แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้จะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนา เป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อ และวิริยะความพากเพียรของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงามก้าวหน้าตามทางแห่งพระศาสนา ของสมเด็จพระบรมศาสดาอันเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย กว่าจะยุติลงด้วยเวลา ธรรมเทศนาในวันนี้เป็นธรรมเทศนาพิเศษ ปรารภเหตุเนื่องด้วยวิสาขบูชา ดังที่ท่านทั้งหลายย่อมจะทราบได้อยู่เองแล้ว แต่ว่าพุทธบริษัททั้งหลายตั้งใจจะกระทำเป็นพิเศษในการฟังธรรมในวันเช่นวันนี้ เพื่อให้สำเร็จประโยชน์แก่การทำวิสาขบูชานั้นให้เต็มที่ ขอให้ท่านทั้งหลายตั้งใจฟังให้ดี ให้สำเร็จประโยชน์ในส่วนนี้จงทั่วกันทุกคนเถิด
วันนี้เป็นวันวิสาขบูชา คือวันสำหรับทำการบูชา เนื่องด้วยการประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งได้ประจวบเหมาะกันในวันที่พระจันทร์เสวยวิสาขนักขัตฤกษ์ จึงได้เรียกชื่อตามนั้นว่าวันวิสาขบูชา การทำบูชาในวันเช่นวันนี้เป็นพิเศษก็ตรงที่ทำในใจถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า ในข้อที่มีการประสูติ ตรัสรู้และนิพพานนั่นเองเป็นใจความสำคัญ แต่ว่าควรจะทราบไว้ด้วยว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นี้ไม่อาจจะแยกกัน หรือถ้ากล่าวให้ชัดเจนยิ่งกว่านั้นก็คือว่าเป็นสิ่งๆเดียวกัน การที่แยกเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ได้นั้นก็ถือเอาอาการข้างนอกเป็นเกณฑ์ เช่นว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ปลุกให้ตื่นจากหลับคือกิเลส พระธรรมก็คือความตื่นจากหลับคือกิเลส และพระสงฆ์ก็คือผู้ถูกปลุก เมื่อดูกันในแง่นี้ก็เห็นว่ามันต่างกันเป็น ๓ ประเภท คนธรรมดาสามัญก็มองกันในแง่นี้ทั้งนั้น ดังนั้นจึงเกิดมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่แยกกัน แต่ผู้ที่มีปัญญาสามารถจะมองให้ลึกซึ้งแล้วจะมองเห็นส่วนลึกกว่านั้น คือว่าการปลุกนั้น ปลุกเพื่ออะไร ผู้ถูกปลุกก็ได้รับผลจากการปลุกเช่นนั้น แล้วผู้ปลุกเองก็มีสิ่งนั้นหรือความเป็นอย่างนั้นมาแล้วแต่ก่อน หมายความว่าถ้าพระ พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ตรัส ตรัสรู้พระธรรมก็ไม่สามารถจะปลุกใครได้ให้ตื่นจากหลับคือกิเลส ความหลับไปด้วยอำนาจกิเลสนั้นไม่ใช่พระธรรม การตื่นจากหลับคือกิเลสเป็นพระธรรม พระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้ตื่นเองแล้วจึงได้นามว่า พุทโธ ผู้ตื่น ผู้รู้ ผู้เบิกบาน ฉะนั้นพระธรรมก็คือความตื่นหรือสิ่งที่จะทำให้ถูกตื่น จะหมายถึงกิริยาอาการที่ปลุกก็เรียกว่าพระธรรมได้เหมือนกัน แล้วผลของการกระทำนั้นคือความตื่นก็เรียกว่าพระธรรมได้เหมือนกัน ดังนั้นพระพุทธเจ้ากับพระธรรมก็มีหัวใจอย่างเดียวกันคือความตื่นจากหลับกล่าวคือกิเลส ทีนี้มาถึงพระสงฆ์ซึ่งเป็นผู้ถูกปลุกให้ตื่น การถูกปลุกให้ตื่นนี้มีความสำคัญตรงที่ตื่นขึ้นมาจากหลับคือกิเลสอีก ดังนั้นพระสงฆ์จึงมีจิตใจอย่างเดียวกันกับพระพุทธเจ้า คือมีความตื่นจากหลับคือกิเลส ในที่สุดก็เหลือแต่ใจความสำคัญอยู่ที่ว่าต้องตื่นขึ้นมา หรือความตื่นขึ้นมาจากหลับกล่าวคือกิเลสเท่านั้นเอง นี้เรียกว่าพระธรรม มีภาวะเป็นความสะอาด สว่าง สงบ ซึ่งมีอยู่ในหัวใจของพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ เมื่อมองกันในลักษณะอย่างนี้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็เป็นสิ่งเดียวกันขึ้นมาทันที นี่แหละตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าการที่มองสิ่งใดหรือเข้าใจสิ่งใดย่อมมีอยู่เป็นชั้นๆดังนี้ อย่างน้อยก็มีสัก ๒ ชั้นคือว่าชั้นตื้นและชั้นลึก ที่เรียกว่าเป็นวิสัยของคนธรรมดาสามัญนั้นอย่างหนึ่ง ถ้าเป็นวิสัยของผู้รู้ธรรม ผู้ก้าวถึงธรรมแล้วก็อีกอย่างหนึ่ง โดยเหตุนี้จึงทำให้เกิดคำพูดขึ้นมาเป็นภาษาคนหรือเป็นภาษาธรรมอีกอย่างเดียวกัน ภาษาคนพูดไปตามความรู้สึกของคน แล้วก็ถือเอาเรื่องภายนอกคือกิริยาอาการหรือวัตถุเนื้อหนังนี่เป็นหลัก ถ้าพูดภาษาธรรมก็ถือเอาจิตใจหรือความรู้สึกในจิตใจเป็นหลัก ถ้าพูดภาษาคนพระรัตนตรัยก็มีอยู่ถึง ๓ อย่างคือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่ถ้าพูดอย่างภาษาธรรมอันลึกซึ้งแล้วพระรัตนตรัยก็ถูกผนวกเข้าเป็นสิ่งๆเดียวกัน เรียกว่าพระรัตนตรัยก็จริงแต่เป็นเพียงสิ่งเดียว หรือจะประกอบกันอยู่ด้วยองค์ประกอบ ๓ อย่างก็รวมกันเข้าเป็นสิ่งเดียว ถ้ารู้ภาษาบาลีจะเข้าใจข้อนี้ได้ง่าย โดยเฉพาะคือคำว่า ระตะนัตตะยัง คือรัตนตรัยนี้ คำนี้มีลักษณะเป็นเอกวจนะคือเล็งถึงของสิ่งเดียว หากแต่ประกอบอยู่ด้วยองค์ประกอบ ๓ อย่าง จึงมีผู้ชอบเปรียบไม้ ๓ อัน อาศัยกันพิงกันแล้วตั้งอยู่ได้ นี่แหละเหมือนลักษณะของพระรัตนตรัย จะดูให้เป็น ๓ ส่วนก็ได้ จะดูให้รวมกันเป็นสิ่งเดียวก็ได้แล้วแต่สติปัญญาของผู้ดู สำหรับวันนี้เป็นวันที่มีความสำคัญเป็นพิเศษ ขอให้ทุกคนมีการทำจิตใจในลักษณะที่มีความลึกซึ้ง มองเห็นทุกอย่างในลักษณะที่ลึกซึ้ง มองเห็นพระพุทธเจ้าหรือพระธรรมหรือพระสงฆ์ในความหมายที่ลึกซึ้ง และพร้อมกันนั้นก็มองดูวันวิสาขบูชาในลักษณะที่ลึกซึ้ง แล้วจะได้กระทำอย่างลึกซึ้ง การกระทำวิสาขบูชาอย่างที่ลูกเด็กๆเขากระทำกันมันก็เป็นความหมายตื้นๆตามประสาลูกเด็กๆ คนโตๆก็มีความหมายไป มากไปกว่านั้น แต่ว่าคนโตๆอาจจะมีความหมายเหมือนลูกเด็กๆก็มี ทำวิสาขบูชาด้วยสักว่ากิริยาอาการหรือพิธีรีตองดังนี้ก็มี เหมือนที่เห็นๆกันอยู่ แต่ถ้าจะทำวิสาขบูชาให้มีความหมายลึกซึ้งแล้วต้องทำด้วยจิตใจ ไม่ใช่เพียงแต่ทำทางมือทางเท้า เช่นบูชาด้วยวัตถุสิ่งของแล้วก็เดินเวียนเทียน นี้เป็นกิริยาอาการภายนอก และมักจะทำไปด้วยความละเมอ ถ้าจะทำให้ถึงความหมายในทางจิตใจแล้วต้องมีจิตใจที่มีความเข้าใจแจ่มแจ้งในเรื่องนี้เสียก่อน แล้วก็ดำรงใจไว้ในลักษณะที่เอิบอาบไปด้วยคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือจะรวมเรียกสั้นๆว่าของพระธรรมก็ได้ นั่นจึงจะเป็นการบูชาอย่างสูงสุดคือบูชาด้วยจิตใจด้วย บูชาด้วยร่างกายด้วย และก็มีความสำคัญอยู่ที่การบูชาด้วยจิตใจ เรื่องมันก็เลยไปถึงการเสียสละ ถ้ามีการเสียสละในทางจิตใจมันก็เป็นการเสียสละมากกว่าทางร่างกาย เราไม่ได้เสียสละแต่เพียงว่าเครื่องบูชาหรือเรี่ยวแรง แต่ก็จะต้องเสียสละสิ่งที่ควรเสียสละอย่างยิ่ง เช่นความยึดมั่นถือมั่น เป็นต้น จะต้องมีจิตใจที่ปราศจากความยึดมั่นถือมั่นให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้จึงจะเป็นการบูชา แม้แต่พวกจีนแต่โบราณเขาก็มีคำกล่าวไว้ว่าดับไฟในจิตใจของแกเสียก่อน แล้วจึงไปจุดธูปเทียนที่หน้าที่บูชา ถ้าเข้าไปจุดธูปเทียนที่หน้าที่บูชาด้วยจิตใจที่ร้อนเป็นไฟแล้วพระเจ้าจะตะเพิดเอา คือว่าเราไปบูชาวัตถุที่เป็นที่ตั้งแห่งการบูชาสักการะ จะเป็นรูปพระพุทธรูปก็ดีหรือรูปอื่นๆก็ดี การที่จะเข้าไปจุดธูปเทียนบูชาสิ่งนั้นต้องดับไฟในใจของตนเสียก่อน คือทำจิตใจให้เกลี้ยงเกลาจากความเร่าร้อนหรือจากความรู้สึกอันเป็นบาปอกุศลใดๆเสียก่อน แล้วจึงจะจุดธูปเทียนบูชานั้นจึงจะสมกัน มาวันนี้เราจะทำการบูชาอย่างสูงสุดแก่พระพุทธเจ้า บูชาด้วยกาย บูชาด้วยวาจา บูชาด้วยใจ ไม่มีอะไรเหลือก็ต้องกระทำให้ถูกต้องว่าทำอย่างไร บูชาด้วยร่างกายก็คือการกระทำทางกาย เช่นการกราบ การไหว้ การเวียนประทักษิณ เป็นต้น บูชาด้วยวาจาก็คือเปล่งวาจาออกมา เป็นการแสดงความรู้สึกออกมาทางวาจาว่าเป็นอย่างไร แล้วก็ยังบูชาด้วยจิตใจ สำหรับการบูชาด้วยจิตใจนี้เพียงแต่จะคิดๆนึกๆเอาแล้วจะเหมือนที่ แสดงออกมาทางวาจานั้นไม่พอ ต้องทำอะไรให้มากกว่านั้น คือต้องถ้า ต้องทำจิตใจให้เหมือนกันกับจิตใจของพระพุทธเจ้าเสียก่อนแล้วจึงจะทำการบูชา เราจะต้องพยายามทุกอย่างทุกประการที่ให้มันเหมือนกับความเป็นของพระพุทธเจ้าเสียก่อน ทีนี้บางคนก็จะสงสัยหรือแย้งค้านขึ้นมาว่าเรายังไม่เป็นพระพุทธเจ้า เราจะทำจิตใจให้เหมือนพระพุทธเจ้าได้อย่างไร ข้อนี้ขอให้ทุกคนพิจารณาดูให้ดีๆว่าเราอาจจะมีจิตใจเหมือนพระพุทธเจ้าหรือเหมือนคนหมดกิเลสได้แม้ชั่วขณะหนึ่งๆ มันยังผิดกันอยู่ก็แต่เพียงว่าพระพุทธเจ้าท่านมีจิตใจว่างจากกิเลสและความทุกข์ตลอดกาล ส่วนพวกเรานี้มีจิตใจว่างจากกิเลสและความทุกข์ชั่วขณะๆ ดังนั้นเราจะต้องคอยจ้องจับให้ดีๆ ให้มีเวลาว่างจากความทุกข์และกิเลสสักขณะหนึ่ง แล้วก็ถือเอาโอกาสนั่นแหละทำการบูชาพระพุทธเจ้า เพราะเหตุเช่นนี้จึงขอชักชวนท่านทั้งหลายทุกคนว่าในขณะนี้จงลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นความยึดมั่นถือมั่น ที่เป็นเรื่องตัวกูเป็นเรื่องของกูนั้นเรียกว่าความยึดมั่นถือมั่น อันนั้นต้องหมดไปจากจิตใจในขณะนี้ ก็จะมีจิตใจเหมือนจิตใจของพระพุทธเจ้าสักโอกาสหนึ่งสักขณะหนึ่งแล้วทำการบูชามันจึงจะสมกัน มิเช่นนั้นแล้ว มิเช่นนั้นแล้วก็จะไปเหมือนกับที่กล่าวอย่างพวกจีนกล่าวว่าถ้ามีใจเร่าร้อนเป็นไฟ เข้าไปจุดธูปเทียนบูชาพระก็มีแต่จะ พระจะปฏิเสธไม่ยอมรับว่าแกนี้มันสกปรกเกินไป อย่าเข้ามาใกล้ฉัน อย่างนี้เป็นต้น เราจะต้องรู้จักรับผิดชอบในส่วนของเราในหน้าที่ของเรา ระมัดระวังให้ดีให้มีจิตใจสะอาดพอที่จะทำการบูชาแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในโอกาสเช่นวันนี้ เพราะเหตุเช่นนี้แหละจึงได้กล่าวเตือนกันเสียแต่ในเบื้องต้นแห่งวันคือเวลานี้ ว่าท่านทั้งหลายจะต้องเข้าใจข้อนี้ แล้วก็เตรียมตัวตามนี้ให้เหมาะสมที่จะทำวิสาขบูชาในโอกาสต่อไป
ทีนี้ก็ขอให้คิดดูใหม่ในข้อที่ว่าทำอย่างไรจึงจะมีจิตใจเหมือนจิตใจของพระพุทธเจ้าสักชั่วขณะหนึ่ง ก็คือความไม่ยึดมั่นถือมั่นดังที่กล่าวแล้ว จะขอชี้ให้เห็นข้อนี้ ความ ข้อเท็จจริงข้อนี้ไปตั้งแต่แรกคือตั้งแต่ที่สิ่งแวดล้อมภายนอกจะช่วยเรา เมื่อท่านเข้ามาในป่านี้ซึ่งจัดไว้ตามธรรมชาตินี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่นับตั้งแต่ต้นไม้ ก้อนหินก้อนดิน กรวดทราย มดแมลงอะไรก็ตามมันส่อลักษณะอาการของความสว่าง สะอาด สงบอยู่ไม่มากก็น้อย หรือว่าอย่างน้อยก็เป็นความสงบ จิตใจของผู้ที่เข้ามาจึงพลอยสงบไปตาม ไม่ดิ้นรนเร่าร้อนอะไรมากนัก หรือถึงกับไม่ดิ้นรนเร่าร้อนอะไรเลยเพราะว่าลืมไปหมด ลืมบ้านลืมช่องลืมทุกอย่างไว้เบื้องหลัง แล้วมานั่งอยู่ที่นี่บางทีก็ถึงกับลืมตัวกู ไม่ได้รู้สึกว่าตัวกูมีชีวิตอยู่ในโลกนี้เลย แล้วก็จะมีของกูอย่างไรได้ จิตใจกำลังเคลิบเคลิ้มไปตามความสงบที่ธรรมชาติของป่าช่วยแวดล้อมให้ เพราะฉะนั้นท่านจงถือเอาโอกาสนั้นเถิด เพื่อจะทำจิตใจให้มีจิตใจสะอาด สว่างหรือสงบ ทำนองเดียวกันกับพระพุทธเจ้า แม้จะไม่เท่ากันโดยปริมาณแต่ก็เหมือนกันโดยลักษณะตามมากตามน้อย ตามความสามารถของผู้ที่ตั้งใจจริงหรือไม่ตั้งใจจริง และความตั้งใจจริงในกรณีอย่างนี้ไม่ยากลำบากเลย เพียงแต่ปล่อยให้ธรรมชาติอันสงบนี้มันแวดล้อมไปก็แล้วกัน มันก็จะทำ ทำการแวดล้อมให้จิตใจนี้เป็นไปในทางสงบ เราอย่าไปดื้อดึงกับมันในตอนนี้ ปล่อยให้ธรรมชาติแห่งความสงบชักจูงจิตใจไปในทางความสงบพลอยผสมโรงกับมัน มันก็จะมีจิตใจว่างลงได้สักขณะหนึ่ง ในโอกาสที่จะทำวิสาขบูชานี้ ท่านจงปล่อยใจให้ไปตามความกระตุ้นของธรรมชาติอันสงบ ที่จะคอยกระตุ้นไปแต่ในทางของความสงบ ไม่โกลาหลวุ่นวายอะไรเลย เรียกว่าเป็นเกลอกับธรรมชาติให้มากๆเถิด นี้ก็จะเป็นวิธี วิ วิธีหนึ่งซึ่งทำให้มีจิตใจเหมือนพระพุทธเจ้า ทีนี้วิธีต่อไปอีก ก็จงดูต่อไปอีกในข้อที่ว่าเราอยากจะมีจิตใจเหมือนกับจิตใจของผู้ใด ก็จงเป็นอยู่ให้เหมือนจิตใจ ก็จงมีการเป็นอยู่ให้เหมือนบุคคลนั้นเถิด มีการกินการอยู่ การเดินการนอน การอะไรต่างๆนี้ให้เหมือนผู้นั้นอยู่เป็นประจำ เราก็จะรู้ถึงความรู้สึกคิดนึกของผู้นั้นได้ง่าย ดังนั้นเมื่อเราได้ทราบว่าพระพุทธเจ้าท่านเป็นอยู่อย่างไร เราก็จงพยายามที่จะเป็นอยู่อย่างนั้นเถิด และโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือในวันนี้ หรือว่าชั่วขณะหนึ่งในวันนี้ที่จะทำวิสาขบูชา ลองคิดดูต่อไปว่าพระพุทธเจ้าท่านประสูติกลางพื้นดิน ท่านตรัสรู้ก็กลางพื้นดิน ท่านนิพพานก็กลางพื้นดิน แล้วโดยมากที่สุดท่านก็อยู่กลางพื้นดิน แล้วเราทำไมจะไปนึกถึงที่จะอยู่บนเรือน เราจะต้องพยายามที่จะเป็นอยู่กลางพื้นดินให้เหมือนพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะในวันนี้ ฉะนั้นการที่ได้นั่งกลางพื้นดินนี้ก็เป็นการเหมาะสมแล้ว นั่งอยู่กับต้นไม้อย่างนี้ก็เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าท่านเป็นอยู่ ท่านเสพพบธรรมชาติกลางพื้นดิน ต้นไม้ ก้อนหิน เราก็กำลังพยายามที่จะเป็นอยู่ให้เหมือนท่านโดยเฉพาะในวันนี้ ดังนั้นจงยินดีที่จะนั่งกลางดิน นั่งกับต้นไม้ นั่งอยู่ในธรรมชาติอัน อันสงบไปตามแบบของธรรมชาติ นี้เรียกว่าเป็นอยู่ให้คล้ายพระพุทธเจ้าที่สุดในส่วนการเป็นอยู่ ทีนี้พูดถึงอาหารการกิน พระพุทธเจ้าท่านฉันอาหารด้วยความมักน้อยสันโดษอย่างที่เรียกได้ว่ากินอยู่แต่พอดี ทีนี้วันนี้พวกเราก็จะต้องกินอยู่แต่พอดี อย่าไปหวังกินดีอยู่ดี กินดีอยู่ดีเหมือนที่บ้าน กินดีอยู่ดีนั้นเป็นคนละอย่างต่างกันจากที่ว่ากินอยู่แต่พอดี ฉะนั้นวันนี้ถ้าจะต้องรักษาอุโบสถ อดอาหารมื้อเย็นเสียบ้างมันก็ถูกกว่า คือจะได้กินอยู่แต่พอดีเหมือนกับที่พระพุทธเจ้าท่านเป็นอยู่จริงๆ ทีนี้เราจะไปหวังเรื่องกินให้ดี ให้มากให้ครบให้ถ้วนตามที่เคยติดนิสัยสันดานนั้นมันไม่เหมาะที่จะมีอะไรๆเหมือนพระพุทธเจ้าในวันนี้ นี้เรียก เรียกว่าเรื่องการกินอาหารก็ยังจะต้องพยายามให้คล้ายกับที่ พระพุทธเจ้าท่านเป็นอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็ในวันนี้ในโอกาสนี้ นี่แหละคือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าเราจะต้องมีการกินการอยู่ การนุ่งการห่มการอะไรต่างๆนี้ให้เหมือนกับท่านผู้นั้นให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ แล้วจะเป็นการง่ายที่สุดเหมือนกันที่จะเข้าถึงจิตใจของท่านผู้นั้น ฉะนั้นถ้าวันนี้ต้องการจะเข้าถึงจิตใจของพระพุทธเจ้าแล้วก็จงปรับปรุงการกินการอยู่ การอะไรทุกอย่างให้มันง่ายเหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านเป็นอยู่ ในทางกินอยู่เป็นอยู่นี้ยิ่งต่ำเท่าไรก็ยิ่งดี เพราะว่าทางจิตใจมันจะได้สูง ถ้าเรื่องกินอยู่เป็นอยู่มันสูงแล้วจิตใจมันจะต่ำ มันจะต้องกลับกันอยู่อย่างนี้เสมอไป เพราะว่ากินดีอยู่ดีอย่างสูงนั้นมันตะกละด้วยความโลภละโมบในรสอร่อยทางวัตถุทางเนื้อทางหนัง ยิ่งสูงเท่าไรจิตใจก็จะยิ่งต่ำเท่านั้น อันนั้นมันแก้กันได้ง่ายๆด้วยการเป็นอยู่หรือกินอยู่ให้ต่ำเสีย จิตใจมันก็มีแต่ทางที่จะสูงเท่านั้นเอง วันนี้เราจึงถือศีลพิเศษเรื่องกินเรื่องอยู่อะไรต่างๆด้วยอุโบสถศีล เป็นต้น อาจจะนอนบนเสื่อหรืออาจจะนอนบนทรายก็ได้ จะกินอาหารบ้างไม่กินบ้างหรือไม่กินเลยก็ได้แล้วแต่ความสามารถของแต่ละคน เพื่อให้มีการเป็นอยู่เหมือนพระพุทธเจ้า แล้วจะเข้าใจจิตใจของพระองค์ได้โดยง่าย คนโดยมากคิดว่าพระพุทธเจ้าท่านเป็นพระพุทธเจ้าไม่มีคนพะเน้าพะนอเรื่องกินเรื่องอยู่ นั้นเป็นความโง่ของคนนั้นเองที่ไม่เคยศึกษาเล่าเรียนและไม่เคยทราบเรื่องของพระพุทธเจ้า แล้วก็นึกๆเดาเอาเอง มันก็ไม่ถูกไม่ตรง นักบวชในครั้งโบราณในครั้งพุทธกาลนั้นเหมือนๆกันหมด คือไม่ต้องการจะลำบากในเรื่องกินเรื่องอยู่ จึงตัดทอนออกไปให้มากเท่าที่จะมากได้เพื่อจะมีเวลาสำหรับทำการค้นคว้าในทางจิตใจนี้ได้มาก คือไม่ถูกรบกวนมาก ดังนั้นจึงเป็นอยู่อย่างง่ายเหลือเกินและบางคราวก็ไม่ได้ฉันอะไรเลยก็ยังมี เพราะว่ามีความปีติพอใจในธรรมะแล้วก็ไม่หิวข้าว อย่างนี้เป็นต้น หรือบางคราวก็ไม่มีอะไรจะฉันเพราะความลำบาก ข้าวยากหมากแพงอย่างนี้ก็มี ถ้าจะไปเปิดพระไตรปิฎกอ่านดูบ้างก็จะเป็นการดี ขอให้ไปเปิดดูพระไตรปิฎกเล่มแรกหน้าแรกๆ อ่านไปเถอะสองสามหน้าตรงนั้นก็จะบอกทีเดียวว่าพระพุทธเจ้าไม่มีอะไรจะฉัน นอกจากข้าวตากสำหรับเขาใช้เลี้ยงม้าวันละปลายมือ ไม่มีแกงไม่มีกับ อย่างนี้เป็นต้นตลอดเวลา ๓ เดือน นี่พระไตรปิฎกของเราหน้าแรกใบแรกเล่มหนึ่งนี่เป็นอย่างนี้ แล้วทำไมไม่ลองหาอ่านดูบ้างเพื่อจะรู้ตามที่เป็นจริงว่าพระพุทธเจ้านั้นท่านกินอยู่อย่างไร เป็นอยู่อย่างไร ทั้งที่ท่านเป็นพระพุทธเจ้า แล้วเราก็มัวละโมบโลภลาภในเรื่องการกินการนอนการอะไรต่างๆ มันเดินคนละทางอย่างนี้แล้วมันก็เป็นการยากที่จะมีจิตใจที่เป็นไปในทางเดียวกันหรือแนวเดียวกัน แล้วเข้าใจซึ่งกันและกันได้โดยง่าย เพราะฉะนั้นขอให้ถือหลักข้อนี้ไว้เป็นเครื่องประจำตัวด้วย ว่าถ้าจะเข้าถึงความรู้สึกคิดนึกหรือจิตใจของท่านผู้ใดแล้วจงพยายามเป็นอยู่กินอยู่หรืออะไรให้มันเหมือนกับบุคคลผู้นั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้เถิด ด้วยเหตุเช่นนี้เอง โดยเฉพาะในวันนี้เราจงพยายามเป็นอยู่หรือกินอยู่ให้เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าท่านเป็นอยู่หรือกินอยู่ อย่าเห็นแก่นอนเลย อย่าเห็นแก่กินเลย อย่าเห็นแก่ความสะดวกสบายเลย จงพยายามเป็นเกลอกับธรรมชาติให้มากๆ เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านเป็น แล้วธรรมชาติก็จะช่วยแวดล้อมให้มีจิตใจเหมือนจิตใจของพระพุทธเจ้าได้โดยง่าย แล้วมันก็เป็นการง่ายขึ้นมาทันทีที่จะมีจิตใจเหมือนพระพุทธเจ้า แล้วเดินเวียนประทักษิณทำวิสาขบูชาในวันนี้ นี้เป็นการบอกกล่าวล่วงหน้าเพื่อเป็นการเตรียมตัวให้เพียงพอ ที่จะดูกันต่อไปก็เรื่องความเสียสละ อดกลั้นอดทน เราเคยชินในความสะดวกสบายจนกลายเป็นคนอ่อนแอ ในโอกาสเช่นนี้ก็ควรจะฝึกความเข้มแข็งกันเสียบ้าง อย่างว่าจะเวียนเดินประทักษิณมันก็จะต้องลำบากบ้าง หรือว่าถ้ายิ่งถอดรองเท้าแล้วมันก็ยิ่งลำบากไปกว่านั้นอีก แต่ก็ควรจะพยายามเพื่อให้เข้าถึงความจริงทุกอย่างทุกประการเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตามที่ พระพุทธเจ้าท่านเคยประสบหรือเป็นอยู่ ท่านต้องรู้ว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้สวมรองเท้า พระพุทธเจ้าไม่รู้จักมุ้งกันยุง แล้วไม่รู้จักอะไรหลายๆอย่างที่เราติดกันแจ เว้นไม่ได้ พอมาจะต้อง พอมาถึงเวลาที่จะต้องไม่ สละสิ่งเหล่านี้ ไม่มีสิ่งเหล่านี้เข้าจิตใจก็ฟุ้งซ่าน หงุดหงิด ขัดแค้น มันก็เป็นจิตใจที่ลุกเป็นไฟ ไม่เหมาะสมที่จะมาจุดธูปจุดเทียนบูชาพระพุทธเจ้าดอก ขอให้เสียสละในส่วนนี้กันบ้าง การกระทำวิสาขบูชานี้จึงจะมีความหมายตรงตามวัตถุประสงค์และตรงตามที่พระพุทธเจ้าท่านต้องการด้วย ไอ้เรื่องเล็กๆน้อยๆในเบื้องต้นคือเห็นแก่ปากแก่ท้อง เห็นแก่ความสะดวกสบายอะไรเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เป็นเรื่องเบื้องต้น เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ เป็นเรื่องของลูกเด็กๆที่จะต้องสละได้ จะต้องทำได้ แล้วก็ไปถึงเรื่องใหญ่หรือเรื่องจริงก็คือทำจิตใจให้เหมือนกับจิตใจของพระพุทธเจ้าคือไม่มีความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดโดยความเป็นตัวกูหรือเป็นของกู เรียกว่าในขณะนั้นมีร่างกายกับจิตใจหรือนามรูปอันบริสุทธิ์ ไม่มีกิเลสเกิดขึ้นรบกวนในขณะนั้น นั่นแหละมันจะมีอะไรเหมือนๆกันกับพระพุทธเจ้า แล้วเหมาะที่จะเข้าไปใกล้ แล้วก็เหมาะที่จะนั่งใกล้หรือเหมาะที่จะเดินเวียนประทักษิณ ขอให้เตรียมตัวกันในลักษณะอย่างนี้เพื่อทำวิสาขบูชาในวันนี้ เพื่อให้จิตใจเข้าถึงพระรัตนตรัยหรือเข้าถึงพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะก็ได้มันเหมือนกันหมด ซึ่งจะย้อนกล่าวให้ฟังอีก ย้อนมากล่าวให้ฟังอีกทีหนึ่งว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นี้ โดยเนื้อหาสาระนั้นเป็นสิ่งเดียวกันคือความไม่มีกิเลส คือความที่สะอาด สว่าง สงบ เรียกโดยภาษาธรรมดาๆ
เราบูชาสิ่งทั้ง ๓ นี้ในฐานะเป็นพระรัตนะ คือของมีค่าสูงสุด คำว่า รัตนะ นั้นก็แปลว่าสิ่งสูงสุด เมื่อคนเขาชอบแก้วแหวนเงินทองกันว่าเป็นสิ่งสูงสุดก็เลยเรียกสิ่งเหล่านั้นว่าเป็นรัตนะ ที่จริงคำว่ารัตนะนั้นจะหมายถึงอะไรก็ได้ แต่ให้หมายถึงสิ่งสูงสุด ในที่นี้เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นรัตนะ ความหมายของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เกิดเป็นรัตนะขึ้นมาได้นี้ก็มีอยู่ต่างๆกันแล้วแต่จะมองกันในแง่ไหน ใครมีปัญญาก็มองไปไม่มีผิดถ้าหากว่ามองไปในทางที่เป็นสิ่งสูงสุด สำหรับพระพุทธเจ้ามีคำกล่าวไว้ว่า ระตะนะภูตะสะรีระจิตตัง มีร่างกายและจิตใจเป็นของสูงสุด ร่างกายและจิตใจเป็นของสูงสุดอย่างไร มันก็ไปรวมอยู่ตรงที่ไม่มีกิเลส ไม่มีความรู้สึกเป็นตัวกูของกูซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลงแต่ประการใด เป็นอยู่อย่างนี้ตลอดไปโดยเด็ดขาด พระพุทธเจ้ามีร่างกายและจิตใจในลักษณะเช่นนี้ จึงได้ชื่อว่าเป็นรัตนะ ส่วนพระธรรมนั้นมีคำกล่าวว่า ระตะนะภูตะวิสุทธิสารัง คือมีวิสุทธิสาระเป็นรัตนะ วิสุทธิสาระหมายความว่ามีแก่นที่บริสุทธิ์ พระธรรมมีแก่นสารเป็นความบริสุทธิ์ แล้วมีความบริสุทธิ์แห่งแก่นสารนั้นเป็นรัตนะคือเป็นของสูงสุด สิ่งที่เรียกว่าแก่นนี่เขาจำแนกไว้หลายๆอย่าง หลายๆชั้น นับตั้งแต่ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุตติญาณทัสสนะเป็นลำดับไป พระธรรมในส่วนเบื้องต้นที่สุดก็คือศีล ถัดไปคือสมาธิ ถัดไปคือปัญญา ถัดไปก็คือวิมุติที่เป็นผลจากปัญญา แล้วก็เป็นวิมุตติญาณทัสสนะ คือมีความรู้สึกต่อวิมุตินั้นอยู่ ถ้ามี ๕ อย่างนี้ก็เรียกว่ามีสาระ ถ้าสาระทั้ง ๕ อย่างนี้บริสุทธิ์ดีทั้ง ๕ อย่างก็เรียกว่ามีวิสุทธิสาระ พระธรรมมีลักษณะอย่างนี้ ท่านจะดูพระธรรมในแง่ศีลก็ได้ ในแง่สมาธิก็ได้ ปัญญาก็ได้ วิมุติก็ได้ วิมุตติญาณทัสสนะก็ได้ หรือรวมกันทั้งหมดก็ได้ แล้วก็พบแต่สาระคือไม่มีส่วนไหนที่เหลวไหล แล้วความหมายอันแท้จริงก็คือความบริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์แห่งสาระเหล่านั้นด้วย แล้วความบริสุทธิ์แห่งบุคคลที่มีสาระเหล่านั้นด้วย มันก็เป็นเรื่องบริสุทธิ์ไปทั้งหมด นี้เรียกว่าพระธรรมเป็นรัตนะ เพราะมีความสูงสุดในการที่มีสาระแก่นสารอันบริสุทธิ์ สำหรับพระสงฆ์นั้นมีคำกล่าวว่า ระตะนะภูตะสุสีละทิฏฐิง มีศีลและทิฐิดีเป็นรัตนะ แยกออกเป็น ๒ อย่างคือเป็นศีลและเป็นทิฐิ เรื่องศีลนั้นหมายถึงการประพฤติ ความประพฤติทางกายทางวาจานี้เรียกว่าศีล ส่วนทิฐินั้นคือความรู้ ความคิดนึก ความเชื่อหรือสติปัญญาหรืออะไรทุกๆอย่างที่เกี่ยวกับจิตใจนั้นเรียกว่าทิฐิ ทั้งศีลและทั้งทิฐิของท่านถูกต้องและบริสุทธิ์ดี พระสงฆ์จึงเป็นสรณะ จึงเป็นรัตนะเพราะว่ามีศีลและมีทิฐิบริสุทธิ์ เราอย่าไปดูพระสงฆ์กันที่ตัวบุคคล มันจะไม่ถูกพระสงฆ์ เขาเรียกว่ากลายเป็นถูกลูกชาวบ้าน เพราะว่าคนนี้ก็ต้องเป็นลูกเป็นหลานของคนๆใดคนหนึ่งแล้วก็ไปบวช ถ้าดูกันที่บุคคลแล้วมันก็ถูกลูกชาวบ้านอย่างนี้ ถ้าดูที่คุณธรรมในใจแล้วก็จะถูกความหมายของคำว่าพระสงฆ์ คือความเป็นอันเดียวกันกับพระพุทธเจ้าที่มีอยู่มากหน่วยด้วยกัน ดังนั้นเราจะต้องดูพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ในความหมายที่ลึกซึ้งเสมอไป อย่าได้ดูในลักษณะภายนอก มันจะเกิดอาการเป็นวัตถุเป็นเนื้อเป็นหนังขึ้นมา ดังที่คนโบราณกล่าวว่าพระพุทธรูปบังพระพุทธเจ้า หนังสือหนังหา คัมภีร์ ตำรับตำราหรือเสียงที่แสดงธรรมนั้นบังพระธรรม และว่าลูกชาวบ้านนี่แหละบังพระสงฆ์ สำหรับข้อที่ว่าพระพุทธรูปเป็นต้นบังพระพุทธเจ้านั้น หมายความว่าคนส่วนมากมองไปติดอยู่แค่พระพุทธรูป ไม่ทะลุพระพุทธรูปไปถึงคุณธรรมของพระพุทธเจ้า อย่างนี้เรียกว่าพระพุทธรูปบังพระพุทธเจ้า และอีกอย่างหนึ่งท่านทั้งหลายจะต้องทราบไว้ว่าสิ่งที่เรียกพระพุทธรูปเป็นต้นนี้เป็นของเพิ่งเกิดมี ในพระ สมัยพระพุทธเจ้าไม่มีพระพุทธรูป พระพุทธเจ้านิพพานแล้วตั้ง ๖๐๐ กว่าปีจึงจะมีพระพุทธรูป เพราะฉะนั้นเรื่องพระพุทธรูปบังพระพุทธเจ้านี้เป็นของเพิ่งมีหลังจาก ๖๐๐ ปีมาแล้วแต่พุทธปรินิพพาน แล้วตอนแรกๆก็ไม่ค่อยจะบังมากนักเพราะไม่มีพระพุทธรูปกี่องค์ ต่อมาเมื่อมีพระพุทธรูปมากขึ้นๆ มากขึ้นก็จะมีการบังมากขึ้น แล้วจนมีเกลื่อนไปหมด จนไม่มีโอกาสที่จะมองดูอะไรให้เลยไปกว่านั้นได้เพราะยิ่งบังกันใหญ่ นี่เราเป็นพุทธบริษัทจะต้องฉลาดกว่านั้น คือจะต้องรู้ว่าพระพุทธรูปนี้คืออะไร เป็นสัญลักษณ์ของอะไร เนื้อแท้นั้นเล็งถึงอะไร ฉะนั้นถ้ามีการสร้างพระพุทธรูปที่ดีๆ ถูกต้องตามความมุ่งหมายนี้ก็ค่อยยังชั่วหน่อย คือว่าพระพุทธรูปที่มีสัญลักษณ์แสดงอยู่ที่นั่นเป็นความสะอาด เป็นความสว่าง เป็นความสงบ เป็นความไม่หวั่นไหว เป็นความมั่นคง ไม่มีกิเลสไม่มีความทุกข์ที่รบกวนให้หวั่นไหวได้ อย่างนี้ก็เป็นการดี แต่อย่าไปดูเพียงแค่พระพุทธรูป ต้องดูที่ความหมาย แล้วดูเลยไปถึงจิตใจของพระพุทธเจ้า ดูเลยไปถึงคุณธรรมที่มีอยู่ในจิตใจของพระพุทธเจ้าโดยผ่านทางพระพุทธรูป อย่างนี้ก็ยังเป็นการดี ทีนี้ถ้าพระพุทธรูปไม่ได้ทำให้มีอะไรสวยงามอย่างนั้นมันก็ยิ่งดูยากขึ้นไปอีก ก็จะต้องมีสติปัญญามากขึ้นไปอีกจึงจะดูออกว่ามีความหมายอันลึกซึ้งอย่างไร อย่าให้ตกอยู่ในวิสัยที่เรียกว่าพระพุทธรูปบังพระพุทธเจ้าแก่เราเลย ทีนี้สำหรับข้อที่ว่าพระคัมภีร์หรือเสียงที่แสดงธรรมบังพระธรรมนั้น มันก็คล้ายๆกัน คือว่าคนเรียกหนังสือหนังหา คัมภีร์ ตำรา ใบลานอะไรนี้ว่าเป็นพระธรรมอยู่ทั่วๆไป หรือถือว่าเสียงที่แสดงธรรมนี้เป็นพระธรรมอยู่ร่ำไป มันก็ติดอยู่แค่วัตถุนั้นๆ จะต้องดูให้เข้าใจลึกต่อไปถึง ลึกซึ้งถึงข้อที่ว่าพระธรรมนั้นเป็นนามธรรม เป็นคุณธรรมตรงตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์หรือตามที่แสดงธรรมเป็นวาจาอยู่นี้ คือเป็นความสะอาด สว่าง สงบ เป็นความดับกิเลสและเป็นความดับทุกข์ ภาวะชนิดนี้เรียกว่าพระธรรม ไม่มีรูปร่างไม่มีวัตถุเนื้อหนังจึงต้องพลอยแสดงออกมาทางสิ่งที่มีวัตถุเนื้อหนัง เช่นพระคัมภีร์ เป็นต้น หรือเสียงที่กำลังพูดอยู่นี้เป็นต้น เป็นสื่อแสดงซึ่งพระธรรมนั้น เราก็รู้ว่านี่เป็นสัญลักษณ์หรือเป็นที่ตั้งของความคิดความนึก จะต้องมีการพิจารณาให้เป็นอย่างดี ให้ถึงสิ่งที่เป็นสาระอันมีอยู่ในภายใน ก็จะเรียกว่าถึงพระธรรม อย่าให้พระคัมภีร์บังพระธรรมขึ้นมาได้เลย ทีนี้สำหรับพระสงฆ์ ที่พูดว่าลูกชาวบ้านบังพระสงฆ์นั้น ก็จะเห็นได้ตั้งแต่วันไปบวชนาค ทุกคนก็เคยไปร่วมการบวชนาค แล้วก็ไปเพื่อบวชลูกคนนั้นหลานคนนี้ ตามที่เป็นญาติกันบ้าง ตามที่เป็นพวกพ้องเกี่ยวข้องเกี่ยวดองอะไรกันบ้าง มันเป็นเรื่องลูกคนนั้นหลานคนนี้ไปทั้งนั้นทั้งที่บวชแล้ว แม้จะไปพบพระองค์นั้นทีไรก็นึกถึงแต่ในฐานะที่เป็นบุคคล เป็นลูกคนนั้นเป็นหลานคนนี้ หรือว่าเป็นเพื่อนของเรา เป็นที่สนิทสนมคุ้นเคยกับเราอย่างนี้ทั้งนั้น ไม่มีใครสนใจถึงว่าคำว่าพระสงฆ์หรือสงฆ์นั้นหมายถึงคุณธรรมของจิตใจที่มีความสะอาด สว่าง สงบอย่างเดียวกันอีก นี่แหละคือข้อที่พูดว่าลูกชาวบ้านบังพระสงฆ์ มันก็รู้จักแต่ลูกชาวบ้าน แม้จะไปสวมเครื่องแบบผ้ากาสาวพัสตร์หรืออะไรก็ยังเป็นลูกชาวบ้านอยู่นั่นเอง ไม่มีใครมองในส่วนลึกของจิตใจ เรียกว่าไม่รู้จักหรือไม่ถึงพระสงฆ์เลย
ทีนี้บัดนี้มาถึงเวลาที่เราจะต้องรู้จักหรือเข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์กันให้จริงๆ ก็จงทำความคิดนึกตามที่อาตมาได้กล่าวมานี้ แล้วก็ส่งใจไปตามนี้ กระทำให้ได้อย่างนี้ คือให้ผ่านทะลุพระพุทธรูปหรือให้ผ่านทะลุพระคัมภีร์ พระธรรมหรือผ่านบุคคล ลูกคนนั้นหลานคนนี้ ให้ตลอดไปจนถึงคุณธรรมที่มีอยู่ในจิตใจหรือที่ทำบุคคลให้เป็นนั่นเป็นนี่ คุณธรรมที่ทำบุคคลให้เป็นพระพุทธเจ้า คุณธรรมที่ทำบุคคลให้เป็นพระสงฆ์เหล่านี้เป็นสำคัญ เราต้องมีจิตใจถึงสิ่งเหล่านี้ในขณะที่เดินเวียนประทักษิณทำวิสาขบูชา มันจึงจะมีความหมายขึ้นมา ทีนี้ถ้าว่ามันหลายเรื่องนักคือมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ถึง ๓ ชนิด แล้วก็จงรู้จักหลอมเข้าให้เป็นสิ่งเดียวกันเสีย คืออยู่ที่คุณธรรมที่เป็นความสะอาด สว่าง สงบ มีคุณธรรมอย่างนี้อย่างเดียวก็พอแล้ว จะมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์รวมอยู่ในนั้น คุณธรรมนี้ทำบุคคลให้เป็นพระพุทธเจ้า คุณธรรมนี้เป็นตัวพระธรรมอยู่เองแล้ว แล้วคุณธรรมอันนี้ก็ทำบุคคลให้เป็นพระสงฆ์ที่แท้จริงด้วย เราคำนึงถึงแต่คุณธรรมอันนี้คือความสะอาด สว่าง สงบ และเมื่อดูกันต่อไปอีกก็จะเห็นว่าในขณะที่จิตใจว่างจากความรู้สึกว่าตัวกูว่าของกู นั่นแหละเป็นเวลาที่จิตใจประกอบอยู่ด้วยความสะอาด สว่าง สงบ มันจะผิดกันอยู่บ้างก็ตรงที่ว่าของเรามีชั่วคราว ของพระพุทธเจ้าท่านมีเป็นการถาวร ถ้าว่าโดยที่จริงแล้วมันก็เหมือนกัน หาก หากแต่ว่ามันผิดกันตรงที่ว่าอย่างหนึ่งมันอยู่ในอำนาจเป็นการถาวร อีกอย่างหนึ่งไม่ถาวรเดี๋ยวเกิดเดี๋ยวดับ เราก็เอาชั่วเวลาที่ว่างจากกิเลสเหล่านี้เป็นจิตใจชนิดที่จะเป็นเครื่องบูชาสักการะแก่พระรัตนตรัยในโอกาสเช่นนี้ มันก็ถึงที่สุดแล้วสำหรับสติปัญญาหรือความสามารถของเรา เราจงพยายามกระทำให้ได้อย่างนี้ในวันนี้โดยเฉพาะเวลาที่จะเวียนประทักษิณ เป็นการแสดงคารวะสูงสุดแก่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และเป็นที่ระลึกในวันประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เราดูกันให้เข้าใจว่าทำทำไม เพราะเหตุใดจึงได้ทำ และทำโดยวิธีใดจึงจะถึงที่สุด สำหรับวิสาขบูชานี้ก็มีความหมายสรุปสั้นๆได้ว่าเป็นการบูชา แล้วก็เป็นการระลึกถึง แล้วก็เป็นการซึมซาบในพระคุณของพระองค์ แล้วก็ถึงการมีจิตใจเหมือนพระองค์ เราจะต้องทำการบูชา นี้เป็นสิ่งที่จะต้องทำแม้โดยประเพณีก็ต้องทำ โดยความประสงค์ของเราเองก็ต้องทำ โดยเหตุผลที่สมควรเราก็ต้องทำ เพราะว่าการบูชานี้เป็นการช่วยให้เกิดความอ่อนน้อมถ่อมตน ให้ลดกิเลสที่เป็นเหตุให้ยกหูชูหาง เราจะได้มีการลดหรือถ่อมตนลงมา แล้วก็ให้เกิดสิ่งที่เราถือเป็นสรณะ เป็นแสงสว่าง เป็นเครื่องจูงจิตใจ เป็นเครื่องนำทาง เราจึงทำการบูชาเพื่อให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นมา ถ้าเราเป็นคนกระด้างไม่ยอมบูชาสิ่งใดสิ่งเหล่านี้ก็เกิดขึ้นมาไม่ได้ เราก็กลายเป็นคนที่ไม่มีแสงสว่าง การทำการบูชานี้เป็นการดี ขอให้ทำให้ถูกต้องตามความหมายอย่าให้เป็นเพียงพิธีรีตอง ทีนี้ในขณะที่ทำการบูชานั้น คือว่ากายวาจาบูชาไปนั้นจิตใจจะต้องมีการระลึกถึงสิ่งที่อยู่เบื้องหลังนั้นว่าเราบูชาสิ่งใด เช่นเราบูชาพระพุทธรูป เบื้องหลังพระพุทธรูปมีอะไร ก็คือมีคุณของพระพุทธเจ้า เราจะต้องระลึกนึกถึงสิ่งนั้นในขณะที่ทำการบูชา และจากนั้นก็มีการซึมซาบในพระคุณนั้นที่มันมามีอยู่ในจิตใจของเรา คือข้อที่เรารู้หรือเข้าใจว่าพระพุทธเจ้ามีจิตใจว่างจากกิเลส เดี๋ยวนี้เราก็เป็นผู้มีจิตใจว่างจากกิเลสอยู่ชั่วขณะหนึ่งคือจะรักษาความเป็นประภัสสรของจิตในขณะนี้ ชั่วระยะอันสั้นนี้ไว้ให้ได้ เราก็จะรู้ความที่จิตนั้นกำลังไม่มีกิเลส จึงมีจิตใจที่เหมือนกับจิตใจของพระพุทธเจ้าชั่วขณะหนึ่ง แล้วเราก็ซึมซาบในพระคุณของพระพุทธเจ้าที่เป็นความประเสริฐสูงสุดส่วนพระองค์เองอย่างไร แล้วมีประโยชน์แก่จิตใจของเราหรือคน สัตว์ทั้งหลายอย่างไร นี้เรียกว่ามีความซึมซาบในพระคุณ และในการทำอย่างนั้นมันก็มีความที่เรามีจิตใจเหมือนจิตใจของพระพุทธเจ้าด้วย นี่เราทำการบูชา แล้วเราทำการระลึกนึกถึง เรามีการซึมซาบในพระคุณ เราก็มีจิตใจเหมือนพระองค์ รวมกันแล้วคือการทำการบูชาในวันนี้ ทีนี้เพราะเหตุใดเราจึงทำการบูชากันเช่นนี้ ก็เพราะเหตุว่าตามปกตินี้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงนี้เป็นสัตว์ที่ยังมืดมน ยังไม่มีแสงสว่าง เราต้องแสวงหาแสงสว่างหาที่พึ่ง เพราะเหตุว่าขาดแสงสว่างหรือขาดที่พึ่งเราจึงต้องทำอย่างนี้ ทำการใกล้ชิดหรือว่าทำสิ่งที่จะทำให้เกิดการใกล้ชิดกันกับสิ่งที่เป็นแสงสว่าง แล้วเราทำให้มากเป็นพิเศษนี่ก็เพื่อให้มันได้ผลเป็นพิเศษด้วย ถ้าจะถามว่าทำเพื่ออะไร มันก็ทำเพื่อให้เกิดความสงบสุขขึ้นในโลก ในๆ ในสากลโลก ขอให้นึกถึงคำที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าตถาคตเกิดขึ้นในโลกเพื่อประโยชน์สุขเกื้อกูลแก่โลกทั้งเทวดาและมนุษย์ แต่ว่าการที่มีศาสนาของตถาคตอยู่ในโลกนี้จักเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขเกื้อกูลแก่โลกทั้งเทวดาและมนุษย์ และเมื่อพระองค์จะทรงส่งพระสาวกออกไปประกาศพระศาสนานั้นพระองค์ก็ทรงกำชับว่าเธอจงไป จงจาริกไปเพื่อความสุขเพื่อประโยชน์แก่โลกทั้งเทวดาและมนุษย์ ไอ้เรื่องประโยชน์แก่โลกทั้งเทวดาและมนุษย์นี่เป็นความประสงค์ของพระพุทธเจ้า แต่แล้วก็เป็นความต้องการอย่างยิ่งของสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง บางคนอาจจะไปนึกฟุ้งซ่านเสียว่าทั้งเทวดาและมนุษย์นี่มันจะมากเกินไป ทำให้เกิดความลังเลว่าเรื่องนี้ท่าจะหลอกกันเสียแล้ว ถ้าใครคิดอย่างนี้ก็อยากจะขอผลัดไว้ทีก่อนว่าอย่าเพิ่งคิด คำสอนของพระพุทธเจ้าหรือศาสนาของพระองค์จะต้องเป็นประโยชน์ทั้งแก่เทวดาและมนุษย์ด้วยเสมอไป ถ้าคิดอะไรไม่ออกก็คิดแต่เพียงว่าใครที่กำลังเหน็ดเหนื่อยอยู่ก็เป็นมนุษย์ ใครที่สบายไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยแล้วก็เป็นเทวดาก็แล้วกัน เพื่อให้มันเกิดความหมายขึ้นมาว่าพระธรรมของพระพุทธเจ้านี้จำเป็นทั้งแก่คนที่กำลังเหนื่อยและคนที่สบายแล้ว ในโลกนี้ดูจะไม่มีมนุษย์มากไปกว่า ๒ จำพวกนี้ คือมนุษย์จำพวกหนึ่งกำลังสบายอยู่ มนุษย์อีกจำพวกหนึ่งก็เหน็ดเหนื่อยอยู่ ถ้าเหน็ดเหนื่อยอยู่ก็เป็นมนุษย์ ถ้าไม่เหน็ดเหนื่อย สบาย เป็นที่พอใจก็เป็นเทวดา ทีนี้แม้ว่าในคนๆเดียวกันนั่นแหละ ในขณะที่เหน็ดเหนื่อยอยู่ก็สมัครเป็นมนุษย์ไปก่อน พอถึงชั่วโมงที่ไม่มีความเหน็ดเหนื่อย สบายดีแล้วก็ถือเอาว่าเป็นเทวดาก็แล้วกัน สักกี่นาทีก็ได้ เป็นมนุษย์เป็นเทวดาสลับกันไปอย่างนี้ดีกว่ามันง่ายดี แล้วทีนี้ก็มามองเห็นไอ้ความสำคัญอยู่ตรงที่ว่าชั่วโมงที่เราเหน็ดเหนื่อยก็ดี ชั่วโมงที่เรากำลังแสนสบายก็ดี ล้วนแต่ต้องการธรรมะทั้งนั้น ปราศจากธรรมะแล้วไม่เป็นคนไม่เป็นมนุษย์เลย ต้องรู้จักใช้ธรรมะทั้งในเวลาที่เป็นชั่วโมงเหน็ดเหนื่อยและชั่วโมงที่สบายดี เรียกว่าทั้งเวลาพักผ่อนและทั้งเวลาทำการงานจะต้องประกอบอยู่ด้วยธรรมะทั้งนั้น นี่ให้เพื่อเกิดความสุขเกื้อกูลแก่โลกทั้งเทวดาและมนุษย์ ก็หมายความว่าไม่ยกเว้นใคร เราจะนึกถึงข้อนี้แล้วทำการบูชาว่าเราทำการบูชานี้เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่คนทั้งโลกทั้งเทวดาและมนุษย์ตามที่พระพุทธเจ้าท่านต้องการ ให้ทุกคนตั้งใจอย่างนี้ ให้มีความเมตตากรุณาแก่กันและกัน ไม่มีเขาไม่มีเรา แม้ตัวเราเองก็ยังรู้จักทำให้เป็นผู้ที่มีความเยือกเย็นเป็นนิพพานทั้งเวลาที่ทำการงานและทั้งเวลาที่ไม่ทำการงาน ทีนี้ถ้าจะถามว่าจะทำให้ได้ประโยชน์อย่างนี้ได้โดยวิธีใด คำตอบมันก็มีเหมือนกับที่กล่าวมาแล้วข้างต้นๆ เราจะต้องทำโดยวิธีที่เข้าถึงพระพุทธเจ้าพระองค์จริงให้ได้ และเราทำให้พระพุทธเจ้ายังมีอยู่กับเรา ถ้าใครคิดว่าพระพุทธเจ้านิพพานแล้ว แล้วก็ตั้งสองพันกว่าปีแล้ว นิพพานไปไหนแล้ว ไม่มีร่องรอยแล้วนั้นก็ยังเป็นคนที่ไม่รู้จักพระพุทธเจ้า แล้วบางทีจะเป็นคนโง่ที่สุดในหมู่พุทธบริษัท เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านจะอยู่กับคนทุกคนและตลอดเวลา ท่านว่าธรรมะก็ดี วินัยก็ดี ที่แสดงแล้วที่บัญญัติแล้วนั้นจักอยู่เป็นศาสดาของพวกเธอ นับแต่เวลาที่เราล่วงลับไปแล้วโดยร่างกาย คือว่าร่างกายของพระองค์ล่วงลับไป พระองค์ทรงประสงค์จะให้ธรรมะและวินัยอยู่เป็นพระองค์ แทนพระองค์ หรือว่าเป็นพระองค์จริง อยู่กับพวกเราทั้งหลาย นี่เราต้องทำโดยวิธีที่ว่าพระองค์จริงนั้นจะอยู่กับเราตลอดเวลาด้วย แล้วก็หวัง หวังพึ่งผู้อื่น ไม่ได้ ต้องทำเอง ด้วยการประพฤติปฏิบัติของเราเอง กระทำโดยวิธีที่จะให้มีความสะอาด สว่าง สงบอยู่ในจิตใจของเรา นั่นแหละคือพระพุทธเจ้าพระองค์จริงที่อยู่กับเรา เราต้องทำโดยวิธีนี้ ถ้าจะให้ระบุข้อปฏิบัติเป็นชื่อชัดๆลงไปก็ได้แก่การปฏิบัติที่เป็นความถูกต้อง ๘ ประการที่เรียกว่าอริยมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งได้ยินได้ฟังกันอยู่ทุกคน ศึกษาเป็นที่เข้าใจกันอยู่แล้วทุกคน เป็นความถูกต้อง ๘ ประการคือความถูกต้องในความคิดเห็น แล้วความถูกต้องในความมุ่งมาดปรารถนา ความถูกต้องในการพูดจา ความถูกต้องในการทำการงาน ความถูกต้องในการดำรงชีพอยู่ แล้วความถูกต้องในความพากเพียรพยายาม และความถูกต้องในการดำรงสติ แล้วก็ความถูกต้องในการมีสมาธิ เป็นความถูกต้อง ๘ ประการนี้อย่างนี้ ถ้ามีอยู่แล้วนั่นแหละจะเป็นการทำให้พระพุทธเจ้าอยู่กับเรา แล้วก็อยู่ในหัวใจของเราด้วยตลอดเวลาทีเดียว เราจะทำวิสาขบูชาหรือไม่ทำวิสาขบูชาเวลาไหนก็ตามต้องปฏิบัติอยู่ในลักษณะอย่างนี้ คือในความถูกต้อง ๘ ประการนี้แล้วพระพุทธเจ้าก็อยู่กับเราโดยเต็มที่ ทีนี้ถ้าจะถามว่าจะทำเมื่อไรกัน ไอ้การทำอย่างนี้ทำได้ทุกเวลา ไม่จำกัดเวลา และเราต้องทำทุกเวลาด้วย แต่สำหรับในเวลาเช่นวันนี้ ที่สมมุติว่าเป็นวันวิสาขบูชานี้ทำมากเป็นพิเศษสุดกำลัง รวมทั้งในลักษณะที่เป็นพิธีการ ที่เป็นพิธีการนี้ทำเพื่อเป็นการผูกพันให้คนทั้งสิ้นทั้งปวงนี้มาร่วมกันทำ เป็นการดึงคนที่ไม่เอาจริงให้มาเอาจริง เป็นการดึงลูกเด็กๆให้มากระทำร่วมกับผู้ใหญ่ หรืออะไรต่างๆที่เป็นการผูกพันให้เป็นล่ำเป็นสันเราจึงทำเป็นพิเศษเช่นวันนี้ วัน วันอื่นๆเราอาจจะนึกพอสถานประมาณเพียงว่าให้มีจิตใจสบายก็แล้วกัน แต่ในวันนี้เราต้องทำมากเป็นพิเศษและมีการรู้สึกสำนึกในพระคุณ แล้วก็บูชาพระคุณนั้นอยู่ในลักษณะที่พิเศษ นี่จึงว่าเวลาเช่นวันนี้ทำมากเป็นพิเศษ แต่ก็ต้องทำทุกวัน สรุปความในที่สุดว่าการทำวิสาขบูชานี้เป็นการทำตัวเองให้ใกล้ชิดหรือให้เข้าถึงหรือให้เป็นอันเดียวกันกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์โดยเฉพาะสักขณะหนึ่ง คือขณะที่เวียนเทียนอยู่ไม่กี่นาทีนั้นก็ยังเป็นการดี ขอให้ท่านทั้งหลายเตรียมจิตเตรียมใจเตรียมทุกอย่างเพื่อให้สำเร็จประโยชน์ตามนี้ และกระทำได้ในเวลาที่เราจะทำประทักษิณ
ที่พูดมาทั้งหมดนี้เพื่อช่วยในส่วนการตระเตรียม ให้ตระเตรียมกันให้พร้อมไว้ตั้งแต่บัดนี้ จนกว่าจะถึงเวลาที่จะทำเวียนเทียนประทักษิณ และขอให้มีความเสียสละให้สมกันกับที่พระพุทธเจ้ามีพระคุณแก่เราอย่างไร ถ้าเรารู้สึกหรือถือว่าพระพุทธเจ้ามีพระคุณใหญ่หลวง มหาศาลไม่มีอะไรเปรียบปรานแล้ววันนี้เราก็ต้องเสียสละอย่างมหาศาลไม่มีอะไรเปรียบปรานเหมือนกัน เพราะฉะนั้นอย่าไปห่วงเรื่องกินเรื่องนอนเลยมันเป็นเรื่องของลูกเด็กเล็กๆ และคนขี้ขลาด และคนอกตัญญู โดยที่ไม่รู้จักเสียสละให้มันสมควรกัน จะยกตัวอย่างสักข้อหนึ่งเช่นว่าไม่นอนตลอดคืนวันนี้ คนเขาก็แก้ตัวว่าไม่สบายบ้าง ทนไม่ไหวบ้าง จะเจ็บไข้ขึ้นมาบ้าง แต่แล้วมันก็ไม่จริง ถ้าไปดูหนังดูละครไปเต้นรำอย่างนี้ก็ยังทำได้สว่าง เล่นหมากรุกเล่นไพ่ก็ยังเล่นได้สว่าง แล้วก็ไม่เห็นเป็นอะไร ทีนี้มันมีอีกทางหนึ่งที่ว่าถ้าจิตใจของเรามีความผูกพันจริงมันก็ไม่ง่วงนอน เหมือนกับว่าบิดามารดาหรือลูกหรือหลานเจ็บป่วยหนัก มันจะขาดใจตายอยู่เดี๋ยวนี้แล้วก็ไม่มีใครนอนหลับ ก็นั่งเฝ้าดูมันได้จนสว่าง เรื่องธรรมดาสามัญอย่างนี้ยังอยู่กันได้สว่าง แต่ทีถึงเรื่องของพระพุทธเจ้ากลับเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อยว่าเราสมมติกันว่าวันนี้เป็นวันประสูติ เป็นวันตรัสรู้ เป็นวันปรินิพพานของพระพุทธเจ้าผู้มีบุญคุณมหาศาลแก่เรา ทำไมเราจะไม่นึกดูบ้างว่าเราจะลุกขึ้นแต่เช้ามืด ไปอยู่เงียบๆเหมือนกับนั่งแอบดูพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ ท่านประสูติ ท่าน ท่านตรัสรู้เวลาเช้า แล้วก็พอถึงตอนเที่ยงก็เหมือนกับว่าเราไปนั่งแอบดูพระพุทธเจ้าประสูติที่สวนลุมพินี ตอนเที่ยงหรือตอนจวนบ่ายนี่พระพุทธเจ้าประสูติที่สวนลุมพินี แล้วพอตกกลางคืนตอนหัวค่ำพระพุทธเจ้าปรินิพพาน แล้วคืนนั้นก็ไม่มีใครนอนกันเลย พระ พระเถระพระสาวกทั้งหลายไม่มีใครนอนได้ ไม่มีใครหลับลง ทำธุระต่างๆเกี่ยวกับการปรินิพพานของพระพุทธเจ้าแล้วก็สนทนาธรรมเป็นการฆ่าเวลา ไม่มีใครเคยนอนในวันนั้น แล้วเดี๋ยวนี้เราเอามาบวกรวมกันเป็น ๓ เรื่อง เรื่องประสูติ เรื่องตรัสรู้ เรื่องปรินิพพานถึง ๓ ความหมาย ๓ น้ำหนักแล้วก็น่าจะไม่มีใครนอนลง สำหรับผู้ที่ทำจิตใจถึงพระคุณของพระองค์อยู่เสมอแล้วน่าจะไม่มีใครนอนลง คือจะไม่ง่วงนอน ฉะนั้นมันควรจะเป็นการเสียสละถึงขนาดนี้หรือพอขนาดนี้ มันจึงจะเรียกว่าพอสมสัดสมส่วนแก่กันและกันกับพระคุณของพระพุทธองค์ที่มีอยู่อย่างมหาศาลแก่พวกเรา และเราก็ยอมรับอย่างนั้น เพื่อไม่ให้การยอมรับอย่างนั้นเป็นแต่เพียงปากพูดอย่างเดียวก็ต้องแสดงออกมาให้เห็นในวันเช่นวันนี้ ว่าจะต้องมีปีติปราโมทย์ในธรรม หรือมีปีติปราโมทย์ในคุณของพระองค์จนกระทั่งไม่ง่วงนอน ไม่เหนื่อยไม่เมื่อย ไม่ขบไม่ขัดไม่อะไรหมดตลอดวันหนึ่งและคืนหนึ่งนี้ และกล้าสมาทานอุโบสถพระศีล เป็นต้น เพื่อเป็นเครื่องบูชาคุณของพระองค์ด้วย อย่ามัวขี้ขลาดถือแต่ศีล ๕ อยู่ในวันเช่นวันนี้เลยมันเป็นลูกเด็กๆมากเกินไป ศีลอุโบสถก็ยังจะน้อยไปด้วยซ้ำ ยังจะต้องมีอะไรเพิ่มจากนั้นอีก เช่นการสวดมนต์ภาวนา การอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างตลอดวันหนึ่งคืนหนึ่งนี้ให้เป็นเครื่องบูชาแก่พระคุณของพระองค์จริงๆเถิด การทำวิสาขบูชาของเราก็จะมีความหมาย มีความถูกต้องและมีความสมบูรณ์โดยทุกประการ ธรรมเทศนาแสดงมาเพื่อเป็นการตระเตรียมเนื้อตัว เพื่อการกระทำวิสาขบูชาในโอกาสต่อไปในวันนี้ ก็นับว่าเป็นการสมควรแก่เวลา ยุติธรรมเทศนาแต่เพียงนี้ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้