แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันที่ ๒๗ พฤษภาคม ถ้านับอย่างใหม่ก็ล่วงไปตั้ง ๔ ชั่วโมงแล้ว แต่ถ้านับอย่างเก่าก็ยังไม่มา โยมบอกผมว่า ผมเกิดเวลาพระออกบิณฑบาต ฉะนั้นอีกสัก ๓ - ๔ ชั่วโมง จึงจะมีอายุครบ ๖๓ ปีบริบูรณ์ เดี๋ยวนี้ก็ยังขาดอยู่ ๓ - ๔ ชั่วโมง เพราะฉะนั้นมันก็เป็นการบอกอยู่ในตัวแล้วว่าเรื่องอายุหรือเรื่องอะไรทำนองนี้ก็เป็นเรื่องสมมุติ อย่างว่าถ้านับอย่างเก่าก็ไปอย่างหนึ่ง นับอย่างใหม่ก็ไปอย่างหนึ่ง นับอย่างเต็มขวบปีก็ไปอย่างหนึ่ง นับไม่เต็มขวบปีก็ไปอย่างหนึ่ง นับอย่างคนธรรมดานับเดี๋ยวนี้ก็มีอายุตั้ง ๖๔ ปีแล้ว ถ้านับกันจริงๆ ก็มีอายุเพียง ๖๒ ปีเศษ ยังขาดอยู่อีก ๓ - ๔ ชั่วโมง จึงจะได้อายุ ๖๓ ปีเต็ม นี้ก็เป็นข้อแรกที่จะต้องคิดดูว่ามันเป็นเรื่องหลอกๆ กันอย่างไร และมันเป็นเรื่องสมมุติอย่างไร มันเป็นเรื่องที่มนุษย์บัญญัติเอาตามความชอบใจของมนุษย์ ซึ่งสัตว์เดรัจฉานมันคงจะหัวเราะ ผมก็นั่งดูปลาตามเคยเป็นประจำวันแม้วันนี้ คนก็คงจะคิดว่าสัตว์เหล่านี้มันโง่ ไม่รู้วันเดือนปี ไม่รู้อายุของตัวว่ากี่เดือนกี่ปี เป็นสัตว์ที่โง่ คนทั่วไปก็คงจะคิดอย่างนี้ แต่ถ้ามองกันอีกทีหนึ่ง มองอย่างเป็นเพื่อนที่หวังดีต่อกันมันกลับจะเป็นผู้ที่ล้ออายุได้ดีกว่าเรา อายุทำอะไรมันไม่ได้ หรือพูดอีกทีหนึ่งว่ามันก็อยู่เหนือความมีอายุ ฉะนั้นมันก็ต้องเหนือความแก่ความเจ็บความตายอะไรด้วย มันไม่ได้ห่วงเรื่องความแก่ มันไม่รู้เรื่องความแก่ มันก็ไม่ได้ห่วงเรื่องความตาย แม้ความตายมาถึง มันก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นความตายเหมือนที่มนุษย์รู้สึก นี่คือแง่ที่มันล้ออายุได้ดีกว่าเรา หรือมันมีความรู้สึกอยู่เหนืออายุ มันก็เป็นผู้ชนะโดยไม่รู้สึกตัว นี่ผมชอบ innocence ของพวกสัตว์ในลักษณะอย่างนี้ เพราะฉะนั้นจึงอยากจะเป็นเพื่อนกับมัน
ทีนี้ย้อนมาพูดเรื่องสมมุติกันใหม่ คนรู้จักสมมุติรู้จักบัญญัติเรื่องวันเดือนปี หรือภาวะอย่างนั้นอย่างนี้เรียกว่าอย่างนั้นอย่างนี้ แต่แล้วสัตว์มันไม่รู้จัก มันก็อยู่เหนือสมมุติเหนือบัญญัติโดยวิธี innocence ไม่ต้องลงทุนอะไรเลยสักสตางค์เดียว นี่คือข้อที่มนุษย์มันรู้มากยากนาน ยิ่งรู้มากยิ่งยากนาน แล้วคนก็ยังยิ่งอยากจะรู้มาก มันก็เป็นเรื่องยิ่งยากนานอยู่นั่นแหละ และปัญหาส่วนใหญ่มันก็อยู่ที่เรื่องสมมุติบัญญัตินี่เอง สมมุติบัญญัติว่ามีอายุเท่านั้นเท่านี้ปี แต่แล้วการนับวันเดือนปี มันก็ยังยุ่งไปตามที่มนุษย์จะสมมุติ เดี๋ยวขึ้นปีใหม่กันเดือนนั้นเดือนนี้ เดี๋ยวก็ไปขึ้นเป็นเดือนอื่น เดี๋ยวขึ้นปีใหม่เวลาพระอาทิตย์รุ่งอรุณ เดี๋ยวขึ้นปีใหม่เวลาเที่ยงคืนอย่างนี้เป็นต้น พวกสัตว์มันก็จะหัวเราะเยาะว่านี่เองมันความบ้าของมนุษย์ และมนุษย์ยิ่งรู้มากยิ่งยากนาน คุณก็ลองคิดดูให้ดีๆ นี่ถ้าว่าเราจะทำบุญแบบล้ออายุกันบ้างนี่จะต้องทำอย่างไร อย่างน้อยมันก็ต้องอยู่เหนือความหมายเรื่องสมมุติเรื่องบัญญัติเรื่องอะไรเหล่านี้ ฉะนั้นจะต้องรู้จักสิ่งที่เรียกว่าสมมุติหรือบัญญัตินี้กันให้มาก คือถึงขนาดที่ว่ามันจะไม่ทำให้เกิดปัญหายุ่งยากขึ้นในใจ เดี๋ยวนี้มนุษย์มีปัญหายุ่งยากลำบากก็ล้วนแต่เรื่องสมมุติทั้งนั้น เพราะว่าถ้าไม่มีสมมุติไม่มีอะไรเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นถือมั่น ยิ่งมีสมมุติเท่าไหร่ก็ยิ่งมีที่ตั้งแห่งความยึดมั่นถือมั่นมากขึ้นเท่านั้น ฉะนั้นความมุ่งหมายของธรรมะในพุทธศาสนา ก็เป็นเรื่องทำลายสมมุติหรือบัญญัติเพื่อให้ความยึดมั่นถือมั่นนี้ไม่มีที่ตั้งไม่มีที่อาศัย นี้เรียกว่าเป็นวิธีที่ลึกซึ้งแยบคาย เป็นอุบายเป็นความคิดสูงสุดของมนุษย์ หรือเป็นยอดสุดของวัฒนธรรมทางจิต ถ้าคุณอยากจะรู้จักพุทธศาสนาก็จะต้องรู้ข้อนี้ ซึ่งเป็นหัวใจของเรื่องหรือเป็นใจความสำคัญ ก็จะต้องรู้จักสิ่งที่เรียกว่าสมมุติหรือบัญญัติในฐานะที่เป็นสิ่งที่สมมุติหรือบัญญัติ และความยึดมั่นถือมั่นก็จะไม่มีที่ตั้งที่อาศัย คือมันจะไม่ยึดมั่นถือมั่น มันก็ได้ผลทั้งหมดตามความมุ่งหมายของพุทธศาสนา ฉะนั้นผมจึงนึกว่า เอ้ย,ทำบุญเกี่ยวกับอายุนี้ มันก็มีทั้งชนิดที่ทำให้โง่มากขึ้นและชนิดที่จะถอยหลังออกมาเสียจากความโง่ ถ้าเป็นเรื่องขี้ขลาดจะต่ออายุ มันก็เรื่องหลงติดในสมมุติและบัญญัติมากไปกว่าเดิม ถ้าเป็นเรื่องรู้ความลับหรือความจริงหรือข้อเท็จจริงต่างๆ มันก็เป็นเรื่องน่าหัวเราะในการที่จะต่ออายุ ฉะนั้นเป็นเรื่องที่ควรจะล้ออายุด้วยการทำบุญล้ออายุกันดีกว่า อย่างที่เราเคยพูดกันมาสองสามปีแล้วเรื่องทำบุญล้ออายุ ผมก็สมัครเอากับเขาคนหนึ่งด้วยในวิธีอย่างนี้ คือดูแล้วเป็นของน่าหัวเราะเยาะ เป็นเรื่องล้อ
ฉะนั้นแทนที่จะให้มีการเลี้ยงกันอย่างเอิกเกริก เราควรจะล้อมันด้วยการที่ไม่กินอะไรเสียเลยนี่ จึงจะเป็นการถูกกว่า ถูกต้องกว่า ฉะนั้นถ้าใครจะให้ของขวัญทำบุญล้ออายุแล้วก็ ควรจะให้ด้วยการหยุดกินข้าวเสียสักวันหนึ่ง เหมือนที่เคยพูดกันมาแล้วปีก่อนๆ เพราะว่าวันที่เราเกิดมาก็ไม่ได้กินอะไรเลย ก็อยู่ได้ก็ไม่ตาย ทีนี้ต่อมาวันต่อมามันก็รู้จักกินอาหาร แล้วก็รู้จักยึดมั่นถือมั่นในเรื่องอาหารมากขึ้นทุกที จนถึงกับว่าเสพกินกันให้เต็มที่เกินขนาดตะกละตะกลามในวันที่ทำบุญอายุ ฉะนั้นทำบุญอายุเขาก็เลี้ยงกันใหญ่ เพราะเขากลัวตาย อยากจะต่ออายุหรือว่าฉลองอายุหรืออะไรทำนองนั้น ฉะนั้นมันก็เป็นเรื่องแหวกแนวอยู่บ้างที่จะทำบุญโดยวิธีล้ออายุกันดูเล่นบ้าง มันเป็นเรื่องท้าทายสมมุติและบัญญัติ ไม่หลับหูหลับตาก้มหัวให้สมมุติหรือบัญญัตินี้มันขึ้นขี่ ขึ้นนั่งอะไรอยู่บนหัว เพราะความคิดอย่างนี้ถูก มันก็ต้องได้ประโยชน์ชนิดที่เรียกว่ารวบรัด หรือว่าตัดลัดไปสู่หัวใจของพุทธศาสนา โดยวิธีที่ออกจะหรือว่าเป็นที่แหวกแนว
ทีนี้จะพูดกันถึงเรื่องข้อเท็จจริงบางอย่างว่า การล้ออายุหรืออะไรนี่ มันจะทำได้ต่อเมื่อรู้สึกว่าอายุเป็นสิ่งที่น่าล้อ เดี๋ยวนี้ไม่มีใครคิดว่ามันเป็นสิ่งที่น่าล้อ เขาคิดว่ามันเป็นสิ่งที่น่าสงวนน่าเคารพน่านับถือน่าเทิดทูนอะไร จึงได้ลงทุนทำบุญให้มันต่อให้มันอะไร ไม่เคยคิดว่าน่าล้อแต่คิดว่าน่าต่อหรือว่าน่าอะไรทำนองนั้น ฉะนั้นถึงผมก็เหมือนกัน เพิ่งจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่น่าล้อ ก็ต่อเมื่อมันได้ผ่านมาตั้งหลาย ๑๐ ปี ตั้ง ๕๐ - ๖๐ ปีมันจึงจะเริ่มความรู้สึกที่ว่ามันเป็นเรื่องน่าหัวเราะหรือน่าล้อเล่นมากกว่าที่จะไปเทิดทูนหรือบูชา นี้ก็ลองคิดดูว่าพวกคุณหนุ่มๆ นี่ จะมีทางล้ออายุได้อย่างไร คือว่าพวกคุณกำลังมีความรู้สึกต่อสิ่งที่เรียกว่าอายุในลักษณะอย่างไร บางทีจะไม่ได้นึกถึงสิ่งที่เรียกว่าอายุด้วยซ้ำไป เรียกว่าเมามันตะบึงตะบันไปในเรื่องหาเรื่องได้เรื่องเสียเรื่องอะไรทำนองนั้น เต็มไปด้วยความหวังอะไรต่างๆ ที่มันเป็นเรื่องสมมุติบัญญัติทั้งนั้น อย่างที่เรียกว่าหมดสิ้นทั้งชีวิตจิตใจไม่มีอะไรเหลือ ความหวังหรือความหลงอันนี้มันก็เป็นเรื่องที่มองดูอายุในแง่ที่มีค่าสูงสุดหรือน่าบูชาน่าอะไรในทำนองนั้น มากกว่าที่จะนึกว่ามันเป็นเรื่องที่น่าล้อ ฉะนั้นการที่ผมเอาเรื่องล้ออายุมาพูดกับคุณนี่ ผมก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกันว่ามันเป็นเรื่องที่น่าล้อผมด้วยหรือเปล่า แต่อย่างไรก็ดี เรื่องนี้มันเป็นเรื่องพูดกันไปได้ในฐานะเป็นการเตือนให้ไม่ประมาท เพราะมีชีวิตอยู่ด้วยความประมาท หลงใหลในสมมุติบัญญัติว่ามีตัวกูมีของกู ยกหูชูหางในความนั่นความนี่ บางทีก็หางหดในเมื่อมันไม่ประสบความสำเร็จ ไม่อย่างนั้นอย่างนี้ก็มีอยู่แต่อย่างนี้ ต่อเมื่อมองเห็นสิ่งเหล่านี้ภาวะชนิดนี้มากพอ มันจึงจะเกิดความรู้สึกขบขันหรือหัวเราะด้วยความขบขัน อายุมันก็ผ่าเข้าไปตั้ง ๕๐ ปี ๖๐ ปี ๗๐ ปี กว่าจะรู้สึกได้ นี่ถ้าใครรู้สึกได้ก่อนหน้านั้นก็นับว่ามีบุญ มีบุญหรือไม่มีบุญกันก็เอากันที่ตรงนี้ก็แล้วกัน มันแน่นอน บุญอย่างอื่นนั่นมันเป็นเรื่องว่าเอาเอง เป็นเรื่องสมมุติบัญญัติอีกเหมือนกัน ถ้าจะมีบุญชนิดแท้จริง ล้างบาปล้างความโง่กันได้แล้วมันก็ต้องเป็นเรื่องนี้ คือรู้เรื่องอายุนี่ว่าอะไรว่าเป็นอย่างไร เป็นผู้ที่มองเห็นอายุ คือเกี่ยวกับเวลาล่วงไปๆ มันก็เกิดความไม่ประมาทขึ้นมาในอันดับแรก ความไม่ประมาทของเด็กอมมือน่ะ ความไม่ประมาทอันดับแรก มันก็ยังดีที่ว่ามันเป็นความไม่ประมาท คือมันรีบทำนั่นรีบทำนี่รีบขยันตัวเป็นเกลียวเหมือนกัน แต่มันทำไปในฐานะที่ว่าเป็นทาส เป็นทาสเป็นขี้ข้า เป็นขี้ข้าของความอยากของความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่สมมุติบัญญัตินั้น
ฉะนั้นเราก็เห็นคนที่ไม่ประมาทรีบทำนั่นทำนี่กันอยู่ทั่วไปด้วยความไม่ประมาทอย่างของเด็กอมมือ ความไม่ประมาทที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเมื่อจะนิพพานว่าจงถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท นั่นมันเป็นความไม่ประมาทที่มากกว่านั้น ที่สูงกว่านั้น ที่ไกลกว่านั้น ความไม่ประมาทของผู้ที่มองเห็นชีวิต อายุ การงาน ความทุกข์ ความสุขอะไรอย่างถูกต้องแล้ว และก็รีบดับความทุกข์หรือดับความยึดมั่นถือมั่น ไม่ใช่ให้ความยึดมั่นถือมั่นดึงจูงไปรีบทำอะไรเร็วๆ เร็วๆ เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรตินี่เอากันเร็วๆ มันก็ต้องเรียกว่าเป็นความไม่ประมาทของเด็กอมมือ อย่างที่พวกคุณอาจจะหาพบในตัวเอง เพราะว่าคนหนุ่มๆ ก็กำลังหวัง กำลังดิ้นรน กำลังต่อสู้ กำลังอะไรอยู่ทั้งนั้นแหละ เป็นความไม่ประมาทในส่วนนี้ แล้วมันก็เพื่ออะไรนี่ ถ้ารู้ว่าเพื่ออะไรนี่มันจะเป็นเครื่องตัดสินว่าเป็นความไม่ประมาทอย่างเด็กอมมือหรือว่าอย่างผู้ที่รู้จักโลกดีอย่างถูกต้อง ทีนี้มันก็เกี่ยวกับการล้ออายุหรือว่าการบูชาอายุอยู่โดยตรง รวมความแล้วว่ามันเห็นภัย เห็นความคุกคามของความตายนี่ แล้วก็เกิดเคลื่อนไหวขึ้นมาทีเดียว เคลื่อนไหวในทางไหนก็แล้วแต่ความโง่หรือความฉลาด ความรู้หรือความไม่รู้ ความยึดมั่นมากยึดมั่นน้อยหรือไม่ยึดมั่นเลย ฉะนั้นเราจึงอ่านพบเรื่องในพระไตรปิฎกว่าเมื่อมันมองเห็นความล่วงไปของเวลานี้แล้ว พวกเทวดาบอกว่ารีบทำบุญเข้า รีบทำบุญเข้า แต่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่ารีบละเหยื่อในโลกเสีย รีบละเหยื่อในโลกเสีย นี่พระบาลีสังยุตตนิกายมีเรื่องอย่างนี้ เทวดาก็มาพูดทำนองอวด อวดเก่งอวดรู้กับพระพุทธเจ้าว่าเขาคิดว่าถ้าเห็นภัยในการล่วงไปของเวลาแล้วก็ต้องรีบทำบุญ รีบทำบุญ รีบทำบุญ ทำนองถาม ทำนองทูลถามพระพุทธเจ้าว่าความคิดอย่างนี้มันถูกไหม พระพุทธเจ้าท่านเป็นพระพุทธเจ้านะ ท่านไม่เคยว่าใครผิดนะ ท่านบอกว่าถูกอย่างของเธอ ถูกอย่างของท่าน แต่เราอยากจะพูดว่า ถ้าเห็นภัยอันนี้แล้วก็รีบคายเหยื่อในโลกเสีย เทวดาจะฟังถูกหรือไม่ถูกหรือว่าทำอย่างไรต่อไปก็ไม่เห็นมีเรื่องกล่าวไว้ในพระสูตรนั้น ถ้าเอาเรื่องของเราเข้าไปวัด มันก็มองเห็นทันทีว่าให้รีบทำบุญเข้า รีบทำบุญเข้า นี่มันคงต่ออายุ ทีนี้พระพุทธเจ้าตรัสว่าคายเหยื่อในโลกเสีย นี่คือล้ออายุ กินของสกปรกเข้าไปมากแล้ว รู้จักคายกันเสียบ้าง เรื่องกินเรื่องกามเรื่องเกียรติที่พวกคุณหวังกันนักนั่นแหละ เขาเรียกว่าโลกามิส คือเหยื่อในโลก ถ้าใครรู้จักชีวิตพอจนถึงกับเห็นว่า มีความตายคุกคามอยู่แล้วก็รีบคายเหยื่อในโลก รีบคายเหยื่อโลกนี้เสีย เมื่อเอามาเทียบกันดูมันก็เป็นเรื่องตรงกันข้าม ตรงกันข้ามดิกกันเลย ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย เรื่องความหมายของการต่ออายุกับเรื่องล้ออายุนี้ ความหมายมันตรงกันข้าม ฉะนั้นใครจะไป ใครจะเป็นลูกศิษย์ของเทวดา ใครจะเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า มันก็ดูกันที่ตรงนี้ เพราะเรื่องในพระบาลีมันก็มีชัดอยู่แล้วอย่างนั้น
ฉะนั้นเรื่องที่เรามาพูดกัน เรื่องล้ออายุ เรื่องต่ออายุหรือทำบุญให้กับอายุนี่ มันก็เป็นเรื่องน่าหัวเราะมากขึ้นไปอีก ทำบุญเพื่อเป็นเหตุเป็นปัจจัยที่จะยืด ที่จะให้อายุมันได้ยืดออกไปนี้ ก็มีทำกันอยู่มาก พระพุทธเจ้าก็คงจะไม่ตำหนิหรือขัดคอเช่นเดียวกับที่เทวดาเขาว่านี่ พระพุทธเจ้าท่านก็ว่า เอ้า,ถูกของท่าน แต่เราจะไม่ว่าอย่างนั้น เราจะว่าอย่างนี้ ทั้งนี้ก็เพราะว่าท่านมองเห็นว่ามันมีอยู่เป็นชั้นๆ มันจะให้รู้สึกหรือคิดนึกหรือเข้าใจเหมือนกันไม่ได้ ฉะนั้นเราก็ต้องมีอะไรที่ต่างกันสำหรับเด็กอมมือ สำหรับคนโตแล้ว สำหรับคนแก่คนเฒ่านี้มันก็ต้องต่างกัน เด็กอมมือมันจะนึกอย่างไรเรื่องเกี่ยวกับข้อนี้ มันคงจะไม่ได้นึกเลย มันไม่มีความรู้เรื่องสำคัญที่สุดอยู่เรื่องหนึ่ง คือเรื่องความรู้ว่าเกิดมาทำไม นี่คุณไปสำรวจตัวเองดูสิว่ารู้แล้วหรือยังว่าเกิดมาทำไม ทีนี้คนที่ยังไม่รู้ว่าเกิดมาทำไมนี่ ไม่มีทางที่จะล้ออายุ คือว่ามันยังไม่มีความรู้แม้แต่ว่าเกิดมาทำไม ฉะนั้นจะล้ออายุได้อย่างไรกัน นี่ถ้าต้นไม้ ก้อนหิน ก้อนดินมันจะพูดอย่างนี้แหละ แกยังไม่รู้ว่าเกิดทำไม แกจะล้ออายุได้อย่างไรกันโว้ย นี่ผมได้ยินอย่างนี้นะ แล้วก็มานึกเศร้าหรือนึกละอายหรือนึกอะไรทำนองนั้น นี่มันยังไม่รู้เกิดมาทำไม ไหนลองล้ออายุดูสิ มันก็ไม่มี ไม่มีความรู้สึก ไม่มีความยังไม่ฝันถึง ยังไม่รู้สึกอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ มันก็จะต้องรีบไปดูกันให้ดีว่าเกิดมาทำไม ผมไม่รู้จักคนอื่นมากเท่ารู้จักตัวเอง ผมก็ต้องเอาเรื่องที่เป็นความรู้สึกตัวเองที่ผ่านมาแล้วด้วยตัวเองแต่หนหลังนี่ มาดู มาพิจารณา มา กระทั่งมาพูด เมื่อผมเป็นเด็กๆ มันก็เอาแต่กินแต่เล่นแต่อะไรอย่างนี้เหมือนกัน มันก็ไม่รู้ ไม่รู้เลยว่าเกิดมาด้วยซ้ำไป มันก็รู้แต่เรื่องกินเรื่องเล่น ความหวังก็มีแต่เรื่องนี้ รวมความแล้วมันก็คือความสนุก แต่มันมีอะไรอยู่นิดหนึ่งที่มันช่วยได้ ช่วยให้รอดมาได้ คือว่ามันมีความรู้สึกว่าอยากจะเก่ง เรื่องกินเรื่องเล่นนี่มันเป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง เป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องสูงสุดของชีวิต เรียกว่า summum bonum ไปเลย แต่แล้วมันมีความรู้สึกอะไรที่แยกตัวออกไปอีกนิดหนึ่งว่าเรามันต้องเก่ง ความอยากจะเก่งนี่ มันมีอยู่เป็นรูปเป็นร่าง และมันก็เติบโตขึ้นมาตามอายุ มันอยากจะเก่ง พูดง่ายๆว่าอยากจะดีกว่า กว่าใครๆ ในข้อที่มันจะดีได้หรือไม่ได้นั้น ไม่ต้องนึกถึง ถ้าความนึก มันนึกอยากจะดีกว่าใครๆ อยากจะเก่งกว่าใครๆ แล้วเราก็ไม่ได้มองใครนัก ที่จริงเด็กๆ นี่ มองเพื่อนๆ เด็กๆ ด้วยกันนี้ และก็เชื่อว่าเด็กๆ ทุกคนมันก็ต้องมี ถ้าไม่มีมันก็คงจะยอมกันหมด เดี๋ยวนี้พวกเด็กๆ ด้วยกันมันก็ไม่มีใครยอมใคร มันก็ล้วนแต่จะเก่งกันทั้งนั้น มันยอมไม่ได้ แต่ถ้ามันไม่มีกำลังที่จะต่อสู้มันก็เก็บเอาไว้ในใจ เก็บความไม่ยอมไว้ในใจ ไม่กล้าแสดงออกมาเดี๋ยวมันจะถูกต่อยถูกเตะ ทีนี้ความอยากเก่งนี่มันๆ เหลืออยู่ส่วนหนึ่งต่างหากที่ทำให้สิ่งต่างๆ มันไม่หยุดชะงัก ความคิดความนึกอะไรต่างๆ มันไม่หยุดชะงัก ความเติบโตมันก็ช่วย ช่วยให้ได้แสดงความเก่ง แต่ว่าเราก็ไม่ได้รู้หรอกว่าเกิดมาทำไม ไม่เคยรู้เรื่องความเกิด แต่ถ้าสมมุติว่าถาม ถ้ามีใครถามว่าเกิดมาทำไมล่ะ ก็เกิดมาเก่ง แน่ะ,คำตอบมันก็จะต้องเกิดมาเก่ง ไม่ใช่ว่าเกิดมากินมาเล่น มันมารู้สึกละอาย เด็กๆมันก็รู้สึกละอาย รู้สึกพอที่จะย้อนความคิด ย้อนหลังความคิดรู้สึกละอายถ้าเกิดมากินมาเล่น แต่ว่าเกิดมาเก่งนี้ มันรู้สึกว่าเกิดมาเพื่อจะเก่งนี้ ก็รู้สึกว่าดีอยู่ ไม่ละอาย ทีนี้พอโตมาหน่อย โตมาเรื่อยๆ มันก็โตมาเรื่อยๆ มันก็อยากจะเก่ง แต่มันไปในรูปที่ว่าหาทางออก ซึ่งผมยังจำได้ดีแม้มันนานมาหลายสิบปีเต็มที ว่าเราจะต้องทำอะไรให้ไม่เหมือนใคร นี่คุณลองคิดดู ความคิดมันคิดว่าเราต้องทำอะไรให้ไม่เหมือนใคร เพราะฉะนั้นเราไม่มีทางจะเก่งถ้าเราทำอะไรเหมือนใครอยู่เรื่อย แล้วเราก็คงไม่สามารถที่จะเอาชนะได้ ถ้าเราแหวกแนวมาทำอะไรอย่าให้ไม่เหมือนใคร ทำได้สักนิดหนึ่งเราก็ยังจะต้องเก่งใช่ไหม อย่างน้อยมันก็เก่งตรงที่ไม่เหมือนใคร ที่ไม่มีใครทำ ที่ใครทำไม่ได้หรือไม่ได้ทำเพราะเราทำก่อน แล้วก็รู้สึกอยู่จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ว่าความไม่อยากทำอะไรเหมือนใครนี่ มันกลายเป็นชีวิตจิตใจเป็นเนื้อเป็นตัว มีความหมายทั้งหมดทั้งสิ้นมันรวมอยู่ที่นี่ เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นคนมาในลักษณะอย่างนี้ มีอะไรมาอย่างนี้หรือมันแหวกแนว ภาษาใหม่ๆ เขาเรียกว่าแหวกแนว มันก็เลยหวังหรือมุ่งไปในทางที่ไม่อยากทำอะไรให้เหมือนใคร แต่แล้วอย่างไรๆ มันก็ยังไม่รู้ว่าเกิดมาทำไมอยู่นั่นเอง กระทั่งเป็นหนุ่มเป็นอะไรเป็นมากแล้วเป็นกระทั่งจะมาบวชนี้ มันก็ยังไม่รู้วาเกิดมาทำไม กระทั่งบวชแล้วมันก็ยังอยากจะทำอะไรให้เก่งกว่าใครอยู่นี้ ความรู้สึกมันมีแต่อย่างนั้น มันก็เป็นสิ่งที่น่าหัวเราะ เป็นจุดเริ่มแรกที่มันเห็นว่ามันมีอาการที่น่าหัวเราะ คือเริ่ม conflict กันแล้ว เรื่องบวชนี่มันมุ่งหมายจะหยุดความบ้า ความอยากความหวังความเก่งกว่าใคร พระพุทธเจ้าท่านมีหลักอย่างนั้น แต่แล้วเราบวชเข้ามาด้วยความคิดว่าอยากจะเก่งกว่าใคร หรือลองๆ ดู อะไรแปลกๆ ไม่เหมือนใครนี่ แม้บวชแล้วมันก็อยากจะเก่งกว่าใคร อยากจะทำอะไรให้มันไม่เหมือนใคร แล้วมันก็สนุกไปวันหนึ่งๆ ด้วยการทำอะไรไม่เหมือนใครนิดๆ หนึ่งก็ยังดี นี่มันเป็นเรื่องสำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งของการบวชตั้งแต่อายุที่มันยังไม่ควรจะบวช เรื่องบวชนี่เขาไม่ได้มีไว้สำหรับคนหนุ่มๆ ที่กำลังเดือดจัดอย่างนี้ มันมีไว้สำหรับคนที่ได้ผ่านโลกมาจนรู้จักโลกแล้วมันจึงไปบวช ทีนี้มันเกิดบวชกันตั้งแต่หนุ่มๆ กำลังอะไรเดือดจัดอย่างนี้มันก็มีอะไร conflict กันกับเรื่องความมุ่งหมายของการบวช ฉะนั้นการบวชของเราก็เลยช่วยอะไรไม่ได้ มันไม่เป็นบวชด้วยซ้ำไป มันก็ยังไม่รู้ว่าเกิดมาทำไมอยู่นั่นเอง มันเป็นเรื่องสนุกไปวันหนึ่งๆในการได้บวชหรือมีโอกาสที่ทำอะไรแปลกไปกว่าที่ไม่ได้บวช ฉะนั้นก็พูดได้ว่าบวชแล้วมันก็ยังบ้า บ้าในการที่ทำจะทำอะไรให้เก่งกว่าใครไปวันหนึ่งๆ นี่มันเป็นอายุที่ผ่านมาในลักษณะอย่างนี้ มีความรู้สึกเหมือนกับว่าเราอยู่เหนือสิ่งใด อยู่เหนือใคร อยู่อย่างอิสระที่สุดอย่างคิดว่ามีความดี มีความถูกต้อง มีอะไรที่สุด แต่แล้วมันก็เป็นเรื่องที่โง่ที่สุดหรือบ้าที่สุด นี่มันก็เป็นสิ่งที่ได้มีอยู่จริงในอายุในเป็นอายุตอนหนึ่ง ทีนี้เดี๋ยวนี้คนหนุ่มๆ ก็บวชกันเป็นประเพณี ไม่ใช่แต่ผมคนเดียว มันก็บ้าเก่งกันไปเรื่อย เรียนนักธรรม เรียนบาลี เรียนอะไรหลายๆ อย่าง เรียนนักธรรมก็เป็นครูสอนนักธรรม เรียนบาลีแล้วก็สอนบาลี นี้ก็เป็นเรื่องบ้าเก่งทั้งนั้น บ้าเก่งบ้าดีบ้าตัวเองหรือว่าเมาตัวเอง มันก็เป็นอายุตอนที่น่าประหลาดหรือว่าน่าหัวเราะหรือว่าน่าเศร้าหรือน่าอะไรก็แล้วแต่จะมอง แต่ในขณะนั้นรู้สึกว่า แหม,สนุกที่สุด วิเศษที่สุด ดีที่สุด ดูอะไรๆ มันก็จะได้อย่างใจไปทั้งหมด นี่กำลังสนุกเต็มที่ เนื้อตัวเต้นอยู่เรื่อยสนุกเต็มที่ นี่ผมก็เคยมาแล้ว เคยเรียนนักธรรม เคยเป็นครู มันก็เรื่องสนุก ไม่รู้ความมุ่งหมายอะไร เป็นเรื่องที่เดี๋ยวนี้มานึกดูแล้วก็เป็นเรื่องน่าเศร้ามากกว่าในข้อที่มันไม่ตรงกับความประสงค์ของพระพุทธเจ้า แต่เราก็คิดว่าดีที่สุด หรือจะมีผู้คิดว่ามันตรงความประสงค์ของพระพุทธเจ้าหรือดีที่สุด มันก็เป็นอย่างนี้อยู่หลายปี ในที่สุดโรคบ้านี่มันก็ บ้าเก่งอยากเก่งนี่มันก็เดือดต่อไปอีก มันก็เลยออกมาเป็นพระเถื่อน พระป่า พระเถื่อน มีสวนโมกข์ มีอะไรเหล่านี้มันก็เป็นเรื่องบ้าของผมมากกว่า แล้วมันก็หลอกคนอื่นว่าเพื่อรื้อฟื้นส่งเสริมพระศาสนา นั่นมันเป็นรูปร่างที่มันเป็นไปได้ในลักษณะอย่างนั้น มันก็มีความคิดเหมือนกัน มองเห็นว่ามันไม่ ไม่น่า ไม่น่าชื่นใจ ภาวะต่างๆ ที่กำลังเป็นอยู่นี้ เราก็ไม่รู้ว่าจะไปชื่นใจกันที่ตรงไหน การศึกษาเล่าเรียนนี้ ทีแรกก็หลงใหลบูชาว่ามันวิเศษ แต่พอเรียนไปแล้วมันก็เห็นความเละเทะของทุกคนที่เรียนแล้ว ถ้าในสิ่งที่เรียนนั้นมีอยู่คำหนึ่งซึ่งมันเป็นเหยื่อของความบ้าเก่งของเราก็คือการปฏิบัติ คำว่าการปฏิบัตินี้ ความบ้าเก่งมันก็หันเหมาทางนี้ มันก็มีเรื่องราวละเอียดอยู่แล้วว่ามันต้องปลีกตัว มันต้องมีความพอใจในที่สงัดแล้วก็ปฏิบัติ อย่างที่ได้มีกล่าวอยู่ในพระคัมภีร์หรือในตำรา นี่มันก็เลยคิดว่าคงจะสนุกจริงหรือว่าถูกต้องกว่าหรือว่าดีกว่า มันก็มีความคิดที่ว่าเลื่อนออกไปอีกชั้นหนึ่งคือไปสู่การปฏิบัติ และก็เมื่อมองเห็นว่าที่ไหนๆ ก็ไม่มีการปฏิบัติ ไม่รู้ว่าจะไปดูที่ไหน และเราคนเดียวก็คงไม่สนุก ฉะนั้นลองทำไปในรูปที่เรียกว่าชักชวนกันมากๆ หมุนไปหาเรื่องการปฏิบัติ ไปรื้อฟื้นการปฏิบัติอะไรขึ้นมาในหมู่พวกที่เรียนมาแล้วพอสมควรนี่ เป็นนักธรรมเอกแล้ว เป็นเปรียญแล้วเป็นอะไรแล้วนี่ เรียกว่าเรียนมาแล้วพอสมควร ก็ควรจะได้มีโอกาสปฏิบัติดู ฉะนั้นอย่างน้อยก็ควรจะวิ่งเข้าป่ากันสักที หรือว่ามันหาที่สะดวกไม่ได้ก็ต้องจัดมันขึ้นพอมีความสะดวก ทีนี้เรื่องสวนโมกข์หรืออะไรทำนองนี้มันก็เกิดขึ้นมา มันก็เป็นเรื่องสนุกมากกว่าเป็นเรื่องจริง เพราะยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เกิดมาทำไมก็ยังไม่รู้ ฉะนั้นเรื่องปฏิบัตินี้มันก็เป็นเรื่องอยากเก่ง หรือเป็นเรื่องบ้าเก่งตามเคย ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ก็เลยได้เป็นพระป่าและก็ได้เป็นพระบ้าของพวกเด็กๆ
เมื่อผมไปอยู่สวนโมกข์ใหม่ๆ เด็กๆ เขาตามล้อตามบอกพระบ้าๆ พระบ้า มาแล้ว ออกมาบิณฑบาต เพราะเขาเห็นว่ามันผิดจากที่เคยเห็น แล้วก็มีคนผู้ใหญ่ๆ หรือพระ พวกพระเณรด้วยกันนี่ ก็คิดว่าผมก็เป็นบ้า มีความคิดวิตถารอุตริ มันก็ถูกในความคิดที่วิตถารหรืออุตริจากผู้อื่น มันก็ควรจะถูกจัดว่าเป็นคนบ้า เพราะความจริงมันก็บ้าไม่ต้องมีใครจัด คือมันบ้าที่จะทำอะไรให้เก่งต่อไป ไม่ได้รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร ความถูกต้องคืออะไรนัก แต่มันก็บ้าที่จะทำให้ถูก ต้องทำหรือจะทำให้จริง ความมุมานะนี้มันก็เป็นความบ้าชนิดหนึ่ง ฉะนั้นการที่เด็กๆ หรือว่าคนผู้ใหญ่จำนวนหนึ่งว่าบ้านี้ มันถูก เด็กๆ ก็เลยตามหลังล้อว่าพระบ้ามาแล้ว ก็นึกเลยถึงว่าเด็กๆ นั้น เขาเข้าใจเลยถึงว่าพระบ้าที่เขาเอามาเก็บไว้ที่นี่เพื่อจะให้หายบ้า คือรักษา เอามารักษา เอามาเก็บตัวไว้เพื่อรักษา นี้ฟังดูก็น่าหัวเราะน่าขันอย่างยิ่ง มันก็ถูกไปหมดเลย เด็กมันเข้าใจอย่างนั้นและผมก็เข้าใจอย่างนั้นเหมือนกัน แต่มันคนละความหมาย เราก็เป็นบ้า แต่เข้าโรงพยาบาลของพระพุทธเจ้าก็เพื่อให้หายบ้า เพื่อจะรักษาบ้าให้มันหาย นี่ก็เป็นความหมายที่ถูกต้อง เด็กๆ พูดมันก็ถูกต้องว่าพระบ้า ก็จับเอาตัวมาให้กินยา ให้รักษาอยู่ที่นี่ ตามความหมายทางวัตถุทางเนื้อหนัง เราก็รู้สึกความบ้าทางวิญญาณคือเรื่องจิตใจที่มันอยากดีอยากเด่นอยากเก่งอย่างนั้น มันก็เลยถูกกันทั้งสองฝ่าย แล้วก็จริงด้วย
เรื่องทำอะไรไม่เหมือนใครก็ต้องเรียกว่าบ้าไว้สักทีก่อน แต่แล้วมันก็มีว่าจะแยกทางกันเดินอย่างไร ถ้าทำไปๆ ในลักษณะที่ให้มันฉลาดขึ้นมาได้ มันก็เป็นเรื่องถูกต้อง คือมันมีทางที่จะหายบ้าได้ นี้มันก็เป็นเรื่องเลื่อน เลื่อนความบ้า เรียกให้ถูกก็เป็นเรื่องเลื่อนความบ้า ความหมายในอายุไม่มีความหมายอะไรนอกจากว่า มันเลื่อนความบ้าไปตามลำดับ ต่อมาก็บ้าเทศน์บ้าสอนอะไรจนกระทั่งเดี๋ยวนี้กระมัง ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าที่ทำอะไรไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยนี้มันก็เป็นเรื่องความบ้า แต่มันคงจะเปลี่ยนความหมายอยู่มาก เพราะว่ามองดูให้ดีแล้วมันก็บ้าได้แม้กระทั่งว่าบ้าในความสงบ บ้าหาความสงบหรือบ้าสงบ ไม่สุงสิงกับใคร หรือว่าบ้าทำการทำงานไม่หยุดไม่หย่อนอย่างนั้น มันก็มีความหมายเป็นความบ้าชนิดหนึ่ง เดี๋ยวนี้จะเกิดชักจะสงสัยในคำว่าบ้า ความหมายของคำว่าบ้าเสียแล้วว่ามันดีหรือชั่ว มันถูกหรือผิด คนที่เป็นพระอรหันต์แล้วก็ยังดูจะมีทำอะไรพอที่จะถูกเรียกว่าบ้าได้เหมือนกัน คือว่าทำอะไรจริงๆ จังๆ เอาล่ะ,ท่านทำไปด้วยความบริสุทธิ์ใจหวังประโยชนผู้อื่นแท้ๆ ไม่มีตัวกูของกูแล้ว มันจะเรียกว่าบ้าได้ไหม ทำไมไม่หยุดพัก ให้สบาย ทำไมไปขยันขันแข็งเหน็ดเหนื่อยในการทำประโยชน์ผู้อื่น มีส่วนที่ถูกหาว่าบ้าหรือเปล่า ถ้ามีส่วนที่ถูกหาว่าบ้า เพราะฉะนั้นคำว่าบ้าต้องดี อย่างน้อยก็มันถูกแบ่งแยกออกเป็น ๒ ประเภท ความบ้าที่ดีมันก็มี เราก็เลยจนปัญญาไม่รู้ความหมายของคำๆ นี้ มันยากเกินกว่าที่เราจะรู้จักมันและเราก็ไม่เชื่อนักนิรุกติศาสตร์ นักปราชญ์ทางภาษามันก็ว่า มันก็บ้าไปตามแบบของมัน มันจะบัญญัติความหมายของคำนี้ถูกต้องหรือไม่ ก็ไม่แน่ ไม่เชื่อมัน เขาจะบัญญัติแต่ความหมายคำว่าบ้านี่เป็นเรื่องใช้ไม่ได้ ผมก็ต้องเถียง เพราะมันมีอาการของผู้ที่บริสุทธิ์แล้วหรืออะไรแล้วนี่ หลุดพ้นแล้วมันก็ยังมีอะไรบ้าๆ อยู่ตามความรู้สึกของผม เที่ยวสอนเที่ยวอะไรอย่างไม่คิดแก่ความเหน็ดความเหนื่อย ทำอย่างที่เรียกว่าสุดเหวี่ยงเหมือนกัน ฉะนั้นทุกคนเอาไปคิดดูว่าคำว่าบ้านี้มันอาจจะเป็นคำกลางๆ ที่ว่าไม่เป็นดีหรือไม่เป็นชั่วก็ได้ มันแล้วแต่ว่าทำกันอย่างไรนี่ ทำไปด้วยความโง่มันก็บ้าชั่ว ทำไปด้วยความรู้ที่แท้จริงมันก็คงจะเป็นความดี แต่เราไม่อาจจะเอ่ยอ้างได้มากถึงอย่างนั้น เรามันทำบ้า ทำไปด้วยความบ้าอย่างโง่นี่ จะเป็นความโง่ในระดับไหนก็พูดยาก ความอยากเก่งนี่มันต้องถือว่าเป็นความโง่ ความอยากดีมันก็ยังถือว่าเป็นความโง่ แต่ทั้งหมดนี้ก็ทำไปด้วยความอยากเก่งอยากดี เที่ยวเทศน์เที่ยวสอนหรือการค้นคว้าการศึกษาการเผยแผ่พุทธศาสนานี้ ในชั้นต้นมันก็ทำมาด้วยความอยากเก่งอยากดี ไม่ได้รู้สึกถึงความหลุดพ้นหรืออยู่เหนือความอยากเก่งอยากดี นี่ตลอดเวลามันบ้ามาด้วยความอยากเก่งอยากดี อายุก็ล่วงไป ล่วงไป ล่วงไปตามสมมุติ ความอยากเก่งอยากดีมันก็เปลี่ยนไปๆ ในรูปแหวกแนวไม่อยากทำอะไรให้ซ้ำใคร นี่มันก็ยุติลงในวันนี้ซึ่งอีก ๒ - ๓ ชั่วโมง ก็จะมีอายุครบ ๖๓ ปีบริบูรณ์ มันบ้ามามากถึงเท่านี้ นี่คุณคิดดู ควรจะล้อมันสักที ควรจะล้อหรือว่าควรจะบูชามัน มันมีอยู่ ๒ อย่าง ถ้าเคารพนับถือยกย่องสรรเสริญ ก็บูชามัน ถ้ามองเห็นเป็นเรื่องบ้าๆ มันก็ควรจะล้อ ล้อเลียน อายุที่มันรวมอะไรไว้มากๆ แต่ต้นจนบัดนี้ มันมีอะไรเก็บไว้มากมหาศาลเลย ควรที่จะล้อมันสักทีหรือว่าควรจะบูชาเทิดทูนมันต่อไป ทีนี้เราก็มามีปัญหาอย่างที่ว่าเมื่อตะกี้นี้ ว่าเรากำลังเป็นอะไร เราจะล้อมันได้อย่างไรในเมื่อเราเป็นบ่าวเป็นทาสของมันอยู่ตลอดเวลา นี่จะไปล้อมันได้อย่างไร มันจะอวดดีไปไม่ได้ ถ้าเราเป็นยังเป็นบ่าวเป็นทาสของความอยากเก่งอยากดีอยู่แล้วมันก็ล้อไม่ได้
ฉะนั้นคุณก็ตาม ผมก็ตาม ใครก็ตาม มันมีหัวอกอย่างเดียวกันในข้อนี้แหละ มีปัญหาตรงนี้เหมือนกันแหละ ว่าจะล้อมันหรือว่าจะทำอย่างไรกับมัน นี่ผมก็สมัครเอาไปในทางที่ล้อมันตามความสามารถตามสติปัญญา ตามความสามารถที่จะล้อมันได้อย่างไรว่ากูไม่เอากับมึงแล้ว หรือว่าจะหาแง่แยกทางกันเดินสักที ทีนี้ต่างฝ่ายต่างก็มาแสวงหาแง่หรือเหตุผลที่จะมาต่อสู้กัน ฝ่ายอายุมันก็ว่า โอ้,กูก็มีความดี ทำความดีไว้มากมายแต่ต้นจนบัดนี้ ฝ่ายเราก็ว่ามันเรื่องบ้า กูไม่เอาแล้ว นี่มันก็มี conflict แบบนี้ขึ้นมา เราก็พยายามจะล้อมัน มันก็พยายามที่จะพิสูจน์หรือแก้ตัว ทีนี้เราจะไปหาอะไรที่ไหนมาสำหรับล้อมัน ให้มันยอมแพ้ไปได้ ชั่วเวลาปีหนึ่งทำอะไรไม่ได้กี่มากน้อยที่จะมีน้ำหนักพอที่จะล้อมันเล่นได้อย่างล้อเด็กๆ ฉะนั้นความอยากเก่งอยากดียังมีอยู่แม้ในรูปไหนก็ตาม มันก็ไม่มีทางที่จะล้อมันได้ เราเป็นบ่าวเป็นทาสมันอยู่ร่ำไป นี่คือความหมายของคำพูดที่พูดกับคุณแทบทุกวันว่า อย่ายกหูชูหาง อย่ากระโดดโลดเต้น อย่ายกหูชูหาง มันไม่มีทางที่จะทำ ทำได้โดยความหมายที่สมเหตุสมผลหรืออะไรทำนองนั้น มันมีแต่เรื่องโง่ เรื่องบ้า เรื่องหลง เรื่องอะไรไปทั้งหมด มันเป็นเรื่องกิเลสไปทั้งหมด จนกระทั่งเป็นกิเลสที่สวยงามที่สุดที่พวกคุณเก็บไปไว้ประดับบนหัวบนหู มันเป็นกิเลสที่สวยงามเอาไปประดับไว้บนหัวบนหู ไว้อวดกัน ไว้กระทั่งเบ่งทับกัน กระทั่งทะเลาะกัน วิวาทกัน ดูหมิ่นกัน เรียกร้องกันด้วยโวหารที่เป็นการดูหมิ่น เรียกมึง เรียกกู เรียกแก เรียกเธอนี่ ด้วยความดูหมิ่นผู้อื่น ดูหูหางที่มันยาวออกไปมากถึงขนาดนี้ คำพูดมึง กู แก เธอ ข้า เอ็งนี่ มันความหมายอย่างนี้ คือหูหรือหางที่มันงอกยาวเกินไป ทีนี้ยิ่งมีอะไรนิดหน่อย ก็ยิ่งเอ้ย, กู แก มึง เอ็ง ข้า เธอ อยู่นั่น แล้วยังหวังอยู่ที่ว่าจะใช้คำพูดชนิดนี้แก่คนอื่นๆ มากขึ้น ก็คิดว่ากูอายุมากขึ้น มึงเพิ่งเกิดมา กูก็พูดเอ็ง พูดแกกับมึง พูดอะไรทำนองนี้ ที่ผู้ใหญ่พูดกับเด็ก บางทีก็พูดกับเพื่อนๆ เสมอกันด้วย นี่มันบ้าเท่าไหร่ลองคิดดู มันโง่เท่าไหร่ลองคิดดู แล้วจะเอาเหตุผลอันไหนมาล้ออายุ ในเมื่อมันเป็นบ่าวเป็นทาสของสิ่งเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา ทีนี้มันพอใจหรือมันสนุกอยู่ด้วยการกระทำชนิดที่มันเป็นความบ้า ความโง่ ความไม่รู้จริงว่าตัวมีอะไรดีที่จะไปเรียกผู้อื่นว่าแก ว่าเธอ ว่าข้า ว่าเอ็ง มันยิ่งแก่ยิ่งโง่ ยิ่งมีอายุมากก็ยิ่งโง่ ฉะนั้นพวกนั้นแหละ พวกเด็กๆน่ะ มันควรจะล้อคนแก่ พวกกุ้งหอย ปู ปลา หมู หมา กา ไก่ นี่ มันควรจะล้อมนุษย์ ทีนี้เรามันก็อยากจะล้อคนอื่น กระทั่งว่าจะล้ออายุ นี่มันมีปัญหามาก คุณลองสังเกตดูในจิตใจของตัวเอง มันยังสนุกอยู่ มันยังอยากสนุกอยู่มันยังสนุกอยู่ด้วยการเป็นบ่าวเป็นทาสของอายุ ยังเก่งไม่พอ ยังเก่งไม่ถึงที่สุด ที่ไปล้อคนอื่นนั้นมันเป็นเรื่องโง่ในข้อที่ว่ามันยังเก่งไม่พอที่จะไปล้อคนอื่นแล้วก็ไปมัวล้อคนอื่นอยู่ ไปข่มขี่คนอื่นอยู่ ดูหมิ่นคนอื่นอยู่ นี่มันเป็นเรื่องยิ่งกว่าน่าเศร้า น่าสงสารน่าอะไร ฉะนั้นควรจะหยุดกันเสียสักที ควรจะมองดูให้ดีๆ แล้วก็หยุดกันเสียสักที สิ่งที่รียกว่าดูหมิ่นดูถูกเอาว่ามันจะตินี่ over look ดูถูกดูหมิ่นคนอื่นนี่ ภาษาตรงกันหมดเลย ภาษาบาลี ภาษาไทย ภาษาอังกฤษภาษาอะไรก็ตาม มีความหมายตรงกันหมดอย่างน่าประหลาด มันควรจะไม่มี ถ้ามันยังมีอยู่มันก็แสดงว่ามันยังบ้าอยู่ ยังไม่มีอะไรมากพอที่จะล้อเลียนความตายหรือล้อเลียนอายุ ยังไม่รู้ว่าเกิดมาทำไมโดยสมบูรณ์ อายุตั้งหลายสิบปีแล้วยังไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม ก็มันมีปัญหาเลื่อนขึ้นไปได้เรื่อย ไปในชั้นละเอียดประณีตเรื่อยขึ้นไป มันไม่สิ้นสุดจนกว่ามันจะได้ถึงที่สุด ไปถึงที่สุดของปัญหาต่างๆ พูดตรงๆ ก็คือว่าหยุดบ้าหยุดอยากเก่งอยากดีเสียได้นี้ เมื่อใดหยุดอยากเก่งอยากดีเสียได้ มันก็สิ้นสุด มันก็ไม่มีอะไรจะมาดูถูกดูหมิ่นหรือมองผู้อื่นในลักษณะที่น่าระอาน่าล้อเลียนแม้แต่เด็กๆ
ทีนี้ความรู้สึกที่อยากจะจับตัวเองไว้ในระดับที่ดีกว่าสูงกว่าผู้อื่นนั่นน่ะ มันมีอยู่เรื่อย นั่นน่ะคือว่ามันอะไรๆ ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร จะเรียกว่าเป็นผีปีศาจขึ้นขี่อยู่บนหัวก็ได้ หรือว่าจะเป็นดอกไม้อันสวยงามเอาไปเหน็บแซมไว้บนศีรษะบนผมก็ได้ มันแล้วแต่ว่ามันทำไปในลักษณะอย่างไร แต่ถ้าถือตามความหมายของพระพุทธเจ้าแล้วมันก็เป็นโคลน เป็นขี้หมูขี้หมาที่เอาไปใส่ไว้บนหัว ที่คุณกำลังเอาไปใส่ไว้บนหัวนั่นน่ะ ไปพิจารณาดูว่ามันเป็นอะไร ที่บูชากันนัก ที่กำลังศึกษาเล่าเรียน มีความหวังอย่างยิ่งในอนาคตนี่มันคืออะไร และเดี๋ยวนี้ก็มีแต่การศึกษาเล่าเรียนแล้วกำลังทำอะไรอยู่ กำลังหวังในอะไรต่อไป นี่มันก็เรื่องเดียวกัน มันคนละขั้นละตอนแต่ความหมายมันยังคงเดิม เรื่องอยากดีอยากเก่งคือความบ้า มันยังไม่พอ มันยังไม่ มันยังไม่อยากตาย เมื่อก่อนนี้ไม่รู้ว่ามีความตายด้วยซ้ำไป ในขณะที่มันอยากเก่งจัดอยู่นี้มันไม่รู้หรอกว่าต้องตาย ถึงพวกที่สวดมนต์อยู่ว่า ชรามรณธมฺโมมฺหิ เราต้องตายเป็นธรรมดานี้ นี่มันก็ว่าอย่างนกแก้วนกขุนทอง ความรู้สึกที่แท้จริงไม่ได้รู้สึกเลยว่าต้องตาย มันลืม มันลืมอยู่ตลอดเวลาเพราะมันไม่ได้รู้สึกปากว่าไม่รู้สึกความตายยังไม่มาถึง ความตายยังไม่เป็นภัยเฉพาะหน้า มันก็ยังบ้าดี บ้าเด่น บ้าเก่ง บ้าอะไรอยู่ ทั้งที่ปากว่าเราจะต้องตาย มีความตายเป็นธรรมดาแล้ว ก็ยังว่าแต่ปาก ทีนี้คุณก็สวดปัจจเวกขณ์อย่างนี้อยู่บ่อยๆ ทุกทีสวดควรจะสวดด้วยจิตใจ อย่าสวดอย่างเครื่องจักร ปากว่าหลับตา หลับไปครึ่งหนึ่งและปากก็ว่าไปได้ นี่เคยชินกันแต่เรื่องอย่างนี้ และก็ยังขี้เกียจสวดเสียอีก นอนก็ตื่นสาย จะไปสวดมนต์ไหว้พระกระทำพอเป็นพิธี ปากว่าอย่างเครื่องจักร จิตใจไม่รู้สึกจริงๆ มันก็ไม่มี ไม่มีทางที่จะช่วยได้ ในการที่จะรู้จักชีวิต ความตาย อายุ จนกระทั่งล้ออายุได้ สนุกยังไม่พอ ยังไม่อยากตาย ยังอยากเก่งต่อไป รู้สึกว่ายังเก่งไม่พอ นึกแต่เรื่องเก่งจนไม่รู้สึกว่าต้องตายนี่ ต่อมากลัวว่ายังไม่พอก็ยังอยากจะต่ออายุไว้ เริ่มเห็นว่าความตายจะมาขัดขวางขัดคอ แต่แล้วผมสังเกตดูเห็นน่าหัวเราะอยู่อย่างหนึ่งว่า ที่ต่ออายุนั้นก็ต่อไปทั้งไม่รู้ว่าทำอะไรหรือต่อทำไม ต่อไปตามธรรมเนียม ตามประเพณีมากกว่า มีเงินแยะมีสตางค์แยะไม่รู้ว่าจะทำอะไร ก็ทำบุญต่ออายุทั้งที่ไม่รู้ว่าทำอะไร ก็ทำเคลิ้มๆ ไป เพราะว่าเมื่ออยู่นี่ ก็ไม่รู้ว่าอยู่ทำอะไร คนแก่ๆ ที่ต่ออายุ หลายๆ คน ผมสังเกตดู แกก็ไม่รู้ว่าอยู่นี่ อยู่ไปทำไม ทีนี้บางทีก็รู้สึกไม่ชอบความชราความลำบาก แต่ก็ยังอยากต่ออายุ ก็คิดดู ก็ปลงสังเวช คุณเข้าใจหรือเปล่าว่าผมนี่เคยไปสวดในพิธีต่ออายุ สวดบทสวดต่ออายุ วิปัสสนาภูมิ ปฎิจจสมุปบาทอะไร ทำบุญต่ออายุให้เขา ผมก็รู้ในใจว่ามันต่อไม่ได้และก็ทำไปอย่างที่เรียกว่าเกรงใจเขานั่นแหละ ไปเอาอกเอาใจเขา แล้วพระส่วนมากที่ไปสวดทำบุญต่ออายุนี่ไปเอาสตางค์ทั้งนั้นแหละ แกก็ไม่รู้หรอกว่าชีวิตคืออะไร ความตายคืออะไร เพิ่งจะบวชพรรษาสองพรรษาท่องบทเหล่านี้ได้ ก็ไปสวดทำบุญต่ออายุให้เขา แกไปเอาสตางค์นั่นแหละ คนแก่ๆ ที่มีเงินมากๆ อยากต่ออายุนั้นก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำไม นี่เรื่องทำบุญต่ออายุ ผมก็เคยไปสวดให้หลายครั้งหลายหนด้วยความเกรงใจ จะเรียกว่าไปเอาสตางค์ด้วยก็ได้เพราะเขาให้สตางค์ทุกที เราก็ยังไม่รู้ว่ามันต่อได้อย่างไร ไม่มีความเชื่อในเรื่องต่ออายุนี้ แล้วก็ต่ออายุจริงๆ เพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้ ตอนที่เป็นพระหนุ่มๆ ก็ไปสวดให้เขาอย่างนั้นแหละ ต่ออายุจริงๆ ก็เหมือนอย่างที่พูดปีที่แล้วมาเรื่องนิพพานในวัฏฏสงสารนั่นแหละ ยืด หด เวลาของวัฎฎสงสารเสีย ยืดเวลาของนิพพานออกไปนั่นแหละคือต่ออายุ ไปยืด เอ้ย,หดเวลาที่จิตมีตัวกูของกู บ้าๆ บอๆ นั้น หดให้มันสั้นเสีย เวลาที่จิตว่างจากตัวกูของกู นี่ยืดออกไป นั่นแหละคือต่ออายุ จิตบ้าๆ บอๆ นั่น หดมันเสีย จิตดีๆ นั่น ยืดออกไปนี่ นั่นแหละคือต่ออายุ แล้วใครจะไปสวดให้ได้ จะไปช่วยต่อให้ได้อย่างไร
นี้เราก็ได้เห็น ก็เห็นได้ทีเดียวว่า เรื่องต่ออายุนี้มันทำได้ แต่มันต้องเป็นอายุที่ถูกต้อง ไม่ใช่อายุของความโง่ นี่มาพูดเรื่องต่ออายุกันอีกทีก็ได้ ว่าอายุนี่ ถ้ารู้จักมันดีแล้วมันต่อได้ มันยืดออกไปได้จนเป็นไม่ตายจนเป็นอมตะเป็นนิรันดรไปได้ แต่มันต้องไม่ใช่อายุของตัวกูที่ยกหูชูหาง ตัวกูที่ไม่มีตัวจริง ตัวกูเป็นมายานี่ ไปยึดถืออะไรเป็นอายุ อย่างนี้มันต่อไม่ได้หรอก ถ้ามันเป็นจิตใจที่ไม่มีตัวกู ไม่มีความยึดถือเรื่องตัวกูของกูโดยอุปาทานนั้นน่ะ มันยืดออกไปทันที มันต่อออกไปได้ทันที มันเป็นไม่ตาย เป็นนิรันดรไปได้ทันที
ฉะนั้นเราจะต้องเรียกอายุกันเสียใหม่ด้วยความหมายที่ต่างกัน คำว่าอายุนี่ มีความหมายเป็น ๒ อย่างได้ อายุทางเนื้อหนังวัตถุนี่ก็อย่างหนึ่ง อายุทางวิญญาณทางสติปัญญานี่ก็อีกอย่างหนึ่ง อายุทางเนื้อหนังนี้มันต่อไม่ได้ ต่อก็เพราะขี้ขลาด เพราะความโง่ เพราะความขี้ขลาด มันก็ต่อกันไปอย่างนั้นแหละ ต่อๆกันไปอย่างนั้นแหละ มันต่อไม่ได้ ยิ่งต่อยิ่งสั้นยิ่งโง่ แต่อายุทางวิญญาณนี่ ที่เราเรียกกันว่าทางวิญญาณ ที่เขาว่าเรื่องบ้าๆ บอๆ นี้ เพราะว่าเราไม่มีคำพูดที่จะพูดให้ดีกว่านี้ได้ ใช้คำพูดว่าทางวิญญาณ อายุทางวิญญาณยังต่อได้ ถ้าต่อให้มันได้ยืดออกจนกระทั่งว่าไม่ตายเลยอีกต่อไปก็ได้ ทีนี้คุณเข้าใจคำว่าทางวิญญาณกันให้ดีๆ คิดนึกศึกษาอยู่เสมอให้เข้าใจให้ดี ทางเนื้อหนังอย่างหนึ่ง ทางวิญญาณอย่างหนึ่ง ความสุขทางเนื้อหนังเป็นอย่างไร ความสุขทางวิญญาณเป็นอย่างไร โรคภัยไข้เจ็บทางเนื้อหนังเป็นอย่างไร โรคภัยไข้เจ็บทางวิญญาณเป็นอย่างไร มหรสพทางเนื้อหนังเป็นอย่างไร มหรสพทางวิญญาณเป็นอย่างไร โรงมหรสพทางเนื้อหนังเป็นอย่างไร โรงมหรสพทางวิญญาณเป็นอย่างไร สวนโมกข์เป็นมหรสพทางวิญญาณ โรงมหรสพทางเนื้อหนังอยู่ที่ตลาด หรือที่เขาจัดขึ้นแบบนั้นที่ตลาดหรือที่ไหนก็ตามใจ เปิดแสดงเป็นครั้งคราวแล้วก็ลุ่มหลงกันได้ตลอดชีวิต ส่วนสวนโมกข์ ป่า ก้อนหิน ดินทรายอย่างนี้ เป็นมหรสพทางวิญญาณเปิดอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่มีใครเอา ไม่มีใครดู ไม่มีใครได้ ไม่เก็บสตางค์ด้วย ให้เปล่าด้วย ก็ไม่มีใครดู ไม่มีใครได้ อ้อ,ตรงนี้อย่า อย่าเพิ่งโง่นะ โรงมหรสพทางวิญญาณนี่คือสวนโมกข์ทั้งสวนนะ ตึกหลังนั้นนิดเดียวนะที่เรียกว่าโรงมหรสพทางวิญญาณคือตึกหลังนั้น นิดเดียวนะ โรงมหรสพทางวิญญาณนิดเดียว ส่วนน้อยส่วนประกอบส่วนหนึ่ง โรงมหรสพทางวิญญาณที่แท้จริงนี้ก็คือก้อนหิน ต้นไม้ ก้อนดิน กรวดทราย นก หนู มด แมลงอะไรต่างๆ รวมทั้งหมดที่มีอยู่ในสวนโมกข์นี้ เป็นโรงมหรสพทางวิญญาณ ฉะนั้นที่คนบางคนเรียกโบสถ์ของเราว่าโบสถ์ทางวิญญาณนั้น เขาเข้าใจคำว่าทางวิญญาณถูกต้อง เนื้อที่บนยอดเขาที่เราใช้ทำอุโบสถอยู่ นี่ก็เรียกว่าโบสถ์ทางวิญญาณ ไม่ได้มีวัตถุที่เป็นตัวโบสถ์เป็นอะไรสวยงามเหมือนที่เขาเรียกกันว่าโบสถ์ๆ ทั่วๆไป ทีนี้คำว่าทางวิญญาณนี่ มีความหมายที่ลึกเพราะมันไม่มีตัว ไม่มีวัตถุ ต้องดูกันด้วยสติปัญญาที่ลึกให้มองเห็นทางวิญญาณ แม้แต่อาหารก็มีอาหารทางเนื้อหนังและอาหารทางวิญญาณ มันต่างกันอยู่ตรงกันข้าม เรากินข้าวกินปลาอย่างที่กินๆอยู่นี้ มันก็เป็นอาหารทางเนื้อหนัง นี่ถ้ามีธรรมะหล่อเลี้ยงใจได้จริงก็เรียกว่ามีอาหารทางวิญญาณ ส่วนพิธีรีตองนั้น มันก็เป็นเรื่องพิธีรีตองไป เป็นอาหารของประเพณีของพิธีรีตองไป ทีนี้เราจะมาต่ออายุกันนี่ มันจะต้องต่ออายุทางวิญญาณคือทางสติปัญญา ทางจิตใจที่ประกอบอยู่ด้วยสติปัญญา จิตใจล้วนๆ ไม่ประกอบไปด้วยสติปัญญานั้นมันอยู่ข้างฝ่ายร่างกายทางฝ่ายเนื้อหนัง เป็นทาสของเนื้อหนัง จิตใจชนิดนั้นไม่เรียกว่าวิญญาณในที่นี้ ถึงแม้ว่าพวกอื่นหรือที่อื่นเขาจะเรียกว่าวิญญาณ เราไม่เรียกว่าวิญญาณในที่นี้
ฉะนั้นคำว่าวิญญาณของเราจึงมีความหมายพิเศษจากปทานุกรมตามธรรมดา หมายถึงเรื่องของสติปัญญา ความสุขที่ได้รับทางจิตใจที่ประกอบอยู่ด้วยสติปัญญา เป็นความหลุดพ้น เป็นความไม่ยึดมั่นถือมั่น นี่ความสุขทางวิญญาณ ส่วนเรื่องเอร็ดอร่อย เรื่องถึงอกถึงใจเรื่องอะไรก็ตามใจนั้น เป็นเรื่องทางเนื้อหนังไปหมด แม้จะพูดว่าถึงอกถึงใจอย่างไรก็ตาม เพราะจิตใจเช่นนั้นมันเป็นทาสของเนื้อหนัง ฉะนั้นเรื่องที่จะอธิบายว่าอะไรเป็นเนื้อหนังอะไรเป็นวิญญาณนี้ ยังมีอีกมาก ถ้าคุณเข้าใจ ๒ คำนี้แล้วก็ จะเข้าใจธรรมะได้ง่ายได้หมดได้เร็ว หนังสือเรื่องภาษาคนภาษาธรรมนั้นช่วย ช่วยได้ในเรื่องนี้ ก็ไปศึกษาเรื่องภาษาคนภาษาธรรมให้ดี ภาษาคนก็คือเรื่องเนื้อหนัง ภาษาธรรมก็คือเรื่องวิญญาณทางวิญญาณ ทีนี้ถ้ามนุษย์ทั้งโลกเขามีความเข้าใจเรื่องคำ ๒ คำนี้อย่างถูกต้องถึงที่สุดแล้ว จะพูดกันได้ง่ายมาก จะพูดกันรู้เรื่องเร็วที่สุด จะพูดกันได้ง่ายๆ ในการที่จะเข้าใจหลักของพระศาสนาหรือธรรมะอันแท้จริงหรือพระเจ้าอันแท้จริง ฉะนั้นขอให้สนใจไว้ด้วย นี้พูดถึงเรื่องต่ออายุทางวิญญาณ ทำได้โดยทำให้จิตนี่มันมีความสงบสุขที่ยืดออกไป ยืดออกไป ยืดออกไปในทางฝ่ายวิญญาณจนเป็นไม่มีที่สิ้นสุดหรือเป็นนิรันดรเป็นอมตะไป
ฉะนั้นความสำคัญมันจึงอยู่ที่ตรงนี้ ว่าถ้าเรารู้เรื่องนี้บ้าง แม้แต่เพียงบ้างเท่านั้นแหละไม่ได้ทั้งหมด ก็จะมีโอกาสที่จะล้ออายุทางเนื้อหนังได้ ฉะนั้นเมื่อผมพูดว่าล้ออายุ คุณก็ต้องเข้าใจถูกต้องว่ามันล้ออายุทางเนื้อหนังโดยมีเครื่องมือคืออายุในทางวิญญาณ มีทางมีวิธีมีความจริงที่จะล้ออายุได้ โดยที่มีความรู้ในทางวิญญาณ ก็มาล้อเรื่องทางเนื้อหนังได้ ฉะนั้นเมื่อพูดว่าล้ออายุๆ กันโว้ย นี่มันก็หมายถึงอายุทางเนื้อหนังทั้งนั้น ที่มันผ่านมาอย่างไรด้วยความโง่ความหลง บ้าดี บ้าเก่ง บ้าอะไรก็ไม่รู้ ที่เป็นเรื่องบ้ายกหูชูหาง หากควรจะถูกล้อกันอย่างขนานใหญ่ขนาดใหญ่ ผมก็เคยมาแล้ว คุณก็กำลังมีอยู่ กำลังเป็นอยู่ เหลืออยู่แต่ว่าใครจะล้อได้เมื่อไหร่ ใครจะสามารถล้อได้เมื่อไหร่ แล้วใครจะล้อได้มากกว่ากัน วันนี้มันเป็นเรื่องของผม เป็นเรื่องส่วนตัวของผม มันก็พูดเรื่องส่วนตัวของผมอยู่มาก คุณพลอยได้หรือพลอยได้ฟัง ก็เผื่อว่าคุณจะรู้เรื่องนี้ได้เร็วเข้าหรือว่าล้ออายุได้เร็วเข้า แม้ว่าในเวลานี้ยังไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลย ยังไม่รู้ว่าเกิดมาทำไมร้อยเปอร์เซ็นต์ อายุทางเนื้อหนังนี้เป็นเรื่องที่น่าล้อที่สุด แต่เรื่องอายุทางวิญญาณนั้นไม่มีปัญญาจะไปล้อมัน มันเป็นของมั่นคงยิ่งกว่าสิ่งใดแล้วก็ตลอดกาลนิรันดร ตัวโตเกินกว่าจักรวาลนี้ไปอีก สิ่งที่เรียกว่าเป็นอนันตกาลนั่นน่ะ ซึ่งยังไม่รู้ว่าอะไร ซึ่งมนุษย์ยังไม่รู้ว่าอะไร แต่รู้จักชื่อกันอยู่มาก มันเป็นอนันตกาลคือไม่เกี่ยวกับเวลาหรือเหนือเวลา ฉะนั้นมันก็มีตัว มี space อะไรของมันโตกว่าจักรวาลเสียอีก ไปล้อมันอย่างไรได้ ส่วนเรื่องอายุทางเนื้อหนังนี่มันเป็นเรื่องเด็กเล่น เป็นเรื่องของเด็กอมมือ แล้วเราก็มีอยู่อย่างไม่รู้สึก คือเป็นเด็กอมมือโดยไม่รู้สึก แล้วก็หลงบูชาวัตถุทางเนื้อหนัง
ก็เป็นอันว่าใครอยากจะล้ออายุ ก็ต้องมีความรู้เรื่องอายุ ถ้าอย่างนั้นก็เป็นเรื่องทำอย่างละเมอๆ ก็เรียกว่าอย่างบ้าๆ บอๆ อย่างบ้าหลัง ถ้ายังทำไม่ได้ก็สนใจไปเรื่อยๆ คือสนใจในเรื่องทางวิญญาณนี่ อย่าไปเล่นกับเรื่องทางเนื้อหนังอย่างไม่รู้จักสิ้นจักสุด มาเล่นกันเรื่องทางวิญญาณกันเสียบ้าง แล้วก็เอาเรื่องทางเนื้อหนังนั่นน่ะมาล้อกันเสียทีทุกปี ถึงปีก็เอาเรื่องทางเนื้อหนังมาล้อกันเสียที ถึงปีก็เอาเรื่องทางเนื้อหนังมาล้อกันเสียที เท่าที่สติปัญญาของเด็กอมมือหรือของพวกคุณจะเอามาล้อได้ เพราะว่าอย่างน้อยก็มีความอยากเก่งนี้ มีความอยากเก่งอยู่บ้าง ก็คงจะนึกคิดได้บ้าง เป็นการสงสารสิ่งที่แล้วมาแต่หลังก็แล้วกัน เดี๋ยวนี้คุณมีอายุ ๓๐ -๔๐ ปี ก็ลองย้อนไปดู เรื่องเมื่อเด็กๆ เล็กๆ จำความได้เท่าไหร่ก็ตอนนั้นน่ะ มันก็เป็นเรื่องที่น่าหัวเราะ
ผมยังจำได้ติดตา และผมก็ไม่ค่อยเชื่อตัวเองว่าผมยังจำได้ติดตาว่าผมนี่ ทำไมมันถึงมองเห็นตัวเองสูงสักไม่ถึงหลา สกปรกมอมแมมแล้วก็ร้องไห้เป็นการใหญ่ ในวันนั้นเป็นวันสงกรานต์ เขาเล่นสงกรานต์กันชนิดไหนก็ไม่รู้ จับเอาคนแก่ๆ บางคน มาถูด้วยทรายด้วยโคลนจนเกือบตายนี่ ผมร้องไห้อย่างที่เรียกว่าสุดชีวิตจิตใจ แล้วโยมพ่อเอามาล้างมาอาบน้ำไปพลางร้องไปพลาง ผมไม่ได้เล่นอะไรกับเขาแต่ร้องไห้ คำนวณดูแล้วมันมีอายุน้อยมาก แต่ไม่รู้ทำไมมันจำได้ นี่เรามีทางที่จะล้ออายุได้ด้วยกันทุกคน เพราะว่าอายุที่มันน้อยๆ มากๆ แต่หนหลังนั้นมันมีอยู่ ซึ่งทุกคนจะต้องจำได้ หรือว่าเข้าใจได้ว่ามันเป็นความโง่เท่าไหร่ ความไม่เดียงสาเท่าไหร่ ความเป็นเด็กอมมือมีมากน้อยเท่าไหร่ ก็เป็นตามธรรมดาของเด็กอมมือที่กลัวสิ่งที่โตขึ้นก็ไม่กลัว หรือว่าชอบสิ่งที่โตขึ้นก็ไม่ชอบ ทีนี้ถ้าว่าเรามันจำอะไรไม่ได้ ก็ให้ดูเด็กๆ คนอื่นที่มันกำลังเป็นเด็กอยู่เดี๋ยวนี้ก็ได้เหมือนกัน มันก็จะพอเข้าใจได้ว่าเด็กๆ มันเป็นอย่างไร เราเคยเป็นอย่างไร แล้วมันก็พอจะล้อได้ ถ้าทำได้อย่างนี้ ผมว่าคุณจะโตเร็วอีกมาก อายุจะยาวไปอีกมาก นี่คนแก่ๆ ที่ฟังเรื่องอย่างนี้ไม่รู้เรื่อง มันก็ยังเป็นเด็กอมมืออยู่นั่นแหละ นี่แก่จนจะตายอยู่แล้วก็ยังฟังเรื่องอย่างนี้ไม่รู้เรื่อง มันก็คือเป็นเด็กอมมืออยู่นั่นเอง สูงไม่ถึงครึ่งเมตรอยู่นั่นแหละ ฉะนั้นถ้าคุณอยากจะยืดอายุกันไปจริงๆ หรือว่าจะให้อายุเจริญเร็ว เจริญด้วยอายุนี่ ต้องสนใจเรื่องนี้ แล้วก็มองดูชีวิตแต่หนหลังจนรู้สึกเหมือนกับล้อเลียนได้ ความหมายก็จะเกิดขึ้นในการทำบุญอายุ ถ้าสมมุติว่าคุณเกิดอยากจะทำบุญอายุขึ้นมาบ้างแล้วปีละครั้งๆ ในวันเกิดอย่างนี้ ลองทำอย่างนี้ อายุของคุณจะเจริญงอกงาม เหมือนต้นไม้ดินดี ได้ฝนดี ได้น้ำดี คือมันเจริญทางวิญญาณ เจริญด้วยสติปัญญา เป็นความเจริญในทางวิญญาณ แล้วก็ไม่ต้องมองดูความเจริญทางเนื้อหนัง เป็นของน่าสงสารน่าหัวเราะเยาะ และขยันล้ออายุกันโดยวิธีนี้ เรื่อยๆไปปีละครั้งก็ยังดี คุณก็จะไม่มีอะไรซ้ำรอยคือไม่ไปแสดงซ้ำกับพวกที่เขาแสดงอยู่ซ้ำๆ มีความก้าวหน้าเรื่อยไป แล้วมันก็ไม่ใช่เป็นเรื่องขาดทุนหรือเสียหายอะไรแม้ในทางเรื่องโลกๆ คนที่มีสติปัญญาอยู่อย่างนี้ ผมว่าเรียนเก่ง คิดเก่ง จำเก่ง ตัดสินใจถูกต้องอะไรดีไปทั้งนั้นแหละ ไม่เฉพาะในเรื่องทางศาสนา ทีนี้เรื่องทางศาสนาแล้ว ก็ยิ่งดีใหญ่ เพราะมันเป็นเรื่องทางศาสนาอยู่โดยตรง นี่คือหัวใจของศาสนาและเป็นวิธีที่ลัดสั้นที่สุดที่จะเข้าถึงตัวศาสนา เรียกง่ายๆ ว่าคือการดูอายุ ดูชีวิตจนรู้จักจนถึงกับล้อมันได้นี่ ถ้าเด็กอายุ ๑๐ ขวบทำได้ เด็กคนนั้นมีอายุหลายพันปี มันเท่ากับเด็กคนนั้นมีอายุหลายพันปีหรือว่าเป็นอนันตกาลไปเลย อายุทางวิญญาณนี้มันไม่ขึ้นอยู่กับอายุทางเนื้อหนัง อย่างที่คนแก่จะเข้าโลงอยู่แล้วมันก็ฟังเรื่องอย่างนี้ไม่เข้าใจ แล้วมันก็คือเด็กอมมืออยู่นั่นเองจนกระทั่งเข้าโลง น่าหัวเราะไหม เด็กอมมือเข้าโลงไปแล้ว
นี่เรียกว่าเรามาแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องนี้ ในฐานะที่ว่าวันนี้มันเป็นเรื่องของผมโดยเฉพาะ เพื่อมีการปรารภอายุ แล้วก็ปรารภอายุทางเนื้อหนังในฐานะเป็นสิ่งที่น่าล้อ แล้วก็ปรารภอายุในทางวิญญาณเป็นเรื่องที่น่าเกรงอกเกรงใจ น่าเคารพบูชา ไปล้อมันไม่ได้ ถึงปีหนึ่งก็มาพูดกันทีหนึ่ง ก็มีอะไรมาก มีอะไรเพิ่มมากขึ้น ตลอดเวลาปีหนึ่งนี้ ตลอดเวลาปีหนึ่งที่มันรู้จักชีวิตดีขึ้นในแง่ไหน ทั้งในที่ยังทำไม่เสร็จ กระทั่งในส่วนที่ทำเสร็จแล้ว มันก็มีเรื่องที่น่าดูอยู่นั่นแหละ ถึงแม้ว่าหมดเรื่องหมดปัญหาอะไรแล้วมันก็ยังมีเรื่องที่น่าเอามาดู น่าเอามาพูดสู่กันฟัง ฉะนั้นคุณลองฟังๆ ดู มันจะเป็นเรื่องบ้าอีกชนิดหนึ่ง ก็แต่ว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจที่สุด จะช่วยประหยัดเวลาการศึกษาพุทธศาสนาหรือการเข้าถึงศาสนา ให้มันถึงเร็วเข้า คือประหยัดเวลาได้มาก นี่ที่พูดมาแล้วทั้งหมดนี้มันก็มีใจความที่สรุปได้ไม่ยาก ถ้าคุณฟัง ตั้งใจฟังมันสรุปได้ไม่ยาก เข้าใจได้ไม่ยาก ว่าความอยากเก่งนี้ ความอยากเก่งนั่นน่ะคือสิ่งที่ควรล้อ คือสิ่งที่น่าล้อ ความอยากเก่งที่คุณมีอยู่เต็มอกเต็มใจเต็มหัว เป็นสิ่งที่น่าล้อ แต่ถ้าเราไม่รู้สึก คล้ายกับว่าเราเป็นทาสของมัน เป็นบ่าวเป็นทาสของมัน คุณก็ลองคิดดูในแง่ที่ว่าเรากำลังบูชาความอยากเก่ง เรามีความอยากเก่ง กำลังมีความอยากเก่งอยู่ทุกคน เห็นคุณกำลังมีความอยากเก่งเหมือนผมอยู่ทุกคน ใครกล้าปฏิเสธเรื่องนี้ ใครปฏิเสธก็จะดูเป็นคนพูดเท็จทันที แต่ว่ามันมีบางคนมันอยากมาก อยากมากเกินไปจนลืมตัว แล้วจะเอาปัญญาที่ไหนมาล้อ มันอยากมากจนลืมตัว ยกหูชูหางอยู่จนลืมตัว แล้วมันจะเอาปัญญาส่วนไหนมาล้อ อย่างนี้มันเป็นบ้าอย่างเลว บ้าชัดๆ และบ้าอย่างเลวด้วย จะเอาบ้าอย่างดีมาล้อ บ้าอย่างเลวนี่ไม่รู้ว่าจะเอามาจากไหน ทีนี้ถ้าว่าเกิดอยากไม่เก่งขึ้นมา อ้าว,มันก็บ้ามากไปกว่านั้นอีก เข้าใจไหม เรื่องอยากเก่งนี้มันก็บ้ามากที่สุดอยู่แล้ว นี่ถ้าเกิดอยากไม่เก่งขึ้นมา มันก็บ้ามากไปกว่านั้นอีก อยากไม่เก่งนี่ อยากไม่เก่งนี่ ฟังดูให้ดี มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ นี่ถ้ามันเกิดเป็นไปได้ มันก็บ้ามากไปกว่าที่บ้าอยู่ทีแรก ทีนี้คนบางคนอาจจะค้านว่าพระอรหันต์ไม่อยากเก่ง นั่นเพราะว่าท่านหมดความเก่งหมดความอยากโดยประการทั้งปวง แล้วก็ไม่มีความเก่งหรือไม่เก่ง ความหมายอย่างนั้นมันไม่มี ความรู้สึกว่าเราเก่งนี้จะไม่มีในจิตใจของพระอรหันต์ แล้วก็ไม่อยาก เดี๋ยวนี้มันกำลังพูดอยู่ถึงว่าอยากจะไม่เก่งหรือคนบ้าร้อยเปอร์เซ็นต์ คนบ้าอีกเท่าตัว มันก็ต้องเป็นคนวิกลจริตชนิดหนึ่ง แล้วก็ไม่ต้องพูดถึงหรอก มันเป็นไปไม่ได้สำหรับคนธรรมดาสามัญอย่างนี้ ผมพูดเท่าไหร่คุณก็ไม่เชื่อ แต่แล้วมันก็วกมาอยู่ตรงที่ว่าหยุดความอยากเก่งกันเสียบ้าง หยุดความบ้าเก่งกันเสียบ้าง คือบรรเทากันเสียบ้าง ควบคุมมันนั่นเอง ทีนี้มันเดือดจัด มันเต็มที่หรือมันเดือดจัด มันก็มืด ทีนี้ก็เลยเป็นบ้าอย่างเลว ทีนี้ก็ควบคุมมันเสียบ้าง ก็จะมากลายเป็นบ้าอย่างดีคือบ้าตามความหมายที่ถูกต้องหรือควรจะบ้า คือบ้าควบคุมความบ้าอย่างเลว
ในพุทธศาสนานี้ก็มีสอนเรื่องอิทธิบาท เรื่องทำอะไรอย่างสุดเหวี่ยงนั่นแหละเรียกกันง่ายๆ ว่าทำอะไรอย่างเต็มที่ อย่างสุดเหวี่ยงนี่ ดูแล้วมันก็คือความบ้าอย่างดี บ้าในทางฝ่ายดี เป็นเรื่องบ้าทางสติปัญญาทางวิญญาณ นี่มันก็จะเดินไปในทางฝ่ายวิญญาณ ความบ้าทางวิญญาณที่มันมืดบอด คือไม่มีความรู้เรื่องทางวิญญาณเสียเลยนั้น มันยังไม่ใช่ความบ้าในทางวิญญาณที่กำลังพูด ความบ้าทางวิญญาณคือความอยากดีที่ถูกต้องนั้น มันเป็นเรื่องจิตอีกเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ แล้วมันไม่เดือด มันน่านึกอยู่น่าสังเกตอยู่ที่ว่าความบ้าชนิดนี้มันไม่เดือดคือมันไม่มีอวิชชาครอบงำ มันไม่เดือด มันเป็นเรื่องความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง เป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นวิชชา เป็นญาณ เป็นทัศนะอะไรที่ถูกต้อง แม้มันจะมีการกระตุ้นให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างเร็วอย่างแรง มันก็ไม่มีความเดือด ไม่มีการเดือด เดือดจัด เดือดพล่านหรือเดือดจัด ไม่มืด ฉะนั้นเราควบคุมจิตใจให้เป็นอย่างนี้ คือเป็นความหวังหรือความประสงค์หรือความต้องการ หรือความพยายาม หรืออะไรแล้วแต่เรียกด้วยภาษาธรรมดาของคนธรรมดานี่ แต่ว่ามันด้วยอำนาจของความรู้ที่ถูกต้องของแสงสว่าง ฉะนั้นมันจึงไม่เดือด ไม่ร้อน ไม่มืด ไม่มืด มันอยู่ที่ไม่มืด ก็ยืมคำบ้า ยืมคำว่าบ้าของภาษาโลกๆ มาใช้ ก็เพื่อว่าให้มันมีความหมายชนิดที่ชาวบ้านเข้าใจได้ทันที จะพูดว่าบ้าดี มันก็ดีกว่าบ้าชั่ว หรือบ้าทำบุญอย่างนี้มันก็ดีกว่าบ้าทำบาป หรือบ้าที่จะหลุดพ้นออกไปมันก็ยังดีกว่าที่จะจมอยู่ที่นี่ แต่คำว่าบ้า ๒ คำนี้ต่างกันลิบ ตัวหนังสือเหมือนกัน ความหมายต่างกันลิบ เพราะฉะนั้นเรารู้จัก รู้จักมันแล้วก็รู้จักบ้า รู้จักมันให้ดีๆ แล้วก็รู้จักบ้า ที่แล้วมามันไม่รู้จักบ้า และก็น่าหัวเราะ และก็น่าล้อเลียน นี้ก็เป็นความบ้าอย่างที่ปลอดภัยหรือว่าจะเอาตัวรอดได้ ที่เห็นง่ายๆ ที่สุดก็คือบ้าอย่างโพธิสัตว์ บ้าอย่างพวกโพธิสัตว์ ก็มีความบ้าสุดเหวี่ยงเหมือนกัน แต่เขาไม่ค่อยเรียกกันว่าความบ้าของโพธิสัตว์ เขาก็เรียกอย่างไพเราะว่าอุดมคติของพระโพธิสัตว์ ทีนี้ผมเองมันกลัวไปว่าถ้าเรียกเพราะๆ อย่างอุดมคติของโพธิสัตว์ นี่มันก็จะยิ่งไปบ้ามากเข้าอีก ไปหลงใหลมากขึ้นอีก ฉะนั้นก็เรียกว่าความบ้าอย่างโพธิสัตว์ไว้ที ให้มันเป็นเครื่องป้องกันไว้ เป็นเครื่องกันบ้าได้
แล้วทีนี้มันควรจะพูดกันถึงเรื่องว่ามันจะล้ออายุได้อย่างไร ถ้าสรุปความจากที่พูดมาแล้วข้างต้นว่า ให้คายเหยื่อของโลกเสียนั่นแหละ มันก็จะล้ออายุได้ ถ้าไปทำอย่างเทวดา ทำคือบ้าดี บ้าบุญ บ้ากุศล บ้าอะไรด้วยความมืด ไม่รู้จักว่าสิ่งนั้นคืออะไรแล้วมันก็จะล้อไม่ได้ มันเต็มไปด้วยสิ่งที่ ที่ควรจะถูกล้อ แล้วมันจะเอาอะไรมาล้อ ฉะนั้นถ้าเราอยากจะเก่งในทำนองตรงกันข้ามคือเก่งที่จะล้ออายุได้นี่ มันก็ต้องทำอย่างพระพุทธเจ้าว่า อย่าลืมว่าความอยากเก่งนี้ก็เป็นเหยื่อๆ ชนิดหนึ่ง เหยื่อโลกชนิดหนึ่ง นี่ก็มาเหนือเมฆคือว่าเก่งขนาดที่เรียกว่าไม่อยากเก่ง เป็นความเก่งทางวิญญาณมาระงับความเก่งทางเนื้อหนังที่กำลังเดือดพล่านอยู่ ด้วยความดี ด้วยบุญ ด้วยความวิเศษวิโสอะไร นี่หยุดเพื่อให้มันหยุด ให้มันสงบ ให้มันสะอาด ให้มันสว่าง ให้มันสงบ แล้วก็รีบคายเหยื่อโลกที่กำลังกินหรือกำลังอมไว้เต็มที่นี่ออกมาเสีย เหยื่อโลกก็คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ชนิดที่สัตว์หลงใหลกันนัก ความยกหูชูหางนั้นก็จัดเป็นประเภทธรรมารมณ์ มีรสอร่อยเป็นเหยื่อชนิดหนึ่ง เรียกว่าโลกามิสเหมือนกัน เหยื่อในโลก ส่วนเรื่องรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ นั่นมันกามารมณ์โดยตรง เรื่องเนื้อหนังเรื่องกามารมณ์โดยตรง เป็นชั้นกาม ชั้นกามาวจรภูมิ ทีนี้เรื่องอยากดีอยากเด่น ยกหูชูหางนี่ มันสูงไปกว่านั้น เขาเรียกเรื่องภพ เรื่องรูปาจรภูมิ เรื่องอรูปาจรภูมิ แต่แล้วมันก็เป็นโลกเหมือนกัน เช่นพรหมโลก ก็เป็นโลกเหมือนกัน นี่ก็ต้องเรียกว่าเหยื่อในโลกด้วยเหมือนกัน ฉะนั้นความอยากดี อยากเด่น ความบ้าดี บ้าอะไรมันก็เป็นเรื่องเหยื่อในโลก ก็ต้องรู้จักและก็ต้องละ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาที่จะไม่อยากกินหรือกินอยู่ก็คายเสีย
ทีนี้จะทำอย่างไรที่จะคายมันได้ เพียงแต่เชื่อพระพุทธเจ้านี้ มันจะได้ชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้นแหละ มันเป็นเรื่องเชื่อ เชื่อๆไปอย่างนั้น แล้วบางทีมันก็ทำอะไรไม่ได้เรื่องความเชื่อ มันต้องเอามาดู มาทำด้วยปัญญา ด้วยวิปัสสนา ดูความน่าขยะแขยง ดูความทุกข์ ดูความบ้านั่นอีกทีหนึ่ง เอามาดูอยู่ เห็นเป็นความทุกข์อย่างน่าขยะแขยง เป็นอาการของคนบ้า อย่างนี้มันจึงจะเกิดการคาย คายออกมา คายเหยื่อของโลกนี้ออกมา ไม่กินเบ็ดของโลก เขาเรียกว่าคายเหยื่อออกมาตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอน ทีนี้เรามันไม่คาย กำลังกินอยู่ กำลังกลืนเข้าไป ติดเบ็ดอยู่ นั่นดูเถิด,มันอยากจนนอนไม่หลับ อยากดีอยากอะไรจนนอนไม่หลับ จนปวดหัว มีหลายคนหรือหลายองค์ กำลังปวดหัวอยู่อย่างรุนแรงบ้าง อย่างเนือยๆ บ้าง กำลังปวดหัวอยู่ ด้วยเรื่องอยากดีอยากเด่นนี้ มันกินเหยื่อนั้นเข้าไปมากนัก ทีนี้มันมากจนเดือดแล้ว เดือดๆ เห็นหน้าใครเกลียดไปหมด ได้ยินอะไรก็เป็นเรื่องร้ายไปหมด เขาว่านิดเดียวก็ไปขยายเป็นเรื่องเขื่องเรื่องใหญ่เรื่องโตได้ไปหมด เรื่องไม่น่าโกรธก็โกรธ เรื่องนิดเดียวก็กลายเป็นเรื่องใหญ่โตได้ นี่จนในที่สุดบ้าทางเนื้อหนังเข้าไปจริงๆ เลย คือต้องไปส่งโรงพยาบาลสราญรุ่มหรือปากคลองสานโน่นแหละ มีหลายคนหลายองค์ด้วย ก็หมายความมีทั้งพระทั้งฆราวาส เอาล่ะ,ทีนี้ดีแล้วให้มาบวชเสียตั้งแต่หนุ่มๆ อย่างนี้ ตามธรรมเนียมมาบวช ก็จะถือเอาความมุ่งหมายของการบวชนี่ เพื่อจะหยุด หยุดสิ่งนี้ ให้เห็นว่าบวชนี่เพื่อเป็นวัคซีนชนิดหนึ่งแก้โรคบ้า กันโรคบ้า เหมือนวัคซีนหมาบ้า นี่ฉีดเข้าไปสิ มันจะกันโรคหมาบ้า ทีนี้เรื่องบวชนี่คือวัคซีนที่จะกันโรคบ้า แต่แล้วมันก็มีปัญหาอยู่ว่าคุณบวชจริงกันหรือเปล่า บวชจริงนี่ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่มีเจตนาที่บริสุทธิ์นะ แม้คุณจะมีเจตนาบริสุทธิ์ แต่ถ้ามันทำไปอย่างละเมอๆ อย่างไม่รู้นี่ มันก็ไม่จริงขึ้นมาได้ มันเป็นบวชจริงขึ้นมาไม่ได้ ตั้งใจจริง บริสุทธิ์ใจจริง แต่มันยังบวชจริงขึ้นมาไม่ได้ เพราะว่ามันไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร คือมันทำไม่ถูกต้อง ไม่ตรงจุดมุ่งหมายของความบวชของการบวช มันก็เลยไม่มีวัคซีนหรือไม่ได้ฉีดวัคซีนอันนี้ ไม่กันบ้า แล้วมันก็เลยบ้า ฉะนั้นในที่สุดจะต้องฉีดวัคซีนให้ได้ ต้องพยายามดิ้นรนจนเป็นการฉีดวัคซีนให้ได้ ให้เป็นผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้ว vaccinated นี่ มันฉีดวัคซีนแล้ว เต็มคอร์สแล้ว ครบอะไรถึงขนาดมันแล้ว ก็ไม่บ้าอีกต่อไป ป้องกันได้ แม้ว่าเชื้อของโรคบ้ายังมีอยู่ ยังพร้อมที่จะครอบงำอยู่ แต่เราก็ไม่บ้า แม้ว่าเหยื่อในโลกนี้มันจะมีเต็มไปหมด มันจะล้นมาเข้าปาก ก็ยังไม่กลืนเข้าไป คือว่าเราจะอยู่ที่ไหนมันก็ไม่พ้น ไม่พ้นเหยื่อของโลกหรอก มันมีไปทั่วหมดตลอดเวลาที่เรายังมีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจอยู่นี่ เปิดขึ้นไม่ได้ เปิดตาเปิดหูอะไรขึ้นไม่ได้ มันเต็มไปด้วยเหยื่อทั้งนั้นแหละ พร้อมที่จะประดังกันเข้ามา แต่ถ้าเราทำดีถึงขนาดที่เรียกว่าฉีดวัคซีนไว้แล้วน่ะ มันไม่กลืนเข้าไป หรือมันอาจจะขยอกสำรอกที่กลืนอยู่แล้วออกมาได้ด้วย
ฉะนั้นบวชจริงๆ ให้เป็นบวชจริงๆ นี่ ก็จะเป็นการปลอดภัย แล้วก็สามารถที่จะล้ออายุกันได้ด้วยกันทุกคน ผมบวชมาหลายสิบปีแล้วนะ ผมก็ไม่พูด ไม่กล้าพูดว่าบวชจริงๆ เมื่อไหร่ แล้วบางทีผมก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าการบวชของเรานี้มันเป็นบวชจริงๆ ขึ้นมาเมื่อไหร่ บวชทีแรกมันบวชด้วยความบ้า บ้าบวช บ้าดี บ้าเก่ง แล้วมันก็บวชอย่างนั้นเรื่อยมา อย่างนี้เรียกว่าบวชไม่จริงหรอก แม้ว่าตั้งใจจริง บริสุทธิ์ใจจริงๆ ขยันขันแข็งจริงๆ มันก็ยังไม่ใช่บวชจริง แม้ว่าจะพยายามจะปฏิบัติจริง มันก็ยังไม่ใช่บวชจริง เพราะมันทำไปด้วยอำนาจความบ้าอะไรชนิดหนึ่ง เรียกว่ามันเป็นผู้บวชได้ มีทะเบียนเป็นผู้บวชแล้วได้ ไม่ผิดวินัย ตามวินัยก็เป็นพระเป็นอะไร ผู้บวชแล้วอย่างถูกต้อง แต่ตามทางธรรมะ ยังไม่มี ยังไม่ได้ ยังไม่ถึง ยังไม่เป็นภิกษุสมบูรณ์ ยังไม่เป็นสมณะสมบูรณ์ ยังไม่เป็นอะไรสมบูรณ์ จนกว่าจะมีเรื่องบวชจริงหรือเข้าถึงความหมายของการบวชจริงๆ ได้รับผลของสิ่งนี้จริงๆ ถ้าจะตัดบทลงไปเสียว่ามีแต่จริงกับไม่จริงนี้แล้ว เราล้มละลายหมด คือเราไม่จริงเลย แต่ถ้าว่ามันจริงมาก จริงน้อย จริงน้อยและจริงมาก ขึ้นตามลำดับนี้ มันก็มีหวัง มีหวังอยู่ที่ว่ามีจริงมีความจริงอยู่ เป็นเรื่องได้รับผลของการบวชเหมือนกับฉีดวัคซีนน้อยๆ ไปเรื่อยๆ มันกันโรคบ้าออกไปได้เรื่อยๆ ฉะนั้นอายุก็ล่วงไปอย่างที่น่าดู ไม่น่าล้อนัก คือน่าบูชาอยู่บ้าง ไม่น่าล้อเลียนเสียทีเดียว ทีนี้คุณจะอยู่ต่อไป จะบวชอยู่ต่อไปหรือคุณจะสึกออกไปก็ตามใจ ปัญหามันยังคงในรูปเดิม ว่าชีวิตนี้หรืออายุนี้มันจะเป็นไปในรูปไหน จะยังคงเป็นไปในรูปที่น่าล้อเลียนอยู่ตามเดิม หรือว่ายังน่าบูชาสรรเสริญบ้าง เดี๋ยวนี้ผมมีเรื่องส่วนตัวเฉพาะผม มันเป็นการล้ออายุในครบรอบปี แล้วก็มาพูดให้คุณฟัง เผื่อว่าจะเห็นลู่ทางของมันในการที่จะล้ออายุบ้าง นี่ขอให้ถือว่าการพูดในตอนเช้านี้ เป็นเพียงการตระเตรียมเพื่อฟังเรื่องที่จะพูดต่อไปอย่างเข้าใจได้ดี ซึ่งตอนบ่ายนี้อาจจะมีเทศน์ ตอนค่ำนี้อาจจะมีพูดอีกก็ได้ นี่เวลามันสมควรแล้ว นกก็ร้องตะโกนแล้วว่าพอกันทีสำหรับการพูดครั้งหนึ่งนี้ ก็เป็นอันว่าก็พอกันทีสำหรับตอนเช้านี้