แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พูดเรื่องอะไรดีละมหาจิต ฮึ มหาจิต เขาคิดซอกแซก นึกถึงหัวข้อที่จะพูดดูบ้าง.........มีอยู่คำหนึ่งที่น่าสนใจ คือคำว่า พระพุทธเจ้าเกิดในกลียุค พระพุทธเจ้าเกิดในกลียุค เปรยเปรยอย่างนี้ก็มี หรือว่าพูดในลักษณะยืนยันว่าพุทธเจ้า ย่อมเกิดในกลียุค ได้ยินได้ฟังมานาน ในหนังสือต่างๆ ก็มี หนังสือเช่น หนังสือปฐมสมโพธิ เป็นคำกล่าวของผู้ร้อยกรองหนังสือนั้น ที่เป็นพุทธภาษิตยังไม่เคยพบ จะมีที่ไหนก็ไม่รู้ แต่เรายังไม่เคยพบ ว่าพระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า พระพุทธเจ้าย่อมเกิดในกลียุค แต่มันก็มีเรื่องราวที่มีเหตุผลคล้ายๆ กัน คล้ายกับจะพูดอย่างนั้นได้ ก็มีอยู่เหมือนกัน
ที่เขาแบ่งโลกเป็นยุคๆ นี้มันเป็นเรื่องของพวกพราหมณ์ หรือชาวอินเดียในโบราณกาลนั่น เราเรียกเหมาๆ กันว่าพวกพราหมณ์ ผู้เขียนคัมภีร์ เอ้อ ผู้ร้อยกรองคัมภีร์ ที่เรียกกันว่า พระเวท หรือไตรเภท แต่ก็เข้าใจว่าเป็นชั้นหลังๆ พระเวทชั้นหลังๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ได้รับความเชื่อถือ หรือรับรอง หรือเห็นด้วย กันมาก จนมาอยู่ในคัมภีร์ ของฝ่ายพุทธเรา ว่าพระพุทธเจ้าเกิดในกลียุค ก็หมายความว่ายอมรับความคิดเห็นของพวกพราหมณ์นั้นเหมือนกัน พวกพราหมณ์ เขาแบ่งโลกเป็นยุคๆ เวลาสักกี่ปี ก็จำไม่ค่อยได้แน่ เพราะว่าไม่ค่อยสนใจ คือไม่ค่อยจะถือ จะถือตามเขาในแง่นั้น แต่มันก็ได้ความชัดว่า โลกนี่มันเป็นยุคๆ จริง เรายอมรับ เห็นด้วย แล้วคำว่า ยุคแรก ก็คือมันเริ่มมีโลก ยุคถัดมามันก็เจริญ เจริญหรือน่าพอใจ ในยุคต่อมามันก็เป็นกลียุค ภาษาไทยเราเรียกเพี้ยนไปเป็น กุลียุค ไปก็มี กุลียุค แต่ตัวหนังสือที่ถูกต้องนั้นมันเป็น กลียุค กลีแปลว่าเลว เลวร้าย เลวอย่างมาก ภาษาวรรณคดีใช้คำว่ากลี กลี อยู่เสมอ กลี กลัมพร กลีบอน (นาทีที่ 5.12) คำกลอนก็มี หมายถึง ไอ้ที่มันเลวร้าย หรือของชั่วร้าย กลียุค ตามคำบัญญัติของพวกพราหมณ์นั้น มันก็หลายหมื่นปี ถึงแสนปีก็แล้วแต่ แต่มันยาวมาก ในระยะที่เป็นกลียุคก็ยาวมาก เหมือนยุคอื่น
นี่พระพุทธเจ้าเกิดในกลียุค ก็เพื่อเป็นผลดี แก่โลกนั่นเอง ไม่ใช่มองกันในแง่ว่าเกิดในกลียุคแล้วจะต้องเป็นของเลว ของร้าย จริงๆ เกิดมาเพื่อจะไถ่ถอน เรามองกันในแง่นี้ ในความหมายอย่างนี้พระพุทธเจ้าก็เป็นผู้ไถ่ถอนเช่นเดียวกับพระเยซู เป็น Redeemer Redeemer ผู้ไถ่บาป ผู้ไถ่ถอนมนุษย์ให้พ้นจากบาป ในความหมายที่เหมือนกัน พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลก ก็เพื่อช่วยให้โลกพ้นจากสิ่งเลวร้ายเหล่านี้ ให้สัตว์รู้จักสิ่งที่เรียกว่าความหลุดรอดออกไปได้ มันก็คำคำเดียว กับฝ่ายศาสนาคริสเตียน ศาสนาอื่น คริสเตียนมีคำว่า Salvation คือว่าหลุดรอดออกไปได้ พ้นจากบาป พ้นจากซาตาน พวกฮินดู เขาก็มีคำว่า มุกติ มุกติเป็นภาษาสันสกฤต ก็คือมุตติในภาษาบาลี แปลว่าหลุดพ้น ชีวาน มุกติ วิเวกะ (นาทีที่ 7.35) นี้ก็มี หมายความว่าหลุดพ้นกันในชีวิตนี้ก็มีเหมือนกัน มีพูดถึง ไอ้เราก็มีวิมุต คือความหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง นี่มันก็ต้องถือว่าพระศาสดาทุกองค์นี่เกิดมาก็เพื่อช่วย เพื่อไถ่ถอน นี่ถ้าหากว่ามันไม่ใช่เวลาที่เลวร้าย หรือมีความทุกข์แล้วมันจะไถ่ถอนอะไรกันได้ แล้วมันก็ไม่มีอะไรจะไถ่ถอน ไม่มีสัตว์ ไม่มีอะไรจะต้องไถ่ถอนมันก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่ว่ามันต้องเกิดในยุคที่มีปัญหา มีความทุกข์ มีความยุ่งยาก ที่จะต้องไถ่ถอน นั้นจึงพูดว่าเกิดในกลียุค นี้ถูกต้องที่สุด เกิดในยุคที่กำลังต้องการความ ช่วยเหลือ
ที่นี้มองดูถึงพวกเราบ้าง มันก็เกิดในยุคกลียุค ก็เพราะว่ามันยุคเดียวกันกับพระพุทธเจ้า นี่พวกเราต้องเป็นผู้ที่จะต้องช่วย ต้องได้รับการช่วยไถ่ถอน นั้นมนุษย์ในระยะนี้ ระยะหลายหมื่นปีตรงนี้ก็ ถ้าถือตามแบบนี้มันก็หมายความว่าเป็นมนุษย์ที่เลวร้ายลง จะต้องได้รับการช่วยเหลือ เอาหล่ะนี่มันพูดอย่างภาษาคน คือพูดเอาวัตถุเป็นหลัก เอาวัตถุหรือเอาคนธรรมดาเป็นหลัก แล้วก็พูดอย่างภาษาคนกันสักทีหนึ่งก่อน ว่าโลกนี้มันเลวร้ายกันจริงหรือไม่ จะเอากันสักหมื่นปี ก็เอา ว่ามันเลวร้ายลงจริงหรือไม่ ถ้าเราถืออย่างคัมภีร์ของพวกยิว พวกเฮ๊ปไบ (นาทีที่ 10.06) นี่พอมนุษย์เริ่มกินผลไม้ที่ทำให้รู้จักดี รู้จักชั่ว เข้าไปแล้วก็เริ่มมีความทุกข์ตั้งต้น เลวร้าย และบาป บาปตลอดกาล ให้ได้ตั้งต้นขึ้นมา มันก็เข้าเค้ากันอยู่ พอมนุษย์เริ่มรู้จักว่าอะไรดี เริ่มสมมติบัญญัติว่าอะไรดี อะไรชั่ว จะใช้คำว่ารู้จักก็ไม่ถูก ตรงนี้อยากจะขอให้กันสนใจเป็นพิเศษหน่อย ที่มนุษย์รู้จักว่าอะไรดี อะไรชั่วนี่ไม่จริงล่ะ แต่ว่ามนุษย์ได้สมมติ ลงไปว่าอะไรดี อะไรชั่ว ตามความรู้สึกของตัว ด้วยจิตใจทั้งหมดของตัว นั้นมันจึง มนุษย์ไม่รู้จักอย่างอื่นล่ะ นอกจะรู้จักว่านี่ดีนี่ชั่วตามที่ตัวสมมติ
จะถือว่ามนุษย์รู้จักดีชั่วตามแบบของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ได้ มันโง่ ไอ้ดีหรือชั่วตามแบบของพระพุทธเจ้าหรือที่แท้จริง มันอย่างอื่น มันไม่ได้ดีชั่วอย่างมนุษย์ว่าเอาเอง คืออะไรถูกใจ ไม่เบียดเบียนไม่อะไรกันก็ว่าดี อะไรไม่ถูกใจเลวร้ายก็เรียกว่าชั่ว นี้ตามความรู้สึกของมนุษย์ นั้นจึงมีแต่ดีกับชั่ว แล้วก็ยึดถือดี ชั่ว ไม่รู้จักสิ่งที่นอกไปจากนั้น นั้นความรู้จักชนิดนี้มันเป็นความรู้จักโดยอวิชชา ถ้าจะพูดกันให้ดีก็เรียกว่า โดยมนุษย์ ได้บัญญัติ หรือสมมติว่าอะไรดี อะไรชั่ว ตามความรู้สึกตัว ทีนี้พอไปกินผลไม้นั้นเข้า ก็ทำให้เกิดความรู้สึกว่า อะไรเป็นดี เป็นชั่ว เป็นคู่ๆ คู่ๆ ตรงกันข้ามกันไปเลย ปัญหาก็ต้องเกิด เริ่มเกิดตั้งแต่นั้นแล้ว ปัญหาที่มนุษย์จะต้องเป็นทุกข์ก็เริ่มเกิดตั้งแต่ตรงนั้นจะเอากี่ปีกันก็ไม่มีอะไรเขียนไว้ชัด แต่ว่าขนาดหลายพันปี หมื่นปี เมื่อมนุษย์มิได้หลงในเรื่องดี เรื่องชั่ว อะไรทำนองนี้ มันก็ไม่มีปัญหาในทางจิตใจ
นั้นเราจะถือว่ามนุษย์ เริ่มมีกลียุคตั้งแต่เริ่มรู้จักดี รู้จักชั่ว ก็ได้เหมือนกัน เพราะมันเริ่มเป็นปัญหาที่เลวร้าย ทรมานมนุษย์ขึ้นมา ทีนี้ไอ้ความรู้จักดี รู้จักชั่วตัวนี้มันไม่ไปตามทางที่ถูก มันไปในเรื่องของวัตถุ ทางวัตถุ ที่อร่อย เอร็ดอร่อย สนุกสนาน อันนี้ดี แม้แต่ในสวรรค์ก็ต้องการให้เป็นอย่างนั้น สวรรค์ตามความรู้สึกของมนุษย์ ก็ต้องการให้เป็นอย่างนั้น เพราะไอ้ดี คือเอร็ดอร่อย ตามใจเนื้อหนัง ที่ชั่วก็คือไม่ได้ ไม่ได้เอร็ดอร่อยตามใจเนื้อหนัง ที่มนุษย์ก็ลงมือหรือเริ่มต้น มีบาปตลอดกาล ตามที่เรียกตามภาษาคริสเตียน เรียกว่าบาปตลอดกาล หรือบาปดั้งเดิม คือหลงไปในเรื่องเอร็ดอร่อย ก็ค้นคว้า ศึกษาค้นคว้าสนใจกันแต่เรื่องที่ให้มันเอร็ดอร่อย นี่เพราะฉะนั้นมนุษย์จึงเริ่มมี การแข่งขันแย่งชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือความอิจฉา ริษยา การที่อะไรล่ะ ลูกของอาดัม หรือหลานอาดัมคนต่อมา มันฆ่าพี่ฆ่าน้อง กันเอง มันเริ่มฆ่าพี่ฆ่าน้องกันเองแล้ว ตีหัวน้องชายตายไปเลยอะไรนี้ ก็ด้วยเรื่องเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนัง ก่อนหน้านั้นมันไม่มี ทีนี้นานมา นานมา มันก็มีแต่หวังความสุขสูงสุดทางเนื้อหนัง มันก็เลยสร้างสรรค์ไอ้สิ่งเหล่านี้ มีมากขึ้นๆ จนกระทั่งทุกวันนี้ แล้วมนุษย์ทั้งหมดนี่ถือว่า นี้เป็นความเจริญ นี้เป็น culture นี้เป็น Civilization อะไรทำนองนี้ ไม่ได้ถือว่านี้เป็นบาป นี้เป็นกลี นี้เป็นกลีบอน กลีกลัมพร อะไร นี่ไปถามพวกคนทั้งโลก หรือพวกฝรั่งที่ก้าวหน้าดู ก็ถือว่านี่คือยอดดี ความดีที่ก้าวหน้ามา ความเจริญที่กำลังก้าวหน้ามา มันก็ต้องพูดอย่างนี้ทั้งนั้น มันรู้สึกอย่างนี้ จริงๆ ไม่ใช่แกล้งพูด ไม่ใช่เขาแกล้งพูด เขารู้สึกว่าเขาก้าวหน้ามาไกล กว่าสมัยที่นุ่งหนังสัตว์ หรือว่าไม่นุ่งผ้าเสียเลย อะไรเขาก็ดีวิเศษไปทั้งนั้น เขาก็พูดอย่างนี้
นั้นเป็นเรื่องมองกันแต่ในแง่วัตถุภาษาคนเรื่อยไป แต่ในภาษาธรรมเรามองมันในแง่ เลวร้ายเรื่อย เรื่องเป็นกลี เป็นความเลวร้าย เพราะเหตุว่าความอิจฉาริษยา เพิ่มขึ้น ตามมา แล้วเพิ่มขึ้น การเบียดเบียนกันอย่างลึกซึ้ง ตามมาแล้ว เพิ่มขึ้นๆ ความคิดทำลายล้างในเบื้องล่างเบื้องหลังมันเพิ่มขึ้นๆ แล้วในขณะนั้นมนุษย์นั่น ไม่มีความเย็นลง มีแต่ความร้อนขึ้น ร้อนขึ้นๆ เพราะฉะนั้นโรคภัยไข้เจ็บในทางวิญญาณ มันก็มากขึ้น เกิดขึ้น แปลกๆ มากขึ้นๆ โรคทางวิญญาณ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ก็ดูสิ มนุษย์อยู่ในสภาพอะไร จิตใจของมนุษย์เวลานี้อยู่ในสภาพอะไร มันก็อยู่ในสภาพที่ไม่มีความสงบ ไม่มีความสงบ ไม่มีความสงบสุข ไม่ว่าวิชาความรู้แขนงไหน การงานแขนงไหน ผลงานแขนงไหน ไม่ ไม่ ไม่มี หรือไม่เป็นไปเพื่อความสงบสุข แล้วก็โดยส่วนใหญ่นั้นมันก็คือเป็นบ้า กันมากขึ้น บ้าทางวัตถุทางเนื้อหนังกันมากขึ้น แม้คนที่มีสติปัญญามีความคิดมีสติปัญญา มันก็ใช้สติปัญญาไปในทางค้นคว้าเรื่องที่ไม่ได้ทำให้โลกนี้ดีขึ้น การค้นคว้านั้นดีมาก เก่งมาก มากขนาดจะทำให้ตรัสรู้ได้ แต่มันไม่ได้ใช้ไปในทางที่จะทำให้ตรัสรู้ ใช้ในทางสร้างสรรค์วัตถุทั้งนั้น ก้าวหน้าทางวัตถุทั้งนั้น และก็ไม่รู้ว่าที่ไปสร้างวัตถุขึ้นในทำนองนี้ก็คือการทำให้ตัวเองจมมิด ลึกลงไปอีก นั้นเราจึงมีคนที่เรียกว่าวิกลจริตนี่ มากขึ้น คนที่เป็นภัยต่อสังคมนี้มันก็มากขึ้น
ทีนี้ไอ้สิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ธรรมะนี่มัน ก็มีแต่ฝ่ายเลวร้าย ฝ่ายกิเลส คือฝ่ายอธรรม ธรรมะที่เป็นฝ่ายอธรรม ก็ยิ่งมีมากขึ้นในโลก มันทำกันทุกวันตลอดวัน ตลอดเดือน ตลอดปี ก็เพื่อจะแก้ไขโลกให้ดีขึ้น ปากว่าอย่างนั้น แต่โลกก็มิได้ดีขึ้นเพราะโดยเนื้อแท้ โดยจิตใจของคนเหล่านี้ มันก็เพื่อตัวเองชนะผู้อื่น เพื่อตัวเองได้เปรียบผู้อื่น ชนะผู้อื่น คุณก็เห็นอยู่แล้วว่าในโลกนี้กำลังมีอะไร มีสงครามถาวร มีวิกฤติการณ์ถาวร นี่ทางหนึ่ง อีกทางหนึ่งมีสิ่งยั่วยวน ให้คนหนุ่มคนสาวไม่เป็นมนุษย์ นี่มากขึ้นๆ นี่อีกทางหนึ่ง แล้วการศึกษาตกอยู่ใต้อิทธิพลของความอยาก ความหวัง ของมนุษย์ชนิดนี้ มนุษย์ชนิดนี้ เพราะนั้นการศึกษาก็สกปรก เป็นการศึกษาที่สกปรกที่สุด ที่จะช่วยส่งเสริมให้มนุษย์ได้วัตถุ ที่ส่งเสริมกิเลสอย่างเดียว มันเป็นการศึกษาที่สกปรกที่สุด ไอ้ความรู้สติปัญญาของมนุษย์ เรื่องความเป็นอยู่ เรื่องการบ้านการเมืองนี่ มันก็ดีไม่ได้ เพราะว่าแต่ละคนละคนมันไม่เป็นมนุษย์เสียแล้ว มันมีความเห็นแก่ตัวจัด ไม่เป็นมนุษย์เสียแล้ว นี้ควรละเมอเพ้อฝันไปหมด ยกตัวอย่างเช่นว่าประชาธิปไตย ยุคนี้รุ่งเรืองด้วยประชาธิปไตย โลกเป็นประชาธิปไตย เขามีหลักว่า ของประชาชน เพื่อประชาชน โดยประชาชน นี่ไพเราะมาก ไอ้คำพูดนี้มันไพเราะมาก ประชาธิปไตยคือการจัดการกระทำเพื่อให้ทุกอย่างเป็นของประชาชน และเป็นเพื่อประโยชน์แก่ประชาชน และโดยน้ำมือของประชาชนเอง มันเป็นไพเราะมาก แต่แล้วมันก็บ้าที่สุดเพราะว่าประชาชนมันคือคนบ้า ทั้งหมดจะทุกคน มันก็.. ของคนบ้า เพื่อคนบ้า โดยคนบ้า แต่ถ้าหากว่ามนุษย์ มนุษย์ที่มีธรรมะจริง มันเป็นมนุษย์อย่างมนุษย์จริงๆ คือมีธรรมะ มนุษย์ธรรม จริงๆ มันก็วิเศษ ก็เพื่อ ก็ของมนุษย์ เพื่อมนุษย์ โดยมนุษย์ หรือว่า ของประชาชน เพื่อประชาชน โดยประชาชน มันดี วิเศษเลย ถ้าแต่ละคนมันเป็นมนุษย์ นั้นเมื่อยกให้ว่าของประชาชน เพื่อประชาชน โดยประชาชน แล้วมันบ้ากันทั้งหมด แล้วโลกนี้ก็เป็นนรกซิ เป็นโลกนรก เป็นสัตว์นรก เป็นโลกนรกดีกว่า ลองปล่อยให้ไป ไปอย่างว่า ของประชาชน เพื่อประชาชน โดยประชาชนสมัยนี้นะ โลกนี้เป็นโลกนรก เพราะฉะนั้นมันจึงไม่มีหวังหรอกที่ว่า จะของประชาชน เพื่อประชาชน โดยประชาชน อะไรก็ตาม มันไม่มีหวัง ที่ว่าโลกนี้จะมีสันติ เพราะประชาชนนั้นมันกำลังบ้า บ้าอย่างนายทุนก็มี บ้าอย่างเผด็จการก็มี บ้าอย่างโซเชียลิสต์ก็มี อะไรก็มี มันล้วนแต่บ้าไป สายหนึ่งแขนงหนึ่งเท่านั้น ที่มันของประชาชน เพื่อประชาชน โดยประชาชน เหล่านั้นมันก็คือบ้าชนิดหนึ่ง ชนิดหนึ่งๆ นี้มีบ้าหลายพวก หลายคณะ มันก็ได้รบกันไม่มีที่สิ้นสุด โดยหลักเพื่อประชาชน ของประชาชนนั่นแหละ มันเป็นเหตุให้ประชาชน รบกันได้ไม่มีที่สิ้นสุด และในหมู่หนึ่ง หมู่หนึ่ง ก็คือ ประชาชนคนบ้า ที่มีการศึกษาเพื่อหล่อเลี้ยงวัตถุ หรือว่าเรื่องทางเนื้อหนัง ทาง Materialism ทำนองนี้เท่านั้น
นั้นคุณลองคำนวณดูเองว่า จะเรียกว่าโลกนี้อยู่ในกลียุคจริงหรือไม่จริง ถูกหรือไม่ถูก ว่าโลกกำลังอยู่ในกลียุค ต้องการพระพุทธเจ้าเพื่อช่วยเหลือ เพื่อแก้ไข ศาสดาไหนก็ได้ เป็นพระพุทธเจ้าทั้งนั้นแหละ ไม่เห็นมันมีผิดเลย พระเยซู พระพุทธ พระอะไรก็ตาม อยู่ในฐานะที่จะช่วยแก้ไขโลกนี้ได้ทั้งนั้น เพราะคนเหล่านี้ไม่หลงวัตถุ ไม่ได้หลงวัตถุเลยแม้แต่คนเดียว จะเป็นขงจื้อ เล่าจื้ออะไรก็ตาม ไม่ได้หลงวัตถุเหมือนกับมนุษย์ ซึ่งหันหลังให้คนเหล่านี้ หรือหันหลังให้ศาสนา นั่นแหละคำว่าพระพุทธเจ้าเกิดในกลียุค โลกมันกำลังเป็นกลียุค มันมีความหมายอยู่ ตามความรู้สึกของผมมันมีความหมายอยู่ รู้สึกอย่างนี้ แต่ว่าจะไปพูดรุนแรงในที่ประชุมใหญ่ๆ มันก็ต้องดูโอกาส ต้องรอโอกาส นี้เราพูดกันตามลำพังพวกเรานี้ก็พูดได้ พูดให้เข้าใจ พูดให้เห็นชัดพูดยังไงก็ได้ นั้นส่วนปลีกย่อย ทุกอย่างๆ มันเลวร้าย ประกอบไปด้วยความเลวร้าย เรื่องกิน เรื่องอยู่ เรื่องใช้ เรื่องนุ่ง เรื่องห่ม เรื่องเล่า เรื่องเรียน เรื่องอะไรก็ตาม แม้แต่เรื่องที่เขาเชิดชูกันนัก เช่นเรื่องกีฬา ก็เป็นเรื่องบ้าหลังที่สุด เดี๋ยวนี้คำว่า กีฬา มันมีความหมาย ไปอย่างอื่นแล้ว คือเป็นคราวที่จะแสดงความเป็นอันธพาล ในสนามกีฬามันมีโอกาส มีช่องที่จะแสดงความเป็นอันธพาลให้มากขึ้น แม้ในประเทศไทยเรานี้ ครั้งหลังครั้งสุดท้ายนี้ก็มีระเบิดขวดคนตาย ทั้งๆ ที่เป็นฟุตบอล คิงส์คัพ ชิงถ้วยของพระเจ้าอยู่หัวอย่างนี้ พระเจ้าอยู่หัวยังนั่งอยู่ด้วย หรือยังไง ครั้งหลังสุดนี่ มันมีมานานแล้วนะที่ผมเคยบอก บอกให้ฟังว่าเดี๋ยวนี้กีฬากลายเป็นที่ฝึกความไม่เป็นนักกีฬา เพราะฉะนั้นอย่ามีซะดีกว่า มีคนเอาไปคิดนึกมาก จนกระทั่งกรมสามัญศึกษาหรือใคร ขอร้องทางรัฐบาลว่า กีฬานักเรียนอย่าให้มีเลย มีเป็นเกิดเรื่อง พวกตำรวจเขาว่าไม่ยอม เขาเก่ง เขาจะสามารถควบคุมได้ ให้มีเถอะ มันก็มีทุกทีไป เพราะว่าความเป็นนักกีฬา มันไม่มี เพราะคนมันเลวลงไป เกินกว่าที่จะเป็นนักกีฬา เกินกว่าที่จะมี Sporting spirit ที่เขาบูชากันนั้น ไม่เหมือนสมัยก่อน ก็เพราะเหตุว่าไอ้คนเหล่านี้มันคนธรรมดา เด็กๆ หนุ่มๆ สาวๆ ธรรมดา ซึ่งมันเป็นบ้าหมดแล้ว มันจะมาเป็นนักกีฬาที่ดีได้ยังไง มันเตรียมพร้อมที่จะเอาเปรียบ ที่จะทำร้ายผู้อื่นมาตั้งแต่บ้าน มาตั้งแต่ก่อนมาเข้าสนามกีฬา เพราะนั้นเดี๋ยวนี้ในสนามกีฬาไม่ว่าประเทศไหน หรือแม้ประเทศไทยนี้มีการชกต่อย มีการทำร้าย มีการเอาเป็นเอาตายกัน
ทีนี้เห็นได้ง่ายๆ ว่าวิทยุกระจายเสียงชั้นดีของประเทศไทย คือสถานีแห่งประเทศไทยนี่ ข่าวกีฬาวิจารณ์นี่ คุณฟังดู ผมฟังอยู่เสมอ มีคำว่าอาฆาต มีคำว่า แก้แค้น มีคำว่า เสียหน้าไม่มีอะไรเหลือ มีคำว่า ชูถ้วยวิ่งไปรอบๆ สนาม นี่มันเรื่องบ้าทั้งนั้น ในวงการของกีฬามีได้หรือ คำว่าแก้แค้น มันมีได้หรือ นี่เขาพูดอยู่ทุกคืน วันนี้เป็นที่ตำรวจจะแก้แค้นปทุมวันอะไรก็ตามที ใช้คำว่า แก้แค้น วันนี้แพ้ยับเยินเสียหน้าไม่มีที่อยู่ ตามอาฆาต จะได้ดูดีกันตอนนัดโน้น อินโดนิเชียชนะได้ถ้วยคิงส์คัพ แห่รอบๆ สนาม ไชโยโห่ร้อง รอบๆ สนาม อย่างนี้ไม่ใช่ภาษานักกีฬา ภาษาคนบ้าอันธพาล ในวงการกีฬาจะมีการแก้แค้นไม่ได้ เพราะว่านักกีฬาเขาสร้างขึ้นเพื่อไม่ให้รู้จักแค้นและแก้แค้นและอาฆาต และนักกีฬานี่เขาสร้างขึ้นเพื่อไม่ให้ ไม่รู้จัก เพื่อให้ไม่รู้จักละอายเมื่อแพ้ เด็กๆ นี่เมื่อมันทำอะไรแพ้มันละอาย มันโกรธ ให้มันเล่นกีฬา เพื่อแก้นิสัยอันนี้ ถ้าแพ้แล้วจะไม่ละอาย จะไม่เสียใจ จะเห็นเป็นของธรรมดา เดี๋ยวนี้มันมีคำว่าแพ้ยับเยิน ไม่รู้จะเอาหน้าไว้ไหน แล้วก็เสียใจ จะฆ่าตัวตายนี่มันมีอย่างนี้ แล้วพอชนะแล้วจะแห่ถ้วยของตัวที่ชนะวิ่งโห่ร้องรอบๆ สนามนี่มันไม่ใช่นักกีฬา แต่มันก็ทำกันอยู่ เมื่อไม่กี่วันนี้ที่สนามศุภชลาศัย คุณดูเอาเถอะมันมีความเป็นนักกีฬาที่ไหน ที่เหลืออยู่ในวงการนักกีฬา นี่ยกตัวอย่างให้เห็นว่า มนุษย์มันไปมากถึงอย่างนี้แล้ว เพราะฉะนั้นมันเป็นกลียุค แห่งกลียุค หรือยิ่งกว่ากลียุค ความเป็นนักกีฬาไม่มีเหลืออยู่ในโลกแล้ว ถ้ามีก็กีฬาของคนอันธพาล กีฬาของคนบ้า แล้วมีเรื่องอื่นอีก นี้โอมยกเรื่องกีฬามาเปรียบให้ฟัง เพราะว่าเป็นเรื่องที่เขาเทิดทูนกัน เชิดชูอวดอ้างกัน แม้แต่เจ้าหน้าที่กระจายเสียงแห่งวิทยุประเทศไทยนี้ แห่งประเทศไทยนี้ ก็ยังไม่รู้ว่าความเป็นกีฬาคืออะไร เอาคำเหล่านี้มาพูดมาใช้อยู่ทุกคืน ทุกคืน ซึ่งไม่ใช่ภาษาของนักกีฬา คำว่า แก้แค้น คำว่า ละอาย คำว่าไม่รู้เอาหน้าไว้ไหน โห่ร้องทั่วสนาม เหล่านี้มันก็ไม่ใช่ภาษานักกีฬา กีฬาโอลิมปิกสมัยดึกดำบรรพ์โน้น ในประเทศกรีซ เขาไม่มีคำประเภทนี้ใช้ นี่ของเรามันมีวัฒนาการจนกีฬามีคำเหล่านี้ใช้
โบราณเขาทำไว้ดี ทีนี้มันเลวลง เลวลงๆๆ กลียุค แห่งกลียุค เพิ่มขึ้นๆ นี้มองดูในแง่ไหนก็ตาม มันเป็นกลียุคอย่างน่าเศร้า มากขึ้นๆๆ แล้วมีมูลมาจากความหลงใหลทางวัตถุนิยม ที่มันชนะ มันก็เพื่อจะได้อร่อยทางวัตถุนิยม เกียรตินี่ เพื่อหาวัตถุ ไม่ใช่เกียรติ เพื่อเกียรติ หรือเกียรติ เพื่อธรรมะ มันเป็นเกียรติเพื่อเป็นเครื่องมือหาวัตถุ เหมือนเขาจะไปเล่นกันคราวหลัง เขาคือเพื่อไปแก้แค้น เพื่อไปแก้หน้า เพื่อไปแก้แค้น ไอ้การจะไปแข่งขันกีฬาระหว่างประเทศ ก็คือเพื่อการไปแสดงความเป็นอันธพาล หรือไปเพิ่มความเป็นอันธพาล มันก็เพื่ออร่อย ตามประสาอันธพาล ความอร่อยของคนอันธพาลนั่นนะ คือความมุ่งหมายของอะไรสมัยนี้
ไอ้ความก้าวหน้า เรื่องจะไปโลกอื่น ไปดวงจันทร์ ไปโลกอื่นก็ตาม มันเป็นเรื่องบ้าหลังในทางวัตถุ เพื่อประโยชน์ทางวัตถุ นั้นไม่มีอะไรเหลือ สำหรับมนุษย์สมัยนี้ ที่จะเป็นที่พึ่ง เป็นที่พึ่งแก่ตัวเองได้ มันเป็น กลี เป็นตัวเลวร้ายไปหมด นั้นโลก มันก็ต้องเป็นโลกที่เลวร้าย เรื่องสงครามที่มีอยู่ ในเวียดนามก็ตาม ที่ปาเลสสไตล์นั้นก็ตาม มันก็เรื่องที่ไม่ควรจะมี มันเรื่องของการโกหก ตลบตะแลงของทุกฝ่าย มันก็ทำกันไปอย่างนั้น แล้วมันก็น่าอัศจรรย์ หรือว่าน่าหัว หรือน่าขัน ที่ว่ามันทำกันได้ เพราะคนแต่ละคนมันมีโอกาส แสวงหาชื่อเสียงด้วยการทำอย่างนี้ หัวหน้าของประเทศหนึ่ง ก๊กหนึ่ง คณะหนึ่ง พวกหนึ่งอะไรก็ตาม มันจะแสดงฝีไม้ลายมือ ให้คนอันธพาลด้วยกันยกย่องว่ามีชื่อเสียงในการต่อสู้ หรือแก้ไข หรือระงับการพิพาทรายนี้ อะไรเป็นต้น แต่แล้วมันก็ระงับอะไรไม่ได้ มันก็ได้ชื่อเสียงว่ามันเก่งที่สุด ในการที่มันทำได้เพียงเท่านั้น มันก็ต้องรบกันต่อไป ที่นั่นที่นี่ ตรงนั้นตรงนี้ ทั่วไปทั้งโลก ไม่มีที่จะลดน้อยลง เพราะความไม่ซื่อตรงต่อตัวเองนี่ ไม่บริสุทธิ์ใจนี่ มันมีมากขึ้นในโลก พวกฝรั่งเป็นผู้พูดเอง Chastity, Chastity ความบริสุทธิ์ใจนี่ ต้องการอย่างยิ่งในทุกกรณี ในการแก้ปัญหาต่างๆ มันก็พูด มันก็เป็นผู้พูด แต่แล้วมันก็ไม่มีใครที่เป็นผู้มี Chastity คือความบริสุทธิ์ใจ มีแต่ความตะหลบตะแลง หน้าไหว้หลังหลอก ที่จะเอาเปรียบผู้อื่นอยู่เสมอไป ที่จะเอาผู้อื่นเข้าไว้ใต้อิทธิพลของตนเสมอไป โลกมันจึงเป็นโลกกลียุคที่สุด
ที่นี้พอเราเห็นข้อนี้แล้ว เราก็ยิ่งเห็นความจำเป็น ที่จะต้องมีพระพุทธเจ้า ก็คือมีธรรมะ มีศาสนาของพระศาสดาที่จะช่วยแก้ไขสิ่งเหล่านี้ได้ ที่นี้ปัญหาที่ว่ามันจะแก้ได้หรือไม่ได้นี่มันอีกเรื่องหนึ่งนะ แต่ว่าข้อเท็จจริงมันมีอยู่แล้วว่า มันจำเป็นที่จะต้องมีสิ่งเหล่านี้ช่วยแก้ไข โลกนี้จึงจะกลายเป็นโลกของมนุษย์ที่น่าอยู่ต่อไป มิฉะนั้นมันก็เป็นกลียุคมากขึ้น มันเป็นที่แน่นอนกันเสียชั้นหนึ่งก่อนว่า ศาสนาเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดสำหรับโลกสมัยนี้ หรือพูดอีกทีหนึ่งก็ให้คนหันมาหาธรรมะ มาหาพระเจ้ากันให้ได้ ทีนี้ที่ว่าจะทำอย่างนี้ได้หรือไม่มันอีกปัญหาหนึ่ง ผมอยากจะให้ทุกๆ คนไม่ว่าใครถือเป็นหลักในเรื่องอย่างนี้ว่า ถ้าเก่งจริง ต้องทำได้ซิ ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องหมายความว่าไม่เก่ง ไม่เก่งหรือไม่เก่งจริง คุณถือเป็นหลัก คงจะมีประโยชน์ ถ้ามันเก่งจริง มันต้องทำได้ ถ้ามันทำไม่ได้หมายความว่ามันไม่เก่ง แล้วไม่เก่งจริง ไม่ว่าอะไรไม่ว่าเรื่องอะไร ไม่ว่างานชนิดไหน นี่ถ้ามนุษย์มันเก่งจริง มันก็ต้องแก้ปัญหาในโลกนี้ได้ เมื่อคนเหล่านั้น ชาวโลกนั้นมันแก้ไม่ได้ มันก็จะต้องมีใครมาช่วยแก้ มันมีแต่ว่าใครคนนั้นมันเก่งจริงหรือไม่เก่งจริง ถ้าสมมติว่า มิชชันเนอรี่ คริสต์เตียน เขาจะตั้งตัวเป็นผู้แก้ปัญหานี้ ถ้าเขาเก่งจริง เขาก็ทำได้ ถ้าเขาทำไม่ได้มันก็เขาไม่ได้เก่งเลย พวกพุทธเราก็เหมือนกันถ้าเราเป็นพุทธจริง และเก่งจริง เราก็ควรจะแก้ปัญหาเหล่านี้ แล้วเดี๋ยวนี้มันมีใครบ้างที่ตั้งใจจะแก้และพยายามจริงๆ แล้วมันก็เก่งจริงๆ พุทธสมาคมมันมีแต่พิธีรีตรองเสียหมด มีแต่เหมือนกับละเมอ ละเมอไปซะหมด นี่ผมก็อยากจะพูดเรื่องนี้ บางทีจะโกรธกันเป็นวรรคเป็นเวรอีกก็ได้ในที่ประชุมพุทธสมาคม
นั้นเราก็ต้องหันมาดูตัวเรามองดูตัวเรา ว่าเราเก่งจริงหรือไม่ และเราควรจะพยายามจะเป็นผู้เก่งหรือไม่ ที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ จะสร้างอะไรขึ้นมาหรือจะเผยแพร่อะไรออกไป หรือที่จะมีแผนการ โครงการ หลักการที่จะต่อสู้กันไปถึงที่สุด ให้มันเป็นการจุดฉนวนของความคิดแนวนี้ แนวที่ตรงกันข้ามนี้ ระบาดออกไป ระบาดออกไป ไอ้เราคนเดียวหรือชั่วชีวิตเราคนเดียวทำไม่สำเร็จแน่ นี้ก็ให้แน่นอน ให้แน่ใจเถอะ แต่ว่าคนเก่งจริง มันจะต้อง อาจจะจุดชนวน หรือวางเชื้อ หว่านเชื้อเอาไว้ หว่านเชื้อโรคเอาไว้ให้มันระบาดทีหลัง แล้วมันก็แก้ได้
ที่เรานึกดูถึงพระพุทธเจ้าท่านเก่งจริง ในข้อนี้ คือท่านได้เพียงจุดชนวนไว้ แล้วมันอยู่มาถึง ๒,๐๐๐- ๓,๐๐๐ ปี มันก็ยิ่งบานออกไป บานออกไป บานออกไปนี่ คือความเก่งจริงของพระพุทธเจ้า ในอินเดียในสมัยพุทธกาลในสมัยพระพุทธเจ้าเอง น่ะ ไม่มีใครนับถือพระพุทธเจ้ากี่คนหรอก นี่คุณเชื่อเหอะ แต่อย่าไปพูดกับพวกอภิธรรมตามศาลาวัด เขาว่าเราเป็นมิจฉาทิฐิ พูดอย่างนี้เป็นมิจฉาทิฐิ แต่ความที่แท้จริงในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้านี้มีคนไม่นับถือมาก มันต้องแบ่งกันไปในสมัยพระพุทธเจ้ามีครูตั้ง ๖ คณะอะไรนี่ มันแบ่งกันไปๆๆ ไปนับถือคณะนั้นบ้าง คณะนี้บ้าง และพวกประชาชนที่ไม่ไปนับถือคณะไหนเลยนั้นก็ยังมีมากกว่า พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า สาวกของเราจำนวนพันจำนวนร้อย อย่างนี้เป็นต้น ไม่ได้มากเหมือนที่เขียนไว้อย่างบ้าๆ บอๆ ในอรรถกถาธรรมบท เมืองสาวัตถีมีคนเก้าโกฏิ ไปฟังเทศน์ทั้งนั้น มันไม่จริงเลย ให้รู้ว่าการที่พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแม้จะเป็นโชคดีที่สุดมีคนนับถือยอมรับ นี่ มันก็ไม่ถึง ๑ใน๑๐ หรืออะไรของทั้งหมด ของคนทั้งหมดในอินเดีย
พระเยซู เคราะห์ร้ายไปกว่านั้น เพราะว่าเป็นพระเยซู เป็นศาสดาสอนได้ ศาสนาเพียง ๓ ปี ก็ถูกฆ่าตายนี่ พระพุทธเจ้าอยู่ได้ถึง ๔๕ ปี แล้วไม่เคยประสบอุปสรรค ขนาดนั้น แต่ถ้าอย่างไรก็ดีชนวนที่พระเยซู จุดไว้ก็ไม่ใช่เล่น ดูมันก็แผ่ออกไปมาก โดยปริมาณแล้วจะมากกว่าชาวพุทธ พวกที่นับถือ คริสต์เตียน มันจะมากกว่าชาวพุทธในโลกนี้ นี่คนเก่งจริงเหล่านี้ก็ได้จุดชนวนเอาไว้ หรือวางเชื้อโรคระบาดเอาไว้ มันก็ระบาดออกไปเอง หลังจากท่านล่วงลับไปแล้ว ๑,๐๐๐ ปี ๒,๐๐๐ ปี หรือเข้า ๓,๐๐๐ ปี มันก็ระบาดออกไป ระบาดออกไป
แต่ทีนี้ปัญหามันมาอยู่ที่ว่าพวกสาวกชั้นหลัง อย่างชั้นเราๆ นี่ มันเป็นขบถทรยศกันหรือเปล่า มันทิ้งหลักการของพระพุทธเจ้ากันหรือเปล่า มันช่วยให้ทุกสิ่งเป็นไปตามประสงค์ของพระพุทธเจ้าหรือเปล่า มันมีอย่างนี้ ถ้าเรามันเหลวไหลกันเอง แล้วจะไปโทษพระพุทธเจ้าไม่ได้ เพราะฉะนั้นพวกสาวก ทั้งอุบาสก อุบาสิกา ภิกษุ ภิกษุณี อะไรก็ตามนี่ จะต้องเป็นผู้ซื่อตรงต่อหน้าที่ มี Chastity มีความจริงใจ มีอะไรเหล่านี้ แล้วปฏิบัติหน้าที่ของตัวเถิด มันก็จะรักษาไอ้พระธรรมไว้ได้ คุ้มครองโลกได้ ดวงประทีปแห่งโลก ก็ยังไม่ดับ ธรรมะซึ่งเป็นเปลวเพลิง แสงสว่างของโลก มันก็ยังไม่ดับ ทีนี้ถ้าว่าภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา กลายเป็นคนไม่รู้จักตัวเอง ละเมอเพ้อฝัน มีแต่ พิธีรีตรอง บกพร่องในหน้าที่โดยไม่รู้สึกตัว โดยไม่รู้สึกตัวโดยไม่เจตนา มันก็เหลวหมดเหมือนกัน ก็ต้องเรียกว่าเป็นความล้มเหลว หรือความเหลวไหล ด้วยเหมือนกัน เมื่อกลียุคมันจะเป็นไปในรูปไหน มันจะผ่านพ้นไปได้อย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับสาวกของพระศาสดา ทุกๆ ศาสนาในโลกนี้ ไอ้เราก็เป็นศาสนาหนึ่งหรือมีความสำคัญหน่วยหนึ่ง ก็ควรจะนึกกัน ในการที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกที่กำลังเป็นกลียุค ตลอดถึงเพื่อช่วยแก้ไขให้มันดีขึ้น
นี่คำว่ากลียุคในส่วนของภาษาคนหรือภาษาวัตถุมีอยู่อย่างนี้ พระพุทธเจ้าจะต้องเกิดขึ้นในกลียุค เป็นระยะยาว เราถือว่าพระพุทธเจ้า ยังไม่ตาย ยังไม่นิพพาน ยังอยู่อีกหลายพันปี เรื่อยๆ ไป เพื่อจะแก้ไขกลียุค ตามแบบของวัตถุ
เอ้า,ทีนี้ตอนท้ายนี้อยากจะพูดถึงว่า กลียุคในภาษาธรรม คือภาษาจิตใจหรือวิญญาณ นี้ก็ได้แก่เรื่องที่พูดมาแล้ว ทุกๆ วัน แต่หนหลังเรื่องธรรมะ เรื่องยกหูชูหาง เรื่องอะไรต่างๆ ไม่รู้กี่ร้อยครั้ง ที่พูดมานี้ นี้ต้องการให้มองในแง่ว่าพระพุทธเจ้าเกิดในกลียุคเหมือนกัน เอานิทานเรื่องนี้เรื่องที่เขียนไว้ที่เสานี้เป็นหลักดีกว่า เรื่องพระเจ้าสร้างโลก ๓๐ ปีแรกเป็นมนุษย์ที่พระเจ้าประทานให้ ๒๐ ปีถัดมาเอาของวัวมา ๒๐ ปีถัดมาเอาของสุนัขมา ๒๐ ปีถัดมาเอาของลิงมา ตลอดชีวิตของคนหนึ่งประมาณ ๑๐๐ ปีนี่ ๙๐ ปีนี่ มันมีเป็นยุคๆ เป็นยุคๆ อย่างนั้นอยู่แล้ว ยุคที่เอาของคนมา ที่เอาของวัวมา ของสุนัขมา ของลิงมา เป็นยุคๆ อยู่แล้ว ทีนี้ยุคไหนมันจะเป็นกลียุคที่สุด ยุคนั้นนะพระพุทธเจ้าจะเกิด คือการตรัสรู้ธรรมะในจิตใจของบุคคลนั้นจะเกิด ถ้าว่ากลียุคหมายถึงไฟ มันก็ต้องเมื่อมีไฟมันจึงจะดับ มีการดับไฟได้
เพราะนั้นในยุคหรือในสมัย ในระยะที่เรามีความทุกข์ มีความเดือนร้อนมาก ที่สุดนั่นนะ พระพุทธเจ้าจะเกิด คือจะรู้ธรรมะขึ้นมาในจิตใจ นั้นการที่มันมีความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นไฟอะไรขึ้นมานี้มันก็เพื่อให้พระพุทธเจ้าเกิด มาดับไฟ การดับสิ่งเหล่านั้นได้คือพระพุทธเจ้าเกิด เพราะฉะนั้นวันไหน เดือนไหน ปี ไหน ที่มันมีความร้อนมากมีความทุกข์มาก เหมือนกับไฟไหม้อยู่ในอก มีนรกอยู่ในอกนั่นนะระวังให้ดี มันเป็นกลียุคที่พระพุทธเจ้าจะเกิด ถ้าเกิดไม่ได้ในเวลาอย่างนี้แล้วมันไม่มีทางเกิด แล้วพระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า มีความทุกข์ที่ไหนมีความดับทุกข์ที่นั่น แล้วความทุกข์ ก็ดี ความดับทุกข์ก็ดี วิธีดับทุกข์ก็ดี อะไรก็ดี มันบัญญัติไว้ในร่างกายนี้ ร่างกายคนเป็นๆ แต่ละคนนี้ที่ยาววาหนึ่งนี้ ที่ยังเป็นๆ นี้ เพราะนั้นในยุคเด็กๆ หนุ่มสาวนี้มันสบายๆ ไม่เป็นกลียุค พ่อแม่เลี้ยง พ่อแม่ให้เงินใช้ พ่อแม่ส่งไปเล่าเรียน มันก็ยังไม่เป็นกลียุค มันก็ยากที่จะรู้ธรรมะในยุคนี้ ถ้ารู้ก็รู้เป็นความจำ ความคิดไปหมด พอยุคที่ต้องเป็นพ่อบ้านแม่เรือน หนักขึ้นกว่านี้มันจะเริ่มรู้ธรรมะแล้ว พอถึงยุคที่นอนไม่หลับนั่นแหละ วิตกกังวลมากขนาดนอนไม่หลับ เป็นหมา เป็นสุนัขเฝ้าบ้านไปนี่ มันเป็นยุคที่จะเกิดธรรมะ ยิ่งมีความทุกข์มากเท่าไร มันเป็นความเหมาะสมที่จะเกิดธรรมะได้ แต่ว่าคนเราไม่คิดอย่างนี้ไม่รู้สึกอย่างนี้ ไม่ได้จัดการให้มันเป็นไปในรูปนี้ ไม่ได้ต้อนรับมันในลักษณะเช่นนี้ นั้นมันก็เลยเหลวเปล่า เหลวเปล่า เหลวเปล่า เป็นกลียุควอดวายไปจนตาย จนเข้าโลงไปไม่มีการแก้ไขได้
เพราะนั้นในคนหนึ่งชั่วระยะไม่เกินร้อยปีนี่ ก็มีกลียุค อยู่ยุคหนึ่งสำหรับคนหนึ่งเสมอ แล้วยุคนั้นพระพุทธเจ้าจะเกิด และก็จะรู้ธรรมะ คือจะรู้ธรรมะเป็นพระพุทธเจ้าหรือเหมือนพระพุทธเจ้า เพราะนั้นระวังให้ดี ถ้าระยะเวลาหมื่นปี หลายหมื่นปี มันเหลือวิสัย นอกเหนือวิสัย เราก็เอาในระยะเก้าสิบปี ร้อยปีที่อยู่ในวิสัยนี่ จัดการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับกลียุคให้ได้
นี่คือกลียุคในภาษาธรรม ที่จริงยิ่งกว่าภาษาคน ปัญหานี้สำคัญและจริงยิ่งกว่าไอ้เรื่องของโลก ในคนๆ หนึ่ง มันก็มีโลกอยู่แล้ว และมันก็ให้ถือเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ มองดูว่าวันไหน เดือนไหนมันเป็นกลียุคสำหรับเรา พระพุทธเจ้ามันก็จะเกิดขึ้นในวันนั้น เดือนนั้น ปีนั้น สำหรับเรา ถ้าเราต้อนรับเป็น ต้อนรับดี อย่ามีมานะ ทิฐิ อย่าจองหอง อย่ายกหูชูหางกลบเกลื่อนมันเสีย เราต้องเตรียมพร้อมอยู่เสมอ ที่จะให้เกิดขึ้นสำหรับกำจัดไฟ หรือความทุกข์นี้ มันก็มีเท่านั้นเอง รายละเอียดต่างๆ ก็เหมือนกับที่พูดมาแล้ว ผ่านมาแล้ว ฟังกันมาแล้ว เขียนอยู่ก็เยอะแยะแล้ว แต่นี้มันเป็นหัวข้อที่สรุปให้เห็นว่า แม้แต่ในคนๆ หนึ่งซึ่งมีอายุไม่เกินร้อยปีนี่ มันก็จะมีกลียุค และในยุคนั้นพระพุทธเจ้าจะเกิด คือบุคคลนั้นจะเปลี่ยน จากความเป็นอันธพาล เป็นสัตบุรุษ หรือ ว่าเป็นผู้รู้ธรรมะอะไรขึ้นมาได้เหมือนกัน นั้นจึงเป็นอันถือได้ว่า จะพูดภาษาคนก็ตาม พูดภาษาธรรมก็ตาม พระพุทธเจ้าเกิดในกลียุค เหมือนกันหมดเลย พอดีฝนตก..