แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มกราคม วันธรรมปาฏิโมกข์ ๘ ค่ำ นี้อยากจะพูด ถึงสิ่งที่ต้องพูด เสมอ ต้องเอ่ยถึง ต้องพูดถึง ต้องนึกถึง เสมอ ก็คือสิ่งที่เรียกว่า ธรรม นี่พูดมามากแล้ว แต่ก็ยังต้องพูดอีก เพราะเหตุที่ว่ามันยัง ไม่หมด เพราะเป็นสิ่งที่พูดได้ไม่รู้จักหมด แล้วก็เป็นสิ่งที่ยัง ไม่เข้าใจ ยิ่งกว่า สิ่งใดหรือคำใด คือทุกคนนะ
ยังไม่เข้าใจ คำนี้ หรือสิ่งนี้ เพราะมันเข้าใจยาก เราจึงควรพูดถึง หรือว่า พิจารณาทบทวนกันอยู่เสมอ
ข้อนี้มันอยู่ใน การที่ผมต้องสังเกตดู ว่า คน ผู้ฟัง หรือพระเณรอุบาสกอุบาสิกานี้ เขา เขาได้เข้าใจ อะไรบ้างแล้ว หรือเข้าใจสิ่งที่เรียกว่า ธรรมนี้ มาแล้วอย่างไรบ้าง แล้วควรจะพูดอย่างไรต่อไป เพราะว่า
จู่ ๆ มา จะพูด จะมาพูดอย่าง อย่างนี้มันคงฟังไม่ได้ ฟังไม่รู้เรื่อง นี้จึงรอเวลา ได้พูด ให้แวดล้อมไป พอสมควรแล้ว แล้วพูด ต่อไปอีก ๆๆ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่เว้น ท่ีจะต้อง อือ, วกไปพูดซ้ำ ๆ ต้องนึกถึง อย่าง อย่างน้อยก็ต้องนึกถึงภาษาที่ใช้พูดกันอยู่ โดยพวกเรานี้
ในเมืองไทยนี่มันมีคำว่า พระธรรม อยู่คำหนึ่ง แล้วมีคำว่า ธรรมเฉย ๆ อยู่อีกคำหนึ่ง แต่ในภาษาบาลีไม่เป็นอย่างนั้นนะ มันมีคำว่า ธรรมเฉย ๆ นี่ การที่เราไปใส่ให้ว่า พระธรรม นี่มันเป็นภาษาไทย และเป็นธรรมเนียมเป็นวิธีเป็นวัฒนธรรมของ ชนชาติไทย ที่จะต้องใส่คำอะไรเข้าไป อีกคำหนึ่ง ให้เป็นแสดง เป็นการแสดงความยกย่อง เพราะฉะนั้นจึงใส่ว่า พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธ หรือพระอะไรอื่น ๆ อีกมาก อื้อ,
แต่ภาษาบาลี ไม่เป็นอย่างนั้นนะ คำว่า พระ นั้นไม่มี หรือคำอื่นที่แทนกันก็ไม่มี ไม่ต้องมี เพราะถือว่าความหมายมัน ๆๆ สูง เกินกว่าที่จะใส่คำอะไรลงไปได้อีก แต่พอมาถึง ภาษาไทย แล้วเรามัน ชอบหรือนิยมใส่คำว่า พระ มิหนำ ไปใส่ให้แก่ศาสานาอื่น ในความรู้สึกอย่างเดียวกัน เราใส่คำว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระอะไร อยู่ในฝ่ายศาสนาพุทธเรายังไม่พอ ยังไปใส่ให้แก่ศาสนาอื่น เช่น พระเยซู พระมุฮัมมัด พระอัลลา (นาทีที่ 05:05) อ่า, อะไรก็ตาม เราใส่พระให้เรื่อย จนเป็นธรรมเนียมไทย วัฒนธรรมไทย ทีพวกนั้น จะต้องพูดอย่างไทย ก็ต้องเลยใส่พระ ไปตามเราด้วย อื้อ,
แต่ก็ยังสังเกตเห็นว่า พวกมุสลิม ในเมืองไทยนี้ ซึ่งยังคง ใช้ธรรมเนียมของเขาอยู่ ไม่ยอมใช้คำว่า พระ ใส่ให้ข้างหน้า อื้อ, เช่น เขาเอาชื่อพระอัลลา (นาที่ที่ 05:49) นี้ เขาจะ เขาเรียกว่า อัลลา (นาทีที่ 05:52) เฉย ๆ อัลลอฮฺเฉย ๆ ผมเดาเอาเองว่า ไอ้ผู้พูดคนนี้มันคงรู้ดี มุสลิมคนนี้คงมีความรู้ดี ที่พูดอยู่ในกระจาย เสียงบ่อย ๆ วิทยุกระจายเสียงบ่อย ๆ นี้ เมื่อเขาเอ่ยชื่อพระอัลลา (นาทีที่ 06:12) เขาจะไม่ใช้คำว่าพระอัลลา (นาทีที่ 06:15) เขาใช้คำว่า อัลลอฮฺเฉย ๆ ตามภาษาเดิมเขา ไม่ใช้คำว่า พระ
แต่ที่เราไปพูดให้ เราใช้คำว่า พระ พระอัลลา(นาทีที่ 06:29) พระมุฮัมมัด พระอะไร พระ ทีนี้มุสลิมเขาพูดเอง บางคนนะเขาไม่ใช้ หรือเมื่อพูดเป็นกิจลักษณะเป็นทางการนี้ เขาไม่ใช้คำว่า เออ, พระ พระอัลลา (นาทีที่ 06:43) ใช้เรียกสั้น ๆ ดุ้น ๆ ว่า อัลลอฮ์ อัลลอฮฺ หรืออัลลา (นาทีที่ 06:48) เฉย ๆ เขาจะมีความรู้สึกอย่างไรก็ไม่ทราบนะ ผมเดาเอาว่า เขามีความรู้ดี ที่เขาไม่เติมคำว่า พระ เข้าไป
ทีนี้ตามความรู้สึกของผม มีอยู่ว่า มันสูงสุด เกินกว่าที่จะเติมคำว่า พระ หรืออะไรเข้าไปได้ มันสูงเกินกว่าที่จะ ให้ความหมายอะไรอีก นั้นเรียกว่า อัลลอฮฺ อัลลา (นาทีที่ 07:20)เฉย ๆ นี่ถูกกว่า อย่างนี้ก็ได้ นี่นี่ในเมืองไทยก็มี อะไรที่แตกต่างกันอยู่อย่างนี้ เกี่ยวกับการใช้คำว่า พระ เติมเข้า เติมเข้าไป ข้างหน้า อื้อ, ถึงแม้พวก มุสลิมบ้านนอกที่ไม่ค่อยมีความรู้ มีการศึกษา ก็ไม่ใช่ อ่า, ก็ไม่ค่อยจะใช้คำว่า พระ อย่างพระมุฮัมมัดนี้ เขาก็เรียก นบีเฉย ๆ ไม่มีคำว่า พระ หรือนบีมุฮัมมัด ไม่ ไม่ใช้คำว่า พระมุฮัมมัด อัลลอ (นาทีที่ 08:06) ก็เหมือนกันนะ ใช้คำว่า อัลลอ (นาทีที่ 08:08) เฉย ๆ คงจะสอนกันมาดี แต่เดิมแล้ว
นี่คุณสังเกตดูไอ้คำว่า พระ พระนี่ เออ, มันจะสูงสุด ไปเสียหมด มันก็ไม่ได้ มันแล้วแต่วิธีพูด
ภาษาพูดของคนบางพวก คนบางพวกไม่ยอม เออ, ยังไม่ยอมใช้ แล้วมันกลับไปถูกไปตรง กับ เรื่อง เสียอีก ว่าสิ่งนั้นมันอยู่ สูงเกินกว่าจะไปใช้คำอะไรไปประกอบประดับให้ เป็นคุณนามอะไรอีก นี่ลอง ๆๆ คิดไว้ อย่างนี้ก่อน ถือไว้อย่างนี้ก่อน เพราะมันมีประโยชน์ คล้าย ๆ กับโปร-อิสลาม ก็อีกเรื่องหนึ่งแล้ว
คือว่าผมโปร-อิสลามอยู่เสมอ เรื่องหนึ่งก็คือว่า การที่เขายังคง ไม่มีรูปเคารพมาได้จนกระทั่งบัดนี้ ในโบสถ์ของชนชาติอิสลามนั้นนะ ไม่มีรูปเคารพ มา มาได้จนกระทั่งบัดนี้ พวกพุทธก็มีรูปเคารพไปแล้ว พวกคริสต์ก็มีรูปเคารพไปแล้ว ทนไม่ไหว แต่อิสลามยังคงไม่มีอยู่ ทนมาได้ ทนอยู่ได้ ก็นับว่าเขาเก่งกว่าเรา แล้วการที่เขาไม่ยอม ใส่คำอะไรเข้าไปข้างหน้าข้างหลังอะไรอย่างนี้ ก็ต้องนับว่าน่าดูหรืออาจจะเก่งกว่าเรา ซึ่งขี้ขลาดหรือว่าซึ่ง อยากจะประดับประดาประดิดประดอยอะไร ก็ได้ ก็เป็นได้เหมือนกัน ถ้าไม่เข้าใจ ก็จำไว้ทีก่อน ที่ว่าผมพูดว่า ไอ้สิ่งสูงสุดนะมันต้องสูงสุดกว่าที่มนุษย์จะไป ตก เติม แต้มแต่งอะไร ให้ได้ มันสูงสุดถึงขนาดนั้น แล้วนี่มัน มันพูดมากไปแล้ว ถึงเรื่องคำว่า พระ นะ
ที่นี้คุณย้อนกลับมา อ่า, คิดกันใหม่ถึงคำว่า ธรรมเฉย ๆ กับคำว่า พระธรรมนี่ มันต่างกันอย่างไร ทั้งที่ในบาลีใช้คำว่า ธรรมเฉย ๆ เท่านั้นแหละ ไม่ว่าชนิดไหน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็ใช้ว่า
ธรรมเฉย ๆ หรือธรรมชาติธรรมดาอะไร ใช้คำว่า ธรรมเฉย ๆ หรือปกติ วิสัย ก็เรียกว่า ธรรมเฉย ๆ ใช้คำเดียว ไม่มีคำอะไรเติมข้างหน้า ไม่มีคุณศัพท์อะไรเติมข้างหน้า นี้ในภาษาไทยถ้าพูดว่า พระธรรม นี่ก็หมายถึง ไอ้ที่มาในกลุ่มพระรัตนตรัย ว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้านี้ ได้เข้าไปอีกเจ้าหนึ่งอีก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เท่านั้นยังไม่พอ ต้องมีคำว่า พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆเจ้า เติมทั้งหน้าเติมทั้งหลัง
เมื่อพูดว่าพระธรรมมันหมายความว่า พระธรรมที่มาในชุดพระรัตนตรัย โดยเฉพาะคือคำสั่งสอน หมายถึงในกลุ่มที่ไอ้เป็นคำสั่งสอน ให้ปฏิบัติและผลของการปฏิบัติ นี่เรียกว่า พระธรรมเจ้า ส่วนคำว่า ธรรมเฉย ๆ นั้น เราใช้ความหมายอย่างอื่นนะ เอ่อ, เช่น การกระทำนี้ไม่เป็นธรรม ไม่เห็นแก่ธรรม ไม่ถูกธรรม อย่างนี้ มันไปอีกอย่างหนึ่ง คือพูดว่า รูปธรรม นามธรรม ก็หมายถึง ธรรมชาติทั่วไป
อย่างนี้ไม่ใส่พระ ไม่ใส่ ไม่ใส่คำว่า พระรูปธรรม พระนามธรรม อะไรไม่ ไม่ใส่ แม้แต่คำว่า ไม่ถูกต้องตาม ธรรม นี้ก็เราไม่ใส่พระ เพราะเหตุที่ในภาษาไทย มันใช้ คำว่า ธรรม ๒ ความหมายเป็นอย่างน้อยอย่างนี้นะ มันจึงทำให้เราลำบากบ้าง ในการที่จะเข้าใจ
ที่นี้ก็มาถึงปัญหาที่ว่า อันไหนใหญ่กว่า เมื่อพูดว่า พระธรรม กับพูดว่า ธรรมเฉย ๆ ๒ คำนี้ อันไหนใหญ่กว่า อันไหนสูงกว่า อันไหนกว้างกว่า ถ้าเรามีความรู้สึกอย่าง เท่าที่เรียนกันมานั้นนะ คงจะนึกว่า ไอ้พระธรรมนี้ จะต้องสูงกว่า แต่ความรู้สึกของผมรู้สึกว่าไอ้ ธรรมเฉย ๆ นี้ ใหญ่กว่า กว้างกว่า สูงกว่า อะไรกว่า คือว่า คลุมหมด ทุกอย่างเลย รวมทั้งคลุมไอ้สิ่งที่เรียกว่า พระธรรมนั้นด้วย เมื่อพูดคำว่า ธรรมเฉย ๆ นี้มันคลุมเอาสิ่งที่เรียกว่า พระธรรมนั้นด้วย เพราะพระธรรม หมายถึง ในขอบเขตของ พุทธศาสนาที่เป็นความ ความรู้ การปฏิบัติและผลของการปฏิบัติเท่านั้น
นี้คำว่าธรรม มันหมายหมดทุกอย่างไม่ยกเว้นอะไร ตามภาษาบาลีเดิม ไม่มีอะไร ยกเว้น เมื่อมันจึง กว้างกว่าใหญ่กว่า เหนือกว่า ในขนาดที่เราเรียก ว่า เป็นทุกสิ่ง หรือถ้าชอบพระเจ้า ชอบพระเป็นเจ้า ก็ถือว่าเป็นพระเป็นเจ้าก็ได้ นี่จึง บอกกันให้รู้ว่า ถ้าเรายังมีพระเจ้าในพระพุทธศาสนา ก็ต้องมีคำว่า
ธรรมนั่นนะ เป็นพระเจ้า ไม่ใช่พระธรรม พระธรรมมันอยู่ในความหมายที่จำกัด แคบ เป็นหน่วยหนึ่ง ส่วนหนึ่ง ของพระรัตนตรัย
แต่คำว่า ธรรมเฉย ๆ ในทางพระพุทธศาสนา หรือในภาษาบาลีก็ตามนี้ มันกว้าง กินความหมด ทุกอย่าง นั่นนะอยู่ฐานะที่พอจะเป็นพระเจ้า ตามความหมายที่ ใช้กันทั่วไปทุกศาสนา ดังนั้นพุทธบริษัท ก็มีพระเจ้ากับเขาเหมือนกัน คือ สิ่งที่เรียกว่า ธรรม จะเรียกว่า ธรรมก็ตามใจ จะเรียกว่าพระเจ้าก็ตามใจ ที่เรียกว่า พระเจ้า นี่ก็เพราะขี้คลาดอยากจะมีที่พึ่ง ง่าย ๆ ตรง ๆ ในทาง เห็นกันชัด ๆ ว่ามีพระเจ้า แต่ถ้าเป็นคนรู้ เป็นคนไม่ ต้องการไอ้อย่างนั้น ก็เรียกว่า ธรรม
แต่ถึงอย่างไรก็ดี คำว่า ธรรม ในความหมายนี้ บางทีอาจจะใช้คำว่า พระ ข้างหน้าด้วยก็ได้นะ คำว่า ธรรม ในความหมายทั้งหมดทั่วไปสูงสุดนี้ ซึ่งตามธรรมดามักจะพูดคำว่า ธรรมเฉย ๆ นี่ ในบางถิ่น บางแห่ง บางคน อาจจะใส่คำว่า พระ เข้าไปด้วยก็ได้ เช่น สมัยปู่ย่าตายายผม มีพูด พระธรรมนี่สร้างกูมา ถ้าคนที่ถือผีถือสางก็พูดว่า ผีสางนะสร้างกูมา แต่คนที่เขา เป็น พุทธ เป็นสัตบุรุษเคร่งครัด เขาพูดว่า พระธรรมนี่ สร้าง สร้าง สร้างเรามา สร้างเราทุกคนมา
แม้ว่าเราจะเกิดจากพ่อแม่ ใน ในครรภ์ของพ่อแม่นี่ เขาก็ถือว่า พระธรรมนี่สร้างเรามา เดี๋ยวนี้ก็ ได้ยิน เขาใส่คำว่า พระ เข้าไปด้วย เขาไม่กล้าพูดว่า ธรรมเฉย ๆ แต่ให้รู้ไว้เถอะว่า คำ เมื่อเขาพูดว่า พระธรรมในกรณีอย่างนี้ หมายถึงว่า ธรรมเฉย ๆ ที่ผมพูด อ่า, พระธรรมที่ชาวบ้านทั่วไปพูด นั้นมัน หมายถึง ส่วนหนึ่งของพระรัตนตรัย ซึ่งจะเล็งถึงแต่เพียงปริยัติธรรม ปฏิบัติธรรม ปฏิเวธธรรม ไม่เล็งถึงอะไร หมดทุกอย่างไม่ยกเว้นอะไร เหมือนกับคำว่า ธรรมเฉย ๆ
ที่นี้ดูกันต่อไป ใน เอ่อ, ในความรู้สึก ของคนทั่วไป ที่จะถามขึ้นว่า ธรรม พระธรรมหรือธรรม ก็ได้ ธรรมนี่ ธรรมดีกว่า ธรรมนี่ คืออะไร ข้อนี้ อ่า, มัน เอ่อ, ยากลำบากแก่การตอบ ที่จริงไม่ควรจะตอบ ตอบไม่ได้และตอบไม่ถูก แต่ตามธรรมดาคนเรา มัน มันไม่ อ่า, มันทนไม่ได้ มันต้องตอบ มันต้องคิดว่ารู้ และต้องตอบและก็ตอบไปเท่าที่จะตอบได้ พระธรรมคือนั้นคือนี่ ก็แปลว่าเราได้ตอบ หรือได้พูด ถึง อ่า, สิ่งที่เรายังไม่รู้ ไม่รู้จริงไม่รู้จักนั่นแหละ ไปตามภาษา ความรู้สึก ความเชื่อ ความอะไรของเรา สิ่งนั้น เออ, ถูกนำมา กล่าวมาบัญญัติมานิยามบรรยายไปตามความรู้สึกของคน แม้พระธรรมก็ถูกกระทำอย่างนี้นะ ถ้าถามพระธรรมคืออะไร ก็ตอบทันทีเลย อย่างนั้นอย่างนี้ มันก็ไม่ถูกหมด เพราะว่ามันตอบไม่ได้
ยกโดย ยกตัวอย่างด้วยเรื่องราวทางวัตถุ กันดีกว่า อ่ะ, เป็นตัวอย่าง อ่า, เอ่อ, เช่น คำว่า ไฟฟ้า ถ้าถามว่าไฟฟ้าคืออะไร ไอ้ลูกเด็กอมมือ มันก็พอจะตอบได้นะสมัยนี้ ว่าไฟฟ้าคืออะไร มันก็ตอบไปตาม ความคิดของมัน นักเรียนก็ตอบไปตามความรู้ที่ครูสอน ไอ้นักวิทยาศาสตร์ก็ตอบ ไปตาม ผล การค้นคว้า ได้สูงเท่าไหร่ อ่า, ใน ๆ ในสมัยนี้ในยุคนี้ ว่าไฟฟ้าคืออย่างนั้น ๆ ให้บทนิยาม ไปตามความรู้สึกของเขา
อย่างนี้ผม ถือว่า ผิดทั้งนั้นเลย ไม่จริง เพราะว่า ไอ้ที่เอามา พูดนั้นนะ มันเป็นเพียงไอ้ปรากฎการณ์ หรือปฏิกิริยา ที่สิ่งที่ไฟฟ้าแสดงออกมาเท่านั้น ไม่ใช่ตัวไฟฟ้าแท้ ๆ ไอ้ตัวไฟฟ้าแท้ ๆ คืออะไรมันยัง โง่ ยังไม่รู้กันอยู่นั้นนะ จนกระทั่งบัดนี้ แต่ว่าปฏิกิริยาต่าง ๆ ที่ไฟฟ้าแสดงออกมาในเมื่อเราไปกระทำมัน
เออ, ทำกิริยาอะไรต่อมันเข้านั่นนะ มันมีมาก แล้วก็มีละเอียด มีลึกซึ้ง แม้จะพูดว่า ปฏิกิริยาที่เกิดจาก แรงเคลื่อน ของพวกปรมาณูนี้ มันก็ไม่ใช่ตัวไฟฟ้า มันคือปฏิกิริยาอันหนึ่ง ซึ่งตัวไฟฟ้าจริง ๆ ไม่รู้ว่า คืออะไรหรืออยู่ที่ไหน เพียงแต่ว่าถ้ามี กิริยาอย่างนี้ลงไปก็มีปฏิกิริยาอย่างนั้นออกมา แล้วเราเรียกมันว่า ไฟฟ้า
ดังนั้นถ้าไปตอบว่าไฟฟ้าคืออะไร มันก็คือคน โม้ คนโอ้อวด คนอะไรไปตามเรื่อง มันก็ตอบได้ เพียงว่า ปฏิกิริยาเท่าที่เราจะค้นคว้ามาได้แล้ว เดี๋ยวนี้มันมีอย่างไรบ้าง ก็คืออย่างนั้น ๆ วางกฏเกณฑ์ อย่างนั้น ๆๆ ผลสุดท้ายก็ พูดได้ว่า แม้แต่เรื่องวัตถุ เรื่องทางวัตถุเรื่องทางฟิสิกส์แท้ ๆ ก็ยังไม่รู้ว่า มันคืออะไร แล้วนับประสาอะไรจะไปรู้จัก ไอ้สิ่งที่เรียกว่า ธรรมะนั้นนะคืออะไร นั้นมัน ๆ มันหมด หมด เอ่อ, มัน มันลึก เกินกว่าเรื่องทางฟิสิกส์ แม้จะรวมฟิสิกส์ รวมไม่ใช่ฟิสิกส์ เมตาฟิสิกส์อะไรเข้าไว้หมด มันก็ยิ่งไม่รู้ว่า คืออะไรมากขึ้น นี่คำว่า ธรรมนี้มัน ก็ยังเข้าใจยาก ว่าคืออะไร อ่า, เช่นเดียวกับที่
แม้แต่วัตถุแท้ ๆ ก็ยังเข้าใจว่าไฟฟ้าคืออะไร ก็ไม่ได้
ที่นี้เขยิบขึ้นมาถึงเรื่องจิต เมื่อถามว่าจิต คืออะไรอย่างนี้ เดี๋ยวนี้มันก็ยังตอบอย่าง คลุม ๆ ไป อย่างนั้นแหละ ว่าจิต คืออย่างนั้น จิต คืออย่างนี้ ไม่ได้รู้จักตัวจิตโดยแท้จริง รู้จักแต่เพียง ปฏิกิริยาหรือ ปรากฎการณ์อะไรต่าง ๆ ที่ สิ่งที่เรียกว่า จิต แสดงออกมา ทำนองเดียวกับไฟฟ้า แต่มันลึกไปกว่า
ดังนั้นคุณอย่าเพิ่งอวดดี พูดว่า จิต คืออะไรแล้วบัญญัติอย่างนั้นอย่างนี้ ไอ้ที่บัญญัติลงไปนั้น มันถูกแต่
ทางภาษา ที่ใช้กันอยู่ ไปบัญ เอ่อ, บา บัญญัติเท่าที่ ปรากฎการณ์ ที่แสดงออกมาหรือปฏิกิริยาที่แสดง ออกมา เป็นปรากฎการณ์เท่านั้นเอง ไอ้่จิต แท้ ๆ คืออะไร ก็ยังไม่รู้เช่นเดียวกับว่าไฟฟ้าแท้ ๆ คืออะไร ก็ยังไม่รู้ เรื่องจิตนี่มันลึกไปกว่าเรื่องไฟฟ้าอีก ก็ยังไม่รู้ นี้เรื่องธรรม มันลึกไปกว่าเรื่องจิตอีก ก็เลยยิ่งไม่รู้ ยิ่งไม่อาจจะรู้ ว่าธรรมนั้นคืออะไร
แต่เดี๋ยวนี้เรารู้ ปรากฎการณ์ หรือผลหรืออะไรที่ธรรมจะแสดงออก จนเราถือเอาประโยชน์จาก พระธรรม ได้ ตามที่เราต้องการ บรรลุมรรค ผล นิพพาน ได้ เช่นเดียวกับที่เราไม่รู้ว่าไฟฟ้าคืออะไร แต่เราเอามาใช้สารพัดอย่าง เราไม่รู้จักว่าจิตคืออะไร แต่เราก็ใช้มันได้ ใช้ให้มันทำอะไรตามที่ต้องการได้ หรืออบรม เออ, ปรุง เอ่อ, อบรมมันได้ นี้ถือว่าสิ่งที่แม้ที่เรายังไม่รู้จักว่าอะไรนั่นแหละ เราก็ใช้ประโยชน์ ได้ เข้าเกี่ยวข้องได้ อย่างมากมายเหลือเกิน
นี่ผมจึงจำเป็นที่จะต้อง ค้าง อ่า, พูดค้างไว้ว่า ไอ้ธรรมะนี้ก็ไม่รู้ว่าอะไร ก็ไม่รู้ว่าคืออะไรนะ โดยเนื้อแท้ โดย โดยสัจ สัจจะของการพูดนั้นเราก็ไม่รู้ว่าอะไร แต่เราพูดได้ตามปรากฎการณ์ คืออย่างนั้น คืออย่างนี้ กระทั่งพูดได้ว่า คือทุกสิ่งนี่ หมดท่าเข้าแล้วก็พูดอย่างกำปั้นทุบดินว่า ไอ้ธรรมะนี้คือ ทุกสิ่ง
ทุกสิ่งเลย นี้มันก็ถูกอย่างวิธีพูด ชนิดหนึ่งนะ มันยังไม่รู้ว่าคืออะไรอยู่นั่นแหละ แม้ว่าพู่ด พูดถูกก็คือ ทุกสิ่ง มันก็ไม่รู้ว่าคืออะไรอยู่นั่น เพราะมันทุกสิ่งจนเราไม่รู้ว่ามันคืออะไร ทุกสิ่งเกินไปจนไม่รู้ว่า มันคืออะไร ก็ยกให้เป็นประเภทที่ เอ่อ, หรือขั้น หรือว่าชั้นที่ไม่ต้องรู้ เป็นอจินไตยไปเสียอย่างหนึ่ง ก็แล้วกัน
ทีนี้ที่รู้เท่าที่เราจะต้องรู้สิ รู้เท่าที่จำเป็นจะต้องรู้ที่มนุษย์จะต้องรู้ แล้วดับความทุกข์ได้ เออ, ก็เรียกว่า พอแล้ว แล้วยกเอาส่วนนี้ที่มีประโยชน์นี้ มาใส่คำว่า พระให้ เป็นพระธรรมไปเลย พระธรรม สร้างเรามา หรือว่าพระธรรม ที่เราจะศึกษาเล่าเรียนจะปฏิบัติจะได้รับผลของการปฏิบัติ เท่านี้ก็พอ เพราะมันคง ยิ่งกว่าใบไม้กำมือเดียวใน ในใบไม้หมดทั้งป่าเสียอีกนะ เพราะธรรม มันหมายทุกสิ่ง แต่เราไม่จำเป็นต้องไปรู้ มารู้ส่วนน้อย เท่าที่จำเป็นที่เราจะต้องรู้แล้วปฏิบัติ อ่า, เพื่อไม่ต้องมีความทุกข์กัน
นั้นมันก็จะเท่ากับว่า ทรายเม็ดหนึ่ง เออ, กับทรายทั้งหมดในโลก เท่าไหร่ก็ไม่รู้ ผมก็นับไม่ได้ ว่าทรายทั้งหมดในโลกนี้ เราเอาทรายเม็ดเดียวนี้ ที่มันจำเป็นแก่เรา คือยอดหรือว่าไอ้ สิ่งที่มัน มีคุณค่าที่สุด ส่วนที่มันมีคุณค่าที่สุด มันก็กลายเป็นพระธรรมไปทันที ส่วนนี้กลายเป็นพระธรรมไปเลย ออกชื่อทีไร
ยกมือไหว้ท่วมหัวเลย เอ่ยชื่อขึ้นมาทีไร ยกมือไหว้ท่วมหัวได้ทันที
แต่ถึงอย่างไรก็ดี ไอ้คำว่าธรรมเฉย ๆ มันยังกว้างกว่าใหญ่กว่าสูงกว่าอะไรกว่าอยู่นั่น จนจะแพร่ ออกไปเป็นอะไรก็ได้ แล้วแต่จะเอาไปเรียกอะไร เรียกว่าพระเจ้าก็ได้ เรียกว่าอะไรก็ได้ นี่ธรรมะคืออะไร มัน ๆ มันลำบากในเรื่องภาษาไทย พอพูดว่าธรรมะ มีความหมายไปอย่าง พูดว่า ธรรมเฉย ๆ มีความหมาย ไปอย่าง พูดว่า พระธรรมมีความหมายไปอีกอย่างหนึ่ง ทั้งที่มันสิ่งเดียวกัน ในภาษาไทย
ที่นี้เรา จะมองให้กว้าง เลยขอบเขตของคำว่าพระธรรม จะมองให้กว้าง จนไม่มีอะไรเหลือให้หมด จนไม่มีอะไรเหลือ ก็จะต้องมองไปใน ลักษณะ ๔ อย่าง อย่างที่เคยพูดเคยเทศน์เคยบรรยาย เคยเขียนไว้แล้ว มากมาย ธรรมะใน ๔ ความหมายนี่ หรือธรรมใน ๔ ความหมายนี่ เราจะไม่ใช้คำว่าพระธรรมใน ๔ ความหมาย จะใช้คำว่าธรรมในภาษาไทยหรือธรรมะในภาษาบาลี ใน ๔ ความหมาย ว่าธรรมะ
คือตัวธรรมชาติ ปรากฎการณ์ทั้งหมดนี่อย่างหนึ่ง ธรรมะ คือกฎของธรรมชาติ ที่มีอยู่ในธรรมชาตินั้น ๆ อย่างหนึ่ง ธรรมะ คือหน้าที่ของมนุษย์ จะต้องทำตามกฎธรรมชาตินั้นแหละ และธรรมะ คือผล ที่ได้รับ จากการทำหน้าที่ นั้นอย่างหนึ่ง เป็น ๔ อย่าง หมดเลย
ทีนี้ถ้าเราพูดว่าธรรมะ คือพระเจ้า มันก็มองเห็นได้ทันทีว่า ไอ้ธรรมะ คือตัวธรรมชาติทั้งหลาย ทั้งปวงนี้ นั่นนะก็คือเนื้อตัวของพระเจ้า ในส่วนรูปธรรม เนื้อตัว ฝ่ายรูปธรรม ของพระเจ้า นั้นคือ ธรรมชาติทั้งหมดนะ รวมทั้งฝ่ายจิต ด้วยก็ได้ จิตชนิดที่มันเนื่องอยู่กับ เออ, ร่างกายนี่ ในแง่ของ Physical ในแง่ของ Mentalนี้ ธรรมชาติทั้งหมดนั่นนะ คือเนื้อตัวของ สิ่งที่เราเรียกว่าพระเจ้า เรียกว่าส่วนหนึ่ง ของพระเจ้าเท่านั้นเอง คือเนื้อตัวส่วนที่เป็นวัตถุ เป็นไอ้เนื่องด้วยวัตถุนี้
ทีนี้ความหมายที่ ๒ แล้ว ธรรม อ่า, ธรรมะ คือกฎของธรรมชาติ นั้นแหละคือตัวพระเจ้าในฝ่าย อ่า, ฝ่าย Spirit ฝ่าย Spiritual เนื้อตัวของพระเจ้า ใน ๆ ในส่วน Spiritual แต่พระเจ้าก็มีเนื้อตัวเป็นฝ่าย วัตถุ มีเนื้อตัวเป็นฝ่าย ไอ้นามธรรม นี้ก็เรียกได้ว่า อ่า, พระเจ้าอยู่ ตัวธรรมชาติแท้ ๆ ก็คือพระเจ้า ส่วนที่เป็น เนื้อหนังของแก ตัวกฎธรรมชาติก็คือพระเจ้า ในส่วนที่เป็นจิตวิญญาณของแก
นี้ส่วนธรรมะ ความหมายที่ ๓ ว่า หน้าที่ที่มนุษย์จะต้องทำตามกฏธรรมชาติ นี้คือ คำสั่ง หรือความต้องการของพระเจ้า ธรรมะประเภทที่ ๓ ก็คือ คำสั่งหรือความต้องการของพระเจ้า ที่มนุษย์จะต้องทำ
นี้ธรรมะ ในความหมายที่ ๔ คือผล รู้จักกันในที่นี้คือ สิ่งที่พระเจ้าประทาน รางวัลหรือลงโทษ ก็ได้ คือ สิ่งที่พระเจ้าให้เรา ที่ทำถูกทำดีก็เป็น รางวัล ที่ทำไม่ถูกไม่ดี ก็เป็นการลงโทษนี่ ดังนั้นธรรมะ ใน ๔ ความหมายจึงเป็นพระเจ้า อยู่โดยสมบูรณ์ เป็นเนื้อหนังของพระเจ้า เป็นจิตวิญญาณของพระเจ้า เป็นความต้องการของพระเจ้า เป็นสิ่งที่พระเจ้า อวยให้ อำนวยให้ เพราะฉะนั้นคำว่า ธรรมเฉย ๆ ก็ตรงกับ คำว่าพระเจ้า โดยสมบูรณ์ โดยแยกเป็น ๔ ความหมายอย่างนี้
ทีนี้ดูกัน ในรายละเอียดอีกนิดหนึ่ง ว่า เช่นว่า ไอ้ตัวธรรมชาติ มันคือ คือร่างกาย ของพระเจ้า ก็ดู คุณก็ดู ดูโลกในส่วนรูปธรรม อือ, หรือว่า จิตใจ ความรู้สึกทางจิตใจที่เกี่ยวกันอยู่กับ เอ่อ, รูปธรรม มันเป็นต้นไม้เป็นภูเขาเป็นดินเป็นน้ำเป็นกรวดเป็นหินเป็น อ่า, ลมเป็นไฟเป็นไร ก็เป็นทุกอย่าง
ใน ในปรากฎการณ์ทั้งโลกนี้ แล้วก็อย่าได้คิดแต่เพียงว่า โลกเมืองไทยแคบ ๆ นี้ มันต้องโลกทั้งโลก แล้วก็โลกอื่นอีก โลกอื่นอีก จนไม่ จนหมด หมดหมดความหมายของคำว่า โลก
เพราะว่า ๓๐,๐๐๐ โลกธาตุ ภาษาทาง ศาสนาเราใช้คำว่า ๓๐,๐๐๐ โลกธาตุ อย่าเข้าใจว่า ๓๐,๐๐๐ โลกนะ ไอ้โลกธาตุนะ จะจะตรงกับคำว่า System หนึ่งก็ได้ อื่อ, คือว่า Solar System นี้มันมีเท่าไหร่นี้ ก็เรียกว่า โลกธาตุหนึ่ง มันรวมอยู่หลาย ๆ โลกแล้ว โลกพระจันทร์ พระอังคาร ดาวศุกร์อะไรก็ตาม มันหลาย ๆๆ ดวงแล้ว ถึงหลาย ๆ System แล้ว เราบอกแล้วว่า ๓๐,๐๐๐ ๓๐,๐๐๐ System แล้ว ไม่เห็นจะ พอ ๆ พอใช้เลย คือว่า ว่าตรง พอจะตรงกันได้กับที่พวก เอ่อ, ฝรั่งสมัยปัจจุบัน เขาจะคำนวณ System อือ, ในสากลจักรวาลนี้
ดังนั้นคำว่า ทุกโลกนี้ มันจะต้องหมายความอย่างนั้น แล้วบรรดาไอ้วัตถุต่าง ๆ ที่มันมีในทุกโลก นะมันคือ เนื้อตัวของพระเจ้าในฝ่ายฟิสิกส์ ทีนี้ถ้ามันมีอะไรเนื่องกันอยู่กับฟิสิกส์ เป็นเพียง Mental นั้น อ่า, การรู้สึกไปตามธรรมดาอย่างนี้ ก็เรียกว่า เนื้อตัวของของแกกระมัง ในฝ่ายที่มันเนื่องกันอยู่กับวัตถุ เป็นจิตใจที่เนื่องกันอยู่กับวัตถุ นี่เราพอจะรู้จักพระเจ้าใน เออ, ฐานะที่ว่า มหึมาที่สุดเลย ในส่วนร่างกายนี้ หรือหมายถึงว่า ไอ้กฎของธรรมชาติ นี่พระเจ้าโดย Spirit เนื้อตัวของพระเจ้า ในลักษณะที่เป็น Spirit เป็น Spiritual เออ, Sub country (นาทีที่ 35:40) อะไรก็ตามนี้ มัน มันลึก มันละเอียด หรือมันอะไร ยากที่จะเข้าใจ ได้เลย
นี่พระเจ้าส่วนนี้นะ ที่มันจะสร้างโลก หรือว่าจะบังคับโลกหรือวัตถุให้เป็นไปนะ มันก็เป็นการ ง่ายสิ เพราะว่าไอ้ตัวโลกทั้งหมดทุก ๆ โลกธาตุ มันก็คือเนื้อตัวพระเจ้าอยู่แล้ว พระเจ้ามีจิตใจ เออ, มีวิญญาณ คือกฎธรรมชาตินี้ ที่จะบังคับสิ่งเหล่านี้ให้เป็นไป โดย โดยกฎของพระเจ้า ซึ่งเขาเรียกกันว่า พระเจ้า ในเมื่อเราเรียกว่าธรรมเฉย ๆ ถ้าเขาพูดว่าพระเจ้าสร้างโลก เราก็ธรรมสร้างโลก ในในพุทธบริษัท ที่ไม่มีคำว่า พระเจ้าใช้ ก็ใช้คำว่า ธรรมนี้ ผู้สร้างโลก
กฎของ เออ, กฏของทุกอย่างนะ กฎของนามและรูปนี้ คือ คือ ธรรม ในฐานะที่เป็นพระเจ้า สร้างโลก ไอ้รูปและนามทุกอย่าง มันอยู่ในฝ่ายที่เป็นตัว เนื้อตัวของโลก เป็นเนื้อตัวของธรรม ในทาง ฝ่ายวัตถุ นี่กฎของธรรม เช่น กฎอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กฎปฏิจจสมุปบาท กฎอะไรก็ตามนี้ ที่มันเป็น ธรรมชาตินี้ ก็คือพระเจ้า ที่สร้างโลก ถ้ามันแคบเข้ามาสำหรับมนุษย์ปฏิบัติเพื่อดับทุกข์โดยตรง เช่น กฎเรื่องอริยสัจ กฎเรื่องไม่ควรยึดมั่นถือมั่นอะไรนี้ มันก็ คือพระเจ้าชนิดที่ ในความหมายจำกัดเข้ามา ที่จะจัดการกับมนุษย์ ตรงไปตรงมา ให้ ๆๆ ไม่มีความทุกข์ ก็แปลว่า กฎทั้งหมดก็แล้วกัน เป็นพระเจ้า ในฝ่าย Spirit
นี้หน้าที่ที่มนุษย์จะต้องทำ ตามกฎของพระเจ้านี้ อันนี้ยิ่งยิ่งลึกลับมาก ว่ามีหน้าที่ไปหมดเลย แต่เราไม่เห็นเป็นหน้าที่ รวมทั้งที่ว่ามันจะต้องเปลี่ยนแปลง แล้วมันจะต้องทำทุกอย่าง จะต้องเจริญเติบโต จะต้องกิน จะต้อง เอ่อ, อาบ จะต้องถ่าย จะต้องทำงาน จะต้องเคลื่อนไหว และต่อสู้ ไอ้ สิ่งต่าง ๆ ที่ มาจาก พระเจ้าทั้งนั้นเลย ให้รอดตายอยู่ได้ และถ้ามีสติปัญญาสูง ไอ้หน้าที่มันก็สูงขึ้นมา ถึงขนาดว่า จะต้องรู้จัก ปฏิบัติ ให้มันสูงขึ้นไป ให้ดับทุกข์อย่างละเอียดได้ ที่เรียกในภาษา พุทธ ว่าต้องให้บรรลุ มรรค ผล นิพพาน ให้ได้นี้ นี่ในภาษาคริสเตียน คือว่าจะต้องพยายามกินผลไม้ของต้นไม้ต้นที่ ๒ ให้ได้นี้นะ นี้มันเป็นหน้าที่
เพราะฉะนั้นอยู่ในระดับไหน อย่างไร ก็ต้องต้องทำหน้าที่ ในระดับนั้น อย่างนั้น อย่างสุนัขนี้ ก็ต้องหาอาหารกิน ต้องทำอะไรไปตามเรื่อง ถ้าคนมันก็ทำมากกว่านั้น แล้วมันยังมีหน้าที่ที่ลึกลับ ที่แฝงไว้ อย่างลึกลับ เช่น จะต้องสืบพันธุ์อย่างนี้ มันก็มนุษย์ก็ไม่สมัคร เพราะมันก็ลำบากยุ่งยาก ดังนั้นต้องจ้างมัน เอาไอ้ที่อร่อยที่สุด ทางสัมผัสที่มันจะรู้สึกได้ นะมาให้เป็นค่าจ้าง
ดังนั้นคนหรือสัตว์ จึงสืบพันธุ์ ทั้งที่การสืบพันธุ์นี้ไม่ใช่ของสนุก ถูกประณามเป็นบาปชนิดหนึ่ง ที่ต้องมีลูกต้องคลอดบุตรอะไรอย่างนี้ แต่แล้วมนุษย์ มันก็เว้นไม่ได้ จะต้องสืบพันธุ์เพราะว่า ธรรมชาติ หรือพระเจ้าจ้างไว้แพงมาก คือรสอร่อยที่เกิดจากทางสัมผัส เนื้อหนังนี่สูงสุด ที่การสืบพันธุ์ นี้เห็นว่า คนก็ดี สัตว์ก็ดี เอ่อ, เสียสละ ลุ่มหลงอย่างเสียสละ เสียสละอย่างลุ่มหลง เพื่อสิ่งนี้
ทีนี้ต่ำลงไปอีก แม้แต่ต้นไม้ก็ คุณไปศึกษา เพราะอย่างนั้นอย่า อย่ามัวงมโง่อยู่อย่างเดียว ไปศึกษา จนรู้ว่าแม้แต่ต้นไม้ก็เหมือนกัน สิ่งสูงสุดของต้นไม้ คือการสืบพันธุ์ อ่า, ยอดปรารถนาสูงสุดของต้นไม้นี้ คือการสืบพันธุ์ เรารู้มันไม่ได้แต่สันนิษฐานได้ ว่ามันคงมีความรู้สึก ทำนองเดียวกับที่เรา สัตว์รู้สึก เอร็ดอร่อย เมื่อมีการสืบพันธุ์ ความรู้สึกทางประสาททางสัมผัสถูก ถูกประเล้าประโลม ถูก Entertain นี้ สูงสุดกว่าเวลาไหนหมดกว่าสิ่งใดหมด ดังนั้นต้นไม้จึงพยายามสืบพันธุ์
พอมาศึกษาถึงรู้ ต่อสู้ดิ้นรนเพื่อการสืบพันธุ์ พันธุ์ตัวผู้พันธุ์ตัวเมีย ต้องพบกันจนได้ บางชนิด อยู่คนละต้น ตัวผู้อยู่ต้นตัวเมียอยู่ต้น บางชนิดอยู่ต้นเดียวกัน บางชนิดอยู่ดอกเดียวกัน บางชนิดอยู่ คนละดอก บางชนิดก็อยู่กันคนละ อ่า, ตำบลอย่างนี้ ซึ่งจะต้องปลิวมาด้วยลม ลอยมาด้วยน้ำ มาพบกัน มาสืบพันธุ์กัน และจะต้องอ้ารับทันที ตะครุบเอาเหมือนกับว่า สิ่งวิเศษสูงสุดนี่
นี่คือ เอ่อ, ความ จะเรียกว่า ความเฉลียวฉลาด อยู่เหนือของพระเจ้าก็ได้ เอาไอ้การสืบพันธุ์นี้ ฝากไว้ หลังฉากของการล่อลวง ด้วยรสอร่อย ให้สิ่งที่มีชีวิตมีการสืบพันธุ์ให้จงได้ อย่างนี้มันเรียกว่า หน้าที่ที่ลึกลับ จะเรียกว่าหน้าที่ก็ได ้มันเพราะมันหลีกไม่ได้ ส่วนที่มนุษย์จะมาต่อต้าน ข้อนี้ เพื่อให้มี ความทุกข์น้อย หรือ เอ่อ, ไม่ความทุกข์เลย นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะตามธรรมชาติ มันต้องไปอย่างนี้
นี้คนที่รู้ รู้เท่ารู้ทัน ถอนตัวออกมาได้ มันก็ก็ดี เรียกว่า รู้จักหน้าที่ที่สูงไปกว่า ไม่เอาหน้าที่ที่หยาบ ที่เลว ที่ต่ำ ที่สกปรก เพราะมันเป็นการทรมาน ไปเอาหน้าที่ที่สูงกว่า เพื่อจะดับทุกข์นี้ มันก็เลยมี เรื่องประเภทสูงกว่า ประเภทโลกุตระ อะไรขึ้นมา ดังนั้นเราจึงการฏิบัติ อ่า, มีการปฏิบัติหน้าที่ ที่ถูกตรง อือ, ตาม กฎ ที่จะดับทุกข์ เอ่อ, เป็นหลัก ถ้าไม่อย่างนั้นก็เรียก หน้าที่นั้นผิด หรือเป็นหน้าที่เป็นหน้าที่ ที่ผิด ถึงแม้ว่าธรรมชาติจะวางไว้ในฐานะ เป็นหน้าที่ เป็นธรรมเหมือนกัน แต่มันยังมีแยกว่า หน้าที่ที่ ถูกต้อง หน้าที่ที่ผิดพลาด ที่ไม่ถูกต้อง
หน้าที่ของมนุษย์ ตามกฎธรรมชาติ ก็คือ ทำให้ถูก ไปแต่ในทางที่ไม่เป็นทุกข์สิ แต่ถ้าสำหรับ คนโง่ หน้าที่ของมันก็คือ เป็นไปในทางที่เป็นทุกข์ เพราะฉะนั้นในธรรม ที่สำคัญ นี่อยู่คำหนึ่ง ในหนังสือ เล่มแรกชื่อ นวโกวาท เอ่อ, คือคำว่า ธรรมานุธรรมปฏิบัติ ไปดูให้ดี ธรรมานุธรรมปฏิบัติ ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม ทำไมต้องย้ำ ว่าสมควรแก่ธรรม ในเมื่อมันปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว ปฏิบัติธรรมให้ถูกต้อง ตามธรรม ปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม นี่คนสะเพร่าคนมักง่าย มันก็ปฏิบัติส่งเดชไป ไม่ต้องมา ดูว่า ให้มันถูกต้องหรือสมควรแก่ธรรม
ดังนั้นก็หมายความว่า มันต้องปฏิบัติให้ถูกหน้าที่ ที่ถูกต้อง อย่าให้เป็น หน้าที่ที่ ไม่ถูกต้อง คือไม่เหมาะสมกับเรา มันเป็นหน้าที่สำหรับคนที่จะเป็นทุกข์ ไม่ใช่หน้าที่ สำหรับคนที่จะอยู่เป็นสุข
ดังนั้นต้องเลือกเอาหน้าที่ สำหรับคนที่อยู่เป็นสุข นั้นจึงต้องปฏิบัติแต่ธรรมะส่วนนี้ จึงเรียกว่า ธรรมานุธรรมปฏิบัติ เช่น ปฏิบัติในมรรคมีองค์ ๘ ในสิกขา ๓ ในนี้ นี่เป็นธรรมานุธรรมปฏิบัติ
มันเป็นไปในทางดับทุกข์อย่างเดียว
ดังนั้นคำว่าหน้าที่ มันหน้าที่สำหรับคนที่จะ ไม่ไม่เป็นทุกข์ก็มี หน้าที่สำหรับคนที่จะต้องเป็น ทุกข์ ที่สมัครที่จะเป็นทุกข์ก็มี ต้องเลือกเอาให้ดี แต่ที่ธรรมชาติต้องการ ก็น่าจะเป็นฝ่ายที่ไม่ ไม่ให้เป็น ทุกข์นั้นแหละ แต่โดยเหตุที่ธรรมชาตินั้นมันไม่ใช่คน มันไม่มีทุกข์มันไม่มีสุข นั้นมันเป็นกฎกลาง ๆ
ไปว่า หน้าที่อย่างนี้ต้องมีผลอย่างนี้ หน้าที่อย่างนี้ต้องมีผลอย่างนี้ หน้าที่อย่างนี้ ก็ต้องมีผลอย่างนี้ เพราะธรรมชาตินะมัน ในที่นี้มันไม่ใช่คน ที่จะเลือก ไอ้ที่มีจิตใจจะเลือก เพราะคำว่าสุขว่าทุกข์ มันก็ไม่ เหมือนกัน ในระหว่างคน ระหว่างสัตว์ ระหว่าง อ่า, อะไรต่าง ๆ เพราะอะไร ๆ มันต่างกันไปหมด
ดังนั้นธรรมชาติ มันมีแต่มี มีแต่เพียงวางกฎเกณฑ์ไว้ นั่นต้องเป็นอย่างนั้น นั่นต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น นี้มนุษย์ก็ไปเลือกเอาเอง เออ, ที่มนุษย์ จะไม่เป็นทุกข์ แล้วก็เรียกอันนั้นว่าฝ่ายดีฝ่ายถูก ฝ่ายฝ่ายถูกต้อง หรือว่าเป็นธรรมสำหรับมนุษย์ มนุษย์ก็เลือกเอาแต่ส่วนนี้ แต่ถ้ามันเป็นอื่น หรือไม่สมัคร จะเป็นมนุษย์ จะเป็นยักษ์เป็นผีเป็นสัตว์เดรัจฉานเป็นอะไร มันก็ต้องเลือกเอาอย่างอื่น
นี่เรียกว่า อ่า, สิ่งที่พระเจ้าเรียกร้องเอาจากมนุษย์ บ่งการหรือว่า บัญชา อะไรของพระเจ้า เรียกร้องเอาจากมนุษย์ คือหน้าที่ ส่วนเราพูดว่าที่ธรรมะ ที่ธรรมะ อ่า, บังคับไว้ ที่ธรรมะระบุไว้ อ่า, เพราะเราไม่เรียกว่า พระเจ้า แต่ถ้าเราเข้าใจคำว่าธรรมะดี จนถือว่าเป็นพระเจ้า จะใช้คำว่าพระเจ้าได้ เหมือนกัน หรือพระธรรม ที่พระธรรมเรียกร้อง หน้าที่นี้คือสิ่งที่พระธรรม เรียกร้องในเมื่อฝ่ายโน้น เขาเรียกว่า สิ่งที่พระเจ้าเรียกร้อง
ถ้าจะพูดอย่างเล่าจื้อ ก็ต้องพูดว่า สิ่งที่เต๋าเรียกร้อง เพราะ ๆๆ เล่าจื้อก็ไม่มีพระเจ้า แล้วก็ไม่ได้ใช้ คำว่า ธรรมโดยตรง ใช้คำว่าเต๋า พวกเล่าจื้อก็ต้อง ใช้คำว่า ที่เต๋าเรียกร้อง คือหน้าที่ แต่เดี๋ยวนี้เขาแปลคำว่า เต๋า ว่าเอาว่าคำเดียวกับคำว่าธรรมไปแล้ว คำว่าเต๋าคือธรรมะ ธรรมะคือเต๋า นี้พวกที่ถือพระเจ้า เช่น พวกฮินดู พวกอิสลาม พวกคริสเตียน พวกอื่น ๆ ที่มีพระเจ้า เขาก็ใช้คำว่าพระเจ้าไปตามเดิม เรียกร้อง หน้าที่อันนี้ จากมนุษย์
ทีนี้อันสุดท้าย ที่เรียกว่าธรรมะ ในฐานะที่เป็นผล ของของหน้าที่นั่น นี้คือสิ่งที่พระเจ้า หรือธรรมะ หรือพระธรรมนี่ประทานให้ อยู่ในสภาพอย่างนั้นอย่างนี้อย่างนี้ แล้วแต่ว่าใคร มันปฏิบัติ อย่างไร เป็นสุขเป็นทุกข์เป็น อะไรไปตาม การปฏิบัติ นับตั้งแต่ มรรค ผล นิพพาน ลง อ่า, ลงมาจนถึง ไอ้เรื่องนรก เดรัจฉาน เปรต อสูรกายอะไรก็ แล้วแต่จะเรียก มันเป็นผล ที่พระเจ้าประทานให้ ก็เรียกว่า ธรรม อีกเหมือนกัน ความสุขความทุกข์อันนี้ ก็เรียกว่าธรรม อย่างนี้
เพราะฉะนั้นนะคุณไปดู ไปคำนวณดู ไปคิดดูเองว่า มันมีความหมายกว้างขวางอย่างไร หมดทุกสิ่ง จริงหรือไม่นี่ คำว่า ธรรมเพียงคำเดียว หมายถึงหมดทุกสิ่งไม่ยกเว้นอะไร หมายถึงเนื้อตัวของพระเจ้าทาง วัตถุ เนื้อตัวของพระเจ้าทางจิตทางวิญญาณ อ่า, แล้วก็โองการ เอ่อ, บัญชา หรือความประสงค์ของพระเจ้า แล้วก็ผลที่พระเจ้าประทานให้ ก็หมดกัน ไม่มีอะไรเหลือ เมื่อเขาเรียกว่า พระเจ้า เราก็เรียกว่าธรรม
ดังนั้นธรรมเพียงคำเดียว คือ ทุก ๆ อย่าง ทุกอย่างขึ้นอยู่แก่คำว่า ธรรมเพียงคำเดียว นี้เคยบอก ให้ฟังมาบ้างแล้วว่า คนผู้ใดก็ตาม จะตั้งปัญหามาอย่างไรก็ตาม คำตอบจะมีได้ เพียงคำเดียวว่า ธรรม แล้วถูกต้องหมด ไม่ว่าคำถามนั้นจะตั้งมาในรูปปฏิเสธ หรือในรูปยอมรับ หรือในรูปไหนก็ตาม คำตอบ มันตอบได้ว่า ธรรมเพียงคำเดียว เพราะว่าคำว่า ธรรม มันมีความหมายทุกอย่าง อย่างที่ว่ามาแล้ว เกิดมา เพราะอะไร ก็เพราะธรรม ตายไปเพราะอะไร ก็เพราะธรรม ดีเพราะอะไร เพราะธรรม ชั่วเพราะอะไร เพราะธรรม ไม่มีคำถามอะไรที่ไม่ได้ตอบได้ โดยคำว่า ธรรม นี่คำว่า ธรรม มันประหลาด ถึงอย่างนี้ เออ, วัตถุก็คือธรรม นามธรรม ก็คือธรรม อะไรก็คือธรรม ธรรมไปหมด ดินฟ้าอากาศ ดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ ก็คือธรรม ธรรมในฐานะที่เป็นธรรมชาติ
ทีนี้สิ่งที่ตรงกันข้ามนั้นก็คือ ธรรม ไปคิดดูว่า ปัญหาชนิดไหนที่ตอบไม่ได้ด้วยคำตอบเพียงว่า ธรรม เพียงคำเดียว ดังนั้นถ้าเรารู้จักมันดี เราก็พูดได้หรือเข้าใจได้ ในเมื่อเขาพูดว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับ สิ่งที่เรียกว่า ธรรม เพียงคำเดียวหรือสิ่งเดียว เดี๋ยวนี้มนุษย์ไม่รู้จักธรรม ในข้อนี้ ก็เป็นบาปของมนุษย์ ที่ไม่รู้จักธรรม แล้วก็เดินผิดทาง เดินผิดทางที่จะไปสู่ความดับทุกข์ เอ่อ, แล้วก็เดินไปสู่ความทุกข์
ถ้ามนุษย์รู้เรื่องนี้สมบูรณ์ จะไม่มีการแบ่งแยกเป็นศาสนานั้นศาสนานี้เลย
เดี๋ยวนี้มนุษย์ไม่รู้เรื่องนี้โดยสมบูรณ์ ความโง่ของมนุษย์ ทำให้แบ่งแยกเป็น พุทธศาสนา คริสตศาสนา อะไรศาสนา หลาย ๆ อย่าง จนไม่ชอบกัน จนโกรธกัน จน มีความเห็นแก่ตัวในระหว่าง ศาสนา แล้วก็รบกันด้วยศาสนา ก็มีอยู่ เรื่อยไป ไม่มีที่สิ้นสุด ถ้ามนุษย์ทั้งหมด เข้าถึงนิวเคลียส ของทุกสิ่ง คือ ธรรม มนุษย์ก็เป็นคนเดียวกันทันที อย่าว่าแต่จะถือศาสนาเดียวกัน มันเป็นคนเดียวกันทันที เป็นคน ๆ เดียวกันทั้งหมด มันเลยก็ไม่ไม่ทะเลาะวิวาทกัน ไม่รบรากัน ไม่แบ่งแยกกัน ไม่เป็นเขาเป็นเรา เหมือนที่ เป็นอยู่เดี๋ยวนี้
อ่า, ทางนี้ มันก็รบกันไปสิ เพราะมันมองกันคนละแง่ อยู่เรื่อยไป ไม่มีที่สิ้นสุดหรอก ไอ้สงครามนี้ ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะมันเดินห่างไอ้ความรู้ที่ถูกต้องของธรรม ยิ่งขึ้นไปทุกที มันก็เป็นฝ่าย ฝ่ายธรรม ชนิดที่ เป็นทุกข์ ที่เป็นอธรรม ไปหมดเลย นั้นได้รบกันเป็น เอ่อ, เป็นธรรมดา เป็นเป็นการ ถาวรนี่แหละ เป็นวิกฤตการณ์ถาวร ทั้งทางโลก ทั้งทางศาสนา ถึงกับพร้อมที่จะแยกเขี้ยวฮื้อฮ้าใส่กัน แม้ในทาง ศาสนานะ คุณต้องรู้ไว้อย่างนี้ ระหว่างศาสนาก็เป็นอย่างนี้ เพราะไม่รู้จักไอ้คำว่า ธรรม เพียงคำเดียวนี้ ให้ถูกต้อง
ดังนั้นเราต้องพยายามที่จะรู้ พยายามที่จะเข้าใจ และพยายามให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกันรู้ ก็เหมือนกับ ที่ได้เคยพูดซ้ำซากหลายหนแล้ว ว่าเรามีสวนโมกข์นี้ ก็เพื่อเพื่อนมนุษย์ให้รู้จักสิ่งที่เรียกว่า ธรรม ในลักษณะที่ลึกเข้าไป ลึกซึ้ง ๆๆ เข้าไป จนถึง ถึงตัวจริงหรือถึง ความสมบูรณ์ แล้วมนุษย์ก็จะ จะหมด ปัญหา ปัญหาทั้งหมด อ่า, เลิกล้างไปได้ด้วยคำว่า ธรรม เพียงคำเดียว เพราะมันทำให้มนุษย์เป็นคน ๆ เดียวกันหมด โดยนิวเคลียสอันเดียวคือธรรม ไม่มีตัวตน ไม่มี Self ไม่มีตัวตน มันก็ไม่มีกูมีสู ไม่มีเรา มีเขานะ มันก็จะรบกันอย่างไรได้ ในเมื่อมันไม่มีเราไม่มีเขา มันจะรบกันอย่างไรได้
นี้ความวิเศษสูงสุด ของสิ่งที่เรียกว่า ธรรม หรือว่า ความที่จำเป็น ความมีค่า อ่า, อย่างจำเป็น สำหรับมนุษย์ ของสิ่งที่เรียกว่า ธรรม เดี๋ยวนี้มัน ไม่มีใครสนใจ อ่า, ในกันในแง่นี้ แม้ที่บวชกันอยู่ ให้เหลืองพรืดเป็นพระเป็นเณรไปหมด ก็ไม่มองกันในแง่นี้ ไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ ในแง่นี้ เป็นแต่เพียง
ท่อง ๆ จำ ๆ อะไรมาบ้าง พอรู้สึกว่ารู้มากกว่าคนอื่น ก็ยกตนข่มท่าน ข่มขี่คนอื่นด้วยความรู้ของตน ด้วยสำนวณโวหารของตน นี่การขัดกันทางวิญญาณ ด้วยการ อ่า, ยกตนข่มท่าน อ่า, ด้วยวิชาความรู้นี่ ผมเรียกว่า การกัดกันทางวิญญาณ เหมือนสุนัขและแมว มันกัดกันในทางร่างกายอย่างนี้ แต่พระเณร มันกัดกันในทางวิญญาณ ด้วยการยกตนข่มท่าน ฟัดเหวี่ยงใส่กัน ไป ๆ มา ๆ ด้วยวิชาความรู้ ในเมื่อมัว เป็นอยู่อย่างนี้ แล้วมันจะเป็น อ่า, มันจะรู้ว่าธรรมได้อย่างไร จะเข้าถึงธรรมได้อย่างไร
เดี๋ยวปัญหาระหว่างบุคคลนี้ก็มีเยอะ แล้วปัญหาระหว่างนิกาย อ่า, ถ้ามันยึดมานิกายก็มี หรือปัญหาระหว่างเถรวาทมหายานก็มี หรือปัญหาระหว่างพุทธกับคริสต์ก็มี คริสต์กับอิสลามก็มี อิสลามกับพุทธก็มี มีแต่มัวปัญหา อ่า, วิวาทอย่างนี้ นี้พระธรรมก็ ลงโทษ พระเจ้าก็ลงโทษ โกยให้แต่สิ่งที่ มันเป็นโทษ ยกให้มนุษย์หรือสาดเทมาให้มนุษย์ แต่สิ่งที่เป็นโทษ คือ นรก เดรัจฉาน เปรต อสูรกายนะ ใส่ให้มนุษย์เป็นการถาวรไปเลย นี่ทำเล่นกับสิ่งที่เรียกว่า ธรรม หรือพระเจ้า อ่า, มันได้ผลอย่างนี้
เดี๋ยวนี้มันพูดกันไม่รู้เรื่อง มันควรจะพูดกันรู้เรื่อง แต่มันไม่โอกาสจะพูด เพราะว่าจิตใจมัน มันกำลังขลาดกลัว กำลังระหวาดระแวงไปแต่ในทางโน้นหมด ไม่มาฟังเรื่องอย่างนี้ ไม่มาคิดเรื่องอย่างนี้ ดังนั้นพวกคริสเตียนก็ไม่รู้จักคำว่าพระเจ้า พวกพุทธก็ไม่รู้จักคำว่าพระธรรม พวกจีนก็ไม่รู้จักคำว่าเต๋า หรือว่าอะไรของเล่าจื้อขงจื้อ ก็เลยหมด ๆๆ เออ, หมดที่พึ่ง โลกนี้มันหมดที่พึ่ง เพราะเหตุนี้
มันก็มีวิกฤตการณ์ถาวร
นี่เราโชคดีหน่อย ที่ว่าไม่ไปพัวพันอยู่ด้วย มันยังมานั่งสบายอยู่อย่างนี้ แต่ก็ต้องรู้ไว้เถอะว่า ไอ้ความจริงมันมีอยู่อย่างนี้ และถ้าเมื่อ ไอ้โรคไม่มีธรรมะนี้ มันระบาดไปทั่วโลก ถึงขนาดสูงสุด เมื่อไหร่แล้ว สิ่งเหล่านี้ก็ไม่มี เราจะมานั่งกันอยู่อย่างนี้ไม่ได้ มันไม่ มันไม่ยอมให้เรามานั่งกันอยู่อย่างนี้ได้ ถ้ามันถึงยุคที่เป็นไอ้ มิคสัญญีเป็นอะไรขึ้นมา ฉะนั้นเราก็มิได้มีความกลัว มิได้มีความต้องการอะไร มันก็เหมือนกับไม่มีเหมือนกัน เพราะตายเสร็จสิ้นแล้วในตัวแต่หัวที นี้มันป้องกันได้
ไอ้บรร บรรทัดนั้นนะสำคัญมาก ว่าอย่ามีตัวเราเสียตั้งแต่ทีแรก ตายเสร็จสิ้นแล้วในตัวแต่หัวที นี้ มันป้องกันอะไรได้ทั้งหมด ไม่มีความหมาย ที่จะทำให้เป็นทุกข์ นี่ก็เป็นพระธรรมสูงสุด ใช้คำว่าพระธรรม หรือพระธรรมเจ้า สูงสุด คือการเป็นอยู่ด้วยจิตว่าง ทำงานด้วยจิตว่าง ตายแล้วแต่หัวที อย่างนี้ มันเป็น สูงสุด ฝ่ายธรรมะ ที่จะไม่ให้เกิดความทุกข์ เพราะฉะนั้นเราสนใจเท่านี้ก็พอ เท่ากับว่าเราสนใจ เมล็ดทราย เมล็ดหนึ่ง ในบรรดาเมล็ดทรายหมดทั้งโลกนี่ เพราะไอ้ ไอ้จุดที่จำเป็นที่ มนุษย์ควรจะเห็นแก่ได้นั้น มันก็มี อยู่เท่านี้ เช่นเดียวกับที่พระเจ้าว่า ใบไม้กำมือเดียว จากใบไม้หมดทั้งป่าอย่างนี้ ก็เหมือนกัน
ดังนั้นคำว่า ธรรม มันมันเท่ากับเม็ดทราย ในจำนวน หมดทั้งโลก แล้วพระธรรมเจ้าที่จำเป็น แก่เรา มันคือ เม็ดทรายเม็ดเดียว เป็นอยู่ได้โดยไม่มีตัวกู เรื่องเถรวาทเรื่องมหายาน มันเรื่องเพ้อเจ้อ มีปรัชญาปัญหาทางปรัชญาอย่างนั้นอย่างนี้อย่างโน้น ไม่มีที่สิ้นสุด มันเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ ดังนั้นเลิก มหายานเลิกเถรวาทออกไป เหลือแต่ว่า อ่า, คอยระวังความคิดนึก อย่าให้ปรุงเป็นตัวกูขึ้นมา แล้วในที่สุด หลักอันนี้ มันใช้ได้ทั้งมหายานใช้ได้ทั้งเถรวาท และหลักอันนี้ใช้ได้ทั้งคริสเตียน ทั้งพุทธ ทั้งอิสลาม ทั้งเล่าจื้อขงจื้อ ใช้ได้หมด ระวังจิตใจอย่าให้ปรุงเป็นความ หมายมั่นเป็นตัวกูของกูขึ้นมา เท่านี้นะ
แล้วจะไม่ให้เรียกว่า เท่ากับเม็ดทรายเม็ดเดียว อ่า, ในบรรดาเม็ดทรายหมดทั้งโลกได้อย่างไร
เดี๋ยวนี้มันก็บ้าไอ้ ไปเรียน เถรวาทเสียสัก ๕๐ ปี ไปเรียนมหายานที่ ๑๐๐ ปี ตายก่อน เลยไม่ต้องรู้ ผมหมายความว่า เรียนเถรวาท ๕๐ ปี ก็ยังไม่จบ เรียนมหายานอีก ๑๐๐ ปี ก็ไม่จบ เพราะมัน แขนงมัน มากกว่า แล้วมันก็ไม่ต้องปฏิบัติว่า อย่าเกิดตัวกูของกู มันก็ตายเปล่า ฉะนั้นอย่ามีเถรวาท อย่ามีมหายาน นิวเคลียสมีอยู่อันเดียวตรงกันหมด ทุกศาสนา ทุก ๆ นิกาย อยู่ที่ว่า อย่าเกิดตัวกูของกูขึ้นมาในจิตนี่
ดังนั้นไม่มีปัญหาหรอก ที่เราจะไม่รู้ธรรมะนี้ ไม่มี ไม่มีปัญหามันง่าย ๆ เหลือจะง่าย แต่เราไม่ ต้องการสิ่งนี้ เราไปต้องการไอ้ของเหลือเฟือ ที่เป็น Over Surplus อะไรนั้นแหละ ไม่มีที่สิ้นสุด ไอ้ที่จำเป็นแท้ ๆ และปฏิบัติได้ด้วย นี่ไม่สนใจ แล้วทำวิปัสสนา ทำกรรมฐานกันเป็นการใหญ่ ก็ไม่รู้ว่าไปไหน ยิ่งทำยิ่งโง่ ยิ่งทำยิ่งเห็นแก่ตัว เพราะมันทำไปเพื่อ สร้างความดีความเด่นให้แก่ตัว จะไปข่มผู้อื่น นี่ก็เรียกว่า ปฏิบัติธรรม ไม่สมควรแก่ธรรมเหมือนกัน เพราะฉะนั้นต้องได้รับผล
เป็นความทุกข์ หรือความล้มเหลวละลายไปในที่สุด
ดังนั้นถ้ามีอะไรที่มัน จะช่วยทำลายความเห็นแก่ตัว หรือว่ากันไม่ให้เกิดความรู้สึกเป็นตัวกูของกู ยกหูชูหางขึ้นมานั่นถูก ทำได้ทุกอย่างแหละ ไม่จำเป็นจะต้องเหมือนกันทุกคน แต่ใจความมันเหมือนกัน ทุกคน คือว่าไม่เกิดตัวกูของกูขึ้นมาได้ ดังนั้นคุณจะทำอะไรก็ได้ ถ้าวิธีนั้นมันเหมาะกับคนนั้น มันอาจจะ ไปแก้ผ้ากลางถนน เป็นพวกชีเปลือยก็ได้ ถ้ามันมีผลทำให้มันหมดตัวกูของกูได้ ไอ้ไอ้ข้อปฏิบัติส่วนนี้ ไม่ต้องเหมือนกัน แต่ผลต้องเหมือนกัน คือ ทำลายความเห็นแก่ตัว ยกตัว อะไรตัว เห็นแก่ตัวตัวนี้ ทำลายตัวกูของกูได้ มันก็เข้าถึงธรรม ที่เป็นหัวใจของคำว่า ธรรม ในทุกความหมาย
ทีนี้มันกลายเป็นว่าไม่ต้องทำอะไรนี่ ไม่ต้องทำอะไร ไอ้ตัวกูของกู อ่า, มันต้อง ต้องคิดต้องนึก ต้องปรุงต้องเกิด ต้องหมายมั่นปั้นมือ อือ, นี้อย่าไปทำมัน มันก็เลยไม่เกิด ก็เป็นไม่ต้องทำอะไร นิพพาน มีอยู่แล้ว คนก็ไม่เอา ก็ไปทำที่เป็นสังสารวัฏ อ่า, ขึ้นมาเรื่อย แทนเรื่อย เมื่อจิตไม่ตัวกูก็เป็นนิพพาน อยู่กับ นิพพาน เมื่อจิต มีตัวกูก็เป็นสังสารวัฏ ที่นี้เราคลุม ไอ้ที่ไม่มีตัวกู นี้ไว้เรื่อย ก็เป็นนิพพาน เรื่อย กว่าจะเด็ดขาดลงไป
ไอ้ที่พูดว่า ประภัสสะระนิทัง ภิขะเวจิตตัง (นาทีที่ 01:06:19) จิตประภัสสร อยู่ไปโดยธรรมชาตินี้ แล้วก็เศร้าหมองเมื่อกิเลส มา ไอ้ประภัสสร นี้คือนิพพานชั่วคราว ชั่วขณะตามธรรมชาติ พร้อมที่จะ เศร้าหมอง เมื่อกิเลส มา แต่ถ้ารักษาความเป็นประภัสสรไว้ได้เด็ดขาด ไม่ให้มีทางที่จะมีกิเลส มา มันก็อย่างเดียวกัน คือจะเป็นนิพพานแท้ หรือนิพพานถาวร ขึ้นมาได้ คือเป็นประภัสสรถาวร ขึ้นมาได้
ทีนี้จิตของคนเราถ้าไม่มี เอ่อ, อะไรมายุมาปรุงให้เป็นตัวกูของกู มันก็เป็นนิพพาน อยู่แล้ว เย็นสบายอยู่แล้ว นั้นไม่มีปัญหาหรอก ที่ว่าคนจะไม่รู้จักนิพพาน หรือจะไม่ได้นิพพาน ที่จริงมันก็ได้ ชนิดชั่วคราวอยู่แล้ว แต่มันไม่มองเห็น เพราะมันโง่ เพราะมันไม่รู้จัก รักษาไอ้สภาพที่จิต ไม่มีตัวกูของกูนี้ ให้คงอยู่ ให้นานออกไป นานออกไป จนไม่ ไม่มีจิตเกิดตัวกูของกู จนมันถึง ระดับหนึ่ง ซึ่งมันเด็ดขาดเลย เด็ดขาดลงไปเลย จะเกิดตัวกูของกูอีกไม่ได้นะ นี่คือ การบรรลุพระอรหันต์ ฉะนั้นเราประคองไว้แต่ให้มัน มันว่างจากตัวกูของกูอยู่เรื่อย ทั้งวันทั้งคืนทั้งวันทั้งคืน จนตายไปก็แล้วกัน เราก็อยู่กับนิพพานชนิด ชั่วคราว นิพพาน ที่ยังเปลี่ยนได้นี้ นิพพานชั่วคราว ทีนี้ไปเรื่อย ๆ ก็แล้วกัน จนกว่ามันจะไม่เปลี่ยน จนกว่ามันจะไม่เปลี่ยนได้ หรือเป็นการถาวรไป
นี้เราไม่พูดทางศาสนา พูดทางจิตวิทยา แต่ว่ามันเคยชินเป็นนิสัยไปทางแต่ ที่จะไม่เกิดตัวกูของกู นี่คือบรมธรรม ธรรมะที่เป็นชั้นสูงสุด มันก็ ปรากฎมา ปรากฎออกมา เมื่อสูงสุดแค่นั้นแหละ แค่เด็ดขาด ไม่ย้อนกลับมา เป็นตัวกูของกูอีก ได้อีกนะ เป็นบรมธรรม นิพพานัง ปรมัง วะธันติ พุทธา (นาทีที่ 01:08:43) พุทธะทั้งหลายกล่าวนิพพาน ว่า เป็นบรมธรรม แต่มันเป็นนิพพาน ที่แท้ ที่จริง ที่เด็ดขาด ที่ถาวร ไม่กลับเปลี่ยนไปเป็นไอ้สังสารวัฏได้อีก
เดี๋ยวนี้วันหนึ่งคืนหนึ่งของคนเรา เดี๋ยวเป็นสังสารวัฏ เดี๋ยวเป็นนิพพาน เดี๋ยวเป็นสังสารวัฏ เดี๋ยวเป็นนิพพาน เพราะฉะนั้นนิพพาน นั้นนะถือว่า ชั่วคราวชั่วขณะ เปลี่ยนได้ หรือว่ากลับกำเริบได้ เป็นกุปปธรรม คือกลับกำเริบได้ แล้วก็ชั่วขณะ ที่มันมีอารมณ์มาช่วยกระทบ เป็นตทังคะ คือว่าประจวบ เหมาะแหละ พวก Coincidence ต่าง ๆ ที่ทำให้จิตยังอยู่ในสภาพนี้อยู่ ก็เรียกว่า นิพพาน ตทังคนิพพาน แต่ว่าอันนี้รสชาติอย่างเดียวกัน เรารักษามันไว้ให้ได้ อย่า อย่าให้มันเปลี่ยนไปได้ จนมันตายตัวไป
แล้วศึกษาดูแล้วกันว่า เมื่อไม่มีตัวกูของกู มันเย็นอย่างไร สบายอย่างไร พอมีตัวกูของกูขึ้นมา มันร้อนอย่างไร มันมืดอย่างไร มันกลัดกลุ้มอย่างไร ดิ้นรนอย่างไร เสียดแทงอย่างไร พิจารณาดูอยู่เสมอ และก็ระวัง อย่าให้เดินตกร่อง ระวังเหมือนกับ ระวังอย่าให้เดินตกร่อง ก็มีเท่านั้นนะ นี้พอทำไปอย่างนี้ เรื่อย ๆ ไป เป็นอยู่โดยชอบ คืออยู่อย่างนี้ เรื่อย ๆ ไป มันก็ถึงจุดหนึ่งวันหนึ่ง ซึ่งมันตายตัวลงไป นี้เรียกว่า ปฏิบัติธรรมที่สมควรแก่ธรรม ถูกต้อง พอเหมาะพอดี ไม่มากไม่น้อย ไม่ตึงไม่หย่อนอะไรเรื่อย ๆ ไป
จนถึงวันหนึ่งคืนหนึ่ง มันก็ เด็ดขาดลงไป บางคนอาจจะช้าบ้าง บางคนอาจจะเร็วบ้าง ไม่เท่ากัน แต่ลักษณะมันเหมือนกัน
ปิดโอกาสของสังสารวัฏ อย่าให้เกิดขึ้นมาในใจได้ อย่าให้เผลอปรุง เป็นตัวกู ของกู อย่างนั้น อย่างนี้ ขึ้นมาได้ ปิดโอกาสนี้ไว้เรื่อย ระวังกันอย่าง ตามสามัญสำนึกนี้ก็ได้ แล้วเราเกลียด เรากลัวมัน เมื่อมันเกิดขึ้นมา เรื่อยไป ๆ และก็พยายามเอาใจให้ใส่มาก มันฉลาดขึ้นทุกทีเอง มันสอนให้ ในตัวมันเอง ทุกทีเอง อย่างนี้เป็นสำเร็จได้ทุกคน ไม่ต้องพูดถึงศาสนา เป็นศาสนาไหนก็ได้ ถ้าปฏิบัติอย่างนี้ได้แล้วมัน
ก็มีนิพพาน สำหรับทุกคน หรือทุกศาสนา
ธรรมะมีในทุกศาสนานิพพาน มีในทุกศาสนา หรือมันมีแต่เพียงศาสนาเดียว แต่นี่คนไม่ถือ ศาสนากันอย่างนี้ ถือศาสนาตัวกูของกูกันเสียเรื่อย มันก็แยกเป็นศาสนาชนิดที่ว่า เป็นข้าศึกแก่กันและกัน ไม่เป็นธรรมขึ้นมาแล้ว มันเป็นธรรม ฝ่ายชนิดฝ่ายที่ต้อง เป็นทุกข์ขึ้นมาแล้ว เป็นวัฏสงสาร ขึ้นมาแล้ว เอ่อ, อย่าลืมว่า ไอ้นิพพานก็เป็นธรรม สังสารวัฏก็เป็นธรรม คือสิ่งที่เรียกว่า ธรรม ด้วยกันทั้งนั้น ไอ้สามัญนามคำว่า Noun ใช้เหมือนกันหมด นิพพาน ก็คือธรรม สังสารวัฏ ก็คือธรรม ความเกิดก็คือธรรม ความตายก็คือธรรม ความสุขก็คือธรรม ความทุกข์ก็คือธรรม คำว่า ธรรม นี้ใช้ได้หมด
นี้เป็นเรื่องที่คุณจะเห็นได้ว่า ผมพูดจน จนไม่มีเสียงจะพูดไปอีกกี่เดือนกี่ปี มันก็บอกให้คุณรู้ ไม่ได้ว่า ไอ้สิ่งที่เรียกว่า ธรรม นั้นคืออะไร แต่บอกให้รู้ได้ว่า เราจะต้องปฏิบัติ เกี่ยวกับสิ่งเรียกว่า ธรรมนั้น คือ ๆ คืออย่างไร จะต้องปฏิบัติเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า ธรรม นั้นอย่างไรแล้วจึงจะหมดปัญหา ดังนั้นการที่จะ ไปศึกษาในทางปรัชญา ทางจิตวิทยา ทางอะไรก็ตามที่จะให้รู้ว่า ธรรมคืออะไรอย่างถูกต้องนี้ มันตายเปล่า เหมือนคนโง่ ๆ สักคนหนึ่ง ที่จะไปศึกษาให้รู้ว่า ไฟฟ้าคืออะไร นี้มันคงตายเปล่า มันจะต้องไปศึกษา เฉพาะที่จะเอาปฏิกิริยาของมันมาใช้ตามที่เราต้องการก่อนดีกว่า อย่าไปรู้เลยว่า มันคืออะไร เพราะมันไม่อาจจะรู้ได้
ไอ้สิ่งที่เรียกว่า ธรรม นี้ก็เหมือนกัน ศึกษาโดยด่วน เท่าที่ว่าจะปฏิบัติอย่างไร ได้รับผลสูงสุด ของสิ่งนี้ ก็คืออย่างว่า อย่าอย่ากระทำไปโดยวิธีที่มันเกิดตัวกูของกู เป็นวัฏสงสารขึ้นมาในจิต ให้เป็นอยู่ โดยไม่มีตัวกูของกูว่างเป็นนิพพานอยู่ตลอดเวลา เป็นนิพพานน้อย ๆ เป็นนิพพานชั่วคราว ไปเรื่อย ๆ จนกว่าถึงโอกาสหนึ่ง มันจะนั่นของมันเองได้ เพราะฉลาดขึ้นทุกที มันจะเด็ดขาดลงไปได้เป็นการถาวร นี้เรารู้ธรรม กันในลักษณะอย่างนี้ ก็เรียกว่า พอ อย่างอื่นเฟ้อ
ที่นี้ว่า อ่า, มันมีทางที่จะเรียนจะรู้ มาก ก็เลือกเรียน หรือรู้ ประมาณแต่ในทางที่จะให้เป็นอย่างนี้ ที่ว่าทำอย่างไรจึงจะไม่ให้เกิดตัวกูของกูนี่ ให้มันละเอียดละออยิ่งขึ้น นี้คือตัว วิปัสสนากรรมฐาน เช่น อานาปานัสสติ เป็นต้น ไม่ต้องพูดกันหลายคำ แต่รวมความแล้วก็เพื่อไม่ให้เกิดตัวกูของกู ถ้าใครมีวิธี อย่างอื่น ทำได้ก็ใช้ได้แล้ว จะวิธีไหนก็ได้ อย่าเกิดตัวกูของกูแล้วก็เป็นใช้ได้ นี้เราเห็นว่าพระพุทธเจ้าได้ วางระเบียบไว้ดีเรื่องเกี่ยวกับอานาปานัสสติ นี้ก็ใช้อย่างนี้ ศึกษาเข้าใจปฏิบัติให้เต็มที่ รวมความแล้ว ก็คือ ระมัดระวังอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก ที่จะไม่ปรุงเป็นความรู้สึกเป็นตัวกูของกู ก็เรียกว่า อานาปานัสสติ ที่ถูกต้อง อยู่ตลอดเวลา
นี้เราพูดกัน เอ่อ, ถึงสิ่งที่เรียกว่า ธรรม อย่างยืดยาวอย่างนี้ แล้วก็ไม่รู้จะเรียก ชื่อเรื่องว่าอย่างไร ใช่ไหม ไม่รู้จะเรียกชื่อเรื่อง หัวข้อเรื่องว่าอย่างไร กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู เป็นอยู่เหมือนกับตายแล้ว หัวข้อนี้ผมพูดได้หลายปี ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับสิ่งที่เรียกว่า ธรรม เพียงคำเดียวนี้ หัวข้อนี้ ย่อว่า ธรรม เพียงคำเดียว พูดได้อีกหลายปี ถ้าใครจะฟัง นั้นวันนี้เหนื่อยแล้ว ไม่ค่อยสบาย อ่อนเพลียอยู่นี่