แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เรื่องวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ตอนที่ ๓ ซึ่งจะได้กล่าวโดยหัวข้อว่า เมื่อคนในโลกส่วนใหญ่มีความเป็นไปในลักษณะที่ตกอยู่ในเมฆหมอกนานาประการ แล้วก็หลงไปในเรื่องของวัตถุนิยมโดยส่วนเดียวจนสร้างวิกฤติการณ์อันถาวรขึ้นมาในโลกนี้ เราผู้ที่โดยร่างกายนี้ก็อยู่ร่วมในโลกนี้กับเขาด้วยจะต้องทำอย่างไร จึงจะไม่เป็นไปเพื่อความทุกข์ ที่จริงปัญหาข้อนี้ได้เคยวิสัชนามาบ้างแล้วในการแสดงธรรมคราวก่อนๆ ที่นานมาแล้ว แม้ไม่โดยละเอียดพิศดารก็โดยสังเขป ในวันนี้จะได้วินิจฉัยในปัญหาข้อนี้โดยเฉพาะ ข้อที่ว่ามนุษย์ทั้งโลกตกอยู่ในเมฆหมอกแห่งความมืดสีขาวกันโดยทั่วไปหมดแล้วนี้ หมายความว่ามีความเห็นผิดเป็นชอบ มีอาการเหมือนกับตายแล้ว ตั้งแต่บัดนี้โดยอาศัยหลักที่ว่าความประมาทคือความตาย ผู้ที่ประมาทแล้วคือผู้ที่ตายแล้ว ผู้ที่มีความตายในทางวิณญาณเช่นนี้ ย่อมเกิดใหม่สำหรับตายซ้ำตายซากไม่มีที่สิ้นสุด มีใจความสำคัญอยู่ที่เป็นการตายในทางวิญญาณ คือมีความทุกข์ทนทรมาน และไม่มีสาระอะไร คนที่จมอยู่ในกองทุกข์และไม่มีอะไรที่เป็นสาระเช่นนี้ ท่านเรียกว่าคนตายแล้วตายอีก ตายแล้วตายอีก คนส่วนมากเป็นอยู่ในลักษณะเช่นนี้ แต่แล้วเขาก็กลัวตายไม่อยากตาย เพราะมีความอยากหรือความหวังอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ เมื่อเป็นดังนี้ก็ได้แก่ คนชนิดนี้เองที่มีการทำบุญต่ออายุด้วยความขี้ขลาดด้วยความไม่อยากตาย ก็มีความหวังอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ ทีนี้ก็เป็นหน้าที่ ที่ท่านทั้งหลายจะต้องสังเกตดู ให้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่ามูลเหตุอันแท้จริงนั้นมันอยู่ที่ความอยากหรือความหวัง ที่ทำให้คนที่ไม่อยากตายนั้น ต้องตายแล้วตายอีก ตายแล้วตายอีก ตายแล้วตายอีกอยู่นั่นเอง ทั้งที่เขาไม่อยากตาย เมื่อไม่มีความหวังอะไร ก็หมายความว่าไม่มีกิเลส ที่เป็นเหตุให้ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดโดยความเป็นตัวตนหรือของตน เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เป็นผู้ที่อยู่เหนือความตาย ไม่ต้องพูดถึงความตายกันอีกต่อไป เป็นผู้ที่ได้นามมาใหม่ว่าเป็นอมิตายุ คือมีอายุที่คำนวณไม่ได้ มีอายุที่ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะว่าอยู่เหนือความตายทั้งที่มีชีวิตร่างกายอยู่ในโลกนี้ ข้อนี้ก็เป็นด้วยเหตุอย่างเดียว คือไม่มีกิเลส ที่เป็นเหตุให้อยาก คนที่มีความอยากมากเท่าไรก็ยิ่งมีความประมาทมากเท่านั้น มีความตายมากเท่านั้น แล้วตายแล้วตายเล่า ตายอีกอยู่อย่างนั้น เป็นที่น่าหัวเราะเยาะ อย่างยิ่ง แต่ก็ไม่มีใครหัวเราะเยาะใครเพราะว่าเป็นไปอย่างเหมือนๆกันหมด ใครจะหัวเราะใครลองคิดดู อาตมาคิดว่าบางที สุนัขหรือแมวเป็นต้น นั่นแหละจะเป็นผู้หัวเราะเยาะ หรือมากไปกว่านี้อีก ต้นหญ้า ต้นบอนนั่นแหละจะเป็นผู้หัวเราะเยาะ เพราะว่าต้นหญ้า ต้นบอนนี้ก็มีกิเลสตัณหาหรือความอยาก ความหวังน้อยกว่าสุนัขและแมวเป็นต้น แต่สุนัขและแมวก็ยังมีความอยากหรือกิเลสตัณหาน้อยกว่าคน เมื่อเป็นดังนี้ สิทธิ์ที่จะหัวเราะเยาะก็มีแก่สุนัขและแมวมากพอที่จะหัวเราะเยาะคน และก็ต้นหญ้า ต้นบอนก็มีสิทธิ์ที่จะหัวเราะเยาะมากไปกว่านั้นอีก คือหัวเราะเยาะทั้งแมว สุนัขและทั้งคน
ตรงนี้จะขอโอกาสเล่านิทาน เรื่องเห็ดหัวเราะ เผื่อคนบางคนยังจะไม่เคยฟัง ตัวแม่ชีคนหนึ่งขึ้นมาบนเขาพุทธทองนี้ เห็นเห็ดไข่ไก่หรือเห็ดหัวเหลือง สองดอกเล็กๆงอกอยู่ที่ทางเดิน ความลังเลก็เกิดขึ้นว่าจะถอนดีหรือไม่ดี เพราะว่าสองดอกเล็กๆมันก็ไม่พอแกง ไม่พอที่จะแกง แต่ก็ยังคิดเลยไปถึงว่า ถ้าคนอื่นขึ้นมาเห็นเข้าก็จะถอนเอาเป็นแน่ ดังนี้แกก็ถอนเห็ดเล็กๆสองดอกนั้นขึ้นมาวางไว้บนก้อนหิน แล้วเห็ดสองดอกนี้ก็หัวเราะเยาะกันใหญ่อย่างที่เรียกว่าหัวเราะฮาทีเดียว ว่าแม่ชีคนนี้มีความอยากอย่างไร มีความอยากมากจนรู้ว่าสองดอกเล็กๆไม่พอจะแกงก็ยังต้องถอดเสียเพราะว่าคนอื่นเขาจะมาถอนทีหลัง นี่คือนิทานสั้นๆเรื่องเห็ดหัวเราะเยาะคน เพื่อแสดงให้เห็นว่าความอยากของคนนี่มีมากน้อยเท่าไร มีความยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทานกว้างขวางอย่างไร มนุษย์เรามีลักษณะอาการอย่างนี้กันโดยมากหรือไม่ ลองไปคำนวณดูเองเถิด พิจารณาดูให้ดีแล้วจะเห็นได้ว่า ความต้องการหรือความอยากมีมากถึงขนาดนี้ในทุกกรณี คือในทุกสิ่งไม่เฉพาะแต่ในเห็ดเล็กๆสองดอกเท่านั้น มันหมายความถึงว่าในทุกๆสิ่ง ในเงินทองข้าวของทรัพย์สมบัติพัสถานทุกสิ่งแต่ที่ยกตัวอย่างมาด้วยเห็ดดอกเล็กๆสองดอกหรือไม้ขีดไฟสักก้านหนึ่งหรือสองก้านอย่างนี้ ก็เพื่อให้เห็นชัดว่า มันมีขอบเขตกว้างขวางมากมาย จนเกินพอดีๆอย่างไร คนเรามีความต้องการมากถึงขนาดนี้ ยิ่งมีความต้องการมากขึ้นเท่าไร ก็จะรู้สึกเหมือนกับว่าเวลานี้เร็วไวมากขึ้นเท่านั้น นั่นแหละคือคนที่ทำตัวเองให้อายุสั้น ไม่มีใครต้องแช่งต้องด่าอะไรกันที่ไหน มันก็อายุสั้น มันรู้จักทำตัวเองให้อายุสั้น ด้วยขยายความอยาก ความต้องการให้มากออกไป มากออกไปจนเกินขอบเขต อายุมันก็สั้นเข้าสั้นเข้า คือไม่มีเวลามากพอที่จะทำอะไรให้ได้ตามความอยากหรือความหวัง นี่แหละคือคนอายุสั้นโดยไม่ต้องมีใครต้องแช่งต้องสาปอะไรที่ไหนกันอีกแล้ว คนประเภทนี้เองที่ขี้ขลาดมาก ก็ยังไม่อยากตายก็ต้องทำบุญต่ออายุ แบบที่เขาพูดกันว่า ต่ออายุแล้วจะไม่ต้องตาย ทำอย่างบังสุกุลเป็นพวกนี้ก็เพื่ออยากให้มันตายเพราะคิดว่าไม่อยากจะตายกลัวตายก็ทำตามที่เขาพูด เขาบอก เขาสอนกันว่าทำอย่างนี้จะต่ออายุได้
นี่แหละพิจารณาดูเถิดว่าคนอายุสั้นนี้ มันมีความขี้ขลาดมากน้อยเท่าไร เลยต้องการจะต่ออายุอยู่เรื่อยไป แต่การต่ออายุชนิดนี้เป็นเรื่องที่น่าสลดสังเวช เพราะเป็นเรื่องของความงมงาย คนที่ต่ออายุชนิดนี้ ก็นิมนต์พระมาสวดธรรมะ ข้อใดข้อหนึ่ง เช่น อุณหิสสวิชัย เป็นต้นด้วยเหมือนกัน แล้วก็ไม่รู้ความหมายอันนั้น ที่ว่าคนที่จะต่ออายุให้ยืดยาวออกไปได้บ้างนั้น ต้องเป็นคนประพฤติธรรม ประพฤติธรรมะ เพราะในคาถาอุณหิสสวิชัย นั้นมีใจความชัดอยู่แล้วว่า ผู้ที่ประพฤติธรรมเท่านั้น ที่จะไม่ประสบภัยอันตรายต่างๆ และจะไม่ต้องตายตั้งแต่ไม่ทันถึงอายุขัย คือ ไม่ชิงตาย ไม่รีบตายนั่นเอง แต่เจ้าภาพผู้นิมนต์พระมาต่ออายุนั้นหาได้เข้าใจอย่างนั้นไม่ เข้าใจว่านิมนต์พระมาสวด มาเลี้ยง มาฉัน บังสุกุลเป็นแล้วก็ต่ออายุได้ อย่างนี้มันยังเลวกว่าอุณหิสสวิชัยกว่าเนื้อเรื่องใน อุณหิสสวิชัย ที่เล่าเรื่องถึงเทวดาผู้ไม่อยากจะตายนั้นจะไปเสียอีก ที่จริงคาถาอุณหิสสวิชัย นี้ก็เป็นเรื่องเด็กเล่น เป็นของเด็กเล่นมากกว่า แม้คำพูดที่ว่าประพฤติธรรมแล้วอายุจะยืน นี้ก็เป็นคำที่เขาพูดกันอยู่นมนานแล้วก่อนพระพุทธเจ้า ขอให้เข้าใจว่าตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้าเกิดก็มีคนพูดอย่างนี้อยู่แล้ว ว่าถ้าประพฤติธรรมให้มั่นคงอายุก็จะยืน ระบุกุศลกรรมบท 10 ประการเป็นหลัก ว่าถ้าผู้ใดประพฤติธรรมะเหล่านี้แล้ว อายุจะยืนอย่างยิ่ง จะไม่ตายก่อนเวลา ดังที่มีเรื่องเล่าไว้เป็นอุทาหรณ์ ถึงเรื่องที่บิดามารดาคู่หนึ่งไม่ยอมเชื่อว่าลูกของตนตายตามที่เขามาส่งข่าว เพราะมีความเชื่อว่าลูกของตนจะไม่ต้องตาย เพราะเป็นผู้ประพฤติธรรมมั่นคงอยู่ในกุศลกรรมบท นี่แหละลองคิดดูเถิดว่าคนที่มีอายุยืนนั้นก็ต้องเพราะประพฤติธรรมะ แต่แล้วก็ไม่สามารถที่จะเอาชนะความตายได้ ยังต้องตายอยู่ดี ส่วนธรรมะของพระพุทธเจ้าจริงๆนั้นไปไกลยิ่งกว่านั้น คือไปสูงยิ่งกว่าอุณหิสสวิชัย ซึ่งเป็นของเด็กเล่น สูงกว่าอุณหิสสวิชัย ก็หมายความว่าทำให้คนไม่ตายได้ ทำให้คนถึงปรมัตถธรรมเป็นคนที่ไม่ตายอีกต่อไป นี่แหละคือคุณค่าของธรรมะในพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าจริงๆ ต่ออายุได้จริงจนกลายเป็นอมิตายุ คือไม่รู้จักตายเพราะว่าบรรลุถึงธรรมะที่ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวตนหรือของตน จนไม่มีใครตาย จนมีแต่ธรรมชาติที่บริสุทธ์ยั่งยืนถาวรไม่มีความตายเป็นอมิตายุ คือมีอายุที่คำนวณไม่ได้ มีอายุที่เป็นอนัตตกาล อย่างนี้ต่างหากจึงจะไม่เป็นของเด็กเล่น แต่เป็นของจริง หรือเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้นถ้าผู้ใดไม่อยากตายก็ควรจะประพฤติธรรมะข้อนี้
เมื่อโลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งที่ทำให้ต้องตาย เราก็ต้องประพฤติธรรมะนี้จึงจะอยู่เหนือความตาย ที่ว่าโลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งที่จะทำให้ตายอยู่ตลอดเวลานี้ ก็ได้แก่สิ่งที่กล่าวแล้ว คือความประมาท คือความไม่รู้ คือกิเลส ตัณหา อุปาทาน ของคนในโลกที่มากขึ้น จนทำให้โลกนี้เต็มไปด้วยคนบ้า คือคนตายแล้วในทางวิญญาณ คนที่เราเรียกกันว่า คนบ้าในที่นี้ คือคนที่ตายแล้วในทางวิญญาณ คือในทางจิตทางใจนั้นไม่มีอะไรเหลืออยู่ ไม่มีสาระอะไรเหลืออยู่ จึงเรียกว่าเป็นคนตายแล้ว โลกนี้เต็มไปด้วยคนบ้าคือ คนที่ตายแล้วในทางจิตทางวิญญาณ แล้วพุทธบริษัทของพระพุทธเจ้าจะอยู่ร่วมกันในโลกนี้กับเขาได้อย่างไร ก็ต้องพึ่งธรรมะของพระพุทธที่ทำความไม่ตายดังกล่าวแล้ว ก็คือไม่ต้องเป็นบ้าแล้วก็ไม่ต้องตาย นี่แหละ คือข้อที่จะต้องรีบศึกษาประพฤติปฏิบัติให้ลุถึงความไม่ตาย กลายเป็นคนที่ไม่ตาย เพียงแต่ศึกษาและปฏิบัติอยู่นี้ยังไม่พอ มันยังตายได้ ยังศึกษาเล่าเรียนอยู่นี้มันยังตายได้ เผลอนิดเดียวมันก็ตาย ด้วยความประมาท ด้วยความอวดดี ด้วยความยกหูชูหาง ที่มีความรู้มากขึ้นนั่นเอง มันก็ตายไปเพราะการศึกษาเล่าเรียนที่เรียกว่าดีนั่นเอง และการปฏิบัติก็เหมือนกัน เมื่อยังปฏิบัติอยู่มันยังไม่พ้นตาย เผลอเข้ามันอาจจะตายได้ เพราะการปฏิบัติที่ยึดมั่นถือมั่น เป็นการปฏิบัติของเราที่ดีกว่าของใคร อย่างนี้เป็นต้น มันก็กลายเป็นคนตายเพราะการปฏิบัตินั่น เพราะฉะนั้นต้องเรียนให้ถูกวิธี ต้องปฏิบัติให้ถูกวิธี จนประสบความสำเร็จในเรื่องนี้บรรลุถึงธรรมะที่เป็นความไม่ตายโดยแท้จริง คือธรรมะชนิดที่ทำให้หมดความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกูว่าของกูนั่นเอง ถ้าถึงธรรมะข้อนี้แล้ว ก็ไม่มีตัวกูหรือของกูเหลืออยู่สำหรับที่จะตาย นี้เรียกว่า เราได้กลายเป็นคนไม่ตาย ไม่ใช่เป็นแต่เพียงเล่าเรียนอยู่ หรือปฏิบัติอยู่ หรือทำอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ นั้นยังเป็นคนตายเมื่อไรก็ได้นี่แหละ คือความไม่ประมาทอันแท้จริง หวังว่าท่านทั้งหลาย ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา จะต้องคิดถึงเรื่องนี้ให้มาก เพราะเพียงแต่ที่ยังเรียนอยู่ ยังปฏิบัติอยู่ ยังทำอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ นั้นยังไม่พ้นความตาย ยังอาจจะตายเมื่อไรก็ได้ เพราะความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่กำลังเรียนอยู่หรือปฏิบัติอยู่ แล้วต้องกลายเป็นคนที่ไม่ตายกันจริงๆ คือปฏิบัติสำเร็จ ลุถึงธรรมะที่ดับอุปาทานความยึดมั่นถือมั่น ว่าตัวว่าตนเสียได้ หรือดับอุปาทานในทุกๆอย่างเสียได้ จึงจะเป็นคนไม่ตาย
เดี๋ยวนี้คิดดูให้ดีเถิด จะเห็นได้ว่ายังเป็นคนบ้า บ้าอย่างยิ่ง บ้าเรียน เรียนที่ไม่มีขอบเขต ไม่รู้ว่าจะเรียนไปทางทิศไหน ดีกว่านั้นหน่อยก็บ้าปฏิบัติ โดยหวังว่าจะดีกว่าคนอื่น จะได้เป็นพระอริยเจ้า จะได้เป็นพระอรหันต์ จะได้ดีกว่าคนอื่นนี้ก็คือคนบ้า แล้วก็มีบ้าจนต้องนำไปส่งโรงพยาบาลบ้ากันมามากแล้วด้วยเหมือนกัน คือพวกที่บ้าการปฏิบัตินี้ นี้มันก็คือตายแล้วหรือยิ่งกว่าตายแล้ว ช่วยกันระวังให้ดี เรียนให้ถูกวิธี ปฏิบัติให้ถูกวิธี อย่าให้กลายเป็นคนบ้าเรียนและบ้าปฏิบัติ ชนิดที่งมงายหรือชนิดที่เต็มไปด้วยความยึดมั่นถือมั่น ก็จะเป็นตัวกูของกู ที่ยกหูชูหางดังที่กล่าวแล้ว เสมอแทบทุกวันแทบทุกเดือนหรือตลอดทั้งปีที่ได้กล่าวกันถึงเรื่องนี้ คือเรื่องตัวกูของกู ไม่มีเรื่องอะไรที่จะต้องพูดกันมากเท่าเรื่องนี้ หรือมีความสำคัญมากเท่าเรื่องนี้ ฉะนั้นที่นี่จึงเต็มไปด้วยคำพูดหรือคำเขียนหรือรูปภาพที่แสดงเรื่องของตัวกูของกูอยู่ทุกหนทุกแห่ง เป็นเครื่องตักเตือนสะกิดใจอย่าให้ลืมตัวในข้อนี้ได้ ให้ปฏิบัติให้ถูกวิธี คือไม่หย่อนและไม่ตึงและไม่หวังชนิดที่เรียกว่าเป็นความยึดมั่นถือมั่น การปฏิบัติด้วยความยึดมั่นถือมั่นนั้นเป็นสิ่งที่น่าอันตรายที่สุด เผลอเข้านิดเดียวก็บ้าดังที่กล่าวแล้ว เพราะว่ามันเป็นการตั้งต้นด้วยความยกหูชูหางไปตั้งแต่ต้น มันจึงมีแต่จะแวะวกออกนอกทางไกลห่างไปทุกที การที่ไม่รู้จักยอมให้แก่ใครหรือไม่รู้จักแพ้แก่ผู้ใด ซึ่งเป็นนิสัยของคนธรรมดาสามัญทั่วๆไปนี้ เป็นอุปสรรคอย่างยิ่งเกี่ยวกับข้อนี้ ที่จริงคนที่ยอมนั่นแหละคือคนชนะ คนที่หัวแข็งกระด้างดันทุรังนั่นแหละคือคนแพ้ แต่เมื่อเข้าใจผิดเอามากลับกันเสียมันก็กลายเป็นคนแพ้โดยไม่รู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา ในการปฏิบัติขั้นแรกนี้จะต้องระลึกนึงถึงข้อที่ว่า คนแพ้เป็นพระคนชนะเป็นมารกันเสียก่อน แท้ที่จริงนี้ก็เป็นเรื่อง ก ข ก กา เริ่มเรียนเริ่มลงมือเรียนกันเท่านั้น แต่คนก็ยังทำกันไม่ค่อยจะได้ คือ ไม่ยอมในเรื่องแพ้เป็นพระชนะเป็นมาร ต้องการจะเอาชนะอย่างมารอยู่เรื่อยไป เมื่อ ก ข ก กา ก็เรียนไม่ได้ เรียนไม่รู้จักรู้ซะแล้ว มันจะเรียนให้มากไปกว่านั้นได้อย่างไร ใครๆก็มองเห็นอยู่แท้ๆว่า เมื่อเรียน ก ข ก กา ก็จำไม่ได้ เรียนไม่ได้อยู่แล้วจะไปเรียนให้สูงมากไปจนถึง กง เกย แม่กด กก นั้นได้อย่างไร มันก็ไม่มีหวัง เราจะต้องตั้งต้นด้วยการลดหย่อนความยึดมั่นถือมั่นนั้น เป็นเบื้องแรกและเป็นลำดับไป มีความรู้ความเข้าใจให้ถูกต้องเป็นหลักใหญ่ๆ เพราะไม่มีอะไรที่โดยเนื้อแท้แล้วจะเป็นตัวตนหรือของตนได้
สักกายทิฏฐิ คือ ความคิดเห็นว่ากายนี้เป็นของตนนั้น เป็นสิ่งที่ต้องละก่อน ดังนั้นเขาจึงเอามาไว้เป็นข้อแรก ข้อที่หนึ่งของสังโยชน์ หรืออนุสัยที่บุคคลจะต้องละจากความเป็นปุถุชนไปสู่ความเป็นพระอริยเจ้า นี่แหละคิดดูเถิดว่า ท่านเอาเรื่องตัวกูของกูนี้มาให้ละกันเสียก่อน ส่วนเรื่องกามราคะ ปฏิฆะ เป็นต้นนั้น ยังอยู่ทีหลังยังจะต้องละเมื่อเป็นพระอนาคามีนู้น เพียงแต่จะเป็นพระโสดาบันหรือพระสกิทาคามีกันก่อนนี้ยังไม่ต้องพูดถึงกามราคะหรือปฏิฆะ พูดแต่เรื่องละตัวกูของกูที่ยกหูชูหางอยู่นี่แหละก่อน คำว่าสักกายทิฏฐิที่ละแล้วเป็นพระโสดาบันนั้น หมายถึงตัวกูของกูชนิดนี้ คือความเห็นแก่ตัวที่มันมากเกินไปจนยกหูชูหางนั่นเอง เป็นสิ่งที่ต้องละได้ก่อน เป็นสิ่งที่ต้องละก่อน ก่อนกามราคะ คนที่เข้าใจผิดหรือฟังผิดก็ไปตั้งหลักในการที่จะละกามราคะก่อนที่จะละความรู้สึกว่าตัวกูหรือของกูทำนองนี้ มันก็เป็นคนบ้า คือไปกระทำในสิ่งที่ทำไม่ได้ ในสิ่งที่ไม่อาจจะทำได้ ถ้าอย่างไรก็ลองละ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส เหล่านี้กันเสียก่อน ให้เข้าร่องเข้ารอย ของอริยมรรคกันเสียก่อน แล้วมันก็จะเป็นไปเองในการที่จะละกามราคะหรือปฏิฆะได้ เพราะเหตุฉะนี้แหละ เราควรจะพิจารณากันให้มากถึงสิ่งที่เรียกว่าตัวกูของกูชนิดที่รุนแรง ที่เรียกกันว่า สักกายทิฏฐิ ยกหูชูหางอยู่ตลอดเวลา แต่พร้อมกันนั้นยังต้องมองดูต่อไปอีกว่านอกจากจะละสักกายทิฏฐิแล้ว ท่านยังให้ละวิจิกิจฉาและสีลัพพตปรามาส
วิจิกิจฉา คือความไม่แน่ใจในหนทางแห่งความดับทุกข์ ซึ่งวิจิกิจฉานี้ใครจะอธิบายอย่างไรก็ได้ จะอธิบายในทางสงสัยลังเลในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์หรือในอะไรก็ได้ แต่แล้วในที่สุดมันสรุปความยังเหลือเพียงข้อเดียว คือ ไม่แน่ใจ ไม่แจ่มกระจ่าง ไม่แน่ใจ ในข้อปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ของตน คือเป็นผู้ไม่มีความแน่ใจในข้อที่ว่าอริยมรรคมีองค์ 8 นี้ดับทุกข์ได้ หรือการปฏิบัติใดๆที่มีชื่อเรียกอย่างอื่น เช่น ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นต้น ว่านี้เป็นของที่ดับทุกข์ได้ มองไม่เห็นและไม่แน่ใจ นี้เรียกว่า วิจิกิจฉา จะจำแนกเป็นไม่แน่ใจในอะไรๆก็ได้ มากมายกี่อย่างๆก็ได้ แต่สรุปแล้วมันไม่แน่ใจในเรื่องการปฏิบัติเพื่อจะดับทุกข์นั่นเอง เป็นคนโง่หรือคนบ้าชนิดหนึ่งด้วยเหมือนกัน
นี้ท่านสอนให้ละต่อไปถึงสีลัพพตปรามาส นี้คือการปฏิบัติที่ไม่ประกอบไปด้วยปัญญาหรือความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้อง คือการปฏิบัติที่ไม่ประกอบไปด้วยสัมมาทิฐิ การปฏิบัติใดๆที่ไม่ประกอบไปด้วยสัมมาทิฐิแล้ว แม้จะปฏิบัติเพื่อจะดับทุกข์ มันก็กลายเป็นสีลัพพตปรามาสไปหมด แม้จะรักษาศีลทำบุญให้ทานหรืออะไรก็ตาม ถ้าไม่ประกอบอยู่ด้วยปัญญาที่ถูกต้องแล้ว มันก็เป็นความโง่งมงาย ลูบคลำศีลและวัตรเหล่านั้นให้เป็นของสกปรกมืดมนไปหมด เพราะฉะนั้นจะต้องระวังให้ดีว่าศีลและวัตรต่างๆที่กำลังประพฤติปฏิบัติอยู่นี้ มันประกอบไปด้วยสัมมาทิฐิหรือหาไม่ ถ้าทำเพิ่มๆไปโดยไม่มีสัมมาทิฐิแล้ว มันก็เป็นสีลัพพตปรามาสเต็มไปหมดอยู่ที่เนื้อที่ตัวของภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา นั่นเอง แม้จะรักษาศีลก็เป็นสีลัพพตปรามาส แม้จะสวดมนต์ภาวนาก็เป็นสีลัพพตปรามาส แม้ที่สุดแต่รักษาศีลเอาหน้าเอาตาให้คนเขานับถืออย่างนี้ก็เป็นสีลัพพตปรามาส ทำไปเพื่อให้เกิดความขลังความศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีเหตุผลหลายๆอย่างหลายๆประการ เหล่านี้ก็เป็นสีลัพพตปรามาส คือประพฤติศีลและวัตรด้วยความโง่นี้ก็เป็นคนบ้าเหมือนกัน ดังนั้นลองคิดดูเถิดว่ากิเลสประเภทแรกที่สอนให้ละ ที่พระพุทธเจ้าท่านวางไว้สำหรับให้ละนั้น มันเป็นเรื่องโมหะทั้งนั้นไม่เกี่ยวกับราคะหรือโลภะเลย สักกายทิฏฐิก็โมหะ วิจิกิจฉาก็โมหะ สีลัพพตปรามาสก็โมหะ ละได้ ๓ อย่างนี้เป็นพระโสดาบัน มองดูให้ดีว่ายังไม่เคยพูดถึงกามราคะและปฏิฆะ แต่พูดถึงกิเลสประเภทโมหะทั้งนั้นเลย นี้หมายความว่าต้องตั้งต้นด้วยการละกิเลสประเภทโมหะกันก่อน เพื่อรักษาโลกบ้าในขั้นต้นหรือในขั้นแรกให้หายไปเสียก่อนแล้วจึงจะรักษาในขั้นต่อไปที่สูงขึ้นไป
นี้สรุปใจความได้สั้นๆว่าต้องละความโง่กันเสียก่อนจึงค่อยทำอะไรต่อไป อย่ากอบโกยเอาความโง่เข้าไว้เลยจะต้องทำลายคลังหรือยุ้งฉางของความโง่นี้กันเสียก่อน คือความโง่ที่อยู่ในรูปของสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาสนั่นเอง นี่แหละอาตมากำลังกล่าวถึงคำตอบที่ถ้าหากใครจะถามว่า เราจะอยู่ในโลกของคนบ้านี้ได้อย่างไรโดยที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ไปตามเขา ในเมื่อโลกนี้เต็มไปด้วยคนบ้าแล้วเราจะอยู่ในโลกนี้อย่างไรจึงจะไม่บ้าเหมือนเขา จึงจะไม่เต็มไปด้วยความทุกข์เหมือนเขา ก็คือตอบว่าจงกระทำตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้สอนไว้ ว่าจงตั้งต้นหรือลงมือละความโง่หรือโมหะกันเสียก่อน คือความโง่ที่อยู่ในรูปของสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาสดังที่กล่าวแล้วนั่นเอง อันที่มาก่อนก็คือตัวกูของกูที่ยกหูชูหางเร่อร่าอยู่ทั้งกลางวันกลางคืนนี้มาก่อน นี้ต้องละเสียก่อน ต้องตัดเสียก่อน ต้องทำลายเสียก่อน คือรบรากันกับฆ่าศึกตัวนี้เสียก่อน ชำระความโง่เง่าให้บรรเทาลงไปได้ตามสมควรก่อน จะได้มีความแน่ใจที่เด็ดขาดลงไปในการที่จะปฏิบัติหรือดำเนินต่อไปอย่างเป็นล่ำเป็นสัน และพร้อมกันนั้นมันก็ละความงมงายอย่างอื่นๆด้วยไปในตัว รวมความว่าเราไม่อาจจะละเพียงสักกายทิฏฐิอย่างเดียว หรือวิจิกิจฉาอย่างเดียว หรือสีลัพพตปรามาสอย่างเดียวได้ ต้องละพร้อมๆกันไปทั้ง ๓ อย่าง แต่ว่าสิ่งที่ต้องนึกถึงก่อนก็คือเหลี่ยมแรก มุมแรก แง่แรก คือสักกายทิฏฐินั่นเอง หมายความว่าโมหะที่อยู่ในรูปของสักกายทิฏฐิตัวกูของกูนี้ต้องถูกกำจัดก่อน ต้องเป็นเป้าหมายแห่งการกำจัดก่อนสิ่งใดหมด แต่ถ้าละได้และกำจัดได้มันก็จะกำจัดวิจิกิจฉาหรือ สีลัพพตปรามาส พร้อมกันไปในตัว ในตัวมันเองโดยตัวมันเองได้ ทุกคนจะต้องพิจารณาดูให้เห็นความจริงข้อนี้ คือข้อที่ว่าอะไรๆมันรวมอยู่ที่อุปทานว่าตัวกู ว่าของกู หรือความเห็นแก่ตัวกู นี้ก็จะถือโอกาสพูดเลยไปถึงศาสนาอื่นๆเสียด้วย ว่าผู้ที่ถือศาสนาอื่น ถ้าอยากจะพึ่งพาอาศัยศาสนาของตนเพื่อจะอยู่ในโลกนี้ โดยไม่มีความทุกข์กับเขาบ้างด้วยแล้ว เขาเหล่านั้นก็จำเป็นที่จะต้องทำลายกิเลสประเภทตัวกูของกูหรือความเห็นแก่ตัวนั้นด้วยเหมือนกัน ให้เข้าใจไว้เถิดว่าศาสนาทุกศาสนาล้วนแต่สอนตรงเป็นอย่างเดียวกันหมด คือให้ทำลายความเห็นแก่ตัว ไม่มีศาสนาไหนที่สอนให้เห็นแก่ตัวที่เพิ่มความเห็นแก่ตัว ทุกศาสนาสอนให้ทำลายความเห็นแก่ตัว เพราะฉะนั้นทุกศาสนาจึงเหมือนกันโดยเนื้อแท้โดยใจความ เดี๋ยวนี้มีคนพูดไปเสียทางอื่นว่าศาสนาแต่ละศาสนาไม่เหมือนกัน เดินคนละทางไม่เหมือนกัน คิดดูเถิดว่าการกล่าวอย่างนี้มันเป็นความเสียหายกับอะไร เป็นความเสียหายข้อแรกก็คือว่าไม่จริง เป็นคนโกหกทั้งที่ไม่รู้ตัว ไม่รู้จักศาสนาไหนจริง แล้วก็เป็นคนพูดโกหกอย่างไม่รู้ตัว ว่าศาสนานี้ไม่เหมือนกันเลยล้วนแต่เดินกันคนละทางนี่ก็เป็นความเสียหายข้อหนึ่งแล้ว ทีนี้ก็มีความเสียหายในข้อที่ว่าทำให้คนแตกแยกกัน ทำให้คนในโลกนี้ไม่กลมเกลียวกันเพราะรู้สึกว่าถือศาสนาที่เป็นข้าศึก เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ดังนั้นมันจึงเป็น เขาจึงเป็นผู้ที่ทำความเสียหายให้แก่มนุษย์เป็นอย่างยิ่ง คนชนิดนี้เสียอีกที่ได้รับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินงานของกิจการสหประชาชาติ ซึ่งมีหน้าที่ที่จะทำความเข้าใจระหว่างชาติ รวมชาติทั้งหลายให้สมัครสมานสามัคคีกัน แต่แล้วคนคนนี้หรือคนอย่างนี้กลับไปพูดว่าศาสนาแต่ละศาสนาเดินกันคนละทาง พุทธศาสนาไม่เหมือนศาสนาไหน พุทธศาสนามีสิ่งที่ศาสนาอื่นไม่มี นี้ก็เป็นการยกตนข่มท่านอย่างยิ่งและพูดโกหกอย่างยิ่ง โดยไม่รู้สึกตัวและคนชนิดนี้จะทำหน้าที่รวมชาติหลายๆชาติในโลกนี้ ให้สามัคคีกลมเกลียวกันได้อย่างไร กลับกลายเป็นผู้วางลูกระเบิดในทางวิญญาณ ให้เกิดความร้าวฉานในทางจิตใจ ให้มนุษย์มีความแตกแยกกันในทางจิตใจ โดยที่มีความเชื่อมั่นว่าศาสนาแต่ละศาสนาเดินกันคนละทาง เราถือศาสนาหนึ่งก็ไปทางหนึ่ง เราถือศาสนาหนึ่งก็ไปทางหนึ่ง ก็ทำให้เกิดความเสียหายให้แก่มนุษย์เหล่านั้น ในทางที่ไม่อาจจะได้รับประโยชน์จากการที่รวมกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเป็นมนุษย์คนเดียวกันในโลกนี้ เพื่อทำสันติสุขให้เกิดขึ้นในโลกนี้ นี้เป็นข้อที่ท่านทั้งหลายจะต้องพิจารณาดูให้ดี ว่าโลกเราในเวลานี้มีความแตกแยกกัน ต้องรบราฆ่าฟันกันเบียดเบียนกันเหมือนสัตว์ป่า ก็เพราะเหตุที่เข้าใจว่าคนเรามันต่างกันแต่ละชาติแต่ละศาสนา เป็นเขาเป็นเราเป็นมึงเป็นกู ไม่เคยคิดว่าศาสนาทุกศาสนาสอนให้ทำลายความเห็นแก่ตัว พระศาสดาของทุกศาสนาสอนเหมือนกันหมด ศาสนาทุกศาสนาเป็นของอย่างเดียวกัน สิ่งเดียวกันโดยใจความ คือเป็นเครื่องมือสำหรับกำจัดความเห็นแก่ตัว แก่ทุกๆคนไม่ว่าจะถือศาสนาไหน ถ้าทุกคนไม่มีความเห็นแก่ตัวแล้ว มันก็เป็นคนคนเดียวกันหมดทั้งโลก มันก็เบียดเบียนกันไม่ได้ เดี๋ยวนี้เขาถือศาสนากันในลักษณะที่เพิ่มความเห็นแก่ตัวหรือสร้างความเห็นแก่ตัวให้มากขึ้น คนในโลกจึงมีความเห็นแก่ตัวมากขึ้นจึงได้รบราฆ่าฟันกันเป็นวิกฤติการณ์ถาวรและหนักยิ่งขึ้นทุก และหนักยิ่งขึ้นทุกที ซึ่งจะต้องรอไปอีกนานจนกว่าจะมีความเข้าใจถูกต้องในเรื่องนี้
นี่แหละจงลองพิจารณาดูว่ามันคาบเกี่ยวกันอย่างไร ในระหว่างมนุษย์กับศาสนาและกิเลสที่เป็นเหตุให้ยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกูว่าของกู และเป็นกิเลสที่พุทธศาสนาสอนให้ละเสียก่อนสิ่งอื่นหมด ถึงแม้ศาสนาอื่น เช่น ศาสนาคริสเตียน เป็นต้น ถ้าว่าโดยหลักพื้นฐานข้อสำคัญข้อแรกที่สุดแล้ว ก็สอนให้ลืมตัวเองเสียก่อนแล้วไปเห็นแก่ผู้อื่น สอนให้เห็นแก่ผู้อื่นยิ่งกว่าเห็นแก่ตัว นี้เป็นหลักพื้นฐานข้อแรก ดังนั้นมันก็เป็นการสอนให้ทำลายความเห็นแก่ตัวก่อนสิ่งอื่นใดหมดเหมือนกัน ในศาสนาอิสลามที่เรายังไม่ค่อยจะรู้เรื่องอะไรมากมายนัก แต่ก็อาจจะจับหลักได้ว่าสอนให้ทำลายความเห็นแก่ตัว สอนให้รักผู้อื่น ให้เห็นแก่ผู้อื่น ทำนองเดียวกันด้วยเหมือนกัน นี้สิ่งที่จะต้องคิดให้เห็นว่าเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดมากกว่าศาสนาอื่น เช่น มีกฏหรือระเบียบระบุไว้ชัดแจ้งว่า อย่าคิดดอกเบี้ย ให้ใครยืมเงินก็ให้ยืมไปโดยไม่ต้องคิดดอกเบี้ย คำสอนชนิดนี้ยังหาไม่พบในศาสนาอื่น แต่มีอยู่ในศาสนาอิสลาม การไม่คิดดอกเบี้ยนี้หมายความว่าอย่างไร คิดไปๆก็ไม่เห็นทางอื่นนอกจากจะเห็นไปทางที่ว่าสอนให้รักผู้อื่น ให้เสียสละเพื่อผู้อื่น ให้ช่วยผู้อื่นด้วยใจจริง การที่เราให้เขายืมเงินก็หมายความว่า เราจะช่วยเขา แต่ถ้าเราคิดดอกเบี้ยมันก็ไม่ใช่ให้ยืมเงินมันเป็นการค้าขายบนเขา หรือว่าทำนาบนหลังเขาผู้เสียดอกเบี้ยให้แก่เรา ถ้าจะปฏิบัติตามหลักพระศาสนานี้ก็จะต้องไม่คิดดอกเบี้ย นี้ก็คือความมุ่งหมายที่จะทำลายความเห็นแก่ตัว คือให้รักผู้อื่นอยู่ในตัว อันพอจะมองเห็นได้ว่าเป็นความมุ่งหมายอย่างเดียวกัน ระเบียบปฏิบัติหมด ทั้งหมดในศาสนานั้นก็เพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว ให้รักผู้อื่นหรือให้เห็นแก่ผู้อื่นก่อนที่จะเห็นแก่ตัว
จงพิจารณาดูเถิดในศาสนาที่สำคัญๆของโลก เป็นศาสนาใหญ่ๆที่มีคนนับถือมาก เช่น พุทธศาสนา คริสต์ศาสนา ศาสนาอิสลาม เป็นต้น เหล่านี้ก็ล้วนแต่สอนให้ทำลายความเห็นแก่ตัว แม้ลัทธิศาสนาอื่นๆ ที่ไม่เด่นอย่างนี้ก็ล้วนแต่สอนให้ทำลายความเห็นแก่ตัว แม้แต่คำสอนทางศีลธรรมที่ไม่ยกขึ้นมาเป็นศาสนา เช่น คำสอนของขงจื้อ เป็นต้น ก็ล้วนแต่ระบุความไม่เห็นแก่ตัว ล้วนแต่สอนให้ทำลายความเห็นแก่ตัว เป็นอันว่าหลักในทางพระศาสนาหรือในทางศีลธรรมก็ตาม ล้วนแต่ต้องการทำลายความเห็นแก่ตัวเป็นข้อแรก ดังนั้น พระพุทธศาสนาเราจึงยกเอาสักกายทิฏฐิ คือความเห็นแก่ตัว เห็นว่ากายนี้ของตัวนี้มาเป็นข้อแรกหรือเป็นสิ่งแรกที่จะต้องพยายามละเสีย เราผู้ต้องการจะปฏิบัติในหลักพระพุทธศาสนาจะต้องทำอย่างนี้ ทำเรื่อยๆไปจนหมดแก่ความเห็นแก่ตัวโดยสิ้นเชิง ในการละสังโยชน์และอนุสัยได้หมดสิ้น หมดความเห็นแก่ตัวไม่มีตัวเหลืออยู่จริงๆ เมื่อนั้นแหละจะกลายเป็นคนที่ไม่มีความทุกข์อีกต่อไป คือกลายเป็นคนที่ไม่ตาย ไม่มีตัวตนที่จะต้องตาย ไม่มีความทุกข์เพราะมันไม่มีความหวังอะไร ไม่มีความอยากเหลืออยู่ให้เห็ดหัวเราะเยาะอีกต่อไป หมายความว่าไม่มีความหวังหรือความอยากอะไรเหลืออยู่แม้แต่น้อยนั้นเอง ไม่ได้อยากอยู่ ไม่ได้อยากตายและไม่ได้อยากอะไรทั้งหมด เพราะว่ามันไม่มีตัวกูที่จะอยาก นี่แหละคือความไม่ตาย นี่แหละคือความที่เป็นทุกข์ไม่ได้ ไม่ว่าอะไรๆมันจะเป็นไปอย่างไร จิตใจชนิดนี้มันมีความทุกข์ไม่ได้ ในตัวของตัวก็ไม่มีอาการที่เป็นบ้า หมายความว่าหายโรค โรคบ้า โรคเป็นบ้านี้โดยสิ้นเชิง ไม่มีตัวตนที่จะเหลืออยู่ สำหรับรับรองโรคนี้ โรคนี้ไม่มีที่ตั้งไม่มีที่อาศัยก็เกิดขึ้นไม่ได้ หมายความว่าจิตใจชนิดนี้ไม่เป็นที่ตั้งที่อาศัยของความยึดมั่นถือมั่นซึ่งเป็นโรคบ้า โรคบ้าจึงเกิดขึ้นในจิตใจชนิดนี้ไม่ได้ นี่แหละคือหนทางทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ทุกข์กับเขาไม่เป็น เป็นทุกข์กับเขาไม่เป็น เพราะว่าเป็นบ้ากับเขาไม่เป็น เมื่อเป็นบ้ากับเขาไม่เป็นแล้วก็เป็นทุกข์กับเขาไม่เป็น แม้ว่าโรคนี้จะเต็มไปด้วยคนบ้าหรือจะเต็มไปด้วยความทุกข์อย่างไร จิตใจนี้ก็เป็นบ้าไม่ได้เป็นทุกข์ไม่ได้ เป็นทางออกทางเดียวเท่านั้นไม่มีทางอื่น ที่คนเราจะเป็นทุกข์ไม่ได้เป็นบ้าไม่ได้ คือพยายามศึกษาปฏิบัติจนได้รับผลของการปฏิบัติเป็นธรรมที่ทำลายความยึดมั่นถือมั่นเสียได้ นี้เรียกว่าธรรมะกำมือเดียว ไม่มีเรื่องอื่นอีกแล้วมีแต่เรื่องเดียว แล้วเรื่องเดียวนี้ก็ไม่มากมายอะไร เป็นเรื่องสั้นๆลัดๆ คือ ทำลายความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกูว่าของกูเท่านั้นเอง แต่คนที่ได้รับคำสั่งสอนในข้อนี้ ได้รับมาอย่างที่เป็นเมฆหรือเป็นหมอกเป็นฝ้าบังความจริงจึงมองเห็นเป็นเรื่องมากมายใหญ่โต มันกลับกลายเป็นว่าจะต้องเรียนให้หมดทั้ง ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์บ้าง จะต้องเรียนให้รู้ว่ากี่เรื่อง กี่สิบเรื่อง กี่ร้อยเรื่อง กี่พันเรื่อง จนกระทั่งเวียนหัวไปหมด ไม่หมุนมาสู่เรื่องที่จะทำลายความเห็นแก่ตัวหรือทำลายความรู้สึกว่าตัวกูว่าของกูแต่ประการใด
เพราะเหตุเช่นนี้เองจึงได้ขอร้องแล้วขอร้องอีกว่า จงเป็นอยู่ในลักษณะที่จะกำจัดความเห็นแก่ตัวหรือความมีตัว แล้วประกอบการงานไปตามปกติที่มนุษย์เราจะต้องทำ และในขณะที่ประกอบการงานนั้นจะเป็นโอกาสให้กิเลสเกิดขึ้นสำหรับเห็นแก่ตัว เราก็จะได้มีโอกาสจัดการกับกิเลสข้อนี้คือ ล่อให้มันออกมาด้วยสติสัมปชัญญะแล้วก็ฆ่ามันเสีย ทำประหนึ่งว่ากิเลสนี้เหมือนกับเหยื่อที่เราจะจับมาฆ่าเสียให้ตาย เรามีอาการเหมือนกับเสือที่ซุ่มอยู่ในที่ที่เหมาะสมสำหรับที่จะจับเหยื่อ ไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่านั้น พระพุทธเจ้าท่านเปรียบภิกษุว่าเหมือนกับเสือ แล้วก็ซุ่มอยู่ในป่าคือสติหรือสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้เรียกว่า สตินี้เปรียบเหมือนป่า เสือจะต้องอาศัยอยู่ในป่า ซุ่มอยู่ในป่า ซ่อนอยู่ในป่าให้เหมาะๆ จึงจะจับเหยื่อ คือกิเลสได้ ขาดสติเมื่อใดก็ไม่มีป่า เสือออกมาเห็นทนโท่ และเสือนั่นแหละจะถูกยิง ถูกฆ่าตายเสียเอง แต่ถ้าเสือมีป่าที่ดี คือมีสติที่ดี เสือก็จะเป็นฝ่ายที่ซุ่มอยู่แล้วก็จับกิเลส ซึ่งเป็นเหยื่อนั้นได้โดยง่ายดาย คนบ้าไม่มีสติ คนบ้าเป็นคนที่ไม่มีสติ เมื่อทำตัวเป็นคนบ้าเสียแล้วมันก็ไม่มีสติ จึงมีอาการเหมือนกับเสือที่ไม่มีป่าจะอยู่ เหมือนกับเสือที่ไม่มีป่าจะซุ่ม จะซ่อน มันก็หมดความเป็นเสือ หรือไม่สามารถจะทำหน้าที่ของเสือ ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ก็เรียกว่าผู้ปฏิบัติเหมือนๆกัน คืออยู่ในลักษณะที่จะต้องเป็นเสือด้วยกัน ในเมื่อมีเหยื่อคือกิเลสที่จะต้องฆ่าจะต้องทำลายด้วยแล้ว ก็จะต้องใช้วิธีเหมือนๆกัน คือ เป็นอยู่ด้วยสติจริงๆ เดี๋ยวนี้ชอบเป็นคนบ้า เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้ มากลายเป็นคนบ้าไปเสียทั้งวันทั้งคืนอย่างนี้ ก็คือไม่มีสติ จึงเป็นเหมือนกับเสือที่ไม่มีป่าที่จะซุ่มสำหรับจับเหยื่อคือกิเลสแล้วจะไปโทษใคร สิ่งที่เป็นกิเลสคือ ตัวกูของกูนั้นมันก็แพร่หลายมาก มันก็ออกลูกออกหลานมากมาย จนยากที่จะปราบมันได้หรือกำจัดมันได้ เรามามองดูกันให้ดีในเรื่องนี้มองดูกันเสียใหม่ในเรื่องนี้ ว่าเรายังมีความประมาทอย่างไร มีความบกพร่องอย่างไร หรือว่าดีแต่พูดไม่มีการกระทำ หรือว่ามีแต่การกระทำแต่กระทำอย่างคนบ้า คือกระทำโดยขาดสติสัมปชัญญะนั่นเอง ถ้ามัวแต่เป็นกันอยู่อย่างนี้ มันก็ต้องตายอยู่ตลอดเวลา คือมีความทุกข์อยู่ตลอดเวลา เปรียบเหมือนกับตายอยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องมีความตายที่อื่นหรือที่ไหนเข้ามาเลย มันก็ตายอยู่เองข้างใน อยู่ในภายในนั้นตลอดเวลาไม่ต้องมีปัญหาว่าทำอย่างไรจึงจะอยู่ในโลกนี้ได้โดยไม่ต้องมีความทุกข์ เพราะว่าได้ทำให้เกิดความทุกข์เสียเองแล้ว เป็นความทุกข์ที่เกิดอยู่ในภายในของตนอย่างท่วมท้นอยู่แล้ว ทำไมจะมาถามไปถึงข้อที่ว่าทำอย่างไรจึงจะอยู่กับเขาได้โดยไม่ต้องเป็นทุกข์ ในเมื่อตัวเองมีความทุกข์เป็นเจ้าเรือนเสียแล้ว นี่แหละคือข้อที่ต้องระวังให้ดี จงชนะตัวเองให้ได้หรือว่าให้ได้ก่อน มันจึงจะชนะโลกนี้ได้ โลกนี้จะทำให้เรามีความทุกข์ไม่ได้ ถ้าหากว่าเราชนะตัวเองเสียก่อน ชนะตัวเองในที่นี้ก็คือชนะตัวกูของกู ที่ยกหูชูหางเหมือนกับที่กล่าวมาแล้ว ชนะตัวกูของกูให้ได้เสียก่อน แล้วโลกนี้ทั้งโลกก็ไม่มีปัญหาอีกต่อไป ไม่มีอะไรมาทำให้เป็นทุกข์ได้ เพราะว่าสิ่งที่มันจะเป็นทุกข์ขึ้นมาในภายในก็คือตัวกูของกู สิ่งที่จะรับเอาความทุกข์ในภายนอกเข้ามาสู่ภายในมันก็คือตัวกูของกู ตัวกูของกูนี้มันสร้างความทุกข์ขึ้นมาในภายในก็ได้ รับความทุกข์เข้ามาจากภายนอกก็ได้ งั้นจะต้องจัดการกับสิ่งนี้ก่อนสิ่งใดหมด ฟังดูแล้วก็น่าขันที่ว่าเราจะชนะโลกทั้งโลกได้ ก็โดยจัดการกับตัวกูของกูที่อยู่ข้างใน มันน่าขันหรือไม่น่าขันลองคิดดู เราจะชนะโลกทั้งโลกได้ ไม่มีปัญหา ไม่มีความทุกข์อะไรขึ้นมานี้ ต้องจัดการกับตัวกูของกูที่อยู่ข้างใน ไม่ใช่ไปจัดการกับโลกข้างนอกหรือโลกภายนอกนี้มันน่าขันหรือไม่น่าขัน ถ้ายังรู้สึกว่าน่าขันก็เพราะ เป็นเพราะไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจคือคนบ้า ถ้าเลิกเป็นคนบ้าก็ต้องเข้าใจ ถ้าเข้าใจก็ไม่เห็นว่าเป็นของน่าขัน แต่เห็นว่ามันเป็นความจริงอย่างนั้น มันเป็นความจริงอย่างนั้น เห็นชัดอยู่ว่ามันเป็นความจริงอย่างนั้น จะต้องหมายมั่นปั้นมือเพื่อจะละเสีย ซึ่งสิ่งที่จะต้องละในภายใน สิ่งที่เป็นต้นเหตุหรือตัวการที่มีอยู่ในภายใน แล้วอะไรๆมันก็จะเป็นการละไปหมด เพราะว่าในภายในไม่ตั้งอยู่ในฐานะที่จะรับเอาอะไรๆเข้ามาปรุงแต่งเป็นความยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไปแล้ว นี่แหละคือการกระทำชนิดที่จะช่วยตัวเองให้รอด คำว่าช่วยตัวเองให้รอดนี้ ฟังดูก็น่าฉงนอีกเหมือนกัน ไม่มีตัวกูไม่มีของกูแล้วจะช่วย ใครจะช่วยใครแล้วจะช่วยไปทำอะไร ถ้าไม่มีตัวกูของกูแล้วจะช่วยไปทำอะไร คำว่าตัวนี้มันเป็น ๒ ตัวอยู่ ถ้าว่าตัวกูนั้นมันเป็นตัวกูของคนบ้า คือของกิเลสตัณหา ส่วนที่ว่าช่วยตัวให้รอดนั้นมันเป็นตัวที่ไม่ใช่เป็นตัวบ้า แต่มันเป็นตัวของธรรมะเอาธรรมะเป็นตัว ช่วยจิตใจมีธรรมะเป็นตัว อย่าเอากิเลสตัณหาเป็นตัวนี้ มันก็มีเรื่องเพียงเท่านี้ในการที่จะช่วยตัว คือช่วยให้จิตใจนี้ได้มีธรรมะเป็นตัวอย่ามีกิเลสตัณหาเป็นตัว ถ้าจะเรียกว่าธรรมะด้วยกันก็ให้เอาธรรมะประเภทที่ไม่เป็นกิเลสนั้นมาเป็นตัว อย่าเอาธรรมะประเภทที่เป็นกิเลสนั้นมาเป็นตัว ละธรรมะประเภทกิเลสเช่น สักกายทิฏฐิ เป็นต้น ออกไปแล้วก็ได้ความไม่เห็นแก่ตัวเข้ามา ความไม่เห็นแก่ตัวนี้เป็นธรรมะ เมื่อเข้ามามีอยู่ในใจแล้วใจนี้ก็เป็นตัวชนิดที่จะไม่เป็นทุกข์ ที่เรียกว่าช่วยตัว ถ้าเราเรียกว่าช่วยตัว พูดว่าช่วยตัว ก็หมายความว่าตัวชนิดนี้ ตัวกูของกูนั้นอย่าไปช่วยมันเลย อย่าเอาไว้เลย อย่าไปรักษาไว้ อย่าไปสงวนไว้ อย่าไปถนอมไว้เลย มันเป็นตัวกูของกิเลสตัณหา จะต้องกำจัดให้สูญสิ้นไป ส่วนตัวธรรมะหรือธรรมชาติที่บริสุทธิ์นี้ จะต้องทำให้ปรากฏออกมา ให้เข้าถึงจิตใจ ให้จิตใจมีธรรมะชนิดนี้ แล้วก็เป็นตัวที่เรียกว่ารอดตัวหรือหลุดพ้นออกไปได้จากความทุกข์ ตัวชนิดนี้ไม่เห็นแก่ตัว ตัวชนิดนี้ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นถือมั่น เพราะเป็นธรรม เป็นธรรมะ เป็นธรรมชาติโดยบริสุทธิ์ หรือเป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ไม่มีความโง่ ความหลงอยู่ในนั้น ดังนั้นมันจึงไม่ยึดมั่นถือมั่นตัวว่าเป็นตัว ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรว่าเป็นตัว นี้เรียกว่าหลุดรอดออกมาได้จากความยึดมั่นถือมั่นนั่นเอง จิตใจที่มีธรรมะชนิดนี้ หลุดรอดออกมาได้จากความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัว ที่พูดว่าจิตหลุดพ้นไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดด้วยอุปาทาน ก็หมายถึงจิตที่บรรลุถึงธรรมะชนิดนี้ การปฏิบัติธรรมะทั้งหมดมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ตรงนี้ คือทำจิตให้หลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นนั่นเอง จิตที่หลุดพ้นชนิดนี้ก็คือจิตที่ไม่บ้า ไม่มีกิลเลส ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ร่างกายก็พลอยเป็นไปตามจิตชนิดนี้ คือไม่เป็นร่างกายที่ลุกขึ้นเต้นเร่าๆ อยู่อย่างคนบ้า จิตก็ไม่เป็นบ้า ร่างกายก็ไม่เป็นบ้า อะไรๆก็ไม่เป็นบ้า คือไม่ประมาท ไม่มีกิเลส ไม่มีความโง่ ไม่มีความหลง เรื่องก็จบกันสิ้นสุดกันที่ตรงนี้ ไม่มีปัญหาอะไรต่อไป แม้ว่าคนทั้งโลกจะเป็นคนบ้ากันหมด เหลือแต่คนคนนี้คนเดียวก็ไม่มีปัญหาอะไร แม้ว่าความทุกข์หรือความตายจะระดมทุ่มเทกันลงมาในโลกนี้เพราะการกระทำของคนบ้าเหล่านั้น ความทุกข์หรือความตายก็ไม่ผูกกันเข้ากับจิตใจที่หลุดพ้นแล้วอย่างนี้ นี่แหละคือวิธีหรือลักษณะอาการที่เป็นความรอดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงที่จะเกิดขึ้นในโลก ซึ่งนับวันแต่จะมากไปด้วยกิเลสตัณหามากขึ้นทุกทีดังที่กล่าวแล้ว เราจะรอให้โลกนี้หมุนกลับไปสู่ความสงบโดยลำพังของโลกเองนั้น มันก็ไม่ไหว มันยังอีกนานนัก เราตายแล้วตายอีกกี่ร้อยชาติมันก็ยังจะไม่ถึงยุคแห่งความสงบนั้นด้วยซ้ำไป มันต้องจัดการกันที่นี่และเดี๋ยวนี้ให้จิตใจกลายเป็นสิ่งที่มีความทุกข์ไม่ได้อีกต่อไป โลกนี้จะเป็นอะไรก็เป็นไป แต่ว่าจิตใจนี้ทุกข์กับเขาไม่เป็นก็พอแล้ว ทุกข์กับเขาไม่ได้ก็พอแล้ว ถ้าเรียนธรรมะในพระพุทธศาสนาก็จงเรียนเพื่อความเป็นอย่างนี้เถิด ถ้าจะปฏิบัติธรรมะในพระพุทธศาสนาก็จงปฏิบัติเพื่อความเป็นอย่างนี้เถิด ถ้าได้บรรลุธรรมะอะไรในการปฏิบัตินั้นก็ให้ได้บรรลุธรรมะคือความเป็นอย่างนี้เถิด อย่าให้เป็นอย่างอื่นเลย จงระมัดระวังรักษาสิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเราให้ดี ไม่ว่าทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย หรือทางใจ เกิดขึ้นอย่างไรเมื่อไรก็ต้องมีสติที่เพียงพอ สำหรับจะไม่ให้เผลอตัวปรุงขึ้นมาเป็นความยึดมั่นถือมั่น เป็นผู้ปฏิบัติชนิดที่ให้เข้าถึงธรรมชาติอันบริสุทธิ์ คือธรรมชาติที่ปราศจากความยึดมั่นถือมั่นอยู่ตลอดเวลา ทำตนเป็นคนไม่ยึดมั่นถือมั่นอย่างเดียวก็พอแล้ว สิ่งใดเป็นความยึดมั่นถือมั่นก็ศึกษาให้เข้าใจ แล้วอย่าให้สิ่งชนิดนี้เกิดขึ้นมาได้ ให้อยู่ในอาการปกติตามธรรมชาติที่บริสุทธิ์มาแต่เดิม นี่คือสติหรือผลของการใช้สติ ระวังไม่ให้เกิดการปรุงแต่งใหม่ๆขึ้นมา ที่เรียกว่ากิเลสตัณหาและความทุกข์ นี้ไม่ใช่ธรรมชาติเดิม ไม่ใช่ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ เป็นของใหม่ปรุงแต่งขึ้นมาด้วยความเผลอสติ ด้วยความโง่ความหลง ธรรมชาติเดิมหรือธรรมชาติที่บริสุทธิ์นั้น คือคงอยู่ตามเดิมปรุงไม่ได้ ปรุงแต่งไม่ได้ ปรุงแต่งไม่ขึ้น คือยุไม่ขึ้น ไม่ปรุงแต่งเป็นความโลภความโกรธ ความหลง หรือไม่ปรุงแต่งเป็นความยึดมั่นถือมั่นอย่างนั้นอย่างนี้ มีสติแต่ในเพียงข้อนี้ก็เรียกว่าพอแล้วสำหรับที่จะมีเครื่องคุ้มครองอันแท้จริง เป็นธรรมะกำมือเดียวตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส ไม่เหลือวิสัย ไม่มากมายเกินไป มีอยู่แต่ถือเอาให้ถูกต้อง ปฏิบัติให้ทันท่วงที ทุกๆโอกาสที่กิเลสอาจจะเกิดขึ้นมา ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ ดังที่กล่าวแล้ว
เท่าที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ สรุปความแล้วก็เพื่อจะปรารภแก่ท่านทั้งหลายทุกคน ว่าเรามีชีวิตอยู่ในวันนี้ คืออยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยคนบ้า หมายความว่าเต็มไปด้วยอันตราย พอได้ยินว่าคนบ้ามา แล้วบางคนก็อกสั่นขวัญหาย มีความกลัว มีความทุกข์ ทีนี้เมื่อเราจะอยู่รวมกันกับคนในโลกที่กำลังไม่เดินตามทางของพระศาสนานี้ได้อย่างไร เราก็ต้องทำชนิดที่รู้จักแยกตัวมาเสีย ไม่ให้สิ่งต่างๆมาเกี่ยวข้องด้วยได้ คือไม่รับเอานั่นเอง แม้แต่ความตายหรือความทุกข์ก็เข้ามาไม่ได้ แม้ความตายหรือความทุกข์จะเข้ามามันก็ครอบงำไม่ได้ ปัญหาต่างๆไม่มีเหลืออยู่เกี่ยวกับ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย หรือความอะไรๆทั้งหลายเหล่านั้น เพราะจิตใจมันไม่รับเอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นของตัว ไม่รับเอาความเกิดมาเป็นความเกิดของเรา ไม่รับเอาความแก่มาเป็นความแก่ของเรา ไม่รับเอาความตายมาเป็นความตายของเรา มันก็ไม่มีความเกิด ความแก่ หรือความเจ็บ หรือความตาย นี่แหละเป็นหนทางทางเดียวที่จะล้ออายุได้ หัวเราะเยาะอายุได้ หรือตะเพิดอายุให้สูญหายไป ไม่มีปัญหาเรื่องอายุหรือเวลาอีกต่อไป เรียกว่าเป็นผู้อยู่เหนืออายุหรือเหนือเวลา ถ้ามีอายุก็เป็นอายุตลอดอนันตกาลไม่มีที่สิ้นสุด คือไม่ตาย เป็นเรื่องที่ควรจะเอามาพูดกันในวันที่ปรารภถึงอายุ เช่น เป็นวันสำหรับอาตมาจะต้องนึกถึง และนำมาพูดปรารภแก่ท่านทั้งหลาย เรียกว่าเป็นการล้ออายุ ถ้าล้อได้จริงก็เป็นการได้บุญและการทำบุญนี้ก็คือการทำบุญล้ออายุ ถ้าท่านผู้ใดเห็นด้วยก็จงจำเอาวิธีนี้ไป สำหรับจะล้ออายุของท่านทั้งหลายหรือของผู้นั้นโดยผู้นั้นเองก็คงจะเป็นการสนุกดี ดีกว่าจะมัวไปต่ออายุด้วยความขี้ขลาด เพราะมีปัญหาเรื่องความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายอันไม่รู้จักสิ้นสุด มาศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจจนกระทั่งล้ออายุหรือล้อความตายได้แล้ว เรื่องก็จะหมดกันทีจะสิ้นจะสุดกันที เวลาที่ล่วงมาปีหนึ่งนี้ สังเกตุได้เท่านี้เห็นได้เท่านี้ รู้สึกได้เท่านี้ เท่าที่สรุปมาบรรยายให้ท่านทั้งหลายฟัง ถ้ามีประโยชน์ก็จงจำเอาไป สำหรับจะได้เอาไปใช้ดูบ้าง ในการที่จะเผชิญหน้ากันกับความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย และเอาชนะมันให้ได้ ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ และพบพระพุทธศาสนา เรียกตัวเองว่าพุทธบริษัท ปฏิบัติหน้าที่ของพุทธบริษัทมาแล้วเป็นเวลาหลายปีหรือหลายสิบปีด้วยกันทุกๆคน ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา ขอยุติลงแต่เพียงนี้ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ สาธุ