แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ที่จริงรู้ รู้พอสมควรแล้ว รู้ถึงขนาดที่พูดเป็นปริศนาเลย รู้ธรรมชาติดีลึกถึงขนาดพูดเป็นปริศนาเลย ไอ้เรื่องเกี่ยวกับธรรมชาตินี่มันมากหลายแง่ หลายมุม หลายชั้น ถ้าเราไม่รู้ถึงขนาดที่น้อมเข้ามาในตัวหรือให้เห็นว่ามีอยู่ในตัวของเราได้ เรียกว่า ยังไม่รู้ น้อมเข้ามาในตัวก็เฉพาะเรื่องที่คิดที่จะดับทุกข์โดยตรงนั้น น้อมเข้ามาในตัว นี้กลัวว่าจะขยายออกไปมาก ขยายเรื่องธรรมชาติออกไปมากเป็นอภิธรรมเพ้อเจ้อ ไอ้นี่มันเป็นสิ่งที่ต้องระวัง หรือชวนกันไปสร้างอภิธรรมเพ้อเจ้อขึ้นมาอีก มาแต่ง แต่งของที่เขามีอยู่แล้ว มากไม่มีที่สิ้นสุด ไอ้เรื่องปฎิบัติธรรมที่เขาพูดตามวิธีที่เป็นปริศนา ลองฟังดูแล้วตัดสิน มันผิดธรรมชาติมันฝืนธรรมชาติหรือเปล่า เพราะกรรมวิธีที่มีประโยชน์กว่า พวกที่จะคลานต้วมเตี้ยม ต้วมเตี้ยมๆ หรือเปล่า
ในภาพปริศนาธรรมชุดหนึ่ง เขาพูดถึงเรื่องวิธีที่จะดับทุกข์ ทำเป็นพูดเป็นเรื่องทำนองนิยายว่าเด็กๆ เด็กๆ กุมารที่มีความทุกข์ร้องห่มร้องไห้อยู่ในป่า เทวดาบอกวิธีที่จะดับทุกข์ คือว่าเดือดร้อนด้วยเรื่องยักษ์ มารจับกิน นกอินทรีย์มาจับคนกิน นางยักษ์ทั้งสี่มาจับคนกิน นี่ก็เรียกว่าความทุกข์ เกิดมีกุมารตัวน้อยตัวที่จะเป็นพระเอกได้เข้ามา เทวดาบอกให้ไปหาฤาษีที่ถ้ำแห่งหนึ่ง มีฤทธิ์มีเดชมาก แล้วฤาษีองค์นั้นก็จะช่วยชุบพระขรรค์คันศรให้ด้วยเขากระต่าย ครั้นได้คันศรที่ชุบขึ้นมาจากเขากระต่าย แล้วก็ให้ไปหาฤาษีอีกองค์หนึ่งจะช่วยชุบสายศรให้ จากขนเต่า เอาขนเต่ามาทำเป็นสายศร แล้วก็เอาไปยิงนกอินทรีย์ ยิงนางยักษ์ทั้งสี่ ยิงยักษ์อื่นๆ ให้ตาย กุมารก็ไปหาฤาษีองค์แรก มีคนใช้อยู่คนหนึ่งหรือหลายคนก็ไม่แน่ แต่ว่าคนใช้นี้มันไม่มีตา ไม่มีตา มันก็รู้ดู ไม่มีหู คนใช้นี่ไม่มีหู มันก็รู้ฟัง ไม่มีจมูก มันก็รู้กลิ่น ไม่มีลิ้น มันก็พูดได้ ไม่มีตีน มันก็รู้เดิน ไม่มีมือ มันก็รู้จักจับรู้จักถือ มันไม่มีมือ รู้จักจับรู้จักถือ เพราะฉะนั้นมันจึงไปถอนเอาเขากระต่ายมาได้ เอามาให้ฤาษี ชุบเขากระต่ายขึ้นเป็นพระขรรค์และคันศร เรื่องมันยืดยาวนะ คุณเคยได้ยินไหม (มีเสียงตอบ) เคยได้ยินที่ไหน (มีเสียงผู้ตอบฟังไม่ชัด) ได้ยินที่ไหน เห็นภาพที่ไหน ทางภาคอิสานเมื่อไหร่ (เสียงตอบ) มันเป็นภาพปริศนาธรรมอยู่แถวสายนี้ ไม่ต้องสายอิสาน ก็ใช้กัน ที่อิสานหรือที่ไหนก็ไม่สำคัญแล้ว ว่าแต่มันหมายความว่ายังไง
เช่นบุคคลที่ไม่มีตาแต่รู้ดู ไม่มีหู รู้ฟัง ไม่มีจมูก รู้กลิ่น ไม่มีลิ้นก็ยังพูดได้ ไม่มีตีนก็เดินได้ ยังเดินได้ ไม่มีมือก็ยังจับถือได้ มันจึงมีความสามารถที่จะถอนเขากระต่ายได้ หรือไปหากระต่ายพบ หรือว่าถอนเอาเขากระต่ายมาได้ หรือไปหาขนเต่ามาได้ มีสิ่งกำเนิดเป็นอาวุธ พระขรรค์คันศร ลูกศร จึงล้างผลาญยักษ์วอดวายหมด นี่คุณเรียกว่าอย่างไรยังไง ธรรมชาติหรือเปล่า ผิดธรรมชาติหรือเปล่า ผิดธรรมชาติหรือเปล่า (มีเสียงตอบ) เต่าที่ไหนมีขนเล่า แล้วกระต่ายที่ไหนมีเขา มีนอมีเขาเดียว กระต่ายที่ไหนมีนอยาว แล้วเต่าที่ไหนมีขน แล้วคนชนิดไหนไม่มีมือแล้วจับได้ ถือได้ จับได้ ไม่มีตีนเดินได้ ไม่มีลิ้นพูดได้ ไม่มีตาก็เห็นได้ ไม่มีหูก็ได้ยินได้ คนชนิดไหน ผิดธรรมชาติหรือเปล่า (มีเสียงตอบ) เขาเก่งกว่าเราแยะนะไอ้คนพูด ทีแรกมองเห็นอะไรแยะ และมองเห็นในแง่ที่เรียกว่าผิดธรรมชาติจึงพูดออกมาในภาพที่ผิดธรรมชาติ นี่คนพวกไหนควรนึกดูบ้าง พวกฤาษีที่นั่งคิดนั่งนึกอยู่ หรือว่าคนบ้าน้ำลายตามกลางถนนพูด พูดวิธีอย่างนี้ ภาษาอย่างนี้ เป็นพวกนักคิด นักวิปัสสนา ฤาษี มุนีพูด หรือว่าคนพูดพล่ามตามบ้านเรือนพูด ก็เห็นได้ชัดว่าเจตนาจะพูดให้มันผิดธรรมชาติ ตรงกันข้ามหมดทุกอย่างเลย (มีเสียงถาม) ลองนึกดูธรรมชาติหรือไม่ธรรมชาติ ตามธรรมชาติหรือผิดธรรมชาติอย่างนี้ แล้วก็หาว่าคนเหล่านี้ไม่รู้ธรรมะจริง เพียงแต่พูดเล่นพล่อยๆ มันเอามาแต่ไหนพูดเล่นพล่อยๆ ได้ขนาดนี้ มันเอาความคิดมาแต่ไหนพูด หรือเป็นคนนักเล่านิทานตลกแผลงๆ พอได้ยินธรรมะเข้ามันก็เล่าเลย แต่แล้วก็ยังสงสัยว่ามีปัญญาที่ไหนมาพูด เอามาเปรียบได้ สำหรับผมมันมีความเชื่อว่ามันเป็นครูบาอาจารย์ พวกครูบาอาจารย์ ขนาดแต่งบทเพลงกล่อมน้องเรื่องมะพร้าวนาฬิเกอย่างนี้ ได้ ได้ถึงขนาดนี้ ครูบาอาจารย์ขนาดนี้จึงจะแต่งไอ้เรื่องประดิษฐ์เรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้ เขาเก่งตรงที่ประดิษฐ์ผูกเรื่องให้มันสนุก พอสนุกแล้วคนมันก็จำ เข้าใจหรือไม่เข้าใจ มันก็จำ เพราะเรื่องมันสนุก ยายแก่ๆ ก็จำไว้ได้ เล่าลูกเล่าหลาน ทั้งที่ไม่รู้อะไรก็เล่าต่อๆ กันไปได้ แบบเดียวกับมะพร้าวนาฬิเก ไม่รู้ว่าอะไรก็เล่าก็ร้องต่อๆๆ กันมา
ทำไมต้องเอาหนวดเต่าทำสายศร เขากระต่ายทำพระขรรค์และคันศร ทำไมต้องเอาอย่างนั้น เท่านี้ก็ไม่รู้ก็แย่เลย นั่นแสดงไปไกลแล้ว ไกลธรรมชาติ เพราะมันไกลนักกับเรื่องธรรมชาติ ทำไมเรื่องนี้จึงบ่งลงไปว่าให้ไปเอาเขากระต่ายทำคันศร เอาขนเต่ามาทำสายศร ทำไมอย่างนั้นหล่ะ คุณถวิลว่าทำไมจึงเป็นอย่างนั้น (มีสียงตอบ) มันต้องเอาสิ่งสูงสุด พูดให้มันชัดกว่านั้น สิ่งที่มีอำนาจสูงสุด คือ ความว่าง เรียกเป็นศัพท์เป็นแสงว่า สุญญตา ต้องไปเอาสุญญตา มามันจึงจะฆ่ายักษ์หรือความทุกข์หมดได้ เขากระต่ายก็สุญญตา ขนเต่าก็สุญญตา มันเป็นนิมิตสำนวนของไอ้สิ่งที่มนุษย์ถือว่าไม่มีอยู่ มนุษย์ไม่รู้จัก ไปถือว่าไม่มี อยู่ คือ ไม่มี ให้เอาความไม่มีมา เอาความไม่มีมาเป็นอาวุธล้างผลาญไอ้สิ่งที่มี ทีนี้ไอ้คนที่มันจะไปถอนเอาเขากระต่ายมาได้ มันต้องเป็นคนไม่ตีน ไม่มีมือ ไม่มีหู ไม่มีตา ไม่มีจมูก ไม่มีลิ้นนั่น จึงจะเป็นคนที่จะไปถอนเขากระต่ายหรือหาขนเต่ามาได้ คือคนชนิดไหน (มีเสียงตอบ) ไม่มีอายนะ แล้วจะเดินได้ พูดได้ ได้ยินได้ (มีเสียงตอบ) เหมือนที่เราพูดอยู่เสมอ ว่าไม่มีความสำคัญว่าตาของเรา ไม่มีความสำคัญว่าหูของเรา ไม่มีความสำคัญว่าจมูกของเรา ไม่มีความสำคัญว่าเท้ามือของเรา นี่เท่าเขาไม่มี เขาเป็นคนไม่มีมือ ตีน จมูก หู อะไร และแม้ว่าเขาจะเป็นผู้ไม่มีความสำคัญว่ามี คือไม่มีสิ่งเหล่านี้ เขาก็สามารถได้ยิน ได้ฟัง ได้ดม ได้เดิน ได้จับ ได้ถือ อะไรได้ เพราะฉะนั้นเขาจึงเป็นคนที่มีสุญญตา เป็นผู้ที่มีสุญญตา เขาจึงเอาสุญญตามาได้ มาฆ่ายักษ์ได้ เหมือนกับว่าเขาไปเอาเขากระต่ายมาทำเป็นคันศร เป็นลูกศรได้ นี้เป็นเรื่องทั้งดี ทั้งลึก ทั้งระดับไม่มี ระดับไม่มี ไม่มีคน ไม่มีมือ ไม่มีตีน ไม่มีอะไร แต่ก็ทำอะไรของมันได้ มันก็เรื่องเดียวกันกับที่เราพูด หรือ เทศน์กันอยู่บ่อยๆ เสมอๆ แต่เขาใช้สำนวนต่างออกไป เขาใช้สำนวนคมกล้ากว่าของเรา
ปริศนาธรรม ขนาดภาพปริศนาธรรมที่ไม่มีประโยชน์ ที่ซุกอยู่ จนปลวกกินหมด หรือว่าจนผุไปหมด เพราะเหตุนี้น่าเสียดาย ก่อนนี้คงมีมากกว่านี้ นี่มันสูญหายไปเพราะไม่มีใครสนใจ หาเป็นเรื่องทำส่งเดชบ้าๆ บอๆ ของคนโบราณ สมุดข่อยนั้นจึงสูญเสียไปหมด เพราะความผุพัง เขาศึกษาธรรมชาติข้างนอกข้างใน จนรู้จักเอามาปนกัน เปรียบเทียบผสมผสานกัน พูดไว้ในสำนวนที่ลึกซึ้งจนเราตามไม่ทัน นี่ก็ให้มองเห็น ไม่ใช่ว่ามันไม่ ไม่ๆๆ ไม่มีอะไรนอกจากธรรมชาติ เป็นเรื่องของธรรมชาติ เป็นตัวของธรรมชาติ เป็นไอ้กฎเกณฑ์ของธรรมชาติ เอาธรรมชาติภายนอกทางวัตถุมาเป็นคำเปรียบของธรรมชาติภายในที่ละเอียดที่ลึกซึ้ง ที่ไม่มีตัว ที่เป็นนามธรรม เก่งกว่า เก่งกว่าเรามาก แล้วอาจารย์ชุดนี้เขาจะต้องรู้จักจัดอุปมาในตัวคนนี้ครบหมดเลย ในสากลและจักรวาลมันมีอะไรบ้าง เขาจะจัดให้มันมีครบหมดในตัวคนคนนี้ พอธรรมชาติภายนอกที่เป็นวัตถุมากมาย นับไม่หวาดไม่ไหวอาจจะเอามาจัดเป็น ธรรมชาติภายใน เรื่องทางจิตใจ เรื่องกิเลส เศรษฐกิจ รู้จักทำมโนภาพเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ขึ้นมา แล้วน่าเสียดายความคิดของคนโบราณอย่างนี้มันมีแต่วันสูญหายไป ซึ่งคนสมัยนี้ไม่สนใจ ไม่ชอบ ไม่ใช้ ไม่เห็นว่าเป็นประโยชน์อะไร เขาบ้า ก็เรียกว่า เขาบ้า บ้าเขียนภาพ บ้าปรุงขึ้นเป็นภาพ เพราะว่าทำมโนคติภาพ ภาพมโนคติ เขาพอใจ เพลิดเพลินการทำอย่างนี้ เดี๋ยวนี้คิดเพียงเรื่องกิน เรื่องเล่น เรื่องกิน เรื่องกินให้อร่อย เรื่องอยู่ให้สบาย ให้หรูหรา
ถ้าว่าสิ่งเหล่านี้เกิดในประเทศไทย ก็แปลว่า เก่งมากกว่าครูเดิมของอินเดีย หมายความว่า ไอ้ระบบทั้งกระบินั้น ไอ้เรื่องราวทั้งกระบิมันเกิดขึ้นในอินเดีย ตามเรื่องพระเจ้า เรื่องเทวดา เรื่องนรก เรื่องสวรรค์ เรื่อง กระทั่งเรื่องรบราฆ่าฟันกัน เช่น เทวดาเป็นชั้นๆ นี้มันก็เป็นของอินเดีย มีพระพรหม พระอิศวร มียักษ์ มีเทวดา มีผี มีนกพิราบ มีอะไรต่างๆ นี่ ล้วนแต่เป็นเรื่องของชาวอินเดียทั้งนั้น นี้ชาวอินเดียเขาจะเล็ง เล็งอะไรไม่รู้ แต่ว่าที่เรารู้ว่ามันเล็งถึงยักษ์ ผี เทวดา จริงๆ ใน ในความเชื่อของคนเหล่านั้น ก็แปลว่า คนไม่รู้ก็พูดไม่ถูกหรอก เชื่ออย่างงมงาย นรกก็อยู่ข้างล่าง มีอย่างงั้นๆ สวรรค์ก็อยู่ข้างบน มีเป็นชั้นๆๆๆ ก็มีเทวดา มีพระพรหม พระอิศวร มีอะไรต่างๆ นี่ เขาสอนให้คนเชื่ออย่างนั้น ที่นี่เดี๋ยวนี้ไอ้คนที่ว่านี่ ไอ้คนที่เล่นปริศนาธรรมมันเอามาใส่ไว้ในคนคนหนึ่งได้หมดเลย ไม่ว่าจะอะไร ฝ่ายกิเลส ฝ่ายชั่ว ฝ่ายทุกข์ ฝ่ายบาป ฝ่ายนรก มันก็อยู่ในนี้ ฝ่ายบุญ ฝ่ายสวรรค์ ฝ่ายดี ฝ่ายสุข ก็อยู่ในนี้ แล้วก็ฝ่ายนิพพานที่อยู่เหนือดี เหนือชั่ว เหนืออะไร เหนือสวรรค์ก็อยู่ในนี้ อยู่ในคนนี้ เฉพาะข้อนี้มันเข้ากับหลักธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า อะไรที่อยู่ในกายที่ยาวประมาณ วาหนึ่งนี้ มีทั้งสัญญา และใจ แล้วทำไมไอ้เรื่องอย่างนี้มันจึงมีอยู่ในเมืองไทย มีวัตถุพยานปรากฏอยู่ เป็นภาพปริศนาธรรม สมุดข่อย อย่างนี้เป็นต้น แล้วทำไมเราจึงพบไอ้เรื่องขนาดนี้ในประเทศอินเดีย แม้ในหินสลัก หรือในอะไร มันก็ไม่เคยพบ หรือว่าเราแปลความเขาไม่ถูก แต่เราก็พยายามเต็มที่แล้ว มันไม่มี มันมีเป็นบุคคลาธิษฐานไปหมด ทางนี้เขาเขียนภาพธรรมาธิษฐานโดยภาพ เป็นบุคคลาธิษฐานได้ คุณลองคิดดู มันก็เก่ง เขียนภาพคนไม่มีตาได้เห็น คนไม่มีหูก็ได้ยิน คนไม่มีขาก็เดินได้ คนไม่มีมือก็ยังไปจับได้ นี้เขียนเป็นรูปวัตถุขึ้นมา ถ้ามันสลักหิน ก็คงจะสลักได้ เพราะมันไม่มีในประเทศอินเดีย พอเกิดมาวิวัฒนาการสูงในเมืองไทย ทางเลือกยังพอมีอยู่ในหนังสือบางเล่มที่ว่าอะไรๆ ก็เป็นนามธรรม สวรรค์อยู่ในออกนรกอยู่ในใจนี้ เป็นนามธรรมอย่างนี้ก็มี ทั้งหนังสือบางเล่มของชาวอินเดีย แต่เขากลับไม่สนับสนุน ไม่ใช้เป็นหลักให้แพร่หลาย ตอนหลังนี่คนพูดมากขึ้นเหมือนกันว่า เช่น เรื่องรามเกียรติ์หรือเรื่องมหาภารตะ โดยเฉพาะ กาพย์เรื่องมหาภารตะ เขาพูดว่า,,,,(นาทีที่ 37.02)ชาวอินเดียคนหนึ่งเขาก็พูดว่า เป็นเรื่องในจิตใจทั้งนั้นเลย เป็นสงครามมหาภารตะที่ยืดยาวยืดเยื้อ เป็นบุคคลาธิษฐานของกิเลส ของไอ้กรรม ของอะไร แต่ก็ไม่เคยมีใครแจงออกไปอย่างนั้นอย่างนี้ อย่างโน้น หรือว่าไม่มีใครเขียนภาพมหาภารตะให้เป็นแบบนี้เลย นั้นผมจึงพยายามที่จะรักษาให้ภาพปริศนาธรรมนี้ไว้ให้เป็นสมบัติของไทย ในทางชาตินิยม ให้เห็นฝีไม้ลายมือของไทยหน่อย แม้ยังอยู่ เราไม่มีทุน ไม่มีปัญญาจะพิมพ์นี้ ให้ นาย สุรักษ์ ศิวรักษ์ เขาไปดำเนินการไปหาทุนพิมพ์มาได้ เฉพาะภาพปริศนาธรรมชุดที่จะฉายดูกันอยู่กลางคืน เดี๋ยวนี้เขาจัดพิมพ์เป็นหนังสือเล่ม พิมพ์ภาพสอดสี คำอธิบายเป็นภาษาอังกฤษ และก็ยังระบุ เขียนระบุเป็นของไชยาอยู่ เรียกว่าให้เกียรติไชยาอยู่ แล้วกำลังจะทำคำอธิบายเป็นภาษาเยอรมัน กำลังพิมพ์อยู่อีกฉบับ คำอธิบายเป็นภาษาไทยเขายังไม่พิมพ์ ปล่อยให้คนไทยใกล้เกลือกินด่างไปก่อน ให้พวกฝรั่งนั่นรู้ก่อน อะไรก่อน ก็กินเกลือ ไม่มีความคิดของผมหรอก ผมก็ไม่ทราบว่าทำไมนาย สุรักษ์ เขาถึงไม่พิมพ์ฉบับภาษาไทยขึ้น พล็อตนี่ใช้ร่วมกันได้รูปภาพ คำอธิบายเขาพิมพ์แต่ภาษาอังกฤษ ถ้าหนังสือเล่มนี้แพร่หลายไปเมืองนอกเมืองนา มีคนรู้จักคำว่า เมืองไชยาขึ้นอีกแยะเลยทีเดียว .......( นาทีที่ 39.41) เป็นการโฆษณาเมืองไชยา คราวที่แล้วเขาก็สำรวจดูในพิพิธภัณฑ์มันมีไอ้เล่มอย่างชุดเล็กอยู่สองสามเล่ม ก็ขาดกระรุ่งกระริ่ง ชุดใหญ่สมบูรณ์เหมือนเล่มใหญ่ของเรานี่ไม่มี ไม่มี แล้วก็จะมีชุดที่กระจัดกระจายผสมกันไม่ค่อยจะติด แต่ดีมาก ดีมากเหมือนที่เอามาเล่าให้ฟังนี่ ส่วนชุดนี้มันยากที่คนจะเอามาลำดับเรื่องแล้วอธิบายให้ดีได้ เช่นที่ผมกำลังเอามาเล่าให้ฟังตอนหนึ่งนี่ คล้ายๆ กับเขาไม่ตั้งใจทำเป็นเรื่องยาว เล่าเป็นนิทานสั้นๆ เสียเรื่อย เป็นตัวอย่างนิทานสั้นๆ ดอกจำปาสวยงามสามชนิดอยู่บนต้นจำปา ไอ้เด็กรุ่นหนุ่มสามคนมาเห็นเข้าอยากจะได้ไม่รู้จะทำยังไง มันก็ขี่หลังซ้อนๆ ๆกันขึ้น จนคนข้างบนสุดจะตก(นาทีที่ 41.48) จำปาได้ ถามโดยกะทันหันว่า ไอ้เด็กสามคนนี่ได้แก่อะไร ดอกจำปาสามชนิดได้แก่อะไร ใครตอบได้ก่อน บรรดาที่นั่งอยู่นี้ ท่าน.....(นาทีที่ 42.05) มีหลายองค์นี่ที่นั่งอยู่นี่ คุณถวิลว่าได้แก่อะไร (มีเสียงตอบ) เดาสิ ให้เดาสิ (มีเสียงตอบ)ไม่มีใช้ในยุคนั้น ในหนังสือนั้น เอาที่มีใช้ในหลักธรรมะ ในตำหรับตำรา คำภีร์ทั่วไปสิ (มีเสียงตอบ) แล้วเด็ก ๓ คนคืออะไร (มีเสียงตอบ) ถูกนั่นหล่ะ เขาเขียนไว้ เด็ก สามคนนั้นมัน ศีล สมาธิ ปัญญา ดอกจำปา ๓ เหล่าคือ อัปปณิหิตวิโมกข์ สุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์ วิโมกข์ ๓ วิโมกข์ ๓ในธรรมวิภาคปริเฉท ๓ ก็มี อัปปะ อัปปณิหิตะ ไม่มีที่ตั้ง อนิมิตตะ ไม่มีนิมิต แล้ว สุญญตะ ว่าง เป็นชื่อนิพพาน ๓ ชนิด นิพพานโดยวิธี โดยนิพพาน ๓ ทาง ไอ้ดอกจำปา หมายความว่า ศีล สมาธิ ปัญญา สามชนิดนี้จะสามารถทำคนให้บรรลุนิพพานชนิดใดชนิดหนึ่งในสามชนิด จะโดยอาศัยอนิจจังเป็นหลัก อาศัยพุทธังเป็นหลัก หรืออาศัยอนัตตาเป็นหลัก ตามแบบของไอ้วิโมกข์ ๓ ไอ้วิโมกข์ ๓ ยังไม่เคยพบในพุทธภาษิต พวกอรรถกถา พวกอภิธรรม พวกนี้ เด็กสามคนก็เหมือนอริยมรรคมีองค์ ๘ ที่ย่นเข้าเป็นศีล สมาธิ ปัญญา ๓ อย่าง ได้ดอกจำปามานิพพานชนิดใดชนิดหนึ่งใน ๓ ชนิด นิพพานสามชนิดนี้ ในพวกอรรถกถารุ่นนี้ชอบเปรียบอย่างนี้ คือภาพมักจะเขียนอย่างนี้ทั้งนั้น เขาเขียนนิพพาน นี่เขียนเป็นแก้วสามดวง แก้วสามดวง แก้วสามก้อน คือวิโมกข์ ๓ แล้วบางรายคงจะเป็นชาวบ้านมากเกินไป เขียนคำอธิบายแก้วสามดวงนี้ว่า กิเลสนิพพาน ขันธนิพพาน ธาตุนิพพาน
กิเลสนิพพาน คือ ตัดกิเลสได้หมด ขันธนิพพาน คือ ร่างกายดับลงไปอีก แล้วธาตุนิพพาน คือ สภาพที่เหลือจะดับลงไปอีก อย่างนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่หลักในพระคัมภีร์ หลักหนังสือชั้นหลัง ชาวบ้านพูด หรือหนังสือชั้นหลังที่มันไม่ใช่เนื่องกับพระไตรปิฏก เช่น หนังสือปฐมสมโภชน์แต่งกันที่ไหนก็ยาก แต่ในสมัยต่อมา ที่คนเขาเชื่อว่า พระสารีริกธาตุ บรรดามี พระสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้านะ บรรดาที่มีอยู่ในโลก ในสากลโลก เทวโลก อะไรก็ตาม เวลานี้ ถึงสมัยหนึ่งก็จะรวมตัวกันเข้า เป็นองค์พระพุทธเจ้าแสดงปฏิหารย์ต่างๆ เช่น ยมกปฏิหารย์ เป็นต้น แล้วก็จะสลาย สลายอีกที สิ้นสุด ดับหายสิ้นสุด อันสุดท้าย นี่เขาเรียกว่า ธาตุนิพพาน ครั้นพระพุทธเจ้าที่มีกิเลสนิพพานที่ใต้ต้นโพธิ์นี้ เป็นตรัสรู้พระพุทธเจ้า แล้วก็มีขันธ์นิพพานที่ใต้ต้นสาละ ต้นรัง ธาตุนิพพานยังไม่มี เรียกว่ายังอีกกี่ร้อยปีกี่พันปีก็ยังไม่รู้ที่มีธาตุนิพพาน ไอ้พวกนักเขียนชาวบ้านพวกนี้ก็ถือโอกาสเขียนนิพพานแก้วสามดวง ดวงหนึ่งหมายถึง กิเลสนิพาน ดวงหนึ่ง หมายถึง ขันธ์นิพพาน ดวงหนึ่ง หมายถึง ธาตุนิพพาน อย่างนี้ธรรมชาติหรือไม่ใช่ธรรมชาติ ....(นาทีที่ 47.53) ถ้ามันไม่จริงจะเป็นธรรมชาติได้ไหม ถ้ามันไม่จริงตามนั้นถือว่าเป็นธรรมชาติได้ไหม (มีเสียงตอบ) คำว่า ธรรมชาตินี่มันกว้างอย่างไหนก็ได้ เพชรก็คือ ธรรมชาติ ดินก็คือ ธรรมชาติ เหมือนกับนี่สบายดี ฝนตกดีก็ธรรมชาติ ฝนไม่ตกเลยก็คือ ธรรมชาติ นั้นคุณจะเอาอะไรเป็นธรรมชาติ เอาแค่ไหน ลึกตื้นแค่ไหน แล้วก็เอาเพียงเท่าไร อย่าเอาหมด เอาหมดบ้าเลย คือเวียนหัวตายเลย อะไรๆ มันคือธรรมชาติหมด มันก็ไม่ไหว เช่นเดียวกับที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ใบไม้ทั้งป่า ใครเอาไหว ทั้งป่า ทั้งโลกเอาไม่ไหว จงเอาแต่ใบไม้กำมือเดียวเถิด ใบไม้กำมือเดียว จำเป็น รู้แล้วปฏิบัติ ดับทุกข์ ก็หมดกันเท่านั้น ไม่มีอะไรดีกว่านั้น ใบไม้ทั้งป่าจะเอาไปทำอะไร เพราะฉะนั้นต้องระวังไอ้ว่าคำว่า ธรรมชาติ ธรรมชาติของคุณให้ดีๆ ให้อยู่ในขอบเขตที่จำเป็น เดี๋ยวจะไปชวนกันจับกลุ่มตีวงธรรมชาติกว้างออกไป กว้างออกไปๆ ผมไม่รับรองนะ ตามตัวไม่พบ ที่มันไกลออกไป ไกลออกไปๆ มันต้องใกล้เข้ามาๆๆ เป็นอะไรกันในกาย ที่ยาวประมาณวาหนึ่ง นี้ บรรจุไว้หมดกี่หมื่นโลกธาตุ จะเรียกว่ามีสิบโลกธาตุหรือหมื่นโลกธาตุ หรือหลายหมื่นโลกธาตุก็ตามใจ ในนั้นมีอะไรบ้างมันต้องมาบรรจุไว้ได้ในร่างกายที่ยาวประมาณวาหนึ่ง หรือว่าอีกทีก็บรรจุไว้ได้ในจิตใจ จะเล็กหรือใหญ่ รวมอยู่ในร่างกายนี้
จิตใจนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีขนาดหรือว่าไม่มีการจำกัดมันได้ เป็นอนัตตะ นั้นจากจิตใจนี่อะไรออกมาได้ไม่มีที่สิ้นสุด จากอนัตตะ สู่ อนัตตะ พวกอภิธรรมกำลังแย่ เป็นเรื่องที่เอามาล้อกันอยู่นี่ คือ เขาไปอธิบายอะไรๆ จิตใจอยู่ที่หัวใจ อยู่ที่หัวใจ ก้อนหัวใจ เท่ากำปั้น อธิบายเอานั่นเป็นจิตใจ พวกอภิธรรม ก็อธิบายตามแบบอภิธรรม ตัวหนังสือเก่า ไม่กล้าพูดว่ามันสมองหรอก นี่มาก่อน ใจกับสมองนี่มาก่อน....... (นาทีที่ 52.17) พวกอภิธรรมนี่ใจอยู่ที่ก้อนหัวใจ ใจอยู่ที่นั่น บนหทัย ทีนี้ ไอ้เมื่อเร็วๆ นี้ที่หมอแอฟริกา(นาทีที่ 52.32) เขาตัดเปลี่ยนหัวใจคน คำอธิบายว่ายังไง หัวใจเปลี่ยนกันได้ ถึงมีอยู่คนหนึ่งที่ไม่ตายเปลี่ยนหัวใจแล้ว ก็เลยไม่มีทางที่จะตอบ เพราะถ้ามันเปลี่ยนกันได้ ก็เปลี่ยนกรรมได้สิ เปลี่ยนกรรม เปลี่ยนวิบากของกรรม อะไรของมันอยู่ที่ใจ จิตอยู่ที่ใจ เพราะว่าตายไปเกิด ก็ไปเกิดด้วยใจ แล้วถ้าคุณถวิลคิดแบบเหนือเมฆ ทำบาปไว้มาก แล้วก็เปลี่ยนหัวใจสิ ไปซื้อหัวใจของคนทำบุญมากๆ มาเปลี่ยนของเราเสียสิ นี่ก็เป็นเรื่องล้อพวกอภิธรรม
เราไม่รู้ว่าจิตใจอยู่ที่ไหน แต่เราพูดเรื่องจิตใจกัน ฝึกจิตใจกัน บรรลุผลทางจิตใจกัน น่าหัว แต่ตัวจิตใจอยู่ตรงไหนรู้ไหม ไม่รู้ เขียนตามตัวแบบ ตัวหนังสือก็หัวใจ กลายเป็นเรื่องวัตถุไป กลายเป็นเรื่องรูปไปหัวใจนี้ มันเหมือนกับทางวัตถุพวกนักวิทยาศาสตร์สมัยปัจจุบันนี้ มันไม่รู้ตัวไฟฟ้าอยู่ที่ตรงไหน คืออะไรแน่ ไม่รู้จักตัวไฟฟ้าแท้ๆ ไม่รู้จักว่ามันคืออะไรแน่ ส่วนไหนแน่ ตัวอะไรแน่ แต่ดูสิมันเอาไฟฟ้ามาใช้เป็นบ่าวเป็นทาส เป็นอะไรมากมาย ก้าวหน้ายิ่งขึ้นทุกที ด้วยระบบอิเล็กโทรนิกส์ยิ่งไปใหญ่เลย ใช้ตัวไฟฟ้าทั้งที่ ใช้ไฟฟ้าทั้งที่ไม่รู้จักว่าตัวไฟฟ้า คืออะไร อยู่ที่ไหน แต่ถ้าทำอย่างนี้มีผลอย่างนี้ ทำอย่างนี้มีผลอย่างนี้ มันทำที่วัตถุทั้งนั้น ไอ้ทำน่ะทำที่วัตถุนั้น แต่มัน ได้ผลเป็นไอ้ไฟฟ้า เป็น เรื่องของไฟฟ้า เป็นเรื่องของประหลาด อัศจรรย์ ใช้เป็นบ่าวคนได้ ทั้งเครื่องบินไม่ต้องมีคนขับ ก็ทำอะไรได้ แล้วในเครื่องบินนั้นทำงานทุกอย่างได้ ถ่ายรูปก็ได้ จดบันทึกก็ได้ อะไรก็ได้ ใช้แรงไฟฟ้า ระบบไฟฟ้าทั้งนั้น แต่เดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้ว่าไฟฟ้า คืออะไร ตัวไฟฟ้ามันอยู่ที่ไหนไม่มีใครรู้ รู้แต่ว่าถ้าทำให้โลหะประเภทนั้น ชนิดนั้น ส่วนนั้น เท่านั้น เปลี่ยนแปลงอย่างนั้นอย่างโน้น มันก็ได้ปฏิกิริยาอย่างนี้เป็นผลขึ้นมา มันรู้เท่านั้น นี่มันคล้ายๆ กับที่เราไม่รู้สิ่งที่เรียกว่าจิตนั้นคืออะไร แต่เราฝึกจิตให้บรรลุมรรค ผล ได้ เป็นนิพพาน เป็นจิตที่ไม่มีความทุกข์ร้อนได้ นี่เหลือแต่ว่าปฏิบัติให้ถูกวิธีกับร่างกายจิตใจนี้ ก็ได้ผล
เมื่อเรารู้กฎธรรมชาติเพียงเพื่อปฏิบัติเกี่ยวกับร่างกายจิตใจให้ถูกวิธี รู้จักตัวธรรมชาติแท้ๆ ที่เป็นตัวจิตแท้ๆ หรือแม้แต่รูปแท้ๆ มันยังรู้จักยาก เพราะมันซอยละเอียดลงไปได้เรื่อย ที่แบ่งเป็นรูป ๒๘ อะไรอย่างคัมภีร์อภิธรรมนี่มันไม่พอ เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นของเด็กเล่น เพราะมันสามารถจะซอยให้ลึกลงไปมากเท่านั้นได้ ตัววัตถุธาตุ นี้เราไม่ต้องรู้ถึงข้อนั้นก็ได้ แต่สามารถทำจิตให้ไม่มีความทุกข์ได้ จะหาเขากระต่าย หาหนวดเต่า เขากระต่ายพบ รูปภาพเขียนยากเพราะกระต่ายมีเขา เต่ามีขน เพราะการจะพูดถึงเรื่องนี้กันอยู่บ่อยๆ นี่ดี มันช่วยให้เข้าใจง่ายขึ้น มันจะเป็นของธรรมดาขึ้นมา เมื่อเราพูดถึงหนวดเต่า เขากระต่าย หลายๆ ครั้งเข้ามันก็จะดูใกล้ๆ เข้ามา ชักค่อยเข้าใจขึ้น การได้ยินทีแรกชักจะงง จะใช้ใครไปหา หนวดเต่า เขากระต่าย เขาใช้คนที่ไม่มีตา ไม่มีหู ไม่มีจมูก ไม่มีลิ้น ไม่มีมือ มีตีน ไม่มี ....... (นาทีที่ 59.17) เดี๋ยวเกิดใครฟังผิดขึ้นมาตัดหู ตัดจมูก ตัดตาของตัวเองออกเสีย ตัดตีนออกเสียเลยตายเลย ทำอะไรก็ไม่ได้
พระพุทธเจ้าตรัสกับ พาหิยะ ได้ยินก็สักว่าได้ยิน ได้ดมสักว่าได้ดม ได้เห็นสักว่าได้เห็น นี่มีค่าเท่ากับไม่มี ไม่มีตา ไม่หู ไม่มีจมูก หรือคัมภีร์ของพวกคริสเตียนเขาว่า สอนให้ทำ มีทรัพย์สมบัติก็ให้เหมือนกับไม่มีทรัพย์สมบัติ มีภรรยาก็ให้เหมือนกับไม่มีภรรยา มีสุขก็ให้เหมือนกับไม่มีสุข มีทุกข์ก็ให้เหมือนกับไม่มีทุกข์ ไปซื้อของที่ตลาดอย่าเอาอะไรมา นี่มันคือความหมายอันลึกซึ้งระดับเดียวกับไปหาหนวดเต่า เขากระต่าย โดยบุคคลที่ไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ลองคิดดูให้ดีๆ ทุกองค์ ทุกๆ คนว่า ไอ้คำสอนนี้สอนอย่าให้มีตา หู จมูก ลิ้น กาย สอนถึงขนาดอย่ามีตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วใจมันก็หมดท่าเอง เมื่อตา หู จมูก ลิ้น กายก็ไม่มีแล้ว จะมีเขาด้วย มันจะมากไปแล้วมั้ง มีหูมีหางมีอะไรมากกันนัก มีหู มีหาง มีอะไรสำหรับยกมันจะมากไปแล้ว ตา หู จมูก ลิ้น กาย ธรรมดาก็อย่าให้มีอยู่แล้ว แล้วมันจะมีหู มีหางสำหรับยกอะไรได้
ทำงานหนักๆ ทุกวันเหมือนที่ทำอยู่นี่ ให้นึกถึงข้อนี้ไว้ ไม่มีมือ ล้างหินได้ มือก็ไม่มี ตีตะปู ตีฆ้อนได้ ไม่มีปาก ไม่มีลิ้น กินน้ำปานะได้ ทุกคราวที่ทำอยู่ ที่เป็นอยู่ ที่กินอยู่นั่นหล่ะจะได้บททำงานทุกชนิดด้วยจิตว่างได้ดีขึ้น คือ มันชัดเจน รัดกุมขึ้น ไม่มีตัวเรา ทำอะไรได้ ไม่มีของเราแต่มีอะไรได้ ถ้าพูดกลับเสียอีกทีอย่างเล่าจื้อ พูดอย่างตีกลับ เมื่อไม่มีอะไรนั้นคือมีหมดเลย เมื่อเราไม่มีอะไรนั้นคือ มีหมดเลย เมื่อเราไม่ทำอะไรเลยนั่นคือ เราทำ ถึงที่สุด ทำหมดถึงที่สุด
เมื่อพูดถึงไม่มีตัวเรา เขาก็ใช้อุปมาเป็นเขากระต่าย หนวดเต่า เขากระต่าย ที่ผมพูดกับชาวบ้านเสมอว่า ต้นไม้พูดได้ ไอ้ก้อนหินพูดได้ แล้วพยายามเป็นเกลอพวกนี้ ศึกษา ก็หมายความอย่างนี้ ที่มีอยู่ได้ เป็นอยู่ได้ เจริญงอกงามอยู่ได้ โดยไม่ต้องมีตัวกูผู้เจริญ มีดอกไม้ ดอกไร่ ต้นไม้ ต้นสะตอ ต้นไม้มันเจริญอยู่ได้โดยไม่ต้องมีตัวกูผู้เจริญ เราเป็นเกลอกับมัน ฟังมันในข้อนี้อย่าไปคิดอย่างอื่นมากไปสิ คุณจะไปชวนคิดวิพากษ์วิจารณ์โดยลอจิก โดยอะไร วิทยาศาสตร์ โดยมันรู้สึกได้ อะไรได้ มันก็ไม่มีที่สิ้นสุด ตัดบทหมดเลย ก้อนหินพูดว่าฉันไม่มีตัวฉัน ฉันก็อยู่ได้ ไอ้ก้อนหินมันพูดมันพูดว่ายังไง คนที่มีหูลึก ฟังไอ้คำพูดชั้นลึกของมันได้ ฟังว่า ฉันไม่มีตัวฉัน ฉันก็อยู่ได้ แล้วแต่จะตีความ ตีไปในทางที่จะดับความทุกข์ สุขนั่นเลย ถ้ามันดับทุกข์ มันเป็นสุขเลย ตีเอาเองตามความชอบใจ ถ้ามันดับทุกข์ได้มันถูกแน่ จึงเห็นต้นไม้ มันเขียวสดสบาย นึกไปไหน มันไม่มีตัวมัน มันก็อยู่ได้ ไม่ต้องมีความรู้สึกว่าตัวกูของกู มันก็อยู่ได้ งอกงามได้ สบาย ถ้ามันถูกลมพัดแกว่งสวย อย่างนี้เราก็ดูคล้ายๆ กับมัน มันถามเราว่าเมื่อไรคุณจะลุกขึ้นรำบ้าง ดูต้นสะตอ ถ้ามันถามเราเมื่อไรคุณจะลุกขึ้นรำบ้าง ถ้าลุกขึ้นรำ นี่หมายความว่า ไม่มีความทุกข์ มันก็มีความสุข มันก็มีความสบาย พอใจอย่างยิ่ง อิ่มเอิบอย่างยิ่ง มันจึงรำ นี่ถ้ารู้มากเกินไป อ้าว,ถูกลมพัด รำอะไร ไอ้คิดอย่างนี้ไม่ใช่นักธรรมแล้ว ไม่ใช่นักธรรมะแล้ว เป็นนักวิทยาศาสตร์บ้าๆ บอๆ อะไรไม่มีที่สิ้นสุด แล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะอยู่ใกล้ต้นไม้ จะอยู่กับต้นไม้เพื่อ ศึกษาธรรมะจากต้นไม้
หนังสือเรื่องนกของพวกทิเบตเล่มหนึ่งก็ดี ที่เขาแต่งขึ้นมาให้นกชนิดหนึ่งพูดมาอย่างหนึ่งก็ตามนิสัยของนกนั่นเองพูดธรรมะเป็นทั้งนั้นเลย นกทุกชนิด แต่ไอ้ผู้แต่งมันจะต้องสังเกตลักษณะนิสัยของนก ให้นกตัวนั้นพูดธรรมะ หรือมิเช่นนั้น ก็เอากันง่ายๆ มันง่ายกว่าคือฟังเสียงของนก นกมันว่าอะไร นกมันร้องว่าอะไร ขยายความออกไปเป็นคำร้องของนกออกไปเป็นธรรมะ เช่นอย่างนกกระต้อยตีวิด มันร้องว่า กระต้อยตีแว้ด ตีแว้ด นี่นา ก็แปลความว่ามันร้องว่า ยาวจริงโว้ย ยาวจริงโว้ย ...ก่อน (นาทีที่ 1.10.19) ยาวจริงโว้ย ก็เขียนเป็นต่อไปสังสารวัฎยาวจริงโว้ย ความปรารถนาของคนในกามคุณ ยาวจริงโว้ย อะไรนี่ยาวจริงโว้ยนี่เรื่อยไป ให้นกมันร้อง ไอ้หนังสือเล่มนี้มันต้องแต่งโดยไอ้โยคี มุนี ที่มันนั่งสังเกตนกอยู่ตลอดเวลา
เดี๋ยวนี้มันเป็นที่แน่นอนแล้ว มันไม่มีใครเถียงว่า ไอ้ความรู้ ความคิดเรื่องจิต เรื่องทุกข์ เรื่องดับทุกข์มาจากในป่า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสรู้ในป่า ฤาษี โยคี มุนี ทุกองค์มันอยู่ในป่า มันได้อะไรจากป่า ในป่าไม่มีโรงเรียน มันก็ได้มาจากโรงเรียนนี้ เช่นว่านี้ ต้นไม้ ก้อนหิน ไอ้นก ไอ้หนู อะไรต่างๆ ที่มันแสดงลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้เกิดความคิดอย่างใดอย่างหนึ่งเรื่อยขึ้นมา เรื่อยขึ้นมา ป่ามันแวดล้อมจิตใจไปในทางให้หยุด ให้สงบ ถ้าจิตใจสงบ มันมองทุกสิ่งในแง่ของความสงบ หรือมองก้อนหินออกในแง่ของความสงบ ไม่ต้องตัวกูตัวแกอะไร หรือว่าอยู่อย่างก้อนหินนี่ไม่ต้องมีจิตใจที่เป็นตัวกูของกู นี่ธรรมชาติหรือไม่ธรรมชาติ ธรรมชาติมากกว่าทีแรกนะ ฟังก้อนหินพูด ฟังต้นไม้พูด นี่ธรรมชาติยิ่งกว่าไอ้.....(นาทีที่ 1.13.01) ไม่ต้องมากมาย นั้นพอใจที่จะอยู่กับธรรมชาติ เป็นเกลอกับธรรมชาติ กินนอนง่ายๆ ตามแบบธรรมชาติ ชั่วทีหนึ่ง (นาทีที่ 1.13.41) ก็อยู่กระท่อมใบไม้ กินรากไม้ ผลไม้ ไม่มีข้าวกิน ไม่มีเนื้อสัตว์กิน ไม่มี ก็ยังอยู่ได้ ถ้าขาดเกลือนักก็มากินอาหารในบ้านในเมืองสักทีหนึ่ง ร่างกายมันหิวเกลือจัดขึ้นมาก็ออกจากป่าหิมพานต์เข้าไปหมู่บ้าน กินอาหารที่มีเกลือสักทีหนึ่ง หรือว่าไปกินดินที่มีเกลือ มันน่าเห็นใจลองดูเถิด มันขาดเกลือ เป็นฤาษี มุนี กินใบไม้ กินผลไม้ ดอกไม้ หัวไม้ เหง้าไม้ อย่างนี้หนักๆ เข้ามันก็ขาดเกลือ หรือว่าขาดอะไรบางอย่าง มันหิว หิวเกลือขึ้นมา แต่ไม่เคยปรากฏว่าหิวเนื้อสัตว์ มันไม่ถึงกับตายหรอก เพียงแต่มันไม่ได้กินเนื้อสัตว์มันคงจะมีการเปลี่ยนแปลงในร่างกายบ้าง แต่มันไม่ถึงกับตาย มันก็ยังไปอยู่ได้อย่างในรูปอื่น มีความคิด ฉลาดอยู่ เดี๋ยวนี้ความรู้สมัยใหม่นี่มันขี้ขลาดมากเกินไป ขาดไอ้นี่สักนิดก็เป็นเรื่องใหญ่โต เพราะจิตใจของคนมันอ่อนแอลงเยอะ ไม่พอดี มันก็เป็นเรื่องใหญ่โต แล้วก็ไม่ค่อยมีใครอยู่กินอย่างธรรมชาติเดี๋ยวนี้ คนในบ้าน ในเมือง ในตลาด ในเมืองหลวงไม่ได้กินอย่างธรรมชาติ นั้นมันจึงขาดอะไรมาก ฤาษีไปอยู่ป่าหิมพานต์กินตามธรรมชาติ กลับไม่ขาดอะไร ไม่ได้กินเนื้อสัตว์แต่ยังขาดอะไร กินใบไม้ กินผลไม้ กินรากไม้ หัวไม้ ไอ้เหง้าของไม้ เช่น เหง้าบัวก็กินฤดูหนึ่ง ฝักบัวก็กินฤดูหนึ่ง หญ้า บอน อะไรก็กินไปฤดูหนึ่ง ผลไม้มีก็กินผลไม้ กินกล้วยก็อยู่ได้แล้ว ไม่ต้องกินเนื้อ กินกล้วยนี่อยู่ได้แล้ว สบาย แต่ต้องกินบ่อยเพราะมันหิวจัด มันย่อยเร็ว จะฉันอย่างพระเพียงไม่กี่ชั่วโมงนี้ตกกลางคืนมันหิว มันอยู่ไม่ได้ มันต้องกินอีก ถ้ากินข้าวกินแป้ง กินเนื้อสัตว์ ๒๔ ชั่วโมงยังไม่หิวเลย บางที มันย่อยยากมันอยู่นาน ผมเคยลองดูแล้ว กินกล้วยอยู่ไม่ถึงสามชั่วโมง หิว พอตกกลางคืนหิวเหมือนไส้จะขาด หิวเหมือนไส้จะขาด มันทำไม่ได้ ถ้าถือวินัยของพระมันทำไม่ได้ มันต้องกินได้เรื่อยอย่างพวกฤาษีล่ะก็ได้ กินผัก กินผลไม้ ต้องถือวินัยต้องกินได้เรื่อย หิวเมื่อไหร่กินได้ หิวเมื่อไหร่กินได้ แล้วก็อยู่ได้ สบาย แล้วมันถูกธรรมชาติที่สุด อยู่ได้ ไอ้เรามันครึ่งๆ กลางๆ ไปเปลี่ยนอาหารผิดธรรมชาติ แล้วยังดำรง(นาทีที่ 1.17.56) กับธรรมชาติไม่ได้ เพราะต้องมีโรคภัยไข้เจ็บ ขาดนั่น ขาดนี่ ขาด....(นาทีที่ 1.18.07)ยุ่งไปหมด ถ้ามันมีเนื้อมีปลาให้กิน ก็กินไม่ได้ มันไม่หิวไม่อยากซะอีกเพราะมันยุ่งไปหมด เพราะงั้นทำจิตใจให้สงบเป็นธรรมชาติก่อน แล้วก็ปล่อยมันไปตามเรื่อง มันมีส่วนถูกมากกว่า ถ้าจิตใจเดือดเป็นบ้าแล้วมันไม่ได้ทั้งนั้น จะกินอะไรจะนอนอะไรมัน ไม่ได้ทั้งนั้น ต้องระงับความโกรธก่อน ความหงุดหงิดใจ ความขัดใจ ความโกรธ ซึ่งทำให้จิตเป็นบ้านี่ต้องระงับก่อน แล้วมันจึงจะไปถึงความโลภ ความอะไรที่มันเนือยลงไปกระทั่ง โมหะ ความหลงที่มันลงไปอีก มันเนือยลงไปอีก มันจึงจะไม่ผิดธรรมชาติ เอ้า ค่ำแล้ว