แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
สืบต่อจากที่ได้กล่าวแล้วบนภูเขา ที่ว่าในเรื่อง ความรู้สึกในวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๑๑ เนื่องในการที่มีความคิดนึกดำเนินมาครบรอบหนึ่งปี สิ่งที่จะต้องพิจารณาให้ดีกันต่อไป ก็คือ โลกในทุกวันนี้ สถานะของโลกในทุกวันนี้ ซึ่งมีแต่อาการของคนบ้า ดังที่ได้กล่าวแล้วในตอนต้นนั้น บัดนี้จะได้มองดูกันโดยลักษณะที่ละเอียดออกไป ว่าเหตุใดจึงอยู่ในลักษณะที่ควรจะเรียกว่าโลกของคนบ้า คำว่าคนบ้าในที่นี้ การที่เป็นบ้าในทางวิญญาณ คือ ทางสติปัญญา จนเรียกด้วยชื่ออันใหม่ว่า ความมืดสีขาว จึงเป็นความมืดที่ปิดบังร้ายกาจยิ่งกว่าความมืดสีดำ ความมืดสีดำทำให้ไม่เห็นอะไรเลย แต่ความมืดสีขาวนั้นทำให้เห็นมากอย่าง หลายอย่าง และอย่างรุนแรง จนกระทั่งเห็นในลักษณะที่ทำตนให้เป็นบ้าดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ความมืดสีขาวนี้เป็นอย่างไร เราอาจจะเข้าใจได้ง่าย ๆ ก็คือการดูที่เมฆหรือหมอกควันสีขาว ถ้ามีหมอกสีขาวปิดบัง นั่นก็มองไม่เห็นอะไร เห็นเป็นขาวไปหมด แต่ก็ไม่เห็นอะไรอยู่นั่นเอง ดังนั้นสิ่งที่เป็นแสงสว่างอันแท้จริงนั้น ไม่ควรจะเป็นสีดำหรือสีขาว ควรจะเข้าใจกันเสียให้ถูกต้องว่า แสงสว่างที่แท้จริงนั้นไม่ใช่สีดำ ไม่ใช่สีขาว ถ้ามันเกิดมีสีอะไรสักอย่างหนึ่ง มันก็ไม่ใช่แสงสว่างเป็นแน่นอน แสงสว่างนั้นควรจะวูบวาบไม่มีสีอะไร คือเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์โดยแท้ จะไม่มีสีอะไรเกิดขึ้นเลย ถ้าเป็นสีขาวเหมือกับเมฆกับหมอก มันบดบัง นี่เป็นเรื่อง สิ่งที่ปิดบังอันเป็นวัตถุ แต่ถ้าเป็นเรื่องทางสติปัญญาแล้ว มันบังมากยิ่งกว่านั้น คือความยิ่งกว่าเมฆหมอกบัง เพราะว่าหมอกทางสติปัญญานั้นปิดบังใจ ในลักษณะที่หลอกให้เข้าผิดเป็นอย่างอื่น เป็นรูปอื่น เหมือนกับที่กำลังเป็นอยู่เดี๋ยวนี้ ทุกคนควรจะพิจารณาให้เห็น ความมืดสีขาวที่ปิดบังจิตใจ (5:52 เสียงไม่ชัดเจน และไม่ได้ถอดความ) เมื่อพูดว่าสีขาว ก็หมายถึงว่าความดีหรือกุศล เมื่อพูดว่าสีดำ ก็หมายถึง ความเลว (06:05 เสียงขาดหาย) หรืออกุศล ความมืดสีขาว ซึ่งหมายถึง (06:16 เสียงขาดหาย ไม่ได้ถอดความ) หรือกุศลนี้มันปิดบังอย่างไร มันก็ปิดบังโดยนัยที่กล่าวมาแล้ว (06:29 – 06:31 เสียงขาดหาย ไม่ได้ถอดความ) ว่า ถ้าไม่มีความรู้ความเข้าใจ ไปทางหนึ่ง แต่ที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ เป็นเครื่องยั่วยวน เป็นเครื่องล่อหลอกให้ยึดมั่นถือมั่น สิ่งที่เป็นความชั่ว หรือความทุกข์ นั้นไม่ยั่วยวน ไม่ล่อหลอกให้หลงยึดมั่นถือมั่น แต่สิ่งที่เป็นความสวยงาม ความไพเราะ หรือเป็นความสุข สนุก สบาย เหล่านี้ย่อมยั่วยวนให้หลงใหล ให้ยึดมั่นถือมั่น และ สูงสุด ก็อยู่ที่บุญหรือกุศลนั่นเอง จึงมีอาการที่เรียกว่าเมาบุญ เมากุศล กันขึ้นมาก เป็นลักษณะของความมืดสีขาวโดยตรง อันนี้ก็เป็นความมืดสีขาวอย่างหนึ่งแล้ว ในบรรดาความมืดสีขาวที่มีอยู่อีกหลาย ๆ อย่าง หมอกชนิดไหนก็ตาม จะเป็นสีอะไรก็ตาม ย่อมปิดบังทั้งนั้น ในทางจิตใจนี้ก็เหมือนกัน ย่อมมีหมอกที่มีลักษณะอาการต่าง ๆ โดยเฉพาะที่ละเอียดลึกซึ้งมากก็คือ หมอกที่เกิดมาจากวิชา ความรู้ ทุกคนลองฟังดูให้ดีว่า หมอกที่เกิดมาจากวิชา ความรู้ นี่จะเข้าใจกันว่าอย่างไร เพราะทุกคนได้ยินแต่ว่า ความรู้นั้นเป็นแสงสว่าง เดี๋ยวนี้มาพูดถึงว่า ความรู้นั้นเป็นหมอกที่ปิดบังไม่ให้เห็นสิ่งต่าง ๆ อย่างถูกต้อง ทุกคนก็พอจจะนึกเห็นว่า มันก็หมายถึงความรู้ที่ทำให้เขว และในโลกนี้ในเวลานี้ ก็มีแต่ความรู้ที่ทำให้เขว (09:55 - 09:57 เสียงขาดหาย ไม่ได้ถอดความ) ในที่นี้ ก็หมายถึง เขวไปจากความถูกต้อง (10:03 - 10:08 เสียงขาดหาย ไม่ได้ถอดความ) เป็นความรู้ที่ใช้ไปเพื่อแสวงหาเหยื่อสำหรับกิเลส เป็นความรู้ที่กำลังหลงใหลมากที่สุด กำลังหลงใหลกันมากที่สุด ยิ่งกว่าความรู้อย่างแต่ใด ความรู้ที่มีอยู่ในโลก หรือที่แพร่หลายที่สุดในโลก ก็เป็นแต่ความรู้ชนิดนี้ทั้งนั้น ส่วนความรู้อย่างของพระพุทธเจ้านั้น เกือบจะกล่าวได้ว่าไม่มีใครต้องการ ไม่มีต้องการความรู้อย่างของพระพุทธเจ้า เดี๋ยวนี้เรามีหนังสือ มีตัวหนังสือที่เขียนอยู่เป็นสองอย่างก็นับว่าดีแล้ว คือคำว่าวิชา กับคำว่าวิชชา วิชชามีตัว ช ช้าง 2 ตัว อ่านว่า วิช-ชา และวิชาก็มี ช ช้าง ตัวเดียว อ่านว่า วิ-ชา สิ่งที่เรียกว่าวิชชาในพระพุทธศาสนาไม่มีทางที่จะเป็นหมอกได้ มีแต่จะเป็นแสงสว่าง แต่คำว่าวิชา ในภาษาของชาวบ้านนั้น พร้อมที่จะเป็นหมอกเป็นเมฆที่ปิดบังเสมอ เพราะว่าวิชาของชาวบ้านเป็นไปตามความต้องการของชาว้าน ชาวบ้านเขาต้องการวิชาตามกิเลสตัณหาของเขา เมื่อเป็นอย่างนี้ วิชามันขึ้นอยู่กับกิเลสตัณหาของชาวบ้าน ดังนั้นวิชาจึงเป็นเมฆหรือเป็นหมอกไป แต่ถ้าวิชชาตามแบบของพุทธศาสนาหรือของสมมตธ เจ้า (12:36 เสียงไม่ชัด) แล้ว มันไม่ขึ้นอยู่กับกิเลสตัณหา แต่เป็นเรื่องปราบปรามกิเลสตัณหา ดังนั้นสิ่งที่เรียกว่า วิชชา จึงไม่ใช่เมฆ ไม่ใช่หมอกที่จะปิดบัง (12:52 เสียงไม่ชัด ไม่ได้ถอดความ) ความจริง มันผิดกันไกลกับคำว่าวิชาหรือความรู้ตามภาษาชาวบ้าน วิชาความรู้ตามภาษาชาวบ้านนั้น มันขึ้นอยู่กับกิเลสตัณหาของชาวบ้านนั่นเอง เพราะฉะนั้นจึงมีวิชาเช่นนี้มากเท่าไรก็ยิ่งเป็นเมฆหมอกปิดบังความจริงมากขึ้นเท่านั้น คนบางคนอาจจะคัดค้านว่าวิชาความรู้ของชาวบ้านก็เป็นเรื่องจริง หรือเป็นความจริง ข้อนี้ถูกแล้ว วิชาก็ต้องเป็นความจริง แต่มันจริงอย่างที่ไม่มีประโยชน์ก็มี มันจริงอย่างที่จะปิดบังเสียซึ่งประโยชน์อันสูงสุดก็มี สิ่งที่เรียกว่าวิชาควารู้ของชาวบ้าน จึงเป็นเรื่องที่จริง แต่ในทางที่จะให้เกิดความทุกข์ เพราะว่าวิชานั้นอยูกับกิเลสตัณหาซึ่งเป็นเหตุให้เกิด (14:15 – 14:22 เสียงขาดหาย ไม่ได้ถอดความ) เราก็จะเห็นได้ทันทีว่า วิชาความรู้ของชาวบ้านตามธรมดานั้นเป็นเมฆหมอกที่ปิดบังความจริง หรือปิดบังธรรมะ (14:37 – 14:39 เสียงไม่ชัดไม่ได้ถอดความ) เป็นของจริง ส่วนวิชชาของพระพุทธเจ้าในพระพุทธศาสนาไม่ปิดบัง แต่ว่าเป็นแสงสว่างอันแท้จริง โลกในทุกวันนี้ตกอยู่ในเมฆในหมอกของวิชาความรู้ของโลกเอง คือว่าชาวโลกล้วนแต่มีวิชาความรู้ที่ (15:09 – 15:15 เสียงไม่ชัดไม่ได้ถอดความ) วิชาความรู้เหล่านั้นกลายเป็นเมฆหรือเป็นหมอกที่หุ้มห่อ (15:22 เสียงไม่ชัดไม่ได้ถอดความ) จากโลกนี้ไว้ เรียกว่ามีวิชาความรู้เป็นเมฆหรือเป็นหมอก โลกกำลังตกอยู่ในเมฆหรือหมอกแห่งความรู้ นี่ก็ขอให้เข้าใจไว้วา มันมีอย่างหนึ่ง ท่านทั้งหลายจะมองเห็นอย่างนี้หรือจะไม่มองเห็นอย่างนี้ก็ตามใจ แต่ว่านี่เป็นเรื่องที่น่าให้สังเกตดูให้ดี ๆ ว่าแม้แต่ตัวเองนั่นแหละก็ต้องระวังให้ดี ดี ๆ อย่าได้ตกลงไปในหมอกหรือในเมฆของวิชาความรู้ของชาวโลก เราจะต้องอาศัยแสงสว่างแห่งวิชชาของพระพุทธเจ้าอยู่เสมอ นี่อย่างหนึ่ง ขอให้ทั้งหมดจดจำไว้อย่างก่อนว่า วิชาความรู้ของชาวโลกนั้นเป็นเมฆเป็นหมอก เราจะต้องอาศัยวิชชาของพระพุทธเจ้าที่ไม่เป็นเมฆหรือเป็นหมอก แต่เดี๋ยวนี้เรื่องมันก็มามีปัญหาต่อไปว่า พวกพุทธบริษัทที่พยายามจะมีวิชชาของพระพุทธเจ้านั้น ก็ทำไม่ได้ ทำไม่ได้สำเร็จตามที่ตนต้องการ กลับไปมีวิชาที่ไม่ใช่วิชชาที่เป็นเพียงคัมภีร์หรือคำบอกเล่าเรื่องวิชชา พระคัมภีร์หรือพระไตรปิฏกเป็นต้น ที่มีอยู่มากมายนั้นก็เป็นคำบอกเล่าเรื่องวิชชา (17:40 – 17:47 เสียงไม่ชัดไม่ได้ถอดความ) ที่คำพูดเหล่านั้น ติดอยู่ที่ตัวพระคัมภีร์ ไม่ได้เข้าถึงตัววิชชา หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า เข้าถึงธรรมะไม่ได้เพราะติดอยู่ที่พระคัมภีร์ ถ้าท่านทั้งหลายเคยได้ยินได้ฟังคำพูดที่เขากล่าวกันไว้ อย่างถูกต้องที่สุดแล้ว ก็จะเข้าใจเรื่อนี้ได้ดี คำพูดนั้นกล่าวว่า พระพุทธรูปบังพระพุทธเจ้า พระพุทธรูปบังพระพุทธเจ้า พระคัมภีร์นั้นบังพระธรรม หรือลูกชาวบ้านนั้นบังพระสงฆ์ พระพุทธรูปบังพระพุทธเจ้านั้นก็หมายความถึงคนที่รู้จักแต่พระพุทธรูปและเข้าใจว่าพระพุทธรูปนั้นเป็นพระพุทธเจ้า เหมือนความเข้าใจของเด็ก ๆ ผู้ที่มีความรู้จริง ยังรู้มากไปจนถึงกับว่า องค์พระพุทธเจ้านี่เป็นมนุษย์หรือเป็นคนที่เดินไป-มาอยู่ในอินเดียสมัยโน้นก็ยังไม่ใช่พระพุทธเจ้าที่แท้จริง อำนาจในจิตใจของพระพุทธเจ้าต่างหากที่เป็นพระพุทธเจ้าที่แท้จริง นี่แหละลองคิดดูเถอะว่า แม้แต่องค์พระพุทธเจ้าจริง ๆ ก็ยังไม่ใช่พระพุทธเจ้าจริง และเหตุไฉนพระพุทธรูปนี้จะมาเป็นพระพุทธเจ้าได้เล่า หากคนไปติดที่พระพุทธรูปก็ยิ่งบังพระพุทธเจ้า คือไม่มองเห็นพระพุทธเจ้าจริง ๆ ด้วยเหตุนี้แหละเขาจึงกล่าวว่า พระพุทธรูปนั้นบังพระพุทธเจ้า ส่วนพระคัมภีร์นั้นบังพระธรรม คนส่วนมากเรียก พระคัมภีร์หนังสือใบลานนี้ว่าพระธรรม ว่ามีพระธรรมก็คือหีบสำหรับใส่ใบลาน บางคนก็เรียกคัมภีร์ใบลานว่าธรรมเฉย ๆ ก็มี นี่ก็มีความเข้าใจว่านั่นคือพระธรรม ถ้าเข้าใจเพียงเท่านั้นหรืออย่างนั้น ซึ่งมันก็หมดหรือจบกันเพียงเท่านั้น นี่เรียกว่าพระคัมภีร์บังพระธรรม เหมือนที่เป็นกันอยู่โดยมาก คนบางคนคิดว่าเขาท่องคัมภีร์ได้มากก็คือรู้พระธรรมมาก ถ้าเข้าใจจอย่างนี้ก็เรียกว่า คัมภีร์ที่เขาท่องนั่นแหละบังพระธรรม ตัวธรรมที่แท้จริงนั้นไม่ใช่คัมภีร์ และก็ไม่ใช่เสียงที่แสดงธรรม ตัวธรรมที่แท้จริงนั้นคือความจริงที่ปรากฏออกมาต่อเมื่อปฏิบัติสำเร็จแล้ว ผู้ใดปฏิบัติธรรมสำเร็จแล้วมีความจริงอะไรปรากฏออกมานั้นคือพระธรรมที่แท้จริง ทีนี้จะต้องคิดดูให้ดีว่า พระคัมภีร์ พระธรรมนั้นไม่ใช่สิ่งเดียวกัน หากไปติดมั่นที่พระคัมภีร์ก็ไม่อาจจะมองเห็นพระธรรม โดยปกติธรรมดาสามัญ คนทั้งหลายก็ติดที่พระคัมภีร์ ไปยึดมั่นถือมั่นที่พระคัมภีร์ คนทั้งหลายจึงไม่มองเห็นพระธรรม ดังนั้นความที่เขากล่าวว่า พระคัมภีร์บังพระธรรมก็เป็นการถูกต้อง ทีนี้ก็มาถึงคำที่ว่าลูกชาวบ้านบังพระสงฆ์ นี่หมายความว่าลูกชาวบ้านที่บวชขึ้นมาเป็นพระเป็นเณรนั่นแหละบังพระสงฆ์ พูดตรง ๆ ก็คือว่าพระเณรเดี๋ยวนี้แหละที่บังพระสงฆ์ ที่ทำไม่ให้เห็นพระสงฆ์ที่แท้จริง พระสงฆ์ที่แท้จริงในกรณีนี้หมายถึงพระอริยสงฆ์ คือคุณสมบัติที่มีอยู่ในจิตใจของผู้ปฏิบัติธรรมะสำเร็จแล้ว เป็นโสดา เป็นโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล ปัตติทานะมีมรรค ปัตติทานะมีผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล มีอยู่ ๔ คู่ นับเรียงตัวได้ ๘ องค์ นี่แหละคือพระสงฆ์ ไม่ใช่ตัวคน แต่ได้แก่ตัวคุณธรรมที่มีอยู่ในจิตใจของคน ทีนี้คนทั้งหลายก็มาเอาพระเอาเณรลูกหลานชาวบ้านที่บวชมาเป็นพระเป็นเณรนี้ว่าเป็นพระสงฆ์ แล้วความคิดก็หยุดลงเพียงเท่านั้น ติดกันอยู่เพียงเท่านั้น ไม่อาจจะเข้าใจไปถึงพระสงฆ์ที่แท้จริง คือคุณธรรมที่ทำความเป็นพระสงฆ์ เมื่อเป็นดังนี้ เขาจึงกล่าวว่าลูกหลานชาวบ้านที่บวชเป็นพระเป็นเณรนั่นแหละบังพระสงฆ์ ท่านทั้งหลายลองทบทวนดูให้ดีว่า พระพุทธรูปบังพระพุทธเจ้า พระคัมภีร์บังพระธรรม ลูกหลานชาวบ้านบังพระสงฆ์ นี้ก็คือหมอกหรือเมฆ หรือเมฆหมอกที่บังความจริง พระพุทธรูปก็เป็นหมอกบังพระพุทธเจ้า พระคัมภีร์ก็เป็นหมอกที่บังพระธรรม พระเณรก็เป็นหมอกที่บังพระสงฆ์ ทำอย่างไรจึงจะทำลายเมฆหรือหมอกเหล่านี้ จะได้ แล้วเข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่แท้จริง ขอให้ลองคิดดู เดี๋ยวนี้คนในโลกนี้กำลังอยู่ในเมฆหมอกอันนี้ และในโลกของพุทธบริษัทนี้ก็ยังอยู่ในเมฆหมอกอันนี้ พุทธบริษัทกำลังถูกเมฆหมอกอันนี้หุ้มห่ออยู่ ให้เข้าใจ (25:26 เสียงไม่ชัดไม่ได้ถอดความ) หรือเข้าใจไม่ได้ในข้อนี้ เรียกว่าเป็นผู้ที่กำลังตกอยู่ในเมฆหรือในหมอกเช่นเดียวกัน นี่สรุปความแล้วก็พอจะพูดได้ว่า พระคัมภีร์ที่คนยึดมั่นถือมั่นมากเกินไปนั้นกลายเป็นเมฆหรือหมอกที่บังพระธรรม เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจะอ่านหรือศึกษาพระคัมภีร์ใด ๆ ก็ตาม จะต้องระวังในข้อนี้ คือระวังอย่าให้พระคัมภีร์กลายเป็นเมฆหรือเป็นหมอกขึ้นมา แม้แต่ว่าหนังสือหนังหาที่อ่านอยู่ทุกวัน กว่าจะกลายเป็นเมฆหรือเป็นหมอกขึ้นมาได้โดยไม่รู้สึกตัว เพราะว่าถ้าตีความผิดหรือเข้าใจผิด นั่นก็กลายเป็นความมืดมนสีขาวขึ้นมาทันที หรือแม้ติดอยู่แต่ความเชื่อในบุคคล หรือแม้แต่การเชื่อตามเหตุผลของตนเอง ตามนี้ ก็ยังมีทางที่จะเป็นเมฆเป็นหมอกที่ปิดบังความจริงได้เหมือนกัน คือเป็นเมฆสีขาวขึ้นมาได้ทันที ตามที่บุคคลยึดมั่นในหนังสือหนังหาตำรับตำราก็ดี หรือยึดมั่นในบุคคลที่แสดงธรรมก็ดี อาจจะกลายเป็นเมฆหรือเป็นหมอกขึ้นมาได้โดยไม่รู้สึกตัว นี่ก็รวมอยู่ในคำพูดที่ว่าพระคัมภีร์เป็นหมอกบังพระธรรม เพราะเสียงที่แสดงธรรมนี้มันก็เนื่องมาจากพระคัมภีร์ แม้ว่าวิชาความรู้จากการที่อาตมานำมาแสดงแก่ท่านทั้งหลายนี้ได้อยู่ในรูปของพระคัมภีร์ ที่ท่านทั้งหลายอาจจะจัดมันไว้ในฐานะเป็นคัมภีร์หรือเป็นตำรับตำรา หรือว่าเรื่องราวต่าง ๆ มากอย่าง ก็ยังนำมาจากพระคัมภีร์คือพระไตรปิฏก ถ้าว่าเราทุกคนตั้งต้นการศึกษาด้วยการเรียนจากพระไตรปิฏกนั้น นั่นขอให้ระวังให้ดีว่า สิ่งที่เรียกว่าพระคัมภีร์นั้นมันกลายเป็นเมฆเป็นหมอกปิดบังความจริงแก่บางคนก็ได้ เมื่อไรก็ได้ สมตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ในกาลามสูตรเป็นต้น ว่าอย่าได้ไปเชื่อเพราะเหตุที่ว่ามันมีอยู่ในพระคัมภีร์หรือพระไตรปิฏก ทำนองเดียวกับอย่าให้ไปเชื่อเพราะว่าได้สอนต่อกันมา หรือว่าผู้นี้เป็นอาจารย์ของเรา อย่างนี้ก็เหมือนกัน เพราะว่าถ้าไปเชื่อโดยทำนองนี้แล้ว ความเชื่อนั้นก็จะเป็นเมฆหรือเป็นหมอกขึ้นมาทันที ปิดบังความจริงไม่ให้ปรากฏ ท่านจึงสอนไว้ชัดเจนทีเดียวว่า มา ปิฏิกสัมปทาเนนะ คือการเชื่อด้วยเหตุที่ว่ามันเขียนอยู่ในพระไตรปิฏก หรือในปิฏกใดปิฏกหนึ่ง เดี๋ยวนี้คนเรามักจะเชื่อด้วยเหตุยึดหลักว่ามันเขียนอยู่ในใบลาน ท่านทั้งหลายจึงเข้าใจกันเสียใหม่ให้ถูกต้องว่าใบลาน ใบลานทั้งหมดนั้นไม่ใช่พระไตรปิฏก ใบลานบางแผ่นก็เขียนพระไตรปิฏก แต่ว่าใบลานส่วนมากไม่ได้เขียนพระไตรปิฏก มันเขียนอะไรเพ้อเจ้อตามความชอบใจของผู้เขียนก็ยังมีมาก ดังนั้นถ้าไปเข้าใจเสียว่ามีอยู่ในใบลานแล้วจะเชื่อได้อย่างนี้แล้ว ก็จะเป็นเมฆหมอกอย่างยิ่ง คือเป็นความมืดสีขาวดังที่กล่าวมาแล้วนั่นเอง มาสมัยนี้ไม่ได้เขียนในใบลาน แต่พิมพ์เป็นเล่มหนังสือนั้นก็เหมือนกัน เล่มหนังสือที่เป็นพระไตรปิฏกก็มี ไม่เป็นพระไตรปิฏกก็มากมาย อย่าเชื่อเพียงกับว่ามันมีในคัมภีร์ ในตำรา ในหนังสือแล้ว มันจะใช้ไปได้ คือมันกลายเป็นเมฆเป็นหมอกขึ้นมาได้โดยไม่รู้สึกตัว ทีนี้แม้ว่ามันมีอยู่ในพระไตรปิฏกจริง ๆ คือเราเปิดดูพระไตรปิฏก พบข้อความนี้ แต่ในนั้นก็เขียนไว้ชัดว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงข้อความนี้ แม้แต่อย่างนี้ พระพุทธเจ้าก็ยังตรัสสอนว่า อย่าไปเชื่อ คืออย่าเพิ่งเชื่อ อย่างน้อยก็อย่าเพิ่งเชื่อ ต้องมาทดสอบดูด้วยการปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติแล้วมันดับกิเลส ดับทุกข์ได้อย่างไร จึงจะค่อยเชื่ออย่างนี้เป็นต้น อย่างนี้ก็แปลว่าพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ดีที่สุดแล้ว คือได้ตรัสมอบหมายเครื่องมือให้แก่เราเพื่อทำลายเมฆหมอกนั้นเสีย เอาใช้ทำลายเมฆหมอกนั้นเสีย อย่าให้พระคัมภีร์กลายเป็นเมฆหมอกขึ้นมา อย่าให้พระพุทธภาษิตแท้ ๆ กลายเป็นเมฆหมอกขึ้นมา ท่านทั้งหลายลองคิดดูเองว่า พระพุทธเจ้าท่านเป็นคนจริงเท่าใด ที่ท่านตรัสไว้ว่าแม้ตถาคตกล่าวก็อย่าเพิ่งเชื่อ แม้ฉันกล่าวก็อย่าเพิ่งเชื่อ จะต้องไปทดสอบดูด้วยการปฏิบัติ ให้มีความรู้กระจ่างชัดเจนในใจว่ามันจริงอย่างนี้ กิเลสเกิดขึ้น มันจริงอย่างนี้ กิเลสดับไป ว่ามันจริงอย่างนี้ ความทุกข์เกิดขึ้น มันจริงอย่างนี้ ความทุกข์ดับไป เมื่อเห็นจริงอย่างนี้ แล้วจึงเชื่อ อย่างนี้ก็เรียกว่าไม่มีเมฆหมอกเหลืออยู่ที่ใดเลย ไม่มีเมฆหมอกปิดบังความจริงที่ตรงไหนเลย เราก็รอดตัวออกมาได้จากเมฆหมอกของพระคัมภีร์ เกี่ยวกับข้อนี้อาตมาอยากจะขอร้องท่านทั้งหลายทุกคนให้สังเกตดูให้ดี ๆ ว่าเดี๋ยวนี้เรากำลังตกอยู่ใต้เมฆหมอกอันนี้มากกว่าสิ่งใดหมด ทั้งพระทั้งเณรทั้งชาวบ้าน จมอยู่ในเมฆหมอกอันนี้ยิ่งกว่าเมฆหมอกอันไหนหมด คือได้ยินได้ฟังสิ่งใด แล้วก็เข้าใจแต่สักว่าเป็นคำพูด ไม่ได้เป็นความจริง แล้วก็มีความรู้สึกว่าเรามีความรู้ เรามีความรู้ เรามีความรู้ ยกหูชูหางด้วยความรู้ มันว่าทั้งเณร เรียนอะไรได้สักหน่อยก็ยกหูชูหางด้วยความรู้ที่เรียนมาได้นั้น ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว ก็ให้เข้าใจเถิดว่าความรู้เหล่านั้นเป็นความรู้ชนิดเมฆหมอกทั้งนั้น ความรู้ที่แท้จริงจะไม่ทำให้ใครยกหูชูหางได้เลย อันที่มีความรู้ชนิดที่ทำให้รู้สึกว่าเราดีกว่าคนอื่น เราเก่งกว่าคนอื่น เรารู้มากกว่าคนอื่น ความรู้ชนิดนี้แหละเป็นเมฆหมอกทั้งนั้น ไม่ทำให้รู้ความจริงได้เลย แม้ว่าความรู้ที่ได้กำลังรู้นั้นเป็นเรื่องราวของความจริง ยกตัวอย่างเช่นเรื่องราวของอริยสัตย์ ความรู้ที่เป็นเรื่องราวของอริยสัตย์ ๔ ประการ คนหนึ่งรู้แล้วยกหูชูหางว่าตนรู้เรื่องอริยสัตย์ ความรู้เรื่องราวของอริยสัตย์ชนิดนั้นของบุคคลนั้นเป็นเพียงเมฆหมอก คือเป็นอวิชชาสีขาว เป็นความมืดสีขาวของบุคคลนั้น ถ้าคนใดรู้เรื่องของอริยสัตย์แล้ว หูหางหายไปหมด ไม่มีความที่ยกหูชูหางได้เลยอย่างนี้แล้ว นี่ก็เรียกว่าเป็นผู้ที่มีความรู้จริง ความรู้ของเขาไม่เป็นเมฆหมอกสำหรับเขา นี่ละพิจารณาดูให้ดีว่า ความรู้อริยสัตย์ของคนทั้งสองนี้มันต่างกันอย่างไร ความรู้อริยสัตย์ของคน ๆ หนึ่งทำให้ยกหูชูหาง ความรู้อริยสัตย์ของคนหนึ่งทำให้หูหางหายไปหมด ไม่เอามายกที่ไหนได้ นี่ก็คือว่า ความรู้อริยสัตย์ที่แท้จริงของคนที่สองนั้นมันรู้ถึงข้อที่กิเลสตัณหาได้ถูกทำลายไปแล้ว เพราะเขามารู้ชัดในข้อที่ว่ากิเลสตัณหาอุปาทานเหล่านี้เป็นตัวการให้เกิดความทุกข์ มีความเบื่อหน่าย สลด สังเวช จนถึงตัดกิเลส ตัณหา อุปาทานเหล่านั้นตั้งอยู่ไม่ได้ สูญหายไป เขามารู้ความจริงที่ว่าเดี๋ยวนี้ไม่มีกิเลสตัณหาอุปาทานเป็นความดับทุกข์แล้ว ผู้ที่รู้อย่างนี้จะยกหูชูหางได้อย่างไร เพราะว่าเป็นความรู้ (38: 04 เสียงไม่ชัดไม่ได้ถอดความ) จริง เป็นธรรมที่แท้จริงที่ปรากฏแก่ใจจริง ไม่เหมือนกับความรู้ซึ่งอริยสัตย์ที่ทำให้พูดได้มาก ที่ทำให้เทศน์ได้มาก หรือที่ทำให้เขียนได้มาก เป็นต้น พูดไปพลาง เขียนไปพลาง เทศน์ไปพลาง ก็ยกหูชูหางอยู่ในใจ อันเป็นการยกหูชูหางอยู่ข้างในใจ ฟังดูให้ดีว่า ไอ้ความรู้สึกชนิดนี้เป็นความยกหูชูหางอยู่ในใจ คนอื่นอาจจะมองไม่เห็นก็ได้ เพราะเห็นว่านั่งเขียนอยู่นิ่ง ๆ แต่ที่แท้นั้นมันเป็นการยกหูชูหางอยู่ในใจ ความรู้อริยสัตย์ชนิดนี้เป็นความรู้อย่างปริยัติไม่เกี่ยวกับปฏิบัติ ไม่เกี่ยวกับความจริง ยิ่งรู้มากยิ่งเป็นเมฆหมอกสีขาว หรือเป็นความมืดสีขาวมากยิ่งขึ้นก็ได้ นั่นแหละคืออาการของโมฆบุรุษที่ปิดบังอยูในพระคัมภีร์หรือพระไตรปิฏก ที่พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่าโมฆบุรุษนั้น คือพวกที่เรียนจบพระไตรปิฏก แล้วก็เป็นไปด้วยความมืดสีขาว ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังมีอยู่มาก จึงขอให้เราระวังความมืดสีขาว หรือเมฆหมอกของวิชาความรู้ ที่เราเรียกันกว่าวิชาความรู้นั่นเอง ทีนี้อาตมาอยากจะแนะให้เห็น ในส่วนที่ละเอียดยิ่งไปกว่านั้นอีก คือส่วนที่เกี่ยวคำพูดเป็นคำ ๆ ท่านทั้งหลายลองสังเกตดูให้ดี ๆ เกี่ยวกับข้อนี้ว่าคำพูดที่เราใช้พูดกันอยู่ นับตั้งแต่คำพูดว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือคำพูดว่า นิพพาน หรือคำพูดว่า มรรคผล หรือคำพูดว่าวิปัสสนากรรมฐาน หรืออะไรก็ตาม คำพูดเหล่านี้เป็นเมฆหมอกได้โดยไม่รู้สึกตัว มีความเข้าใจผิด หรือตีความหมายของคำพูดผิดเมื่อใด ก็เป็นเมฆหมอกเมื่อนั้น ปิดบังความจริงเมื่อนั้น อีกประการหนึ่งซึ่งมีความสำคัญมากก็คือว่า พอเราเกิดมาเราก็ได้รับการสั่งสอนเกี่ยวกับคำพูดเป็นอย่างนั้น อย่างนั้น อย่างนั้น ไปเสียแล้ว เราจะเข้าใจคำพูดคำนั้นเป็นอย่างนั้นไป ยกตัวอย่าให้เห็นง่าย ๆ เช่นคำว่า สุญญตา (41:54 เสียงไม่ชัดไม่ได้ถอดความ) เราได้รับการสั่งสอนมาแต่ในทางที่เข้าใจว่า เป็นของสูญเปล่า สุญญตานี่แปลว่าสูญเปล่า นี่เป็นความโง่ของคนนั้น ที่ได้รับคำสั่งสอนมาจากคนโง่ก่อน ๆ ที่สอนให้เข้าใจว่า สุญญตา แปลว่า สูญเปล่า ไม่ได้อะไรเลย แต่ที่แท้ คำว่า สุญญตานั้นแปลว่า ว่าง ว่างในส่วนที่ไม่มีอะไรที่คนจะยึดถือว่าของเรา แต่ว่าว่างนี้ไม่สูญเปล่า คือมันมีประโยชน์ที่ทำให้เรามีความรู้ได้ มีความเข้าใจได้ (43:00 เสียงไม่ชัดไม่ได้ถอดความ) ความว่างหรือความเป็นสุญญตานั้นเป็นความจริง เป็นความจริงที่เด็ดขาดแน่นอน เป็นความจริงสุดท้ายของสิ่งทุก ๆ สิ่ง คือสิ่งทุก ๆ สิ่งนั้นมันสิ้นสุดลงที่ว่าง คือไม่มีส่วนที่คนจะยึดถือว่าตัวเราหรือของเรา มันจึงเป็นความจริงที่แสดงตัวมันเองให้รู้ แล้วจิตใจของมนุษย์ก็หลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่น เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่าสุญญตานั้นมีประโยชน์ที่สุด และสุญญตาที่สูงสุดก็คือนิพพาน ถ้าใครมาพูดว่าสุญญตาคือสูญเปล่านั้น คือคนที่มีปากสกปรกที่สุด คนที่มีปากสกปรกที่สุดเท่านั้นที่จะพูดว่าสุญญตาคือสูญเปล่า ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นพระ เป็นเณร เป็นบรรพชิต หรือเป็นฆราวาส จะเป็นนักปราชญ์ หรือเป็นคนชนิดไหนก็ตาม ถ้าพูดว่าสุญญตาหมายความว่าสูญเปล่าแล้วเป็นคนโกหกที่มีปากสกปรกที่สุดในโลกนี้ ขอให้ช่วยจำกันไว้ดี ๆ ว่าสุญญตาไม่ได้แปลว่าสูญเปล่า แต่แปลว่าว่างจากตัวตน (44:57 เสียงไม่ชัดไม่ได้ถอดความ) อะไร ๆ ก็มี มีอยู่ครบถ้วน แต่ว่าทุกอย่างนั้นว่างจากตัวที่ควรยึดถือว่าเป็นตัวตน เป็นของตน สุญญตามีความหมายอย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้เราได้รับการศึกษาเล่าเรียนมาว่า สุญญตาแปลว่าสูญเปล่า นั้น คือเมฆหมอกที่มีอยู่ในคำพูด คำพูดนั่นเองเป็นเมฆหมอกปิดบังความจริง เป็นความมืดสีขาวที่ปิดบังความจริง ทั้งที่คำว่าสุญญตานั้นก็เป็นคำพูดที่ถูกต้อง เป็นคำพูดที่จริงและถูกต้อง ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ แต่ว่าคนฟังหรือคนเรียนเข้าใจไม่ได้ มันเลยกลายเป็นเมฆหมอกไปเสีย คำอื่น ๆ ก็ยังมีอีกมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เช่นคำว่า ความเกิด อย่างชาติ ชา-ติ หรือความเกิด อันนี้ตามธรรมดาหมายถึงเกิดจากท้องแม่ คลอดจากท้องแม่ คนรู้กันแต่อย่างนี้ พอได้ยินคำศัพท์ที่ว่า ความเกิดเป็นทุกข์ ก็หมายด้วยการ ก็หมายเอาเอง ก็หมายความเอาเองว่าการเกิดจากท้องแม่เป็นทุกข์ แต่ที่จริงนั้น (46:49 เสียงไม่ชัดไม่ได้ถอดความ) ความเกิดยังมีความหมายอย่างอื่น คือหมายถึงการเกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นตัวเรา หรือเป็นของเรา ที่เกิดอยู่เสมอ ๆ วันหนึ่งเกิดได้หลาย ๆ หน เมื่อเรื่องอะไรมาเกิดขึ้นแก่เรา ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็ตาม เรามีความรู้สึกเป็นเรา เป็นของเราขึ้นมา แล้วก็มีความยินดี ยินร้ายอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา ตามความรู้สึกที่ว่ามันเป็นตัวเรา เป็นของเรา อย่างนี้เรียกว่าความเกิดที่เป็นทุกข์ ความเกิดที่เป็นทุกข์หมายถึงความเกิดอย่างนี้ ไม่ได้หมายถึงความเกิดจากท้องแม่ ความเกิดจากท้องแม่นั้นมันเป็นซึ่งเรื่องราวไปนานแล้ว มันไม่ได้มาเกิดอยู่ที่นี่อีก คนเกิดจากท้องแม่คนหนึ่งก็เพียงครั้งเดียว และก็เป็นช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมง หรือไม่กี่วันก็หมดปัญหาไปแล้ว แต่ที่อยู่มาตอนหลังจนกระทั่งบัดนี้ ที่มีความเกิดเป็นทุกข์มันหมายถึงความเกิด ทั้งความสำคัญว่าเป็นตัวตน หรือเป็นของตน ความสำคัญนั้นหมายว่าเป็นตัวตน หรือเป็นของตนนี้คือความเกิด ผู้ใดมีความเข้าใจว่าความเกิดแต่ในทางที่หมายความว่าเกิดจากท้องแม่แล้ว อันว่าความเกิดนั้นก็เป็นเมฆหมอกปิดบังความจริงแก่บุคคลนั้น นี่ก็เป็นตัวอย่างอันหนึ่งที่แสดงให้เห็นเมฆหมอกที่มีอยู่ในคำพูด เดี๋ยวนี้พุทธบริษัทเป็นส่วนมาก หรือแทบทั้งหมด จมอยู่ในเมฆหมอกอันนี้ทั้งนั้น อยู่ในความมืดสีขาวที่มองไปทางไหนก็สลัวไปหมดไม่เห็น อะไร เพราะว่าจมอยูในความมืดสีขาวคือเมฆหมอกที่เกิดมาจากคำพูด พระพุทธศาสนา (49:38 - เสียงไม่ชัด) นี้มีคำพูดอีกเป็นอันมากยังเข้าใจไม่ได้หรือเข้าใจผิดอยู่ คำพูดโดยมากเหล่านั้นก็กลายเป็นเมฆหมอกไปสิ้น จนพุทธบริษัททั้งหมดนี้ตกอยู่ในท่ามกลางของมฆหมอกหรือความมืดสีขาวนี้ทั้งนั้น นั่นแหละจึงได้เป็นพุทธบริษัทชนิดที่ไม่ใช่เป็นพุทธบริษัท เป็นพุทธบริษัทชนิดลาม ชนิดเลว ชนิดที่ไม่ใช่เป็นพุทธบริษัท เป็นพุทธบริษัทชนิดที่ยกหูชูหาง ถือมีดเข้าใส่กัน เบียดเบียนกันระหว่างหมู่ระหว่างพวกระหว่างคณะระหว่างบุคคล เป็นพุทธบริษัทที่มีหูมีหางที่ยกขึ้นมากมาย สำหรับปะทะกัน สำหรับตอบโต้กัน สำหรับเบียดเบียนกัน นี่ก็มาจากเมฆหมอกของคำพูด เรียกตัวเองว่าอย่างนั้น เรียกผู้อื่นว่าอย่างโน้น มีความสำคัญว่าเรา พวกเรา เท่านั้นถูกต้อง พวกอื่นผิด นี่ก็คือเมฆหมอกที่เกิดขึ้นมาจากคำพูด และมีอยู่ทั่ว ๆ ไป ยึดมั่นถือมั่น แต่ในทางที่ตัวเข้าใจ ตัวเข้าใจว่าอย่างไรก็ยึดมั่นถือมั่นแต่อย่างนั้น หรือพวกเอง หมู่คณะของตนเอง มีนามว่าอย่างไร นิกายไหน ไปยึดมั่นถือมั่นแต่ในคำ คำนั้น และนี่ก็เป็นเมฆหมอกที่มาจากคำพูด ที่ครอบงำพุทธบริษัทเป็นอันมากอยู่ในเวลานี้ ที่ทำให้เกิดเป็นหมู่ เป็นพวก เป็นนิกาย แล้วเบียดเบียนกันขึ้น ทั้งโดยตรงหรือโดยอ้อม เพราะเหตุนี้ นี่แหละขอให้พิจารณาดูเถิดว่า สิ่งที่เรียกว่าเมฆหมอกในคำพูดนี่ไม่ใช่ของเล็กน้อยเลย ให้ทุกคนพยายามสังเกตดู (52 :29 - เสียงขาดหายไม่ได้ถอดความ) และพิจารณาดูให้ดี ๆ ในส่วนนี้ ที่เป็นส่วนบุคคล หรือที่เป็นส่วนตัวโดยเฉพาะก่อน คือตัวเราเองนี่แหละ กำลังตกอยู่ในเมฆหมอกชนิดนี้อย่างไรบ้าง แต่อย่าลืมในข้อที่ว่าระวังให้ดี มันเป็นเมฆสีขาว เป็นความมืดสีขาว แสงสว่างที่บังลูกตา แสงสว่างชนิดที่ปลอมเพียงนี้มันบังลูกตาไม่ให้เห็นความจริง เป็นแสงแดดที่บังลูกตาให้พร่าไปหมด ที่ทำไม่ให้เห็นอะไรอย่างถูกต้องตามที่เป็นจริง พุทธบริษัทเราจึงไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากความจริงของพระพุทธเจ้า ก็เพราะข้อนี้ นี้เรียกว่าเป็นปัญหาเฉพาะคนเป็นส่วนตัวบุคคล ทีนี้เรามองดูต่อไปเป็นปัญหาที่กว้างขวางยิ่งขึ้น เป็นส่วนรวม พวกเราอยู่กันเป็นหมู่ เป็นคณะในโลกนี้ ก็มีการศึกษาร่วมกัน และก็ทำให้มันก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป เป็นการศึกษาวิชาที่ก้าวหน้า ทีนี้มันก็มีความจริงอยู่ข้อหนึ่งตรงที่ว่า ถ้าบุคคลคนหนึ่งมีความเข้าใจผิด แล้วเป็นครูบาอาจารย์ มันก็สอนกันไปผิดหมด และถ้าครูบาอาจารย์หลายคนหรือทุกคนมีความเข้าใจผิดในเรื่องเมฆหมอกของคำพูดเหล่านี้ มันก็สอนกันผิดทั้งบ้านทั้งเมือง หรือว่าถ้าคนทั้งโลกมีความนิยมไปในเรื่องทางวัตถุ คือสิ่งที่เป็นเหยื่อของกิเลสแล้ว วิชาการต่าง ๆ ของคนทั้งโลกก็เป็นแต่ในเรื่องของกิเลส มันจึงเกิดเมฆหมอกอันใหญ่หลวงขึ้นครอบงำคราวเดียวพร้อมกันทั้งโลก คือเป็นความเข้าใจผิดอย่างลึกซึ้งที่เกี่ยวกับวิชาความรู้พร้อมกันคราวเดียวกันทั้งโลก จึงกล่าวได้ว่าโลกทั้งโลกนี้ตกอยู่ในความมืดมนของความมืดสีขาว ตัวโลกทั้งโลกนี้ตกอยู่ในความมืดสีขาวของเมฆหมอกแห่งวิชาความรู้ เมฆหมอกแห่งคำพูด เมฆหมอกแห่งพระคัมภีร์ หรือแม้แต่เมฆหมอกแห่งศาสนา ที่ตัวถือเอาผิด ๆ เป็นศาสนาเปลือกทั้งนั้น เรียกว่าศาสนาเปลือกก็ไม่ถูก ควรจะเรียกว่าเปลือกของศาสนา แต่เดี๋ยวนี้เราเรียกว่า ศาสนาเปลือก คือเป็นศาสนาทั้งเปลือก ที่ถือเอาไว้ผิด ๆ ศาสนาเปลือก ๆ หรือเปลือกของศาสนานี้เป็นเมฆหมอกอย่างยิ่ง เป็นความมืดสีขาวอย่างยิ่ง และท่านทั้งหลายควรจะพิจารณาดูให้ดีว่า เวลานี้ในโลกนี้มีแต่ศาสนาเปลือก ๆ ใช่หรือไม่ ไม่มีศาสนาแห่งความจริง ที่แท้จริง คือตัวจริงเลย ส่วนมากมีแต่ศาสนาเปลือก คือทั้งเปลือกนอกทั้งนั้น ไม่ว่าศาสนาไหน เห็นได้ตรงที่ยึดถือกันด้วยความยึดมั่นถือมั่น แล้วก็ปฏิบัติกันแต่สักว่าเป็นพิธีรีตอง เป็นเพียงพิธีรีตอง อย่างงมงาย นี่เรียกว่าเปลือก เปลือกของศาสนา หรือศาสนาแค่เปลือก ๆ ถ้าทุก ๆ ศาสนาในโลกตกอยู่ในภาวะเช่นนี้แล้ว ก็หมายความว่าโลกทั้งโลกนี้จมอยู่ในเมฆหมอกของศาสนาเปลือกนั่นเอง ก็มันใหญ่โตกว้างขวางสักเท่าไร ขอให้ท่านทั้งหลายลองคิดดูเถิด ว่าถ้าโลกทั้งโลกจมอยู่ในเมฆหมอกของศาสนาเปลือก ๆ คือศาสนาที่ไม่ใช่ศาสนา เป็นเปลือกนอกยิ่งกว่าเปลือกนอก คือเป็นเพียงพิธีรีตองดังที่กล่าวแล้ว ไม่รู้ความมุ่งหมายแท้จริง เป็นไปเพียงเมฆหมอกที่เกิดมาจากคำพูด เมฆหมอกที่เกิดมาจากพระคัมภีร์ เมฆหมอกที่เกิดมาจากขนบธรรมเนียมประเพณีรีตองที่เป็นความงมงาย รวมกันหมดแล้วเป็นศาสนาเปลือก นี่เป็นเมฆหมอกใหญ่หลวงเท่าไร ลองคิดดู แล้วโลกทั้งโลกตกอยู่ในเมฆหมอกอันนี้แล้ว จะได้รับประโยชน์อะไร จะมีที่พึ่งที่ตรงไหน นี่แหละคือข้อความที่นำมากล่าวในวันนี้ เพื่อชักชวนกันให้พิจารณาดูให้ดีว่า โลกทุกวันนี้ของเราตกอยู่ในสภาพเช่นไร อยู่ในสภาวะอย่างไร กล่าวคือมันตกอยู่ในเมฆหมอกของวิชาความรู้ของความเจริญ ของวิชาความรู้ของคนที่หลงใหลอยู่ในวัตถุนิยม จนกระทั่งทำสิ่งที่เรียกว่าศาสนาให้เป็นหมันไป หรืออยุ่แต่เปลือกของศาสนา และก็จมกันอยู่แต่ในสิ่งเหล่านี้ นี่เรียกว่า โลกในปัจจุบันนี้ในวันที่ ๒๗ พฤษภาคมแห่งปีนี้มันเป็นอย่างนี้ มันจะเปลี่ยนแปลงไปในทางไหนอย่างไรต่อไป ก็จะได้คอยดูกันต่อไป แต่ว่าเวลานี้มองเห็นชัดอยู่ว่าโลกของเรานี้กำลังจมอยู่ในเมฆหมอกอันนี้ แต่แล้วเราจงดูต่อไปถึงข้อที่ว่าคนทุกคนในโลกเขาไม่มีความรู้สึกอย่างนี้ เขามีความรู้สึกว่ากำลังเจริญก้าวหน้ารุ่งเรืองอยู่ด้วยกันทั้งนั้น เพราะว่ามีอะไรที่เขาเรียกว่าเจริญก้าวหน้าตามความต้องการของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็เรื่องที่เรียกกันว่า อยู่ดีกินดีนั่นเอง มีความอยู่ดีกินดีตามความต้องการของกิเลสของเขามากขึ้น ก็เรียกว่าเจริญ แต่แล้วก็ไม่ได้มองดูในลักษณะหนึ่ง คือลักษณะที่มนุษย์ในโลกสมัยนี้มีความเห็นแก่ตัว มีความเห็นแก่ตัวยิ่งขึ้นกว่าสมัยที่แล้วมา มีความเบียดเบียนกันยิ่งกว่าที่แล้วมา ถ้าทุกคนหลงใหลในอารมณ์สำหรับกิเลสตัณหามากขึ้น มีความเสื่อมเสียทางศีลธรรม จนกระทั่งยกเอาสิ่งที่เป็น สิ่งลามกอนาจารนั้นมาเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ยกเอาสิ่งที่เป็นเรื่องลามกอนาจารนั้นมาเป็นศีลธรรมไปเสียตรงนี้ ในที่บางแห่งในโลกนี้ในเวลานี้ บัญญัติความนิยม หรือเรียกว่าศีลธรรมกันใหม่ จนเรื่องผิดศีลผิดธรรม เรื่องลามกอนาจารมากลายเป็นเรื่องถูกต้องไป แล้วก็มีเป็นส่วนมาก นี่คือความจริงของสภาพที่เป็นอยู่จริงของโลกในสมัยนี้ เรานั่งอยู่ที่นี่รู้สึกในขณะที่นั่งอยู่ที่นี่ เป็นความสงบหรือเป็นความสะอาดตามธรรมชาติ ไม่ได้ไปรู้สึกถึงคนส่วนมากในโลกที่กำลังตกจมอยู่ในอะไร ที่กำลังหลงใหลอยู่ในอะไร กำลังมัวเมาอยู่ในอะไร จนมีปัญหา มีความลำบากทุกข์ยากเกิดขึ้นทั่วไปทุกหัวระแหง ไม่มีใครที่จะอยู่ได้อย่างผาสุก แต่คนเหล่านี้ก็ไม่ได้มีความรู้สึกถึงความจริงอันนี้ มีคนกล่าวว่าบางคนมีเงินเหลืออยู่ เพียงจะซื้อข้าวสารสักถังหนึ่ง ก็ยังเอาไปใช้ในทางที่จะหาความสุขความสำราญทางรูป เสียง กลิ่น รสสัมผัส จนไม่มีเงินซื้อข้าวสาร ทำให้ลูกเด็กเล็กตาดำ ๆ ต้องอดอาหารจนจำเป็นหนักเข้าก็ต้องไปหยิบยืมเอามาเพื่อซื้ออาหาร เขามีความรู้สึกที่จดจำอยู่ในความลุ่มหลงมากถึงขนาดนี้ สำหรับคนในโลกสมัยนี้ที่เต็มไปด้วยสิ่งที่ยั่วยวนรบเร้าให้หมุนไปแต่ในทางของความหลงผิด นี่ก็เพราะอำนาจของความเจริญก้าวหน้าของวิชาการสมัยใหม่นั่นเอง ที่สร้างสรรค์กันแต่ในทางที่จะล่อหลอกกันให้หลงใหล ความหลงใหลนั่นแหละคือเมฆหรือหมอกในที่นี้ ถือว่าเป็นผลของการที่ถูกปิดบังโดยเมฆหมอกของสมัยนี้ แล้วเราลองคิดดูว่าโลกสมัยนี้ของเราเป็นอย่างไร เราลองคิดดูว่าศาสนาในโลกนี้กำลังเป็นอย่างไร จะเป็นศาสนาที่ชื่อว่าอะไรก็ตามในโลกนี้กำลังเป็นอย่างไร ในที่สุดจะพบว่า ศาสนาที่แท้จริงถูกทอดทิ้งถูกละเลย ถูกทำลายให้เหลืออยู่แต่เพียงศาสนาที่เป็นเมฆเป็นหมอกไปทั้งหมด คือเป็นเพียงเปลือกของศาสนา ไม่ใช่ตัวศาสนา และก็มีผลทำให้คนในโลกหลงใหลในวัตถุนิยม คือความสุขทางวัตถุ ทางเนื้อทางหนัง อะไร ๆ ก็มีเพื่อสิ่งเหล่านี้ไปทั้งนั้น พิจารณาดูก็จะเห็นได้ว่าการที่รบราฆ่าฟันกันไม่มีสิ้นสุดนั้น เพื่อประโยชน์อะไร โดยแท้จริงแล้วก็เพื่อประโยชน์ทางความสุขทางวัตถุ หรือทางเนื้อหนังทั้งนั้น ที่เขารบกันนี้ก็เพื่อป้องกันประโยชน์ทางวัตถุบ้าง เพื่อแสวงหาประโยชน์ทางวัตถุให้มากขึ้นบ้าง เพราะกลัวว่าพวกอื่นจะมายื้อแย่งทรัพย์สมบัติทางวัตถุหรือความสุขทางวัตถุของตนบ้าง จึงได้วางแผนการณ์ไว้กว้างขวางยืดยาวเป็นการล่วงหน้า จึงได้รบกันไม่มีที่สิ้นสุด นี้ทำให้เราเห็นได้ว่าความทุกข์ยากลำบากของมนุษย์ในโลกนี้ในปัจจุบันนี้มีมูลมาจากความลุ่มหลงในทางวัตถุนั่นเอง นี่เรียกว่าเป็นเมฆหมอกอย่างยิ่งที่สุดแล้ว ควรจะเรียกว่าเป็นเมฆหมอกอย่างยิ่งที่สุดแล้วในโลกนี้จริงหรือไม่ ท่านทั้งหลายลองไปพิจารณาดู หรือจะพูดอย่างสำนวนที่เคยพูดไปว่า กำลังตกจมอยู่ในอวิชชามากถึงที่สุดอย่างยิ่งแล้วจริงหรือไม่ ลองไปพิจารณาดู นี่ถ้าคนทั้งปวงเขาเป็นอย่างนี้ ชาวบ้านทั่วไปก็เป็นอย่างนี้ ชาววัดชาววาก็เป็นอย่างนี้ ก็มันหลุด เป็นอันว่าไม่มียกเว้นไป ล้วนแต่หลงใหลแต่ในทางวัตถุ ดังนั้นจึงพูดได้ว่าสิ่งที่เรียกว่าเมฆหรือหมอกซึ่งปิดบังนี้ ได้ปิดบังหมดจดสิ้นเชิง ทั้งนอกวัดและทั้งในวัด คือทั่วกันไปทั้งโลกทีเดียว ภายในวัดนี้พิจารณาดูให้ดี ท่านจะพบสิ่งที่เรียกว่าเป็นเมฆหมอกนี้อยู่มาก แม้ในการบวช การเรียน การปฏิบัติ การบวชตามประเพณีอย่างงมงายนี้ก็ยิ่งมีมากขึ้น แล้วยิ่งมีมากจนถึงกับว่า คนที่น่ารังเกียจ หรือคนที่ไร้สมรรถภาพ เป็นคนบ้า ๆ บอ ๆ นี่แหละจะจับเอามาให้บวช เรื่องนี้รู้ดีเพราะว่าเคยถูกหลอกลวงอยู่เสมอ คือถูกหลอกให้ไปบวชคนที่ไม่ควรจะบวชอยู่เสมอ จนต้องระวังกันอย่างยิ่ง นี่แสดงว่าความหลอกลวงมีมากถึงขนาดนี้ เป็นเมฆเป็นหมอกที่ครอบงำศาสนามากถึงอย่างนี้ ทุกสิ่งที่เรียกว่าการบวชของคนสมัยนี้กลายเป็นเมฆหมอกไปหมด ไม่ใช่เป็นเรื่องทำให้เกิดแสงสว่าง หรือเป็นการทำแสงสว่าง การเล่าเรียนในวัดในวานี้ก็เหมือนกัน ยังเป็นเมฆหมอกอยู่นั่นเอง เพราะว่าเรียนตามความต้องการของกิเลสตัณหามากกว่าที่จะเรียนเพื่อทำลายกิเลสตัณหา การศึกษาเล่าเรียนของพระของเณรจึงกลายเป็นการเพิ่มเมฆเพิ่มหมอก เพิ่มแสงสว่างสีขาวนี้ให้มากขึ้น แล้วมันจะเป็นอย่างไรลองคิดดูในข้อที่ว่า เดี๋ยวนี้ทุกคนก็อยากเรียน ทุกคนก็อยากเรียน ขมักเขม่นในการเรียนแข่งขันกันเรียน แต่แล้วสิ่งที่เรียนนั้นกลายเป็นเมฆเป็นหมอกไปหมด คือเป็นฝ่ายสนับสนุนกิเลสไปหมด ไม่เป็นไปเพื่อทำลายกิเลสโดยตรง ยิ่งเรียนกันมากขึ้นเท่าไรก็ยิ่งมีเมฆมีหมอกในศาสนามากขึ้นเท่านั้น นี่ก็ยังถือว่าเป็นเมฆหมอกในทางศาสนาที่พระเณรช่วยกันสร้างขึ้นเอง อุบาสกอุบาสิกาช่วยสนับสนุน แล้วจะไปโทษใคร เรื่องที่จะไปโทษพระพุทธเจ้านั้นเป็นไม่มีหนทาง เพราะว่าท่านได้กล่าวไว้ดี เป็นสวากขาตธรรม เราก็ยอมรับว่า สวากขาโต ภควตา ธรรมโม ธรรมะนี้พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ดีแล้ว แต่ว่าสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ดีแล้ว เรามาทำให้เป็นเมฆเป็นหมอกกันเสียหมด ถือเยี่ยงให้เป็นเมฆเป็นหมอก คือมีความตั้งใจในถ้อยคำเรื่องราวเหล่านั้นเขวไปนอกทางหมด เขวไปในทางสนับสนุนสิ่งที่เราต้องการด้วยกิเลสตัณหากันเสียหมด และก็สืบ สอนสืบ ๆ กันไปในลักษณะอย่างนี้ไม่มีขาดสาย แล้วก็ยังพูดยืนยันกันอยู่ว่า เป็นการกระทำที่ถูกที่ควรหรือว่ายกย่องสรรเสริญว่ามีความรู้ดีมีการปฏิบัติดี มีการเล่าเรียนดี มีการปฏิบัติดี ทั้งที่ทั้งหมดนั้นเป็นไปเพื่อเมฆหมอกทั้งนั้น คือห่างเหินออกไป ห่างเหินออกไป ห่างเหินออกไป จากสิ่งที่เป็นความจริง หรือตัวศาสนาที่แท้จริง เหลือแต่ตัวศาสนาที่เป็นเปลือก และยิ่งกว่านั้นคือกลายเป็นศาสนาเครื่องมือของคนที่จะใช้แสวงหาผลประโยชน์ทางโลก คิดดูแล้วก็น่าอนาถใจในข้อที่ว่าศาสนาได้ตกไปเป็นเครื่องมือของคนที่จะใช้แสวงหาประโยชน์ทางโลก ๆ แล้วเนื้อแท้ของศาสนาจะเหลืออยู่ที่ตรงไหน แม้แต่เปลือกของศาสนาก็จะมิได้เหลืออยู่ด้วยซ้ำไปแต่กลายเป็นเมฆหมอกไปสิ้นเพราะเหตุนี้ นี่ได้ขอให้พิจารณาดูเถิดว่า ในวันที่เรากำลังนั่งพูดกันอยู่ที่นี่นี้ สภาพทางพระศาสนาเป็นอย่างไร ขอให้พิจารณาไป พิจารณาไป จนมองเห็นความจริงในข้อที่ว่า เป็นสิ่งที่น่าเศร้า หรือเป็นสิ่งที่น่าสังเวช น่าสลดใจ ในการที่มนุษย์มิได้มีศาสนาที่ถูกต้องของมนุษย์ นี่ก็เป็นหัวข้ออันหนึ่งซึ่งท่านทั้งหลายทุกคนควรจะสนใจ ว่าเดี๋ยวนี้มนุษย์มิได้มีศาสนาที่เป็นศาสนาของมนุษย์ มีแต่ศาสนาของคนบ้า เหมือนที่ได้กล่าวมาแล้ว ที่ว่า ที่กล่าวว่าไม่มีศาสนาของมนุษย์นั้น ก็เพราะว่าคนเหล่านี้ยังไม่รู้จักความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง คนเหล่านี้ยังไม่มีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง ยังไม่รู้จักความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง แล้วศาสนาของคนชนิดนี้จะเป็นศาสนาของมนุษย์ได้อย่างไร มันก็ต้องเป็นศาสนาของกิเลสตัณหา เป็นศาสนาของตัวกู เป็นศาสนาของกู เป็นศาสนาของตัวกู ซึ่งเป็นของกิเลสตัณหา ไม่ใช่ศาสนาของความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง ไม่ใช่เป็นศาสนาของศาสนา ไม่ใช่เป็นศาสนาของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เป็นศาสนาของธรรมชาติอันบริสุทธิ์เลย แต่เป็นศาสนาของตัวกู สิ่งใดที่จะเป็นประโยชน์แก่ตัวกู กูจะทำแต่อย่างนั้น และกูจะใช้สิ่งที่เรียกว่าศาสนาเป็นเครื่องมือหาประโยชน์ชนิดนั้น เพราะฉะนั้นจึงมีแต่ศาสนาของตัวกู ซึ่งเป็นภูตผีปีศาจชนิดหนึ่ง ไม่มีศาสนาของมนุษย์ ไม่มีศาสนาของพระพุทธเจ้า ไม่มีศาสนาของธรรมชาติอันบริสุทธิ์ แต่แล้วก็ไม่มีใครยอมรับในความจริงข้อนี้ เพราะว่าเป็นเหมือน ๆ กันไปหมด เหมือนกันไปเสียหมด ต้องการเหมือน ๆ กันไปเสียหมด ก็เลยบัญญัติให้การกระทำอย่างนี้เป็นของถูกต้องไป ขอให้ไปคิดดูกันในข้อนี้ให้มาก เพื่อให้รู้ความจริงที่ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ว่ามนุษย์เรากำลังเป็นอยู่ในสภาวะเช่นไร ในโลกในวันนี้ เราได้เกิดมา และเราได้มีชีวิตอยู่ แล้วเราก็ได้ทันเห็นสภาพการณ์อย่างไรในวันนี้ ในโลกทั่ว ๆ ไป มิได้หมายความว่าที่นี่ในวันนี้ ในสวนโมกข์นี้ เราหมายความว่าทั่วไปทั้งโลกกำลังเป็นอย่างไรด้วย แม้ที่นี่ในวัดนี้ก็มีอาการอย่างเดียวกัน แต่ว่าในส่วนน้อย เพราะว่ามีไม่กี่คน เมื่อมีไม่กี่คนก็ยิ่งมีน้อยลงไปอีกที่กำลังทำผิดหรือกำลังเผลอ หรือกำลังหลง หรือกำลังหลงทางอยู่ในเมฆในหมอกของความมืดสีขาว แต่ถ้าเรามองให้กว้างออกไปทั่วทั้งโลก ซึ่งเขาเป็นอยู่กันอย่างอื่น มีการกระทำเป็นอย่างอื่น ที่ตรงกันข้าม จากที่เรากำลังจะทำกันอยู่ นั่นแหละเราจะเห็นได้อย่างถูกต้องว่าโลกทั้งโลกในเวลานี้กำลังตกอยู่ในสภาพอย่างไร หรือศาสนาของมนุษย์ หรือศาสนาที่ของพระพุทธเจ้านั้นมีอยู่ในโลกหรือไม่ หรือศาสนาของพระศาสดาองค์ใดก็ตามกำลังมีอยู่อย่างถูกต้องในโลกนี้หรือไม่ คำว่า ศาสนาของกูนั้น มันหมายถึงศาสนาที่เป็นประโยชน์แก่ตัวกูนั้น เมื่อคนทุกคนในโลกต้องการเงิน ศาสนาในโลกก็มีแต่ศาสนาเงิน ถ้าเขามีพระเจ้าเขาก็เอาเงินเป็นพระเจ้า ถ้าเขาต้องการความสุข ความสงบสุข เขาก็เอาเงินเป็นความสงบสุข เขามีอะไร ๆ ก็เพื่อเงิน จะมีอำนาจก็เพื่อหาเงิน จะมีเกียรติยศชื่อเสียงก็ใช้เป็นเครื่องมือหาเงิน เขาจึงเป็นผู้ที่ถือศาสนาเงิน หรือมีเงินนั้นเป็นพระเจ้า เพราะคำว่าเงินในที่นี้หมายถึงสิ่งที่จะอำนวยให้ซึ่งประโยชน์ หรือหมายถึงตัวประโยชน์นั้นเอง ตามที่เขาต้องการ ในโลกนี้จึงมีแต่ศาสนาของกู คือศาสนาที่จะหาเงินให้แก่กู ได้มากที่สุดเท่าไรก็ยิ่งได้ เขาถือศาสนากันอย่างนี้ แม้แต่ในโบสถ์ ในโบสถ์ก็มีอธิษฐานอ้อนวอนว่าให้เกิดรวย ให้เกิดสวย ให้เกิดในสวรรค์วิมานที่มีราคาแพง ที่ในโบสถ์ก็ยังสอนกันอย่างนี้ มีการอธิษฐานอย่างนี้ มีการตั้งจิตมุ่งมั่นอย่างนี้ แม้แต่ในโบสถ์ เพราะฉะนั้นในโบสถ์นั้นก็มีแต่ศาสนาเงิน ไม่มีศาสนาของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่มี ศาสนาของธรรมชาติอันบริสุทธิ์ และไม่มีแม้แต่ศาสนาของมนุษย์ ศาสนาของมนุษย์หมายความว่าต้องมีใจสูงสมกับที่เป็นมนุษย์ ถ้ามีใจสูงสมกับที่เป็นมนุษย์ก็ต้องไม่ลุ่มหลงในเรื่องรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส แต่ต้องมุ่งหมายไปยังความสงบสุขที่แท้จริง หรือที่เรียกว่าความสะอาด สว่าง สงบ หรือที่เรียกว่านิพพาน คือความเยือกเย็นอันแท้จริง ไม่ใช่เรื่องลุ่มหลงอยู่ในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ซึ่งเป็นความเร่าร้อนตลอดเวลา ด้วยอำนาจความโลภ ความโกรธ ความหลง นั่นแหละลองพิจารณาดูให้ดี ๆ ว่าเราในโลกนี้ มนุษย์ในโลกนี้กำลังมีศาสนาอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโบสถ์วิหารที่สวยงามที่สุดนั้น เขากำลังมีศาสนาชนิดไหน มีศาสนาเงิน หรือว่ามีศาสนาของพระพุทธเจ้า แล้วก็ไปวินิจฉัยดู ตรงคำที่เขาอธิษฐานอยู่ทุกครั้ง ทุกเวลาที่ทำบุญ ทำกุศลเสร็จสิ้นไปเรื่องหนึ่ง ๆ เช่นว่าพอฟังเทศน์จบก็อธิษฐานว่าอย่างไร พอถวายทานเสร็จก็อธิษฐานว่าอย่างไร หรือพอสวดมนต์ภาวนาเสร็จแล้วก็อธิษฐานว่าอย่างไร ดูที่คำอธิษฐานของเขาเหล่านั้นเถิด จะรู้ได้ดีทีเดียวว่า เขากำลังถือศาสนาอะไร กำลังถือศาสนาเงินของตัวกู ศาสนาตัวกู ศาสนาเงิน หรือว่ากำลังถือศาสนาของพระพุทธเจ้า หรือศาสนาของมนุษย์ที่มีใจสูง หรือศาสนาของธรรมชาติอันบริสุทธิ์ นี้เราไม่ต้องไปเชื่อใคร เราเชื่อเราเองที่เห็นอยู่ได้ยินอยู่ หรือว่ากำลังกระทำอยู่ด้วยตนเองด้วยซ้ำไป พูดให้ชัดลงไปได้เลยว่ากำลังกระทำอยู่เองก็มี แล้วไปดูให้ดีว่านี้มันเป็นศาสนาอะไร ที่กำลังกระทำอยู่นี้ เป็นศาสนาตัวกู ศาสนาเงิน หรือว่าเป็นศาสนาอันบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า หรือศาสนาของธรรมชาติอันบริสุทธิ์ คือนิพพาน คือศาสนาที่เป็นความว่างจากกิเลสตัณหาโดยประการทั้งปวง นี่ก็จะมาเห็นว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุด ที่เหมาะสมที่สุดที่จะมาพูดกันในวันนี้ พิจารณากันในวันนี้ ซึ่งเป็นวันพิเศษดังที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่ความสำคัญมันอยู่ตรงที่ว่าเรากำลังตกอยู่ในเมฆหมอกที่ปิดบังอย่างยิ่ง ถ้าเรากำลังทำอะไรลงไปในลักษณะที่เป็นความเสื่อมเสียแก่มนุษย์ ทำให้ศาสนาที่แท้จริงสูญหายไป แล้วก็มีศาสนาอะไรก็ไม่รู้ เป็นศาสนาของตัวกู ศาสนาของเงิน นี่แหละเข้ามาแทน ศาสนาของพระพุทธเจ้าจริง ๆ นั้น มีอยู่ที่ไหนบ้าง หาดูได้ที่ไหนบ้าง ดูจะหายากเต็มที หาดูได้ยากเต็มที มีแต่ศาสนาของตัวกู หรือศาสนาของเงิน ศาสนาของสวรรค์วิมาน หรืออะไรทำนองนั้น เป็นเสีย ไปเสียเป็นส่วนมาก และนี่คือ มันก็เหลืออยู่แต่ศาสนาประโยชน์ คืออะไรเป็นประโยชน์แก่ตัวกูแล้วก็เอานั้นเป็นศาสนา หรืออีกทีหนึ่งก็ถือว่าได้นั่นแหละเป็นดี ก็คือถือศาสนาได้ เอาเรื่อย ให้มีบริจาค ถ้าบริจาคก็เพื่อให้ได้รับกำไรหลายเท่าตัว ถ้าบริจาคก็เพื่อให้ได้รับกำไรมาหลายเท่าตัว อย่างนี้จะเรียกว่าบริจาคได้อย่างไรกัน ถ้าบริจาคมันต้องบริจาคไปจริง ๆ ให้ไปเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นจริง ๆ แล้วให้เรานั้นมีกิเลสลดน้อยลง มีความยึดมั่นถือมั่นลดน้อยลง มีความเห็นแก่ตัวลดน้อยลง เราไม่ต้องการสิ่งอื่นนอกจากสิ่งนี้ นี่เรียกว่าการบริจาคที่แท้จริง ถ้าบริจาคโดยคิดว่ามันจะมีผลสนองกลับมาหลายร้อยเท่าหลายพันเท่า เช่นทำบุญบาทหนึ่งได้วิมานหลังหนึ่ง อย่างนี้ไม่ใช่การบริจาค มันเป็นเรื่องสำหรับเด็ก ๆ ไม่ใช่เป็นเรื่องสำหรับคนที่โตแล้ว คนที่โตมากแล้วไม่ควรจะต้องหลอกกันถึงอย่างนี้ พูดกันตรง ๆ ว่าต้องบริจาคให้เป็นการบริจาคให้จริง ๆ คือบริจาคออกไป แล้วอย่ารับ อย่ารับเอาวัตถุอะไรตอบแทนเข้ามา เพื่อว่าให้ความขี้เหนียวหมดไป ให้ความเห็นแก่ตัวหมดไป ให้กิเลสตัณหาเบาบางลง ถ้าทำบุญบาทหนึ่งแล้วเอาวิมานมาหลังหนึ่ง อย่างนี้กิเลสตัณหามันจะหมดไปได้อย่างไร มันจะหมดไปที่ตรงไหน มันมีแต่จะเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม ก็เรียกว่าทำให้กิเลสตัณหามีมากกว่าเดิม แล้วจะเรียกว่าบริจาคอย่างไร หรือจะเรียกว่าปฏิบัติพระศาสนากันที่ส่วนไหนข้อไหนมันมองไม่เห็นทั้งนั้น นี่แหละคือข้อที่เรามามองดูกันให้จริง ๆ มองดูลงไปให้จริง ๆ ว่าเราหรือว่าโลกทั้งโลกของมนุษย์นี้กำลังเป็นอย่างไร เป็นโลกของมนุษย์หรือว่าเป็นโลกของอะไร ถ้าเป็นโลกของมนุษย์ก็น่าจะดีกว่านี้ คือต้องมีความเบียดเบียนน้อย น้อยกว่านี้ ในสมัยปู่ย่าตายายของเรายังไม่มีความเจริญก้าวหน้า แต่ก็มีความเบียดเบียนน้อยกว่านี้ ยิ่งในสมัยที่โลกไม่เจริญก้าวหน้าตามแบบใหม่แล้วยิ่งมีความเบียดเบียนน้อยกว่าในสมัยนี้ สมัยนี้เบียดเบียนกันลึกซึ้งยิ่งขึ้นทุกที เบียดเบียนกันซึ่งหน้ายิ่งขึ้นทุกที เบียดเบียนกันกว้างขวางมากยิ่งขึ้นทุกที จะเรียกว่าโลกนี้เป็นโลกอะไร เป็นโลกที่มีศาสนาชนิดไหนกันแน่ แล้วเราควรจะเตรียมตัวสำหรับอยู่ในโลกนี้กับเขาอย่างไร เพราะเราไม่มีปัญญาไม่มีอำนาจอะไรที่จะไปแก้ไขคนอื่นได้ เพราะเมื่อโลกกำลังเป็นอย่างนี้ เราจะมีวิธีอะไรที่จะอยู่ร่วมกันกับคนในโลกขนิดนี้โดยไม่ต้องมีความทุกข์ นี่ก็เป็นปัญหาส่วน ปัญหาสำคัญ เป็นปัญหาเฉพาะหน้าขึ้นมาอีกหนึ่ง ซึ่งเราจะได้กล่าวกันต่อไปในตอนที่สาม สำหรับในตอนที่สองนี้จะขอยุติลงด้วยความสมควรแก่เวลาและเรี่ยวแรง ก็ให้มองกันดูกันแต่ในแง่ที่เป็นความจริงที่ปรากฏเฉพาะหน้าอยู่ก่อนว่าโลกเราทุกวันนี้กำลังตกอยู่ในเมฆหมอกเหลือประมาณ เป็นเมฆหมอกของวิชาความรู้ เป็นเมฆหมอกที่ออกมาจากพระคัมภีร์ เป็นเมฆหมอกที่ออกมาจากวิชาการที่ก้าวหน้าในโลกปัจจุบันนี้ เป็นเมฆหมอกที่ออกมาจากศาสนาที่เหลืออยู่แต่เปลือก ไม่มีเนื้อในเหลืออยู่เลย เป็นศาสนาแห่งตัวกู เป็นศาสนาแห่งเงิน เป็นศาสนาแห่งวัตถุ แล้วก็ยังมาคุยอวดกันอยู่ได้ว่ามีศาสนาที่เจริญ มันเป็นศาสนาที่เหลือแต่เปลือกนอกเขียว ๆ แดง ๆ ข้างในไม่มีอะไร แล้วก็ยังมาคุยอวดกันอยู่ได้ว่ามีศาสนาที่เจริญ ใครจะเป็นผู้ตัดสินว่าถูกผิดอย่างไรในข้อนี้ มันก็ยาก เพราะฉะนั้นจะต้องปล่อยให้เวลาเป็นผู้ตัดสิน และปล่อยให้สถานการณ์ที่มันเป็นอยู่จริงในโลกนี้ ว่าโลกนี้เต็มไปด้วยความเบียดเบียนเท่าไร เต็มไปด้วยสิ่งเสื่อมเสียทางศีลธรรมเพิ่มขึ้นเท่าไร เต็มไปด้วยสิ่งลามกอนาจารที่ปิดฉลากเสียใหม่ว่าเป็นความถูกต้องอย่างไร แล้วก็ไปดูในกลุ่มชนที่เขาอ้างตัวเองว่ามีความเจริญก้าวหน้า เช่นในเมืองหลวงเป็นต้น หรือประเทศใหญ่ ๆ ในโลกนี้ที่ถือกันว่าเป็นประเทศที่เจริญแล้วเป็นต้น ว่ามันมีอะไรอย่างไร ว่ามันมีคดีอาชญากรรมที่ลามกอนาจารทุก ๆ นาทีหรือไม่อย่างไรก็แล้วกัน แล้วเราก็จะได้พิจารณาถึงตัวเราเองว่าเราจะอยู่ร่วมกับเขาในโลกนี้ได้อย่างไรโดยที่ไม่ต้องเป็นทุกข์เลย นั่นแหละเป็นหนทางอันหนึ่งที่เราจะสืบสาวเข้าไปหาศาสนาที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า แล้วก็ดึงเอาศาสนาที่แท้จริงของพระองค์มาเป็นประโยชน์แก่เราให้ได้ในที่สุด นี้เห็นว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องเหมาะสมแล้วที่เราจะต้องทำกันต่อไป ในโอกาสเช่นนี้ขอยุติธรรมิกฐาพิเศษคือธรรมิกฐา ๒๗ พฤษภาคมในตอนนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้ทีก่อน แล้วจะได้กล่าวต่อไปจนกว่าจะสมควรในคืนวันนี้