แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกันอยู่แล้ว วันนี้นึกได้หน่อยหนึ่ง เห็นว่าควรจะพูดหรือพูดซ้ำ คือเรื่องภาษาพูดอีกนั่นเอง ภาษาพูดของคนหลายๆ ระดับ คือว่าต่างถิ่น ต่างยุค ต่างสมัยกัน เขาพูดด้วยคำที่มันต่างกัน แล้วเขาพูดไว้ยุคหนึ่งพอมาถึงสมัยนี้ พอเราพูดอย่างนั้น มันกลายเป็นฟังไม่รู้เรื่อง อย่างเราจะพูดด้วยคำที่พูดอยู่ในภาษาที่พระพุทธเจ้าพูดในอินเดียครั้งกระโน้นเดี๋ยวนี้เอามาพูดอย่างนั้นตรงๆ คนฟังไม่รู้เรื่องหรือรู้ผิดไปเสียก็มี ผิดไปเสียทางอื่นก็มี
เพราะฉะนั้นจะต้องรู้ว่า ไอ้คำพูดนั้นถือเอาตามตัวหนังสือไม่ได้ ต้องถือเอาความหมายของมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำว่า “ไม่มีตัว” ไม่มีตัวหรือไม่ใช่ตัว คือ อนัตตา นี่โดยเฉพาะคำนี้ ซึ่งพูดในอินเดียครั้งพุทธกาลครั้งกระโน้น เขาก็คงฟังกันถูกดีเต็มที่ ที่เราเอามาพูดตามตัวหนังสืออย่างนั้นบ้าง สมัยนี้มันฟังยากหรือฟังเขวไปเสียก็มี ทีนี้จะเล่าเรื่องตัวอย่าง ด้วยเรื่องเบ็ดเตล็ดของพวกพุทธบริษัทที่เขาพูดกันในประเทศจีน ในสมัยโบราณที่คุณซ้างเขาชอบเอามาเล่าให้ฟังเวลาว่างๆ แล้วก็พบในหนังสือเล่มไหนอะไรอย่างนี้
ทีนี้จะเล่าไอ้เรื่องตัวนิทานนั้นก่อนดีกว่า คือว่ามีคนคนหนึ่งซึ่งเป็นคนที่รู้ธรรมะถึงขนาดนะ แต่เขาไม่ได้แสดงตัวไม่ได้อะไร อย่างเรา เป็นคนธรรมดา ทีนี้คนคนนี้วันหนึ่งเขาเดินทางผ่านไปที่แห่งหนึ่ง ใกล้ๆ วัดที่มีศาลเจ้า ทีนี้เขาจะข้ามคูมันข้ามไม่ได้เพราะคูมันค่อนข้างจะกว้าง เว้นไว้แต่ว่าจะต้องมีของอะไรอย่างหนึ่งมาวางลงกึ่งกลางคูนั้นเสียสักชิ้นหนึ่งก่อน แล้วจะได้ก้าวเท้าลงไปที่นั่นทีหนึ่งแล้วข้ามไปฝั่งคูฝั่งโน้นได้ ถ้าไม่นั้นคูมันกว้างเกินไปแล้วเขาก็ไม่ได้สมัครที่จะกระโดดเป็นลิงเป็นค่าง ทีนี้เขาก็ไปเที่ยวหาว่าจะมีอะไรบ้างสักก้อนหนึ่ง สักดุ้นหนึ่ง จะมาวางที่กลางคูที่เป็นโคลน เพื่อจะข้ามไปฝั่งโน้น หาจนไม่มีที่หาแล้ว มันก็มีพบแต่ว่าไอ้ตัวเจ้านั่นเอง ตัวเจ้าที่เขาสลักด้วยไม้ที่อยู่บนศาลเจ้า ตัวเจ้าตัวเทพารักษ์ที่สลักด้วยไม้ มีอยู่แต่อันนั้นที่จะยกได้ อื่นไม่มี เขาก็เลยยกเอาตัวเจ้า เจ้าไม้นะ มาทิ้งลงไปในคูที่กึ่งกลางคู แล้วก็ก้าวเหยียบข้ามไปฝั่งโน้น ก็เดินทางต่อไป
ทีนี้ไอ้สักครู่หนึ่งไอ้เจ้าผี ไอ้เจ้าตัวเจ้าที่เป็นผีมาถึงก็ไม่เห็นรูป ไม่เห็นรูปของตัวที่วางอยู่ที่ตรงที่บนศาลเจ้านั้น ก็ถามคนเฝ้า ไอ้พวกคนเฝ้า ก็ได้ความว่า ไอ้คนคนหนึ่งเขาเอาไปทำอย่างนี้เอาไปทำที่เหยียบข้ามคูเสียแล้ว เจ้าก็โกรธใหญ่ เลยจะลงโทษไอ้พวกนี้ ให้ ถ้าไปเอาตัวไอ้คนนั้นมาไม่ได้ ถ้าไปจับตัวคนนั้นมาไม่ได้ก็จะเล่นงานไอ้คนเฝ้านี้ ทีนี้ไอ้พวกบริวารนี้ก็เลยวิ่งตามไป ไอ้คนที่ตามไปนี้ มันไปทะเลาะกันอยู่กับคนพวกหนึ่งแล้ว ที่รู้ว่าไอ้นี่เอาไอ้รูปเจ้าไปทิ้งในคูแล้วเหยียบข้ามไป พวกชาวบ้าน พวกชาวบ้านพวกหนึ่งเขารู้เห็น เขาก็ไล่จับทะเลาะกันอยู่แล้วที่โน่น ทีนี้พวกนี้ตามไปถึงที่ทะเลาะกันอยู่ ก็จับเอามา จับเอามา จับคนคนหนึ่งเอามา พอมาถึงที่นี่ ไอ้เจ้านั้นก็ เจ้าที่เป็นผีก็ดุไอ้คนคนนี้ คนที่ถูกจับมานี้ว่าทำไมทำอย่างนี้ ทีนี้ไอ้คนนี้มันบอกเปล่า เขาเป็นคนทะเลาะจะจับจะลงโทษไอ้คนที่มันเอารูปเจ้าทิ้งคูต่างหาก ทีนี้ก็คือเป็นเรื่องที่จับมาผิดตัว ทีนี้เจ้าก็มาดุเอาไอ้พวกไอ้คนใช้นี้บริวารนี้อีกว่าทำไมจับมาผิดตัว แกจับมาผิดตัวแล้วเห็นไหม ทำไมทำอย่างนี้ ทีนี้คนเหล่านั้นก็บอกว่าเราจับมาได้แต่คนที่ไม่มี...จับมาได้แต่คนที่มีหัวใจ ส่วนคนที่ไม่มีหัวใจเราไม่รู้ว่าจะจับมาอย่างไร ก็ตอบว่าอย่างนี้ ที่จับมามันจับมาได้แต่คน..จะจับมาได้มันก็จับมาได้แต่คนที่มีหัวใจ ไอ้คนที่ไม่มีหัวใจ จะจับมาได้อย่างไร แล้วก็ไม่รู้อยู่ที่ไหน ก็จับไม่ได้ นี้ไอ้เจ้านั้นก็เลยไม่รู้จะพูดอย่างไร แล้วก็เลยเลิกกัน เจ้าก็เลยไม่มี ไม่มีศาล ไม่มีรูปเจว็ด
ทีนี้คุณลองฟังดู ว่าจับมาได้แต่พวกคนที่มีหัวใจนั้น ไอ้คนที่ไม่มีหัวใจไม่รู้จะจับมาอย่างไร จับมาไม่ได้ ถ้าใครฟังเรื่องนี้ไม่ถูกก็คือคนโง่ คนโง่ต่อภาษาที่เขาพูดกันอยู่ ในหมู่คนที่เขารู้ นี่ใครฟังถูกหรือไม่ถูก คนฟังไม่ถูกก็คือคนโง่ทางภาษาที่เขาใช้พูดกันอยู่ ในยุคหนึ่งในถิ่นหนึ่งในระดับหนึ่งในคนระดับหนึ่ง ทีนี้ก็มีปัญหาอยู่หน่อยเดียวตรงที่ว่า คนไม่มีหัวใจคือคนอย่างไร มันอาจจะโง่กันมาหลายชั้นแล้วก็ได้ ขอแถมพิเศษหน่อยว่า คนไม่มีหัวใจนี้มันมีพูดกันอยู่หลายประเภทหลายชนิด เช่น ทศกัณฑ์นี้ก็ไม่มีหัวใจ เขาถอดหัวใจฝากไว้ที่อาจารย์ที่ไหน ใครมันฆ่าไม่ตาย บรรดาไอ้ตัวยักษ์ ตัวมาร ตัวพระเอกที่เขาถอดหัวใจฝากไว้ที่ไหนที่มันฆ่าไม่ตาย เว้นไว้แต่จะไปเอาหัวใจมาก่อน แล้วมันจึงจะฆ่าตาย นี้มันก็เป็นเรื่องไม่มีหัวใจทั้งนั้น แต่ว่าในเรื่องนี้เขาไม่ได้หมายความทำนองนั้น เป็นคนที่ไม่มีหัวใจ ก็ลองคิดดูเถอะหัวใจในที่นี้มันก็คือความหมายของคำว่าคนนั่นแหละ ถ้าไม่มีหัวใจมันก็ไม่ใช่คน ไม่มีคน ไม่มีหัวใจก็คือไม่มีคน หรือไม่ใช่คน ถ้ามีหัวใจมันก็คือคน
เพราะฉะนั้นหัวใจมันก็คือ อัตตาหรือ SELF หรือตัวตนนี้ ไอ้ที่เรียกว่า ตัวตน นี่ ที่เรียกว่าหัวใจในภาษาชาวบ้านธรรมดา มันก็คือ อัตตา หรือ อาตมัน ในภาษาธรรมะ ภาษาไอ้บัญญัติเฉพาะธรรมะ มันก็พูดได้ขึ้นมานิดหนึ่งว่า คนที่ไม่มีตัวตนจับมันได้อย่างไร คนที่ไม่มีตัวไม่มีตนจะไปจับมันมาได้อย่างไร แต่เขาพูดภาษาชาวบ้านที่สุด ชาวบ้านนอกก็คือว่า คนที่ไม่มีหัวใจ ไม่รู้จะจับมาอย่างไร ผมไม่รู้จะจับมาอย่างไร มัน ไอ้คนที่ไม่มีหัวใจ ผม ไม่รู้จะจับมันมาอย่างไร
ทีนี้เรื่องมันก็แสดงชัดอยู่แล้วว่า ไอ้คนนั้นมันไม่มีตัวตน ไม่มีตัวตน ก็คือไม่มีอุปาทานที่มีความยึดมั่นว่าตัวว่าตน มันมีจิตที่อยู่เหนือความมีตัวมีตน หมายความว่าอยู่เหนือความยึดมั่นถือมั่นทุกอย่าง เพราะฉะนั้นมันจึงไม่มีเจ้ามีผี ไม่มีเทวดา ไม่มีอะไรอย่างนั้นมันจึงเอาไอ้ตัวเจว็ดนั้นไปทิ้งในคูหรือเหยียบข้ามไปได้ เพราะว่ามันเป็นคนที่ไม่มีตัวตน ไม่มีความยึดมั่นเป็นตัวเป็นตน ไม่มีความยึดมั่นเรื่องเกิดเรื่องตาย เรื่องจะถูกตีถูกฆ่าหรืออะไรมันก็คือคนที่หลุดพ้นแล้ว ซึ่งในพุทธศาสนาเราก็เหมือนกัน พระอรหันต์คือว่าหมดอุปาทานว่ามีตัวมีตน ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นอย่างไรอีกต่อไป
แต่ว่าการที่เขาจะปฏิบัติอย่างไรต่อสังคมหรือจะปฏิบัติให้เหมือนกับที่คนอื่นปฏิบัติ นี้มันก็ทำได้ ทำเหมือนกับคนมีตัวตนก็ทำได้ ทั้งที่เป็นคนหมดตัวตนแล้ว นี่ไอ้คนคนนี้มันก็เป็นคนที่รู้ธรรมะชนิดที่ไม่มีตัวตน คือรู้ธรรมะในระดับสูงสุดที่ไม่มีตัวตน ไอ้พวกลูกน้องผีนั้นจึงบอกว่า มันไม่รู้จะจับมาอย่างไร คนที่ไม่มีหัวใจคือคนที่ไม่มีตัวตน นี่เรียงความให้ดี แล้วก็เขียนเป็นภาพให้คุณโกวิทย์ เขียนภาพเรื่องนี้ไว้สักเรื่องหนึ่งด้วย เป็นภาพยาวลงมา กระทั่งว่าไม่รู้จะจับอย่างไร คนไม่มีหัวใจ เรื่องคนไม่มีหัวใจ
ทีนี้ผมอยากจะเดาอีกอย่างหนึ่งว่าไอ้หนังสือจีนนั้นมันทำพิษ หนังสือจีนนี่ หนังสือจีนคำนั้นตัวนั้น สมัยหนึ่งมันหมายความอย่างหนึ่ง สมัยหนึ่งมันหมายความอย่างหนึ่ง มันเปลี่ยนได้ คำว่า “ตน” คำว่า “ใจ” คำว่า นี่มันคำเดียวกันได้ ตัวหนังสือตัวเดียวกันได้ ตัวหนังสือตัวเดียวในสมัยหนึ่งหมายถึง แผ่นดิน ในสมัยหนึ่งหมายถึง เกาะกลางทะเลนี่ หนังสือจีนมันเป็นอย่างนี้เอง มันหลายๆ ยุค ฉะนั้นในยุคที่คนธรรมดามาพูด มาเรียน มาอ่านไอ้ตัวนั้น แปลว่า “ใจ” ก็ได้ หรือจะแปลว่า“คนไม่มีหัวใจ” ไม่รู้จะจับมาอย่างไร ซึ่งในสมัยโน้นมันอาจจะเป็นแปลว่า “ตน” หรือ “อั๊วะ” มีตัวตน คือ มีอั๊วะ แต่ถามคุณซ้างดูแล้วว่า บอกว่า “บ่ซิม” ไม่มีใจ แต่ไอ้ตัว “ซิม” หรือ “ใจ” นั้น ในสมัยหนึ่งมันอาจจะหมายถึง ตน หรือ อั๊วะ ก็ได้ ใช้แทนกันอยู่ หรือว่าจะหมายถึงสิ่งสิ่งเดียวกันก็ได้
ทีนี้ถ้าชาวนาแถวนี้จะพูด จะพูดว่า อนัตตา ไม่มีอัตตา ไม่มีอาตมันนี้ คงพูดไม่เป็น มันก็เลยพูดว่า ไม่มีวิญญาณ คนไม่มีวิญญาณ ผมไม่รู้จะจับมันมาอย่างไร ไม่มีวิญญาณคือไม่มีจิตใจที่เป็นผู้เป็นคน ไม่รู้จะจับมันมาอย่างไร ไม่มีตัวให้จับ ฉะนั้นเรามาสนใจไอ้ภาษาพูดของชาวบ้านกันบ้างจะดี เรื่องมันคล้ายๆ กับว่า ถอดดวงใจออกไปเก็บไว้ที่อื่น ก็ฆ่าไม่ตาย เดี๋ยวนี้คนที่หลุดพ้นจากอุปาทานว่าตัวตนแล้วก็เป็นคนไม่ตาย เป็นผู้ที่ไม่ตายอีกต่อไป เป็นผู้อยู่เหนือความเกิดความตาย เป็นพระอรหันต์ที่ไม่มีความตายอีกต่อไป ทีนี้ไอ้คำหลักเช่นนี้ คำว่า “ตาย” เช่นนี้ มันมีความหมายของมันพิเศษ ขืนเอามาพูดในความหมายธรรมดามันก็ฟังกันไม่รู้เรื่อง หรือมันว่าบ้าเลย พูดอย่างนี้มันบ้าเลย ความหมายมันเขวไปมากอย่างนี้
เพราะฉะนั้นถ้าพูดว่า ไม่มีใจ เดี๋ยวนี้ไม่มีใจ ก็คือว่าไม่มีจุดศูนย์กลาง ไม่มีสาระที่เป็นตัวตนหรือเป็นผู้นั้น คือ ไม่มีใจ เพราะฉะนั้นไอ้คนที่ไม่มีใจคือคนที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไอ้ตัวตนนั่น คือความยึดมั่นถือมั่น นั่นแหละคือใจ หัวใจของปุถุชน ความยึดมั่นถือมั่นนั่นแหละคือหัวใจของปุถุชน เป็นเหตุให้เขามีความรู้สึกอย่างปุถุชนรู้สึก รู้สึกรักก็ได้ รู้สึกเกลียดก็ได้ รู้สึกโกรธก็ได้ รู้สึกกลัวก็ได้ รู้สึกจองหองก็ได้ รู้สึกทุกอย่างได้เพราะความมีตัวนั่น เพราะฉะนั้นคนเหล่านี้จึงมีความตาย มีความเกิด มีความตาย มีความได้ มีความเสีย มีความถูกกระทำหรือว่ามีการกระทำ หรือมีการถูกกระทำหรืออะไรทั่วไปหมดทุกอย่าง ทุกอย่างที่เป็นคำพูดเป็นคู่คู่ของผู้ยึดมั่นถือมั่น ทีนี้ถ้ามันมีจิตหลุดพ้นแล้วจากความยึดมั่นถือมั่นโดยประการทั้งปวงแล้วมันก็อยู่เหนือทุกสิ่ง เหนือความตาย เหนือความอยู่ เหนือการกระทำและเหนือการถูกกระทำอย่างนี้
ทีนี้นิทานเรื่องนี้ต้องเป็นผู้มีความรู้สูงเล่าไว้ เพื่อจะด่าชาวบ้านหรือว่านักศึกษาก็ได้ ถ้านักศึกษาอย่างพวกคุณนี้ฟังไม่ถูกว่า คนไม่มีหัวใจ หมายความว่าอย่างไร มันก็มีเพื่อด่าคุณอย่างคนอย่างคุณนี่ที่เป็นนักศึกษา เป็นนักศึกษาชนิดที่ไม่รู้ว่าคนไม่มีหัวใจนี่เป็นอย่างไร ฉะนั้นต้องรู้ว่าประเทศจีนนี้ไม่ใช่เล่น ได้รับพุทธศาสนาตั้งแต่พ.ศ.ห้าร้อยเศษ เพราะฉะนั้นมันก็ได้รับพุทธศาสนามาตั้งสองพันปีมาแล้ว ทีนี้ในประเทศจีนมันมีคนจำนวนหนึ่งเป็นคนฉลาด คือพวกลูกศิษย์ลูกหาของไอ้เล่าจื๊อ จวงจื๊อ ขงจื๊อพวกนี้ ไอ้จื๊อสามสี่จื๊อนั้นมันฉลาดมาก และลูกศิษย์ของมันฉลาดมาก
ทีนี้พุทธศาสนาพอเข้าไปถึงประเทศจีนก็ต้องเปลี่ยนรูป หลักวิธีพูดอะไรบางอย่างเพื่อให้มันเหมาะกันได้กับไอ้คนที่มันฉลาดๆ เพราะฉะนั้นพุทธศาสนาในประเทศจีนจึงถูกพูดไว้ในสำนวนหรือในนิทานหรือในอะไรที่มันคมคายมาก มากเหลือเกิน มากมายเหลือเกิน ศึกษากันไม่หวาดไม่ไหว ถึงแม้นิกายเซ็นที่เกิดขึ้นนี้ในประเทศจีนนี่ ก็เพราะความบีบคั้นของสิ่งเหล่านี้ ความบีบคั้นของสถานการณ์ที่ว่า ลูกศิษย์เล่าจื๊อ เม่งจื๊อ..จวงจื๊อ โดยเฉพาะเล่าจื๊อ จวงจื๊อโดยเฉพาะ นี่หัวแหลมมาก หัวแหลมทางปรัชญาทาง LOGIC มาก ไอ้ลูกศิษย์ขงจื๊อ เม่งจื๊อนี่ไม่เท่าไหร่หรอก มันเป็นเรื่องศีลธรรมประเภทหนึ่ง แต่ว่าไอ้ลูกศิษย์ของพวกเล่าจื๊อ จวงซู จวงจื๊อนั้นมันก็มีมาก พวกนี้เขาหัวแหลม คำพูดแหลม เพราะฉะนั้นมันต้องพูดกันใหม่ในรูปที่แหลม ที่ทันกันมันจึงจะยินดีรับเอาได้ ไม่งั้นมันหัวเราะเยาะ นี้เป็นเหตุให้เกิดคำพูดที่แหลมที่ฉลาด กระทั่งเกิดไอ้วิธีสอนที่ฉลาด กระทั่งเกิดไอ้อาจารย์เซ็นที่เฉลียวฉลาด
ฉะนั้นให้รู้เป็นพิเศษด้วยว่า เซ็น นั้นไม่ใช่มหายาน คนบางคนไม่รู้จักเซ็น พอพูดถึงเซ็นว่า เจ๊กปาหี่ใช่ไหมหว่า บางคนพูดอย่างนี้ว่า เซ็น น่ะคือเจ๊กปาหี่ แล้วคนบางคนว่าเซ็นนี่นับถืออมิตตาพระ พวกเซ็นบูชาอมิตตาพระ บูชาอวโลกิเตศวร ตาราโพธิสัตว์นี่มันโง่ เพราะมันไม่รู้ว่าเซ็นนั้นคืออะไร เซ็นเกิดขึ้นเพื่อจะล้อเลียนคนที่ไหว้อมิตตาพระ ไหว้อวโลกิเตศวร ไหว้ตารา ลัทธิเซ็นเกิดขึ้นเพื่อจะหัวเราะเยาะไอ้คนเหล่านี้ เดี๋ยวนี้มาพูดว่าไอ้พวกเซ็นน่ะบูชาอมิตตาพระ อวโลติเกศวรนี้มันคนหลับตาไม่รู้เรื่องอะไร ไม่รู้ว่าไอ้เซ็นนี้มันเกิดขึ้นเพื่อจะย่ำยีไอ้ความโง่ระดับหนึ่งให้มันทันกับสติปัญญาระดับหนึ่ง
นี้ผมเอามาเล่าให้ฟังเพื่อให้เข้าใจเสียว่าในประเทศจีน เขามีการพูด มีการปรับปรุงวิธีพูดและก็มีการอะไรกันเป็นการใหญ่ จนเราสู้เขาไม่ได้ เพราะเราไม่เคยปรับปรุง ไม่เคยคิดจะปรับปรุง ไม่มีเหตุจำเป็นบังคับให้ต้องปรับปรุง ฉะนั้นถ้าอยากฟังอะไรฉลาดๆ แล้วก็ไปฟังไอ้บันทึกของพวกเซ็นที่เรียกว่า โกอาน นี่ บันทึกของพวกเซ็น หรือแม้แต่ฟังไอ้นิทานที่พวกจีนเขาเล่า เล่าๆ สืบกันมา รวมทั้งนิทานเรื่องนี้ด้วย รวมนิทานเรื่องที่เอามาเล่าให้ฟังด้วย ว่าคนที่ไม่มีหัวใจ ผมจะไปจับมันมาอย่างไร เพราะฉะนั้นถ้าไอ้ลูกสมุนผี มันยังรู้จัก รู้จักคนที่ไม่มีหัวใจ มันไม่จับเอามา ก็แปลว่าไอ้คนทั่วไปมันโง่ หรือแม้แต่พระไอ้นักบวชนิกายต่างๆ แล้วมันก็โง่ เพราะมันยังมีหัวใจทั้งนั้นเลย
เพราะฉะนั้นมันจะครอบงำมาถึงเดี๋ยวนี้ คนที่ไม่รู้จักคนที่ไม่มีหัวใจนั้นคือ คนโง่ ถ้าคนฉลาดในธรรมในพุทธศาสนาต้องฟังถูกต้องรู้จักว่า คนที่ไม่มีหัวใจนั้นคือคนอย่างไร ก็คือคนที่หลุดพ้นแล้ว อยู่เหนือความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เหนือเรา เหนือของเรา อยู่เหนือตัวกู เหนือของกูนี่ คือคนไม่มีหัวใจ เพราะฉะนั้นเราเอาเปรียบหรือว่าประหยัดเวลา ไม่จำเป็นจะต้องคิดผูกร้อยกรองไอ้นิทานนิยายทำนองนี้ขึ้นมาใหม่ อ่านของพวกจีนนี่มีเยอะแยะไปหมดเลย แล้วก็เอามาใช้ประโยชน์ได้เหมือนกัน ก็ดีเหมือนกัน
สำหรับเรื่องนี้ ผมก็ต้องการแต่เพียงคำเดียวเท่านั้นล่ะ คำที่ว่า “ไม่มีหัวใจ” “คนที่ไม่มีหัวใจ” ทีนี้พอพูดว่า ไม่มีหัวใจ มันก็เข้าใจผิดเป็นคนบ้าคนบอคนกลวงคนอะไรไปก็ได้เหมือนที่คนเดี๋ยวนี้ แม้ที่กรุงเทพฯนี่ไม่เข้าใจคำว่า “ว่าง” หรือคำว่า “จิตว่าง” นี่เพราะมันเรื่องอย่างเดียวกัน เพราะคำคำนี้มันหมายความได้หลายอย่าง คนโง่ๆ ก็หมายความไปอย่าง คนครึ่งโง่ก็หมายความไปอย่าง คนฉลาดก็หมายความไปอย่างหนึ่ง
เพราะฉะนั้นอย่าทำเล่นกับคำว่า “ ไม่มีหัวใจ” หรือว่า “ไม่มีตัวตน” หรือว่า “ว่าง” นี่อย่าไปทำเล่นกับคำเหล่านี้ ต้องพยายามให้เข้าใจให้ได้ ให้ถูกต้องให้สมบูรณ์ว่ามันหมายความว่าอย่างไร เราไม่จำเป็นจะต้องยึดเอาไอ้ตัวถ้อยคำนั้นเป็นหลัก แต่ให้ถือเอาความหมายของมันเป็นหลัก อย่างนี้เขาถือเป็นหลักกันมานมนานแล้ว ให้ถือเอาความหมายเป็นหลัก อย่าถือเอาถ้อยคำเป็นหลัก แต่ถ้ามันถือเอาได้ทั้งถ้อยคำทั้งความหมายก็นับว่าวิเศษที่สุด อย่างคนแปลหนังสือเป็นภาษาต่างประเทศนี้ ถ้าถ้อยคำก็รักษาไว้ได้ตรงและความหมายก็ถูกต้อง คนนั้นเป็นคนแปลหนังสือดีวิเศษ
ทีนี้ส่วนมากมันทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องรักษาเอาความหมายไว้ก่อน อย่าไปเห็นแก่ถ้อยคำนัก มันจะเข้าใจผิดหมด เลอะเทอะหมด ต่อเมื่อมันทำไม่ได้มันจึงจะไปเอาตามถ้อยคำตรงๆ ไม่รับผิดชอบ เขียนไว้ให้คำมันตรงๆ ก็แล้วกัน เดี๋ยวนี้มันมีแต่อย่างนี้ ที่เรียนบาลีกันหรือเรียนอะไรกัน มันเรียนมาแต่ตัวหนังสือซึ่งไม่รู้ความหมาย เลยไม่รู้ธรรมะเหมือนพวกมหาเปรียญตั้ง ๙ ประโยค ไม่รู้ธรรมะก็เพราะข้อนี้ คือมันรู้แต่ตัวหนังสือไม่รู้ความหมาย มันท่องจำมาแต่ทางตัวหนังสือทางภาษาทางอักษรศาสตร์เสียเรื่อย แปลมาแล้วก็ไม่รู้ว่าอะไร เป็นภาษาไทยแล้วก็ยังไม่รู้ว่าอะไร มันออกมาตรงๆ ตามตัวหนังสือ ตามวิธีบัญญัติทางหนังสือ
คำว่า ไม่มีหัวใจ ของเขาก็หมายความว่ามันหมด หมดความหมายของความเป็นคนที่ยึดมั่นถือมั่นคือคนธรรมดาสามัญ มันหมดความหมายของคนธรรมดาสามัญเสียแล้ว จึงเรียกว่า คนไม่มีหัวใจ ถ้ามันเป็นคนมีหัวใจเหมือนคนธรรมดาสามัญ มันก็ไม่กล้าเอาไอ้ของอย่างพระพุทธรูปหรืออย่างไอ้รูปเจ้านั้นมาวางเหยียบข้ามคูสิ มันมีความหมายเท่ากับพระพุทธรูปหรือเทวรูปหรือรูปอะไรก็ตามในศาสนาหนึ่งๆ ในลัทธิหนึ่งๆ
ทีนี้เราจะเห็นได้ว่าอีกทางหนึ่งที่กลับกันอยู่ คนบ้าก็อาจจะทำได้ ไอ้คนที่มันบ้าจัดเข้าก็อาจจะทำอย่างเดียวกันได้เหมือนกัน เอาพระพุทธรูปมาเอารูปเจ้ามาเหยียบข้ามคูมันก็ทำได้เหมือนกัน ฉะนั้นคนบ้ากับพระอรหันต์นี่มันคล้ายๆ กันอยู่มาก อาจจะหลงกันได้สับกันได้ ระวังให้ดี นั้นไอ้คนที่มันยกหูชูหางโดยคิดว่าเป็นพระอรหันต์ก็มีได้เหมือนกัน มันเป็นคนบ้า ตัวอย่าง เช่นว่า ไม่กลัว ความไม่กลัว ไม่กลัวตายหรือไม่มีอะไรนี่ ก็มีพระอรหันต์ พวกแรกก็พระอรหันต์ แล้วก็พวกคนบ้า แล้วก็พวกคนเมาหรือว่าสัตว์ที่เขามอมมันให้มึนเมา หรือว่าสัตว์ชนิดที่อบรมให้ไม่กลัวได้ เช่นช้าง เช่นม้าบางชนิดนี้ มันก็ไม่กลัวอีกเหมือนกัน หรือพวกโจรใจบาปหยาบช้า มันก็ไม่กลัวตายเหมือนกัน เพราะฉะนั้นจะถือว่าไม่กลัวตายแล้วเป็นพระอรหันต์ไปหมดไม่ได้ เพราะว่าคนบางคนบางชนิดมันก็ไม่กลัวตาย ปลากัด จิ้งหรีดนี้มันยังกัดกันจนตาย ไม่กลัวตายไม่ยอมแพ้ ไม่กลัวตาย มันก็ไม่กลัวตายเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นเขาจึงมีหลักไว้ ๒ อย่างว่า หมดตัวกูอย่างหนึ่ง กับตัวกูจัด เดือดจัดเกินไปอย่างหนึ่ง หมดอุปาทานหมดตัวกูหมดยึดมั่นถือมั่นนี้คือหมดตัวกูอย่างนี้ ไม่มีอะไรจะต้องกลัวตาย ก็เลยไม่กลัวตาย ทีนี้ตัวกูมันเดือดจัดเดือดพล่านจัด นี้ก็ไม่กลัวตาย เช่นพวกโจรใจบาปหยาบช้าหรือว่าสัตว์เดรัจฉานบางชนิดที่มีอหังการ มมังการจัด เช่น ปลากัดกัดกันจนตายอะไรนี้ มันก็มีตัวกูเดือดจัด มันก็ไม่กลัวตาย นี่เห็นได้มันอยู่ในฝ่ายที่ตรงกันข้าม พวกหนึ่งหมดตัวกูไม่กลัวตาย พวกหนึ่งตัวกูมากจนถึงที่สุดเดือดจัดถึงที่สุดก็ไม่กลัวตายเหมือนกัน
ทีนี้ไอ้เรื่องนี้เขาพูดว่าไม่มีใจนะ เขาพูดว่าไม่มีใจฟังนะ ฟังให้ดี คนไม่มีใจ มันคือคนไม่มีตัวกูไม่ใช่ตัวกูเดือดจัด ไม่ใช่ว่าไอ้ตัวกูมันเดือดจัดแล้วมันไม่กลัว มันต้องเป็นคนบ้าหรือขี้เมาหรืออะไรก็ตามใจที่จะทำอย่างนั้นได้อีกทีหนึ่ง อีกชนิดหนึ่ง หรือว่าคนมันโมโหขึ้นมา มันก็ทำอย่างนั้นได้อีกทีหนึ่ง อย่างนั้นมันคนหัวใจเดือดเป็นคนที่หัวใจมันเดือด มันจึงทำได้ ไม่ใช่เหมือนกับคนคนนี้ ซึ่งเขาเรียกว่า คนไม่มีหัวใจ
ฉะนั้นผู้ที่เล่านิทานเรื่องนี้ อาจจะเป็นครูบาอาจารย์ชั้นสูงสุดรู้ธรรมะดี เล่าเป็นนิทานขึ้นเพื่อประชดชาวบ้านที่ยังมีหัวใจมากเกินไปอะไรทำนองนั้น ก็เป็นได้ เพราะนิทานเหล่านี้ทั้งหมดไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นผู้แต่ง หรือผู้เล่า ผู้เขียน ฉะนั้นเราต้องรู้เอาเองโดยเนื้อหาสาระได้ใจความของมันว่า ใครจะเป็นคนเขียน เขียนเพื่อประสงค์อะไร ใครเป็นคนเล่าไว้ เล่าไว้เพื่อประสงค์อะไร เพื่อประสงค์จะด่าคนที่ยังมีหัวใจมากเกินไปหรือว่าคนที่ไม่รู้จักคนที่ไม่มีหัวใจ ก็มีเท่านี้เอง
ไอ้เราก็พูดกันมามากแล้วก็เขียนกันมามาก เรื่องไม่ยึดมั่นถือมั่น เรื่องจิตว่าง เรื่องอะไรเหล่านี้ ล้วนแต่เรื่องคนไม่มีหัวใจทั้งนั้น มันเรื่องเดียวกันกับที่คนเหล่านี้เขารู้จักแล้วพูดกันมานมนานเป็นพันๆ ปี ด้วยภาษาชาวบ้านพื้นบ้านที่สุดว่า คนไม่มีหัวใจ ทีนี้เราไม่ต้องแปลความหมาย ต้องถอดความหมาย ต้องแปลความหมาย เดี๋ยวนี้ถ้าผมจะเกิดตั้งตัวเป็นนิกายหนึ่งเป็นลัทธิหนึ่งขึ้นมา แล้วสอนแต่เรื่องไม่มีหัวใจ อย่ามีหัวใจกันนะโว๊ย นี้ก็ได้ ไอ้คนมันเข้าใจผิดได้ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น เช่นเราก็จะอยู่กันหมู่หนึ่งคณะหนึ่ง แล้วก็สอนกันแต่เรื่องอย่ามีหัวใจ ก็ทำได้ก็ถูกต้อง โดยความหมายถูกต้องดี โดยคำพูด คนเขาฟังไม่รู้เรื่อง เขาก็ว่าบ้า ทีนี้ไอ้พวกนักเลงโตไอ้นักเลงอันธพาลต่างๆ มันคงจะคิดว่า โอ..สอนถอดหัวใจสอนถอดหัวใจแล้วใครฆ่าไม่ตาย ขอไปเรียนที ขอเรียนถอดหัวใจอย่าให้ใครฆ่าตายนี้ก็ได้อีกเหมือนกัน มันก็เลอะเทอะกันใหญ่ มันก็ไปกันใหญ่
ฉะนั้นเราจึงเห็นว่า ไอ้เรื่องของอันธพาล เรื่องของไอ้กิเลส มันก็เข้ามาปนอยู่กับเรื่องของความหมดกิเลส เช่นพวกโจรเอาพระพุทธรูปไปแขวนคอนี้ มันก็เพราะเหตุนี้ เดี๋ยวนี้ก็แขวนคอพระพุทธรูปกันจนไม่มีคอจะแขวน ทั้งฝ่ายไอ้ที่ฆ่าเขา หรือฝ่ายที่ถูกเขาฆ่า มันก็ล้วนแต่มีพระแขวนคอกันทั้งนั้น เพราะมันไม่รู้ความหมายของสิ่งเหล่านี้ แล้วมันมีความขลาดความกลัวมากเกินไป มันก็ต้องเอาไว้ทีก่อน เมื่อคิดอะไรไม่ออกมันก็ต้องเอาไอ้อย่างที่คิดออก ฉะนั้นเรื่องธรรมะชั้นความหลุดพ้นชั้นสูงสุดชั้นประเสริฐนี้มันก็ถูกปนกันเข้ากับไอ้สิ่งที่ตรงกันข้าม ความหมายที่ตรงกันข้าม อย่างในครั้งพุทธกาล ว่าง อย่างของพระพุทธเจ้าก็เป็นพระอรหันต์ แต่พอว่างอย่างลัทธิบางลัทธิก็เพื่อจะปล้นสดมภ์ เป็นโจรฆ่าคนไม่มีบาป อย่างนี้ก็มีไปก็เป็นไป ถือคำว่า “ว่าง” เหมือนกัน เพื่อประโยชน์ของตัว นี่คือเรียกว่าตัวกู จัดหรือว่ามีอัตตาจัด มีความโง่จัด แล้วบางสำนักก็เป็นคู่แข่งกับพระพุทธเจ้าด้วย คือคนนับถือมากมากเข้า ก็นับถือพระพุทธเจ้า นับถือไอ้อาจารย์คนนี้ อาจารย์นิกายนี้คณะนี้ เขาก็มีศิษย์มีสาวกมากขนาดเท่าๆ กับคณะของพระพุทธเจ้าเหมือนกัน เพราะเขาได้ประโยชน์เพราะเขาต้องการประโยชน์ ว่างถึงขนาดว่า ทำบุญก็ไม่มีความหมาย ทำบาปก็ไม่มีความหมาย คนก็ชอบก็มี แต่ไอ้ว่างแบบนี้มันไม่ใช่แบบพุทธศาสนา มันเป็นฝ่ายมิจฉาทิฐิฝ่ายอันธพาล เหมือนกับที่เราจะพูดว่า คนไม่มีหัวใจ ก็แบ่งไปได้ทั้งไอ้ถูกต้องและผิดอย่างตรงกันข้าม
ทีนี้ถ้าพูดให้ลึกต่อไปอีก ถ้าเราจะพูดให้ลึกต่อไปอีก มันคล้ายๆ จะพูดว่า ถ้ามีหัวใจตามความหมายธรรมดา หัวใจตามความหมายของคนธรรมดานี้ มันก็ถูกกิเลสจับหัวใจ มันก็จะถูกกิเลสจับเอาหัวใจ ทีนี้กิเลสที่ทำให้โลภ มันก็กลายเป็นคนโลภไป กิเลสที่ทำให้โกรธ มันก็กลายเป็นคนโกรธไป กิเลสที่ทำให้หลงก็กลายเป็นคนหลงไป เพราะมันมีหัวใจให้กิเลสจับเอาไป ฉะนั้นอย่ามีหัวใจ กิเลสก็ไม่รู้จะจับอะไร เช่นเดียวกับลูกสมุนนี้มัน มันคงไม่รู้จะจับอะไร เพราะไอ้คนนั้นมันไม่มีหัวใจ ไม่รู้จะจับได้อย่างไร ทีนี้ถ้าเราทำตนไม่มีตัวตนไม่มีหัวใจ กิเลสก็ไม่รู้จะตั้งลงที่ไหน กิเลสก็เกิดไม่ได้ทำหน้าที่ไม่ได้ ความทุกข์ก็ไม่มี ความเกิด แก่ เจ็บ ตายก็ไม่มี เป็นเรื่องของการที่ไม่มีหัวใจ เป็นเรื่องว่างที่สุด คือว่างกว่าสิ่งใด
ว่าง ในที่นี้เป็นภาษาธรรมะทางจิตใจ ไม่ใช่ ว่าง ภาษาวัตถุไม่ใช่ ว่าง ทางภาษาวัตถุ ฉะนั้นวัตถุจะมีก็ได้ ร่างกายจะมีก็ได้ อะไรจะมีก็ได้มีไปเถอะ มันเรื่องวัตถุ แต่ความหมายที่จะยึดมั่นถือมั่นทางจิตใจมันไม่มี เพราะฉะนั้นเราจึงเรียกว่า ว่าง และว่างที่สุด ว่างอย่างยิ่ง ว่างขนาดไม่มีอะไรเลย ทุกอย่างไม่มีค่าแก่จิตใจเพราะว่าจิตใจมันไม่มีจะรับ เพราะฉะนั้นโลกทั้งโลกกี่ร้อยโลกไม่มีค่าไม่มีความหมาย ไม่มีค่าไม่มีราคาแก่จิตใจนั้น เพราะว่ามันไม่มีจิตใจ ไม่มีจิตใจสำหรับจะให้กิเลสครอบงำและก็ไปหลงในคุณค่า ไอ้นั้นมีค่าเท่านั้น ไอ้นี้มีค่าเท่านี้ นี้มันเป็นเรื่องโง่ โง่ไปตามความหมายของประโยชน์ที่กิเลสต้องการ ถ้ามันมีประโยชน์ที่กิเลสต้องการมาก สิ่งนั้นมันก็มีค่ามาก จะเป็นอะไรก็ได้ เป็นผู้หญิงก็ได้เป็นเงินก็ได้เป็นของไม่มีสาระอะไรก็ได้ ถ้ามันไม่มีประโยชน์แก่ความต้องการของกิเลสมาก มันก็ถือว่าไม่มีค่ามากในโลกนี้ ตัวอย่างเช่น เพชรพลอยอย่างนี้มันใช้อะไรได้ มันไม่มีอะไรไม่มีความหมายอะไร หมาก็ไม่ต้องการแต่คนก็ให้มันแพงๆ อย่างนี้ เพราะมันมีประโยชน์แก่ค่าทางความต้องการของกิเลส
ถ้าอย่ามีความยึดมั่นถือมั่นเสียอย่างเดียว มันก็หมดเรื่อง ก็ไม่มีหัวใจไม่มีตัวกูไม่มีของกู นี่ผมเอามาเล่าเอามาอธิบายให้ฟัง ก็เพื่อช่วยประกอบให้เข้าใจคำอธิบายที่เคยอธิบายมาแล้ว นั้นมันมาอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นมากขึ้น กว้างขวางขึ้น ลึกขึ้น หรือเข้าใจได้แนบเนียนขึ้น โดยการพูดภาษาชาวบ้านบ้าง ภาษาพระศาสนาอันลึกล้ำบ้าง ภาษาคนอันธพาลบ้าง ภาษาพระอรหันต์บ้าง มันปนเปกันยุ่งไปหมด เพราะเราขาดคำพูด ในโลกนี้มันขาดคำพูดที่จะใช้กับไอ้ความรู้อันลึกลับที่พระพุทธเจ้าค้นพบ มันก็เลยต้องใช้คำพูดของชาวบ้าน เรื่องมันยุ่งเพราะเหตุนี้ ไอ้ธรรมะก็ตาม ธรรมะสูงสุดก็ตามหรือแม้แต่เรื่องปรัชญาของไอ้ชาวโลกไม่มีสิ้นสุดนี้ก็ตาม มันยากแก่การเข้าใจ เพราะว่ามันไม่มีคำสำหรับสิ่งนั้น เมื่อมันไม่มีคำ มันต้องทำ ต้องตั้งคำขึ้นมาใหม่ คนก็ไม่รู้ ทีนี้มันก็ทำไม่ได้ มันก็ต้องไปใช้คำที่เขาพูดกันอยู่แล้ว คนก็เข้าใจผิด เช่น คำว่า “ กิเลส” หมายถึงของสกปรก พอเราพูดว่าของสกปรก คนก็หมายถึงของสกปรก มันเลยไม่รู้ว่ากิเลสคือ โลภะ โทสะ โมหะ
ทีนี้คำว่า “ นิพพาน” มันหมายถึง เย็น ก็ต้องเป็นคำของชาวบ้านที่ว่า เย็น นั่นแหละมาใช้ ไอ้คนก็นึกถึงของเย็น อย่างเดี๋ยวนี้ก็คงนึกถึงน้ำแข็งมากกว่าเมื่อพูดถึงนิพพาน แล้วก็ว่านิพพาน หมายถึงเย็นแล้วก็น้ำแข็งมันเย็นมากสำหรับเด็กๆ เด็กๆ มันรู้จักดี เพราะฉะนั้นนิพพานมันต้องหมายถึงน้ำแข็ง
คำเหล่านี้ไม่มีทางที่จะตั้งขึ้นมาได้ ต้องใช้พูดด้วยคำที่ชาวบ้านพูดกันอยู่แล้วทุกคำไปเลย แม้แต่คำว่า พระอรหันต์ นี่ก็เป็นคำที่เขาพูดกันอยู่มาแต่นมนานแล้ว เขาหมายถึงคนที่ประเสริฐที่สุด ยอดคนหรืออะไรทำนองนี้ คำว่า นิพพาน ก็คือว่า สบายที่สุดเย็นที่สุด ทุกคำไปเลย แต่ทีนี้คำว่า นิพพาน เย็นที่สุดนั้น เราหมายถึงความที่ไม่มีตัวกู ของกูนั่นแหละมันจึงจะเย็นที่สุด มันว่างจากตัวกู ของกู มันจึงจะเย็นถึงที่สุด แล้วพูดอย่างนี้ใครมันจะฟังถูกหล่ะ เพราะคำว่า เย็น มันหมายถึงไอ้ของร้อนเย็น ไฟดับแล้วจึงเย็น ทีนี้เราก็ต้องพูดว่า ไฟกิเลส โว้ย ไฟโลภะ โทสะ โมหะ ร้อนกว่าไฟไหน ไอ้นี่ดับลงไปเย็นโว้ย แล้วเราก็เรียกว่านี่คือเย็น เย็นจริง เย็นกว่า หรือเย็นจริงคำว่านิพพาน
นิพพานของเด็กๆ ก็ว่าของร้อนๆ มันเย็น ถ่านไฟมันเย็น ข้าวในหม้อมันเย็นกินได้ นี่คือ นิพพานของเด็กๆ พูดอยู่ตามบ้านตามเรือน นิพพาน นิพพานแล้วเว๊ยกินได้แล้วเว๊ย นี่รวมความว่าธรรมะมันยาก ปรัชญามันยากเพราะคำพูดไม่มี เพราะคำพูดไม่พอ มันก็ต้องถูไถกันไปอย่างนี้ เอาคำนั้นแหละมาใช้แล้วก็อธิบายเสียใหม่ มันช่วยไม่ได้ ไม่มีใครแก้ได้ พระเจ้าก็ช่วยไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็ช่วยไม่ได้ ที่จะไม่ให้ใช้คำที่ชาวบ้านเขาพูดกันอยู่
ฉะนั้นพอพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้วิธีดับทุกข์โดยสิ้นเชิง ฆ่าทำลายกิเลสโดยสิ้นเชิง เท่ากับเรียกวิธีการอันนี้ว่า “หนทาง” หนทาง คือ ทางถนนที่รถวิ่งคนเดินนั้น คำว่า “มรรคะ” หรือ มา-ระ-คะนี้ก็คือทางที่คนเดิน เอายืมคำนี้มาจากชาวบ้านมาใช้เป็นวิธีการดับกิเลสสิ้นเชิง ศาสนาอื่นก็เหมือนกัน แม้แต่คำว่า “เต๋า” สูงสุดนั้นก็แปลว่า หนทาง เหมือนกัน แปลว่า ทางเหมือนกัน แต่เขาหมายถึงวิธีที่ทำให้หมดความโง่ เมื่อความโง่หมดไม่ต้องกลัวไอ้ความฉลาดความสุขอะไรก็โพล่งออกมาเอง ถึงเอง ได้รับเอง ฉะนั้นปัญหามันอยู่แต่ว่า วิธีที่ทำลายความโง่ให้หมดลงไป นี้คือหนทางนี่คือตัวทาง เพราะฉะนั้นถ้าว่าหนทางมันก็รวมผลของการเดินทางอยู่ด้วย เพราะมันเป็นเรื่องทางจิตใจ เมื่อพูดถึงว่าหนทาง ลองไปทำเข้าสิมันจะมีผลของการเดินทางถึงที่สุดมาให้ เพราะฉะนั้นคำว่า “เต๋า” จึงหมายถึงหนทางและผลที่ได้รับจากการถึงหนทางเหมือนกัน เหมือนกันกับพุทธศาสนา ถ้าบรรลุมรรคมันต้องมีผลตามมา มีนิพพานตามมา หมายถึง อริยมรรคมีองค์แปด ที่ถึงขนาดที่เป็นอริยมรรคจริงๆ มันก็มีผลของมรรคนั้นตามมาทันควันเลย โดยบทว่า อกาลิโก เอหิปัสสิโก ไม่รอเวลา ไม่เนื่องด้วยเวลา มีมรรคที่ไหนก็มีผลแห่งมรรคที่นั่นทันควันเหมือนกัน ที่นี้มันก็น่าหัว ถ้าคุณรู้ว่าอันนี้มันมาอย่างไรแล้วก็จะนึกน่าหัว เช่น อริยมรรคนี่ไม่มีอะไรจะเรียก มันก็ต้องเอาคำว่า ทาง มรรคนี่มาเรียก แต่เติม อริยะ เข้าไปหน่อย อริยมรรค หนทางอริยะ อริยะหนทาง ก็หมายถึงวิธีดับนั่นเอง
ทีนี้ กิเลส กับคำว่า ของสกปรก ไม่ได้หมายถึงอุจจาระ ปัสสาวะ ขี้หมูขี้หมา มันหมายถึงความโลภ ความโกรธ ความหลงนี่เป็นของสกปรก ทีนี้ถ้าเป็นชนิดเรื้อรัง กิเลสชนิดเรื้อรังก็เลยเรียกว่า อาสวะ ก็แปลว่า ของดองในไห ของหมักดองอยู่ในไห อะไรที่มันหมักดองบูดรา ไอ้อย่างนี้มันนั่นอยู่ในไห มันคือ อาสวะ ที่ไปเรียกว่า โยคะ อะไรทำนองนี้มันหมายถึง อาการที่มันผูกจิตใจไว้ให้มีความทุกข์ มันก็ไปยืมเชือกผูกควายนั่นแหละมาใช้ เชือกล่ามควายหรือโซ่ล่ามสุนัขมาใช้กับคำ อาการอันนี้ มันจึงเรียกว่า โยคะ โยคะ..กิเลส (นาทีที่ 48.00) มีอาการผูกมัด หรือถ้าไปเพ่งเล็งถึงอาการที่กิเลสมันท่วมทับจิตใจทำให้เหมือนกับจะจมน้ำตาย แล้วช่วยตัวเองไม่ได้ กิเลสก็เลยเรียกว่า โอฆะ โอฆะ แปลว่าน้ำท่วมใหญ่ ที่เรามานั่งอยู่ที่นี่ไม่รู้ความหมายของน้ำท่วมใหญ่ ก็เลยไม่รู้จักกิเลส ลองให้น้ำท่วมใหญ่แล้วจมอยู่ใต้น้ำแล้วตายดูบ้างจะรู้ความหมายของคำว่า โอฆะ แล้วค่อยรู้ว่ากิเลสมันก็มีอาการท่วมทับจิตใจในลักษณะนั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้นทุกคำที่เราใช้อยู่ในทางธรรมะในทางพุทธศาสนา คือภาษาชาวบ้าน แต่มาให้ความหมายใหม่ ถ้าเรียกอย่างสมัยใหม่ก็เรียกว่า ไอ้ TECHNICAL TERM เฉพาะเรื่องนี้เปลี่ยนความหมายไป มา มาหาเรื่องนี้เฉพาะเรื่องนี้ ไอ้ที่แท้มันก็คือคำชาวบ้านพูดในความหมายหนึ่ง
เพราะฉะนั้นถ้าเราพูดว่า มันไม่มีหัวใจโว๊ย ก็ต้องรู้ว่า มันไม่มีความยึดมั่นถือมั่นในความเป็นคนโว๊ย มันหมดความเป็นคนเสียแล้ว นี่เรียกว่า ไม่มีหัวใจ ในภาษาบัญญัติเฉพาะสำหรับหลักธรรมะในพุทธศาสนา เพราะฉะนั้นอยู่อย่างคนไม่มีหัวใจ หรือปฏิบัติเพื่อไม่มีหัวใจแล้วตัวอย่างหรือเหตุผลมันมีอยู่แล้ว เวลาไหนมีหัวใจเวลานั้นมันยุ่งทันทีเห็นไหม เวลาไหนไม่มีหัวใจนั้นสบายที่สุด เดี๋ยวนี้ถึงเดี๋ยวนี้คุณก็ไปลองสังเกตดู พอเกิดมีหัวใจเข้ามามันก็ต้องยุ่งล่ะ ไม่รักก็โกรธ ไม่ชอบก็ไม่รักก็เกลียด หรือว่าไม่ยินดีก็ยินร้าย มีหัวใจขึ้นมาพออย่ามีหัวใจก็สบายเลย เดี๋ยวหัวใจมันก็มาอีก มีมาอีกเอ้า..มันก็ยุ่งอีก มีหัวใจอย่างนี้มันมีความหมายเฉพาะ เป็นคำพูดเฉพาะ บัญญัติเฉพาะ ไม่ใช่หัวใจอย่างที่เอามาแกงกินได้ ซึ่งเป็นเรื่องทางวัตถุ
ฉะนั้นเพื่อให้เราเข้าใจดีขึ้น คุณก็ลองไปเอาคำบัญญัติเฉพาะทางธรรมะทุกคำมาพิจารณาดู แล้วค้นให้พบไอ้รากคำความหมายคำเดิมที่ยืมมา จะพบว่ามีอยู่ในภาษาชาวบ้านทั้งหมด แต่เราไม่รู้และเรารู้ต่อเมื่อเขามาสอนในรูปของธรรมะแล้ว แล้วเราอยู่ในเมืองไทยโน้นมันที่อินเดียตั้งสองพันกว่าปีแล้ว เราไม่รู้ว่าไอ้คำว่านิพพานนี่เด็กๆ มันพูดกันอยู่ในครัวเมื่อของมันร้อนกินไม่ได้ ต้องรอให้นิพพานก่อนจึงจะกิน นี่เราไม่รู้ เพราะเราพอได้ยินคำว่า นิพพาน เราก็ยกมือท่วมหัว ใส่คำว่า พระ เข้าไปด้วย “พระนิพพาน” ด้วยคำบัญญัติ เฉพาะอย่างนี้
เพราะฉะนั้นถ้าเรารู้แล้ว ก็รู้ความหมายของมันมาตามลำดับ ตามลำดับ ตามลำดับ จนกระทั่งถึง นิพพาน ที่แท้ที่สูงสุด นิพพานของวัตถุของภาษาชาวบ้านที่มนุษย์เริ่มพูดเป็น มนุษย์สมัยหินสมัยอะไร ตามใจมัน เริ่มพูดเป็นคำว่าเย็นขึ้นมาเมื่อไหร่ เพราะมันไฟมันร้อนแล้วมันตรงกันข้ามเรียกว่าเย็น มันพูดคำว่าเย็นขึ้นมาเมื่อไหร่นี้ คำว่า นิพพาน มันก็เกิดขึ้นแล้วในประเทศอินเดีย นี้คำว่า นิพพาน นี้ก็แปลว่า เย็นของสิ่งที่ร้อน เพราะฉะนั้นชาวบ้านจึงพูดหมายถึงว่าไฟดับ ไฟนิพพาน หรือว่าเมื่อของร้อนเย็นลงกินได้ก็เรียกว่า มันนิพพานแล้ว คือมันเย็นแล้ว มันหมายถึงนิพพานของวัตถุ วัตถุสิ่งของ วัตถุ นิพพาน ทีแรกมันต้องมาจากวัตถุนั้น คำพูดของมนุษย์มันรู้แต่เรื่องวัตถุก่อน ทีนี้ต่อมาคำนี้มันยืมมาใช้เย็นในทางที่สูงขึ้นมา คือทางจิต พูดถึงทางจิต พอทางจิตมันก็ไม่ใช่ไฟธรรมดาแล้ว มันต้องไฟทางจิต มนุษย์ก็เริ่มค้นคว้าไอ้เรื่องเย็นทางจิต ทีนี้ก็พบว่าไอ้ที่สบายใจนั่นแหละ สบายใจนั่นแหละคือเย็น คือนิพพาน นิพพานทางจิตคือเย็นใจ เพราะฉะนั้นไอ้ยุคแรกที่สุดของคำว่านิพพานเกี่ยวกับทางจิตนี้มันก็คือการได้อย่างใจ นั่นก็คือการได้กามารมณ์ กามารมณ์รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสได้อย่างใจ แล้วก็ความต้องการมันความอยากความใคร่มันหยุดลงไปนี้เรียกว่าเย็น เรียกว่านิพพาน
เพราะฉะนั้นจึงมีอยู่สมัยหนึ่งอย่างที่ปรากฏอยู่ในสูตร พรหมชาลสูตรอย่างนี้เป็นต้น คนพวกหนึ่งบัญญัติความเต็มเปี่ยมของกามารมณ์ว่าเป็นนิพพาน เย็นใจเพราะได้สิ่งที่สนองความใคร่ หยุดความใคร่ไป เขามองเพียงแค่นั้น เขามองนิดเดียวมองเพียงแค่นั้น มันหยุดความหื่นกระหายได้ ก็เรียกเย็นเป็นนิพพาน แต่มันจะเกิดอีกเมื่อไรไม่รู้ไม่รับผิดชอบตอนนี้แต่พอไอ้ความร้อน ความหิว ความใคร่มันหยุดไปได้พักหนึ่ง ก็เรียกว่านิพพาน
ทีนี้ต่อมาอีกไอ้คนที่มันฉลาดขึ้นฉลาดขึ้น มันบอกไม่ไหวโว๊ย มันต้องเย็นกว่านั้น มันจึงมาพบไอ้เรื่องสมาธิ เรื่องความสงบเย็นที่เกิดจากสมาธิ สมาธิถึงอันดับจตุตถฌานนี้ถูกบัญญัติเป็นนิพพานปรากฏชัดอยู่ในสมัยนั้นเป็นอันดับแรก บัญญัติไอ้จิตที่สงบเย็น จิตที่เราขนานนามมันว่า จตุตถฌานเดี๋ยวนี้ว่าเป็นนิพพาน แล้วก็ไม่รู้อะไรมากกว่านั้น ทีนี้ต่อมาไอ้พวกที่มันทำได้ดีกว่า คือทำได้ลึกกว่าเข้าไปอีกก็เขยิบสูงขึ้นมาตามลำดับ ตามลำดับ จนกระทั่งถึง อากิญจัญญายตนะ ที่เป็นอรูปฌานนี่กำลังได้รับยกย่องอยู่ในครั้งพุทธกาลครั้งพระพุทธเจ้า คือพวกศาสดาที่มีอยู่ในสมัยนั้นที่พระพุทธเจ้าออกบวชก็ไปขอศึกษาด้วย โดยเฉพาะอาฬารดาบส อุทกดาบส ความรู้สูงสุดของอาจารย์เหล่านั้นถูก CLASSIFIED เป็นนิพานทั้งนั้น คนหนึ่งเอา อากิญจัญญายตนะเป็นนิพพาน คนหนึ่งเอาเนวสัญญาญายตนะเป็นนิพพาน ที่พระพุทธเจ้าไปเรียนด้วยไปขอเรียนด้วย พอรู้ก็วู๊..ไม่ไหวโว๊ยสั่นหัวแล้วก็ไป ไปตามทางของพระพุทธเจ้า ซึ่งในที่สุดตรัสรู้ อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ พบความไม่มีกิเลสโดยสิ้นเชิง ความไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดอะไรเป็นตัวตนนี้ ว่าเป็นนิพพาน นี้พวกเราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าก็เลยได้เพียงแค่นี้ แล้วก็จนกระทั่งบัดนี้ไม่มีใครมาพิสูจน์ให้เห็นได้ว่ามีนิพพานอื่นที่ยิ่งกว่า
เพราะฉะนั้นเราจึงถือว่าเป็น อนุตตรธรรม ธรรมที่ไม่มีอย่างอื่นยิ่งกว่า หรือว่าเป็นอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้อย่างไม่มีความรู้อื่นยิ่งกว่า หรือพระพุทธเจ้าเป็น อนุตตรบุคคล ไม่มีบุคคลอื่นยิ่งกว่า เพราะว่าเป็นเวลาสองพันกว่าปีมาแล้ว ไม่มีใครกล้าพิสูจน์ว่ามีนิพพานอะไรที่เย็นกว่านี้ เพราะฉะนั้นเราว่านิพพานของวัตถุก็คือของร้อนๆ วัตถุร้อนมันเย็น นิพพานของคนนี้คือใจของคนมันเย็น แต่คนมันไม่ฉลาดทีเดียวถึงเอาเรื่องหมดกิเลสเป็นนิพพาน มันก็มาตามลำดับ ได้กามารมณ์ตามต้องการบ้าง ได้หยุดสงบอย่างจตุตถฌานบ้าง อย่างอากิญจัญญายตนะบ้าง อย่างเนวสัญญาญายตนะบ้าง จนกระทั่งพระพุทธเจ้ามาก็มีนิพพานจริงขึ้นมาแล้วก็สูงสุดกันเพียงแค่นี้
ทีนี้พระอาจารย์ผู้เขียนคัมภีร์ทางฝ่ายเรา ได้เขียนมีเค้าเงื่อนที่ดีมากไว้ให้เห็นว่าท่านก็มีความรู้สึกเหมือนกับที่เรากำลังพูด เพราะฉะนั้นจึงบัญญัติ จึงเขียนบัญญัติเรื่องเปรียบเทียบความหมายของคำว่านิพพานไว้ให้เป็นแนวทาง เป็นนิพพานของวัตถุ แล้วก็เป็นนิพพานของสัตว์เดรัจฉาน แล้วก็เป็นนิพพานของมนุษย์
นิพพานของวัตถุก็คือไอ้ที่มันร้อนโชนเป็นไฟ แล้วมันเย็นสนิทนั้นน่ะนิพพานของวัตถุ นิพพานของสัตว์เดรัจฉานก็คือ สัตว์เดรัจฉานชนิดที่เลี้ยงดูดี ฝึกอบรมดีอะไรดีนี้จนไม่มีอันตรายจากสัตว์ตัวนั้นอีกต่อไป เพราะครั้งกระโน้นเขาหมายถึงสัตว์นี้จับมาในจากป่าทั้งนั้น ช้าง ม้า วัว ควาย หมาอะไรก็ตาม จับมาจากป่าทั้งนั้น มันมีอยู่ในป่ามากแล้วก็จับมาเลี้ยงที่บ้านเพื่อเป็นของบ้าน ไม่ต้องผสมพันธุ์ที่บ้านก็ยังได้ เขาจึงเพ่งเล็งว่าสัตว์เดรัจฉานที่ฝึกดีถึงที่สุด ไม่มีวิเสวนะ(นาทีที่ 58.37) คือไม่มีพยศร้าย ไม่มีอันตรายอะไรจากสัตว์นั้น ก็ถือว่าสัตว์เดรัจฉานนั้นลุถึงนิพพาน ทีนี้มาถึงคน มันก็ต้องหมดพยศร้ายหมดกิเลส หมดกิเลสโดยสิ้นเชิงถึงจะเป็นนิพพาน
ทีนี้เดี๋ยวนี้เรามันเป็นคน มันไม่ใช่สัตว์เดรัจฉานหรือไม่ใช่ถ่านไฟ คนมันก็ต้องมีนิพพานอย่างของคน ฉะนั้นจึงต้องมีเรื่องหมดกิเลสนี้เป็นเรื่องนิพพานของคน ไม่ใช่เพียงแต่ว่าได้กามารมณ์หรือว่าหยุดอยู่ในสมาบัติที่เย็นๆ นี้จะเป็นนิพพานไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องไปลิบถึงขนาดที่ไม่มีหัวใจ ต้องไปถึงขนาดที่ไม่มีหัวใจมันจึงจะหมดคนและหมดกิเลส จึงจะเป็นนิพพาน ไอ้นิทานเรื่องนั้นจึงเป็นอันว่าสอนเรื่องนิพพาน นิทานเรื่องนั้นมันได้สอนเรื่องนิพพานโดยสมบูรณ์ ไอ้ลูกน้องของผีนั้นมันไปจับคนที่ไม่มีหัวใจมาไม่ได้ ก็แปลว่านิยายเรื่องนี้ moral fable มันสอนเรื่องนิพพานโดยสมบูรณ์
เราก็อย่ามัวหลับตา ปิดหูปิดตา ลองอ่านลองฟังลองอะไรไปบ้างตามเวลาว่าง ถ้าหากว่าเอามาปรับกันได้กับเรื่องของเราก็เรียกว่าคุ้มค่า คุ้มค่าเวลาไม่เสียเวลา ในการที่ไปอ่านเรื่องพิเศษนอกออกนอกออกไป ไม่เสียเวลามันกลายเป็นเรื่องธรรมะไปหมด ไอ้หนังสือที่ห้ามไม่ให้อ่านขอร้องไม่ให้อ่านก็หมายความว่ามันเป็นหนังสือหรือเรื่องอะไรที่มัน มันไม่นำมาสู่ความเป็นอย่างนี้ มันเล่าเรื่องสนุกสนานเตลิดเปิดเปิงไป เสริมเป็นเรื่องส่งเสริมกามารมณ์ ส่งเสริมความหลงใหลไป ไม่ควรไปอ่านมัน แต่ถ้ามันเป็นเรื่องอย่างนี้มันอ่านเถอะแล้วมันจะมาสู่จุดนี้จุดเดียวหมด จุดเดียวนี้ก็คือความไม่ยึดมั่นถือมั่น หรือความไม่มีตัวกู ของกู เพราะฉะนั้นถ้าคุณอ่านหนังสืออะไรเรื่องอะไรนิทานอะไร นิทานไอ้โปกฮาอะไรก็ตาม ถ้ามันมาสู่ไอ้จุดที่ว่าไม่มีตัวกู ของกูได้แล้วก็ใช้ได้ทั้งนั้น
แล้วอาจจะเล่าเสียใหม่ เปลี่ยนความหมายเสียใหม่อะไรก็ได้ ให้ก็ได้ให้มันเป็นเข้าจุดนี้ไม่มีตัวกูไม่มีของกู ทั้งที่มันเป็นนิทานชวนหัวก็ยังได้ นิทานสองสามนาทีแต่ให้ความรู้เรื่องไม่มีตัวกูไม่มีของกูได้น่ะเป็นวิเศษ เพราะฉะนั้นถ้าใครรู้เรื่องอะไรเอามาเล่ากันบ้าง เพราะถ้าดีก็จะได้ปรับเป็นภาพเขียนไว้ตามเสา ให้โรงหนังของเรานี้เต็มไปด้วยสิ่งที่ให้เกิดสติปัญญา เป็นที่รวบรวมความรู้ความฉลาดของคนทุกคนในโลก ไม่จำกัด
เพราะฉะนั้นใครพบอะไรที่ไหนมา ก็เอามาเล่ากันบ้าง ถ้าดีก็จะเขียนไว้หรือถ้าว่าไม่รู้อะไรเอามาเล่าให้ฟังก่อนก็ได้ แล้วจึงจะตีความหมายได้ ที่ยกนิทานเรื่องนี้เป็นตัวอย่าง ถ้าเด็กๆ เอาไปเล่ากันตามประสาเด็กๆ มันก็เป็นเรื่องตลกอะไรชนิดหนึ่งนั้น ไม่มีไม่รู้ความหมายอะไรอย่างหนึ่ง ก็ปล่อยมันค้างเติ่งอย่างนั้นไม่สามารถจะตีความหมายของคำว่า ไม่มีหัวใจ ได้ว่าหมายความว่าอย่างไร ไอ้เจตนาของผู้เล่าเดิมก็เป็นหมันในกรณีอย่างนั้น ถ้าในกรณีที่มีผู้เอาไปตีความหมายได้ถูกต้องได้รับประโยชน์ เขาก็ได้บุญ ไอ้คนเล่าทีแรกมันก็ได้บุญ
ทีนี้ถ้าเราโง่จนไม่มีปัญญาจะประดิษฐ์นิทานขึ้นเองก็ตาม หรือเล่าไม่เป็นก็ตาม ไปรวบรวมของคนฉลาดมาใส่ไว้ที่นี่ มันจะได้ง่ายขึ้นบ้าง สะดวกดี นี้คือมูลเหตุที่ทำให้ตามเสามันเขียนไอ้เรื่องความฉลาดๆ ของคนโบราณ หรือว่าเรื่องไอ้ธรรมะข้อใดข้อหนึ่งประเภทใดประเภทหนึ่งขึ้นเรื่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เขียนให้รกรุงรังเลอะเทอะไปเปล่าๆ มันมีความหมายมีสติปัญญาอยู่ในนั้น แต่ไอ้คนที่มาดูวันหนึ่งเป็นฝูงๆ มันเป็นคนโง่ทั้งนั้น มันเป็นฝูงคนโง่ที่มันผ่านเข้ามาแล้วผ่านออกไป ผ่านเข้ามาแล้วมันผ่านออกไป มันไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากที่เราเขียนไว้ นี้ก็ไม่ใช่ความผิดของเรา เราก็พยายามดีที่สุดแล้วที่จะทำได้ ว่าอย่างน้อยก็รักษาไว้ก่อน รักษาเปลือกรักษาวัตถุนี้เอาไว้ก่อน ใครย่อยได้ก็เอาไปกินต่อไป รักษาไอ้เปลือกตัวเปลือกไว้ รักษาเนื้อในไว้ได้โดยเปลือกนั้น ไอ้รูปภาพนี่มันเหมือนกับเปลือก ความหมายมันเหมือนกับเนื้อใน เมื่อรูปภาพยังอยู่ มันก็รักษาเปลือกไว้ได้ เนื้อในก็พลอยอยู่ แต่คนไหนจะมองเห็นกินเนื้อในได้หรือไม่นั้น มันเป็นเรื่องๆ ไป เป็นคนๆ
ทีนี้เราเป็นห่วงว่าไอ้ที่เขาพูดไว้ดีดี เล่าไว้ดีดี มันจะสูญหายไปหมด เพราะว่าคนต่อไปจะไม่สนใจเรื่องทำนองนี้ มันจะสูญหายไปหมด เพราะฉะนั้นรีบเอามาเขียนไว้ มารักษาไว้ตามที่จะทำได้ เพราะฉะนั้นเราไม่เลือกว่าของจีน ของอินเดีย ของฝรั่งหรือของอะไร แล้วในที่สุดคุณไปร (นาทีที่ 1.05.19) ของฝรั่งมีน้อยมาก เกือบจะไม่มีอะไรเลยของฝรั่ง ที่มีความลึกลับมีค่าพอที่จะเอามาเขียนในนี้ มีน้อยมาก คุณสตาโลกะ(นาทีที่ 1.05.28) ก็เหมือนกัน ผมกำลังพูดว่าของฝรั่งเกือบจะไม่มีอะไรเลย คุณดูสิ ที่เขียนไว้นี่ อันไหนมันมีต้นตอมาจากฝรั่ง มาจากจีน มาจากอินเดีย มาจากธิเบต มาจาก..เพราะฉะนั้นถ้ามีเอามาดูสิ นี่ฝรั่งยังเป็นเด็กๆ มาก ยังไม่ค่อยมีอะไร ไอ้ความคิดที่ลึกๆ อย่างนี้ยังไม่มี ศิลปะฝรั่งเนื่องไปด้วยวัตถุ ส่งเสริมไอ้เรื่องวัตถุ ส่งเสริมให้มีหัวใจ ส่งเสริมแต่ให้มีหัวใจเรื่อย ลำบาก ไม่ส่งเสริมเรื่องหมดหัวใจ ที่มีบ้างก็ของกรีก อีสป ของเยอรมันประดิษฐ์ใหม่นั้นมันก็เป็นเรื่องต่ำๆ เป็นเรื่องที่ยังต่ำๆ อยู่ เป็นเรื่องศีลธรรมต่ำๆ อยู่ เรื่องหลุดพ้น เรื่องไม่มีหัวใจเหมือนของพวกธิเบตนั้นก็ยังไม่มีนะ ผมอยากได้ที่เป็นความคิดของฝรั่ง เรื่องขนาดที่เหนือโลกพ้นโลกไม่มีหัวใจนี่ อยากจะได้ที่เป็นต้นตอของพวกฝรั่ง และมันก็หาไม่ได้เพราะเพิ่งเกิด พวกเปอร์เชีย พวกอียิปต์ พวกอินเดีย พวกจีนนี่หลายพันปีแล้ว คิดมานานแล้วมองเห็นนานแล้ว และได้รับพุทธศาสนาด้วยก็เลยมีมาก แต่ว่าเราอยากจะรวบไว้หมด จะของใครก็ตามที่มันมีประโยชน์อย่างนี้รวมไว้หมดเป็นฝรั่งก็ได้ ไม่ใช่ฝรั่งก็ได้ หรือของคนป่าสมัยหินก็ได้ ถ้ามันมีอะไรสักภาพหนึ่ง กำลังคิดจะเอา เลือกเอามาจากของพวกอียิปต์ก็พอจะมีบ้าง แต่มันเป็นเรื่องวัตถุมากเหมือนกัน ต้องแปลความหมายไอ้เรื่องวัตถุเรื่องพระเจ้าเรื่องอะไรนั้นมาเป็นไอ้ธรรม เป็นธรรมะเสียก่อนจึงจะมี
เอาล่ะเรื่องคนไม่มีหัวใจจบแล้ว วันนี้พอกันที