แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
.พูดเรื่องเกี่ยวกับธรรมะนี้ แต่บางทีไม่เรียกว่า ธรรมะ มันไปเรียกชื่ออื่น เรื่องอะไรที่เราพูดทุกเรื่อง มันก็คือธรรมะทั้งนั้นเลย ไม่ว่าจะพูดว่าอะไรหรือเรื่องอย่างไร แต่บางทีเราใช้คำอื่นไม่ใช้คำว่าธรรมะ เพราะคำว่า ธรรมะ หมายความมากอย่างที่เคยพูดมาแล้วหลายครั้งหลายหน ธรรมะหมายถึงทุกสิ่ง แบ่งเป็น ๔ หมวด ธรรมชาติ กฏธรรมชาติ หน้าที่ตามธรรมชาติ ผลตามธรรมชาติ เดี๋ยวนี้มนุษย์มันเจริญขึ้นในทางภาษา ก็เลยมีคำใหม่ๆ แปลกๆ ให้ชื่อกับสิ่งเหล่านี้ จนเราวนเวียนหรืองงไปหมด
อยากจะพูดถึงไอ้สิ่งที่เรียกว่า วัฒนธรรม นี่ดูบ้าง เพราะว่าสิ่งนี้กำลังจำเป็นที่สุดในโลกเวลานี้ ที่มันจะล่มจมหรือว่ามันจะอยู่กันผาสุก ไอ้สิ่งที่เรียกว่า วัฒนธรรม นี้ ที่ถูกมันควรจะเรียกอย่างอื่นหรือเรียกว่าอะไรมากกว่า แต่เขาก็เรียกกันว่า วัฒนธรรมมาแล้ว ก็นับว่าถูกมากอยู่เหมือนกันน่ะคำนี้ แปลว่า ธรรมะที่ทำความเจริญ โดยตัวหนังสือมันเป็นอย่างนั้น แต่ที่นี้ไอ้คำว่า เจริญ นี่มันดิ้นได้หลายความหมาย เจริญผิดก็เรียกว่า เจริญ เจริญถูกก็เรียกว่า เจริญ นั้นมันจึงมี วัฒนธรรมจริง และ วัฒนธรรมเท็จขึ้นมาเวลานี้ในโลก แม้ว่ามันจะเป็นวัฒนธรรมเท็จ แต่ถ้าคนไม่รู้ก็ต้องถือว่าเป็นวัฒนธรรมจริงหรือวัฒนธรรมดีนั่นแหละ แล้วก็ไปหลงวัฒนธรรมเท็จโดยไม่รู้สึกตัวอย่างนี้เข้า คนเราก็ต้องเจริญไปในทางที่เป็นทุกข์ เจริญไปในทางที่เป็นทุกข์ นี่คิดดูเถอะ มันไม่ควรจะเรียกว่าเจริญ แต่เขาก็ต้องเรียกกันว่าเจริญ เจริญในทางที่เป็นทุกข์ อย่างผมรู้สึกว่ามันเลวลงอย่างนี้ แต่เขารู้สึกกันว่ามันดีขึ้นแม้ว่าจะเจริญไปในทางที่เป็นทุกข์ นั้นถ้าพระ เณร เป็นผู้หลง เป็นผู้ลืมตัวไปอีกพวกหนึ่งละก็ มันหมดเลย มันจะไม่มีเหลือ ที่จะอยู่ในความถูกต้องของธรรมะที่ดับทุกข์
ไอ้คำว่า วัฒนะ วัฒนะ นี่ ในภาษาบาลีมันมีความหมายแต่เพียงว่า มากขึ้น เจริญ คือ มากขึ้น เขาไม่ได้หมายว่ามากขึ้นแต่ในทางดีอย่างเดียว ถ้ามันมากขึ้นแม้ในทางเลวเขาก็เรียกว่า วัฒนะ ด้วยเหมือนกัน ก็เป็นคำธรรมดาอยู่มาก เช่นคำว่า ทำโลกให้เจริญนี้ เป็นสิ่งที่เราคิดว่าดี แต่กลับมีพุทธภาษิต หรือว่าไม่ใช่พุทธภาษิตก็ตาม ในพระไตรปิฏกนั่นว่า อย่าทำโลกให้เจริญ ตามตัวหนังสือเป็นอย่างนั้น คืออย่าทำโลกให้รก ให้มากไปด้วยไอ้ของที่มันไม่มีประโยชน์ โลกวัฑฒโน นี้แปลว่าทำโลกให้รก ไม่ใช่ทำโลกให้เจริญอย่างที่เรานึกกัน นั้นจึงห้ามไว้ว่า น สิยา โลกวฑฺฒโน อย่าเป็นคนทำโลกให้รก เดี๋ยวนี้เขาแปลขึ้นใหม่ว่า รกโลก ก็ดี อย่าเป็นคนรกโลก นี้คำว่า รกโลก ภาษาบาลีมันว่า โลกวัฑฒโน ทำโลกให้วัฒนะ
นั้นวัฒนธรรมเดี๋ยวนี้ มันมีแต่วัฒนธรรมที่ทำโลกให้รก ให้รก ระเกะระกะ ไปด้วยสิ่งกีดขวาง ยกตัวอย่างว่าบ้านหนึ่งต้องมีตู้เย็น ต้องมีวิทยุ ต้องมีโทรทัศน์ ต้องมีอะไรอีกที่เขานิยมกันมากๆ เดี๋ยวนี้ นี่ก็อยู่ในพวกที่ว่าทำให้บ้านรก คือบ้านเจริญน่ะคือบ้านรก สิ่งเหล่านี้เกะกะ ไม่มีความจำเป็น แล้วก็ทำยุ่งวุ่นวายเพราะสิ่งเหล่านี้ หรือกระทั่งว่ามันเลวลงในทางศีลธรรมก็เพราะเหตุสิ่งเหล่านี้ อย่าทำโลกให้รก อย่าทำบ้านให้รก กระทั่งว่าอย่าทำตัวเองให้มันรก รกไปด้วยกิเลสนี้ ก็ใช้คำว่า วัฒนะ ทั้งนั้น เถอะดูมันให้ดีๆ ไอ้คำว่า วัฒนธรรม เท่าที่เราพบจะพบได้ หรือค้นพบได้ในเรื่องราวในพระคัมภีร์ทางอินเดียโดยตรง เขาไม่ได้ใช้คำว่า วัฒนธรรม กันหรอก เขาใช้คำว่า ธรรม นี่แหละ คำว่า ธรรม เฉยๆ เขาก็หมายถึงวัฒนธรรมส่วนนี้ คำว่า ธรรม มันหมายได้หลายระดับ อยู่ในพวกที่ว่าคู่กันกับศีล มีศีลแล้วก็มีธรรม ถ้าศีลก็เป็นเรื่องบังคับ ถ้าธรรมก็เป็นเรื่องที่ไม่บังคับ เป็นแต่ความนิยม นี้ทีแรกที่ว่ามนุษย์มันจะรู้สึกในทางวัฒนธรรม มันก็เนื่องมาจากความจำเป็นบังคับ เมื่อมันอยู่กันไม่ผาสุกแล้วมันก็ต้องทนอยู่ไม่ได้ ต้องคิดแก้ไข นั้นการคิดแก้ไขนี่เป็นเหตุให้พบว่าควรทำอย่างนั้น ควรทำอย่างนี้ แล้วก็บัญญัติว่าเป็นธรรมะขึ้นมา ถ้าเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง ต้องใช้อำนาจบังคับ มันก็เป็นธรรมะประเภทบังคับ ถ้าไม่ถึงขนาดนั้นก็เรียกว่าธรรมะประเภทไม่บังคับ เดี๋ยวนี้เรามาเรียกไอ้ที่ประเภทบังคับว่า ศีล ว่า กฏหมาย แต่ก่อนเขาก็เรียกว่า ธรรม แต่มันประเภทที่บังคับ
นั้นคำว่า ธรรม นี้มันเก่าแก่ เก่าแก่ไม่รู้ว่ากี่พันปี กี่หมื่นปี ในภาษานี้คือภาษาของชาวอินเดีย มันเก่าแก่มากที่สุด แล้วก็ไม่เคยเปลี่ยนจนกระทั่งบัดนี้ เดี๋ยวนี้ชาวอินเดียก็ยังใช้คำว่าธรรม มีธรรม ชอบใจธรรม ใช้คำว่า ธรรม อยู่เสมอ ทีนี้ไอ้คนเราสมัยนี้ มันแยกคำว่า ธรรม ประเภทที่เรียกว่า วัฒนธรรม แยกตัวออกมามาก เพราะว่ามันเดินไปตามทางวัตถุมากขึ้น นั้นวัฒนธรรมนี้ต้องแยกตัวออกไปมากขึ้น สังเกตดู เมื่อสมัยก่อนโบราณแท้ๆ ในอินเดียเรียกว่า ธรรม ประเภทไม่บังคับนี่ มันเป็นอย่างธรรมดาพื้นๆ ก็มี อย่างสูงไปกระทั่งถึงทางจิต แล้วก็สูงสุดจนบรรลุนิพพานก็มี เขาเรียกว่า ธรรม เท่านั้นเองไม่เรียกว่าศาสนา คำว่า ศาสนา มาเรียกทีหลัง เขาเรียกว่า ธรรม อยู่นี่ เช่น ธรรมะของสมณะโคดม เราชอบใจ ธรรมะของพระสมณะโคดม หรือว่าเราชอบใจธรรมะของ นิครนถ์ นาฎบุตร เขาใช้คำว่า ธรรม เหมือนกัน ไม่ได้ใช้คำว่า ศาสนา นี่แสดงว่าคำว่า ธรรม นี้มันหมายความตั้งแต่ ศีล คือ ธรรมที่บังคับ แล้วก็มาถึง ธรรมประเภทที่ไม่บังคับ เช่นวัฒนธรรมทั่วๆ ไป กระทั่งวัฒนธรรมสูงสุด คือทำให้คนบรรลุถึงความสุขอันสูงสุดในทางจิตใจที่เรียกว่ามรรคผล นิพพาน นั้นเรื่องมรรคผลนิพพานนี้ก็เป็นเรื่องวัฒนธรรม ถ้าเมื่อกล่าวตามประวัติศาสตร์หรือ ตามอะไรไอ้ที่มันเป็นมาตามธรรมชาติ นี่มันเป็นวัฒนธรรมอันหนึ่ง เราเพิ่งมาบัญญัติเป็น ศาสนา เป็น พุทธศาสนากันเมื่อเร็วๆ นี้ หรือเป็นศาสนานั่น ศาสนานี่ นี่มันมีใช้แต่ในภาษาไทย ในภาษาอินเดียเขาเรียกธรรมของคนนั้น ธรรมของคนนี้ ธรรมลัทธินั้น ธรรมนิกายนี้ ไปตามเรื่อง
ทีนี้อยากจะพูดในข้อที่ว่า พูดเป็นพิเศษในข้อที่ว่า มันน่าประหลาดที่ว่าไอ้ธรรม หรือวัฒนธรรมทางจิต ที่เป็นไปไกลเป็นไปสูงนี่ มันมีอยู่ในกลุ่ม กลุ่มเดียว คือในทวีปเอเซีย ตรงที่เป็นประเทศอินเดีย เปอร์เชียหรือยิวถึงปาเลสไตน์เป็นที่สุด นี่ถ้าเอาไอ้เรื่องปัจจุบันนี้เป็นหลักนะ หลักฐานเท่าที่มันมีเหลืออยู่เวลานี้ ธรรมะที่สอนถึงออกไปเหนือวิสัยธรรมดาเหนือโลก มันพบแต่อย่างจีน อย่างเล่าจื๊อ อย่างอินเดีย อย่างพระพุทธศาสนา หรือ ศาสนาอื่นที่ใกล้เคียงกัน แล้วก็พวกเปอร์เชียที่พูดถึงเรื่องหนทางที่ไปไกลลิบไปเหมือนกันของพวกโซโรสเตอร์ แล้วก็ของยิว ปาเลสไตน์ที่มาเป็นคริสเตียนที่หลังนี่ ผมถือว่าคัมภีร์ของพวกยิวฉบับแรกที่เอามาจัดไว้เป็นฉบับแรกในไบเบิล คือ เยเนซิส(นาทีที่ ๑๔.๒๕) นั่นเป็นเรื่องโลกุตตระทัดเทียมกัน แต่ว่าพวกคริสเตียนไม่รู้ไม่เข้าใจ ไม่ถือเป็นอย่างนั้น พวกยิวจะเคยถือมาแล้วก็ได้ ว่ากินผลไม้ต้นที่ ๑ มันก็ต้องมีบาป เป็นทุกข์ไปตลอดกาล เป็นบาปถาวร เป็นทุกข์ถาวรตลอดกาล แต่ถ้ากินผลไม้ต้นที่ ๒ ก็เป็นชีวิตนิรันดร เป็นชีวิตนิรันดร คือไม่รู้จักตายอีกต่อไป
แต่แล้วในคัมภีร์มันเขียนชัดว่ามนุษย์ไม่ประสบความสำเร็จในการได้กินผลไม้ต้นที่ ๒ มนุษย์ประสบความสำเร็จเพียงกินผลไม้ต้นที่ ๑ จึงมีบาปตลอดกาล มีทุกข์ตลอดกาล แล้วพระเจ้าก็หวงห้ามเด็ดขาดจนมนุษย์กินไม่ได้สำหรับผลไม้ของต้นที่ ๒ ไปอ่านดูโดยรายละเอียด เพราะพระเจ้าเห็นว่ามนุษย์นี่มันดื้อจนไปกินผลไม้ต้นที่ ๑ เข้าได้แล้ว เดี๋ยวมันก็จะไปกินต้นที่ ๒ เข้า ก็เลยหวงห้ามเด็ดขาด ไอ้ต้นที่ ๒ สร้างเทวดาถือดาบแกว่งอยู่รอบต้น เฝ้าพิทักษ์รักษา และก็ไม่ปรากฏว่ามนุษย์ได้กิน เรื่อยมาจนถึงสมัยพระเยซู สอนเรื่องที่ว่าให้มนุษย์ไม่มีตัวนี้ แล้วก็สอนมากหลังจากพระเยซูตายแล้วในโครรินเที่ยน(นาทีที่ ๑๖.๐๖) พวกนี้ อย่างที่ผมเอามาพูดให้ฟังอยู่เสมอ มีอะไรก็ให้เหมือนกับไม่มี มีลูก มีเมีย มีทรัพย์สมบัติมีสุขมีทุกข์มีอะไรก็ตามให้เหมือนกับไม่มีซื้อของที่ตลาดอย่าเอาอะไรมานะ มันก็เป็นพวกโลกุตระเหมือนกัน นั้นมันไม่ไปถึงยุโรป ไอ้ความฉลาดอันนี้มันไม่ไปถึงยุโรป มีแต่ในเอเชีย แล้วจุดศูนย์กลางจะต้องอยู่แถวอินเดียเพราะเป็นที่รวมของลัทธิ หรือว่าเป็นประเทศที่มันคนเล่นในทางนี้กันมาก ให้ถือว่าไอ้แหล่งวัฒนธรรมทางจิตที่สูงสุดมันอยู่ตรงนี้ ซึ่งควรจะถือเอาประเทศเปอร์เชียอะไรก็ตาม ไอ้บริเวณนี้เป็นจุดกลาง คำสอน อย่างของเล่าจื๊อก็ไม่ใช่เล่น อยู่เหนือความรู้สึกสามัญของมนุษย์ธรรมดาสามัญเหมือนกัน นี่มนุษย์มันไปไกลทางจิตใจอย่างนี้ถึงขนาดนี้ แต่แล้ววัฒนธรรมอันนี้มันสลาย หรือมันเหนื่อย หรือมันสลายไป เพราะว่ามนุษย์หันมาไอ้ทาง วัฒนธรรมรกโลก นี่มากขึ้น คือวัฒนธรรมที่เอียงมาทางวัตถุของชาวบ้านธรรมดาสามัญนี่ หรือไอ้ที่เรียกว่าไอ้กินผลไม้ต้นที่ ๑ นี่มากขึ้น ไอ้วัฒนธรรมกินผลไม้ต้นที่ ๒ ของยิวนั้นมันหายไปเสีย จนกระทั่งพวกอินเดียเองก็ยังไม่รู้จัก หรือพวกยิวในปัจจุบันมันก็ยังไม่รู้จักว่า ผลไม้ต้นที่ ๒ นั้นคืออะไร กินแล้วไม่รู้จักตาย กินแล้วไม่รู้จักตายชีวิตนิรันดร
ทีนี้กระทั่งว่าในประเทศอินเดียเอง ในประเทศจีนเองมันก็เริ่มสลายตัวลง เพราะว่าเด็กๆ เกิดมาทีหลังนี่มันเป็นผู้ที่ว่าถูกทำให้หลงไหลในทางวัตถุมากขึ้นนั่นเอง นั้นเราจึงถือว่าไอ้วัฒนธรรมแท้ๆ วัฒนธรรมจริงๆ ที่มันทำให้เจริญจริงๆ ไปจนสูงสุดนี้มันถูกละเลยไปเสีย ที่นี้วัฒนธรรมเทียมวัฒนธรรมเท็จนี่มันมีมากขึ้น เจริญขึ้น เจริญขึ้นๆๆ ให้มนุษย์ไปเป็นทาสของวัตถุในที่สุด นั้นถ้าเขาพูดกันสมัยนี้นะ ปัจจุบันนี้นะถ้าจะแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างชาติกัน ระหว่างชาตินั้นชาตินี้ในโลกนี้ คือวัฒนธรรมทางวัตถุ วัฒนธรรมที่ให้เป็นทาสของวัตถุมากขึ้น รัสเซียจะแลกกับอเมริกา อเมริกาจะแลกกับรัสเซียก็ล้วนแต่เป็นวัฒนธรรมวัตถุ ที่จะให้เป็นทาสทางวัตถุมากขึ้นๆ คำว่า วัฒนธรรมมันกลายเป็นเครื่องมือสำหรับทำโลกให้รก อย่างดีที่สุดเท่านั้น แล้วก็ทำโลกให้ฉิบหายในที่สุดเลย วัฒนธรรมนี่จะทำโลกให้ฉิบหายในที่สุด คือความเป็นทาสทางวัตถุ นี่โลกกำลังจะฉิบหายเพราะวัฒนธรรมที่กำลังนิยมกันอยู่นี้ เว้นไว้แต่จะเปลี่ยนเสียเท่านั้น ถ้าเผอิญมันมีอะไรมันมาทำให้วกเปลี่ยนไปเสียมันก็รอดตัวไป แต่ถ้ามันยังเดินแนวนี้อยู่เรื่อยมันจะฉิบหาย คือมันจะไปสู่จุดที่เราเรียกกันว่า มิกสัญญี หรือ ไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลกนี้กันแน่นอน
ไอ้ความเมาวัตถุนี่ เอร็ดอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางผิวหนัง ทางใจก็ตาม ที่เป็นเรื่องเอร็ดอร่อยทางกามารมณ์นี่ มันเป็นวัฒนธรรมที่เข้ามา เข้ามาแล้ว เจริญ เจริญๆๆ แล้วก็เจริญอย่างท่วมท้นอะไรไปหมดท่วมท้นสาขาไหนๆ หมด เดี๋ยวนี้ถ้าพูดกันว่าแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมก็คือแลกเปลี่ยนความบ้าหลังให้มันมากขึ้นกันทั้งสองฝ่ายนี่แหละ แล้วมันก็ยิ่งร้ายไปกว่าเดิม เว้นแต่จะแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมให้ถูก วัฒนธรรมจริงนี่ อย่าไปถูก วัฒนธรรมปลอม นี่เขาก็เกิดรังเกียจวัฒนธรรมทางศาสนา หรือรังเกียจศาสนากันขึ้นมาเดี๋ยวนี้ เขารังเกียจไอ้ศาสนาเรื่องทางศาสนาขึ้นมา โดยเข้าใจผิด พวกนี้เข้าใจว่าถ้าศาสนามาเกี่ยวข้องจะทำให้ชาติล้าหลัง ประเทศชาติล้าหลังอ่อนแอไม่เข้มแข็งไม่มีอะไร มันก็เลยรังเกียจศาสนาโดยแท้จริง แต่มันจะแสดงออกมาโดยตรงมันยังละอายอยู่ เพราะฉะนั้นมันจึงมีศาสนาบ้างแต่เพียงเป็นพิธีรีตรอง คุณก็ดูเอา ศาสนาคริสเตียนก็ตาม ศาสนาอะไรก็ตาม มันก็มีแต่พิธีรีตรองพอเป็นพิธีว่ามันมีอยู่ และหมดท่าเข้าก็ต้องเป็นเรื่องธรรมดาสามัญนี้แหละ ให้อยู่กันดีๆ อย่ามีเรื่องกันก็เท่านี้ ไม่พูดถึงว่ากินผลของต้นไม้ต้นที่ ๒ แล้วเป็นชีวิตนิรันดรนี้ ไม่มีพูด ที่ไหนก็ไม่มีพูด ที่จุดศูนย์กลางของศาสนาที่วาติกันหรือที่ไหนก็ไม่มีพูดเรื่องกินต้นไม้ กินผลไม้ของต้นที่สองแล้วมีชีวิตนิรันดรนี้มันไม่พูด เพราะมันถูกอิทธิพลของโลกสมัยปัจจุบันนี่ครอบงำ มันก็พูดแต่เรื่องว่าเอาละอยู่กันดีๆ เท่านี้ ก็มีเท่านี้ อย่าเบียดเบียนกันรักใคร่กันช่วยเหลือกัน ด้วยเห็นแก่พระเจ้านี่ พระเจ้าจะประทานพรให้อยู่เย็นเป็นสุข มันก็พูดอย่างนกแก้วนกขุนทองไม่มีเปลี่ยนแปลงอยู่อย่างนี้
แล้วส่วนที่ว่าทำอย่างไรจึงจะเป็นชีวิตนิรันดรจริงๆ ไม่รู้เรื่อง นั้นมันจึงไม่มีการแลกเปลี่ยนไอ้สิ่งที่ดีที่สุดของมนุษย์ในระหว่างกันและกันคือวัฒนธรรมทางจิตที่แท้จริงที่สูงสุด นั้นโลกมันก็ไม่มีทางจะเข้าใจกันได้ เดี๋ยวนี้มันนิยมวัตถุกันทุกชาติทุกภาษา ถ้าแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมคือแลกเปลี่ยนความเจริญทางวัตถุ นี่มันแย่ถึงขนาดนี้แล้วนะ นี่มิหนำซ้ำยิ่งไปกว่านั้นก็คือว่า ทุกวันนี้มันด่ากัน มันยั่วโทสะกัน คุณฟังดูเถอะ วิทยุกระจายเสียงทุกสถานีล่ะ ไอ้เรื่องที่จะพูดให้รักให้ดีกันนั้นไม่มี มีแต่ด่ากันให้เกลียดชังกันยิ่งขึ้น เพราะเดี๋ยวนี้มันแบ่งกันเป็น ๒ พวก พวกที่ฝ่ายอเมริกัน พวกที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ก็พวกหนึ่ง นั้นวิทยุเราจะพบแต่เรื่องด่ากันระหว่าง ๒ ฝ่ายนี้ แล้วทำกันอย่างนี้นานไปๆ มันจะเป็นยังไง ผมนึกเฉลียวใจ วิทยุเมื่อวันสองวันมานี่ เรื่องกรณีเรือ พิวโบลน (นาทีที่ ๒๔.๒๗) เมื่อก่อนพวกฝรั่งด่าเราชาวไทยว่าไอ้ ไซม์มิส ทอล์ก ไซม์มิส ทอล์ก (Siam miss talk) พูดอย่างคนไทยนี่ คือเมื่อญี่ปุ่นมาเราเข้ากับญี่ปุ่น พอฝรั่งมาเราบอกว่าจำเป็นแต่ใจเราไม่ได้เข้า เพราะฉนั้นอย่าถือว่าเราเป็นข้าศึกกับฝรั่ง ฝรั่งมันหาว่า ไซม์มิส ทอล์ก พูดหลอก พูดตลบแตลง เดี๋ยวนี้กรณีเรือ พิวโบล ก็ดูจะเป็นไซม์มิส ทอล์ก อเมริกันก็มี ไซมิส ทอล์ก มันไปเซ็นสัญญายอมรับว่าได้ล่วงละเมิดน่านน้ำจริงขอโทษแล้วขอให้ปล่อยเรือให้ปล่อยลูกเรือ พอเกาหลีปล่อยลูกเรือแล้วมันพูดว่าไอ้ที่สารภาพไปนั้นไม่จริง ไม่ใช่เรื่องจริง สารภาพไปก็เพื่อให้ปล่อยคนเท่านั้นแหละ นี่ลักษณะ ไซม์มิส ทอล์ก ที่มีแก่พวกอเมริกัน เมื่อก่อนเขาด่าเราว่าไซม์มิส ทอล์ก มีแต่พวกเรา เดี๋ยวนี้พวกอเมริกันเองก็มีไซม์มิส ทอล์ก ก็แปลว่าหมดกันทั้งโลกมี ไซม์มิส ทอล์ก หมายความว่าพูดโกหกน่ะ นี่มันเป็นเครื่องวัดว่าโลกกำลังไปถึงไหน ถ้าชนชาติที่มีอำนาจ และเป็นที่เคารพนับถือว่าดีว่าอะไรมาแต่เดิม อย่างชนชาติอเมริกันนี่ มันเป็นอย่างนี้แล้ว มันก็แปลว่ามันเป็นอันสุดท้ายเลย ไอ้ชาติเล็กๆ มันจำเป็นต้องพูดโกหกบ้างเพราะมันไม่มีอำนาจนี่ นี้ชาติใหญ่ๆ ที่มีอำนาจก็ยังพูดโกหกนี้มันก็ไม่ได้ มันก็หมด มันก็ไม่มีอะไรเหลือแล้ว นี่เป็นเครื่องวัดว่าโลกนี้มันไม่มีอะไรที่จะยึดถือเป็นความจริง ความถูกต้อง ความยุติธรรม มันคงยึดถือแต่เพียงวัตถุ เรื่องได้ประโยชน์ทางวัตถุนี้เป็นใหญ่เป็นสูงสุด นั้นการพูดจาการอะไรเปลี่ยนไปหมด วัฒนธรรมต่างๆ เปลี่ยนไปหมด อะไรเปลี่ยนไปหมด ก็นี่ก็หมายความว่ามันเสื่อม เป็นความเจริญของความเสื่อม เป็นความรกหนาขึ้นมาของความเสื่อม ก็เรียกว่า วัฒนธรรมของความเสื่อม นี่โลกมันกำลังเป็นอย่างนี้ นั้นมันไม่มีที่พึ่งหรอก เมื่อเดินกันในรูปนี้เรื่อยไปมันก็หมดที่พึ่ง มันก็ไปสู่มิกสัญญี ไฟประลัยกัลป์ อะไรก็ตามใจ เว้นเสียแต่จะมาสำนึกถึงไอ้ของดีของจริง ของพระเจ้า ของศาสนา แล้วกลับตัวเป็นคนที่ไม่ลุ่มหลงวัตถุ อันนี้มันยากมากที่จะให้คนสมัยนี้ไม่ลุ่มหลงวัตถุมันยากมาก แล้วก็เลื่อนขึ้นไปถึงกับสนใจเรื่องชีวิตนิรันดรซึ่งเป็นยอดสุดของวัฒนธรรมของทุกศาสนาที่มันเป็นศาสนา
ถ้าอย่างนี้ได้ มันก็เลี้ยววกกลับมาสู่ความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง มีวัฒนธรรมจริง แล้วก็เป็นผาสุกจริง ระหว่างคนจำนวนมากก็ได้ไปถึงจุดสูงสุดคือชีวิตนิรันดรได้จริงเหมือนกัน นั้นคำพูดมันเหมือนกันแต่ความหมายมันต่างกัน ผมก็เคยบอกพวกฝรั่งอยู่เสมอว่า หนทางรอดมันมีอยู่ว่า รบก็รบกันไปนี่อยากรบคือจะต้องรบ ก็รบกันไปเหมือนอย่างที่รบกันอยู่เดี๋ยวนี้น่ะ แต่ว่าพร้อมกันนั้นต้องแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมเร่งรัดแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ซึ่งผมหมายถึงวัฒนธรรมที่ถูกต้องนะ ไม่ใช่วัฒนธรรมที่เขากำลังแลกกันอยู่ ให้คนเข้าใจธรรมของตัวอย่างถูกต้อง แล้วเดี๋ยวมันก็จะเกิดเอือมระอาขึ้นมาในการที่จะฆ่าฟันกันโดยไม่มีประโยชน์ มันก็จะค่อยๆ คลายความเกลียดชังความเห็นแก่ตัวความหลงไหลในวัตถุน่ะมันลดลงมาพร้อมกันหมด คือมันจะต้องลดไอ้ความเมาในวัตถุลงด้วย ความอาฆาต ริษยา เครียดแค้นนั้นลงด้วย และความเห็นแก่ตัว ที่สำคัญที่สุด จะต้องลดลงมา เพราะวัฒนธรรมนี้ ที่แท้จริงนี้ มันทำให้ลดสิ่งเหล่านี้ มันเป็นข้าศึกกับไอ้ความหลงวัตถุความเห็นแก่ตัว ความอิจฉาอาฆาตนี้ มันก็ลดได้ มันลดลงมา ลดลงมาถึงระดับหนึ่ง มันพูดกันรู้เรื่อง คือมันยอมกันได้หมดเลย ยอมกันในทางที่จะให้โลกนี้สงบ เป็นสันติได้ ถ้าการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่แท้จริงอย่างนี้ มันเป็นไปได้จริงถึงที่สุด
เดี๋ยวนี้มันยังเป็นไปไม่ได้ ยังมองไม่เห็นทางที่จะเป็นไปได้ มันแลกเปลี่ยนแต่ วัฒนธรรมบ้า วัฒนธรรมผีปีศาจ วัฒนธรรมอะไรอยู่ตามเดิม คือลุ่มหลงทางวัตถุยิ่งขึ้นๆ อย่างว่าไปโลกพระจันทร์นี้ก็คือ วัฒนธรรมบ้า วัฒนธรรมภูติผีปีศาจอะไรที่จะทำให้เห่อเหิมทะเยอทะยานอะไรมากขึ้น แล้วมันไม่ดูหน้าใคร มันจะเห็นแก่ตัวท่าเดียว แม้ว่ามันจะแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิทยาศาสตร์ทางไอ้นี้กันด้วยที่ก้าวหน้าใหม่ๆ นี้ มันก็ยังเป็นเรื่องบ้าอยู่นั่นเอง ไม่ได้ทำให้โลกนี้ดีขึ้น แต่ทำให้แต่ละฝ่าย ละฝ่าย เห็นช่องทางที่จะทำลายฝ่ายตรงกันข้ามให้แหลกลาญยิ่งขึ้นเท่านั้น มีเท่านั้น ให้แหลกลาญกว่าเดิม แล้วมันจะแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมอย่างนี้กันเรื่อยไป มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่ทำให้โลกมีสันติขึ้น มันจะไม่แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมนี้กันมันก็เท่าเดิม มันก็ทำให้เกลียดชังเป็นศัตรูกันเท่าเดิม นี่วัฒนธรรมวัตถุ วัฒนธรรมเทียม ปลอม จะแลกเปลี่ยนหรือจะไม่แลกเปลี่ยน มันก็ทำให้โลกเป็นอย่างกุลียุคอยู่เรื่อย นี่ถ้าแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่แท้จริงของพระเจ้า ของธรรมะ ของศาสนา ไม่เท่าไร โลกนี้จะเปลี่ยนเลี้ยวทิศทางไปหาความสงบ ผมพูดกับพวกฝรั่งพวกนั้นเรื่อยล่ะถ้ามันถามนะ ว่ารบกันไปพลางแล้วก็แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่ถูกต้องกันไปพลางเรื่อยๆ ไป ไม่เท่าไรก็จะถึงจุดที่จะค่อยเอือมระอา หรือลดราวาศอกกันได้ ยอมกันได้ มันไปเห็นแก่พระเจ้าเพียงองค์เดียวก็พอ มันก็ลดราวาศอกกันลงไปได้ แต่ว่าทีถูกก็คือว่าเห็นแก่ความฉิบหายของโลก เห็นแก่ความรอดของโลก เห็นแก่ความฉิบหายของโลก แล้วตกลงกันได้
ถ้าเมื่อไรเขามีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมทางจิต ทางสติปัญญาอย่างนี้กันแล้ว เมื่อนั้นโลกนี้ก็มีหวัง ที่จะมีสันติภาพ ถ้าไม่อย่างนั้น มันก็จะเป็นอย่างนี้ และหนักขึ้น หนักขึ้นๆ เหมือนอย่างที่เป็นอยู่นี้ ที่ไม่เคยพูดโกหกก็พูดโกหกแล้ว ที่ไม่เคยมีไซม์มิสทอล์ก ก็เริ่มมีไซม์มิสทอล์กแล้ว นี่มันจะเป็นอย่างไร คุณก็ลองคิดดู นี้มันจะหนักยิ่งขึ้น หนักยิ่งขึ้น สักวันหนึ่งมันก็บันดาลโทสะ มันก็ทำลายโลกด้วยเครื่องมือด้วยวัฒนธรรมนั่นอีกแหละ ระเบิดปรมาณูนี่ก็คือยอดของวัฒนธรรมไอ้ทางล้างผลาญ ทางฝ่ายวัตถุ ในปัจจุบันนี้ ระเบิดปรมาณูทุกๆ สาขาแหละ ทุกๆ ชนิด มันคือยอดสุดของวัฒนธรรมฝ่ายนี้อยู่แล้ว แล้วมันก็จะใช้ไอ้วัฒนธรรมยอดสุดนี้แหละทำลายโลกล้างโลก
ที่เอามาพูดนี้ เพื่อให้คุณเห็นได้ว่า วัฒนธรรมมันคืออะไร มันก็คือ ธรรมอย่างที่เคยพูด แล้วของธรรมชาติอย่างที่เคยพูด ถ้ามนุษย์ถือเอาผิดทาง นั่นก็คือความฉิบหายของมนุษย์ ถ้าถือเอาถูกทางก็คือความรอดความสุขนิรันดรของมนุษย์ ที่นี้พวกเรานี่ตัวเหลืองหัวโล้นนี่ มันเท่ากับประกาศตนว่าเป็นเจ้าหน้าที่ทางธรรมอยู่นั้น ดูให้ดีๆ ซิ เป็นเจ้าหน้าที่ทางธรรมคือจะต้องศึกษาจะต้องปฏิบัติจะต้องได้รับผลของการปฏิบัติและจะต้องเผยแผ่ออกไปให้โลกให้ชาวโลกได้รับประโยชน์ ตามความประสงค์ของพระพุทธเจ้าซึ่งกำชับไว้นักหนาในข้อนี้ แล้วทีนี้เราก็ไม่รู้จักสิ่งเหล่านี้ แล้วก็จะไปเดินตามก้นพวกฝรั่งเหมือนไอ้ชาวบ้านนั่นน่ะ ก็หมายถึงฆราวาสก็ต้องเดินตามก้นฝรั่ง ไม่เป็นพุทธบริษัทกันแล้ว ทีนี้ไอ้พวกพระนี่ก็จะเป็นอย่างนั้นอีก มันก็หมดที่พึ่ง นั้นอย่าไปบูชาไอ้เรื่องความเจริญทางวัตถุ แม้ว่าเราจะอาศัยความเจริญทางวัตถุ วัฒนธรรมของเขามาใช้อยู่ เช่นไอ้บันทึกเสียงอะไรนี่ ไมโครโฟน หนังเหนิงอะไรก็ตามนี้ อย่าได้คิดว่ามันเป็นไอ้ของวิเศษ หรือของที่จะช่วยเราได้ ถ้าเราเผลอนิดเดียวมันจะฆ่าเรา มันจะทำให้เรายุ่งมากกว่าเดิมเปลืองมากกว่าเดิม แล้วก็ไม่ได้ผลอะไรดีขึ้น แล้วก็จะกลับไปในทางที่ว่าไปตามก้นไอ้พวกวัฒนธรรมทางวัตถุ นั้นระวังให้ดี ถ้าเอาสิ่งเหล่านี้มามีมาใช้นะ แม้แต่ปากกาสักด้ามหนึ่ง นาฬิกาสักเรือนหนึ่ง ก็ระวังให้ดี อย่าให้จิตใจถึงกับหลงรักหรือบูชา หรืออะไรทำนองนั้น ไม่ต้องพูดถึงไอ้ตู้เย็น โทรทัศน์ หรือไอ้ตึก หรือรถยนต์ หรือเรือบิน หรือว่าไปโลกพระจันทร์นี่ไม่ต้องพูดถึง มันเป็นเรื่องบ้าบอ หนักขึ้นๆๆๆ เป็นวัฒนธรรมจริง ทำโลกให้รก ทำโลกให้ยุ่งยาก เต็มไปด้วยความยุ่งยาก เป็นวัฒนธรรมเทียม วัฒนธรรมปลอม วัฒนธรรมฝ่ายพญามาร ฝ่ายซาตาน คือฝ่ายที่กินผลไม้ของต้นไม้ต้นที่ ๑ เข้าไป รู้จักดี รู้จักชั่ว รู้จักด้อย รู้จักเด่น รู้จักไอ้อะไรทำนองนี้แล้วมันก็เอากันใหญ่สิ คือเรื่องกิเลสทั้งนั้น แล้วก็ยังไม่มีโอกาสกินผลไม้ของต้นที่ ๒ ชีวิตนิรันดรเลย แต่พระพุทธเจ้าได้สอนอยู่เต็มที่ ได้พูดอยู่เต็มที่ถึงข้อนี้ ข้อชีวิตนิรันดร หรืออมตะธรรม หรืออะไร นั่นแหละดูให้ดี รู้จักแยกทางกันเดิน จากวัฒนธรรมเทียม วัฒนธรรมปลอม มาสู่วัฒนธรรมถูกทางจิตทางใจ แล้วก็ไปจนสูงสุดจนถึงกับว่าชีวิตนิรันดรให้ได้ ก็คือวัฒนธรรมนั่นแหละ ที่ไปเรียกเป็นศาสนาเป็นพุทธศาสนา ยกขึ้นมานี่แหละเพราะว่ามันไม่รู้ เพราะมันโง่กว่าธรรมชาติ ไม่รู้ว่าเป็นเพียงเรื่องของธรรมชาติตามธรรมชาติ แล้วพอได้เป็นพุทธศาสนาของเราขึ้นมาแล้วก็เทอดทูนยกย่องกันใหญ่เลย ทับถมผู้อื่นไปเลย นี่มันบ้าเหมือนกัน เป็นคนบ้า บ้าทางวัฒนธรรม หรือบ้าไอ้ทางธรรมเทียม ธรรมเท็จที่ปลอมนั่นแหละ ถ้าเรารู้แต่ว่าไอ้ธรรมชาติแท้ๆ มันมาอย่างไร เมื่อมีสิ่งที่มนุษย์ต้องการจะแก้ไขความทุกข์ เกิดเป็นธรรมะขึ้นมา เป็นพวกที่บังคับเรียกว่าศีลเรียกว่ากฏหมาย ที่ไม่บังคับเรียกว่าวัฒนธรรม เป็นไปได้ทั้งทางวัตถุและทางจิต นี่มาหลงทางวัตถุจนลืมเรื่องทางจิต พอเป็นทาสของวัตถุ วัตถุก็ทำให้เกิดกิเลสหนาแน่น บังคับมนุษย์ให้ทำลายกัน ทำลายตัวเอง ทำลายผู้อื่น มันต้องระวังให้ดีๆ ตามที่ธรรมชาติมันกำหนดไว้ ต้องเป็นวัฒนธรรมที่ถูกต้องทางจิตทางที่จะทำให้ไปสู่ความสงบสุข สำหรับธรรมชาตินั้นมันเท่ากัน นี้ยังเป็นเรื่องพิเศษนอกเรื่อง พูดกันให้ฟังอยู่บ่อยๆ ว่าตัวธรรมชาติแท้ๆ ไม่มีดี ไม่มีชั่ว ไม่มีผิด ไม่มีถูก มนุษย์จะฉิบหายหมด ไอ้ธรรมชาติก็เท่านั้น มนุษย์จะอยู่กันเป็นผาสุก ไอ้ธรรมชาติมันก็เท่านั้น มันไม่ถือว่าฝ่ายไหนดีฝ่ายไหนชั่วหรอก ไอ้เรามนุษย์นี่บัญญัติธรรมชาติฝ่ายนั้นว่าชั่วฝ่ายนี้ว่าดี เพราะเรากลัวตายเพราะเรากลัวอะไรที่ไม่ต้องการ
นั้นถ้าจิตหลุดพ้นจากวัตถุหรือจากการบัญญัติ จะอยู่เหนือดีเหนือชั่วได้เพราะเหตุนี้ เมื่อนั้นแหละเข้าสู่ธรรมชาติเดิมแล้วก็เหนือความทุกข์หรือเป็นนิพพานขึ้นมา ถ้ายังหลงดีหลงชั่วอยู่ ก็คือว่าเท่ากับกินผลไม้ต้นที่ ๑ ความรู้ทำให้รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่วนั้นแล้ว มันก็มีความทุกข์อยู่อย่างนี้
นั้นธรรมชาติไม่มีดีไม่มีชั่ว ธรรมชาติเป็นเพียงอย่างเดียว เป็นธรรมชาติอย่างเดียว แต่ว่าไอ้นี้มีอย่างนี้มีลักษณะอย่างนี้มีผลอย่างนี้แล้ว เราก็เลือกเอาฝ่ายที่เราต้องการแล้วบัญญัติว่าดี ฝ่ายที่เราไม่ชอบก็เรียกว่าไม่ดี แต่ธรรมชาตินั้นมันไม่มีอะไรดีอะไรชั่ว ยกตัวอย่างทางวัตถุให้เห็น อย่างว่าอุจจาระนี้ มนุษย์ว่าไม่ดีว่าเหม็นว่าชั่ว ก็เพราะมนุษย์ไม่ชอบ แต่สุนัขมันชอบ หรือต้นไม้มันชอบนะ มันก็บัญญัติกันตามความต้องการของแต่ละพวกละฝ่ายนั้นแหละ นั้นทางที่ถูกมันก็ต้องถือว่าธรรมชาติ ไอ้ที่ว่าหอมหรือเหม็นนี่ มันเพราะเราไปบัญญัติเรื่องกลิ่นอย่างนั้นๆ ขึ้น แล้วเราก็ไม่ชอบไอ้ที่เหม็น แต่ธรรมชาติมันไม่มีหอมไม่มีเหม็น ถ้าใครรู้ถึงธรรมชาติส่วนนี้ส่วนลึกอย่างนี้ได้ ก็เรียกว่ารู้ธรรมะ ถึงที่สุดของธรรมชาติ ซึ่งพุทธศาสนาก็ต้องการ ให้เป็นกรรมที่ ๓ คืออริยมรรคเป็นที่สิ้นสุดแห่งกรรมดีและกรรมชั่ว นั่นมันยอดสุดของวัฒนธรรม นั้นก็เท่ากับกินผลไม้ต้นที่ ๒ ของพวกยิวนั่นล่ะ กินแล้วเป็นชีวิตนิรันดร เพราะมันอยู่เหนือดีเหนือชั่ว
ต้นไม้ต้นที่ ๑ กินผลเข้าไปแล้วทำให้หลงดีหลงชั่ว เวียนว่ายอยู่ในเรื่องดีเรื่องชั่ว แล้วก็เบียดเบียนกันเพราะเหตุนี้ ที่มันรบราฆ่าฟันกันนี้เพราะมันคิดว่าไอ้ชนะเขามันดีแพ้เขามันชั่ว ก็อยากจะชนะเขาให้ได้ ก็ค้นคว้าแต่เรื่องที่จะชนะกัน ด้วยเรื่องเครื่องมือ ด้วยเรื่องทุกอย่างที่มันเป็นเครื่องมือ มันถึงรบกันได้เรื่อย เพราะมันก้าวหน้าเรื่อย ก้าวหน้าทางเครื่องมือนี้ ให้เอาเปรียบไว้ทุกทาง นั่นแหละคือวัฒนธรรมทำลายโลก แล้ววัฒนธรรมอีกอันหนึ่งก็ตรงกันข้าม คือจะรักษาโลก หรือคุ้มครองโลก นี่มันมีอยู่อย่างนี้
ที่เอามาพูดเมื่อตะกี้นี้ พูดว่าให้รู้เรื่องวัฒนธรรมกันเสียบ้าง ก็เพื่อให้รู้ว่าไอ้วัฒนธรรมสูงสุดนั้นมันแหละมันคือศาสนาแหละ คือตัวศาสนา และเป็นเรื่องวัฒนธรรมสูงสุดทางจิตใจ แล้วก็สูงสุดจริงๆ ด้วย ส่วนเรื่องทางวัตถุนี้กำลังเดินไปทางวัตถุ หลงไหลไปตามวัตถุ มันก็ไปสู่ความลำบาก ส่วนไอ้เรื่องกฏหมายหรือศีลธรรมนั่น มันก็ตกอยู่ใต้อำนาจของมนุษย์ผู้มีความอยาก ผู้มีความหลง พอมันหลงอย่างไรมันก็บัญญัติศีลธรรมกันใหม่ เหมือนอย่างเดี๋ยวนี้ที่มันบัญญัติจนไม่มีลามกอนาจาร ไม่มีขาดศีลข้อกาเม ไม่มีพ่อไม่มีแม่ นี่บัญญัติกันได้ใหม่นี่เดี๋ยวนี้มันกำลังบัญญัติ ไอ้ศีลธรรมนี่มันมนุษย์บัญญัติ มันจึงไม่ ไม่เป็นที่แน่นอนได้ แต่แล้วมันก็ยังมีหลักอย่างเดียวกันอีกว่า ถ้ามันผิดธรรมชาติเกินไปแล้วมันต้องวินาศเร็วเข้า ถ้ามันบัญญัติศีลธรรมกันใหม่ ฆ่าสัตว์ไม่บาป ขโมยไม่บาป กาเมไม่บาป นี่มันก็คือจะวินาศล่มจมเร็วเข้าเหมือนกัน มันผิดธรรมชาติ คือมนุษย์นั่นนะมันจะทนไม่ได้ มันผิดธรรมชาติข้อนี้แล้วมันก็จะฆ่ากันทำลายกัน ที่เขาทำมาแล้วทำให้ถูก มันทำมาถูก มนุษย์ทนได้ มนุษย์ปฏิบัติได้ มนุษย์มองเห็นแล้วปฏิบัติกัน แต่เดี๋ยวนี้มนุษย์มันถูกย้อมให้เป็นอย่างอื่นเสียแล้ว มันมองไม่เห็น เข้าใจไม่ได้ แล้วบัญญัติศีลธรรมใหม่ตามกิเลส มันก็ไม่ใช่ศีลธรรมที่ถูกที่จริงล่ะ เป็นศีลธรรมปลอม มันกำลังเดินไปอย่างน่าตกใจ หรือน่าเป็นห่วง อย่างผู้หญิงนี้น่ะ เขาหลอกให้เปลือยกายเข้าไปทุกที ทุกทีๆๆ มันจนกระทั่งจะไม่นุ่งห่มอะไรกันในที่สุด ผู้หญิงไม่ว่าชั้นไหน ชาติไหน ภาษาไหน ดูสิ ชั้นสูงชั้นต่ำก็ตาม นิยมนุ่งสั้นเข้าไปสั้นเข้าไป คือความโง่ให้ถูกหลอกถูกหลอน ให้ไปนิยมอย่างนั้น ไม่ต้องอะไรล่ะ นั่งลุกมันก็ไม่สบายแล้ว แล้วทำไมจะต้องว่าสวยงามอะไร เรียกว่ามนุษย์กำลังโง่ แล้วมนุษย์พวกหนึ่งก็ส่งเสริมมนุษย์ที่เป็นที่ตั้งของกิเลส คือผู้หญิงนี้ให้โง่หนักเข้าเพื่อเป็นเหยื่อของผู้ชาย ก็แปลว่าทางศีลธรรมนี้มันล้มละลาย มันถึงขนาดล้มละลายอย่างลึก ถ้าคุณไม่ตายซะเร็วเกินไป จะเห็นผู้หญิงนุ่งกางเกงขาขึ้นมาถึงต้นขา นี่ถ้าอยู่อีกก็ไม่ต้องนุ่งกันแล้วทีนี้ มันจะไปรูปนั้น นี่กำลังเดินไปอย่างนั้น เว้นไว้แต่จะเป็นอย่างที่ผมว่า คือเลี้ยวกลับกันใหม่ เพราะมานึกได้ มาระลึกได้ มานึกได้ เมื่อนั้นน่ะมันจึงจะรอดตัว
นี่เรื่องวัฒนธรรม มันแปลว่า ทำให้รกรุงรังก็ได้ ให้รกรุงรังนั่นเป็นกลางไว้ก่อน แล้วก็ให้รกไปด้วยความผิด หรือรกไปด้วยความถูก มี ๒ อย่างอย่างนี้ แล้วมนุษย์กำลังหลงวัฒนธรรมทางวัตถุไปไกลลิบ ทอดทิ้งวัฒนธรรมทางจิต มีผลดังที่ปรากฏอยู่ แล้วก็จะให้ยิ่งๆ ขึ้นไป เท่านี้มันก็พอเห็นได้แล้วว่า วัฒนธรรมนี้มันคืออะไร มันสำคัญเท่าไร หรือมันเป็นเรื่องทั้งหมด มันเป็นความเป็นความตายของโลกทีเดียว จะต้องรีบมีวัฒนธรรมกันให้ถูกต้อง แล้วรีบแลกเปลี่ยนกันเสียโดยเร็ว ให้คนทั้งโลกมีวัฒนธรรมที่ถูกต้อง แล้วทั้งหมดก็จะเป็นไปดีเอง
ที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาเราก็คือว่า ไอ้วัฒนธรรมชนิดนั้นนั่นแหละคือตัวพุทธศาสนา แต่เราไม่เรียก วัฒนธรรม เราเรียก พุทธศาสนา เรียกว่า พุทธธรรม เรียกว่า ธรรมะ โลกุตระธรรมในพุทธศาสนา ที่จริงมันก็เป็นวัฒนธรรมที่มนุษย์คิดได้มาด้วยความเจริญตามลำดับ ตามลำดับๆ เป็นยุคๆ มา จนกระทั่งเกิดพระพุทธเจ้า อย่างนี้ก็ต้องเรียกวัฒนธรรม คือการค้นพบสิ่งที่ดีกว่าเรื่อยมา นั้นไอ้ตัววัฒนธรรมชนิดนี้ก็คือตัวพุทธศาสนานั่นเอง ลองไปคิดกันดู แล้ววัฒนธรรมบ้าที่จะทำลายโลกก็คือสิ่งที่ตรงกันข้าม เป็นประเภทกามสุขัลลิกานุโยคหรืออะไรก็ตามใจ แล้วแต่จะเรียก เป็นอัตตกิลมถานุโยคก็มี เป็นวัฒนธรรมบ้าเหมือนกัน อริยมรรคมีองค์ ๘ มัชฌิมาปฏิปทานี้คือวัฒนธรรมจริง ถูก ตรง
นี่มันกำลังย้อนไป ย้อนมาในวัฒนธรรมบ้า ผมอ่านดูทั่วๆ ไปในพระคัมภีร์ มันก็มีเค้าเงื่อนแสดงให้เห็นว่าผู้ที่หลงในวัฒนธรรมบ้า แล้วเป็นไปอย่างอิสระมากเหมือนพวกฮิปปี้ในอเมริกาเวลานี้ มันก็มีแล้วแต่ในครั้งพุทธกาล คือเราพูดได้ไม่กลัวผิดว่า มีคนพวกหนึ่งเมาในอิสรภาพในความเป็นอิสระ มองเห็นไอ้ระเบียบ ข้อกฏ ศาสนาอะไรก็ตามว่าเป็นเครื่องผูกมัดหรือเป็นกรงขัง เขาจึงจะต้องออกมา แล้วผู้เห็นว่าไอ้การที่เราต้องเป็นทาสกามารมณ์ หรือว่าเป็นทาสวัตถุ ทาสขนบธรรมเนียมประเพณีนี้ ก็ต้องออกมา แล้วมันจึงมีอะไรแปลกๆ ประหลาดยิ่งกว่าพวกฮิปปี้สมัยนี้เสียอีก คนที่เมาอิสระ อิสรภาพก็ต้องการทำอะไรตามที่ตัวเห็นว่าเป็นอิสระนั่นละ มีมาแล้วในครั้งพุทธกาล อย่างน้อยนะ มันอาจจะก่อนพุทธกาลก็ได้ แต่ที่เราเห็นนี่มันเป็นหลักฐานแสดงว่า ที่บางลัทธิมันมีลักษณะอย่างนี้ ไอ้ลัทธิที่เรียกว่า โลกายตะ จาละวากะ(นาทีที่ ๔๙.๑๔) คือพวกนี้ ก็คือพวกฮิปปี้สมัยพุทธกาลนั่นเอง พวกอิสระต้องการอิสระ อิสระผิดทางมันเป็นอย่างนี้ นั้นถ้ารักความเป็นอิสระ ต้องอิสระให้ถูกทางให้ถูกแก่เรื่อง ที่เป็นอริยมรรค ที่เป็นมัชฌิมาปฏิปทา มิฉะนั้นแล้ว มันจะอิสระไปทางอันตา(นาทีที่ ๔๙.๓๗) หรือที่สุด ฝ่ายกามสุขัลลิกาลนุโยค ฝ่ายอัตตกิลมถานุโยค มันก็เป็นฮิปปี้ ซึ่งเมื่อก่อนเขาเรียกว่าอะไรก็ไม่รู้ ซึ่งเดี๋ยวนี้เรียกกันว่าฮิปปี้ นี่คือวัฒนธรรมอิสระ วัฒนธรรมอิสรภาพบ้าๆ บอๆ ของมัน ไม่ใช่ของใหม่ของแปลก มีมาแล้วกว่าสองพันปี วัฒนธรรมมันจึงมีเตลิดเปิดเปิงไปถึงกับว่า มันเมาอิสรภาพจนไม่เป็นอิสรภาพ เพราะมันไม่รู้ว่าอิสรภาพที่แท้ต้องอิสรภาพจากความโง่อิสรภาพจากกิเลส อิสรภาพจากความโลภความโกรธความหลง หรือความโง่ เพราะฉนั้นมันต้องอิสรภาพจากความโง่เสียก่อน มันต้องมีความเข้าใจถูกต้องมันจึงอิสรภาพไปได้ อย่างที่เรียกว่าอิสรภาพจริงๆ ไม่อย่างนั้นมันก็เหมือนพวกฮิปปี้ เป็นวัฒนธรรมชนิดหนึ่งมาใหม่เมาอิสรภาพนี้เป็นนอกเรื่องไม่กี่มากน้อยมันก็สลายไปอีก เอาหล่ะก็รู้จักคำว่า วัฒนธรรมกันไว้เพียงเท่านี้ก็พอทีก่อน (หันไปพูดคุยกับญาติโยมเล็กน้อย)
(เสียงขาดช่วงไป).(๕๑.๓๗) จึงขอร้องให้ไปนั่งคุยกับก้อนหินบ้าง ต้นไม้บ้าง ลำธารบ้าง หญ้าบอนบ้าง เป็นเกลอธรรมชาติ จะรู้จักธรรมชาติได้ง่าย รู้จักธรรมชาติแล้วก็คือรู้ธรรมะนั่นเอง รู้จักธรรมะนั่นเอง ถ้ารู้ธรรมะไม่ถึงธรรมชาติก็ยังเรียกว่าไม่ใช่รู้ธรรมะ ตอนเย็นๆ อย่างนี้น่ะสบาย ถ้าถือศีล ๘ ไม่เป็นห่วงเรื่องกินข้าวก็ไปนั่งสนามหญ้า นั่งริมสระนาฬิเกร์ ไปนั่งกับธรรมชาติซะ เดี๋ยวมันคิดออกมาเอง ค่อยๆ ออกมาเอง นั้นใครอยู่ใกล้ธรรมชาติคนนั้นได้เปรียบ อยู่ที่กรุงเทพบางบ้านแทบจะไม่เห็นต้นไม้เลย อยู่อะไรเขาเรียกอพาทเมนท์หรือว่าตึกหลายๆ ชั้น วันหนึ่งคืนหนึ่งไม่เคยเห็นต้นไม้เลย ไม่เคยใกล้ชิดต้นไม้เลย เราอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ ไปตรงไหนก็มีธรรมชาติใกล้ชิดได้ อาบน้ำในคู กินข้าวจานแมว นั้นอยู่กระท่อมนี่มันรู้ธรรมะได้ง่ายกว่าอยู่ปราสาท เดี๋ยวนี้ก็สร้างปราสาทหลายสิบชั้นหรือร้อยชั้น ต่อไปก็หลายร้อยชั้น นั้นยิ่งไม่รู้ธรรมะ ลงมาอยู่กระท่อมนี่รู้ธรรมะ ชนิดที่เป็นธรรมะจริง นั้นกระท่อมแบบเล้าไก่นั่นน่ะดี กระท่อมแบบเล้าไก่ที่อยู่กันก่อนๆ อาตมาคิดจะทำอยู่สักหลัง เดี๋ยวนี้นึกชอบขึ้นมาแล้ว ทำเล้าไก่อยู่เองสักหลังหนึ่ง เพราะต่อไปมันแก่เฒ่าเข้าจะขึ้นบันไดก็ไม่ได้ นั้นอยู่กลางดินกินกลางดินนั่งกลางดินแล้วก็ตายกลางดิน เจ็บไข้ได้ป่วยกลางดินก็สะดวกกว่า
มีคนหนึ่งเขามาจากสุไหงโก-ลก เขาทำเต้นท์เล็กๆ มา ปักในที่ค่ายลูกเสือนี่ ก็เห็นน่ะ ก็น่านึกนะ ถ้ามันไม่ลำบากยุ่งยากไม่แพงก็ดี พาเอาบ้านเรือนติดตัวไปได้ ถ้าที่เหมาะๆ ก็ขุดรูอยู่ ถ้าที่มันเหมาะดินไม่พังนี่ก็ถ้าจะเข้าที มันทำไม่ได้ ทำเพิงทำอะไรให้ง่ายนี่อยู่ เดี๋ยวนี้มีผ้าพลาสติกอยู่ ใช้ง่ายเบาสบาย มนุษย์ยังจำเป็นที่ต้องมีที่พักพิงที่อาศัยอยู่ นั้นเสียเปรียบสัตว์ที่มันไม่ต้องมีบ้านมีเรือน อย่างเต่านี่มันก็มีเรือนอยู่ที่ตัวมันมีกระดอง แต่สัตว์ที่มันมีกระดองมันก็อยู่ได้โดยไม่ต้องมีบ้านมีเรือนนี่มันเก่ง มนุษย์ไม่ต้องถึงอย่างนั้นละ มีบ้างแต่อย่าให้มากเกินไป พวกฝรั่งหรือว่าพวกที่เจริญอย่างฝรั่งนั่น มันก็คิดจะหาความสุข ไม่ใช่มันไม่คิด มันทะเยอทะยานเรื่องความสุข แต่มันตีความหมายผิด มันจึงไม่มีวันพบกัน เพราะนั้นไอ้ความสุขนี้มันง่ายนะไอ้ที่ว่า นิพพานไม่ต้องซื้อไม่ต้องลงทุนนี่ นั้นอย่ามองข้ามข้อนี้เสีย มันลงทุนน้อยก็ได้ไม่ยากถ้าทำถูกวิธี พอจิตมันหยุด ไม่มีตัวฉัน ไม่เอาอะไร ไม่เป็นอะไรด้วยความสำคัญมั่นหมายแล้ว มันก็มีความสุขทันที นั้นตัดไอ้ความสำคัญมั่นหมายอย่างนั้นอย่างนี้ออกไปเสีย ปล่อยไปตามธรรมชาติที่เหมาะที่สมควร ก็ไม่ต้องพูดอะไรกันอีก ไม่ต้องเรียนอะไรกันอีกเท่านี้พอ นอกนั้นเป็นเรื่องปลีกย่อยนะเรื่องประกอบสติปัญญา พูดไปตามไม่มีอะไรจะพูด พูดจนตายก็ไม่หมด ไอ้เรื่องสำคัญเรื่องดี เรื่องจริงพูดไม่กี่คำก็หมด
(พูดทักทายญาติโยมเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องปีใหม่) ปีใหม่ตามธรรมชาติดูบ้าง เพียงแต่ทำต้นไม้เทียนจุดเหมือนพวกฝรั่งนี่ก็ไม่ไหว ปีใหม่เท่านั้นไม่ไหว มันควรจะพูดควรจะนึกอะไรกันมากกว่านี้ นี่ดีแต่ทำต้นไม้เทียนจุดนี้ก็เท่ากับกินผลไม้ของต้นไม้ที่๑ เท่านั้น มีเท่านั้นเอง (พูดคุยกับญาติโยมอีกเล็กน้อย) เอาแล้วกลับกันได้ เดี๋ยวค่ำก็ลำบาก หมดเรื่องแล้ว