีความทุกข์เพราะทรัพย์สมบัติ มีวัวควาย ก็จะต้องมีความทุกข์เพราะวัวควาย ถึงจะมีไม้ขีดสักก้านนึง ก็จะมีความทุกข์เพราะไม้ขีดก้านเดียวนั้นเป็นแน่นอน
เราจงมีความรู้ทางธรรมะของพระพุทธเจ้า ให้ถูกต้องให้เพียงพอ สำหรับจะกำจัดความทุกข์อันนี้ให้สิ้นไป สิ่งที่เรียกว่าศาสนาก็คือความรู้ข้อนี้เอง ที่สามารถกำจัดความทุกข์เหล่านี้ได้ เรียกว่า เรามีความเข้าใจถูกต้อง ในสิ่งที่เรียกว่าพระธรรม หรือศาสนา ที่จำเป็นแก่คนทุกคน ที่เกิดมาจะต้องไปตกเป็นทาสของความทุกข์แล้วไม่มีปัญญาของตัวเองที่จะกำจัดความทุกข์นั้นได้ จะต้องอาศัยสติปัญญาของพระพุทธเจ้าเป็นแน่นอน คนที่มีความหลงอยู่ ก็คือ คนที่มองเห็นแต่เรื่องทางวัตถุไม่มองเห็นในเรื่องทางจิตหรือทางวิญญาณ ดังนั้น จึงเข้าใจพระศาสนาไม่ได้ เข้าใจธรรมะไม่ได้ พูดถึงเรื่องศาสนา พูดถึงเรื่องธรรมะ ก็คิดว่า เป็นเครื่องมือช่วยให้ถูกลอตเตอรรี่ นี่ต้องดูให้ดีๆ ว่าพอพูดถึงพระพุทธรูป หรือพูดถึงเครื่องลาง หรือพูดถึงธรรมะ พูดถึงบุญ ถึงกุศล ก็มีความรู้สึก คิดนึก แต่ ในทางที่ว่า มันจะช่วยให้เกิดประโยชน์เป็นความสวยเป็นความรวย อะไรเป็นกำลังศาสนาก็คิดว่ามันจะได้สิ่งนั้น ด้วยอำนาจสิ่งที่ สิ่งที่เรียกว่า ศาสนา หรือพระธรรมนั่นเอง ทีนี้มันตรงกันข้าม สิ่งที่เรียกว่า ศาสนาหรือพระธรรมนั้น ถ้าปฏิบัติดีมันก็ได้สิ่งเหล่านั้นด้วยเหมือนกัน แต่นั่นไม่ใช่วัตถุประสงค์อันแท้จริง เช่น หาเงินหาของ หาอะไรต่างๆ นั้น เป็นเรื่องของชาวบ้าน เป็นเรื่องของชาวโลก แต่แล้วเรื่องนั้นมันมีความทุกข์ ต้องมีเรื่องของศาสนาเข้ามาควบคุม เข้ามากำกับ เข้ามาป้องกัน อย่าให้ความทุกข์เกิดขึ้นมา เพราะการมีเงิน มีของ มีเกียรติ ทุกๆ เรื่องอย่าได้มีความทุกข์ขึ้นมา นี้คือความมุ่งหมายอันแท้จริงของสิ่งที่เรียกว่า ศาสนาหรือพระธรรม แต่แล้วเราก็หารู้จัก สิ่งนี้ในลักษณะอย่างนี้ไม่ กลับเอาไปใช้ในลักษณะที่จะเพิ่มสิ่งที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์นั้นเสียอีก อันเป็นการเหยียบย่ำพระธรรม อันเป็นการเหยียบย่ำพระศาสนาโดยไม่รู้สึกตัว นับว่าเป็นความโง่ที่ไม่ใช่สมบัติของพระอริยเจ้า เป็นอย่างยิ่งอย่างนี้ คนคิดแต่ประโยชน์ มุ่งหมายแต่ประโยชน์ หิวกระหายต่อสิ่งที่เรียกว่าประโยชน์ ความทุกข์เกิดขึ้นก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงต้องทนไป จึงต้องทนไป ต้องร้องไห้ ต้องฆ่าตัวตาย แต่ถ้ามีธรรมะแล้ว ไม่ต้องเป็นอย่างนั้น มันมีจิตใจที่วางไว้ดี ไม่ต้องอยาก ไม่ต้องกระหาย ไม่ต้องทรมานใจ ก็ทำ ประกอบสิ่ง ประกอบหน้าที่การงานไปได้ มีกินมีใช้ได้ เก็บรักษาไว้ได้ มีอะไรทุกๆ อย่างได้ ทำอะไรทุกๆ อย่างได้ โดยไม่ต้องมีความทุกข์เลย นี้เรียกว่า มีศาสนาอย่างถูกต้อง มีธรรมะอย่างถูกต้องเพียงพอ แก่ความต้องการของมนุษย์
ในจิตใจนั้น อย่าได้มีความยึดมั่นถือมั่น เป็นตัวกูของกู แล้วก็ทำไปเถิด ทำอะไรก็ทำได้ มีอะไรก็มีได้ ตามที่ควรจะได้ตามที่ควรจะมีโดยไม่ต้องเป็นทุกข์ หลักธรรมะนั้น เป็นเรื่องทางจิตใจโดยเฉพาะ มันตรงกันข้ามกับเรื่องทางวัตถุ ซึ่งเป็นเรื่องของชาวโลก หรือเป็นเรื่องโลกๆ ในทางจิตใจนั้นเราพูดว่า ยิ่งเอา ยิ่งไม่ได้ ฟังดูให้ดีว่า ยิ่งเอา จะยิ่งไม่ได้ ยิ่งเอา คือ มันยิ่งอยากยิ่งมีความโลภ ยิ่งมีกิเลสตัณหา แล้วมันก็ได้มาแต่ความทุกข์ มันไม่ได้ความสงบสุข ยิ่งเอายิ่งไม่ได้ ยิ่งจะเอานั่นเอานี่ หรือแม้แต่จะยิ่งเอาพระนิพพาน มันก็ยิ่งไม่ได้ พระนิพพาน ต่อเมื่อไม่เอาอะไรเลย มันจึงจะได้นิพพาน คือได้ความสงบสุขมา ไม่ใช่ๆ หมายถึงได้วัตถุมา ฉะนั้นคนเรายิ่งอยากฉลาด มันก็คือยิ่งโง่ เพราะว่าเราไม่รู้ว่าจะฉลาดกันอย่างไร ความฉลาดก็เป็นไปในทางเพิ่มกิเลสตัณหา มันก็เพิ่มความทุกข์ เพราะฉะนั้นยิ่งฉลาดก็ยิ่งโง่ ลืมไปเสียว่าเรามีทั้งกายและทั้งใจ เรามีทั้งวัตถุและวิญญาณ เราไม่ได้มีแต่เรื่องเดียว คือ เรื่องกายหรือเรื่องวัตถุ เพราะฉะนั้นเราต้องจัดการให้ถูกต้องทั้งเรื่องทางกาย และทั้งเรื่องทางจิต หรือทั้งเรื่องทางวัตถุและทางวิญญาณ ในที่สุด มันก็จะไม่มีปัญหาอันใดเกิดขึ้น ความทุกข์ทางวัตถุขจัดออกไปได้ ด้วยความรู้ในทางจิตหรือทางวิญญาณ คือ ทางศาสนานั้น ซึ่งทุกๆ ศาสนา ก็สอนให้ทำลายความเห็นแก่ตัวด้วยกันทั้งนั้น พวกเราที่นี่เดี๋ยวนี้ในเวลานี้ อย่ามีความโง่หลงเหลืออยู่เลยว่า ศาสนาแต่ละศาสนานั้นมีความเห็นขัดแย้งกันหรือไปด้วยกันไม่ได้ นั้นเป็นเรื่องปลีกย่อย เป็นเรื่องฝอย เป็นเรื่องเปลือกนอก เนื้อในเหมือนกันทั้งนั้น เนื้อใน ก็คือ ทำลายความเห็นแก่ตัวจนหมดความยึดมั่นถือมั่น เรื่องตัวหรือเรื่องของตัว พุทธศาสนาก็สอนอย่างนี้ ศาสนาอื่นๆ เช่น ศาสนาคริสเตียนก็สอนอย่างนี้ คือ เอาตัวของตัวไปให้พระเจ้าเสีย มอบตัวของตัวให้แก่พระเจ้าเสีย อย่ามีตัวของตัว พระเจ้าสั่งไว้อย่างไร ทำอย่างนั้น เรียกว่า มีตัวที่ยกให้พระเจ้าเสียแล้ว ไม่มีตัวของตัวแล้วมันก็ไม่มีความทุกข์ ความตายเกิดขึ้นก็เป็นความประสงค์ของพระเจ้า ความร่ำรวยเกิดขึ้นก็เป็นความประสงค์ของพระเป็นเจ้า ไม่ใช่ของตัว มันจึงไม่รู้จักมีความทุกข์ จะอยู่หรือจะตายก็ไม่มีความทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น นี้เรียกว่า เพราะไม่มีตัวกูเพราะไม่มีของกู เอาตัวกูของกูไปทิ้งไปทำลายเสียให้หมด หรือ เอาไปถวายพระเจ้าเสียให้หมด มันก็มีผลอย่างเดียวกัน
ทางพุทธศาสนาเราถือว่าทำลายตัวกูของกูนี้เสียให้หมด ทางศานาอื่นเขาว่า เอาไปถวายพระเจ้าเสียให้หมด ก็เป็นคนที่ไม่ต้องมีตัวกูของกูอย่างเดียวกัน ศาสนาคริสเตียนก็สอนอย่างนี้ ลองไปเปิดดูในคัมภีร์นั้นๆ ที่มีตรงกับพุทธศาสนา เช่นว่า มีภรรยา ก็ให้มีจิตใจเหมือนกับไม่มีภรรยา มีสามีก็เหมือนมีจิตใจเหมือนกับไม่มีสามี มีทรัพย์สมบัติก็จงทำเหมือนกับไม่มีทรัพย์สมบัติ มีความสุขก็จงทำเหมือนกับไม่มีความสุข มีความทุกข์ ก็จงทำเหมือนกับไม่มีความทุกข์ ไปซื้อของที่ตลาดแล้วอย่าเอาอะไรมา นี่คัมภีร์... (ฟังไม่ชัด นาทีที่ 65.40) ของคริสเตียน ก็ยังเขียนไว้อย่างนี้ รวมความว่า อย่ามีความรู้สึกคิดนึกอยู่ในใจว่าอะไรเป็นตัวเราหรือเป็นของเรา เช่น ไปซื้อของที่ตลาดก็หิ้วเอาของนั้นถือติดมือมา แต่ในใจไม่ได้ถือว่า นี่ของเรา ถ้าเป็นพุทธบริษัทก็ถือว่า นี่ยังคงเป็นของธรรมชาติ ถ้าเป็นศาสนาอื่น ก็ถือว่านี่เป็นของพระเจ้า นี้เป็นของพระเจ้า ไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นคนขึ้ตู่ ไม่เป็นโจร ไม่ต้องอะไร ไม่เป็นขโมย ไม่ไปปล้นของธรรมชาติมาเป็นของเรา ไม่ไปปล้นของพระเป็นเจ้ามาเป็นของเรา ไม่มีอะไรที่เป็นตัวเรา ไม่มีอะไรที่เป็นของเราด้วยกันทั้งนั้น
ในบรรดาศาสนาทั้งหลายก็มีอยู่เพียง ๒ ประเภท คือ มีพระเจ้า กับไม่มีพระเจ้า พวกไม่มีพระเจ้าก็สอนให้ทำลายตัวกู ของกูเสีย ด้วยสติปัญญา ประเภทที่มีพระเจ้าก็สอนให้ยก ให้มอบให้ พระเจ้าเสีย อย่ามีตัวกูของกู ด้วยอำนาจของความเชื่อ การที่แตกต่างกันเพียงว่า พวกหนึ่งใช้ปัญญา พวกหนึ่งใช้ความเชื่ออย่างนี้ มันก็ไม่แตกต่างอะไรกันโดยผล ผลที่ได้มันคงเหมือนกัน คือ ไม่มีตัวกูของกูด้วยกันทั้งนั้น เมื่อเรานึกได้อย่างนี้ เราจะนึก เมื่อเรามองเห็นอยู่อย่างนี้โดยประจักษ์แล้ว เราก็จะเห็นได้ว่า ทุกศาสนามันมีเนื้อหาหรือสาระอย่างเดียวกัน เราจึงไม่มีคนต่างชาติ ต่างศาสนาต่อกัน เราเป็นมนุษย์คนเดียวกัน สามารถที่จะทำความเข้าใจซึ่งกันและกันได้ เดี๋ยวนี้มันไม่เป็นอย่างนั้น แต่ละชาติ แต่ละศาสนายกหูชูหางของตัวขึ้นมา เรามีสิ่งที่คนอื่นไม่มี เราดีกว่าคนอื่น คนที่ถือศาสนาอื่นเป็นคนโง่ เราต้องสอนเขา ถ้าเขาไม่เชื่อ เราจะต้องสอนเขาให้เจ็บปวดอย่างนี้ ในที่สุดมันก็กลายเป็นเรื่องตัวกูของกู ไม่เป็นเรื่องของศาสนาแต่ประการใด ถ้าจะให้เป็นเรื่องของศาสนาโดยแท้จริงแล้ว จงมองดูโดยลักษณะที่กล่าวมาแล้วนี่เถิด จะไม่มีความโง่ใดๆ เหลืออยู่เลย แสดงว่าเรามีการชำระชะล้างจิตใจของเราที่นี่และเดี๋ยวนี้ ให้มีจิตใจสะอาดหมดจด พร้อมที่จะทำมาฆบูชา ซึ่งเป็นการบูชาสูงสุดต่อพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
ขอซ้อมความเข้าใจแก่ท่านทั้งหลายย้อนไปครั้งหนึ่งว่า วันเช่นวันนี้ เมื่อเวลาตอนเที่ยงนั้น พระพุทธเจ้าประชุมพระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ประกาศสิ่งซึ่งเป็นหลักของพระพุทธศาสนาแก่พระอรหันต์ทั้งหลายเหล่านั้น ให้ถือเป็นปาฏิโมกข์ คือหัวข้อ หรือที่เดี๋ยวนี้เรียกว่า formula เป็นหัวข้อสั้นๆ ว่า อนูปวาโท การไม่พูดร้าย อนูปฆาโต การไม่ทำร้าย ปาติโมกฺเข จ สํวโร สำรวมในระเบียบ มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ กินอยู่พอดี ปนฺตญฺจ สยนาสนํ พอใจในที่นอนที่นั่งอันสงบสงัด อธิจิตฺเต จ อาโยโค มีการประกอบหรือการกระทำจิตให้สูงยิ่งขึ้นไป เอตํ พุทฺธาน สาสนํฯ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย สพฺพปาปสฺส อกรณํ ไม่ได้ทำบาปทุกอย่าง กุสลสฺสูปสมฺปทา ทำกุศลให้ถึงพร้อม สจิตฺตปริโยทปนํ ทำจิตให้ขาว... (ฟังไม่ชัดค่ะ นาทีที่ 69.23) เอตํ พุทฺธานสาสนํฯ นี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ๓ ข้อนี้เป็นการแสดงความมุ่งหมายให้กระทำ ๖ ข้อต่อไปเป็นการแสดงวิธีหรือเครื่องมือที่จะช่วยให้สำเร็จตามนั้น รวมกันเข้าแล้วเรียกว่าโอวาทปาฏิโมกข์ พระพุทธเจ้าทรงประกาศสิ่งนี้ในเที่ยงวันวันนี้ ที่เวฬุวันวิหาร คือ อุทยานป่าไผ่ ใกล้ๆเมืองราชคฤห์เราถือกันว่า เป็นวันที่สำคัญที่สุดของพระพุทธศาสนา เป็นวันประดิษฐานคณะสงฆ์ลงไปในโลก โดยพระพุทธเจ้าเอง เราจะระลึกนึกถึงวันนี้ อยู่ทุกๆ วาระที่มาถึงเข้า คือวันเพ็ญในเดือนมาฆะ เราจะประกอบมาฆบูชา เพื่อเป็นที่ระลึกแก่กิจกรรมนี้ และเพื่อตักเตือนเราเองให้ประพฤติตามนั้น บัดนี้เราก็มาประชุมกันที่นี่ ด้วยวัตถุประสงค์อันนี้ และเราก็ได้ทำการตระเตรียมตัว ชำระชะล้างตัวให้มีความเหมาะสมแล้ว เพื่อทำมาฆบูชา ให้ท่านทั้งหลายมีจิตใจที่ตั้งไว้อย่างนี้ มีความไม่ประมาทอย่างนี้ มีความเหมาะสมที่จะทำมาฆบูชาอย่างนี้ แล้วเราก็จะได้ ดำเนินการกุศล คือ มาฆบูชาสืบไป ธรรมเทศนา สมควรแก่เวลา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้.