แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
สำหรับพระโดยตรง นี่ชาวบ้านด้วยก็เป็นผู้พลอยฟังนะ ถือว่าเป็นเวลาของพระ ไม่ค่อยนึกถึงอย่างอื่น ชาวบ้านอาจจะไม่ได้ประโยชน์ก็ได้
พูดต่อถึงวันก่อนที่ไม่ทันจะสิ้นกระแสความ มีพระองค์หนึ่งที่มาอยู่สองสามวันแล้วกลับไป ในวันอะไร วัน ๙ ค่ำ ๑๐ ค่ำ นี่แกเขียนคำถามไม่ใช่ปัญหาธรรมะอะไร ผมมีข้อสงสัยที่จะเรียนถามท่านว่า การละความเห็นแก่ตัวมีหนทางเดียวคือ การทำงานให้แก่บุคคลอื่นโดยไม่ได้คิดค่าแรงงานนั้นหรือ พระปฏิบัติวิปัสสนานั่งหลับตา ท่านกลับว่ามีความเห็นแก่ตัว ผมไม่เข้าใจคำพูดของท่านในประโยคนี้ การแนะนำในแนวทางของท่านนี้ผมไม่เคยเห็นในชาดกซึ่งเป็นตัวอย่างที่ไหนเลย เคยแต่พระพุทธองค์ทรงสอนพระกรรมฐานแล้วบอกกับภิกษุทั้งหลายว่าเธอจงยินดีเสนาสนะที่สงัดวิเวก มีถ้ำ ป่า เขา เรือนร้างว่างเปล่า เป็นต้น ให้มีอินทรียสังวรณ์ สำรวมตาหูไม่ให้พล่าน เป็นต้น พระพุทธองค์ท่านไม่เคยแนะนำ สั่งสอนให้ภิกษุละความเห็นแก่ตัวด้วยการแกะสลักหรือการวาดเขียนเลย ไม่ใช่หน้าที่ของพระภิกษุที่ต้องไปทำสิ่งเหล่านี้ ประทานโทษ กระผมได้พักอาศัยอยู่หลายวันนั้น เหตุเพราะกระผมปรารถนาจะฟังการแสดงธรรมของท่านต่างหาก ไม่ใช่เป็นเพราะติดสุข คือทีแรกผมมีความดำริว่าจะพักอยู่สักคืนหนึ่งหรือสองคืน แต่มีพระเณรหลายรูปได้บอกกับผมว่า ทุกวันพระท่านแสดงธรรมะปาฎิโมกข์ กระผมจึงใคร่จะฟังการแสดงธรรมของท่าน เมื่อเป็นเช่นนี้หลังจากนั้นมา มีพระเณรถามผมว่า จะอยู่จำพรรษาที่นี่หรือ จะอยู่กี่วันจะไปเมื่อไร ผมตอบว่าจะอยู่รอฟังธรรมก่อน และจะออกเดินทางต่อไปในวันรุ่งขึ้น การที่ผมจักอยู่หรือจักไปนั้น ผมไม่มีความทุกข์ใจ ร้อนใจ หรือเศร้าใจ เสียใจแต่อย่างใดเลย ควรมิควรแล้วแต่ท่านจะกรุณา ธรรมะกาโมภิกขุ
ใครรู้จักพระองค์นี้หรือ (มีเสียงผู้ตอบ) แล้วใครคุยกับพระองค์นี้ว่าอย่างนี้ นี่ไปคุยแกหรือไปถามแก (มีเสียงผู้ตอบ) อีกองค์ สององค์ในระหว่างนี้ คล้ายๆ นี้ ไม่ใช่เฉพาะองค์นี้ ผมกำลังพูดเรื่องอื่นอยู่ ก็ไปขอโอกาสถามปัญหา ผมเลยไม่ถามว่าปัญหาอะไรเพราะบอกว่ายังไม่ใช่โอกาส ตั้ง เมื่อเสร็จพูดที่นี่ พวกฝรั่ง เวลาสิบเอ็ดโมงจะกลับไปกุฏินี่ เขาก็ยังขอโอกาสถามปัญหา ขอโอกาสถามปัญหา เมื่อผมกำลังพูดอยู่ในของเรื่องกิจธุระ กิจจะลักษณะของเขา แกก็แทรกโอกาสเข้ามา ขอถามปัญหา ขอโอกาสถามปัญหา ผมบอกว่าไม่ใช่โอกาสที่จะถามปัญหาทุกที แกก็เลยลาไป ๒-๓ หน เขา เขาต้องการประโยชน์ของเขาอย่างยิ่งเลย พวกนี้ต้องการประโยชน์ของเขาอย่างยิ่งจนไม่รู้ว่าใครกำลังจะทำอะไรอยู่ เขาปัดโอกาสของคนอื่นออกไปก่อน จะถามปัญหา ไม่มีมารยาท ไม่มีสมบัติผู้ดีแม้แต่นิดเดียวเลย กิริยาท่าทาง แล้วเขาจะต้องถามปัญหาของเขา โดยถือว่าสำคัญกว่าเรื่องอะไรหมด ไอ้คนอื่นรอก่อน แล้วเขาจะรีบกลับไปเลย เขาจะรีบกลับไป ให้เรารีบตอบปัญหา รีบถามปัญหาให้ตอบปัญหา แล้วเขาจะรีบกลับไป เวลาของเขามีค่า รออยู่ไม่ได้ เป็นรุ่งขึ้นก็กลับไป นี่มีความเห็นแก่ตัวหรือไม่มีความเห็นแก่ตัวก็ดูเอาเองก็แล้วกัน
ผมคิดว่าจะยังไม่กลับไป จะพูดวันหลังสักทีหนึ่ง แกจะถามปัญหาอะไรก็ยังไม่รู้ ยังไม่ได้ถามว่าปัญหาว่าอย่างไร ผมยังไม่ได้ถามเลย แต่เพราะมันไม่ใช่โอกาสที่จะถามปัญหา ตรงนั้นผมตอบว่าผมยังไม่ได้อาบน้ำดูสิ ตั้งแต่เช้าและยังเหงื่อเต็มไปหมด และยังมีธุระด่วนที่จะต้องพูดต้องทำอย่างนี้ ไปก่อนแล้วสิค่อยถาม ก็มีบ่อยๆ เหมือนกันไม่ใช่พึ่งจะมีคราวนี้ ก่อนๆ นี้ก็มี ผมแกล้งปล่อยให้มันไม่รู้เรื่องกัน จนกระทั่งเขากลับไป ถ้ามาถามปัญหาอีกล่ะจะให้เขา ไปทำอะไรไปขนหินหรือไปขนทรายหรืออะไรเสีย ให้ได้เหงื่อสักสองสามลิตรก่อนจึงจะตอบปัญหา ถือเป็นไอ้แป๊ะเจี๊ยะ เหมือนเขาเข้าโรงเรียน เขาเรียกแป๊ะเจี๊ยะ แต่ว่าเราไม่ใช่แป๊ะเจี๊ยะทำนองนั้น วัดดูว่ามันมีความเห็นแก่ตัวน้อยหรือมากเท่าไร ถ้ามีความเห็นแก่ตัวมากเกินไป ไม่มีประโยชน์ที่จะไปเสียเวลากับคนเหล่านี้ ก็ต้องวัดดูก่อนว่ามันมีความเห็นแก่ตัวพอสมควร หรือไม่มากนัก พอที่เราจะพูดด้วยได้ แล้วจึงจะค่อยพูดกัน
ไอ้เรื่องทำการงานที่นี่เคยพูดกันมาหลายหนแล้ว ถ้ายังไม่เข้าใจก็ตามใจ ไอ้ทำวิปัสสนาในการงานนี่เราต้องการอยู่เสมอ ยังต้องการอยู่ จะเป็นครั้งนี้ หรือครั้งพุทธกาลโน้นก็ตามใจ เรื่องมันเรื่องเดียวกันกับวิปัสสนาคือ ต้องเห็นความจริง เห็นข้อเท็จจริง เห็นความจริงที่ทำลายความเห็นแก่ตัว ถ้าคุณจะจำ จะจดก็จดประโยคสั้นๆ นี้ว่า วิปัสสนาที่แท้จริง ต้องเป็นการเห็นความจริงที่ทำลายความเห็นแก่ตัว เท่านี้มันก็พอแล้ว ทีนี้ไอ้วิธีจะเห็นความจริง ชนิดที่ทำลายความเห็นแก่ตัวนี่มันมีหลายแบบหลายอย่าง แล้วมันก็ไม่จำเป็นจะต้องเหมือนกันไปหมด มันปรับปรุงได้ตามกาละสมัย ข้อนี้อย่าว่าแต่ธรรมะเลย แม้แต่วินัยพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสอนุญาตไว้ ว่าถ้าอันไหนไม่เหมาะสม จะเพิกถอนแก้ไขก็ได้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสอนุญาตไว้อย่างนี้ เมื่อจะปรินิพพาน เมื่อวันจะปรินิพพาน แต่เราไม่สมัครที่จะแก้ไขกันเอง ฝ่ายเถรวาทนี้ยินดีที่จะเอาตามตัวหนังสือไม่แก้ไขดัดแปลงอะไรเหมือนพวกมหายาน ถ้าแก้ไขก็แก้ไขได้ แต่ไม่อยากจะแก้ไข รักษาไว้ตามตัวหนังสือ นี่หมายความว่า ไอ้สิ่งต่างๆ นั้นปรับปรุงแก้ไขตามควรแก่กาละเทศะได้
เดี๋ยวนี้พระแต่ละองค์ก็ไม่ได้อยู่ เป็นอยู่ เหมือนครั้งพุทธกาล เนื่องจากโลกมันเปลี่ยนแปลง เนื่องจากระหว่างสองพันกว่าปีนี้โลกมันเปลี่ยนแปลง มันเปลี่ยนแปลงหลายอย่างหลายประการ แต่ว่าส่วนใหญ่มันเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เราจะต้องทำอะไรให้เป็นประโยชน์มากขึ้น จะเนิบๆ เนือยๆ อยู่เหมือนครั้งพุทธกาลนั้นไม่ได้ เพราะเราทำผิดหรือทำถูกก็ตามใจ แต่ว่าเราทิ้งอะไรบางอย่างจากครั้งพุทธกาลกันก็มี ในส่วนการเป็นอยู่หรือการทำประโยชน์ผู้อื่นนี่เราทิ้งกันไป แต่ว่าหลักธรรมะนั้นทิ้งไม่ได้ คือหลักวิปัสสนา หลักธรรมะนั้นทิ้งไม่ได้ ต้องเป็นหลักที่ทำลายความเห็นแก่ตัว ถอนความเห็นแก่ตัว ถอนความรู้สึกว่าตัวในที่สุดนั่นแหละอันนั้นอันเดียวคงไว้ ส่วนวิธีการต่างๆ ที่จะให้สำเร็จผลตามนั้น มันก็ต้องปรับปรุงได้ ต้องเป็นสิ่งที่ปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะแก่กาละสมัยได้ และก็ต้องเป็นคนที่มีความเข้าใจถูกต้องในวัตถุประสงค์ ไม่ใช่คุ้มดีคุ้มร้ายเหมือนพระเหล่านี้ ผมพูดตรงๆ เรียกว่าเขาเป็นคนคุ้มดีคุ้มร้าย เมื่อมีความเห็นแก่ตัวมาก
เราถือเอาตามหลักธรรมะที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้แล้วมันมีทางมาก ทาง ต่อไปอ่านดูใหม่ในเรื่องวิมุตตายตนสูตร ทางแห่งวิมุตติ ๕ ประการนั้น ลองไปอ่านดู ด้วยการเรียน ด้วยการฟัง ด้วยการสอน ด้วยการคิดนึก ด้วยการทำความเพียร มันมีได้หลายทาง แต่ว่าตลอดเวลานั้นต้องให้มีความพอใจในการกระทำของตัวว่าถูกต้อง ที่เรียกว่าปิติ ปิตินี้ช่วยให้เกิดความอิ่มใจ ที่ทำใจคอให้ปกติ ถ้าใจคอปกติก็เป็นสมาธิ เท่าที่จำเป็น หรือพอเหมาะพอดีที่จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ไม่ใช่สมาธิเหลือเฟือ นั้นมันจึงพอดีกับเวลา ใช้เวลาไม่มากหรอกก็จะได้ความรู้ที่เป็นการบรรลุธรรม เป็นการตรัสรู้ เพราะทุกอย่างมันเป็นไปเท่าที่ธรรมชาติต้องการพอเหมาะพอดี ไม่มาก ไม่เกิน เดี๋ยวนี้อาจจะยกตัวอย่างให้ฟังได้ง่ายๆ เหมือนกับเราหาไม้มาเยอะแยะไปหมด หาอิฐ หาปูนซีเมนต์ หาเหล็ก หาอะไรมาเยอะแยะไปหมด แล้ว ก็ไม่ได้ใช้ ไม่ได้ทำ เพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรก็มี ที่จะเป็นเรือนเป็นกุฏิอะไรขึ้นมานี่ เพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรก็มี หรือว่าเพราะหลงไหลแต่ในการหา สะสมไม้ สะสมอิฐ สะสมเหล็ก สะสมปูน สะสมทรัพยสัมภาระอย่างเดียว แล้วก็ไม่ได้ทำ จนกระทั่งของนี้ผุพังไปในที่สุด จนกระทั่งสมภารนั้นก็ตายไป ไม่ได้ทำกุฏิ หรือทำบ้านทำเรือนของคนชาวบ้าน นี่อย่างหนึ่ง ทีนี้อีกอย่างหนึ่งก็ตรงกันข้าม คือ หาไม้มาสี่ห้าอันทำเข้าไปหมด หาไม้มาอีกสี่ห้าอันทำเข้าไปหมด หาอิฐมาร้อยสองร้อยก้อนทำเข้าไปหมด หากระเบื้องอะไรทำไปหมด พอหมด ก็พอหมด เสร็จกัน ของก็หยุดหา อย่างนี้ก็มี นี่เรียกว่าพอดี ทำพอดี แล้วก็ทำตาม Commonsense ง่ายๆ คือตามความคิดนึกธรรมชาติง่ายๆ เพราะเราไม่ได้หามาก แล้วไม่มัวหลงแต่ที่จะหาไอ้สิ่งก่อสร้าง แล้วก็ไม่ได้สร้าง นี้ระวังให้ดี
ไอ้ทำวิปัสสนา ทำอานาปานสติ แบบที่เขียนอยู่ในกระดานดำเวลานี้ มีช่องทางที่จะเฟ้อในการมีสมาธิไปแล้ว คือมุ่งกันแต่เรื่องมีสมาธิ แล้วก็พยายามในขอบเขตที่กว้างมากเกินไป มันก็ไม่ได้ง่ายๆ ไม่พอง่ายๆ แล้วสมาธินั้นก็ไม่มีวันที่จะได้ใช้ สำหรับเป็นวิปัสสนา เพื่อพิจารณาให้เกิดญาณ ทีนี้พวกคุ้มดีคุ้มร้าย พระคุ้มดีคุ้มร้ายเหล่านี้ได้ยินได้ฟังแต่เรื่องสมาธิ แล้วกระท่อนกระแท่นจนจับหลักไม่ถูก มันก็ไปทำไม่ได้ แต่มันมีอยาก อยากมาก อยากจะทำให้ได้ อยากจะทำสมาธิให้วิเศษวิโสกว่าใครเลย นี่มันก็ทำไม่ได้ แล้วก็พยายามอยู่แต่อย่างนี้ ก็เลยไม่ได้ทำส่วนที่เป็นปัญญาได้ จึงโง่ถึงขนาดที่ฟังคำพูดเหล่านี้ที่ตรงนี้ไม่เข้าใจ เมื่ออาทิตย์ก่อนมีความโง่มากขนาดนั้น จึงฟังคำพูดที่เราพูดตรงนี้เมื่ออาทิตย์ก่อนนั้นไม่เข้าใจ ทีนี้ย้อนไปดูถึงคนบางคน เป็นฆราวาสด้วยซ้ำไป ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วก็บรรลุธรรมะที่ตรงนั้นเอง บรรลุมรรคผลที่ตรงหน้าพระพุทธเจ้าอยู่ตรงนั้นเอง ไม่ได้ไปทำสมาธิที่ไหน ไม่ได้ไปทำวิปัสสนาที่ไหน ก็บรรลุมรรคผลที่ตรงนั้นเอง เหล่านี้มันเป็นยังไง ลองคิดดู ไม่มีเวลาที่ส่ออาการที่ว่าจะต้องไปหาไม้ หาไร่มาสะสมมาปลูกเรือน มาอะไรทำนองนี้ เพราะมันมีวิธีที่จะรู้ธรรมะที่จะหลุดพ้นมาก มากๆ วิธี อย่างที่กล่าวแล้วในวิมุตตายตนสูตร ใจให้เข้าใจจนสามารถทำให้มันเป็นเรื่องของปัญญาของวิปัสสนานี้อยู่เรื่อยไป โดยไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องสมาธิหลับตา หรือ สมาธิที่มากมายเกินความจำเป็น ก็ยังทำได้ พอลงมือพิจารณาด้วยความตั้งใจจริง ก็ให้มันมีแรงมากจนถึงขนาดที่มันเป็นสมาธิอยู่ในตัวมันเอง
เรื่องนี้ก็เคยพูดหลายแห่ง หลายหน หลายตัวอย่างแล้ว พอเราตั้งใจจะทำการพิจารณาคือ คิด สมาธิมันก็เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ และอัตโนมัติด้วย นี่พอดีไม่มากไม่น้อย เราเอาพวกที่เขาจัดไว้ว่า เป็นวิปัสสนายานิกะดีกว่า คือพวกที่เอาการพิจารณานำหน้าสมาธิ ถ้าใครเอาสมาธินำหน้าวิปัสสนาอย่างนั้นก็เขาเรียกว่า สมถยานิกะคือทำสมาธิมากๆๆๆ จนหลายอย่างหลายแบบเต็มไปด้วยสมาธิ เหลือเฟือแล้วจึงค่อยน้อมไปสู่การพิจารณาทีหลัง แล้วมันก็ใช้นิดเดียว นอกนั้นมันก็เหลือ เหลือใช้ อย่างนี้มันก็ได้ คือว่าทำสมาธิให้มากเข้าไว้ แล้วลาก ลากวิปัสสนาไปตาม เรียกว่า สมถยานิกะนี่เป็นเรื่องที่จัดแบ่งกันทีหลัง ให้ชื่อกันทีหลัง ถ้าว่าเป็นวิปัสสนายานิกะก็คือ เอาการคิดการพิจารณานำหน้าเรื่อย คือลงมือคิดพิจารณาเลย สมาธิลากมาเอง ถูกลากมาเอง การเพ่งพิจารณามันลากสมาธิตามมาเอง แล้วมันลากมาได้เท่าที่จำเป็นนั้นแหละ มันไม่อาจจะลากมาให้มากเกินกว่าที่จำเป็นได้ นี่แหละคือแบบวิธีที่ลัดที่สุดของพวกที่เป็นฆราวาส หรือพวกสมัยนี้ที่จะทนไหว เขาก็ถือกันว่าทั้งสองแบบนี้ใช้ได้ แม้กับพวกพระ พวกพระนี่จะเลือกเอาแบบไหนก็ได้ ผมแนะว่าอย่าไปอะไรล่ะ เขามีคำเรียก คำพูดดี คือว่าหามันมากเกินไป แบกหามกันมากมายเกินไปแล้วก็ไม่รู้จะใช้อะไร บางทีจะเรียกว่าพวกแบบกระไดก็ได้ เที่ยวแบกกระไดอยู่เรื่อยแต่ไม่รู้ว่าจะไปพาดขึ้นบ้านไหน ไม่รู้ว่าปราสาทอยู่ที่ไหน เที่ยวแบกกระไดอยู่เรื่อย นี่พวกทำสมาธิล้วนๆ เป็นอย่างนี้ ไม่รู้ว่าจะไปจรดเข้าที่จุดไหนสำหรับการพิจารณา
เดี๋ยวนี้เราอยากจะใช้วิธีวิปัสสนานำหน้าลากสมาธิไป คือพอเพ่งคิดเท่าไหร่ สมาธิก็เกิดขึ้นเท่านั้น เพ่งคิดให้แรงเข้าสมาธิก็เกิดขึ้นแรงเข้า ตามธรรมชาติ ธรรมดาเลย เป็นเหตุให้เขาเรียกว่า ปัญญาวิมุตติ หลุดพ้นด้วยอำนาจปัญญาคือทำอย่างนี้ มันมีผลเหมือนกัน คือว่าทำลายกิเลสเหมือนกัน เราก็เอาอย่างนี้ดีกว่า ที่เรียกว่า ทำอย่างร่ำรวยมีอะไรมาก แล้วพวกที่บรรลุธรรมะตรงที่หน้าที่นั่งของพระพุทธเจ้าชั่วไม่กี่นาทีนั้น ก็แบบนี้ทั้งนั้น มันเป็นแบบความคิดพิจารณา หรือวิปัสสนานำหน้าทั้งนั้น แต่ว่าถ้าเขาเป็นคนมีนิสัย มีอุปนิสัย มีจิตลักษณะเหมาะสม เขาอาจจะมีสมาธิมากมายเต็มที่ก็ได้ แต่เขาไม่ต้องการ ถ้าบรรลุธรรมะเป็นที่พอใจ ไม่มีความทุกข์อะไรเสียแล้ว ก็ไม่มีใครสนใจที่จะไปหัดสมาธิกันทำไมอีก ทั้งๆ ที่คนนั้นถ้าไปหัดสมาธิแล้วก็จะได้มากมายทีเดียว แต่เมื่อได้บรรลุธรรมะชนิดที่ทำความดับทุกข์ได้ สนใจที่จะไปหัดสมาธิทำไมอีก มันก็มีบ้านเรือนอยู่ตามสมควรแก่อัตตภาพแล้ว จะไปหาไม้ หาอิฐ หาปูน หาอะไรมากองไว้ทำไมอีก อย่างนี้เป็นต้น แล้วก็มีกรณีพิเศษที่ว่าคนที่ บรรลุพระอรหันต์โดยไม่ได้ไปทำวิปัสสนาที่ในป่าที่ไหน บรรลุตรงหน้าพระพุทธเจ้านั้น แสดงอิทธิปาฏิหารย์ได้ มีปฏิสัมภิทา มีอะไรต่างๆ นี้ก็เป็นได้ เพราะว่าจิตใจคนนั้นมันพิเศษมาแต่เดิม พอรู้ธรรมะในส่วนดับทุกข์สิ้นเชิง แล้วก็รู้เรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้องกัน แล้วก็มีจิตใจที่เป็นสมาธิขนาดแสดงฤทธิ์ได้ในตัวเองเลย ไม่ได้ไปผูกอยู่โดยเฉพาะ เดี๋ยวนี้คนเรามันหมดปัญญาหมดท่าเข้า ก็เลยคว้า คว้าไปตามเรื่อง คว้าไปตามเรื่องคือว่า ตามที่มีสอนมีแนะ มีสอนอะไรกันอยู่กัน เป็นแบบพิธีรีตรองแบบธรรมเนียมประเพณี นี้มันจึงเรียกว่ากระท่อนกระแท่น เหมือนที่ผมเรียกเมื่อตะกี้ว่ามันกระท่อนกระแท่น มันกระท่อนกระแท่นเหมือนอย่างว่าไอ้ในรายที่หาไม้ หาปูน หาเหล็ก หาสัมภาระ มากๆ นี่แล้วมันกระท่อนกระแท่นตรงที่ว่า ไม่มีความรู้เลยว่ามันจะต้องใช้ไม้อย่างไหนสักกี่อัน ใช้ปูนสักเท่าไร ใช้อิฐสักเท่าไร ใช้อะไร มันกระท่อนกระแท่นที่ว่า หาอันนั้นมากเกินไป หาอันนี้น้อยเกินไป บางอัน บางอย่างไม่ได้หาเลยอย่างนี้เป็นต้น
ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบรรลุธรรมะกันจริงๆ เดี๋ยวนี้มันกระท่อนกระแท่นแบบนี้ แต่ความรู้ทางปริยัติกำลังขยายกันออกไปไม่มีที่สิ้นสุด แม้แต่จะทำวิปัสสนานี้ก็ต้องเรียนอภิธรรม สังเกตดู อภิธรรมนั้นคือปริยัติอย่างยิ่ง ปริยัติแห่งปริยัติทีเดียว เพราะอธิบายคำมากไป นี่ทำวิปัสสนาก็ยังต้องเรียนอภิธรรมอย่างนี้เป็นต้น จริงๆ หลักสำหรับวิปัสสนานั้น เท่าที่มีในสุตันตปิฏกนั้นก็เหลือเฟือ แสนจะเหลือเฟือ ที่แท้ต้องการเพียงหลักในบางสูตรเท่านั้นก็พอแล้ว ไม่ต้องการคำอธิบายทำนองปริยัติให้มากออกไปเรื่องภพ เรื่องภูมิ เรื่องโลก เรื่องส่วนย่อยของขันธ์ของธาตุ อายตนะ จนเป็นวิทยาศาสตร์หลับหูหลับตาตนเองก็ไม่เข้าใจได้ แต่ท่องได้เท่านั้นเอง
แล้วทีนี้อยากจะพูดให้มันเข้าเรื่องเสียที ที่เป็นปัญหาเฉพาะสำหรับสมัยนี้ ที่จริงก็เคยพูดมาคราวสองคราวแล้วผมจำได้ คือวิธีที่เหมาะสำหรับคนสมัยนี้ แล้วก็ย้ำ ย้ำเป็นหลัก เป็นคำสำคัญว่า พระ เณรอย่าเลวกว่าชาวบ้าน ยังจำได้หรือเปล่า ว่าพระเณรอย่าเลว อย่าเหลวไหลกว่าชาวบ้าน อย่าอยากได้กว่าชาวบ้าน หมายความว่าเมื่อชาวบ้านต้องทำงานเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียอย่างชาวบ้าน ก็บรรลุธรรมะได้ดังที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์นั้นๆ ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าก็บรรลุธรรมะที่ตรงนั้นได้ทั้งที่เป็นฆราวาส และฆราวาสบางคนก็เป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี มีอยู่ในบ้านเรือนนับจำนวนไม่ไหว เมื่อชาวบ้านที่ยังทำมาหากิน เลี้ยงลูกเลี้ยงเมียเป็นอย่างนี้ได้ แล้วพระเป็นไม่ได้ มันก็เรื่องเหลวไหลสิ้นดี ฉะนั้นอย่าอวดดิบอวดดีให้มากไปนักเลย เอาแต่พอเหมือนกับที่ชาวบ้านเขาได้กันก็ดีโขอยู่แล้ว
นี่จึงเกิดความคิดที่ถือโอกาสเอาการงานเป็นวิปัสสนา หรือว่าเอาวิปัสสนาในการงาน มีวิปัสสนาในการงาน หรือว่าทำการงานให้เป็นวิปัสสนาเสีย อันนี้ตั้งชื่อเสียใหม่เลยว่า วิปัสสนากรรมกร ให้พระคุ้มดีคุ้มร้ายพวกนี้ก็จำง่ายหน่อย วิปัสสนาของเราวิปัสสนาแบบกรรมกร ถ้าใครถามเมื่อไรที่ไหนก็ตอบวิปัสสนาสวนโมกข์นี่คือ วิปัสสนาแบบกรรมกร ทำการงานให้เป็นวิปัสสนา มีวิปัสสนาในการงานนั้น แต่ต้องการงานอย่างแบบของผมนะ คือว่าหลักใหญ่ๆ ก็พูดอยู่แล้วว่าต้องเป็นความไม่เห็นแก่ตัว ไม่ให้ยกหูชูหางอย่างมีความเห็นแก่ตัว ทีนี้ถ้าอะไรมาช่วยกำหราบอันนี้ได้ อันนั้นใช้ได้หมด
ทีนี้การงาน ความเหน็ดเหนื่อย ความเสียสละนี้ มันเป็นพื้นฐาน ถ้าใจแคบยังไม่ยอมเสียสละแล้วมันยังเลวเกินไป ยังเป็นเรือโกลนที่ใช้ไม่ได้ แม้แต่จะเป็นเรือโกลน คือโกลนมาไม่ดี ฉะนั้นอย่างน้อยต้องมีการแสดงความไม่เห็นแก่ตัว หรือการเสียสละความเห็นแก่ตัวในระดับที่เพียงพอให้ดูก่อนเป็นข้อแรก แล้วจึงขยับขยายให้มันยิ่งขึ้นไปโดยแนวนั้น โดยไม่ต้องเปลี่ยนเรื่องให้มันหลายเรื่อง เมื่อถือเอาการงานเป็นวิปัสสนา แล้วก็ให้มันเป็นวิปัสสนาเรื่อยไปจากการงานนั้น โดยใจความ เราต้องการให้ทำงาน ชนิดที่เป็นการเสียสละจริงๆ ฉะนั้นจึงบัญญัติไว้ชัดว่า ต้องไม่หวังอะไรตอบแทน อย่าหวังจะได้อะไรตอบแทน อย่าหวังจะได้คำขอบใจ แม้แต่คำว่า ขอบใจ ก็อย่าหวังจะได้ แม้แต่ความเอาอกเอาใจพะเน้าพะนออะไรบางอย่างก็อย่าหวังจะได้ แม้เวลาเจ็บไข้ ถ้าสมมติว่าผมนี้เป็นเจ้าของงานจะมีการตอบแทนอะไรบ้าง ก็ขอให้คิดว่ามันเป็นหน้าที่ตามวินัย ที่เพื่อนสหธรรมิกด้วยกัน จะต้องช่วยเหลือคนเจ็บไข้ เป็นวินัยไม่ใช่ธรรมะ ฉะนั้นให้คงถืออยู่ไปตามเดิมว่าพวกที่เหน็ดเหนื่อยนั้น ไม่ได้รับอะไรตอบแทน แม้แต่สิ่งของ แม้แต่ขอบใจ แม้แต่การเอาอกเอาใจ การเอาใจใส่ อย่าหวังเลย ให้มันเป็นการทำเพื่อ ขูดเกลาความเห็นแก่ตัวไปโดยส่วนเดียว ทำการงานเพื่องาน ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ ตามหลักจริยธรรมสากลไปท่าเดียว แต่ผมเรียกว่าทำงานด้วยจิตว่างไปท่าเดียว
ทีนี้พูดถึงงานที่ทำ ไม่ใช่ต้องเป็นงานแกะสลักหรือวาดเขียนเหมือนกับพระคุ้มดีคุ้มร้ายองค์นี้พูด งานอะไรก็ได้ งานอะไรก็ได้อย่างนั้น นี่มันเป็นหลักตายตัว งานอะไรก็ได้ ขนทราย ขนดิน ขนหิน ทำอะไรก็ได้ ได้ ใช้ได้ทั้งนั้นเลย ให้มันมีหลักว่าเอาเหงื่อล้างกิเลสก็แล้วกัน พอผมพูดประโยคนี้ โปรเพสเซอร์ชวายเรอร์ ฝรั่งผู้ชายคนนั้นชูมือสูงอย่างนี้ เต้นเร่าๆ มันเข้าใจ ขอให้ทำที่เอาเหงื่อล้างกิเลสก็แล้วกัน แต่เราหมายความว่า เอาความไม่เห็นแก่ตัวล้างความเห็นแก่ตัวก็แล้วกัน ไม่ใช่ว่าต้องเป็นงานนั้นงานนี้ แต่ทีนี้เมื่อต้องทำงานแล้วมันควรจะทำงานที่ถนัด มันต้องทำงานที่ถนัด ดีกว่าทำงานที่ไม่ถนัด เพราะมันทำได้ดีกว่า มันไม่เหนื่อยเปล่ามันยังได้ผลดีกว่า ทีนี้งานที่ถนัดนี้มันขยับขยายได้ คือให้เป็นไปในทางที่จะเป็นประโยชน์แก่พระศาสนามากที่สุดก็แล้วกัน แล้วมันอาจจะทำอย่างอื่นก็ได้ แต่ว่าเราจะหมุนมันมา ปรับปรุงมันมา ดึงมันมาในลักษณะที่มันเป็นประโยชน์แก่ศาสนาได้มากที่สุดก็แล้วกัน ทีนี้คนอย่างเรายังไม่มีปัญญาทำอย่างอื่น จึงคิดว่าไอ้การแสดงภาพเขียนหรือภาพสลักนี้มันดีที่สุดสำหรับเราเวลานี้ ผมใช้คำว่าเวลานี้ ขอให้ช่วยจำไว้ด้วย เวลาอื่นไม่รับรอง เวลานี้ในสภาพที่เหมาะสมที่สุดนี่ ไอ้งานนี้จะช่วยเผยแผ่สิ่งที่ควรเผยแผ่ ได้ผลมากเกินค่าของเหงื่อที่เสียไป เพราะว่างานนี้มันจะมีประโยชน์ทั้งในทางธรรมะ ในทางประวัติ ในทางโบราณคดี ในทางศิลปะ กระทั่งในทางวัฒนธรรมของคนไทย ที่ทำให้รู้อะไรทุกอย่างในแง่เหล่านี้ วัฒนธรรมไทยงอกออกมาจากวัฒนธรรมอินเดียอย่างไร ถ้าคนมีหูตาฉลาดจะดูได้จากภาพหินสลักเหล่านี้ ดูในแง่ศิลปะก็ได้ ถ้าดูในแง่ของพุทธประวัติ ก็ยังได้ดีกว่าที่มันมีอยู่ก่อนแล้วในประเทศไทย เพราะว่านี่มันยังไม่มีในประเทศไทย มันเพิ่มส่วนที่แปลกออกมา ดูในแง่ธรรมะ แล้วก็เรื่องความว่างนี่ดูได้ดีกว่า เพราะเขาไม่แสดงรูปพระพุทธเจ้า คงทิ้งไว้เป็นความว่าง โดยหลักว่าพระพุทธเจ้าที่แท้จริงไม่ใช่สิ่งที่แสดงได้ด้วยรูป ด้วยสิ่งที่มีรูป นี่อย่างนี้เป็นไปในฝ่ายธรรมะนะ ทีนี้ไอ้ประวัตินั่น ประวัตินี่ ที่เป็นเรื่องราวมามันไม่เหมือนกับหนังสือพุทธประวัติที่อ่านนั่นดูสิ มันเพิ่มให้อีกในส่วนที่เป็นพุทธประวัติ แล้วยังมีทางโบราณคดี ทางอะไรต่างๆ ซึ่งเราพิจารณากันแล้วเห็นว่ามันมีประโยชน์มาก จึงปรับปรุงให้เหงื่อมันเสียไปในลักษณะอย่างนี้ ที่เรียกว่ายิงทีเดียวได้นกหลายตัว ทำการงานเอาเหงื่อล้างกิเลส แล้วผลของเหงื่อนั้นเป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ด้วย ไม่ใช่แก่ตัวเองอย่างเดียว นั่นเรียกว่าเราถือเอาทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน
และเมื่อใช้วิธีนี้ผมว่าเหมาะที่สุดแก่มนุษย์แก่โลกในยุคปรมาณู ยิ่งกว่าไปนั่งหลับหูหลับตาตลอด ๒๔ ชั่วโมง ไปนั่งหลับหูหลับตาแต่กลางคืนก็พอแล้ว นี่กลางวันใช้วิธีเอาเหงื่อล้างกิเลสนี้ก็ถมไป และยังลึกซึ้งกว่า มีประโยชน์กว้างขวางกว่า ฉะนั้นอย่าได้คิดว่าจะหัดเขียน หัดแกะ หัดทำอันนี้เพื่อจะไปเป็นอาชีพข้างหน้า อย่างนั้นมันไปทำลายตัวเองให้ตกต่ำลงไป แล้วเหงื่อนั้นจะไม่ล้างกิเลส เว้นเสียแต่จะทำเพื่อไม่หวังอะไรตอบแทน หวังแต่ให้ผู้อื่นได้ตะพึด นี่เรียกว่าเหมือนกับเราตายแล้ว เรานี้ตายแล้ว
ฉะนั้นคำกลอนบทนั้นยังคงใช้ได้อยู่เสมอ ทำงานด้วยจิตว่าง ยกผลงานให้ความว่าง กินอาหารจากพลังของความว่าง ตายแล้วตั้งแต่ทีแรก จงเป็นคนตาย หมายความว่า อย่ามีหัว หู หาง สำหรับมายกกันอีก นี่เรียกว่าคนตาย ทีนี้ปัญหามันอยู่ที่ว่าหัว หางมันยังสลอนกันนัก ยังมียกกันสลอนไปนัก มันมีปัญหาเท่านี้ ฉะนั้นไม่มีทางอื่นที่จะกำหราบมัน นอกจากว่า มีหลักที่จะทำลายความเห็นแก่ตัว ทำตนให้เป็นคนต่ำ ทำตนให้เป็นคนแพ้ แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร นี่ดีที่สุด ยกหูชูหางเมื่อไรเป็นมารเมื่อนั้น แพ้เมื่อไรเป็นพระเมื่อนั้น
นี่เห็นได้แล้วว่ามันยังไกล เกินกว่าพระคุ้มดีคุ้มร้ายชนิดนี้จะเข้าใจอุดมคติของเราได้ ก็ไม่มีปัญหาอะไรที่จะต้องพูดกับแก ผมเลยไม่ได้พูดอะไรสักคำเดียวกับพระสองสามองค์นี้ ไอ้นั่นมันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพูด แต่ถ้าคุณยังอยากจะพูด ก็อย่าพูดอะไรให้มากนะ พูดแต่ว่าเรามันสมัครเป็นกรรมกร มีวิปัสสนาในการงาน ปรับปรุงการงานให้เป็นวิปัสสนา คำว่ากัมมัฏฐาน ก็แปลว่าการงาน กัมมัฏฐานนั้นแปลว่าการงาน ฉะนั้นการงานต้องเป็นกัมมัฏฐานได้ด้วย ถ้าว่าการงานนั้นมันไม่เพิ่มความเห็นแก่ตัว ให้ระวัง ระวังๆ ในข้อที่ว่า อย่าให้การงานอะไรเพิ่มความเห็นแก่ตัว เพิ่มความหวังที่จะได้นั่นได้นี่ ยอมเป็นผู้สิ้นเนื้อประดาตัว อยู่ตลอดเวลา ก็เหมือนกับตายแล้ว เสร็จแล้วอยู่ตลอดเวลายิ่งดี มันเป็นหลักง่ายๆ ที่ถือปฏิบัติได้ว่ามัน หู หางมันจะไม่ชูขึ้นมาได้ นี่รวมความแล้วผมมองเห็นไปแต่ในลักษณะอย่างนี้ว่า วิธีนี้เท่านั้นที่ประหยัดที่สุด ประหยัดอะไรที่สุด แล้วก็รวดเร็วที่สุด แล้วก็ง่ายดายที่สุด แล้วก็จะไม่ให้พระนี่เลวกว่าชาวบ้านเหมือนที่พูดแล้ว ด้วยวิธีนี้ ฉะนั้นก็ถือว่าวิธีนี้คงจะเหมาะแล้วสำหรับมนุษย์ในยุคปรมาณูนี้ และภิกษุสามเณรในยุคปรมาณูนี้ ใช้ไฟฉายโก้ๆ แทนที่ใช้โคมผ้าใส่จอกน้ำมันเนย นี่มันผิดกันเท่าไรแล้ว การงานมันก็ต้องเปลี่ยนบ้างสิ กินอยู่กันยังไงมันก็ผิดไปจากครั้งพุทธกาล ในกุฏิมีอะไร มีตำราท่วมหูท่วมหัว สารพัดอย่าง มีเครื่องใช้บางอย่างซึ่งไม่ใช่ของพระนี่ ก็เรียกว่ามันผิดกันมากแล้ว สำหรับมนุษย์ในยุคปรมาณู แล้วไปดูกุฏิ ตึกอะไรของพระเถระเจ้าใหญ่นายโตสิ มันมีอะไรผิดไปกว่าครั้งพุทธกาลมากไปกว่าพวกเราที่นี่อีก เรื่องมันไปกันใหญ่แล้วเป็นยุคจรวด ดาวเทียมไปด้วยเหมือนกัน
ฉะนั้นวิธีปฏิบัติที่จะทำลายกิเลสในจิตใจตอนนี้น่าจะปรับปรุงให้มันทันกันกับยุคที่มันพรวดพราดแบบนี้ นั้นจึงปรับปรุงไปทางเอาไอ้การงานเป็นวิปัสสนา มีวิปัสสนาในการงาน เอาเหงื่อล้างกิเลส มีหลักสั้นๆ ตามแบบวิปัสสนายานิกะแม้แต่จะหลุดพ้นตามแบบปัญญาวิมุตติล้วนๆ ก็ยังดี อย่าไปหวังมันมากกว่านั้น แล้วอันนี้มันเหมาะสำหรับยุคดาวเทียม คือมีปัญญาเพียงพอจะตัดกิเลสอยู่ทุกวันก็พอแล้ว เรื่องนั่งหลับตาตามโคนไม้นั้น มันก็ทำตามโอกาสเถอะ อย่าไปมัวเมาแต่เรื่องนั้นอย่างเดียว เหมือนกับพระที่ว่านี้ แกไม่เข้าใจคำนี้ ไอ้เรานี่สนใจมาตั้งสี่สิบปีแล้วเรื่องคำนี้ คำคำนี้ ก่อนแกเกิด จึงเห็นว่าไม่มีทางจะพูดกันรู้เรื่อง
นั้นวันนี้เลยถือโอกาสตั้งชื่อการเป็นอยู่แบบนี้ว่า วิปัสสนากรรมกร คุณเห็นแล้วนี่ว่าคนที่มาที่นี่ โดยมากถามว่าที่นี่ทำวิปัสสนาไหม ก็บอกเขาเลยว่า วิปัสสนากรรมกร เข้าใจไม่เข้าใจ ตามใจเขา เพราะไม่มีเวลาที่จะฟังคำอธิบาย เอาเหงื่อล้างกิเลส ไม่เอาเปรียบข้าวสุก ไม่เอาเปรียบข้าวสุกของชาวบ้าน ไม่ทำเนิบๆ นาบๆ เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อตลอดปีตลอดชาติก็ไม่เห็นได้อะไรขึ้นมา มันต้องทำจริงและรุงแรงทุกอย่างทั้งทางกายทั้งทางจิต ทางสติปัญญา มันจึงจะทันกันหรือสมกันกับโลกในยุคดาวเทียมนี้ ขอให้เป็นไปในทางถูกต้องก็แล้วกัน มันเป็นไปในทางทำลายความเห็นแก่ตัวเท่านั้น มีข้อเดียวเท่านั้น ควบคุมทุกอย่างเป็นไปแต่ในทางทำลายความเห็นแก่ตัว นับตั้งแต่จะกินอาหาร จะอาบน้ำ จะไปฐาน ทุกอย่างแหละ ระมัดระวังดูให้ดีให้เป็นการทำลายความเห็นแก่ตัว ถ้าส้วมเลอะเทอะมันก็มีคนเห็นแก่ตัวแล้ว แล้วไม่ต้องแก้ตัว พระเณรทั้งนั้นที่ใช้ส้วมนั้น ไม่มีใครมาช่วย ถ้าส้วมมันเลอะเทอะแล้วก็มีความเห็นแก่ตัวเข้าแล้ว นี่เป็นตัวอย่างนะ นั้นอย่างอื่นๆ มีอีก ที่มันไม่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย หรือมันไม่มีประโยชน์ หรืออะไร นี่มันทางหนึ่ง แล้วอีกทางหนึ่งทำลายประโยชน์ให้หมดเปลืองไปโดยไม่จำเป็น นี่ก็เป็นเรื่องความเห็นแก่ตัว ทางหนึ่งไม่สร้างประโยชน์อะไรขึ้นมาก็เป็นความเห็นแก่ตัว อีกทางหนึ่งทำลายประโยชน์ของผู้อื่นที่เขาสร้างสรรค์ขึ้นหามาไว้ นี่ก็เป็นความเห็นแก่ตัว จับจ่ายใช้สอยบางสิ่งบางอย่างในลักษณะที่จะยกหู ชูหางของตัวโดยไม่ประหยัดไอ้สิ่งเหล่านั้น นี่มันก็เป็นเรื่องความเห็นแก่ตัว
ฉะนั้นขอให้ไอ้ทั้งวัด วัดทั้งวัดนี่ มันเป็นลักษณะเป็นนิมิตร เป็นเครื่องหมายที่เป็นเครื่องวัดว่ามันมีความเห็นแก่ตัว หรือไม่เห็นแก่ตัว แล้วให้รู้ไว้ว่าเรามีหลักใหญ่ๆ ว่าจะสร้างวัดนี้ให้มันพูดได้ ให้ก้อนหินพูดได้ ให้ต้นไม้พูดได้ ให้อะไรๆ มันพูดได้ คือว่าให้มันแสดงอะไรที่จับใจผู้เห็น แล้วเกิดความรู้สึกในข้อนี้ เป็นความเงียบ ความสงบ ความหยุด ความว่าง อะไรพวกนี้ นั้นถ้าให้มีทุกๆ อย่างที่มันส่อลักษณะอย่างนั้น อย่าให้มีสกปรก รกรุงรัง หรือให้เกิดความคิดไปในทางอื่น ที่ว่า ให้ต้นไม้พูดได้ ให้ก้อนหินพูดได้ ก็มีความหมายอย่างนี้ มีความมุ่งหมายอย่างนี้ จะวางก้อนหินสักก้อนหนึ่งก็วางให้เกิดความหมาย ถ้ามันโง่เกินไป มันก็เป็นบาปของคนนั้น ไม่ใช่บาปของเรา เมื่อเราวางไว้ในลักษณะที่มันจะมีความหมาย แล้วเขาไม่รู้ความหมาย แล้วนั่นมันใช่บาปของเรา มันบาปของคนที่มานั่นเอง เดี๋ยวนี้คนส่วนมากก็ไม่ได้ประโยชน์ถึงขนาดนี้ เห็นๆ อยู่แล้ว ๑,๐๐๐ คนจะได้สักคนหนึ่ง ที่จะเกิดความรู้สึกประทับใจ จากสิ่งต่างๆ ที่แสดงอยู่ แล้วรู้สึกว่าไอ้ความหยุด ไอ้ความไม่ยึดมั่นนี้ มันดี ไม่ค่อยมีใครรู้ ไม่ใช่ว่าก้อนหินจะมีจิตมีวิญญาณ จะคิดนึก รู้สึกอะไรได้ แต่ว่าลักษณะบางอย่างที่เราอาจจะถือประโยชน์ได้แล้วมันก็เป็นประโยชน์
ในอรรถกถามีภิกษุองค์หนึ่งบรรลุพระอรหันต์เพียงแต่สักว่า เห็นดอกมะลิป่าร่วงลงมาจากต้นเท่านั้น ดอกมะลิป่าไม่ใช่มีชีวิตจิตใจ มันร่วงตามธรรมดา ธรรมชาติของมัน แต่ว่าพระองค์นั้นมองไปในแง่ที่มีความหมายในทางไม่เที่ยง ไม่มีความหวังอะไรเลยในสิ่งเหล่านี้ ในสิ่งที่เอร็ดอร่อย สวยงามอะไรเหล่านี้ นั้นจึงเป็นพระอรหันต์ได้ โดยเห็นสิ่งที่มันทำอะไรไปตามธรรมชาติของมัน ไม่มีจิตมีใจอะไร ทีนี้เรามันไม่เป็น เห็นไหม มันมีอะไรหล่นมีอะไรนั่นก็ไม่รู้สึก เพราะว่าใจของเราเตลิดเปิดเปิงไปทางไหนเสียแล้ว ไม่มีโอกาสที่จะเห็นดอกไม้ป่าร่วงแล้วเป็นพระอรหันต์ได้เสียแล้ว เพราะว่าใจของเรากระด้างและเตลิดเปิดเปิงไปไกลแล้ว ฉะนั้นมันจึงเหมาะแล้วที่จะเอาเหงื่อล้างกิเลส เพราะมันมีความแก่ความกระด้างอะไรมากแล้ว ไม่ละเอียดละมุนละไมเหมือนตัวอย่างนั้น แต่ว่าโดยทั่วไปนี่ให้มองดู มันเงียบ มันหยุด ต้นไม้มันกินอาหารอย่างนี้ มันกินอย่างไม่ยึดมั่นถือมั่น ไอ้เรามันกินอาหารอย่างยึดมั่นถือมั่น วันนี้มีอย่างนี้ มีแกงมีกับอย่างนี้ ถึงปากไม่พูดก็นึกอยู่ในใจ วันนี้อร่อยอยากจะได้อีก มันก็กินอย่างนี้ทั้งนั้น ไม่เหมือนต้นไม้มันดูดซึมไปตามธรรมชาติ ตามระเบียบสม่ำเสมอ ไม่มีตัวกูของกูเหมือนคน ถ้าใครดูในแง่นี้ออกก็แปลว่า คนนั้นได้ฟังต้นไม้พูด ได้ยิน ได้ยินต้นไม้พูด นี่เป็นตัวอย่างเท่านั้น มันมีอีกมากมายเกี่ยวกับต้นไม้ก็ดี ก้อนหินก็ดี มันมีอีกมากมาย ฉะนั้นให้ดูๆ ไว้ เรามีหน้าที่มากกว่าต้นไม้ เรามีอะไรมากกว่าต้นไม้ เราต้องระมัดระวังกว่า ต้องใช้เวลาให้มีค่ากว่า ใช้คำว่าต้องนี่ไม่ถูก แต่มันก็ต้องใช้คำนี้ เพราะมันกระด้างเกินไปแล้ว เรียกว่ามันควร ควร ควรจะทำให้มากกว่าต้นไม้ให้ดีกว่าต้นไม้
นั้นอยู่ในป่ามันก็ไม่เห็นป่า ถ้าไม่มีสติปัญญา ไปนั่งโคนไม้มันก็ไม่ได้ยินต้นไม้พูด ฉะนั้นสร้างสติปัญญาให้มันเพียงพอ เพียงแต่อยู่ตรงนี้ มันก็ได้ยินต้นไม้พูด หรือว่าได้เห็นอะไร เห็นต้นไม้แสดงธรรม ถ้าทำไปด้วยความยึดมั่นในรูปในแบบให้มันฝังตัวเข้าไปในต้นไม้ ขุดโพรงเข้าไปอยู่มันก็ไม่รู้ มันก็ไม่รู้จักต้นไม้ ไม่รู้จักประโยชน์ที่จะได้จากต้นนั้น ไอ้โคนไม้ หรือว่าไอ้ที่สงัดอื่นๆ ที่เขารวมเรียกกันว่าที่สงัดนี่มันมุ่งหมายถึงสิ่งแวดล้อม ที่ช่วยแวดล้อมจิตใจไปในทางหยุด ในทางว่าง ในทางสงบ สงัด ทีนี้เรามันอยู่ในป่าเสียเองแล้ว ก็ควรจะได้รับประโยชน์อันนี้ อย่าเป็นเหมือนกับว่ามันไม่รู้สึกเสียอีก นี่เรียกว่าอยู่ในป่าก็ไม่เห็นป่า นั้นถ้าอยู่ในป่าเห็นลักษณะ เห็นธรรมชาติ เห็นความจริงอะไรเกี่ยวกับป่า มันก็คือเรียกว่า อยู่ในป่าแล้วก็เห็นป่า นี่ก็ทำไปตามโอกาส ส่วนแรงงานยังเหลือก็ใช้ไปในทางทำบทเรียนที่ไม่เห็นแก่ตัว นี่แรงงานที่เหลือจะเอาไปทิ้งเสียที่ไหน ค่าข้าวสุกของชาวบ้านจะเอาไปทิ้งเสียที่ไหน ถ้ายังมีเวลาเหลือพอที่จะใช้มัน ก็ใช้มันไปทางเป็นประโยชน์แก่โลกเป็นส่วนรวม
ฉะนั้นเวลาวันละ ๒-๓ ชั่วโมงก็ตามนี้ เป็นประโยชน์แก่โลกเป็นส่วนรวม ทีนี้แหละเราจึงยืนยันว่าการเขียนภาพ การสลักภาพนั้น มันไม่ใช่การเขียนภาพ สลักภาพเหมือนพระบ้าๆ บอๆ องค์นี้ว่า เขาใช้ชื่อว่าธรรมะกาโม แสดงว่าเขาเบ่งอยู่แล้ว ชื่อว่าธรรมะกาโม อย่าเห็นเป็นว่ามันเป็นเรื่องเขียนภาพหรือสลักภาพ ให้เห็นเป็นเรื่องว่าเสียสละเพื่อประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ อะไรก็ได้ อะไรถนัดก็ทำอันนั้นก็แล้วกัน อะไรมีค่าสูงกว่าเราเลือกอันนั้นอีก อะไรจะเป็นประโยชน์โดยเร็วก็เลือกเอาอันนั้นอีก ผมจึงบอกว่าจะพยายามทำให้มีสิ่งที่ในประเทศไทยยังไม่มี เพื่อให้เพื่อนพุทธบริษัทได้เห็นสิ่งเหล่านี้ ก็มีเท่านั้นเอง ไม่ได้หวังอะไรมากไปกว่านั้น เพราะลำพังผมคนเดียวจะไปทำอะไรได้ หลายๆ คนก็ช่วยกันทำ เป็นการใช้แรงงานส่วนเหลือของร่างกายให้หมดไป แต่แล้วอย่าลืมว่าในขณะที่เหงื่อไหลนั้นแหละมีวิปัสสนา ที่ต้องระวังให้ดี คือระวังหู ระวังหางให้ดี อย่ายกขึ้นมาเพราะเหตุนั้น วิปัสสนาอยู่ที่เมื่อเหงื่อไหลนั้นด้วย และยิ่งจริงๆ สำคัญเสียด้วยกว่าที่ไปนั่งตากลมเย็นๆ ที่โคนไม้ มักจะเคลิ้มไปในทางอื่น ไม่แน่นอนว่ามันขูดเกลาไอ้ความเห็นแก่ตัวด้วยซ้ำไป แล้วจะไปหลงไหลในความสงบ เพลิดเพลินเหมือนกับนอนหลับแบบหนึ่งไปเสีย นี้ก็ไม่ได้ หรือว่าจะทำสมาธิกระทั่งเกิดณาน เกิดสมาบัติ แล้วมันก็จะเหลือใช้ ยังไม่ได้เป็นประโยชน์ นั้นเอาสมาธิเท่าที่จำเป็นแก่การงานของเรา ยกตัวอย่างเหมือนว่าเรามีเครื่องสีข้าวเล็กๆ เท่านี้ ซึ่งมันต้องการแรงฉุดสัก ๑๐ แรงม้า ถ้าเราไปซื้อเครื่อง ๑,๐๐๐ แรงม้ามา นี่มันจะบ้าหรือจะดี ก็คิดดูเท่านั้น ซื้อเครื่อง ๑,๐๐๐ แรงม้ามาฉุดของซึ่งต้องการเพียง ๑๐ แรงม้า มันจะบ้าหรือจะดี ก็เรียกว่าทำให้มันพอเหมาะพอดี ให้มันไปของมันโดยธรรมชาติ แล้วมันพอเหมาะพอดี แล้วก็มีโอกาสจะได้รับผลสูงสุดเต็มที่ แล้วก็เร็ว ฉะนั้นกว่าจะไปหาเงินซื้อเครื่อง ๑,๐๐๐ แรงม้ามาได้ ก็แย่นะ ถ้าได้มาแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรนะ ที่ประโยชน์จริงๆ มันอยู่ตรงที่มันสีข้าวนี้ให้ได้ เพราะเราทำลายตัวกูของกูนี้ให้ได้ แม้แต่ความรู้เท่านี้ แม้แต่สมาธิเท่านี้ แม้ด้วยอะไรเท่านี้ ทำให้ได้ นั่นแหละดี
นี่เพราะเหตุที่ชาวบ้านเขามีสมาธิพอดี มีปัญญาพอดี เขาจึงสามารถบรรลุธรรมะได้ในเพศฆราวาส เป็นพระโสดาบัน สกิทาคามีได้ หรือว่าเขาไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเดี๋ยวใจเป็นพระอรหันต์ได้ เพราะมันมีใจอะไรพอดี มันไม่ เซอร์พลัสซิ่งเหมือนคนบ้าๆ บอๆ นี้ มันมีอะไรแง่นั้นแง่นี้ แง่โน้น ล้วนแต่เฟ้อ เดี๋ยวนี้ระวังให้ดีกำลังจะเฟ้อเรื่องวิชาความรู้ที่ไม่จำเป็นแล้วไปเห่อตาม ตาม พวกคนสมัยใหม่ จะรู้นั้นรู้นี่รู้โน่นมากไปแล้ว ดูไอ้เมล์ ไปรษณีย์ที่มาผ่านผม รู้สึกเดี๋ยวนี้กำลังจะมีเฟ้ออะไรบางอย่างแล้วในทางหนังสือหนังหานี่ นั่นแหละ ตัว โดยที่ตัวคิดว่าจะส่งเสริมตัว จะทำลายตัวโดยที่ไม่รู้สึกตัว
และสรุปความทีว่า เราเรียกระบบของเรา หรือว่าอุดมคติของเรา ว่ามันวิปัสสนากรรมกร แต่ไม่ใช่กรรมกรเหมือนคนอื่น กรรมกรที่ความว่างเลี้ยงไว้ กรรมกรของความว่าง ฉะนั้นเรียกร้องอะไรไม่ได้ ไอ้เรียกร้องเอาอะไรนั่นเป็นตัวกูของกูไม่ได้ เป็นของว่างทั้งหมด และอย่างน้อยจะมีความเบาสบาย ไม่แพ้รูปสุขอื่นๆ ไม่มีอะไรเป็นตัวกูของกูมันสบาย นี่มนุษย์คิดมากไป มีตัวกูของกูสะสมไว้มาก มันก็เลยทุกข์ทนหม่นหมอง วิตกกังวล น่าเศร้ามีตัวกูของกูทรมาน แล้วไปโทษว่าโชคร้ายโทษพระเจ้าโทษผีโทษสาง ไม่เข้าใจไอ้ตัวกูของกูนั่นเองมันทำให้เคราะห์ร้าย เกิดแอคซิเดนท์นั่นนี่ มือหักนี่หักไม่ใช่ผีสางเทวดาอะไรที่ไหน ไม่ใช่เคราะห์ร้ายที่ไหน ไอ้ตัวกูของกูมันทำให้ใจมืดมนสะเพร่าอึดอัดขัดใจ สิ่งที่ง่ายๆ อยู่แท้ๆ ก็กลายเป็นอันตรายได้ เดินขึ้นบันไดก็ตกลงมาได้ เครื่องใช้ไม้สอยที่ใช้อยู่เป็นประจำวันนี้ กลายเป็นอันตรายมาได้ เพราะว่าคนนั้นในเวลานั้น กำลังอึดอัดอยู่ในตัวกูของกู มันไม่ได้มาจากผีสางเทวดาโชคร้ายอะไรที่ไหน
นั้นเรากลับมีปัญหาเพิ่มมากกว่าสัตว์เดรัจฉานเหล่านี้ ถ้าตัวกูของกูมันแสดงหลายแบบนัก นี่หิวก็ไม่โกรธนะ บางเวลาไม่ให้กินอาหารอะไรสักมื้อหนึ่งก็ไม่เห็นมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ผมแกล้งลองดูว่าบางเวลาไม่ให้กินอะไรเลย มันก็อย่างนั้น มันก็อยู่อย่างนั้นแหละ ให้กินสองมื้อมากๆ จนกินไม่ลง มันก็อย่างนั้น ทีนี้ถ้าคนเราไม่ได้กินอาหารสักมื้อหนึ่ง ดูมันจะอึดอัดมาก ดูมันจะเดือดพล่าน จะนึกมากทีเดียว ไอ้สุนัขนี่ไม่ได้นึกอะไร มันไม่หิวถึงกับร้องขึ้นมา ไม่ได้กินอาหารสักมื้อหนึ่งนี่ บางทีมันตามผมไปอยู่บนภูเขาไม่ได้กินข้าวมื้อหนึ่ง มันก็ไม่เห็นเป็นอะไร บางทีลงมาไปหาอะไรกินได้ก็ดี ไปมาหาอะไรกินไม่ได้ก็เลิกกัน มันก็ไม่รู้ไม่ชี้ได้
ฉะนั้นเรื่องความยึดมั่นถือมั่น เป็นตัวกูต้องอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นของกูต้องอย่างนั้นอย่างนี้ นี่ระวัง มันจะมากขึ้น จะมากขึ้นๆ มันจะไม่น้อยลง ปิมโร(นาทีที่ 1.04.01) ถามว่าเลี้ยงสุนัขนี้ไว้ทำไมนะ ปิมโร ที่เพิ่งมาใหม่ ผมแจ้งว่าเป็นอาจารย์บอกอย่างนี้ เลี้ยงหมานี้ไว้เป็นอาจารย์ มันก็เลยทำหน้าไม่ดี เป็นอาจารย์ยังไง เป็นอาจารย์อย่างไร อธิบายว่าความรู้ที่มาสอนคุณนั่นได้มาจากหมาหลายอย่าง คืออย่างนั้น อย่างนั้นๆๆ เรื่องมีตัวกูของกู มันก็เลยเงียบไป เลี้ยงหมาไว้เป็นอาจารย์ แต่ว่ามันอยู่ที่วิธีเลี้ยงหรือว่าวิธีที่เกี่ยวข้องกับหมามันจึงจะเป็นอาจารย์ได้ ไม่ใช่เลี้ยงเฉยๆ แล้วจะเป็นอาจารย์ได้ แล้วส่วนใหญ่เราก็ไม่สนใจกับมันด้วย ไม่มองดูมันแง่ลึกด้วย ปิมโร เขาไม่ชอบหมา เขารำคาญหมา กลัวเชื้อโรคอะไรอย่างนี้ เพราะฉะนั้นพวกฝรั่งจึงมีปัญหา ขนาดหมาใกล้ก็กลัวแล้ว มีความทุกข์กลัวจะติดโรคจากหมา กลัวอะไรต่างๆ ไอ้เราไม่มี ไอ้เรามันมีความต้านทานโรคสูงกว่าในร่างกายเรา ไม่ติดโรคอะไรที่หมามี แต่ก็ไม่ใช่เราจะไปนั่นกับมันเกินไปเราก็ระวังเหมือนกัน เพราะมันจะเป็นอะไรมากเกินกว่าที่เราทนได้มันก็มี แต่แล้วมันมีจริงอยู่อย่างหนึ่ง ที่จริงที่สุดแล้วถ้าเราขี้เกียจแล้วหมาก็ผอม คือไม่เอาใจใส่หมา ถ้าเราเอาใจใส่หมาเราจะทำลายความเห็นแก่ตัวมาก บางทีแทบจะไม่หลับได้นอนตามต้องการ ต้องคอยดูว่ามันเป็นอย่างไร มันไม่สบายกลางค่ำกลางคืนก็ต้องดูมัน ฉะนั้นทุกอย่างใช้เป็นเครื่องมือ หรือเป็นบทเรียนสำหรับศึกษาความไม่เห็นแก่ตัว ได้ทั้งนั้น แม้แต่การเลี้ยงหมาหรืออะไรก็ตาม ถ้ารู้จักทำมันก็เป็นในทางทำลายความเห็นแก่ตัว ถ้าไม่รู้จักทำมันก็ไปทางเพิ่มความเห็นแก่ตัว
ฉะนั้นสิ่งทุกสิ่งมีสองความหมายเสมอ แม้แต่เนื้อตัวของเราเองก็ให้มันสองความหมายเสมอ ทีนี้คนมีปัญญาก็รู้จักเลือกเอาสิ คนมีปัญญารู้จักเลือกเอา รู้จักเลือกเอาประโยชน์ที่สูงกว่าไว้เสมอก็แล้วกัน อย่าไปโง่หลงยึดมั่นถือมั่น ตะพึดไปในทางยึดมั่น ถือมั่น แล้วอาจจะไปเอาสิ่งที่ไม่ค่อยมีราคาก็ได้ แล้วก็เหน็ดเหนื่อยมากเปล่าๆ บางทีเราจะไม่ต้องลงทุนอะไรเลย ไม่ต้องลำบากอะไรเลย สิ่งที่มีอยู่แล้วมันพอแล้วที่จะศึกษา ทำลายความเห็นแก่ตัว มันมีพออยู่ แล้วเมื่อความเห็นแก่ตัวมันกัดเอาบ่อยๆ ก็ดีเหมือนกัน อย่าถึงกับว่าโวยวายหรืออะไร ไอ้กิเลสมันกัดเอาบ้างมันตบหน้าเอาบ้าง มันก็ดีเหมือนกัน มันจะได้สอนให้รู้สึกเร็วๆ เดี๋ยวนี้ไม่รับเสียอีก ไม่รับอันนี้เสียอีก กลับมุมานะไปทางอื่นเสียอีก ไม่ยอมรับการสอนของกิเลส ความโง่ หมายความว่าดันทุรังอยู่นั่น ไม่ยอมละไอ้ส่วนนั้น ก็มีมานะทิฐิจัด ถ้ามันมีอะไรเกิดขึ้นก็ต้องมองไปในทางที่ฉลาดขึ้นกว่าก่อนแล้วกัน อย่ากัดตะพึดเข้าไปในทางมานะทิฐิ แล้วจะฉิบหายหมดเพราะความเห็นแก่ตัว ยกหูชูหางขึ้น เกิดอะไรขึ้นดันไปข้างหน้าตะพึด ไม่สมประสงค์กินยาตาย มันมุ่งไปทางโน้นหมด ไม่มุ่งไปในทางทำลายกิเลสหรือว่าทำลายความเห็นแก่ตัว กิเลส มันมุ่งจะเอาตัว ตัว ตัวไม่ได้ยันเต โดดน้ำตาย กินยาตาย ทั้งหญิงทั้งชาย อย่างนี้มีมากขึ้น ผิดกับสมัยก่อนที่ว่าเขารู้จักผิดชอบชั่วดีถูกต้องเหมาะสมอะไร ใช้ชีวิตนี้ให้เป็นประโยชน์ที่สุด ไม่เสียทีที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ มันก็ไม่พ้นจากเรื่องของธรรมะต้องมาเกี่ยวข้องกับเรื่องธรรมะ สรุปความอีกทีก็เรียกว่า วิปัสสนากรรมกรนี้ ผมกำลังเห็นว่าเหมาะอยู่ ก็ลองไปคิดนึกดู เอ้าพอแล้วค่ำแล้วเดี๋ยวจะไปลำบากกลับ