แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไม่อยู่เหรอนี่ ใครเป็นเจ้าของปัญหา ที่ว่าเราทำอย่างที่เรียกว่าปาฏิโมกข์ ปาฏิโมกข์ทางฝ่ายธรรมะ คือทบทวนและย้ำหลักฝ่ายธรรมะอยู่ทุกวัน ๘ ค่ำ วันพระ เช่นเดียวกับทำปาฏิโมกข์ทางวินัยอยู่ทุกๆกึ่งเดือน นั่นมันปาฏิโมกข์ทางวินัย ต้องไม่เลอะเลือน ต้องไม่อะไร อยู่ส่วนหนึ่ง นี้ส่วนธรรมะนี่มันก็เลอะเลือนได้ เราจึงทำแบบทำปาฏิโมกข์ธรรมะอยู่ทุกๆ วันพระเหมือนกัน วินัยเลอะเลือนธรรมะเลอะเลือน ธรรมะเลอะเลือนวินัยเลอะเลือน พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเมื่อใดหลักเรื่องสุญญตาเสียไป คือหลักคำสอนเรื่องสุญญตาเสียไป กระทั่งไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครเข้าใจ ไม่เอามาศึกษาเล่าเรียน เมื่อนั้นชื่อว่าธรรมะเลอะเลือน พอหลักทางธรรมะเลอะเลือน วินัยมันก็เลอะเลือน พอวินัยเลอะเลือนธรรมะมันก็เลอะเลือนทำนองนี้ เมื่อหลักเรื่องไม่มีตัวตนเสียไป ก็คือว่าหลักทางธรรมะเลอะเลือน ในทางวินัยมันก็พลอยเลอะเลือนได้ คือปฏิบัติวินัยโดยไม่รู้ว่าเพื่อจะกำจัดไอ้ความไม่มีตัวตนนี่ นั้นวินัยก็เป็นพิธีรีตรองมากขึ้น นั้นมันจะต้องไม่เลอะเลือนทั้งฝ่ายธรรมและฝ่ายวินัย โดยอาศัยความเข้าใจเรื่องสุญญตาที่ถูกต้องอยู่เสมอ นี่หลักที่ถูกต้องนั้นสำคัญมาก นั้นเราจึงพูดกันแล้วพูดกันอีกอยู่เสมอถึงเรื่องตัวกูของกู ว่าการละเสียซึ่งตัวกูของกู พูดตลอด ตลอดปี ตลอดหลายๆ ปี มีพูดแต่เรื่องละตัวกูของกู แล้วก็เตือนกันอยู่เสมอ ในเรื่องระวังอย่าให้มันยกหูชูหางขึ้นมา อย่าให้ตัวกูยกหูชูหางขึ้นมา เพราะนั้นจะต้องพูดกันไปอีกนานเรื่องไม่มีตัวตนไม่มีตัวกูนี้ เรื่องสุญญตานี่แหละ แต่แล้วมันอาจจะเข้าใจผิดได้ เรื่องไม่มีตัวนี่อาจจะเข้าใจผิดได้ แล้วเข้าใจผิดมากออกไปจนถึงกับประณามศาสนาอื่นว่าผิด นี่ระวังข้อนี้ เราเข้าใจศาสนาของเราที่ถืออยู่คือพุทธศาสนานี่ไม่ถูกต้องโดยสมบูรณ์ ผิดอยู่ในบางอย่างแล้วก็จะเห็นเป็นขัดกันหรือแย้งกันกับศาสนาอื่นแล้วก็พูดไปทำนองไม่รวมกันได้
สำหรับวันนี้ผมอยากจะพูดเฉพาะในแง่ที่ว่าถ้าเราเข้าใจพุทธศาสนาถูกต้อง แล้วเราจะไม่มี ไม่มีการขัดกันกับศาสนาอื่น จะไม่รู้สึกว่าขัดกันกับศาสนาใดๆ นี่หัวข้อที่ต้องกำหนดไว้ให้แม่นยำว่าถ้าเราเข้าใจพุทธศาสนาถูกต้อง จะต้องไม่มีส่วนใดหรือแง่ไหนที่มันขัดกันกับศาสนาอื่น ถ้ามันยังขัดกันอยู่ให้รู้ว่ามันยังโง่ คนนั้นยังศึกษาศาสนาของตัวอย่างโง่ อย่างโง่เขลา อย่างแคบอย่างเห็นแก่ตัวตามตัวหนังสือเท่านั้น ไม่เข้าถึงใจความของศาสนาที่แท้ ซึ่งผมเองก็เคยเป็นมาบ้างแล้ว ในเมื่อยังไม่รู้ตัวแท้ของพุทธศาสนาอย่างนี้เป็นต้น เดี๋ยวนี้มาเห็นว่าถ้าเข้าใจพุทธศาสนาถูกต้องจริงๆ จะไม่ขัดกันโดยแง่ใดเลยกับศาสนาอื่น ปัญหามันจะมีอยู่ว่าศาสนาอื่นเขาจะยอมรับหรือไม่ นั่นมันฝ่าย มันฝ่ายศาสนาอื่นไม่ใช่ฝ่ายศาสนาเรา ถ้าฝ่ายศาสนาอื่นเขาไม่ยอมแปลความหมายหรือตีความหมายอย่างเดียวกัน มันก็ไม่เข้ากัน แต่มันเป็นทางฝ่ายศาสนาอื่น ทางฝ่ายพุทธศาสนา นี้ถ้าว่าตีความหมายถูกต้องจริงแล้วจะไม่ขัดกันกับศาสนาที่มันมีอยู่ในโลกในแง่ใหญ่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเดี๋ยวนี้เวลานี้ที่มันรู้สึกว่าขัดกันอยู่ ก็คือข้อที่ว่าพุทธศาสนาไม่มีพระเจ้า ศาสนาฝ่ายตรงกันข้ามโน้นมีพระเจ้า ก็ถือว่าขัดกันอย่างตรงกันข้ามแล้ว หรือว่าพุทธศาสนาไม่มีอัตตาตัวตน ศาสนาฝ่ายโน้นมีอัตตาตัวตน มันก็ขัดกันอย่างตรงกันข้ามแล้ว แต่ความขัดนี่มันเป็นความขัดกันเพราะไม่รู้อย่างลึกซึ้งถึงความหมาย รู้แต่ตามตัวหนังสือหรือคำพูด มันจึงรู้สึกขัดกัน แล้วคนนั้นจะรู้สึกยกหูชูหางโร่ขึ้นมาทันทีว่าศาสนาพุทธของกูดีเด่นผิดคนอื่น อย่างนั้น อย่างนี้ ดีเด่นในแง่นั้นแง่นี้ กลายเป็นคนยกหูชูหางขึ้นมาทันที ก็เข้าใจว่าศาสนาของเราดีกว่าศาสนาอื่น แล้วก็ตรงที่ไม่มีพระเจ้าไม่มีตัวตน อย่างนี้เป็นต้น อย่างนี้มันก็แย่เสียแล้ว กลายเป็นคนผู้ยกหูชูหางเสียเอง
ทีนี้จะยกตัวอย่างความจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจกันในข้อนี้ หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งมันลงข่าวที่น่าสนใจมากสำหรับพุทธบริษัท หนังสือพิมพ์ Inquirer Weekly ปีนี้เอง ลงข่าวเรื่อง อูถั่น ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญของโลก ไปพูดจากันกับนิสิตมหาวิทยาลัยโตรอนโต ที่เมืองโตรอนโต แล้วพวกนิสิตเขาอยากจะรู้ในแง่ที่พระพุทธศาสนาจะช่วยทำความสงบสุขให้แก่โลกอย่างไรบ้าง หรือความพุทธบริษัทของอูถั่นเองจะมีส่วนที่จะช่วยแก้ไขปัญหานี้อย่างไร อูถั่นก็ตอบปัญหาที่นิสิตถาม แล้วเขาก็ไปยืนยันตรงที่ว่า พุทธศาสนาไม่เหมือนศาสนาอื่น ผิดแปลกจากศาสนาอื่นตรงที่ไม่มีพระเป็นเจ้า และไม่มี Soul คืออัตตา อูถั่นพูดเน้นในข้อนี้มาก คล้ายๆ กับว่าต่อสู้ป้องกันตึงเครียดที่สุดที่จะไม่ให้ใครล้ำเข้ามาในเรื่องนี้ นี่แล้วคิดสิดูมันบ้าถึงขนาดไหน คนที่มีหน้าที่ที่จะรวมมนุษย์ให้มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน เป็นเลขาธิการสหประชาชาติอย่างนี้มีหน้าที่ที่จะรวมมนุษย์ให้เป็นกลุ่มเดียวกัน มันก็ไปทำการต่อสู้แบ่งแยกทางศาสนาไม่ให้มันเหมือนกัน ให้มันแยกกันอย่างหันหลังให้กันในข้อที่ว่าศาสนาพุทธไม่มีพระเจ้า ศาสนานั้นมีพระเจ้า ศาสนาพุทธไม่มีอัตตา ศาสนาโน้นมีอัตตา แล้วมันไม่บ้าบอที่สุดเหรอ ถ้าเรามีหน้าที่ที่จะรวม ทุกประเทศชาติ ทุกคนในโลกเป็นคนเดียวกัน แล้วไปพูดเพื่อแบ่งแยกกันเลยเป็นไม่เข้ากันได้ ผมรู้สึกว่ามันน่าสงสารที่สุด มันจะมีทางยังไงที่ว่ามันจะต้องไม่ขัดกัน มนุษย์นี่จะต้องไม่ขัดกันในทางศาสนาหรือทางใดๆ หมด
สำหรับความเห็นของผม ผมก็เขียนไว้ อธิบายไว้ หรือพูดอยู่เสมอในเรื่องเกี่ยวกับคำว่าพระเจ้า เกี่ยวกับคำว่าตัวตน พูดถึงเรื่องพระเจ้ากันก่อน เรายืนยันว่าในพุทธศาสนาก็มีพระเป็นเจ้า หรือ God พระเจ้านี่ แต่เราไม่เรียกชื่อว่าพระเจ้า รายละเอียดเรื่องนี้ไปอ่านดูจากหนังสือพุทธธรรม คริสตธรรม ปาฐกถา ๓ ครั้งที่เชียงใหม่ที่แสดงแก่พวกคริสต์ พุทธบริษัทก็มีพระเจ้าในลักษณะอย่างนั้นอย่างนั้น แล้วเหมือนกันอีกด้วย คุณสมบัติอำนาจหน้าที่ สมรรถภาพต่างๆ เหมือนกันเท่ากันโดยประการทั้งปวง ผิดกันเพียงแต่ว่าเราไม่เรียกว่า God หรือพระเจ้า เราเรียกว่าธรรม หรือพระธรรรมใน ๔ ความหมาย ธรรมะคือตัวธรรมชาติ ธรรมะคือกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือหน้าที่ของมนุษย์ที่จะต้องปฏิบัติตามกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือผลของการปฏิบัติหน้าที่นั้นๆ สำเร็จเป็นผล มรรคผลขึ้นมา ธรรมะมีอยู่ ๔ ความหมายอย่างนี้ เมื่อเป็นอย่างนี้ธรรมะมันก็หมายถึงทุกสิ่งไม่ยกเว้นอะไร พระเจ้าก็มีความหมายถึงทุกสิ่งไม่ยกเว้นอะไร มันเป็นสิ่งเดียวกัน เนื้อตัวอันเดียวกัน แต่เรียกชื่อต่างกัน นั้นผมถึงบอกเด็กๆ ทุกคนที่มาลาไปเมืองนอก เด็กหญิงก็ตามเด็กชายก็ตามที่มาลาไปเรียนเมืองนอก นักเรียนไทยที่ไปเรียนเมืองนอก นอกจากไปเรียนแล้วมันยังมีหน้าที่ที่จะต้องรักษาเกียรติ รักษาเครดิตของคนไทยเกี่ยวกับพุทธศาสนา ให้ระวังให้ดีที่พวกฝรั่งเขาจะถามข้อนั้นข้อนี้เกี่ยวกับพุทธศาสนา ให้ถือหลักใหญ่ๆ ไว้ว่า ถ้าเขาถามอะไรออกมาอย่าตอบลงไปโดยเด็ดขาดตามคำถามนั้นๆ ให้ถามกลับ จนให้รู้ว่ามันหมายถึงอะไรก่อนแล้วจึงบอกเขาว่าอย่างนี้เราก็มี ยกตัวอย่างเช่นไปเมืองนอก แล้วพวกฝรั่งเขาถามว่าพวกพุทธบริษัทนี่มีพระเจ้าไหม มีพระเจ้าสำหรับนับถือไหมเขาถามว่ามีหรือไม่มี อย่าไปโง่ถึงขนาดที่ตอบว่ามีหรือไม่มี ให้ย้อนถามกลับว่าไอ้ที่ท่านเรียกว่าพระเจ้านั้นคือยังไง ไหนลองว่ามาดูซิ ให้เขาว่ามาดูซิว่าพระเจ้านั้นยังไง อ้าวเขาก็ต้องจารไนมาพระเจ้าคืออย่างนั้น คืออย่างนี้ คือมีอำนาจเป็นผู้สร้าง มีสมรรถภาพบันดาลทุกอย่าง มีการควบคุมทุกสิ่งอยู่ในที่ทั้งปวง ไม่มีใครหลอกพระเจ้าได้ เราก็บอกว่าเราก็มี มีเต็มที่อย่างนั้นแหละ แต่เราเรียกว่าธรรม หรือธรรมะใน ๔ ความหมายที่กล่าวแล้ว เมื่อท่านเรียกว่าพระเจ้า เราเรียกว่าพระธรรม เรามีสิ่งเดียวกันนี้เลย คิดดูเถอะมันยังไงบ้าง กับเทียบว่ามีหรือไม่มีใครมันโง่กว่ากัน ถ้าตอบว่าไม่มีมันผิดผิดอย่างร้ายแสดงความโง่ ๑๐๐% เหมือนกัน ถ้าตอบว่ามีก็ไม่กล้าตอบเพราะตัวได้รับคำแนะนำสั่งสอนมาว่าในพุทธศาสนาไม่มีพระเจ้า แล้วตัวเองก็ยังโง่อยู่ที่ว่าไม่มีพระเจ้า คือไม่รู้ว่ามีสิ่งนี้ที่มันทำหน้าที่หรือว่ามีอะไรให้เหมือนกับพระเจ้าทุกอย่าง นั้นผมจึงว่าไปอ่านว่าดูเอาคำว่าธรรม เปรียบเทียบกับพระเจ้าในปาฐกถา
นั้นอูถั่นไปบอกว่าพุทธศาสนาไม่มีพระเจ้า แล้วพร้อมกันนั้นมันก็เหยียดไอ้พวกที่มีพระเจ้าอยู่ในตัว ว่าเป็นพวกป่าเถื่อน มันก็ไม่มีผลเลยที่จะรวมน้ำใจของมนุษย์ แล้วมันไม่จริงด้วย มันไม่จริงด้วยข้อนี้ ที่พูดว่าพระเจ้าไม่มีในพุทธศาสนานี่มันไม่จริง นี่เพราะพวกลังกา พวกพม่าหรือพวกไทยเราก็ตามเถอะ มันเข้าใจผิดในคำพูดมากเกินไป แล้วถือแต่ตามบุคคลาธิษฐานมากเกินไป ถ้าพระเจ้าก็ต้องคนหรือสัตว์ คนชนิดหนึ่งเหมือนกับมีความรู้สึกคิดนึกเหมือนกับคน แล้วก็มีอำนาจเป็นเทวดาสร้างโลกอะไร อย่างนี้มันก็สำหรับเด็กๆ มันก็ต้องถือว่าพวกนี้ยังรู้ขนาดเด็กๆ รู้เรื่องพระเจ้าขนาดเด็กๆ เป็นปุคคลาธิษฐานทั้งนั้น พระเจ้าจริงต้องไม่ใช่คน ต้องไม่ใช่สิ่งที่มีชีวิตเหมือนคน มันต้องเป็นสิ่งที่มันเหลือที่จะพูดได้ว่าเป็นอะไร แล้วก็มีอำนาจยิ่งกว่าอำนาจที่จะสร้างสรรค์บันดาลสิ่งทั้งปวงเกิดขึ้นแล้วเป็นไป แล้วควบคุมมัน นี่คือผลิตภัณฑ์ต่างๆ (นาทีที่ 19:34) สิ่งนี้ของพระเจ้านี้ นั้นพระเจ้ามีด้วยกันทั้งนั้นเลย เพียงแต่ว่าพวกหนึ่งไม่เรียกว่าพระเจ้า ถึงพระพุทธเจ้าท่านก็ต้องยอมรับและตรัสว่ามี สิ่งซึ่งมีอำนาจสร้างสรรค์บันดาล คือ กฎแห่งเหตุและปัจจัย กฎแห่งธรรมชาติ ธรรมะคือตัวธรรมชาติที่ปรากฎอยู่ แล้วธรรมะคือกฎของธรรมชาติที่สิงอยู่ในทุกๆ สิ่ง แล้วธรรมะคือหน้าที่ที่มนุษย์ต้องปฏิบัติให้ถูกตรง หรือการปฏิบัตินี่แหละคือธรรมะ การปฏิบัติที่ถูกตรงตามหน้าที่ของมนุษย์ตามกฎของธรรมชาตินั้น แล้วก็มีผลเป็นความสุขความทุกข์แล้วแต่ปฏิบัติผิดถูกอย่างไร รวมกันหมดนี่เป็นหน้าที่ของพระเจ้า เป็นไอ้การกระทำของพระเจ้า การควบคุมของพระเจ้า การลงโทษหรือให้รางวัลของพระเจ้า มันมีสิ่งนั้นสิ่งเดียวกันเลย แต่พระพุทธเจ้าท่านก็เรียกว่าธรรม ในความหมายที่เป็นธรรมชาติ เป็นไปตามธรรมที่เป็นเหตุเป็นปัจจัย เหตุก็ธรรม ผลก็ธรรม การเชื่อมกันระหว่างเหตุกับผลก็คือธรรม ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรม ธรรมคำเดียวหมายถึงพระพุทธเจ้าเองด้วย หมายถึงพระธรรมพระสงฆ์ หมายทุกสิ่งทุกอย่างเลย คำว่าธรรมเพียงคำเดียว แต่คนไม่เรียนกันในแง่นี้ ทั้งๆ ที่มันมีอยู่จริงในพระบาลี ในพระไตรปิฏก ในพระคัมภีร์ แล้วก็เรียนอย่างเด็กๆ เรียน แยกพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ออกเป็นคนละอย่างต่างกัน ไม่สามารถจะเป็นอันเดียวกันได้ นี่ความโง่จนกระทั่งแก่เฒ่าแล้วก็ยังไม่รู้ว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นี่อันเดียวกันได้ แยกเป็น ๓ อย่างอยู่เสมอ คือยังเป็นเด็กอยู่เสมอ เกี่ยวกับความรู้เรื่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่รู้ในความหมายที่สำคัญที่สุดของคำว่า ธรรม เพียงคำเดียวนั้นคือทุกอย่างเลย นอกนั้นมันเป็นเปลือกข้างนอกที่ดูต่างกัน แม้จากนั้นก็เรียกว่าธรรม รูปธรรม นามธรรมอะไรก็ตาม ที่มันต่างกันนี่ก็คือธรรม แม้แต่นิพพานที่เป็นที่ดับแห่งนามและรูปก็คือธรรม สังขตธรรม อสังขตธรรม ล้วนแต่เป็นธรรม ล้วนแต่เป็นธรรมชาติ ธรรมชาติกล่าวคือพระนิพพาน ธรรมชาติกล่าวคือสังขารคือรูป คืออะไร ล้วนแต่ธรรมชาติทั้งนั้น นั้นในทุกศาสนามีพระเจ้าโดยแท้จริง หมายถึงผู้ที่สร้างสิ่งต่างๆ ควบคุมสิ่งต่างๆ มีลักษณะเหมือนกับผู้ให้รางวัลหรือผู้ลงโทษ มีลักษณะเหมือนกับดูแลอยู่ในที่ทั่วไปไม่ให้ใครหลอกลวงได้ กฎแห่งกรรมอย่างนี้มีอยู่ในที่ทั่วไปไม่มีใครหลอกลวงได้ มันก็สิ่งเดียวกัน แต่โน้นเขาเรียกภาษาเด็กๆ ว่าพระเจ้าชนิดเป็นคนๆ ไอ้เราเรียกภาษาผู้รู้ ว่าธรรม ไม่ใช่คน นั้นผมอยากจะให้ อูถั่นพูดว่ามันมีพระเจ้าเหมือนกันหมด พระองค์เดียวกันด้วย และเดี๋ยวนี้เราไม่มองเห็นเราจึงเข้าใจผิด เป็นคนละพวกคนละชนิดคนละศาสนา มีหลักต่างกัน มีความมุ่งหมายต่างกันและไม่รักกันได้เพราะเหตุนี้
นี่แง่หนึ่งข้อหนึ่งที่ไปพูดว่าพุทธศาสนาไม่มีพระเจ้า ศาสนาอื่นๆ นั้นมันมีพระเจ้า มันเป็นเหตุให้เกิดการแตกแยกทางจิตใจแล้วก็ในทางศาสนา ซึ่งมันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ผูกมัดมนุษย์ ดึงดูดมนุษย์ มนุษย์รักหรือนับถือศาสนายิ่งกว่าสิ่งต่างๆ บางทีก็ยิ่งกว่าชีวิตหรือตัวเอง นี่เราไปทำให้มันเกิดการเหลื่อมล้ำต่ำสูง แล้วก็ดูหมิ่นกันอยู่ในตัวขัดขวางกันอยู่ในตัว มันคือความผิด ความเขลา ไม่สมกับหน้าที่ที่ว่ามีหน้าที่จะรวมชาติทุกชาติ คนทุกคนในโลกให้เข้าใจกันได้ นี้เราไม่ใช่จะด่าอูถั่น แต่เราพูดข้อเท็จจริง ทีนี้ข้อที่อูถั่นพูดว่าพุทธศาสนาไม่มี Soul ไม่มีอัตตา ศาสนาฝ่ายตรงกันข้ามมีตัวตน มีอัตตา มี Soul นี่ ผมก็เคยพูดอย่างนี้ เพราะครูสอนอย่างนี้ เมื่อเรายังแรกเรียนนักธรรม ยังไม่รู้อะไรครูเขาก็สอนอย่างนี้ แล้วคนโง่ๆ ก่อนเราก็พูดไว้อย่างนี้ เขียนไว้อย่างนี้ในหนังสือมากมาย แล้วมันเหลือวิสัยที่ผมจะรู้ได้เองว่ามัน มันตรงกันข้าม มันก็อย่างเดียวกับเรื่องพระเจ้า คือสิ่งที่เขาเรียกกันว่าอัตตา อาตมัน Soul อะไรทั้งนั้น มันก็มีอยู่จริง แต่เราไม่เรียกว่าอัตตา ไม่เรียกว่า Soul ไม่เรียกว่า Soul ไม่เรียกว่าอัตตา เราไปเรียกอย่างอื่น ไปเรียกว่าเหตุปัจจัย หรือว่าในที่สุดไปเรียกว่าธรรมะอีกนั่นเอง ธรรมะในส่วนที่เป็นส่วนประกอบขึ้นมาเป็นสัตว์ เป็นคน เป็นสัตว์ เราเรียกว่าคน เพราะว่าถ้าพูดให้ถูกแล้วมันต้องพูดว่าแม้แต่คนก็ไม่มี พุทธศาสนาจะพูดว่าแม้แต่คนก็ไม่มี มันก็ไม่ไหวซิ ที่จริงคนมันมี แต่เราไม่เรียกว่าคน นี่ช่วยจำกันไว้ ไว้สั้นๆ อย่างนี้ นั้นตัวตนมันก็มี แต่เราไม่เรียกว่าตัวตน ก็ไม่เห็นว่าควรจะเรียกว่าตัวตน หรือถ้าว่าเชื่อตามหนังสือตามคัมภีร์ที่เขาสอนกันอยู่เดี๋ยวนี้ว่ามีจิต ที่เป็นผู้รับผลกรรม กระทำกรรม จุติแล้วไปปฏิสนธิไปเกิดเป็นคนใหม่ด้วยกรรมอย่างนั้นอย่างนี้ เหมือนพวกอภิธรรมสอนกันอยู่ นี่มันก็แสดงชัดอยู่ว่ามันยอมรับว่ามี แต่ไม่เรียกว่าตัวตน ทีนี้เขาเรียกว่า Soul อัตตา ฝ่ายโน้น ฝ่ายฮินดู ฝ่ายคริสต์ ก็เหมือนกัน มันก็มีลักษณะอย่างนี้ แล้วเขาเรียกว่า Soul ว่าตัวตนแล้วจะทำไมเขาเล่า แต่อย่างอินเดียวนี่มันเก่ากว่าเราซะด้วย เก่ากว่าพุทธศาสนา เขาพูดว่ามีอัตตา มีอาตมัน มีตัวตน มีลักษณะที่ไปตามกรรมเรื่อย กว่าจะหมดกรรมกว่าจะสลัดกรรมได้จึงจะไปเป็นสิ่งที่ถาวร นี่เขาพูดอย่างนี้ ไอ้เรามันก็พูดอย่างนี้แต่เราไม่เรียกว่าตัวตน นั้นเราจะต้องชี้หรือแนะให้เห็นว่ามันเรื่องเดียวกันที่พูดว่ามีตัวตนหรือไม่มีตัวตนนี้มันเรื่องเดียวกัน มีแต่ว่าคนหนึ่งเรียกว่าตัวตนคนหนึ่งไม่เรียกเท่านั้น มันต่างกันเท่านั้น แล้วทำไมพระพุทธเจ้า ทำไมพระพุทธเจ้าพูดหลายๆ แห่งใช้คำว่าตัวตน หรือพึ่งตน ตน ตนเป็นที่พึ่งแก่ตน ก็พูดอยู่ว่าให้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ว่าตนเป็นที่พึ่งแก่ตน ถ้าไม่มีตนมันจะเอาตนเป็นที่พึ่งแก่ตนได้ยังไง เพราะนั้นให้เข้าใจว่าที่เรียกว่าตนนั้นมันพูดภาษาชาวบ้าน พูดภาษาคนทั่วไป ไอ้พูดว่าไม่มีตนนั่นน่ะพูดภาษาจริง ภาษาความจริง ภาษาธรรมะ แต่ว่าไอ้สิ่งที่เขาเรียกกันว่าตนนั้นมันมีอยู่จริง จะเอาจิตเป็นตนอะไรก็ได้ บาลีบางแห่งจะเป็นพุทธภาษิตหรือไม่ ถ้าเขาเขียนว่าเป็นพุทธภาษิต จิตตัง อัตตา นามะ อย่างนี้ก็มี เอาจิตเป็นตน นี้มันภาษาชาวบ้าน ภาษาจริงมันมีแต่นามรูป จิตมันก็เป็นนามชนิดหนึ่ง แต่ใครจะไปรู้ว่าใครไม่ได้ ใครจะไปรู้เพราะเขาไม่ได้พูดกันอย่างนั้นตั้งแต่เกิดมาเขาไม่พูดกันอย่างนั้น เขาพูดว่าตัวฉัน ตัวท่าน ของฉันของท่าน นั้นสิ่งที่รับสมมุติอันนี้ก็ต้องมีอยู่ จะเป็นจิตหรือเป็นทั้งรูป ทั้งกาย ทั้งจิตอะไรก็ตามมันต้องมีอยู่ แล้วสิ่งที่มันไม่สิ้นไปง่ายๆ เพราะมีเหตุปัจจัยปรุงแต่งหล่อเลี้ยงไว้เรื่อย ที่เรียกว่าเวียนว่ายตายเกิด นี่เราก็ยอมรับอยู่ว่ามันมี สิ่งนั้นมันก็มี เมื่อเราไม่เรียกว่าตนก็ตามใจซิ แต่ผู้อื่นเขาเรียกจะไปว่าเขาทำไม นั้นเพื่อประนีประนอมอยู่ตรงกลางก็ต้องมีสิ่งนี้ มีสิ่งที่เราเรียกว่าตัวตน แล้วเราเรียกตัวตนเมื่อเราพูดอย่างภาษาชาวบ้าน แล้วเราไม่เรียกว่าตัวตนเมื่อเราพูดภาษาธรรมะ ที่นี้ก็ไม่มีประเทศไหนหรือศาสนาไหนมันจะขัดกันเลย มันจะช่วยกันทำความเข้าใจกันได้ ที่ไม่เข้าใจกันมาก่อนก็จะกลับเข้าใจกันได้ เดี๋ยวนี้มันมาแบ่งแยกผ่าซากลงไปเป็นพวกหนึ่งบ้าเลย มีตนมีพระเจ้า พวกหนึ่งไม่มีตนไม่มีพระเจ้า การพูดอย่างนี้แม้จะไม่พูดตรงๆ ว่าบ้าเลย มันก็ต้องบ้าเลย เพราะมันถือว่าตัวถูก พูดในความรู้สึกว่าตัวถูก เมื่อฝ่ายนี้ถูกฝ่ายโน้นมันก็ต้องผิด นี้มันก็แตกแยกกัน หรือว่าถูกกันทั้งสองฝ่ายแต่มันคนละอย่าง อย่างนี้มันก็ไม่ไหวหรอกไม่มีใครฟังได้ มันก็ผลัดกันถูกผลัดกันผิด มันก็แยกกัน เพราะนั้นไม่ใช่ความคิดที่ถูกต้องที่พูดอย่างนี้ แล้วมันก็ไม่จริงด้วย มันไม่จริงด้วย ในการที่ว่าจะทำมนุษย์ให้มีสันติภาพ มีความรักที่ต้องการกันนัก Universal love ความรักสากลนี่ มันต้องเข้าใจสิ่งนี้ถูกต้องนะ เข้าใจเรื่องตัวกูของกู เรื่องพระเจ้านี่ถูกต้อง ถ้านั้นมีไม่ได้ แล้วอูถั่นก็ย้ำแล้วย้ำเล่าหน้าที่ของสหประชาชาติ เนื่องอยู่ด้วย Universal love ความรักกันทั้งจักรวาลเป็นคนเดียวกัน แล้วมาพูดขัดหลังกันเสียเอง พวกหนึ่งมีพระเจ้าพวกหนึ่งไม่มีพระเจ้า พวกหนึ่งมีตัวตนพวกหนึ่งไม่มีตัวตน แล้วใครมันจะรักกันได้ทั้งจักรวาล เราจึงไม่นับถือความรู้ทางพุทธศาสนาของพวกเหล่านี้ และยังคิดว่าถ้าพวกเหล่านี้รู้พุทธศาสนาจริงเพียงพอและถูกต้องก็จะทำหน้าที่ของตัวได้ดีกว่านี้ ดีกว่าไปเที่ยวพูดแตกแยก ให้แตกแยกในระหว่างศาสนาเหมือนที่พูดนี้ ปี้นี้เอง แก่นิศิษย์ทั้งหลายแห่งมหาวิทยาลัย Toronto หนังสือพิมพ์ Worldcolorship (นาทีที่ 33.27) ของเมืองไทยนี่คัดมาลง แต่ไม่ใช่ ไม่ใช่แย้งในข้อนี้ เขาคัดมาลงตรงๆ เพราะเห็นว่ามันเป็นเรื่องสำคัญเพราะอูถั่นพูด ผมก็ไปอ่านมันเข้าแต่ความคิดของผมมันมาอย่างนี้ เห็นว่าอย่างนี้ไม่ควรพูด ถ้าจะทำหน้าที่เลขาธิการองค์การสหประชาชาติไม่ควรพูด แล้วที่พูดน่ะไม่จริง ผิดด้วย นี่เห็นไหมว่า ไอ้ความรู้ความเข้าใจเรื่องหลักพระพุทธศาสนานี่ไม่ใช่เล่น ไม่ใช่ง่าย ไม่ใช่เล่น มันทำให้พูดผิดเลย แล้วมันก็ทำให้เกิดผลร้ายขึ้นมาด้วย นั้นถ้าเข้าใจถูกมันจะพูดถูก แล้วมันไม่ ไม่เกิดผลร้าย จะเกิดผลดี คือความรักสากลระหว่างชาติระหว่างมนุษย์ทั้งโลกได้ นี่ก็เรียกว่าเป็นหลักพุทธศาสนาในฝ่ายธรรมะ ที่จะต้องย้ำให้มีความเข้าใจให้ถูกต้องกันอยู่เสมอไป โลกนี้จึงจะมีความสงบสุขในระหว่างประเทศ ระหว่างครอบครัว ระหว่างบุคคล
เดี๋ยวนี้คนกัดกันก็เพราะว่ามันเข้าใจผิดข้อนี้ มันยกหูชูหางเร่อร่าจะกัดกันอยู่เพราะความเข้าใจผิดข้อนี้ ไม่ยกเว้นพระ เณร อุบาสก อุบาสิกา ชาวไร่ ชาวนา อะไรทั้งหมดเลย แล้วมันกำลังศึกษาเล่าเรียนเพื่อจะยกหูชูหางในแง่นี้ มันกำลังเล่าเรียนพุทธศาสนานี่เพื่อจะมีความรู้ไว้เบ่งทับกัน รู้มากกว่ารู้ดีกว่า แล้วก็มีการทำอย่างนี้ในหมู่ครูบาอาจารย์ทั่วๆไป แม้ที่เป็นอาจารย์วิปัสสนา นี่ผลของการที่เข้าใจความหมายของธรรมะผิด ธรรมะที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนาผิดเรื่องมันจึงเดินไปในลักษณะอย่างนี้ แล้วก็น่าเสียดายที่ว่ามันไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น มันไม่ยากเกินไปไม่เหลือวิสัยอะไรเลยแต่เพราะว่ามันสอนกันมาผิดๆ และไอ้การสอนผิดนี้มันไปเข้ารูปกันกับกิเลสของคนที่ไม่อยากให้ใครดีเท่าตนหรือเสมอตน ต้องการให้คนอื่นเลวกว่าตนเสมอ นี่โรคยกหูชูหาง มันยังพอใจรับมติที่ว่าพุทธศาสนาของเราไม่เหมือนใครและดีกว่าใครด้วย ยังเอามาภูมิใจอยู่ มันเข้ากันกับกิเลสแต่ละคน ของของของแต่ละคนแต่ละคน ที่อยากจะดีกว่าคนอื่น และให้คนอื่นด้อยกว่าตัวอยู่ในอำนาจของตัว ตัวจะยกหูชูหางความดีความเด่นแง่นั้นแง่นี้ แล้วมันจึงรับเอาไอ้ความคิดอย่างนี้เข้ามาได้ง่าย แล้วก็ยืนยันไว้เสมอไป รักษาไว้เสมอไปว่าพุทธศาสนาต้องดีกว่าศาสนาอื่น และไม่เหมือนใครอย่างนี้เป็นต้น พระพุทธเจ้าก็ไม่เคย ท่านไม่เคยพูดอย่างนี้ ท่านพูดเรื่องธรรม เรื่องธรรมชาติไปตามเรื่องตามราวของธรรมชาติ ใครเข้าใจได้ดีมันก็ไม่มีอะไรที่จะเป็นเราเป็นเขา แล้วก็ยกตัวข่มเขา มันเป็นธรรมชาติด้วยกัน ทุกอันทุกคนทุกสิ่งเป็นธรรมชาติด้วยกัน เวียนว่ายไปในวัฏฏด้วยกันจนกว่าจะมีสติปัญญาเกิดขึ้นในจิตใจนั้น แล้วไม่รู้สึกว่าเราเป็นเรา กูเป็นกู มันจึงจะหยุด มันจึงจะนิพพาน ถ้าไม่นั้นมันบ้าอยู่เรื่อย มีตัวกูยกหูชูหางเร่อร่าอย่างนั้นอย่างนี้อยู่เรื่อย แล้วก็ต้องร้องไห้ร้องห่มเพราะเหตุนั้นอยู่เรื่อย ต้องคับอกคับใจเพราะเหตุนั้นอยู่เรื่อย แล้วก็ไม่ยอมสละเลย ไม่ยอมสลัดทิ้งเลย มันดึงดูดมาก มันเป็นที่จับจิตจับใจมาก นั่นก็คือกิเลสซึ่งเป็นฝ่ายพญามาร มันได้เปรียบอยู่โดยธรรมชาติอย่างนั้น พญามารก็ธรรมชาติ มนุษย์ก็ธรรมชาติ ไอ้คนดีนี่ก็ธรรมชาติ แล้วแต่ธรรมชาติฝ่ายไหนมันจะได้โอกาส เมื่อมันปรุงอย่างนี้มันก็เป็นอย่างนี้ เมื่อมันปรุงอย่างนั้นมันก็เป็นอย่างนั้น มันก็ในร่างกายนี้ ในกลุ่มนี้ ในนามรูปนี้ เดี๋ยวมันก็เป็นพญามาร เดี๋ยวมันก็เป็นพระเป็นเณร เดี๋ยวมันก็เป็นผีปีศาจ เดี๋ยวมันก็เป็นวัฏสงสาร เดี๋ยวมันก็เป็นนิพพานสลับกันอยู่ มันก็เป็นนิพพานชั่วคราวหลอกๆ อย่างนั้น คือหยุดไปได้พักๆ หนึ่ง ไม่ใช่นิพพานจริง แต่ก็พอจะเรียกว่านิพพานได้เหมือนกัน ความคิดปรุงไปทางนี้ก็เป็นวัฏสงสาร ความคิดปรุงไปทางนี้ก็เป็นนิพพาน แต่เมื่อมันยังปรุงอยู่มันก็ยังไม่เด็ดขาด นั้นเราจะทำให้มันหยุดปรุงแล้วมันก็เป็นนิพพานโดยแท้ถาวรขึ้นมา ทั้งวัฏสงสาร ทั้งนิพพานก็คือธรรมที่ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ นั้นผมพูดไอ้นี้ซ้ำๆ ซากๆ จนไอ้คนรำคาญไปหมดแล้ว ผม หาว่าผมพูดอะไรไม่เป็นนอกจากจะพูดว่า สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ คำเดียวเท่านั้น มันก็จริง ผมก็พูดเป็นแต่คำเดียวเท่านั้น นิพพานก็คือ ธรรม สังสารวัฏก็คือธรรม ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ แล้วมันก็มีธรรมเหมือนกันแล้วมันจะเอามาเบ่งมาทับกันยังไงได้ ถ้าเอามาเบ่งมาทับมันก็ มันโง่มันแยกออกไปส่วนหนึ่งไปเชิดชู แล้วไปทับเอาส่วนหนึ่งซึ่งมันสมมุติว่าเลว มันก็เกิดความยึดมั่นถือมั่นเรื่องดี เรื่องชั่ว เรื่องสูง เรื่องต่ำ เรื่องบุญ บาปอะไรขึ้นมา แล้วมันก็หลงในเรื่องฝ่ายที่ถือว่าดี แล้วก็ยกหูชูหาง นี่คือคนที่ว่ามันจมอยู่ในก้นบึ้งของนรกตกอเวจี คนไหนมีหู มีหางยาวเท่าไหร่คนนั้นยิ่งตกนรกลึกเท่านั้น มีหูหางยาวที่สุดมันก็ตกนรกก้นบึ้งชั้นอเวจีโลหะกุมภี เพราะคนๆ นั้นมันร้อนระอุอยู่ในใจมากกว่าคนอื่นตลอดเวลามากกว่าคนอื่น ที่ไม่ได้อย่างใจ ที่อึดอัดขัดใจกลัดกลุ้มอยู่เสมอ เพราะการไม่ได้ยกหูชูหางตามใจบ้าง หรือว่ายกหูชูหางมันไม่มีความหมาย ไม่สำเร็จอะไรบ้างนี่มันทรมานใจอย่างนี้ ให้รู้จักนรก ตรงที่มันเป็นตัวกูของกูจัด เดือด ขนาดเดือด ถ้ามันปกติก็เป็นมนุษย์ธรรมดายกหูชูหางตามปกติ ถ้ามันยกหูชูหางได้เพราะว่ามันมีอะไรดีอยู่บ้างมันก็เป็นเทวดา มันไม่ใช่ ไม่ใช่ผู้พ้นทุกข์หรือผู้ดับทุกข์หรอก แม้จะเป็นพระอริยเจ้าแม้กระทั่งต้นๆ มันก็ต้องหยุด หรือว่าลดลง ลดการยกหูชูหางมันลดลง ลดลง ลดลงจนหมดนั่นน่ะ มันจึงจะไปฝ่ายพระอริยเจ้า ถ้านั้นมันไปฝ่ายบุถุชนอย่างสูงสุดเป็นได้ถึงพรหมน่ะ บุถุชน ความโง่ยกหูชูหางไอ้สูงสุดคือพวกพรหม พวกพรหมมีอัตตาจัด ทั้งที่ไม่หลงใหลในกามารมณ์ในกามคุณแต่มันยังมีอัตตาจัด มันไม่เป็นทาสตามอารมณ์เหมือนคนทั่วไปไอ้คนชั้นนี้ แต่มันมีอัตตาจัด เพราะมันแบกอัตตาขนาดใหญ่ไว้ทนทุกข์อยู่อย่างนี้มันเรียกว่าพรหม ถ้าเป็นเทวดาในชั้นกามาวจร มันก็มีกิเลสตัวกูของกู แล้วเผอิญมันทำไปในทางที่เรียกว่าบุญ ให้มันได้กามารมณ์มาบริโภคอยู่อย่างตามใจชอบ อย่างนี้ก็เป็นเทวดาในชั้นกามาวจรสวรรค์ ถ้ามันหาความสุขบนหยาดเหงื่ออยู่มันก็เป็นมนุษย์ มันก็มีตัวกูของกูแบบหนึ่งตามแบบมนุษย์ แล้วก็ตัวกูของกูมันกัดเอาบ้างฟัดเอาบ้างมันก็ซาไปบ้าง เดี๋ยวเผลอไปมันก็ตัวกูใหม่ ที่ถ้ามนุษย์คนไหนมันมีความทุกข์ระอุในใจเพราะเหตุนั้น นี่เรียกว่าสัตว์นรก มันแล้วแต่ว่ามันจะร้อนมากหรือร้อนน้อย ถ้าความไม่ได้อย่างใจของมันในเรื่องยกหูชูหางนี้ร้อนระอุถึงที่สุด กลัดกลุ้มถึงที่สุดจนหน้าซีดหน้าเซียวตาเขียว มันก็ตกนรกอเวจีโลหกุมภีอยู่ตลอดเวลา ถ้าเข้าใจข้อนี้และแก้ไขข้อนี้แล้วเป็นหมดเลย เรื่องจะหมดเลย เรื่องนรกสวรรค์ เรื่องอบายในโลกอื่นโลกหน้านั้นเป็นอันถูกแก้ไขด้วยสิ้นเชิงเลย เพราะเราแก้ไขที่นี่และเดี๋ยวนี้ เรื่องนรก เรื่องมนุษย์ เรื่องสวรรค์ เรื่องพรหมอะไรนี่ ด้วยการทำลายกิเลสที่เป็นเหตุให้ยกหูชูหาง
เพราะนั้นพระเณรองค์ไหนต้องการจะยกหูชูหางด้วยความรู้ทางพุทธศาสนา ด้วยเรื่องทางวิปัสสนา ทำเคร่งอวดคนอย่างนี้ เลิกซะดีกว่า เพราะมันจับตัวเองใส่นรก ผมไม่ได้หมายความว่าไม่ให้เคร่งนะแต่ให้มันมีเหตุผล ไอ้เคร่งเกินไปมันใช้ไม่ได้นะ มันส่งเสริมไอ้หูหาง ไอ้หลวมเกินไปมันก็ส่งเสริมหรือปล่อยตามหูตามหางเหมือนกัน มันต้องอยู่ตรงกลางที่พอทีที่พระพุทธเจ้าท่านสอน มันจึงจะกำจัดไอ้หูหางให้มันสั้นลงหรือต่ำลงจนกระทั่งมันเรียบ เป็นอลัชชีขนาดไม่ละอายนี้มันก็ใช้ไม่ได้ แล้วก็เคร่งอย่างหลับหูหลับตาหรือเคร่งอวดคนอย่างนี้มันก็ใช้ไม่ได้ มันต้องอยู่ตรงที่ถูกต้องและพอดี ตัวกูจึงจะไม่ยกหูชูหาง หรือมันถูกกำราบไว้ข่มไว้จนมันจะค่อยๆ จางไปจางไปสูญสิ้นไปในที่สุด
นี่คือข้อที่ขอย้ำแล้วย้ำเล่าย้ำแล้วย้ำเล่าอยู่ว่าต้องเข้าใจหลักธรรมะให้ถูกต้อง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็พุทธศาสนาที่เราถือเป็นศาสนาประจำตัวเรา ให้เข้าใจให้ถูกต้องและสมบูรณ์ แล้วในที่สุดจะไม่รู้สึกว่ามีใครที่ขัดแย้งกันในโลกในทางศาสนาหรือทางหลักศาสนา มีทางที่ทำความเข้าใจกันได้ คืนดีกันได้จากการที่เคยเข้าใจผิดต่อกัน แล้วโลกนี้ก็มีสันติสุข เพราะว่าส่วนลึกหรือส่วนหัวใจนั้นมันเรียบร้อยไปแล้ว มันเข้ากันได้แล้ว มันรักกันได้แล้ว นี้เรื่องข้างนอกมันก็เป็นไปตามเอง เดี๋ยวนี้คอย คอยยันเอาไว้ให้มัน เขาเป็นเขาเราเป็นเรา มึงเป็นมึงกูเป็นกูอยู่เรื่อยไป แล้วต่างกันเสียด้วย ตรงกันข้ามเสียด้วย ผมไม่กลัวนะ คุณฟังดูเถอะ ผมพูดผมไม่กลัว นี่คุณนั่งอยู่นี่ไม่กี่คนผมยิ่งไม่กลัว เพราะไอ้คำพูดที่พูดไปในปาฐกถาอื่นๆ น่ะมันกำลังแพร่หลายไปทั่วประเทศหรือไปต่างประเทศ ในลักษณะอย่างนี้ แล้วเขาก็จะรุมกันด่ารุมกันว่า พวกลังกาที่เคร่งๆ พวกพม่าที่เคร่งๆ หรือพวกอภิธรรมในเมืองไทยที่เคร่งๆ จะคอยรุมกันด่าผมเรื่องคำพูดนี้ต่อไปอีกมากขึ้นทุกที เมื่อปาฐกถาที่เชียงใหม่มันแพร่หลายออกไป ซึ่งมีเนื้อความว่ามันเหมือนกัน พระเจ้าคือธรรมะ โดยเนื้อแท้โดยหัวใจ คริสตธรรมกับพุทธธรรมคือการทำลายตัวกูของกูเหมือนกัน ผมรู้ ไม่ใช่ไม่รู้ว่าพวกลังกาเขาไม่ยอม พวกพม่าก็ไม่ยอม พวกอภิธรรมเมืองไทยนี้ก็ไม่ยอม แล้วเขาก็เขียนด่าหรือว่าด่าตามใจตามเรื่อง นี่คือความที่ผมไม่กลัว นั้นผมไม่กลัวคน ๔-๕ คนที่นั่งอยู่นี่ ต้องการจะพูดความจริงให้มันรู้ว่า พุทธศาสนาไม่ใช่ของชาวพุทธ ไปเรียกว่าพุทธศาสนามันบ้า
พระพุทธเจ้าไม่เคยเรียก ท่านเรียกว่าธรรม ท่านเรียกว่าธรรม ธรรม ธรรม ธรรมะ ธรรมะ ให้รู้แล้วสอนโดยคนนั้น ธรรมะนั้นของธรรมชาติ เป็นสมบัติของธรรมชาติ เป็นตัวธรรมชาติ นั้นไม่ใช่ของเราไม่ใช่ของพวกพุทธเรา นั้นความจริงแล้วมันเป็นของธรรมชาติ ความจริงทุกอย่างมันเป็นของธรรมชาติ ความเท็จมันก็เป็นของธรรมชาติ มันไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ของธรรมชาติ มันแล้วแต่ว่าใครรู้ในแง่ไหนแล้วเอามาสอน แล้วมันดับทุกข์ ความทุกข์ที่มีอยู่ได้ แล้วก็ใช้ได้แล้ว นั้นมันดีมันวิเศษตรงที่มันดับทุกข์ได้ เรื่องจริงเรื่องเท็จอย่าไปสนใจก็ได้ มันดับทุกข์ได้มันก็ใช้ได้ นี้ศาสนาไหนเขาก็พยายามจะดับทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น ไม่นั้นเขาจะบ้ามาลงทุนให้มันเหน็ดเหนื่อยต่อสู้ให้มันลำบากทำไม เขาต้องการจะดับทุกข์เหมือนกัน ความมุ่งหมายบริสุทธิ์ แต่ว่าคนที่นั่นมันยังโง่ไม่เข้าใจภาษาลึก ก็พูดภาษาตื้นมีพระเจ้ามีอะไรไปก่อน ให้เขาหันมาปฏิบัติชนิดที่ไม่เป็นความทุกข์ในขั้นต้นๆ แล้วก็สูงขึ้นไป เดี๋ยวนี้เรากำลังพยายามจะชี้ให้เห็นไอ้ข้อความในคัมภีร์ของพวก คริสเตียน คัมภีร์ไบเบิลว่ามันมีความหมายเท่ากันเหมือนกันกับพุทธศาสนากี่ข้อ กี่ข้อ กี่ข้อ ในเรื่องชีวิตนิรันดร ในเรื่องไม่มีตัวกู ในเรื่องที่ต้องอยู่เหนือดีเหนือชั่ว คุณไปอ่านดู
เพราะนั้นโดยเนื้อแท้ศาสนาคริสเตียนก็ต้องการจะทำลายตัวกูของกู แต่มันทำกับคนที่นั่น มันไม่เหมือนกับคนในอินเดีย นั้นต้องทำคนละแบบ นั้นจึงใช้วิธีง่ายกว่า เช่นให้เชื่อ มอบชีวิตให้พระเจ้าเสีย แล้วก็แล้วแต่พระเจ้าจะว่าอย่างไร นี้พระเจ้าก็บอกว่ารักคนอื่นยิ่งกว่าตัวมันก็หมดเรื่องกัน พระเยซูก็สอนรักคนอื่นยิ่งกว่าตัว พระเจ้าก็ต้องการให้ช่วยเพื่อนมนุษย์ เพราะการช่วยเพื่อนมนุษย์คือการปรนนิบัติพระเจ้า เป็นคำที่ตายตัวอย่างนี้ การรับใช้ผู้อื่นคือรับใช้พระเจ้า นั้นอย่า อย่าเป็นทาสแห่งกิเลสของตนแล้วก็รับใช้ผู้อื่นคือรับใช้พระเจ้า มันก็มีผลเท่ากัน คือทำลายความเห็นแก่ตัว นี้เราไม่พูดอย่างนั้น เราไม่พูดมีพระเจ้าพระเจ้า เราพูดว่าให้มันละความเห็นแก่ตัวลงไปตรงๆ อย่างนี้ นั้นคนฟังต้องฉลาดนะจึงจะฟังถูก เดี๋ยวนี้คนในเมืองไทยส่วนใหญ่น่ะฟังไม่ถูก ว่าอย่ามีตัวอย่าเห็นแก่ตัวมันฟังไม่ถูก ว่าถ้าไม่เห็นแก่ตัวจะทำไปทำไม จะหาเงินทำไม จะทำอาชีพทำไม จะกินอาหารทำไม เนี่ยะมันโง่ถึงขนาดนั้น จึงย้ำในเรื่องนี้เหมือนกับทำปาฎิโมกข์ในทางหลักธรรมะ คู่คู่กันไปกับหลักวินัย ปาฎิโมกข์วินัยดูมันจะง่ายเพราะมันจำกัดอยู่เท่านั้น มันตายตัวอยู่เท่านั้น มันจึงทำได้ทั้งที่บางคนฟังไม่รู้เรื่อง นั่งโง่ไปพลาง แต่ปาฎิโมกข์ธรรมะนี้ไม่ได้ มันต้องการความเข้าใจ อย่างนั้นไม่มีประโยชน์
ถือว่าเราพูดกันตรงนี้ ก็พิเศษอิสระเต็มที่ไม่ต้องเกรงใจใคร แล้วก็ไม่กลัว แล้วให้ถือว่าถ้ามาอยู่ที่นี่ อยู่จริงหรือพักชั่วคราวก็ตามใจแล้ว ก็ต้องยอมรับไอ้ลัทธิที่ทำลายตัวกูของกู นี่ทำลายความยกหูชูหาง นั้นอย่ามายกหูชูหางที่นี่ เพราะว่าที่นี่ต้องการจะเป็นอาศรมสำหรับกำจัดไอ้การยกหูชูหาง การกินการอยู่การอะไรทุกอย่างล้วนแต่จัดล้วนแต่ทำไปเพื่อการกำจัดไอ้การยกหูชูหางของตัวกูหรือของกู ต้องทำทุกอย่างเพื่อสิ่งนี้ จะทำงานชนิดไหนก็ตามต้องทำเพื่อกำจัดความเห็นแก่ตัว ทีนี้เรามีงานทำอยู่อย่างเหน็ดเหนื่อยหลายแผนกด้วยกัน ไม่มีใครขอบใจ ไม่มีใครขอบใจใคร ไม่มีใครให้รางวัลใคร เพราะว่าทุกคนจะต้องทำเพื่อกำจัดความเห็นแก่ตัวจริงๆ ไอ้พวกทำเคร่งดีแต่ปากมันได้แต่พูดว่าไม่เห็นแก่ตัว แล้วมันก็เหลือที่จะเห็นแก่ตัว แต่ก็แก้ตัวว่าฉันเคร่ง เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ทำอะไรไม่ได้ นี่มันเคร่ง มันสงวนไว้ซึ่งความเห็นแก่ตัว ทำไมไม่ทำให้มันโผงผางลงไปในการที่จะไม่เห็นแก่ตัวจริงๆ ให้เหงื่อน่ะมันล้างความเห็นแก่ตัว นั้นจึงจะจริงดีกว่าจะพูดอยู่แต่ปาก มีความเห็นแก่ตัวจนกระทั่งกลัวนั่นกลัวนี่ แม้กระทั่งกลัวตาย แม้กระทั่งกลัวผี คนเหล่านี้เห็นแก่ตัวจึงเกิดอาการเห็นแก่ตัวจัดขนาดกลัวไปหมด กลัวไปทุกอย่างเลยไม่มีความสุข แล้วก็ไม่ทำเลยในทางที่จะกำจัดความเห็นแก่ตัว ไปทำในทางพอกพูนความเห็นแก่ตัว มาที่นี่เที่ยวดูชอบใจแต่ก็ถือเอาอะไรไม่ได้ในทางทำลายความเห็นแก่ตัว แม้จะชอบใจ แม้จะเห็นด้วย แม้จะได้รับประโยชน์ ก็ไม่เคยช่วยเหลือแม้แต่สตางค์แดงเดียวก็มี นี่อย่า อย่าพูดว่าผมทวงบุญคุณหรือว่าทำเพื่อจะเรียกร้องเอาอย่างเห็นแก่ตัว แต่ผมจะบอกลักษณะของคนตั้ง ๘๐ % ที่มาที่นี่ ที่ไม่เคยช่วยเหลือแม้ซักสตางค์แดงเดียว เราไม่ตั้งหีบเรี่ยไรเพราะเราจะวัดในข้อนี้ ไม่ตั้งหีบสำหรับหย่อนสตางค์เพราะจะวัดในข้อนี้ ไอ้คนที่อุตส่าห์ไปขอทำบุญด้วยน่ะมีประมาณ ๒๐% นะ ไอ้คน ๘๐% ที่มันมาอยู่มาพักมากินมานอนได้รับประโยชน์ไม่เคยทำบุญสตางค์เดียวก็มี แม้ไม่เคยมาพักมากินมานอนแต่ว่ามาเที่ยวได้รับความพอใจได้รับประโยชน์ก็ไม่เคยคิด แหม๋นี่ทำเหน็ดเหนื่อยเกือบตาย ลำบากเท่าไหร่ ลงทุนเท่าไหร่ จะช่วยสักสตางค์หนึ่งก็ไม่มี นี่คือคนที่เห็นแก่ตัวแล้วก็มาเพิ่มความเห็นแก่ตัว ขออย่าให้มีในหมู่พระเณรลักษณะอย่างนี้ ขอให้เอาเหงื่อนี่ล้างความเห็นแก่ตัวก็ไม่มีสตางค์ มันยิ่งดีกว่าสตางค์เสียอีก ไอ้สตางค์มันง่ายๆ สำหรับคนร่ำรวย ๑๐๐ บาทไม่มีความหมาย แต่ว่าเหงื่อของเรามีความหมาย นั้นอย่างน้อยก็ช่วยกวาดใบไม้ให้เหงื่อมันไหลออกมาแล้วก็ล้างความเห็นแก่ตัว ส่วนใหญ่เขาทำอะไรกันอยู่แล้วก็เห็นกันอยู่ ใครมีเหงื่อออกมาคนนั้นก็ล้างความเห็นแก่ตัวเรื่อยๆ ไป แต่พอมนุษย์ตั้ง ๘๐% นี่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว แล้วต้องการจะเพิ่มไม่ใช่ลด ต้องการจะเพิ่มความเห็นแก่ตัว มาเพื่อเอาความรู้เอาความสนุกสนานเพลิดเพลินเป็นประโยชน์แก่ตัวโดยไม่มีการเสียสละหรือชดใช้เลย ถ้าอย่างนี้มันเพิ่มความเห็นแก่ตัวกลับไป มันมีความเห็นแก่ตัวมากเท่าไหร่ ปัญหาในทางความทุกข์มันจะมากขึ้น มันจะมีความกลัวมากขึ้น มีความวิตกกังวลมากขึ้น แล้วมันจะเป็นโรคเส้นประสาทหรือเป็นอะไรไปตามเรื่องของคนที่มีความเห็นแก่ตัวมาก ที่เราก็ยอมแพ้หรือยอมสารภาพที่ว่าไอ้รูปภาพทุกรูป อะไรทุกชิ้นที่เขียนไว้แสดงไว้นี่เพื่อทำลายความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น ไม่โดยตรงก็โดยอ้อม ไม่ลึกก็ตื้น แต่เขาไม่ได้รับประโยชน์ เขาดูไม่ออกและเขาไม่สนใจที่จะดู ชั้นครูบาอาจารย์นี่มันยากแล้วถึงขนาดผมกำลังอธิบายอยู่ก็ยังเมินหน้าออกไปได้ นี่ชั้นครูบาอาจารย์มาจากกรุงเทพมันยังเลวถึงขนาดนี้ แล้วมันจะรู้อะไรได้เรื่องความหมายของภาพที่ลึกซึ้ง แล้วก็ดูเลิ่กลั่กๆ แล้วก็ไป แล้วก็พอแล้ว นี่มาเพิ่มความโง่ที่นี่ มาเพิ่มความเห็นแก่ตัวที่นี่ นั้นเราก็สารภาพหรือยอมแพ้ว่าไอ้สิ่งที่เราลงทุนนี่มันยังไม่เป็นประโยชน์แก่คนทุกคนได้ เป็นประโยชน์แก่คนสัก ๑๐% เท่านั้น แต่ก็เอาดี เอาตีราคาคนมันแพง แล้วตีราคากันไปในทางอื่นด้วยซ้ำไป ผมคิดว่าถ้าว่าการสร้างวัดนี้ทั้งวัดเป็นเครื่องดลบันดาลให้คนเข้าถึงธรรมะเพียง ๓-๔ คน ผมว่าคุ้มแล้ว ว่าการที่เรามี มีอะไรเยอะแยะนี่มันช่วยคนซัก ๓-๔ คนถึงธรรมะแท้จริงได้มันคุ้มแล้ว อย่าอย่าไปเสีย เสียดาย เสียใจเลย เพราะการที่คนถึงธรรมะสักคนมันต้องมีราคาเป็นล้านเป็นร้อยล้านอย่างนี้ มันคุ้มแล้วที่เราเหนื่อยหรือเสียเงินไป หรือว่าคิดเหมาๆ ว่าเขาได้รับความสบายใจก็แล้วกัน หลายๆ คนเข้า มันก็ตีราคาความสบายแล้วมันก็คุ้มกันแล้วที่เราเหนื่อย ที่เราเสียสละทำไว้ แต่ว่ามันควร มันควรจะพูดว่าหรือว่า ควรจะถือว่ามันควรจะได้มากกว่านั้น นี้มันผิดคาด มันผิดหวัง คนที่พอใจสนใจดูละเอียดลออไม่เกิน ๑๐% หรือจะพูดว่า ๑% ก็ได้ ที่สนใจละเอียดลออที่สุดซัก ๑% นั้นได้ ที่พอได้รับประโยชน์ พอคุ้มๆ กันซัก ๑๐% นอกนั้นตั้ง ๙๐% มันเหลวทั้งนั้นแหละ มันมาเที่ยวอย่างทัศนาจรบ้าๆ บอๆ ของเขา ตามที่เห่อกันแตกตื่นกันนี้ ผมกลับคิดไปว่าท่าจะแย่เหมือนกันถ้ามองกันในแง่นี้ เราทำให้เขาเสียเวลา แต่เขาคิดว่าโอ้เขาได้รับความพอใจเพลิดเพลินเหมือนทัศนาจรเอาก็ได้ หักบัญชีกลบกันแล้วเลิกกัน อย่าเอามาเป็นหนี้สินแก่เราถ้าเขาเสียเวลา
นี่ความมุ่งหมายที่จะเปิดเผยเรื่องความไม่ยึดมั่นถือมั่น เรื่องไม่เห็นแก่ตัวนี่มันมีอยู่ตลอดไป แล้วมันก็ยังไม่ได้ผลสมตามที่เราประสงค์ แต่แล้วมันก็แน่นอนเหลือเกินที่ว่ามันเปลี่ยนไม่ได้ นั้นต้องทำอย่างนี้ไป ให้ได้ยินได้ฟังให้ได้รู้อะไรแปลกๆ ออกไป ค่อยๆ ไป ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป แม้แต่ภาพพุทธประวัตินี้ก็ต้องการแสดงความหมายคำว่าว่าง ว่างจากตัวพระพุทธเจ้า ไม่มีองค์พระพุทธเจ้า มันลึกเกินไป คนสมัยนี้มันย้อนกลับถอยหลังเข้าคลองโง่มาก ไม่เหมือนคนสมัยพุทธกาลเขารู้จักพระพุทธเจ้าในฐานะที่เป็นความว่าง แสดงโดยภาพไม่ได้ แสดงโดยวัตถุไม่ได้ นั้นจึงห้ามขาดไม่ให้แสดงพระพุทธเจ้าโดยรูปร่างคน เขามันไปได้ไกลขนาดนั้น เดี๋ยวนี้เราถอยหลังเข้าคลองจนไม่รู้เรื่องนี้ นี้เราเอามาให้ดูอีก เพื่อชักชวนเกลี้ยกล่อมให้หมุนไปในทางเข้าใจเรื่องนี้ นี่ก็แปลว่าเราได้พยายามอย่างยิ่งแล้วเกี่ยวกับเรื่องนี้ หรือแม้แต่ภาพเขียนต่างๆ มันล้อมันด่าอย่างยิ่งเลย ในเรื่องความมี ความเห็นแก่ตัวนี้ เรื่องดอกไม้จัดคน ผมถือว่าเป็นภาพด่าที่ร้ายกาจที่สุดเลย สำหรับผู้มีสติปัญญาหรือมีกิเลสเบาบาง แต่พวกที่หนังหนาโง่มากนี่ไม่เห็นเป็นการด่าอะไร ดอกไม้จัดคน ไม่เจ็บปวด แล้วมันกลับหาว่าเราบ้าไปอีก ไปพูดที่ ที่พูดอย่างนี้ หรือแสดงภาพอย่างนี้ที่เห็นนี่ เป็นคนบ้า พูดอะไรบ้าๆ บอๆ อุตริวิตถาร ตรงกันข้าม มันเป็นซะอย่างนี้ นั้นการที่จะอธิบายให้เข้าใจว่า.......... (นาทีที่ 1:03:50)เขียนพระไตรปิฎกอยู่ตลอดเวลานี้ ผมว่าต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงหรือหลายวันหลายเดือน เขาไม่ยอมนั่งฟัง แสดงอยู่โดยความมุ่งหมายแท้จริงก็คือ จะแสดงเรื่องไม่เห็นแก่ตัว ทำลายตัวกูของกูซึ่งเป็นผีเกิดขึ้นเป็นครั้งเป็นคราว เพราะเผลอสติไป ระวังอย่าเผลอสติผีนี้มันก็ไม่มาเกิด มันก็ยังว่างอยู่ มันก็ยังพอเป็นมนุษย์ที่น่าดูบ้าง นั้นอย่าลืมเสียในเรื่องที่ว่า อย่ายกหูชูหางคือต้องทำลายความเห็นแก่ตัว ทำลายความรู้สึกที่เป็นตัวกูของกูอยู่ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน จนตาย ชนะหรือไม่ชนะก็ตาย ก็ตายไปด้วยความพยายามอย่างนี้ยังดีกว่าตายด้วยความไม่มีความรู้สึกหรือพยายามกันเลย
นั้นจึงย้ำกันอยู่ทุกวัน สอนกันอยู่ทุกวัน ทำปาฏิโมกข์ธรรมะอยู่ทุกวันก็เพื่อว่ามันจะได้ติดอยู่ในใจ พอถึงวินาทีสุดท้ายนะ เผื่อว่ามันไม่ได้อะไรก็จริง ก็ขอให้ได้ในวินาทีสุดท้าย พอจะตายจะดับจิตแล้วก็ เอ้าพอทีพอทีเรื่องตัวกู สมัครดับไม่เหลือทันทีก็ยังดี ยังดีกว่า อย่างวิเศษที่สุด พอถึงเวลาจะตายจริงพอกันทีตัวกู กูไม่เล่นกับมึงอีกต่อไปอย่างนี้ก็ยังดี ให้มันดับจิตไปด้วยความรู้สึกอย่างนี้ก็ยังดี แต่ถ้าใครทำได้เดี๋ยวนี้ก็ยิ่งวิเศษ ทำให้มันน้อยลงเดี๋ยวนี้มันก็ยิ่งวิเศษ มันจะได้รับประโยชน์กัน ความสุขสูงสุดที่เรียกว่าสุขอย่างยิ่งทันตาเห็นกันก่อนจะตายนี้ มันก็ได้รับประโยชน์อันนี้ แล้วก็ให้พยายามสังเกตให้มากเวลาที่บางคราวบางครั้งบางชั่วโมงเราไม่ได้มีตัวกูมันสบายยังไง นั่นแหละบทเรียนที่ดีจะต้องเรียนที่นั่นไม่ใช่เรียนจากหนังสือ ชั่วโมงบางชั่วโมงไม่มีตัวกูรบกวนมันสบายเท่าไร แล้วชั่วโมงบางชั่วโมงตัวกูมันเดือดจัดมันตกนรกเท่าไร เรียนจากอย่างนี้สิ มันจะเกิดความแน่ใจ ความจริง ความละอาย ความกลัว หิริโอตัปปะ ขันติ โสรัจจะ อะไรขึ้นมาได้ไอ้เรียนจากหนังสือมันไม่ได้มันก็เห็นๆ กันอยู่แล้ว มันไม่ได้ เพียงแต่ท่องจำ เพียงแต่รู้เรื่องเอามาทำอีกทีหนึ่ง นั้นต้องทำอีกทีหนึ่ง แล้วเมื่อมันทำได้ขนาดไหน มันว่างจากไอ้ความเห็นแก่ตัว ไม่มีความทนประมาณเพราะเรื่องตัวหรือปัญหาของตัวนี่ เอามาพิจารณาเอามาใส่ใจอยู่เสมอ มันก็จะดีขึ้น ดีขึ้น มันต้องทำงานมันจึงจะทำลายความความเห็นแก่ตัว จะนั่งเอาเปรียบหลับตาภาวนาอยู่ในมุ้งมันไม่ทำลายความเห็นแก่ตัว
ที่ผมพูดว่ามันต้องเอาเหงื่อล้างความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวมันเป็นเหตุให้ไม่ทำงานเอาเปรียบผู้อื่น นั้นมีทางที่จะเอาเปรียบผู้อื่นเพราะว่าเมืองไทยเขามีวัดวาอาราม มีสถาบันอย่างนี้ มีคนให้กินให้ใช้ไม่ต้องทำอะไรก็ยังมีกินมีใช้ มีสตางค์สะสมไว้ได้ นี่มันเป็นช่องทางที่จะเห็นแก่ตัว นั้นระวังให้มากอย่าฉวยโอกาสนั้น ถ้าฉวยโอกาสนั้นมันเป็นเรื่องแย่ไปเลย วัดไหนนอนกินได้ก็ไปนอนกินที่วัดนั้น แขวนถ้าไม่ได้การแล้ว... (นาทีที่ 01:08:42) ย้ายไปนอนที่วัดอื่นอีก ไปนอนกินที่วัดนั้นซักพักหนึ่ง ก็ย้ายไปวัดอื่นนอนกินซักพักหนึ่ง ก็ย้ายไปได้จนตายไม่มีที่สิ้นสุดหรอก มันอยู่ได้สำหรับเมืองไทย เพราะอำนาจของศาสนามันทำไว้ปึกแผ่นมาแต่เดิม ต่อไปมันอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ แต่เดี๋ยวนี้มันยังได้อยู่ เพราะว่ายังมีคนมาขอพระเรื่อย ขอพระไปอยู่วัดที่เขาสร้างขึ้นไม่มีพระ พระสึกเสียหมด ไปอยู่นี่นอนกินทั้งนั้นแหละ ไปเบ่งกับพวกทายก ทายิกา เหล่านั้นเท่าไหร่ก็ได้ แล้วยังมีอีกมากวัดอย่างนี้ในประเทศไทย หรือว่าวัดที่เขาทำไว้ดีแล้ว เราไปพักพาสักพรรษาหนึ่ง อันนี้อยู่สบายไปเลยอันนี้ก็ได้ ยังมีเพราะว่ามันยังล้นยังเฟ้ออยู่ ความต้องการพระมันยังเฟ้ออยู่ด้วยความงมงาย แต่มันอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต นั้นระวังให้ดีอย่าไปเผลอ ไปพอใจอย่างนั้นเข้า มันจะเพิ่มความเห็นแก่ตัว นั้นถ้าว่าตรงต่อตัวเองและก็พยายามเล่นงานไอ้ความเห็นแก่ตัวให้มันแรงเข้า แรงเข้า แรงเข้า แล้วก็เรียนมันในนั้นเลย เรียนมันในขณะที่มันมีหรือไม่มี ถ้ามีความเห็นแก่ตัวมันก็ตกนรก หมดความเห็นแก่ตัวมันก็สบาย แล้วเหงื่อนี่มันล้างความเห็นแก่ตัวได้ยังไงก็ต้องเรียนเมื่อมีเหงื่อ นี่ผมสมมุติเอาเหงื่อเป็นภาพพจน์สำหรับพูดอะไรก็ได้ ที่มันมีลักษณะที่เป็นความไม่เห็นแก่ตัวก็แล้วกัน เพราะว่างานบางชนิดทำได้โดยไม่ต้องออกเหงื่อก็มี ถ้ามันเป็นการเสียสละโดยไม่เอาอะไรตอบแทน แล้วก็มันเป็นความ เป็นการทำลายความเห็นแก่ตัว มันเป็นตัวพุทธศาสนา เป็นตัวแท้ของพุทธศาสนา มีพุทธศาสนาที่แท้จริงอยู่ที่นั่น มันก็สบายไปทุกอย่าง ความทุกข์ก็ไม่มี หนี้สินก็ไม่มี เอาเปรียบผู้อื่นก็ไม่มี ชื่อว่าพุทธศาสนามีชีวิตอยู่ เป็นพระเป็นเณรเป็นอุบาสกเป็นอุบาสิกาทำงานชั้นสูงทำงานชั้นต่ำชั้นกลางอะไรก็ตามไม่มีดีกว่ากันหรอกในส่วนอื่น จะดีอยู่ก็ตรงที่ทำลายความเห็นแก่ตัวนี้ นั้นถ้าเขามุ่งมั่นไปทางทำลายความเห็นแก่ตัวแล้วต้องเคารพเขา เขาจะอยู่ในฐานะอย่างไรก็ตามใจ บางทีอาจจะฐานะบ้าๆ บอๆ ด้วยซ้ำไปก็ได้ เขามุ่งมั่นในทางจะทำลายความเห็นแก่ตัวแล้วก็ต้องเรียกว่าทำถูก คนมีสติปัญญามีเกียรติมีอภินิหารบารมีแต่ถ้ามันมีความเห็นแก่ตัวแล้วไม่ต้องนับถือมันแล้ว ไม่มีอะไรดี ที่ย้ำย้ำย้ำย้ำอย่างปาฏิโมกข์สำหรับธรรมะ เรื่องเดียวกันอีก เข้าใจให้ถูกต้องในหัวใจของพุทธศาสนาเรื่องว่าอย่าให้เกิดความรู้สึกเป็นตัวกูของกูขึ้นมา มันเป็นความเข้าใจผิด ให้รู้สึกว่ามันเป็นสมบัติของธรรมชาติ เป็นตัวธรรมชาติอยู่เสมอ อย่าไปปล้นเอาของมันมา อย่าไปจี้เอาของมันมาเป็นของตัวหรือเป็นตัว ยกไว้เป็นธรรมชาติเสมอไป คือไม่ยึดมั่นถือมั่นว่ากูว่าของกู เรื่องสัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ นี่ยังต้องพูดกันอีกกว่าร้อยครั้งเพราะไม่มีเรื่องอื่นที่จะต้องย้ำ มีแต่เรื่องนี้เรื่องเดียว เอ้าพอกันทีมากกว่าชั่วโมงแล้ว