แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ผมก็พยายามอยู่เสมอ วันอาทิตย์แล้วก็พูดพิเศษเฉพาะพระบวชใหม่ที่เวลาเหลือน้อยที่จะต้องสึกแล้ว ก็พยายามพูดเรื่องที่หาไม่ได้ในหนังสือที่พิมพ์พิมพ์ หรือว่าต้องมีใครพูดแบบนี้ เรียกว่าเป็นพวกมองด้านใน อย่างครั้งที่แล้วพูดว่าเกิดมาทำไม นั่นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แล้วก็ไม่ใช่เรื่องตื้นๆ เหลือบตามองเห็นทันที มันเป็นเรื่องลึกซึ้ง จะต้องศึกษาไปมองไป ศึกษาไปมองไป แล้วถ้าได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องเอาเสียตั้งแต่เป็นเด็ก มันก็ยิ่งง่ายเข้า แล้วมันควรจะมีระเบียบ มีวัฒนธรรมประเพณี พูดกันให้ติดปากเลยว่าเกิดมาทำไมนี่น่าจะฟังไม่ถูกเหมือนเรื่องมะพร้าวนาฬิเกร์ก็ตามเถอะ มันก็ยังดีกว่าไม่มี ดีกว่าไม่ได้พูด เป็นคำพูดที่ติดปาก หรือว่าสอนกันอยู่เสมอเรื่องนี้ ก็จะดี นี่เราต้องมาเสียเวลาพูดกันอย่างลำบากพอใช้
ที่เนื่องมาแต่ปัญหาที่ว่าเกิดมาทำไมนั้น จะมองกันต่อไป ว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าเกิดมาทำไมนี้จะรู้ได้อย่างไร คำว่า “เกิดมา” นี้ก็เหมือนกับชีวิตนะ มีชีวิต ความมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ทีนี้ ก็ดูกันที่ตัวชีวิตโดยตรงก่อน ไอ้ที่เรียกว่าชีวิต แล้วแปลว่าความเป็นอยู่ อย่างนี้แทบจะไม่มีความหมาย อย่างที่สอนเด็กให้จดในโรงเรียน ชีวิตแปลว่าความเป็นอยู่ มันก็เป็นตัวหนังสือไปหมด นี่ต้องดูชีวิตนี้ให้มัน...
ไอ้ชีวิต ชีวิตที่มันเป็นภาษาพูด เป็นภาษาพูดของคนธรรมดาสามัญซึ่งพูดไปตามภาษาของคนที่ไม่รู้ ไม่รู้อะไรลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นมันจึงหมายถึงความเป็นอยู่อย่างผิวเผิน อย่างทางวัตถุ ทางร่างกาย เกี่ยวกับร่างกาย หรือถ้าว่า ตามไอ้พวกจอมปราชญ์สมัยนี้เขาเรียนกันน่ะ นี่ต้องขอใช้คำอย่างนี้ ไอ้จอมนักปราชญ์ของสมัยปัจจุบันที่เขาเรียนกัน ทางวิทยาศาสตร์นี่ก็แย่เลย ชีวิตไม่ได้ความหมายกับความเป็นอยู่ด้วยซ้ำไป เขาบอกว่าชีวิต ชีวิตนี่คือความที่ ไอ้เซลล์ เนื้อในของเซลล์ Protoplasm ของเซลล์ยังสดอยู่ ยังไม่ตาย ยังทำหน้าที่ได้ นี้คือชีวิต ในเซลล์หนึ่งๆ มี Protoplasm ที่นิวเคลียสของมันยังสดอยู่ นี่คือชีวิต นี่จอมปราชญ์สมัยนี้รู้จักชีวิตลึกซึ้งในแง่นี้ แล้วไม่มีประโยชน์อะไรที่จะดับทุกข์เลย ไอ้พวกชาวบ้านเรียกว่าชีวิตความเป็นอยู่ก็ยังน่าฟังกว่า เพราะมันรวมถึงทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับมนุษย์ยังเป็นอยู่ รวมความว่าความเป็นไปในตัวบุคคลทั้งหมด แต่ในทางธรรมนี่อยากจะให้ไปไกลกว่านั้นอีก แต่ก็คล้ายๆ กัน ความหมายก็คล้ายกัน ในทางธรรมเขาเพ่งเล็งไปยังคนมากกว่า ทางวิทยาศาสตร์มันเพ่งเล็งไปจนกระทั่งว่าต้นไม้แล้วก็ในเซลล์หนึ่งของต้นไม้ ก็ ก็ ก็ มีชีวิต เป็นชีวิต มันเพ่งเล็งไปทำนองนั้น มันเพ่งเล็งไปที่เซลล์เดียวโดยไม่ต้องพูดเป็นคนเป็นสัตว์ เป็นต้นไม้อะไรก็ได้ ในหนึ่งเซลล์นั้นมีชีวิต มีรากฐานของชีวิต
ทีนี้ ทางธรรม ทางศาสนานี้ไม่มัวมองในแง่อย่างนั้นหรอก มันเป็นเรื่องวัตถุมากเกินไป ไม่เกี่ยวกับปัญหาดับทุกข์ทางวิญญาณ เพราะฉะนั้นชีวิตในทางศาสนาทางนามธรรมนี่ เขาความหมายทางวิญญาณ โดยถือว่ามีสิ่งที่เรียกว่าจิตใจนี่เป็นหลักอยู่ เป็นผู้นำอยู่ นำร่างกายนั้นไป ความรู้สึกทางจิตใจนี้รวมกันอยู่กับร่างกาย และทั้งหมดนี้มันเป็นไปอย่างที่เข้าใจยาก นี่เรียกว่าชีวิต มิได้หมายความแต่เพียงว่ายังเป็นอยู่ ยังไม่ตายนะ เราไม่ได้หมายความแต่เพียงเท่านั้น เราหมายความถึงว่า ไอ้ความเป็นไปทั้งหมดนั่นล่ะมันเป็นปัญหาที่จะต้องสะสาง นั้นจึงมองไปในแง่ที่ว่าชีวิตคือสิ่งที่ต้องสะสาง ไม่มองกันในแง่เป็นอยู่ ไอ้ สดๆ เป็นๆ อย่างนี้ มันเป็นเรื่องเด็กๆ อมมือ หรือถ้ามองไปในแง่เฉพาะลัทธิอะไรอย่างนี้ มันก็ เลยไปถึงว่า ชีวิตนี้คือความทุกข์ ชีวิตนี้คือการทนทรมานอย่างนี้ เป็นต้น ทีนี้มันไปไกลกว่านั้นอีกว่ายังมีชีวิตอย่างอื่นนะ ซึ่งเป็นชีวิตนิรันดร นั่นเอากับมันสิ เป็นชีวิตนิรันดร ชีวิตอมตะ เพราะฉะนั้น คำว่าชีวิตตามความหมายทางธรรมทางปรัชญายังไกล ไปไกล จนที่อย่างไอ้นักศึกษาสมัยใหม่นี้ไม่เข้าใจได้ เพราะไปมัวเข้าใจแต่เพียงว่าไอ้ความสดของ Protoplasm เป็นชีวิตอย่างนี้ มันยัง ยังไกลกันอย่างฟ้ากับดิน
นั้นการที่คนจะออกมาบวช อยู่ในป่า คิดนึกอยู่เสมอกันทั้งวันทั้งคืนจนตลอดชีวิต ก็ยังไม่พบด้วยซ้ำไปว่าชีวิตนี่คืออะไร คืออะไรกันแน่ เป็นยังไงกันแน่ นั้นอย่าทำเล่นกับปัญหาข้อนี้ อย่าบวชสองสามวันก็รู้ว่า ชีวิตคืออะไรนี่มันน่าหัว
ชีวิตไม่ใช่สิ่งที่อ่านเรียนเอาได้จากหนังสือ มันต้องศึกษากันจากประสบการณ์ แล้วตัวชีวิตเองเป็นผู้ศึกษา แล้วตัวชีวิตเองเป็นผู้สอน นั้นคุณถือว่า ชีวิตใน ๓ ความหมายเท่านั้น ชีวิตเป็นทั้งผู้สอน ชีวิตเป็นทั้งผู้เรียน ชีวิตเป็นทั้งบทเรียน ไอ้ตรงกลางนี้เราถือว่าชีวิตเป็นบทเรียน อยู่ในตัวมันเอง ในตัวชีวิตเอง แล้วผู้เรียนก็คือชีวิตนั่นเอง แล้วผู้สอนก็กลับคือชีวิตนั่นเอง หน่ะ คิดดูมันน่าหัวไหม น่าหัวที่ว่าไอ้คนที่รู้จักชีวิตแต่เรื่อง Protoplasm สดๆ นี่ มันยังไกลกันฟ้ากับดิน สำหรับที่จะมาเปรียบเทียบกันกับไอ้การมองในทัศนะอย่างนี้
ที่ว่าชีวิตเป็นผู้สอนหมายความว่า สิ่งที่ได้เป็นไปในชีวิตนั่นหล่ะ เรื่องผิดก็ตาม เรื่องถูกก็ตาม เรื่องสุขก็ตาม เรื่องทุกข์ก็ตามนี้ มันสอน จนคนโบราณเขาพูดดีมากว่า ถูกก็เป็นครู ผิดก็เป็นครู แต่คนรุ่นลูกหลานนี้โง่ไม่มองเห็นว่า ผิดก็เป็นครู ถูกก็เป็นครู เดือดร้อนกระวนกระวายจะตายเสียให้ได้แล้วเมื่อมีอะไรผิด แล้วเมื่อมีอะไรถูกหน่อยก็ยกหูชูหางสูงตั้งหลายวานี้ มันจึงไม่รู้เรื่องนี้ ว่าผิดเป็นครู ถูกเป็นครู
แล้วส่วนใหญ่คนก็โง่มากจนต้องผิดเสียก่อนจึงจะรู้สึก จึงจะรู้ ต้องทำผิดเสียก่อนแล้วจึงจะรู้ ไม่นั้นยากที่จะรู้ มันเกือบจะเป็นหลักทั่วไปก็ได้ว่า ต้องเคยทำผิดพลาดเสียก่อนจึงจะรู้จักกลัว รู้จักคิดนึก รู้จักป้องกันขึ้นมา ไม่เชื่อว่าทำชั่วเป็นของที่น่ากลัวหรือควรเว้น จนกว่าไปทำชั่วเสียก่อนแล้วก็เกิดอะไรขึ้นจริงๆ จึง อ้าว แย่ มีอะไรเสียหายรอบด้าน ตัวเองเสียหาย ญาติพี่น้องเสียหาย อะไรๆ เสียหาย ความดีต่างๆ ที่มีอยู่ก็ช่วยไม่ได้ จึงจะรู้ อ้าว ความชั่วเป็นอย่างนี้เอง หรือต้องถูกเจ็บปวดเสียก่อนจึงจะนึกได้ ไม่ต้องถึงกับไปทำชั่ว แต่ว่าต้องถูกอะไรกระทบกระทำให้เจ็บให้ปวดเสียก่อนจึงจะนึกขึ้นมาได้ เอ้อ ไม่ควรจะไปดื้อดึงดันทุรังกับมัน ถ้าว่าคนรู้จักถือเอาความผิดก็เป็นครู ความถูกก็เป็นครูล่ะก็ จะเร็วมาก คือจะได้ผู้สอนที่ดี ได้บทเรียนที่ดี ผู้เรียนที่ดี พร้อมกันไปในตัว สิ่งต่างๆ ที่เป็นไปในชีวิตนั่นแหละ มันสอนให้ว่าอะไรเป็นอย่างไร นับตั้งแต่เรื่องทางวัตถุกระทั่งถึงเรื่องทางจิตใจ มันสอนให้ว่า ยาพิษไปกินเข้ามันก็ตาย อาหารกินได้อย่างนี้ แล้วอะไรทุกอย่างนี่มันก็สอนอยู่ในตัวมันเอง เพียงแต่ได้ยินเขาว่า ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่เด็ดขาด ต้องไปเอาเข้าจริงๆ สอนกันอย่างจริง อย่างที่เรียกว่า ตบหน้าก็มี ลูบหลังก็มี ชีวิตสอน บางทีเราเรียกว่าชีวิตนี้เป็นยักษ์อยู่ในตัวมันเอง คือมัน มันทรมานตัวมันเอง ลงโทษตัวมันเองอย่างยักษ์ อย่างกะยักษ์ ทำอันตรายเอานี่ คือพอเราทำผิด ทำเลวก็วินาศฉิบหาย แล้วถูกยักษ์กิน พินาศหมด ความโง่ ส่วนใหญ่นี่เป็นยักษ์ที่จะกัดกินคน กัดกินชีวิต ความโง่ ความไม่รู้ ความอวดดี มันมาด้วยกันหล่ะ ถ้าโง่มันก็อวดดี อวดดีก็คือโง่ นั่นคือยักษ์ กัดกินจนถึงกระดูก แต่แล้วมันก็เป็นการสอนทันที สอนอย่างทันทีเลย นี่เรามองชีวิตในแง่ผู้สอน
ทีนี้ ชีวิตเดียวกันน่ะในแง่ที่เป็นผู้เรียนก็มีอยู่อีกแง่หนึ่ง คือมันฉลาดขึ้นทุกที ฉลาดขึ้นทุกที ฉลาดขึ้นทุกที ได้ผ่านวันคืนมามากเท่าไหร่มันก็ฉลาดขึ้นเท่านั้น มันไม่ใช่ผ่านเวลา มันผ่านเหตุการณ์มากมายเรื่อยๆ มา มันก็ฉลาดขึ้นๆ นี้มันเป็นผู้เรียน ในฐานะที่เป็นผู้เรียน
ทีนี้ ไอ้พฤติกรรม พฤติการณ์อะไรต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นนั่นแหละมันคือตัวบทเรียน ไม่มีบทเรียนในกระดาษ ในกระดาน ในตำรา ไม่มีอะไรในวัตถุสิ่งของสิ่งใด มันมีอยู่ในตัวชีวิตนั่นเอง ตัวพฤติกรรมต่างๆ ที่เป็นไปนี่มันเป็นตัวบทเรียนเอง แล้วเป็นพร้อมกันอย่างไม่น่าเชื่อ เป็นผู้สอน เป็นผู้เรียน เป็นบทเรียนพร้อมกันไปในตัว นั้นคุณมีอายุล่วงเลยมาถึงเท่านี้แล้ว ก็น่าจะมองสิ่งเหล่านี้ออกบ้างตามสมควร ชีวิตในฐานะที่เป็นผู้สอนเป็นอย่างไร ในฐานะที่เป็นผู้เรียนเป็นอย่างไร ในฐานะที่เป็นบทเรียน เป็นตัวบทเรียนน่ะเป็นยังไง ถ้าเข้าใจเรื่องนี้ดี รับรองได้ว่าไม่มีหัวหกก้นขวิด ไม่มีหกคะเมน เอ่อ ล้มลุกคลุกคลานอะไรอีกต่อไป
เดี๋ยวนี้มันยังโง่ ชีวิตไม่เป็นผู้สอน ชีวิตไม่เป็นผู้เรียน ชีวิตไม่เป็นบทเรียน หรือเป็นน้อยมากเกินไป มันก็เป็นชีวิตโง่ซึ่งไม่ควรจะเรียกว่าชีวิตที่ถูกต้องที่ควรมุ่งหมายหรือควรจะมี นี่ความดื้อดึงของคนหนุ่ม เป็นไปอย่างไม่น่าเชื่อเพราะความไม่รู้จักสิ่งนี้นั่นเอง นั้นการที่บวชเรียน การบวชการเรียนของคนหนุ่มนี่มันเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ ถ้าเรียนถูกหรือเข้าถึง เข้าถึงความลับ เข้าถึงไอ้ความจริงข้อนี้ก็วิเศษมาก ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วล่ะก็ หมายความว่าตายแล้ว เป็นคนตายแล้ว ไม่มีชีวิตแล้วตั้งแต่เดี๋ยวนี้ คือมันจะหมดค่า หมดความหมายแล้วมีแต่จะทำให้สูญเสียความเป็นมนุษย์ แต่ว่าความตายอย่างนี้มันไม่ตาย มันไม่ตายเลย มันไม่ตายสนิท มันเกิดใหม่อยู่เรื่อย เพราะฉะนั้นมันจึงมีเกิดตาย เกิดตาย เกิดตาย ไอ้เกิด เกิดความทุกข์ อยู่เรื่อย จนกว่าเราจะรู้เรื่องนี้ดี รู้ธรรมะดี ไม่ทำให้ความทุกข์เกิดขึ้นมา มันก็ไม่มีความทุกข์ นี่เป็นชีวิตที่แท้ในส่วนที่น่าปรารถนา ชีวิตไม่ใช่ความทุกข์แล้วทีนี้ ชีวิตเป็นความไม่มีทุกข์
ปล่อยไปตามประสาคนไม่รู้ ชีวิตก็คือความทุกข์ ถ้ามีความรู้ขึ้นมาอย่างถูกต้องตามหลักพุทธศาสนา ชีวิตก็ไม่ได้เป็นความทุกข์ เพราะสามารถกำจัดความทุกข์ได้ หรือถึงกับว่าทำให้มีความรู้สึกจนไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตนไปเลย ไม่มีชีวิตเลย ไม่ได้มีชีวิตอยู่เลย มีแต่ธรรมะบริสุทธิ์ ธรรมชาติบริสุทธิ์ เป็นของนิรันดรตลอดอนันตกาล แต่แล้วก็ยังไม่พ้นที่จะสมมติ สมมติเรียก กูอยากเรียก เรียกอันนี้ว่าชีวิตนิรันดรขึ้นมาอีก คำว่าชีวิตนิรันดรมันก็เกิดขึ้นมา ชีวิตอมตะอะไรมันก็เกิดขึ้นมา ที่จริงมันเหนือความมีชีวิต เหนือเป็นชีวิต แต่เผอิญที่มันเป็นตลอดกาลนี่ก็จึงควรเรียกว่าชีวิต ชีวิตปลอมมันเกิดดับ เกิดดับ เกิดดับ เกิดดับอยู่เรื่อย นั่นน่ะ ไม่ใช่ชีวิตล่ะ
ไอ้ชีวิตที่เด็กๆ นักเรียนพูด หรือที่ผู้ใหญ่ธรรมดารู้นี้ไม่ใช่ชีวิตหรอก ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเรียกว่าชีวิต ต้องเกิดตาย เกิดตาย เกิดตายอย่างนี้ ไอ้สิ่งที่อะไรปรุงแต่งไม่ได้ มีอยู่นิรันดรนั้นน่ะ ควรจะเรียกว่าชีวิต มันเป็นชีวิตในภาษาธรรมะอันลึกซึ้ง เขาพูดกันแต่ในหมู่นักศึกษาธรรมะ หรือนักรู้ธรรมะชั้นสูงเท่านั้น ชีวิตชนิดนั้น ไม่ ไม่ต้องการอะไร ต้องการชีวิต ต้องการชีวิตแท้จริง คือชีวิตนิรันดร คนชาวบ้านไม่เข้าใจ พูดเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ เข้าใจก็เข้าใจผิด ไปเป็นมีตัวกูนิรันดร ฝันเอาเท่านั้นเอง ว่าเอาเอง คิดเอาเอง มันยังมีตัวกูนี่มันยังเป็นกิเลส มันเป็นชีวิตนิรันดรไม่ได้ ชีวิตนิรันดรต้องหมดตัวกู ต้องหมดกิเลส ต้องหมดความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดหรือส่วนใด
เพราะฉะนั้นมันจึงไม่มีอะไรมาก ถ้าจะพูดด้วยปาก พูดแต่ว่าคุณทุกคนนี่รู้จักชีวิตเสียให้ถูกต้องก็พอแล้ว บางเรื่องเป็นเรื่องที่พอแล้ว นี้ไม่รู้จักแม้แต่ชีวิตแล้วก็ยังอวดดี มันก็ไม่รู้จะพูดยังไง แล้วมันก็ ก็หมดท่า เพราะความอวดดี มีแต่ทำอะไรผิดๆ คือทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาอย่างเดียว ก็สมน้ำหน้าที่ว่าชีวิตมันเป็นทุกข์
เพราะฉะนั้นที่ว่าพูด ที่พูดว่า ชีวิตเป็นครู ชีวิตเป็นลูกศิษย์ ชีวิตเป็นบทเรียนนี่ เอาไปคิดให้ดี จนกระทั่งมองเห็นชัดเจนว่า ไอ้สิ่งทั้งหมดนั้นน่ะมันก็คือสิ่งที่เราเรียกกันว่าธรรม ธรรมในภาษาบาลีนี่ ธรรม ธ-ร-ร-ม นี่ ธรรมคือธรรมชาติ ธรรมชาติกลุ่มนี้มีร่างกาย มีจิตใจ ที่เรียกว่า ร่างกายจิตใจหรืออะไรต่างๆ รวมกันครบถ้วนนี้ กลุ่มนี้เป็นธรรมชาติ รวมทั้งความเปลี่ยนแปลง ไหลเชี่ยวเป็นเกลียวไปของมันด้วย คือความเปลี่ยนแปลงที่ไหลเชียวเป็นเกลียวไปนั้นด้วย รวมอยู่ในนั้นด้วย เป็นชีวิต นั้นธรรมชาตินี้ก็ มีเหลี่ยมคูที่เราจะต้องดู ให้ดู ให้เราดู ดูเหลี่ยมนี้มันเป็นอย่างนี้ ดูเหลี่ยมนี้มันเป็นอย่างนี้ ดูเหลี่ยมนี้มันเป็นอย่างนี้ มันแล้วแต่ว่ามันกำลังมีอะไรแสดงอยู่ หรือทำหน้าที่อะไรอยู่ นั้น สิ่งทั้งหลายทุกสิ่งมีหลายเหลี่ยม มีหลายเหลี่ยม หลายคู หลายเหลี่ยมคู จะประมาท หรืออวดดี ว่ามองเห็นก็รู้จักหมดนี้ก็ไม่ได้ มันยังมีที่ไม่รู้จัก
อย่าว่าถึงไอ้ตัวชีวิตที่แสนจะลึกลับ แม้แต่เรื่องวัตถุ วัตถุธรรมดานี้ก็ยังมองไม่ออก ยังมองไม่เป็น ยังมองไม่เห็นอยู่ สมมติว่าตึกหลังนี้มันเป็นอะไร มันก็ยังมองได้มากแง่มากมุมแล้วแต่สติปัญญาที่ตื้นหรือลึก แม้ในหมู่พระเณรนี่ก็ยังมีความรู้สึกในคุณค่าของตึกหลังนี้ต่างๆ กัน ไม่ต้องพูดถึงชาวบ้านหรือเด็กๆ หรือมด แมลงที่อาศัยอยู่ที่ตึกนี้ ว่าตึกนี้มันเป็นอะไรในสายตาของมด แมลง หรือของสุนัข ตึกนี้มีความหมายเป็นอย่างไรสำหรับสุนัข แล้วก็คน คนที่ด้อยการศึกษาก็มองเห็นเป็นไอ้ ไอ้อย่างนี้หล่ะ เป็นรูปร่างอย่างนี้ ไม่รู้คุณค่าทางสถาปัตย์ ทางศิลปะอะไร แต่ถึงแม้รู้ ก็ยังไม่รู้คุณค่าของคำว่ามหรสพทางวิญญาณ อันนี้เข้าใจยากมาก ไอ้มหรสพทางวิญญาณน่ะมันเป็นสิ่งที่เข้าใจยากมาก ตึกนี้เป็นอุปกรณ์ของมหรสพทางวิญญาณ ก็ยิ่งมองไม่ออก
นี่ สิ่งต่างๆ มันมีหลายเหลี่ยมหลายคู แล้วมันอาจจะใช้เป็นอย่างอื่นก็ได้ ถ้าจำเป็นขึ้นมาใช้เป็นไอ้ที่พักคนบ้านแตกสาแหรกขาดอะไรก็ได้ มันได้ทุกอย่าง เล็กลงไปก้อนหินสักก้อนหนึ่งมันเป็นอะไรบ้าง มันเป็นหลายอย่าง ทำนองเดียวกัน สำหรับคนนั้นมันเป็นอย่างนั้น สำหรับคนนี้มันเป็นอย่างนี้ สำหรับไอ้นักหัวศิลปะ มันก็เป็นเครื่องประดับที่สวยงามที่วางอยู่นี้ สำหรับบางคนมันก็เป็นของเกะกะ เอามาวางทำไมก็ไม่รู้ มันแล้วแต่ว่าไอ้ความรู้สึกเกิดมาจากการศึกษา ตลอดเวลาที่แล้วมานี้มันเป็นอย่างไร หรือเป็นผู้ที่เพ่งเล็งในข้อไหน แล้วผลสุดท้ายมันสำคัญอยู่ที่การเพ่งเล็ง อะไรมันจะเป็นอะไรขึ้นมามันอยู่ที่การเพ่งเล็ง คือความต้องการของผู้นั้น ใครมีความต้องการอย่างไรจะมองเห็นสิ่งต่างๆ แต่ในแง่นั้น
สมมติว่าป่านี้ทั้งป่านี่ ไอ้คนที่เข้ามาในป่านี้ไม่ได้มองเห็นเหมือนกันหรอก มันมีความต้องการต่างกัน ไอ้คนที่ต้องการความสงบ มันก็ง่ายหน่อย ป่านี้เยือกเย็นเป็นความสงบ แต่ว่าไอ้คนที่มันต้องการไม้ฟืนน่ะ มันก็จะมองหาแต่ไอ้ไม้ที่ทำฟืน ไอ้ดุ้นที่ทำฟืนได้น่ะ ไม่มองเห็นไอ้ดุ้นอื่นๆ เลย ป่านี้เป็นที่หาไม้ฟืน ไอ้คนที่จะตัดไม้ไปทำบ้านเรือนก็มองหาเอา มีหรือไม่มี ไอ้คนที่มันจะเอาไม้ไปทำไม้ถ่อสักด้ามเดียวนี้ มันก็มองแต่อย่างนั้นมันมีหรือมันไม่มี แม้ที่สุดแต่จะเอาไปทำคันเบ็ดสักคันหนึ่งนี้ มันก็มองว่ามันมีหรือไม่มี เพราะฉะนั้นป่ามีความหมาย มีคุณค่าต่างๆ กันไปตามความต้องการของบุคคลผู้เข้าไปเกี่ยวข้องกับป่านั้น ส่วนที่ไม่ตรงกับความต้องการมันมองไม่เห็น มันมองข้าม ไม่รู้จัก บางทีไอ้เด็กเล็กๆ ก็จะมาหาดอกไม้ หาลูกไม้ หาเห็ด หาลูกไม้ที่หล่น ไม่มีความหมายอะไรมากกว่านั้น ชีวิตมันกว้างกว่าป่า มีความหมายกว้างขวางกว่าป่ามาก มันจึงมองกันได้มากแง่มากมุมจนพูดกันไม่รู้เรื่อง
ทีนี้ มันก็เหลือแต่เรื่องที่สำคัญ ไอ้เรื่องอื่นก็ช่างมัน ไอ้เรื่องที่สำคัญเรื่องเป็น เรื่องตายนั้นน่ะมันเรื่องสำคัญ ก็รู้จักมองในเรื่องหรือในส่วนที่มันสำคัญ แล้วก็ไม่มีเรื่องใดสำคัญไปกว่าเรื่องความไม่มีทุกข์ คุณไปคิดดู ไปอะไรดูก็ตามใจ จะเห็นได้ว่าในที่สุดไม่มีอะไรที่สำคัญไปกว่าเรื่องความไม่มีทุกข์ คือให้ไม่มีทุกข์กันจริงๆ แล้วก็สิ้นเชิง ที่เรียกว่านิพพาน
ไอ้ที่มันขวนขวายกันอยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อจะให้ไม่มีทุกข์ทั้งนั้นแหละ แต่มันขวนขวายผิดเพราะมันโง่ เพราะมันไม่รู้จักชีวิต มันขวนขวายจะไม่ให้มีทุกข์ กลับมีทุกข์มากขึ้น เพราะมันโง่ มันไม่รู้จักชีวิต นี่คือการศึกษาสมัยใหม่ กิจกรรมสมัยใหม่ ความเจริญก้าวหน้าสมัยใหม่ เป็นอย่างนี้ เราฟังดู อ่านหนังสือข่าว ฟังวิทยุอะไรต่างๆ ที่มันเป็นการแสดงให้ทราบว่าโลกนี้มีอะไร โลกนี้กำลังมีอะไร มีความก้าวหน้าในทางไหน ก้าวหน้าในทางประดิษฐ์ประดอยสิ่งต่างๆ ขึ้นหลอกตัวเอง ให้หลง ให้จม ให้ติดอยู่ที่นั่น มีความเอร็ดอร่อยหล่ะ โดยคิดว่ามันจะดับทุกข์ แล้วมันโง่ มันดับไม่ได้ แล้วมันไปเพิ่มกิเลสตัณหา
แล้วเขาปรึกษาหารือกันอย่างมีเกียรตินะ ไปไหนมาไหนอย่างมีเกียรติ เป็นข่าวที่มีเกียรติ ก็ล้วนแต่ปรึกษาหารือกันที่จะรวมหัวกันเล่นงานหมู่อื่นคณะอื่นทั้งนั้น ศึกษากันตั้งสมาคมนั้นสมาคมนี้ระหว่างชาติระหว่างอะไรก็ตามเถิด เพื่อจะเล่นงานฝ่ายอีกฝ่ายหนึ่ง เพื่อเอาเปรียบกันหรือเพื่อทำลายกัน มีแต่อย่างนี้นะ ไม่มีอะไรหล่ะ ที่เรียกว่าป้องกันตัวเองนั้นน่ะ โกหกทั้งนั้น หรือมันเป็นการป้องกันตัวเองอย่างผิดๆ โดยไม่รู้สึกตัว คือโกหกกันโดยไม่รู้สึกตัว มันไม่ได้ป้องกันความทุกข์ มันสร้างความทุกข์ให้มากขึ้นมาสำหรับจะป้องกันกันไม่มีที่สิ้นสุดอย่างนี้ หรือสร้างเวร สร้างภัย สร้างศัตรูขึ้นมาโดยจะต้องป้องกันกันไม่มีที่สิ้นสุด ถ้ามีความรู้ถูกต้อง มันไม่มีอะไรที่ต้องป้องกันหรอก มันไม่มีภัย ไม่มีเวรอะไรเกิดขึ้นแก่ใครหรือพวกไหนเลย มันไม่ต้องป้องกัน มันอยู่สบาย
นี่ว่าคนๆ หนึ่งมีสติปัญญาในโลกเป็นผู้นำหมู่คณะนี่ ถ้าเข้าใจผิดในเรื่องนี้แล้วก็นำหมู่คณะไปผิด นำประเทศไปผิด รวมกันแล้วคือนำโลกนี้ไปผิด ก็มีแต่ความทุกข์จริง โลกนี้มีแต่ความทุกข์จริงๆ เพราะว่ามันเป็นโลกของคนโง่ที่ไม่รู้ว่าโลก หรือชีวิตมันคืออะไร
ทีนี้เราไม่อาจจะทำให้ผู้อื่นเข้าใจเหมือนเราได้หรอก ผมก็รู้เรื่องนี้ แต่ผมพูดเรื่องนี้ก็เพราะว่ามันมีทาง ที่ว่าเขาไม่เอาก็ตามใจ เราก็มีอะไรที่จะเอา จะทำ จะจัดของเรา ตามที่มันเห็นว่าดี ว่าถูก ว่าควร เพราะจะไม่มีความทุกข์จริงๆ ได้ คือธรรมะนั่นแหละ ที่ถึงขนาดสูงสุดแล้วไม่มีใครมาทำให้เป็นทุกข์ได้ ใครจะมาฆ่ามาแกงมาเชือดมาเฉือนมาเผามาปิ้ง หรือจะเอาอาวุธอะไรมาใส่มาใช้ มัน มันก็ไม่ทำให้เป็นทุกข์ได้ เพราะจิตใจมันเป็นอย่างอื่นเสียแล้ว มันไม่อยากเกินประมาณ เกินขอบเขต มันต้องการแต่ที่ถูกที่ควร มันก็ไม่มีปัญหาเรื่องที่เขากำลังมีกันอยู่
แล้วมันต้องการกินอาหารทางใจ มันหาง่าย อะไรมันก็เป็นอาหารทางใจได้ เกือบจะไม่ต้องอาศัยวัตถุนอกจากเพื่อร่างกายนิดเดียว แล้วก็มีความสุขอยู่ได้ มันแก้ปัญหาได้หมด อย่างพวกฤาษีมุนีในป่านี่ที่เขาถือเป็นหลักกันมานี่ แสวงหาความสุขอันเกิดจากความสงบ เข้าฌานนานนับเดือน ไม่เขยื้อนเคลื่อนกายา จำศีลกินวาตาเป็นผาสุกทุกคืนวัน เข้าฌานเป็นเดือนๆ ปีๆ เรียกว่าจำศีลแล้วกินลมเป็นอาหาร เป็นผาสุกทุกคืนวัน เขาก็ทำได้ไม่ใช่พูดแต่ตัวหนังสือ มันเป็นเรื่องที่ลึกลับสำหรับคนที่ไม่รู้ สำหรับคนที่รู้แล้วมันก็เรื่องธรรมดา ในการที่หยุด หยุดความเคลื่อนไหวทางกายทางอะไรหมดจนร่างกายแทบจะไม่ต้องการอาหารอะไรเลย จิตใจเป็นสุขอยู่ด้วยความสงบเกิดจากสมาธิจากฌาน กินหญ้าสัก ๒-๓ ชิ้น กินใบไม้ ๒-๓ ใบก็อยู่ได้ เพราะเขารู้จักทำให้ร่างกายนี้ ไม่ ไม่มีการใช้ ไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่มีการใช้ ไม่มีการเปลืองแคลอรี่ ไม่มีการเปลืองอะไรหมด
นี่ ไปไกลกันลิบลับ ไปกันสุดโต่งอย่างนั้นก็มี เราไม่ต้องถึงอย่างนั้นหรอก แต่ว่าเราเอาแต่เพียงว่ามันไม่ทุกข์เหมือนกับคนธรรมดาก็แล้วกัน คนเหล่านี้ที่ไปได้ไกลนี่ก็เพราะว่ามันมอง มันมองดี มองถูก มองเก่ง มองอย่างฉลาด แล้วเป็นอิสระ เขาไม่กลัว เขาไม่ขลาด เขาเป็นอิสระ คนเดี๋ยวนี้ทั้งโง่ทั้งขี้ขลาด ไม่กล้าแหวกแนว ไม่กล้าทำอะไรให้เป็นอิสระ นี่ ผมถือว่ามันเป็นการถอยหลังเข้าคลองของความโง่ การศึกษาก้าวหน้าของวิชาการ ของประดิษฐกรรมอะไรของโลกในสมัยปัจจุบันนี้มันเป็นการถอยหลังเข้าคลองของความโง่ คือต้องจมลงไปในความทุกข์มากขึ้นๆๆ แล้วแก้ไขยากมากขึ้น ยุ่งยาก แก้ไขยากมากขึ้น นี่ ทำเล่นกับชีวิต มันไป มันไปกันไกลอย่างนี้ มันร้ายกาจอย่างนี้ มันเป็นผู้สอน
มันเป็นผู้เรียน มันเป็นบทเรียนอยู่ในตัวมันเอง แต่เมื่อทำผิดแล้วมันก็ผิดได้อย่างไม่น่าเชื่อ มันสอนผิด เรียนผิด ทำผิด อะไรผิดไปหมด อย่างไม่น่าเชื่อ จนมนุษย์ตกอยู่ในความทุกข์ แก้กันไม่หวาดไหว แล้วไม่มีทางจะแก้ได้หล่ะ ในรูปนี้ไม่มีทางจะแก้ได้ ให้วินาศลงไปด้วยการทำลายกันเองแทบหมดโลก หมดโลกสัก ๑๐ ครั้ง ๒๐ ครั้ง ก็ยังไม่ได้ เว้นเสียแต่มันจะมามองกันใหม่ใน เรียกว่าอย่างทวนกลับ จากถอยหลังเข้าคลอง
นั้น วันหนึ่ง คืนหนึ่งของเราควรจะเป็นความก้าวหน้าในทางจิตใจ ในทางบทเรียนของชีวิต อย่าไปมัวห่วงเรื่องที่มันจะยกหูชูหาง พูดกันตรงๆ ดีกว่า เรื่องโง่ เรื่องดื้อ เรื่องยกหูชูหางหล่ะพอกันที ถึงให้มันไปในรูปที่สะอาด สว่าง สงบ ให้มันเฉียบแหลม ให้มันเรียนได้ดี ให้มันสอนได้ดี ให้มันเป็นบทเรียนที่ดีอยู่ทุกวัน ทุกวันๆ ทำอะไรสักนิดหนึ่งก็ขอให้มันเป็น ทำเพื่อมันฉลาดขึ้น เราทำงานอยู่ทุกวัน วันหนึ่งหลายๆ อย่าง หลายๆ นิดนะ แต่ว่าทุกๆ นิด ทุกๆ ชิ้นให้มันสอนให้เรารู้อะไร หรือว่าเป็นการเรียนที่จะให้รู้อะไร หรือว่าเป็นบทเรียนที่ให้เรารู้อะไร ที่ดีที่สุดก็คือให้รู้หัวใจของพุทธศาสนา ยึดมั่นถือมั่นก็เป็นทุกข์ ยึดมั่นถือมั่นก็คือยกหูชูหางว่าตัวกู ว่าของกู มันก็เป็นทุกข์ ไม่มีอย่างนั้นก็ไม่เป็นทุกข์ มันเป็นการทำประโยชน์ ถ้าตัวกูไม่มีก็ทำเพื่อผู้อื่นซะก็แล้วกัน หรือว่ามันเพื่อชีวิตที่ไม่เป็นของใครแล้ว ไม่มีความทุกข์ก็แล้วกัน
นี้กำลังรู้สึกสุข ทุกข์ เอร็ดอร่อยหรือไม่อร่อย ตัวกูนี่ มันก็คือธรรมชาติ เพราะฉะนั้นเมื่อธรรมชาติทำ มันก็ทำเพื่อธรรมชาติน่ะ อย่าเพื่อตัวกูก็ได้เหมือนกัน นี่จะเป็นเหตุให้ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ ทำงานเพื่องานหรือว่าอย่างอื่นๆ ที่ดีๆ ได้ ไม่ทำงานเพื่อเงิน ไม่ทำงานเพื่อความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนัง ไม่ทำงานเพื่อกามารมณ์ ไม่ทำงานเพื่อเหมือนที่เขาทำๆ กัน แต่ว่าทำงานเพื่องาน ธรรมชาติทำก็ทำเพื่อธรรมชาติ นั้นทำงานนี้มันทำเพื่อชีวิตที่ถูกต้อง ชีวิตชนิดที่ถูกต้อง วิวัฒนาการไปตามลำดับจนถึงที่สุด คือรู้ขนาดที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าอะไรเป็นตัวเราหรือเป็นของเราอีกต่อไป ถึงที่สุดแห่งชีวิตกันที่ตรงนี้ คือเป็นพระอรหันต์หรือเป็นอะไรแล้วแต่จะเรียกกัน มันถึงที่สุดของชีวิตบ้าๆ บอๆ กันที่นี่ แล้วก็มันเป็นชีวิตนิรันดรขึ้นมา
คุณลองไปคิดดูเอง ผมก็พูดอะไรมากมันก็ไม่ได้ มันก็ไม่มีประโยชน์ มันเป็นเรื่องที่ต้องคิดเองว่าอะไรเป็นอย่างไร อะไรคือชีวิตชนิดไหน ชีวิตชนิดไหน ชีวิตชนิดไหน ชีวิตจริง ชีวิตไม่จริง ชีวิตก็แปลว่า ความเป็นอยู่ ต้องเป็นอยู่จริงคือ อย่าตาย ถ้ามีเกิดตาย เกิดตายอยู่ ไม่ใช่ชีวิต ในร่างกายคนๆ หนึ่งก็มีอะไรที่เกิดตาย เกิดตายทางร่างกายอยู่มาก แล้วมีอะไรที่เกิดตาย เกิดตายทางวิญญาณ ทางความคิด ทางนามธรรมอยู่มาก เพราะฉะนั้นทั้งร่างกาย ทั้งส่วนวัตถุธรรม ทั้งส่วนนามธรรมนี่มีเกิดตาย เกิดตาย เกิดตายอยู่เรื่อยนั้นจะเรียกว่า ชีวิต มันก็ของเด็กอมมือ อย่างนี้ ชีวิตความเป็นอยู่ชนิดนี้เป็นของเด็กอมมือ ถ้าชีวิตจริงแปลว่าความเป็นอยู่ มันต้องเป็นอยู่จริงคือไม่ตาย คือถอนความคิดว่าตัวกูว่าของกูออกเสีย ก็เหลือแต่ธรรมชาติ ธรรมชาติล้วนๆ อย่างหนึ่งก็หมุนไป มีความหมุนไป เป็นความไม่สิ้นสุด อีกอย่างหนึ่งก็ไม่รู้จักหมุน ไม่รู้จักอะไร นี่ มีความหยุด นี้เป็นความไม่มีที่สิ้นสุด
เหมือนไอ้รูประฆัง ตีระฆังของเรา ที่ฝาผนังเขียนว่า จากไม่มีที่สิ้นสุดสู่ความไม่มีที่สิ้นสุดน่ะ มัน ๒ ๒ อันอยู่นี้ ไอ้ความไม่มีที่สิ้นสุดในการปรุงแต่งหล่ะออกมาได้เรื่อยไม่มีที่สิ้นสุด แล้วไปสู่ความดับที่ไม่รู้จักสิ้นสุด ไม่มีสิ้นสุด ปล่อยความเกิดไปสู่ความไม่มีที่สิ้นสุดในฝ่ายความดับ แล้วมันก็อยู่ที่ตรงนี้ ตรงแค่จมูกนี้ นี้เปรียบเหมือนกับเสียงระฆัง ออกมาได้ไม่มีที่สิ้นสุด แล้วก็จางหายดับไปไม่มีที่สิ้นสุดเหมือนกัน นี้เราอย่าไปเอาส่วนที่มันออกมา เกิดมา ซึ่งมันไม่มีที่สิ้นสุด เกิดดับไม่สิ้นสุด เอาส่วนที่ถาวร ที่เป็นที่ดับ เข้าไปถึงนั่นแล้วต้องดับ เข้าไปถึงนั่นแล้วต้องดับ อันนั้นน่ะอยู่ อยู่เป็นอนันตกาล เป็นนิรันดร ไม่มีที่สิ้นสุด
ไม่มีที่สุดเพราะมันเกิดดับ เกิดดับนี้ก็มี แล้วไม่มีที่สิ้นสุดเพราะมันไม่เกิดไม่ดับเสียเลยนี่ก็มี มันมีอยู่ ๒ ความหมาย นี่ รู้จักเสียทั้ง ๒ ความหมาย แล้วก็ไม่ ไม่ยึดถือไอ้ส่วนที่มันทำให้น่ายึดถือหล่ะ คือเอร็ดอร่อยทางตา ทางหูนี้หล่ะ แล้วมันก็หยุดเป็นความไม่ยึดถือ มันก็เป็นอนันตกาลในความไม่ยึดถือ เรียกว่า ชีวิตแท้ฝ่ายนิรันดรไม่มีความทุกข์ ต้องเข้าถึงชีวิตชนิดนี้จึงจะไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา หรือว่าไม่เสียทีที่มาบวช มาเรียนเพื่อจะรู้ส่วนลึกซึ้งของธรรมชาติ ส่วนลึกที่สุดของธรรมชาติ ที่เรียกว่า มรรค ผล นิพพาน หรืออะไรอย่างนั้น ทำนองนั้น
ทีนี้พวกเรายังทำไม่ได้ถึงขนาดนั้น เราก็มีการเดินทางที่ถูกต้องอยู่เสมอ นั้นสึกออกไปทำงานนี้ก็ไปทำด้วยชีวิตจิตใจที่ไม่เป็นทุกข์ อยู่เหนือความทุกข์ อย่าเผลอ พอเผลอเป็นมีความทุกข์ พอเผลอเป็นไปอยู่ใต้ความทุกข์ทันที พอไม่เผลอมันก็ยังปกติอยู่ อยู่เหนือความทุกข์อยู่ได้ นั้นก็หัดอย่าเผลอ ถ้าไม่อยากเผลอก็อย่าอวดดี อย่าอวดดี ที่ทำอะไรไม่น่าดูอยู่ประจำวันนี้ ก็เพราะความอวดดี เพราะฉะนั้นอย่าอวดดีอันเดียว มันก็หมด หมดเรื่องกัน มันก็ทำไม่ได้ ไอ้มานะทิฏฐิน่ะ มันหมายความว่ามันทำทั้งรู้อยู่นะ คำว่ามานะทิฏฐิหมายความว่าทำเลวทั้งที่รู้อยู่นะ คือความโง่ ความดื้อ ความอะไรอย่างนี้ มันเป็นชีวิตที่สกปรก คุณ คุณ คุณลองจำเอาไว้บ้างมันเป็นชีวิตที่สกปรก สกปรกไปด้วยกิเลส กิเลสแปลว่าของสกปรก คำว่ากิเลสนี้แปลว่าของสกปรก รู้กันไว้เสียบ้าง เอา เอาชื่อคำว่าสกปรกนี่มาเป็นชื่อของกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอะไรก็ตามที่เป็นกิเลสนี้เรียกว่าของสกปรกฝ่ายวิญญาณ ขี้หมูขี้หมานี้ก็ของสกปรกฝ่ายวัตถุฝ่ายเนื้อหนัง ไม่มีปัญหา ไม่ทำอะไรใครได้ แต่ว่าของสกปรกฝ่ายวิญญาณคือ กิเลสนี่ คือมันย่ำยีตลอดวันตลอดคืนจนชีวิตไม่เป็นชีวิต คือเป็นชีวิตเลวๆ ระหกระเหินล้มลุกคลุกคลานอยู่เรื่อย แต่แล้วมันไม่มีที่พึ่งที่ไหนหรอกนอกจากตัวเอง ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ตนพึ่งตน มันก็หมายความอย่างนี้ ชีวิตที่โง่ ที่หลง ที่ล้มลุกคลุกคลานนี่จะต้องจัดการช่วยตัวเอง จัดการในเรื่องการเรียนเสียใหม่ มีบทเรียนที่ดี มีการสอนเสียใหม่ มีการเรียนเสียใหม่ คือรู้จักเข็ดหลาบ รู้จักเข็ดหลาบกันเสียบ้าง อย่าขืนโง่ ขืนดื้ออยู่ต่อไป สิ่งอะไรที่ควรเข็ดหลาบก็เข็ดหลาบกันเสียเร็วๆ แล้วมันก็หมดไป มันไม่กี่วันหมดไป ไม่มีอะไรเหลือ คือสิ่งเลวๆ จะหมดไป ไม่มีอะไรเหลือ
เดี๋ยวนี้ไม่รู้จักเข็ดหลาบ มีมานะทิฏฐิ มีความดื้อดึงรักษาเอาไว้ สงวนเอาไว้ นี่คือชีวิตมันกำลังเป็นตัวเลว กำลังแบ่งภาคเพื่ออวตารเป็นฝ่ายเลว ก็ต้องรับเอาแต่ส่วนเลว มันก็ได้เลว มันก็ได้ เป็นชีวิตสกปรก ทีนี้เอาธรรมะมา มีเข้ามาเกี่ยวข้อง มีสติสัมปชัญญะหรือรู้อะไรเท่าที่พูดกันนี้ เอาไปขยับขยายเสียใหม่ มันก็สลัดไอ้สิ่งเหล่านี้ออกไป มันก็สะอาดขึ้น สะอาดขึ้น มันเป็นการเรียน การสอน การอะไรกันเสียใหม่ ไม่เท่าไหร่ก็เลื่อนขึ้นไป เลื่อนขึ้นไป ถึงจุดปลายทางของมันได้
นั้นเมื่อ เมื่อ เมื่อเราชอบนะ ชอบคำว่าชีวิตนี้มีความหมายว่าความเป็นอยู่ เราก็ต้องให้มันเป็นชีวิตที่ถูกต้อง คือเป็นอยู่จริงๆ คือเป็นอยู่นิรันดรจริงๆ จึงจะถูกต้อง อย่าเป็นชีวิตที่เกิดตายๆๆ อยู่ด้วยความดี ความชั่ว ความ เอ่อ ทำกรรม ผลกรรม รับผลกรรม ใช้กรรม ทำกรรมอยู่อย่างนี้ นี้มันไม่ใช่ชีวิตหรือความเป็นอยู่ที่น่าปรารถนาเลย มันเป็นความตาย
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า สัตว์ทั้งหลายนี้เหมือนกับตายอยู่ เพราะว่าสัตว์ทั้งหลายนี้กำลังประมาทอยู่ กำลังโง่อยู่ กำลังหลงอยู่ กำลังอวดดีอยู่ กำลังดื้อด้านอยู่ นี่ความประมาท ความประมาทเท่ากับความตาย ผู้ประมาทก็เท่ากับผู้ที่ตายเสร็จแล้ว แต่มันเกิดใหม่เรื่อย มันมาประมาทอีกเรื่อย ก็คือความตาย ความตายที่ออกจะถาวรอยู่เหมือนกัน ความตายที่กำลังไหลเป็นสายไปเลย นั้นบวช บวชเข้ามาทีหนึ่งก็ควรจะรู้เรื่องนี้ เรื่องความไม่ประมาท เพื่ออะไร เพื่อเป็นอย่างไร ในสภาพอย่างไร มันก็อาจจะตอบปัญหาที่ว่าเกิดมาทำไมได้ดีที่สุด เกิดมาเพื่อให้รู้จักตัวชีวิตเอง แล้วให้ก้าวหน้าไปในทางวิวัฒนาการที่ถูกต้อง แล้วก็เป็นชีวิตที่แท้จริง ชีวิตนิรันดร เราเกิดมาเพื่ออย่างนี้
ทีนี้ ทรัพย์สมบัติก็มีเพื่อช่วยเหลือให้เราได้มีอยู่ ชีวิตอยู่ เพื่อทำเดินทางนี้ต่อไป ภรรยากับพวกผู้ร่วมสุขร่วมทุกข์ ให้มีความเข้าใจถูกต้อง การกระทำถูกต้อง ดำเนินชีวิตไปอย่างถูกต้อง ไม่ใช่เป็นอุปสรรคขัดขวางกัน แล้วลูกหลาน ถ้ามี ก็เพื่อเดินทางต่อจากที่พ่อหรือปู่เคยเดินไปแล้วไม่ถึง ยังไม่ถึง เอามนุษย์เป็นหลักกัน อย่าเอาคนๆ หนึ่งเป็นหลัก เอามนุษย์ทั้งหมดทุกคนในโลกที่เขารวมเรียกว่ามนุษยชาติ Humanity นี่เป็นหลัก ไอ้อันนี้มันถึงความ จุดหมายปลายทางมัน ถึงที่สุดจุดหมายปลายทางมัน มันเป็นชีวิตนิรันดร
เมื่อคิดอย่างนี้ เมื่อมองเห็นอย่างนี้ ไอ้เงินมันก็เป็นของเล็กน้อย มันเป็นอุปกรณ์อะไรนิดหนึ่งเท่านั้นไม่ใช่ของวิเศษวิโสที่หลงใหลเทิดทูนบูชา หวังปรารถนากันอย่างยิ่ง ถือเป็นพระเจ้าเลย บางคนถือเงินเป็นพระเจ้า บางคนถือเรื่องกามารมณ์เป็นพระเจ้า บางคนถืออะไรๆ เป็นพระเจ้า นี่คือคนตายแล้ว คนอย่างนี้คือคนตายแล้ว มันต้องรู้ว่าไอ้ชีวิตหรือความมุ่งหมายของชีวิตคือพระเจ้า เราเกิดมาเพื่อถึงสิ่งนั้น นี่ร่างกายนี่ก็คืออุปกรณ์อันหนึ่งเพื่อมีชีวิตอยู่ไปถึงนั่น อาหารการกินที่เราเสาะแสวงหามาก็เพื่อชีวิตร่างกายนี้อยู่ เพื่อเป็นอุปกรณ์เพื่ออยู่ เพื่อไปถึงนั่น ทีนี้ชีวิตรอบด้านเช่นลูกเมีย ถ้ายังไม่เคยมีก็ไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ก็มีเสียเพื่อให้รู้ เพื่อให้เข้าใจ แล้วก็มาร่วมเดินทางกันไปด้วยจิตใจที่สูงอย่างเดียวกัน มันก็ดีกว่าที่จะเดินคนเดียว แต่นี่เพราะมันความโง่ มันไปหลงในทางกามารมณ์เสียเอง มันก็ได้ไอ้เมียชนิดนั้นมา มันก็เลยจมปลักกันลงไป ๒ เท่า แต่ถ้าว่ามีความรู้ความเข้าใจถูกต้อง มันก็ช่วยกันให้เดินเร็วเข้า ๒ เท่าได้เหมือนกัน แต่คงจะหายาก
นั้นมองดูสิ มองดูต่อไป เพราะคุณจะต้องเผชิญกันเข้าแน่ แล้วตั้งปัญหาว่าชีวิตคืออะไร มันก็มีปัญหาแวดล้อมเข้ามามาก ว่าเงินคืออะไร ชื่อเสียงคืออะไร ลูกเมียคืออะไร ทรัพย์สมบัติคืออะไร ความเจ็บความไข้คืออะไร ทุกอย่างอันนี้คืออะไร ล้วนแต่ยังไม่รู้ทั้งนั้นหล่ะ รู้ก็รู้ผิดทั้งนั้นหล่ะ รู้อย่างโง่ๆ ไปเป็นอุปสรรคแก่การเดินทางไปหมด แม้แต่ความเจ็บความไข้อุปสรรคศัตรูมันก็เป็นครู มันเป็นเพื่อน มันช่วยทำให้เราฉลาด ช่วยให้เดินไปเร็วๆ ถ้าเรารู้จักมันอย่างถูกต้อง เดี๋ยวนี้มานั่งกลัวมานั่งร้องไห้ร้องห่มอยู่ด้วยเรื่องอุปสรรคศัตรูความเจ็บความไข้ นั่นมันคือคนโง่ ไม่รู้จักถือเอาประโยชน์จากทุกสิ่งที่ว่าผิดก็เป็นครู ถูกก็เป็นครู เจ็บไข้ก็เป็นครู สบายก็เป็นครู แล้วเจ็บไข้หล่ะเป็นครูดีกว่าความสบาย ความสบายทำให้ระเริง ความเจ็บไข้ทำให้คิดมาก แต่คนมันไม่ ไม่ ไม่ค่อยคิด ไปนั่งร้องไห้เสีย ไอ้ความสุขก็เป็นครู ความทุกข์ก็เป็นครู ความทุกข์เป็นครูดีกว่า มันสอนให้ไม่ประมาท ให้คิดมาก ความสุขทำให้ระเริง
แต่แล้วไม่มีใครหล่ะ ไม่มีใครชอบความทุกข์ ไม่มีใครชอบความเจ็บไข้ ไม่มีใครชอบอุปสรรคศัตรู ก็ไปบนบานศาลกล่าวว่าเราอย่ามีศัตรู เราอย่ามีความทุกข์ เราอย่ามีความเจ็บไข้คนโง่ที่สุด ที่มันไม่รู้จักครูในชีวิต ที่เป็นครูที่ดี ที่สอนกันดี สอนกันจริง สอนกันตรงไปตรงมา ไม่หลอกไม่ลวง ส่วนไอ้ความสุขความสบาย ความได้อย่างใจนั้นมันหลอกลวง เผลอเข้าก็หลอกลวงจนไม่มีทางที่จะเข้าใจได้
ผมก็รู้ว่าผมพูดนี้อาจจะเหนื่อยเปล่าๆ ก็ได้ คือคุณไม่ฟัง ฟังไม่เข้าใจ แล้วไม่สนใจ ไม่เอาไปคิดอะไร แต่ผมก็ต้องพูด เพราะมันเป็นเรื่องดีที่สุดที่ควรจะพูด ควรจะรู้ มันก็ต้องพูดไว้ทั้งนั้น ตามหน้าที่ของผม เพราะว่ามันจะต้องตายไปไม่กี่ปีนี้ มันก็ต้องพูดให้เหลืออยู่ในโลกนี้ ใครจะรับเอาหรือไม่รับเอาก็ตามใจ เข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตามใจ มันเป็นหน้าที่ที่ผมจะต้องพูดในฐานะที่ว่าเกิดมาก่อน เดินมาก่อน ลูบคลำมาก่อน มองเห็นสิ่งเหล่านี้มาก่อน มันก็ต้องพูด เพราะฉะนั้นจึงเอามาพูดเรื่อยๆ มาในลักษณะอย่างนี้ทุกวันอาทิตย์สำหรับผู้บวชใหม่โดยเฉพาะ
เดี๋ยวนี้ก็เรามาถึงข้อที่ว่า ชีวิตคือผู้สอน ชีวิตคือผู้เรียน ชีวิตคือบทเรียน ใครมองเห็นชัดและใช้มันได้ครบทั้ง ๓ สถานแล้วเป็นบุคคลประเสริฐ น่าอนุโมทนาสาธุการ เป็นมนุษย์ที่ไม่เป็นหมัน ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา ว่ากันอย่างนั้น นี่คือเรื่องที่ต้องพูด เป็นเรื่องๆ ไปเกี่ยวความรวบรัดให้ทันเวลาในระยะกาลอันสั้น สนองความต้องการของผู้มาบวชด้วยเวลาอันสั้น พอกันที