แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
(ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร พูดเรื่องความสุข วันนี้คิดว่าจะพูดเรื่อง..ไม่รู้จะชื่อว่าอะไร)
คือมีพุทธภาษิตอยู่ข้อหนึ่งที่มันสำคัญ หรือมันมีอยู่มากข้อด้วยกัน แต่ว่ามันมีความหมายอย่างหนึ่งอย่างหนึ่ง ที่มีความสำคัญ แต่ว่าไม่ค่อยเห็นกันว่ามันสำคัญ คือ มันเป็นคำพูดประเภทประกอบ ไม่ใช่เป็นคำพูดที่เป็นหลักโดยตรง คำพูดที่มันเป็นหลักโดยตรงนั้นเช่นว่า มันมีความอยาก มีความยึดมั่นถือมั่น ก็มีความทุกข์ต้องดับความอยากเสีย ดับความยึดมั่นถือมั่นเสียก็จะดับทุกข์ อย่างนี้มันเรียกคำพูดหลัก
ทีนี้คำพูดที่มันเป็นเพียงส่วนประกอบส่วนหนึ่งๆ ที่มีมาก ที่มันจะช่วยในส่วนหนึ่ง หรือแง่หนึ่ง หรือมุมหนึ่งเท่านั้นว่า เราจะต้องรู้อะไรบ้างเราจึงจะดับกิเลสเสียได้ นี่คือข้อที่เราไม่อาจจะดับกิเลสได้ เพราะว่าเราไม่รู้ในส่วนนี้ เราอยากแต่จะดับกิเลส อยากแต่จะดับกิเลส แล้วผลสุดท้ายมันก็ดับไม่ถูกตัวกิเลส เป็นต้น ทั้งๆ ที่เราอยากหรือพยายามอยู่ มันก็ไม่ดับกิเลส เพราะมันไม่ถูกตัวกิเลส เพราะเหตุว่ากิเลสมันไม่แสดงออกในลักษณะที่ทำให้เรารู้ว่าเป็นกิเลส เราจึงไม่รู้สึก ไม่รู้จักว่านี่เป็นกิเลสก็เลยจับหรือจัดการลงไปนั้นผิดตัวกิเลส
เพราะเหตุอย่างนี้จึงมีพระพุทธภาษิตส่วนประกอบบอกให้รู้ไว้อีกทีหนึ่ง เช่นว่า ไอ้สิ่งที่มันไม่จริง มันก็แสดงออกมาในรูปที่เราเข้าใจว่าจริง สิ่งที่ไม่สวยไม่งาม มันก็แสดงออกมาในลักษณะที่เราเห็นว่าสวยว่างาม สิ่งที่มันไม่มีประโยชน์ มันเป็นโทษมันก็แสดงออกมาแก่เราในลักษณะที่ว่ามันมีประโยชน์ หรือว่าสิ่งที่เป็นกิเลส เป็นเครื่องเศร้าหมอง ต่ำทรามนี้ มันก็แสดงแก่เราในลักษณะที่ไม่ใช่กิเลส เพราะฉะนั้นเราจึงไม่อาจจะดับกิเลส หรือแม้แต่เราจะพูดในรูปว่ายึดมั่นถือมั่น มีตัวตน มีตัวกูของกู ยกหูชูหางอะไรก็ตามทำนองนี้ มันก็เหมือนกัน ในสิ่งที่เป็นความยึดมั่นถือมั่นเป็นกิเลสนั่น มันแสดงออกมาในลักษณะที่ไม่รู้สึกได้ว่าเป็นกิเลสหรือเป็นความยึดมั่นถือมั่น เราจึงไปหลงผิดยึดเอาไว้ สงวนเอาไว้ซึ่งกิเลสหรือซึ่งความยึดมั่นถือมั่น นั้นอาการที่ยกหูชูหางมันจึงเป็นที่สบอารมณ์ เป็นที่สบอารมณ์ของคนทั่วไป จึงไม่มีใครต้องการที่จะละความยึดมั่นถือมั่น ละความถือตัวถือตน
นั้นพุทธภาษิตประเภทนี้มันเป็นเครื่องเตือนคนทุกคนว่าให้ดูให้ดี ไอ้ที่เราเข้าใจว่าน่ารัก น่าพอใจ น่ามีเอาไว้ น่าสงวนเอาไว้ นั่นแหล่ะให้ดูให้ดีว่า มัน ที่แท้มันสิ่งที่ตรงกันข้าม นี่จะทำให้รู้จักกิเลสได้สักวันหนึ่ง เดี๋ยวนี้ตั้งแต่ต้นมามันก็กลับกันเสียเรื่อย สิ่งที่ถูกอารมณ์ ถูกแก่ความรู้สึก หรือว่าถูกความพอใจนี่มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด ถ้าพูดด้วยถ้อยคำที่ใช้มากหรือใช้เป็นหลักก็ว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา สิ่งที่มันไม่เที่ยง มันหลอก มันไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลง มันก็แสดงออกมาในลักษณะที่เที่ยง ให้เราหลงว่าเที่ยง หรือสิ่งที่มันเป็นทุกข์แท้ๆ มันก็กลับแสดงออกมาลักษณะที่ว่ารู้สึกว่าเป็นที่น่าพอใจหรือเป็นสุข แล้วก็สิ่งที่เป็นอนัตตาก็แสดงออกมาในสิ่งที่เป็นอัตตา นี่โดยหัวข้อทั่วๆ ไปที่เป็นหลักใหญ่ มีอย่างนี้
ที่เราจะไปดูให้มันละเอียดออกไปถึงหัวข้ออื่น คำพูดอย่างอื่น มันก็ได้ ยังมีคำว่างาม ว่ามีประโยชน์ ว่าดี ว่าจริง อะไรก็ตาม สิ่งที่ไม่ดีแสดงแก่เราในลักษณะที่ว่ามันดูว่าดี เราจึงไม่มีโอกาสที่จะไปละความไม่ดี สิ่งที่ไม่จริงแสดงออกมาในลักษณะที่ว่าจริง เราก็เลยหลงในสิ่งที่ไม่จริง คนที่เขาพูดว่า งามอยู่ที่ผี ดีอยู่ทีละ พระอยู่ที่จริงนี่ แสดงว่าเขารู้เรื่องนี้ ว่างามอยู่ที่ซากผี แล้วก็เยาะเย้ยหรือล้อเลียนคนธรรมดาที่มันไปงามอยู่ที่คนเป็นๆ ประดับประดาตกแต่ง มีการกระทำที่ตบตา หลอกลวง ว่างาม ผู้หญิงงาม ผู้ชายงาม อะไรอย่างนี้ ทีนี้มีคนมาพูดว่า งามอยู่ที่ซากผีต่างหาก มันก็เลยตรงกันข้าม คนหนึ่งมันพูดความจริง คนหนึ่งมันพูดไปโดยที่ไม่รู้สึก รู้สึกไปตามความรู้สึก ไอ้ของไม่งามแสดงออกมาในลักษณะที่เป็นของงาม
ทีนี้ คำว่างาม ในที่นี้มันก็เกิดมา ๒ ความหมายอะไรขึ้นมา งามอย่างหลอกลวง กับงามอย่างแท้จริง หรือว่าสกปรก สกปรกอย่างแท้จริง สกปรกอย่างไม่จริง สกปรกเช่น อุจจาระ ปัสสาวะ ไอ้ของเน่าเหม็นอะไรเหล่านี้ไม่จริง สกปรก คือ มีกิเลส มีโลภะ โทสะ โมหะ มีถือตัวถือตน นี่คือสกปรกจริง สกปรกที่แท้จริง ไอ้ของเน่าเหม็นนั้น มันไม่ได้สกปรก หรือว่าไม่สกปรกอะไร มันก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งที่เราสมมติว่ามันสกปรก เพราะว่าเราเอาตามความรู้สึกของคนธรรมดา ที่ถูกไอ้ของสกปรกเหล่านั้นคือ ของที่แสดงความจริง ไม่หลอกลวง ของสวยงามที่มนุษย์ทำขึ้น หรือว่าหลงใหลกันนักนี่ของหลอกลวง สภาพที่เราเรียกว่าความทุกข์ก็เหมือนกัน คือเป็นสภาพที่แท้จริงและเปิดเผย นี่เป็นความจริง เป็นสิ่งที่ต้องรู้จัก
ส่วนที่เราเรียกว่าความสุขนั้น ดูให้ดีเถิด มันล้วนแต่หลอกลวง เอร็ดอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจก็ครึ้มไปด้วยเรื่องตัวกูของกู แล้วก็มีความสุข เพราะเหตุนี้ นี่คือความสุขที่เรียกกันว่าความสุข แล้วก็หลอกลวง ส่วนความทุกข์ ความเจ็บไข้ ความอะไรก็ตาม นี่เป็นความจริง แสดงโดยเปิดเผย ที่นี้ไอ้ความทุกข์ชนิดนี้เรามันต้อนรับไม่เป็น มันกลายเป็นไม่มีประโยชน์ หรือเป็นของน่าเกลียดน่ากลัวไปเสีย ถ้าเราต้อนรับเป็น มันกลายเป็นวิชาความรู้ เป็นเรื่องทำให้รู้ ให้ตรัสรู้ ให้บรรลุมรรคผลได้ ส่วนเรื่องความสุขนั้นมีแต่ทำให้โง่ลง โง่ลง โง่มาก โง่ไม่มีที่สิ้นสุด
นั้นที่แท้ ไอ้ที่เรียกว่าความสุขนี่เป็นปรากฏการณ์ของความทุกข์ หรือสิ่งที่นำมาซึ่งความทุกข์ เหมือนกับพุทธภาษิตที่ว่า ไอ้สิ่งที่มันเป็นความทุกข์แสดงออกมา ปรากฏแก่เราในรูปของสิ่งที่เป็นความสุข ถ้ารู้เท่าทันในข้อนื้หรือในหลักเกณฑ์อันนี้แล้วมันก็พอ มันก็เป็นเรื่องที่เพียงพอ มันพูดในลักษณะที่เป็นคู่ตรงกันข้ามอยู่เสมอ แต่จะใช้ logic จับเป็นคู่ตรงกันข้ามไปหมด ไปเสียทั้งหมด มันก็คงจะไม่ได้ เพราะคำพูดภาษาไทยมันยังไม่แน่นอน ไม่ใช้เป็นหลักที่แน่นอนได้ แต่ถึงอย่างไรมันก็พอจะพูดเป็นหลักได้ว่า มันกลับตรงกันข้ามอยู่เสมอ สุขแสดงออกมาเป็นทุกข์ ทุกข์แสดงออกมาเป็นสุข ไปหาคำอธิบายเอาเองให้ดีๆ แต่เรื่องใหญ่ใจความ ใจความสำคัญมีเรื่องใหญ่อยู่ที่ว่ากิเลสนี้ มันแสดงออกมาในรูปที่เราไม่คิดว่าเป็นกิเลส คือ เป็นสิ่งที่น่ารัก น่าพอใจ น่าปรารถนา น่าสงวน น่าอะไรเอาไว้เสียอย่างนี้ นั้นจึงไม่มีเรื่องของการละกิเลสที่แท้จริง มีทำไปอย่างที่ไม่สมบูรณ์ หรือละเมอเพ้อฝันในที่สุด และแม้แต่ตัวกิเลสจริงๆ ก็ไม่รู้จัก คือ ไปรู้จักผิดเป็นเรื่องไม่ใช่กิเลส ไอ้ที่ไม่ใช่กิเลส ที่เป็นข้าศึกของกิเลสนั้นกลับไม่เห็นว่ามีประโยชน์หรือไม่สนใจเสียเลย ไอ้สิ่งที่มันไม่ใช่กิเลสหรือว่าจะเป็นคู่ปรับกับกิเลสกลับไม่เป็นที่สนใจ นั้นเดี๋ยวนี้เรามีปัญหากันอย่างนี้ทั้ง หมด หมดทั้งโลก หมดทั้งโลก คือเราไปสนใจแต่เรื่องที่จะทำให้มันเกิดกิเลส และเกิดความทุกข์ ไปเพิ่มพูนแต่เรื่องที่จะเกิดกิเลสและความทุกข์
มหาตมะคานธีเป็นคนที่มีปัญญา พูดอะไรไว้หลายอย่าง มีพูดบางอย่างที่มันเข้ากันได้กับหลักอันนี้ เช่นพูดว่า ถ้ามนุษย์ในโลกเราจะอยู่กันอย่างเป็นสุขแล้วก็ ต้องอยู่กระท่อมแทนที่จะอยู่วัง อยู่ตึกรามที่เป็นวัง ใช้คำว่า วัง คือให้มันหมายความสูงสุด อยู่ตึกรโหฐาน อยู่อย่างกับวัง ภาษาไทยมันก็มีความหมายดี อยู่อย่างอยู่กับวัง อยู่วิมาน อยู่วัง ไอ้กระท่อมนั้น หมายถึงกระท่อมอย่างที่มหาตมะคานธีอยู่ กระท่อมพื้นดิน มุงใบไม้ ถ้าจะให้มนุษย์หรือโลก ทั้งโลกมนุษย์นี้มีความสุข มนุษย์จะต้องอยู่กระท่อมแทนที่จะอยู่วัง แล้วก็ทุกอย่างหละคือว่ากินอาหารง่ายๆ ธรรมดา กินข้าวกับน้ำผักดอง แทนที่จะกินอะไรอย่างที่เดี๋ยวนี้เขากินกันนะตามภัตตาคารนะ
นี่ลองไปคิดดูให้ดี มันมีใจความคล้ายๆ กัน เดี๋ยวนี้เรากำลังชอบตึกราม การเป็นอยู่ในระดับสูงสุดเท่าที่เราคิดว่ามันจะสูงสุดได้ แล้วเราขึ้นเรือบินดูไปเห็นบ้านเมืองของประเทศแต่ละประเทศนี่มันก็จะมีแต่ตึกรามมากขึ้น มากขึ้น แต่ละคนพยายามจะมีการเป็นอยู่แบบอยู่ตึกอยู่วัง ไม่มีใครสมัครที่จะอยู่กระท่อม เว้นแต่มันจำเป็น มันไม่สามารถที่จะอยู่ได้ มันจึงจำเป็นอยู่ในกระท่อม ในรัง คำพูดอย่างนี้ไม่ได้รับการต้อนรับ ไม่มีใครเชื่อ ไม่มีใครคิดเล่นด้วย ไม่มีใครรับฟัง ไม่อาจจะมีใครรับฟังได้ แต่ว่ามันเป็นความจริงที่สุด แล้วมันก็แปลกเกินไป ยังไกลเกินไปสำหรับคนสมัยนี้ที่จะรับฟังคำพูดอันนี้ได้ จนกว่าจะถึงสมัยหนึ่ง สมัยหนึ่งข้างหน้าหรืออะไรก็ตาม ซึ่งคนจะเห็นจริงด้วยถึงขนาดมันเบื่อ เบื่อตึก เบื่อวัง เบื่ออะไรขึ้นมา มันก็จะเห็นจริงด้วย เพราะว่าไอ้การเป็นอยู่แบบที่เรียกว่าอยู่ตึกอยู่วังนั่นน่ะ ไปคิดดูนะ มันมีแต่ส่งเสริมให้เป็นทาสของกิเลส ให้เป็นทาสของอารมณ์ ของวัตถุ ส่งเสริมให้เป็นทาสของวัตถุ ส่วนอยู่กระท่อมนี่ มันส่งเสริมไปในทางให้อยู่เหนือวัตถุ สูงกว่าวัตถุ ที่พระพุทธเจ้าท่านว่า จิตของมนุษย์มันเป็นทาสของวัตถุเสียแล้ว มันก็ไม่มีหวังที่จะมีความสงบ มีความสุข มีความสงบ ถึงจะให้มันเจริญในทางวัตถุอย่างไร มันก็ยิ่งมีจิตใจเร่าร้อนหรือยิ่งขึ้นเท่านั้น มันเป็นสิ่งที่หยิบมาให้ดูไม่ได้ว่า คนที่อยู่บนตึกบนวังในวังนั่นน่ะ มันร้อน ร้อนเท่าไร แล้วคนที่อยู่ในกระท่อมนี่มันเย็นเท่าไร เป็นสิ่งที่หยิบมาให้ดูไม่ได้ อย่างคำกล่าวในพระไตรปิฎกซึ่งมีอยู่มากแห่ง เป็นนักบวชถือกะลาขอทานมีความสุขยิ่งกว่าพระจักรพรรดิ มีความสุขยิ่งกว่าความเป็นพระราชาจักรพรรดิ นี้เราก็โง่ดักดานเพราะเราไม่เคยเป็นทั้งคนขอทาน ไม่เคยเป็นทั้งพระจักรพรรดิ เราก็ไม่รู้ความหมายเหล่านี้
ฉะนั้นลองคำนวณดูว่าเราบวชพระบวชเณรสมัยนี้มันก็บ้ามาก ไม่อยู่ในรูปของคนถือกะลาขอทานอย่างสมัยโน้น ถ้าเป็นนักบวชตามแบบครั้งพุทธกาลนี้มันก็มีลักษณะเหมือนกับถือกะลาขอทานอยู่นั้นจริง ไม่มีที่อยู่ที่แน่นอนว่าอยู่ที่ไหน ไม่มีความหวังว่าพรุ่งนี้จะกินอะไร อย่างนี้เราทุกคนที่นี่มีความหวังว่าพรุ่งนี้ที่โรงฉันคงมีอะไรให้ฉันอย่างนั้นอย่างนี้เหมือนทุกๆ วัน แต่ถ้าเป็นนักบวชอย่างครั้งพุทธกาลนั้น ไม่มีความแน่นอนว่าพรุ่งนี้จะฉันอะไร เพราะว่ารุ่งขึ้นก็ถือกะลา คือบาตรนี่ ไปตามที่มันจะมี จะเดิน และไปทิศไหนก็ไม่แน่ ไม่ได้ไปตายตัว ซ้ำซากอย่างที่เราไป คำพูดชนิดนี้เขาหมายความถึงว่า ไม่มีบ้านเรือน ไม่มีอะไรผูกพัน ไม่มีอะไร มีแต่บาตรกะลาขอทาน ไปอย่างอิสระเหมือนกับนก อยากจะบินไปที่ไหนก็ได้ ก็มีความสุขยิ่งกว่าความเป็นจักรพรรดิ นี้ความเป็นจักรพรรดิก็ยังไม่ได้เคยชิน ไม่เคยได้เป็น คำนวณเอาก็แล้วกัน จะฆ่าใครก็ได้ จะเอาอะไรก็ได้ จะเอากามารมณ์ยังไงก็ได้ แล้วมันมีความทุกข์ที่ตรงไหน คนที่ไม่เคยเป็นก็ไม่รู้ นี้พระจักรพรรดิที่ไม่ประกอบไปด้วยธรรมะ มันก็คือคนเหมือนกับตกนรกชนิดหนึ่งอยู่ทั้งกลางวันกลางคืน เต็มไปด้วยปัญหา เต็มไปด้วยความวิตกกังวล เต็มไปด้วยความหวาดกลัวนานาสารพัด หวาดกลัวว่าลูกจะขบถอย่างนี้เป็นต้น หวาดกลัวว่าคน อำมาตย์ ราชบริพารจะกบฏ นั่นภายนอก แล้วภายใน มันอยู่ดีกินดีอะไรเข้าไปมาก สิ่งยั่วยุทางกิเลสตัณหามันก็มาก บริโภคกามารมณ์ทางเพศ ทางอะไรเท่าไรมันก็ไม่รู้จักจะสมใจได้ เพราะความอยากหรือกิเลสมันมาก ไอ้อวัยวะร่างกายมันไม่มีกำลังเพียงพอที่จะทำให้สมอยาก มันก็ถูกทรมานด้วยราคะ ถูกทรมานด้วยราคะที่ไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักเต็ม ไม่รู้จักพอบ้าง และมันก็มีเรื่องที่ทำให้โกรธ หงุดหงิด ขัดแค้นอยู่เสมอ และมันก็มืดมน ไม่รู้จะไปจบจุดกันอย่างไร ที่ไหน ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม ส่วนนักบวช ขอทานนี่ไม่มีปัญหา ไม่มีวิตกกังวล ไม่มีภาระ และประพฤติอยู่ลักษณะที่ราคะไม่รบกวน โทสะไม่รบกวน โมหะไม่รบกวน เขาจึงกล้าพูดว่า ปิเจปัฏตมาทายะ (นาทีที่ 27.50 ) แม้จะมีแต่บาตรเที่ยวถือขอทานก็ยังมีความสุขยิ่งกว่าจักรพรรดิ นาคารังปริพัช เช อันยัง (นาทีที่ 28.05 ) ไม่เบียดเบียนใคร ไม่เบียดเบียนใคร อันยังสิงโรเค อัปปิรัตเช น ตัง วรัง (นาทีที่ 28.15 ) ออกบวชเป็นผู้ไม่มีเรือน มีแต่บาตรใบเดียวสำหรับขอทาน ไม่เบียดเบียนผู้ใดเลยมีความสุขยิ่งกว่าความเป็นจักรพรรดิ คำพูดเต็มๆ นี่ ทีนี้เราเปรียบเทียบกันดู คนขอทานเป็นแบบนี้คนหนึ่งกับพระจักรพรรดิองค์หนึ่ง ใครจะเลือกเอาข้างไหน เดี๋ยวนี้ทุกคนมันก็เลือกเอาความเป็นจักรพรรดิ และก็สั่นหัวที่จะเลือกเอาเป็นผู้ถือบาตรใบเดียวเที่ยวไป ไม่เบียดเบียนใคร
นี่ไปดูประเทศไทย ประเทศไหน ประเทศทั้งโลกไม่มีใครต้องการ แต่ว่ามันมีคนบางคน ไม่กี่คนเขาต้องการอย่างนั้น แล้วเป็นที่พอใจเหมือนกัน เดี๋ยวนี้ทั้งโลกมันหมุนไปในลักษณะที่ทำให้คนต้องการจะเป็นผู้มีอำนาจวาสนาไม่มีที่สิ้นสุด จะกอบโกยวัตถุไม่มีที่สิ้นสุด ช่วยกันผลิตขึ้นให้ไม่มีที่สิ้นสุดโดยเขาถือว่ามันยังขาดอยู่ ยังพร่องอยู่ไปทั้งนั้นเลย เพราะเขาต้องการจะให้มันอยู่ในระดับเหมือนกับอยู่ในวัง อย่างนี้มันก็ขาด ยังขาด แต่ถ้าว่าต้องการระดับทุกคนอยู่กระท่อมเหมือนมหาตมะคานธีว่าแล้ว เดี๋ยวนี้มีเกินแล้ว เกิน เหลือเฟือ เกินระดับที่มนุษย์อยู่กระท่อมอย่างมหาตมะคานธีว่าน่ะ เดี๋ยวนี้มีเกินแล้ว ไม่ต้องเที่ยวประชุมพัฒนา กันที่ตรงนั้นตรงนี้ ไม่มีที่สิ้นสุดเหมือนกับที่ทำอยู่เดี๋ยวนี้ ดูโครงการอะไรบ้างของสหประชาชาติมี่กี่องค์การ เที่ยวประชุมที่นั่นที่นี่ เพื่อจะแก้ปัญหาที่เขาเห็นว่าสำคัญที่สุดของโลก แต่ถ้าว่ามองดูด้วยหลักของมหาตมะคานธีแล้ว มันพวกบ้าทั้งนั้นเลย ที่ทำไปนั้น มันพวกบ้าทั้งนั้นเลย คือไปใส่ไฟใส่ฟืนให้ไม่มีที่สิ้นสุด ไปเติมฟืนให้มันไม่มีที่สิ้นสุด และก็ไม่เห็นว่าจะทำให้มนุษย์มีความสงบสุขได้ ไม่มีวี่แวว ไม่มีลักษณะอะไรแสดงว่ามนุษย์จะมีความสงบสุขได้เพราะการกระทำของคนเหล่านี้ ทุกประเทศก็นิยมอย่างนั้น นิยมอย่างนี้ นิยมอย่างที่เขานิยมกันอยู่ แต่มันอาจจะเป็นเรื่องส่วนตัว แสวงหาประโยชน์ส่วนตัวโดยเอานี่เป็นฉากบังหน้าก็ได้
แต่เดี๋ยวนี้ผมหมายความว่า แม้ทำได้สำเร็จตามนั้นโดยความซื่อสัตย์สุจริตก็ไม่อาจจะแก้ปัญหานี้ได้ เพราะว่ามันเติมฟืนเรื่อย เติมฟืนให้แก่ไฟเรื่อย เติมฟืนให้แก่ความอยาก ความปรารถนา ความวิตกกังวล ความเป็นภาระผูกพัน ความอะไรมีมากขึ้น ทีนี้ปัญหาต่างๆ ที่สันติภาพ เกี่ยวกับสันติภาพมันเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้มัน ที่จะแก้ไขลุล่วงไปได้ เป็นไปไม่ได้ มีแต่วนไปวนมา วนไปวนมา แล้วก็แรงขึ้น แรงขึ้น เพราะความทะเยอทะยานของมนุษย์ที่ไม่มีที่สิ้นสุดอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าว่าทุกคนพอใจในขอบรั้วกระท่อมของตัวนี่ มีกระท่อมและมีเขตหน่อยหนึ่ง ทำมาหากินตามแบบธรรมชาติ ปัญหามันมีน้อย แม้จะไม่ได้รับความสะดวกสบายอย่างสนุกสนานรโหฐาน มันก็ไม่มีความทุกข์ แล้วคนชนิดนี้เขาไม่กลัวตาย ความตายไม่มีความหมาย มันเลยไม่มีปัญหาเหลือ
ทีนี้คนสมัยนี้ คนแบบใหม่นี้เรียกว่า คนแบบใหม่นี่ มันกลัวตายยิ่งขึ้นทุกที ร้อยเท่า พันเท่า หมื่นเท่า แสนเท่า ล้านเท่า มันกลัวตายมากทุกที เพราะมันเป็นทาสวัตถุ ความกลัวตายเกิดมาจากความกลัวว่าจะพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่ชอบใจ ความกลัวตายของคนเรามันเกิดมาจากกลัวจะพรากไปจากสิ่งที่รักที่ชอบใจ เช่นลูก เช่นเมีย เช่นสมบัติพัสถาน อำนาจวาสนา ความฟุ้งเฟ้ออะไรต่างๆ อยากจะมีสิ่งเหล่านี้ อยากจะอยู่กับสิ่งเหล่านี้ นั้นไอ้ความกลัวตายนี่มันก็ทรมานจิตใจของคนเหล่านี้ ส่วนคนที่เขาไม่กลัวตาย มันก็ไม่มีอะไรทรมาน แล้วคนที่หัวเราะเยาะความตายก็ยิ่งไม่มีอะไรจะมาทรมานใจได้ ทีนี้ยิ่งเป็นอยู่อย่างไม่มีลูก ไม่มีเมีย ไม่มีครอบครัว ไม่มีอำนาจวาสนาผูกพันอะไรเลย มันก็ยิ่งไม่มีความกลัว จะเป็นกลัวอะไรก็ตามไม่มี แต่ว่าทุกคนต้องรู้ไว้ว่าความกลัวทุกชนิดน่ะ ไปสรุปอยู่ที่กลัวตาย ต้องดูให้ดีๆ ข้อนี้ต้องดูให้ดีๆ ให้มองเห็นไว้ ตาย คือ พลัดพรากจากสิ่งที่รักที่ชอบใจ แล้วความกลัวทุกชนิดไปสรุปรวมอยู่ที่กลัวตาย กลัวเจ็บ กลัวไข้ กลัวเสือ กลัวผี กลัวจน กลัวอะไรก็ตาม จุดปลายทางมันไปสรุปอยู่ที่กลัวตาย คือ พลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจ หรือไม่ได้อยู่กับสิ่งที่ตัวพอใจ ถ้าว่าใจมันสูงขนาดไม่ยุ่งเรื่องหญิง เรื่องชาย เรื่องเพศ แล้วมันก็ยังมีเรื่องเกียรติยศ อำนาจ วาสนา ตัวกู ยกหูชูหางให้เป็นสิ่งประเสริฐสุด มันกลัวจะพลัดพรากจากสิ่งเหล่านั้น ถ้ามันสูงกว่านั้น ทำความสุขให้เกิดมาได้จากสมาบัติ จากสมาธิ ก็กลัวจะพลัดพรากจากสิ่งเหล่านั้น
เรื่องราวในพระคัมภีร์อ่านแล้วสรุปได้ความว่าพวกพรหมกลัวตายที่สุด พวกพรหมในพรหมโลกกลัวตายที่สุด เพราะว่าเขากำลังอยู่กับความสุขที่ประณีตที่สุด ละเอียดที่สุด สุขที่.. เรียกว่าค่อนข้างจะแท้จริงที่สุด แต่เขาก็เรียกว่ามันแท้จริง แต่พูดอย่างเราเรียกว่า รู้สึกว่ามันแท้จริงที่สุด คือสุขที่สงบเย็น ประณีต ละเอียดสุขุม เกิดมาจากสมาบัตินั้นๆ แล้วมีตัวกูในลักษณะที่เป็นสุขอย่างนั้น และก็ไม่อยากตาย นี่พวกพรหมจึงกลัวตายมากกว่าไอ้พวกเราชาวบ้านนี้ เพราะเขากำลังอยู่กับความสุขที่สูงสุดจากยอดสุดเลย ไอ้เรานี่มันมีเหตุลุ่มๆ ดอนๆ อยู่เรื่อย บางทีอยากตาย แต่ถึงอย่างนั้นโดยเนื้อแท้ก็กลัวตาย ถึงแม้ว่าอยากตายก็เพราะกลัวตาย กลัวจะต้องตายอย่างไม่ดีเลยชิงตายง่ายๆ เสียก่อน นี่มันเป็นตัวอย่างที่ให้เรารู้ว่าเรากำลังหลง กำลังหลงเอาสิ่งๆ หนึ่งเป็นสิ่งๆ หนึ่งซึ่งตรงกันข้าม ตลอดเวลาที่ยังเป็นปุถุชน มารู้จักลักษณะและความหมายคำว่า ปุถุชน กันเสียบ้าง คือ ผู้ที่ยังรู้จักสิ่งที่ถูกหลอกโดยธรรมชาติว่าเป็นของจริง คำว่า ธรรมชาติ นี้มันหมายความกว้างขวางมาก จะเรียกว่าอะไรก็ตามใจ ผมเรียกว่าธรรมชาติ ธรรมชาติของปุถุชนนั้นแสดงสิ่งที่เป็นทุกข์ในรูปของสิ่งที่เป็นสุข มันแสดงสิ่งที่อะไรก็ตาม ตรงกันข้ามหมดเลย สิ่งที่ไม่มีประโยชน์ในลักษณะที่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้นเราจึงทำสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ หรือไม่จำเป็นจะต้องทำกันอยู่มากเหมือนกัน สิ่งที่ไม่ดีในรูปของสิ่งที่ดี สิ่งที่ไม่สวยในรูปของสิ่งที่สวยก็ตาม คือ ความเป็นปุถุชน คือ อยู่ในระดับที่จะต้องถูกหลอกโดยธรรมชาติ ของกิเลสนี่ธรรมชาติของปุถุชนนั้นอยู่เรื่อยไป
ในเรื่องการบวชนี้มันก็เป็นความมุ่งหมายอันหนึ่งที่จะทำให้แจ้ง ให้ประจักษ์ ให้แจ้งซึ่งความจริงข้อนี้ เพราะฉะนั้นวันบวชก็มีสอนกันแล้วเรื่องปฏิกูลและกรรมฐานบ้าง เรื่องอะไรบ้างแล้วเราก็มีตลอดมาให้รู้จักพิจารณาอย่าให้ถูกหลอก ให้รู้จักสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง ประโยคนี้สำคัญมากนะ พูดง่ายๆ ยถาภูตัง ปชานาติ รู้สิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง จริงอย่างถูกธรรมชาติหลอก และก็ถือรั้นดื้อรั้นในความจริงที่ถูกธรรมชาติหลอก แล้วก็อยู่กันอย่างนี้ ทั้งโลกมันก็เลยกระทบกระทั่งกันอยู่ด้วย ด้วยความหลงในอย่างนี้ มันอยากจะยกหูชูหาง เมื่อเพื่อนไม่ให้ยกหูชูหาง มันก็ต้องต่อต้าน ต้องต่อสู้ ต้องกระทบกระทั่ง ต้องรบราฆ่าฟันกัน คนเดียวสู้ไม่ได้ก็ไปชวนเพื่อนเป็นพันธมิตรกันหรืออะไรกันเพื่อการต่อสู้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด เพื่อสิ่งที่มันถูกหลอก ถูกหลอกโดยธรรมชาติ นั้นเดี๋ยวนี้ไม่มีพระเจ้า ไม่มีศาสนา ในโลกนี้ โดยส่วนใหญ่ไม่มีพระเจ้า ไม่มีศาสนา เพราะคนไม่ได้มีจิตใจที่จะถือหลักของพระเจ้าหรือถือหลักของศาสนา เรียกว่า ทิ้งพระเจ้า ทิ้งศาสนากันหมด เหลืออยู่ไม่กี่คน ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วมันไม่มีตัวเลข จะเขียนในทางศูนย์ๆ ไม่มีกี่คนที่จะรู้จักพระเจ้า รู้จักศาสนาแล้วก็พอใจในพระเจ้า พอใจในศาสนา นั่นโลกชนิดนี้มันก็ต้องวุ่นวายไปอย่างนี้ วุ่นวายไปเรื่อยและก็ไม่มีทางจะเข้าใจว่าอยู่กระท่อมดีกว่าอยู่ปราสาท ต้องไปนั่งพิจารณาบนปราสาท
นึกขึ้นมาได้ถึงคำว่า ปราสาท อีกคำหนึ่ง ปัญญา ปาสา ท มาวี หัก (นาทีที่ 42.06) จงขึ้นสู่ปราสาทแห่งปัญญา ปัญญาปราสาท แล้วพิจารณาดูสัตว์โลกที่กำลังวุ่น วิ่งวุ่นอยู่ ปราสาทชนิดนี้มันจะแก้ปัญหาเกี่ยวกับปราสาทชนิดนั้นได้ โยคี หรือ ฤาษี หรือ นักบวชอะไรคนหนึ่งอยู่กระท่อมใบไม้แล้วก็นั่งนิ่งๆ แล้วก็พิจารณาเห็นราวกับว่าขึ้นอยู่บนฟ้ามองดูเห็นโลกทั้งหมดกำลังเป็นอย่างไร เรียกว่าโยคีคนนี้กำลังขึ้นสู่ปราสาท ยอดสุดของปราสาทแล้วมองดูยัง ลงไปยังโลกที่กำลังวุ่นวาย นี้ไอ้ปราสาทอย่างที่ว่าทีแรกก็เป็นเรื่องเด็กอมมือไง ตึกยี่สิบชั้น ตึกร้อยชั้น ตึกพันชั้นอะไรก็ตาม มันก็ยังเป็นเรื่องเด็กอมมือ ให้สร้างตึกกันสัก ร้อยชั้น พันชั้น แล้วจัดสรรอะไรในนั้นให้อยู่กันตามที่กิเลสมันต้องการอย่างไรก็ตาม มันก็เป็นเรื่องเด็กอมมือ แล้วมันก็ไม่สูงเท่ากับปราสาทของโยคีที่นั่งอยู่ในกระท่อม มีจิตใจขึ้นไปสูงสุดเหนือมนุษย์โลก เหนือเทวโลก เหนือพรหมโลก เหนืออะไรแล้วมองดูลงมาในมนุษย์โลกมันบ้ากันยังไง ในเทวโลกมันบ้ากันยังไง ในพรหมโลกมันบ้ากันยังไง มันโง่กันยังไง แล้วตัวเองไม่โง่ อย่างนี้เขาเรียก ปัญญาปราสาท ยกเว้นไม่รวมอยู่ในที่ว่ามาเมื่อตะกี้นี้นะ ไอ้อยู่กระท่อมดีกว่าอยู่ปราสาท หมายถึงไอ้วัตถุ ปราสาทของคนบ้า จะสร้างกันกี่ชั้น กี่ร้อยชั้น จัดสรรอะไรกันในนั้นยังไงก็ตามใจ มันเป็นเรื่องของคนบ้า ไม่ทำโลกให้มีทางสงบสุขได้ มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงนั้นก็ไม่ว่า แต่ว่ามันมีจิตชนิดที่เลวทรามมาก คือ เห็นแก่ตัวจัด มันสร้างตึกสร้างปราสาทขึ้นไปสูงเท่าไร มันก็ยิ่งเห็นแก่ตัวจัดเท่านั้น ไม่ต้องสงสัย วัดกันได้ด้วยชั้นของปราสาท ส่วนคนที่อยู่กระท่อมพื้นดินนี่มันหมดความเห็นแก่ตัวตามความหมายของมหาตมะคานธีคือว่าเป็นบรรพชิตที่ถูกต้อง
นี่พูดถึงเรื่องที่ว่ามันลำบาก มันยาก มันลำบากที่เราจะเข้าใจแล้วปฏิบัติธรรมะให้ดับทุกข์ได้จริง มันไม่สามารถจะดับทุกข์ได้จริงส่วนตัวบุคคล ทีนี้ปัญหาอีกอันหนึ่งก็คือว่า ไอ้การที่จะสอนผู้อื่นน่ะ ในการที่จะเผยแผ่ธรรมะสั่งสอนผู้อื่นมันก็มีความลำบากอย่างเดียวกันอีก สมมติว่าเราคนหนึ่งเข้าใจและเอาชนะสิ่งเหล่านี้ได้ เอาชนะความหลอกลวงนี้ได้แล้วเราจะไปสอนคนอื่นหรือแนะนำคนอื่น ชักจูงคนอื่นให้มาสู่ความเข้าใจถูกนี่ มันยิ่งยากเหมือนกัน เพราะว่าทุกคนเขาไม่ต้องการ ไม่มีใครยอมรับว่าอยู่กระท่อมดีกว่าอยู่ปราสาท นั้นเดี๋ยวนี้ดูว่ามันไม่มี ไม่มีผลหรือไม่มีความหมายที่จะสอนธรรมะแท้จริงกันในโลกนี้และในยุคนี้ แต่แล้วในที่สุดจะไม่ทำก็ไม่ได้ คือ ไม่ดีกว่าที่จะไม่ทำ นั้นทำดีกว่าที่จะไม่ทำ ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่า มันมีผลน้อยเหลือเกิน เพราะฉะนั้นการพูด การสอน การชี้แจงชักจูงก็ทำไปตามที่จะทำได้ โดยทั่วไปก็มีลักษณะไม่มีใครยอมรับฟัง รองลงมา รับฟังบ้างก็เหมือนกับกลิ้งครกขึ้นภูเขา ไอ้ส่วนที่เข้าใจและจะเป็นไปได้นั้นนับว่าน้อยที่สุด มีน้อยที่สุดแล้วยิ่งถ้าไม่มีโอกาสมานั่งพูด พร่ำพูด พูดแล้วพูดอีก พร่ำพูดกันอยู่อย่างนี้แล้วก็ยิ่งมีโอกาสน้อยที่สุดที่จะเข้าใจได้ นี่คิดดู พูดภาษาไทยกันยังไม่ค่อยรู้เรื่องนะ แล้วจะไปพูดภาษาต่างประเทศให้รู้เรื่องมันก็ยิ่งไปไม่ได้ ยิ่งเป็นไปไม่ได้ พูดภาษาไทยด้วยกันทุกวันๆ มันยังไม่ค่อยจะรู้เรื่องสำหรับเรื่องนี้ เพราะอำนาจของการถูกหลอกลวงมันมีมาก น้ำหนักหรืออำนาจของความหลอกลวงของธรรมชาตินี้มันมีมากจนยากที่จะยอมรับฟัง ยอมเชื่อพระพุทธเจ้า ยอมเชื่อครูบาอาจารย์ หรือว่ายอมเชื่อคำสั่งสอนที่มีอยู่แล้วเป็นระเบียบ มันยิ่งกว่าที่จะเป็นเด็กดื้อ ไอ้เด็กดื้อก็ยังไม่เท่านี้ นี่มันเกิน เกินไปเสียอีก เป็นคนแก่ดื้อ
ที่นี้ลอง ลองแทรกเรื่องสักนิดหนึ่งว่า เรามีตึกหลังนี้ มีโรงหนังทางวิญญาณนี้ ในความมุ่งหมายอย่างนี้มันจะได้ผลสักกี่มากน้อย มันจะเป็นไปได้สักกี่มากน้อย คุณดูเอาก็แล้วกันว่า ไอ้คนที่มันมานี่ มาดูวันหนึ่ง วันหนึ่งก็หลายคน มันก็ผ่านประตูนี้ออกประตูโน้น แทบทั้งร้อย ร้อยทั้งร้อย มันไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้ไม่เป็นที่สนใจคนเหล่านั้น อย่างดูนานหน่อยก็ดูเป็นเรื่องแปลก เรื่องตลก เรื่องศิลปะ ไม่เข้าใจความหมายลึกซึ้งที่เป็นในทางธรรมะเลย นี่เรายังไม่ได้รับประโยชน์ในทางธรรมะ เหมือนกับที่เราตั้งใจไว้ แต่ว่านั่นมันสูง มันสูงเกินไปก็อย่าไปคิดมันเลย เอาแต่เพียงว่าให้ได้รับความพอใจ รู้อะไรเพิ่มขึ้นหรือหันมาสนใจเรื่องนี้กันบ้าง ได้ความรู้บ้าง ได้ความพอใจบ้าง ก็คุ้มๆ กันกับเงินหรือเรี่ยวแรงที่เสียไป เพราะว่าถ้ามันเข้าใจเหล่านี้หมด เป็นพระอรหันต์กันหมด ผ่านประตูนี้ออกประตูโน้น เป็นพระอรหันต์กันหมด เดี๋ยวนี้มันยังเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าแม้แต่คนที่นั่งเขียน นั่งอธิบายอยู่ทุกวันก็ยังไม่เข้าใจถึงที่สุดของมัน
ต้องมีการกระทำชนิดที่เรียกว่า โยนิโสมนสิการ ทำในใจโดยแยบคาย แล้วก็ ภาวิตา พหุลีกตา ทำแล้วทำอีก ทำแล้วทำอีก ทำให้เจริญยิ่งขึ้นทุกวัน อย่างที่ผมพูดว่าเก้าอี้นั้นนะ มีไว้ให้นั่งเพ่งกี่สิบหน กี่ชั่วโมงก็ตามใจ ผมนั่งดูปลาวันละชั่วโมง วันละชั่วโมง ปีเศษจึงรู้ว่า อ้าว,ปลานี้พระเจ้าไม่ได้สร้าง personal god god อย่าง personal น่ะไม่ได้สร้าง ปลาเหล่านี้ ถ้าพระเจ้าสร้างนั่นเป็นพวก impersonal god สร้างทุกสิ่ง สร้างทุกสิ่ง นี่นั่งดูมันวันละชั่วโมง ปีเศษจึงรู้ว่าไอ้ปลานี้ พระเจ้าไม่ได้สร้าง ดูจากต้นเหตุของมัน ดูจากความเจริญเติบโตของมัน ดูจากสีสันวรรณะ การเปลี่ยนแปลงเนื่องจากการผสมพันธุ์อะไรหลายๆ อย่าง ไม่ได้ดูด้วยเหตุผล ดูด้วยอารมณ์ที่ปล่อยไปตามอารมณ์ ที่มันเหนือเหตุผล ตั้งปีเศษมันจึงเกิดความรู้สึกชนิดนี้ขึ้นมาได้ ที่เรารู้ว่าพระเจ้าไม่ได้สร้างและเราไม่เชื่อพระเจ้าสร้าง แต่ก่อนนั้นก็ไม่สนิทเหมือนกับที่ตอนหลังนี้ เพราะว่าตอนโน้นเราคำนึงด้วยเหตุผล ด้วย reasoning ด้วยการคำนึงตามเหตุผลเรื่อยๆ มาหลายสิบปีแล้ว มันก็เชื่ออยู่อย่างนั้นเหมือนกันว่า พระเจ้าไม่ได้สร้าง แต่มันก็ไม่ซึมมากเหมือนกับไปนั่งดูมันอย่างนิ่ง อย่างลึกซึ้ง อย่างนิ่ง อย่างไม่ต้องใช้เหตุผล จากทุกๆ สิ่ง ทุกๆ แง่ มันก็รู้ รู้ชนิดที่ไม่ต้องเกี่ยวกับเหตุผล
ไอ้ธรรมะนี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันยังต้องใช้เหตุผลอยู่แล้วมันยังไม่รู้ ไม่รู้ธรรมะ ถ้าความคิดยังไปตามเหตุผลอยู่นั้น ยังไม่ใช่รู้ธรรมะชนิดที่ว่ารู้ธรรมะในหลักตามหลักพุทธศาสนา ไม่ต้องพูดถึงความจำได้หรือท่องได้นั้น ไม่ต้องพูดถึง นั่นมันเลวเกินไป แต่การใช้เหตุผลนี่มันก็ยังไม่พอ มันขึ้นอยู่กับเหตุผล มันอิงอยู่ที่เหตุผล เหตุผลซึ่งเป็นสังขารชนิดหนึ่ง เปลี่ยนแปลงได้อะไรได้ จิตนั้นก็ไม่ได้รู้ด้วยความเป็นตัวเอง มันเป็นจิตของเหตุผล การใช้เหตุผลจึงไม่ทำให้รู้อะไรจริงได้ แล้วเราไม่ทำให้จิตเปลี่ยนแปลงไปในทางกิเลสร่อยหรอได้ กิเลสก็เท่าเดิม แล้วความเชื่อนั้นก็ไม่ใช่ความเชื่อชนิดที่มีกำลังพอที่จะเปลี่ยนแปลงจิตใจจากอันเดิมได้ การที่เราเชื่อตามเหตุผลว่า พระเจ้าไม่ได้สร้างโลกนี้แน่ นี่ไม่มีประโยชน์อะไร นั้นเป็นเรื่องดื้อดึงอยู่ด้วยเหตุผลชนิดหนึ่งจนกว่ามันจะรู้โดยวิธีที่มันไม่ต้องมีเหตุผล มันรู้ด้วยอะไรก็บอกไม่ถูก รู้โดยสิ่งต่างๆ มันแวดล้อมจิตใจเกิดความรู้สึกของมันเองว่า พระเจ้าไม่ได้สร้างโลก อย่างนี้มันหมดกันเลย แต่โดยเหตุที่ว่า คำว่าพระเจ้านั้นมันมี๒ ความหมาย พระเจ้าอย่างบุคคลอย่างที่ว่าเป็นคนๆ น่ะแหล่ะ ไม่ได้สร้างโลก แต่มีอะไรอีกอย่างหนึ่งซึ่งทำหน้าที่ของพระเจ้า หรือเป็นพระเจ้าที่แท้จริง เช่น กฎของธรรมชาติหรืออะไรนี่ อันนี้สร้างโลก สร้างปลา ผลิตปลา ผลิตบุคคลผู้เลี้ยงปลา หรือว่าบังคับบุคคลผู้เลี้ยงปลาก็ได้
นี่เขาจะต้องนั่งดูมันให้รู้ว่าภาพนี้คือภาพอะไร ในทางเส้นสายลวดลายเสียก่อน บางทีดูว่าภาพอะไรก็ยังไม่รู้ ที่เขียนนี่ ไม่รู้ว่าภาพอะไรนี่มันแย่มาก ที่รู้ว่าภาพอะไรและมันก็มีความหมายอย่างไรก็ยังไม่ค่อยรู้อีก ไม่รู้มีความหมายอย่างไร ความหมายอย่างนั้นที่เขาต้องการแสดงนั้นน่ะ โดยเหตุผลแล้วมันใช้ได้ไหม คนก็มีความรู้สึกต่อต้านด้วยเห็นว่า เราไม่เห็นด้วย มันไม่ตรงตามเหตุผลของเรา มันก็เป็นไปไม่ได้ เป็นหมันไปเลย
เอาล่ะ แล้วสมมุติว่าเขายอมเห็นด้วยโดยเหตุผลว่าไอ้ที่พูดนี้จริง เช่นสาหร่ายเขียนพระไตรปิฎกอยู่ตลอดเวลานี่ เข้าใจอยู่แล้ว รู้สึกโดยเหตุผลว่ามันจริง มันก็ยังมีประโยชน์แก่บุคคลนั้น คือ ไม่ทำให้เกิดความสลดสังเวช เบื่อหน่ายคลายกำหนัดได้ นั่นก็ต้องนั่งเพ่ง นั่งดูมันต่อไปอีกกี่ปีก็ไม่รู้ กี่ชั่วโมง หรือกี่ปีก็ไม่รู้ จนกว่ามันจะเกิดความรู้สึกอะไรชนิดหนึ่งโดยไม่เกี่ยวกับเหตุผล มีความเศร้าใจถึงความโง่ของตัวเองที่ทั้งว่าสาหร่ายเขียนพระไตรปิฎกอยู่ตลอดเวลาก็ไม่มีประโยชน์อะไรแก่เรา ไม่มองเห็น เป็นความโง่ของเรา หมายความว่าทุกสิ่งมันบอกร้องตะโกนอยู่ตลอดเวลา เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี้รายละเอียดต่างๆ เราอาจจะดูได้จากทุกสิ่ง ถ้าเราไม่มีความรู้สึกอย่างนี้อยู่ตราบใดแล้ว มันก็ไม่มีความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด สลดสังเวชอะไรได้
ฉะนั้นภาพทุกภาพมันก็มีผล สามารถทำให้คนถึงขนาดนั้นได้ เดี๋ยวนี้มันเพียงแต่จะใช้เหตุผลก็ไม่มี ใช้เหตุผลว่าถูกต้องหรือไม่อย่างนี้ก็ยังไม่มี ถึงแม้มีมันก็ไม่พอ ความรู้ที่ไปตามเหตุผลนั้น ไม่มีประโยชน์ในทางที่จะทำลายกิเลส ทำลายกิเลสไม่ได้ ถ้าต้องไปต่อไปอีก แม้ว่าเราจะอาศัยความรู้ที่ได้มาจากเหตุผล แล้วก็ยังต้องไปต่อไปอีกให้มันเหนือเหตุผล ถ้ายังใช้เหตุผลอยู่มันก็เป็นทาสของเหตุผลอยู่เรื่อย ไม่เป็นหลุดพ้น ให้นึกถึงภาพจับปลาด้วยลูกน้ำเต้า จับปลาดุกด้วยลูกน้ำเต้านั่น คือ ผู้ที่พยายามจะถึงธรรมะด้วยการใช้เหตุผล ผู้ใดพยายามจะรู้ธรรมะ ตรัสรู้ธรรมะโดยการใช้เหตุผล ผู้นั้นมีอุปมาเหมือนกับว่าไปเด็ดลูกน้ำเต้าลุ่นๆ มาแล้วเอาใช้เป็นเครื่องมือจับปลาดุกที่ลื่นเหมือนกันอีก เขาล้อมากถึงขนาดนั้น นี่ลำพังเล่าเรียน ท่องจำมันก็ยิ่งไม่ได้ใหญ่ เพราะว่าสติปัญญาขนาดที่รู้จักใช้เหตุผล มันก็ยังทำไม่ได้ ยังทำได้เพียงแต่เหมือนว่าเอาน้ำเต้าไปเป็นสวิงตักปลาดุก หมายความว่า ลูกน้ำเต้าทั้งลูกไม่ได้ผ่า ไม่ได้ตัด ไม่ได้อะไรเลย จะเอาไปเป็นเครื่องมือสำหรับจับปลาดุก มันน่าหัวแล้วนะ
นี่ธรรมะที่ทำให้คนรู้อะไรตามที่เป็นจริง มันอยู่สูงกว่าระดับเหตุผล แม้ว่าเราจะไปตามเหตุผล เราก็ไปตามเหตุผล แล้วก็ไปต่อไปจนมันเหนือเหตุผล มันจึงอาศัยการที่คอยเพ่งจิตดูอยู่ เฝ้าดูอยู่ เฝ้าดูอยู่นั่นแหล่ะ เฝ้าดูอยู่เรื่อยไป เราก็อธิบายไม่ถูกว่าข้างในมันจัดกันอย่างไร ภายในระบบจิตใจ ภายในมันจัดกันอย่างไรก็ไม่รู้ สักวันหนึ่งมันออกมาในรูปของความสลดสังเวชต่อความโง่เขลาของตัวเอง ต่อไอ้ การที่สิ่งต่างๆ นี้หลอกลวง ทุกสิ่งหลอกลวงเหมือนที่เราพูดทีแรกว่า ไอ้ของที่เป็นทุกข์มันออกมาในรูปของสิ่งที่ดูเข้าใจว่าเป็นสุข ของที่ไม่มีประโยชน์แสดงออกมาในรูปของสิ่งที่เราเข้าใจว่ามีประโยชน์ ของที่ไม่ควรเสาะแสวงหาเลยมันออกมาในรูปของสิ่งที่เราเข้าใจว่าควรเสาะแสวงหาอย่างยิ่ง นี่เรียกว่าอุปสรรคที่สำคัญอันแรกก็คือ การเข้าใจผิดมาเสียตั้งแต่ต้นมือ มันเข้าใจผิดเสียมาแต่ต้นมือโดยพื้นฐาน ทุกวันนี้เรามีจิตใจอยู่ในสภาพที่หลงกลับกันอยู่อย่างนี้โดยไม่รู้สึกตัว นั้นสติปัญญาของครูบาอาจารย์ของคนแต่ก่อนๆ โน้น เขามี เขา..ประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ เขาถึงพูดไว้ เขียนไว้ หรือแม้แต่วาดรูปภาพไว้หรือเล่านิยายไว้อะไรก็ตาม มันแสดงถึงภูมิ ภูมิ ภูมิหรือชั้นของจิตใจของเขา ที่ได้เห็นอะไรจริงลงไปจนมีประโยชน์แก่จิตใจของเขา ทำให้มีความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด คือไม่หลง ไม่หลงในสิ่งที่เคยหลงมาแต่กาลก่อนนั้น
คำว่า วิราคะ นี้ให้ถือเอาความโดยตรง โดยสรุป โดยตรงว่ามันหยุด หยุดหลง หยุดโง่ หยุดหลง ในสิ่งที่เคยโง่ เคยหลง คือความโง่ ความหลงมันคลายออก จางออกจากสิ่งที่เราเคยโง่ เคยหลงว่าสวย ว่าดี ว่าเก่ง ว่ามีเกียรติ ว่าสูง ว่าประเสริฐ ว่าอะไรก็ตามใจ แล้วมันหยุด ทีนี้มันหยุด มันหยุดหลง หรือจะเรียกว่ามันหลุด คือมันหลุดออกมาจากความโง่ แล้วมันสงบ เพราะหยุด เพราะหลุดนี่มันสงบ แล้วมันก็ไม่มีความทุกข์ คือไม่มีความทุกข์อย่างแท้จริง ไม่ถูกหลอก ไม่ถูกหลอกอีกต่อไป เดี๋ยวนี้ความสุขในความหวัง ความสุขที่หวัง หรือที่ตั้งปณิธานไว้ มันไม่ใช่ความสุข มันอยู่ในรูปที่ว่าถูกหลอกอยู่ทั้งนั้น พ่อ แม่ พี่ น้อง ปู่ ย่า ตา ยายของเราก็ถูกหลอกจนตายเข้าโลงไป ทยอยกันไป ทยอยกันไป ไม่เคยสำนึกว่าถูกหลอก บิดา มารดา เพื่อนฝูงของเราเวลานี้มันก็ไม่เคยสำนึกว่าถูกหลอก มันก็กำลังจะตามกันไป จะตามกันไป คือตายตามๆ กันไปโดยอาการที่ถูกหลอก หวัง ด้วยความหวังชนิดที่มีพื้นฐานอยู่บนความหลอกอย่างที่ว่ามาข้างต้น แม้เขาจะพูดว่าหวังสวรรค์ หวังนิพพาน หวังอะไรก็ตามมันก็เหมือนกับไอ้เรื่อง ไอ้ชะนีจะเอาพระจันทร์ในน้ำเท่านั้นเอง
ฉะนั้นถ้าคนที่มาที่นี่เข้าใจภาพชะนีกับพระจันทร์ในน้ำ หรือว่าจับปลาดุกด้วยน้ำเต้าหรืออะไรก็ตามยิ่งมาแถบนี้ยิ่งดีมาก จิตว่างได้ยินหญ้าพูดนี่ ลึกมาก ถึงระดับที่หายหลง ถ้าอย่างไรเรามุ่งหมายแต่เพียงเท่านี้ การปลุกปล้ำอย่างเหน็ดเหนื่อยที่สุดเกี่ยวกับสวนโมกข์ โดยเฉพาะเกี่ยวกับไอ้มหรสพทางวิญญาณนี่ มันมีความมุ่งหมายอย่างนี้ ถ้าอย่างไรก็ให้มีคนหลงน้อยลงหน่อยก็พอแล้ว ก็เป็นการดีมากแล้ว นั้นผู้ที่อยู่ในตึกนี้อยู่เป็นประจำก็ควรจะรู้มันให้มากกว่าคนที่เขามาเที่ยวเป็นครั้งคราว เพราะว่าได้รวบรวมเอาสติปัญญาของผู้มีสติปัญญามาใส่ไว้มาก ล้วนแต่ดีๆ ทั้งนั้น คุณไปสำรวจดู มันล้วนแต่เรื่องทำให้หายหลง ล้อเลียนคนหลง หรือว่าเพื่อให้หายหลง ชี้ความจริงอย่างลึกให้หายหลงทุกภาพ เพื่อให้หายหลง ถ้าไปดูภาพไหนก็ตามมีความรู้สึกอย่างนี้นะ ก็ใช้ได้ รู้สึกว่าทำให้หายหลง จนมันหายหลงถึงระดับหนึ่ง จนถึงกับทำให้เกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัดก็พอแล้ว ไม่มีอะไรมากกว่านั้น
นี่งานของบุคคลคณะหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าจะทำอะไร ผมพูดอย่างนี้ เพราะว่าเรานี่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรจึงทำอย่างนี้ คือ ไม่รู้ว่าจะทำอะไรดีกว่านี้พูดให้ถูก พูดเสียใหม่พูดว่า เราจนปัญญาไม่รู้ว่าจะทำอะไรให้ดีกว่าที่กำลังทำอยู่นี้ แล้วคนอื่นก็ไม่รู้ ก็ไม่เห็นมีอะไร มีสร้างอะไรขึ้นมาให้รกเกะกะ เขียนรูปภาพบ้าๆ บอๆ ไม่รู้ว่าอะไร มันก็เป็นอย่างนั้น จริงตามความรู้สึกของเขาเหมือนกัน แต่เรานี่รู้สึกว่าเราไม่รู้ว่าจะทำอะไรให้ดีกว่านี้ คือ ไม่รู้ว่าจะทำอะไรให้เป็นประโยชน์แก่เรา หรือแก่เพื่อนมนุษย์ของเราให้ดีกว่านี้ แต่เมื่อเราทำลงไปแล้วก็มีคนถือเอาประโยชน์ไม่ได้ก็ไม่ใช่ความผิดของเรา ถือเอาได้น้อยที่สุด
ยุคนี้มันเป็นยุคที่มันเป็นยุค ไม่ใช่ว่าวัน หรือเดือนปี มันเป็นยุค ที่เขากำลังหันหลังให้พระเจ้า หันหลังให้ศาสนา ต้องการจะอยู่ปราสาท ไม่มองดูกระท่อม มันก็ยังไม่มีประโยชน์เป็นส่วนรวมเป็นส่วนใหญ่ แต่ถ้าสักวันหนึ่งข้างหน้า ไอ้คนเหล่านั้นมันรู้รสชาติของปราสาทนั่นเข้าแล้ว มันก็จะนึกถึงกระท่อม ตอนนี้อาจจะเป็นประโยชน์มาก มันทำๆ ไว้เถอะ จะไปเอะอะทำตอนโน้นมันก็คงทำไม่ทันละ ทำๆ ไว้ก็แล้วกัน เผื่อสถานการณ์ข้างหน้า เมื่อถึงยุคที่คนมันอยู่บนปราสาทไม่ไหวจะต้องกระโดดลงมาอยู่กระท่อม เรื่องนี้ยังต้องพูดกันอีกมาก ผมรู้ว่าคุณยังไม่เข้าใจ คือข้อที่ว่า ถ้าโลกนี้จะมีความสงบสุขล่ะก็ เลิกอยู่ปราสาทมาอยู่กระท่อม เลิกกินสำรับคับค้อน กินข้าวจานแมว เลิกกินอาหารแบบสูงสุด ดีที่สุด มากินจานแมวในกะลา นุ่งห่มด้วยผ้าง่ายๆ แต่น้อยที่สุดเลย นุ่งห่มแต่น้อยที่สุด แล้วผ้าง่ายๆ เลย อย่านุ่งห่มผ้าวิเศษวิโสเหมือนที่ขายกัน แผ่นละสามร้อย สี่ร้อย ห้าร้อย พัน หมื่นหนึ่ง
เรื่องความเจ็บไข้ก็เหมือนกัน พยายามให้ธรรมชาติช่วยแก้ไขมากกว่าที่จะให้ของประดิษฐ์ของมนุษย์สมัยนี้ช่วยแก้ไข รวมถึงช่วยป้องกันโดยให้ธรรมชาติช่วยในการป้องกันไม่ให้เกิดโรค เกิดแต่น้อยที่สุด เกิดโรคก็ใช้ธรรมชาติช่วยรักษา ถ้าตายก็ไม่กลัว เพราะเราถือว่าเรามีมาเท่านั้น เรามีมาเท่านั้น และเราก็ไม่ต้องการอะไรอยู่แล้ว อย่างที่พูดว่าเดี๋ยวนี้เรามีชีวิตอยู่นี่ไม่รู้ว่าจะทำอะไร ต้องฟังดูให้ดีๆ คือ เราไม่รู้ว่าจะทำอะไร แต่มันยังไม่ตาย เราก็มาทำโรงหนังเล่นฆ่าเวลาไป นี่ถ้าความตายมาถึง จะต้องเสียใจอะไร จะต้องกลัวอะไร เพราะที่ทำนี่มันทำเพียงฆ่าเวลากว่ามันจะตายเท่านั้น นี่คือความหมายของคำว่า ไม่อยาก หรือไม่ต้องการ หรือไม่ผูกพันอะไร นี้ว่าทำอะไรดีก็ทำสิ่งที่มีประโยชน์ที่สุดแก่มนุษย์ ไอ้ทำให้หายโง่ หายหลง นี้คือสิ่งที่ดีที่สุด มีประโยชน์แก่มนุษย์ที่สุด นี้เขายังไม่ต้องการก็รอให้เขาหายบ้าเสียก่อน ให้เขาหายบ้าปราสาท ความเป็นอยู่อย่างที่กิเลสต้องการให้มันแสดงพิษสงของมันออกมาให้ถึงที่สุด คือ ทั้งโลกร้อนระอุเป็นไฟไปหมด เพราะทุกคนอยากอยู่ปราสาท นี้ประเทศเล็กๆ อย่างประเทศไทยเรา มันก็ลูกจ๊อกวิ่งตามหางเขา สติปัญญาก็ไม่ทันเขาในเรื่องนี้ มันก็พลอยเป็นเหมือนเขาไปทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ คือว่าวิ่งตามไอ้พวกที่จะอยู่ปราสาท นั้นเราก็ต้องเป็นคนบ้า แล้วก็ทำอะไรให้เหมือนเขา เพราะเหตุที่เราไปรู้เข้าอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านสอน ว่าสิ่งที่เป็นทุกข์มันแสดงออกมาในรูปของสิ่งที่เป็นสุข สิ่งที่เท็จมันแสดงออกมาในรูปของสิ่งที่จริง ความไม่น่ายึดถือมันแสดงออกมาในรูปของความน่ายึดถือมันก็เลยติดอยู่ที่นี่ เอาไปคิด เอาไประวังกันดูทุกคนว่าอย่าให้มันถูกหลอกในข้อนี้ ทุกข์ที่อยู่ในรูปของความสุข ความทุกข์ที่ถูกแสดง ที่แสดงออกมาในรูปของความสุขสำหรับหลอกคน สำหรับดึงคนให้ไปเป็นทาส ให้เป็นผู้ที่ตกอยู่ใต้อำนาจของ ของ ของมาร เขาเรียกว่า มารคือผู้ทำลายล้าง มนุษย์ที่ถูกทำลายล้างวินาศไปหมด เอาล่ะ พอกันที