แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านมหาวิจิตรไม่มีอะไรหรือ หือ ไม่มีอะไรผมว่าเรื่อยไปนะ ว่าไปตัวกูของกูเรื่องเดียว เรื่อยไป ถ้าใครไม่มีอะไรนอกไปจากนั้นก็ว่าเรื่อง ตัวกูของกูนี่ เรื่อยไปเลย
นี้จะว่าเรื่องที่เขาถือกันว่าต่ำหรือเบื้องต้นที่สุดเสียบ้าง คือเรื่องให้ทาน เรื่องให้ทานนี่เขาถือกันว่ามันเป็นเรื่องเบื้องต้น คือ ทาน ศีล ภาวนา หรือทาน ศีล สมาธิ ปัญญานี่ ทานเป็นเรื่องเบื้องต้น แต่ความจริงมันก็ไม่ใช่จะเป็นเรื่องเบื้องต้นอย่างนั้นไปเสียหมด มันเป็นเรื่องเขาจัดกันตามความรู้สึกนึกคิดของเขาเอง ไม่ได้มองให้ลึก แล้วเป็นเรื่องปริยัติ ถ้ามองกันในเรื่องลึก คือมองกันที่ตัวธรรมะจริงๆ แล้วก็ ไอ้เรื่องเหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กหรือเรื่องตื้น เรื่องเบื้องต้น มันก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวกูของกูโดยตรง แล้วก็เพื่อนิพพานด้วยเหมือนกัน คืออย่างเดียว ทานอย่างเดียวมันก็เป็นนิพพานได้ ก็คอยฟังดูว่ายังไง
ไอ้พวกนักปริยัตินั้นก็เอาแต่ตามตัวหนังสือที่นักปริยัติด้วยกันเขียนกันไว้ มีลำดับว่า ทาน ศีล สมาธิ ภาวนา อะไรอย่างนี้ มันก็เลยมีเรื่องเป็นลำดับแล้วก็เรื่องมาก ต้อง ๓ เรื่อง ๔ เรื่อง นี้พอเราพูดว่า ทานเรื่องเดียวก็พอที่จะถึงที่สุดสูงสุดเป็นนิพพานได้ เขาก็ไม่เชื่อ เขาก็ไม่ยอมฟัง แล้วเขาก็เลยเหมาเอาด้วยว่าเรานี้บ้าบอพูดไม่จริง หลอกลวงอะไรนี้ เล่นสำนวน เขาจะว่าอย่างนี้ ที่จริงจะเรียกว่าเล่นสำนวนมันก็ได้ แต่มันเล่นสำนวนไปในทางที่ดีที่ถูก ที่ช่วยให้คนได้ประสบความสำเร็จเร็วเข้า นั้นเล่นสำนวนอย่างนี้ควรจะถือว่าเป็นเรื่องดีเรื่องควร ถูกต้องที่จะกระทำ คือเรียกว่าหาสำนวนใหม่พิเศษแปลกอะไรมาพูด ให้คนเข้าใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเร็ว มิฉะนั้นแล้วเขาต้องใช้เวลามาก หรือเหลวเลย ไม่ได้เลย นั้นวิธีที่ทำเป็นปาฏิหาริย์ เป็นอาเทศนาปาฏิหาริย์ดักใจคน นี่ก็เรื่องพูดเล่นสำนวนเหมือนกัน แต่เล่นสำนวนอย่างพระพุทธเจ้า อย่างลึกซื้ง คนจึงได้รับประโยชน์ บรรลุมรรคผลอะไรกันที่นั่น ตรงนั้น พูดจี้จุด แทงใจดำหรืออะไรก็ตาม มันถึงขนาด ไอ้สิ่งเหล่านี้มันเอามาเขียนเป็นตัวหนังสือไม่ได้ เรื่องอย่างนี้ นั้นไอ้นักปริยัติจึงไม่รู้ ไอ้นักปริยัติยิ่งรู้แต่ไอ้เรื่องที่เป็นระเบียบ เป็นแบบฟอร์ม เป็นอะไรไปหมด
เมื่อพูดว่าเรื่องทานก็ทำให้บรรลุนิพพานได้ก็ไม่เชื่อ นี่ถ้าพูดโดยอาศัยหลักเรื่องตัวกูของกูนี้ เราต้องมีหัวข้อว่าอย่างนี้ ว่าทานที่..การให้ทานที่ตัวกูของกูชอบทำอยากทำ ไม่ได้อะไรเลย ไอ้ทาน..การให้ทานที่ตัวกูของกูชอบทำอยากทำเต็มใจทำนี่ มันไม่ได้อะไรเลย แล้วไอ้ทานหรือการให้ทานที่ตัวกูของกูไม่อยากจะทำ ไม่อยากจะทำ ไม่ยอมทำนั้น คือสิ่งที่จะได้หมดหรือได้นิพพาน เขียนให้สั้นมันก็ว่า ไอ้..ไอ้ทานที่ตัวกูของกูอยากทำนี้ไม่ได้อะไร ไอ้ทานที่ตัวกูของกูไม่อยากทำนั่นแหละคือจะได้นิพพาน จะได้ผล เอ้า ทีนี้ก็มองเห็นกันได้บ้างแล้วว่า ไอ้ตัวกูของกูนี้เป็นตัวรากเหง้าหรือมูลเหตุให้เกิด โลภะ โทสะ โมหะ นั้นไอ้ตัวกูของกูมันก็ทำทานด้วยความโลภสิ ตัวกูของกูนี่ มันจะทำทานด้วยความโลภ เช่นว่าให้ทานออกไปได้เพื่อนคนหนึ่ง ได้เพื่อนสองคน หรือให้ทานออกไปได้หน้า ได้ตา ได้ชื่อ ได้เสียง หรือว่าให้ทานออกไปบาทเดียวได้วิมานหลังหนึ่ง นี่มันเป็นทานที่ตัวกูของกูชอบทำ แล้วมันไม่ได้อะไรเลย มันได้ความโลภมากขึ้น ได้ความยึดถือมากขึ้น มันก็ไกลวัตถุประสงค์ คือไกลความดับทุกข์ออกไปอีก นี่ถึงเรียกว่าไม่ได้อะไร เพราะว่าไกลความดับทุกข์ออกไปอีก ยิ่งไกลออกไปๆ คือว่า มันยิ่งเอาเข้ามาสำหรับโลภ สำหรับยึดถือมากขึ้น นั้นไอ้การให้ทานที่ตัวกูของกูชอบทำนี่มันไม่ได้อะไร คิดดูให้ดี
ทีนี้ไอ้ทานที่ตัวกูของกูไม่ชอบทำนี่ คือทานชนิดที่ให้ออกไปโดยไม่เอาอะไรกลับ ไม่เอาอะไรตอบแทน คือให้ออกไปเพื่อขูดเกลาตัวกูของกู การให้ทานที่แท้จริงไม่ได้ทำด้วยความโลภ ความอยาก ความอะไร มันให้ไปเพื่อกำจัดความตระหนี่ แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อให้หมดตัวกูของกู ดังนั้นตัวกูของกูจึงไม่ชอบทำ ไอ้ทานชนิดนี้ ถ้าทำได้ มัน มันได้หมด ได้หมด ได้ถึงที่สุดคือได้นิพพาน นั้นมันจึงเป็นทานที่ไม่รับเอาอะไรเข้ามาเป็นตัวกูของกู เป็นการให้ทานออกไป ไม่รับอะไรเข้ามาเป็นตัวกูของกู มันจึงได้นิพพาน ส่วนทานที่ให้ไปเพื่อแลกเปลี่ยน เหมือนที่พวกเทศน์สอนกันอยู่บนธรรมาสน์ ได้สวรรค์วิมานอะไรนี้ มันเพิ่ม มันเพิ่มตัวกูเพิ่มของกู มันทำให้ห่างไปจากความดับทุกข์ ไกลออกไปๆ คือไม่ได้อะไร เรียกว่า สำหรับเรา เราเรียกว่าไม่ได้อะไร ยิ่งเลวมาก ยิ่งเลวลง ไม่ได้หรือไม่ใกล้ต่อสิ่งที่ต้องการคือ นิพพานหรือความดับทุกข์สิ้นเชิง
นั่นหล่ะ พอจะเข้าใจได้ ไอ้การให้ทานที่ตัวกูของกูมันชอบทำ นี่ไม่ได้อะไรเลย การให้ทานที่ตัวกูของกูไม่สมัครจะทำ นี่มันได้หมด ได้ถึงที่สุด ได้ทั้งหมด ขึ้นชื่อว่าตัวกูของกูแล้ว มันให้ทานด้วยความโลภ เพื่อได้เพื่อน เพื่อได้ชื่อเสียง เพื่อได้หน้าได้ตา ได้สวรรค์วิมาน นี่เรียกว่ายิ่งไกลต่อนิพพาน คือไม่ได้อะไร หรือบางทีมันก็ให้ด้วยความประชดประชัน เพราะความโกรธนี่ เพราะมันไม่ได้อะไร หรือมันให้เผื่อๆ ไว้ด้วยความหลง นี้มันก็ไม่ได้อะไร ตัวกูมันเป็นเหตุให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง นั้นจะให้ทานด้วยความโลภหรือความโกรธหรือความหลงก็ตาม มันก็ไม่ได้อะไร
ทีนี้การให้ทานที่ตัวกูของกูไม่ชอบทำ ก็หมายความว่ามันต้องมีสิ่งอื่นทำสิ คือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับตัวกูของกู ก็คือปัญญา ปัญญาที่รู้ความไม่มีตัวกู ไม่มีของกูนี้มันทำ มันทำทานชนิดนี้ คือทานชนิดที่ตัวกูของกูไม่ยอมทำเด็ดขาด ไอ้สิ่งที่ตรงกันข้ามมันทำคือปัญญามันทำ แล้วมันทำเพื่อฆ่าตัวกูของกูเสีย นี้มันจึงได้หมด ถ้าทำทานชนิดนี้ มันเป็นนิพพานนะ มันเป็นการบรรลุมรรคผลนิพพาน ไม่ใช่เป็นเบื้องต้นของศีล ของสมาธิ ไอ้อย่างที่ว่าๆ กัน อย่างนักปริยัติเด็กอมมือนี่ นี่เราพูดกันในระดับนี้ เราจะเรียกไอ้อย่างนั้นว่า นักปริยัติเด็กอมมือ ที่เอาทานไปไว้เป็นเรื่องนิดเดียว อยู่ข้างหน้าศีล สมาธิ เป็นเบื้องต้น เป็นบุพพภาค ให้ทานไปสวรรค์ ให้อะไรนี่ เราเรียกว่า ปริยัติของเด็กอมมือ นี่มันไม่ต้องมีอะไรมาก ที่พูดกันสองสามคำบรรลุนิพพานก็หมายความว่า ปัญญามันฆ่าตัวกูของกูลงไปด้วยการให้ทาน ด้วยการบริจาค นี่เป็นข้อแรก เป็นตอนแรกที่อยากจะให้เข้าใจไว้ทีหนึ่งก่อน มันมีอยู่อีกตอนหนึ่งซึ่งยากกว่านี้ คือคุณต้องเข้าใจตอนนี้ก่อน ถึงสรุปว่าไอ้การให้ทานของตัวกูของกู หรือตัวกูของกูชอบให้นั้น ไม่ได้อะไรเลย แล้วการให้ทานที่ตัวกูไม่ยอมให้ ไม่สมัครจะให้นั้น คือจะได้หมด
ไอ้ที่ตัวกูของกูมัน..มันให้หรือมันชอบให้ ก็คือว่าให้ทานเพิ่ม ให้ทานเพิ่มความโลภหรือประชดความโกรธหรืออะไรก็ตาม มันก็ไม่ได้อะไรสำหรับพวกเราที่ต้องการจะดับทุกข์ มันเพิ่มความทุกข์ คอยหลงใหลในไอ้ผลของทานชนิดนั้น มันเพิ่มความทุกข์คือมันยืดระยะของความทุกข์ให้มากออกไป นี่ให้ทานด้วยปัญญาที่ฆ่าตัวกูของกูเสียด้วยการให้ทานนั้น ให้อะไรก็ให้ออกไปจริงๆ ให้มันหมดความยึดถือว่าตัวกูว่าของกูจริงๆ จะให้ชีวิตหรือจะให้สิ่งของหรือจะให้ไอ้บุค.. สัตว์ สังขาร เป็นที่รัก อะไรก็ตามใจ มันก็เป็นการให้ นี่มันเข้าใจไม่ได้สำหรับคนธรรมดา เช่น เรื่องการให้ทานของพระเวสสันดร การให้ทานที่เข้าถึงใน สสชาดก ชาดก ให้ทานชีวิต ส่วนกระต่าย (นาทีที่ 14.30) กระโดดในกองไฟ ให้พราหมณ์คนหนึ่งกินเนื้อ อย่างนี้มันเข้าใจไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่ให้ทานอย่างธรรมดา ของตัวกูของกู มันให้ก็ให้ปัญญาอีกแบบหนึ่ง ที่ไปดิ่วไปโด่งไปสูงสุดไปทางโน้น
ทีนี้เรามาดูไอ้เหตุการณ์ที่มันเป็นอยู่จริง ที่มันเป็นอยู่จริงๆ กับเรานั่นหล่ะ เราให้ทานชนิดไหนกัน ที่พูดว่าให้ทาน ให้ทานกันอยู่ พูดกันอยู่เสมอๆ นี่ มันให้ทานชนิดไหนกัน มันแต่แทบจะหาไม่พบ ให้ทานชนิดหลังมันจะหาไม่พบ มันมีแต่ให้ทานของตัวกูของกูทั้งนั้นแหละ ที่ให้กันอยู่เวลานี้ ที่สอนกันอยู่ในเวลานี้หรือให้กันอยู่ในเวลานี้ มันเป็นเรื่องให้ของตัวกูของกู กลับเข้ามาเป็นกำไรเพื่อตัวกูของกู อย่างนี้ทั้งนั้น ส่วนที่ให้เพื่อให้หมดไป ให้ตัวกูของกูผอมลงๆ แล้วตายไปนี้ไม่มีใครทำ นี่มันจะรวมทั้งพวกเราด้วย ก็ต้องระวังให้ดี คราวก่อนๆ โน้นก็เคยพูดมามากแล้วนะ อย่า อย่าลืมนะ แล้วก็อย่า อย่าโทษผมนะ ที่ว่าทำอะไรอย่ารับการขอบใจ ทำอะไรอย่าหวังที่จะได้อะไร ทำงานเหน็ดเหนื่อยเกือบตายหรือทำอะไรก็ตาม อย่าหวังที่จะได้รับอะไร อย่าหวังที่จะได้รับการขอบใจ หรือทำให้ใครคนนั้นคนนี้ เพื่อทำให้ความว่าง มันคือเรื่องนี้ ทำเพื่อให้ได้ความว่างหรือเพื่อ เพื่อความว่างก็ตาม มันเป็นการตัดลัดทีเดียวด้วยการทำ ด้วยการเสียสละ ด้วยการให้ทาน โดยไม่ต้องพูดถึงศีล สมาธิ ปัญญาอะไรก็ได้ คือมันมีเสร็จอยู่ในนั้น มันรวมเสร็จอยู่ในนั้น มันจึงให้ทานชนิดนึ้ได้ แม้ว่าเราจะไม่รู้จักหน้าตาของมัน เราก็ทำได้ ใช้ประโยชน์ได้ คือเรากินของบางอย่างโดยไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไร มันชื่ออะไร หรือทำขึ้นมายังไง ก็ยังกินได้แล้วก็มีประโยชน์เหมือนกัน นั้นการประพฤติอย่างนี้ไม่ต้องเรียกชื่อว่าอะไรหรอก ก็ได้ จะเรียกชื่อว่าให้ทานก็ได้ แต่ที่จริงมันรวมอะไรยิ่งกว่าทาน ตามธรรมดานะ มันมีปัญญามีอะไรเป็นยอดๆ รวมอยู่ในการให้ทานนั้น มันจึงตัดสินใจอย่างนั้นได้ หรือว่ามันจึงสละออกไปในลักษณะอย่างนั้นได้ นั้นให้ทานชนิดนี้ก็พอแล้วที่จะบรรลุนิพพาน แล้วไม่มีใครพูดเลย
ทีนี้ที่ให้ทานอยู่ด้วยความสมัครใจ ที่ทุกคนในโลกนี่ให้ทานอยู่ด้วยความสมัครใจ มันเรื่องตัวกูของกูทั้งนั้น ยิ่งไอ้พวกการเมืองนี่โกหกอย่างแสนที่จะโกหก ที่เขาว่า ให้ ช่วยเหลือ ให้ ช่วยเหลือ ให้ช่วยเหลือชาตินั้น ช่วยเหลือชาตินี้ ชาตินี้ช่วยเหลือชาตินั้น มันแสนจะโกหก คือมันให้ไปเพื่อซื้อเขา เพื่อซื้อเขาเอามาเป็นพวกเราเลย อย่างนี้มันก็ไม่ใช่ให้ทานอีกและ มันๆ มันเป็นการซื้อเพื่อน หรือว่ามันจะได้หน้า ได้ตา ได้เกียรติยศ ได้อะไรก็ มันก็เรื่องไม่ใช่ให้ทาน มันค้าขายชนิดหนึ่ง หรือเพื่อจะเอาผลประโยชน์ตอบแทนกลับมา เป็นสวรรค์เป็นอะไร มันก็เป็นเรื่องวัตถุ มีความหมายเป็นวัตถุ เป็นการค้าขายชนิดหนึ่ง นั้นดูให้ดีว่า ทั้งๆ โลกนี้กำลังไม่ให้ทานนะ คือพิจารณาดูให้ดีว่า ถ้าโลกนี้เวลานี้กำลังไม่มีใครให้ทานหรอก มันมีแต่การค้าขายทั้งนั้นหล่ะ ถึงพวกพุทธบริษัทนี้ก็ถูกหลอกให้ค้าขายแบบนี้ทั้งนั้น ทำบุญบาทหนึ่งได้สวรรค์วิมานได้อะไร นี่มันก็เรื่องหลอกให้ค้าขาย มันไม่ได้ขูดกิเลสนี่
ความประสงค์แท้จริงเขาต้องการให้ขูดกิเลส นี้มันไม่ยอมขูด เขาจึงต้องหลอก หลอกให้มันค้าขาย มันก็เป็นการได้ขูดกิเลสชนิดที่เรียกว่าไม่ ไม่มีผล ไม่รู้สึกตัว คือหลอกเขา มันก็คือหลอกตัวเองอีกทีหนึ่ง นั้นอย่ามาหลอกเขาหลอกตัวเองกันอยู่เรื่อย เมื่อให้แล้วค่อยมาเป็นให้ ให้ชื่อว่าบริจาค ให้ชื่อว่าให้ทานออกไปจริงๆ คำว่าบริจาคก็คือบริจาคตัวกู บริจาคของกูนี่ เรื่อยไปๆ จนกว่ามันจะว่าง นั้นพูดมามากกว่าสิบครั้งแล้วที่ว่าให้พยายามทำงานด้วยจิตว่าง เพื่อความว่าง กินของความว่าง ไอ้การทำงานนั้น คือการให้ทาน ให้ทานอย่างที่กำลังพูด เมื่อใครกำลังทำงานอยู่ด้วยจิตว่าง เพื่อผลงานแก่ความว่าง แล้วกินไปของความว่าง คนนั้นคือคนที่กำลังให้ทานอยู่อย่างที่กำลังพูดนี้ ที่กำลังไม่มีใครให้อยู่นั่น เราให้ หรือเราจะให้ หรือเราให้
แล้วเรื่อง..อันนี้เรื่องเดียวพอ พอสำหรับบรรลุมรรคผลนิพพาน ไม่จำเป็นที่ต้องพูดถึงเรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญาอะไรอีก คือมันเป็นทั้งศีล เป็นทั้งสมาธิ ทั้งปัญญา ทั้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อะไรอยู่ในคำคำนี้ ในคำที่บริจาคให้หมดไปเพื่อความว่างนี้ มันรวมอะไรหมด ให้เข้าใจกันเสียให้ถูกต้อง แล้วก็จะมีการให้ทานที่แท้จริงขึ้นในโลกนี้บ้าง นั้นมีแต่การค้าขาย พุทธบริษัทในเมืองไทยก็มีแต่การค้าขาย เมืองอื่นก็มีแต่การค้าขาย ศาสนิกในศาสนาอื่นก็มีแต่การค้าขาย มันไม่ได้รับความดับทุกข์ ไม่ได้รับนิพพาน ไม่ได้รับแผ่นดินพระเจ้า ไม่ได้รับอะไรตามที่พูดไว้ หรือชีวิตนิรันดรในที่สุด ไม่ได้รับ เพราะมันไม่มีการให้ทาน มันมีแต่การค้าขาย นั่นหนะคือทานชนิดที่ตัวกูของกูชอบให้ แล้วไม่ได้อะไรเลย ไอ้ทานชนิดที่ตัวกูของกูชอบให้จะไม่ได้อะไรเลย แล้วทานชนิดที่ตัวกูของกูไม่อยากจะให้ ไม่ประสงค์จะให้ ไม่ยอมทำ นี่ๆๆ จะได้มากได้หมด คือปัญญามันเป็นผู้ทำ แล้วมันทำทานจริงๆ แล้วมันก็ทำลายฆ่าไอ้ตัวกูของกูกันเสียจริงๆ เรื่องมันก็จบ เพราะมันได้การสิ้นไปแห่งตัวกูของกู ได้ความว่าง ได้นิพพาน จึงว่าได้หมด ทีนี้มันจะต้องนึกถึงข้อเท็จจริงเรื่อยไป อย่าให้เป็นแต่คำพูด ไอ้ที่เราให้ทานกันอยู่ด้วยคิดว่าจะให้ทานนี้ มันก็มีผลดี ถ้าให้ถูกต้องมีผลดีอย่างว่า ทีนี้มันมีสิ่งที่น่าคิดอีกสิ่งหนึ่งนะ ที่ดีกว่านั้นอีกคือความสูญเสีย ฟังให้ดีนะ ความสูญเสียที่สูญเสียไปเพราะเราไม่อยากจะสูญเสีย ถ้าคุณเขียน คุณต้องเขียนให้ถูกนะว่า ไอ้ความสูญเสียที่ได้สูญเสียไปในเมื่อเราไม่อยากให้สูญเสียหรือไม่ต้องการให้สูญเสีย อันนี้วิเศษมากในข้อที่ว่า ถ้ารู้จักทำให้ดีจะเป็นยอด..ยอดทานหรือว่าทานสูงสุดได้ ถ้าไม่รู้จักทำให้ดีนะ จะไม่เป็นอะไรเลย จะไม่ได้อะไรเลย จะไม่เป็นทานเป็นแทนอะไรเลย แล้วจะเป็นเรื่องความทุกข์ เข้าใจไหม ไอ้ความสูญเสียสิ่งที่เราไม่ต้องการจะสูญเสียนี่ ถ้าเราทำถูก เราฉลาด มันจะกลายเป็นยอดทาน ยอดกุศล ยอดบุญไปได้ แต่ถ้าเราไม่รู้จักทำ มันก็เป็นความทุกข์เท่านั้นหล่ะ เมื่อเราสูญเสียสิ่งที่เราไม่อยากจะสูญเสีย เสียเงิน เสียของ เสียลูก เสียเมีย เสียสามีภรรยา เสียไอ้ทุกอย่างที่มันไม่อยากจะสูญเสีย ถ้าทำให้ดี ให้ถูกวิธี จะเป็นยอดของทานในลักษณะที่เราว่ากันในที่นี้ที่แท้จริง แต่ถ้ามันเป็นคนโง่ มันทำไม่เป็น มันก็เป็นความทุกข์ แค่นั้นหล่ะ มันก็นั่งร้องไห้อยู่นั่นล่ะ ไม่มีอะไร ตรงนี้ต้องฟังให้ดี ถ้าฟังไม่ดีจะฟังผิด ว่า เพราะจำใจทำ ไอ้พวกนัก logic ไอ้พวกมีเหตุผลทาง logic ในโรงเรียนศึกษามา มันก็จะค้านเอา โอ้ยนั่นมันฝืนทำ มันจำใจทำ เช่นอะไรที่เสียไปแล้ว จะอุทิศเลย สละเลย นี้มันจำใจทำ ไม่ใช่ทาน นั้นมันพวกคนโง่ มันยิ่งเรียน มันยิ่งโง่ ยิ่งมหาวิทยาลัยหรือว่ายิ่งกว่ามหาวิทยาลัยมันยิ่งโง่ มันมีเทคนิคในการคิดทางตรรกวิทยาแต่มันก็ยิ่งโง่ มันมีปัญญาแบบ intellect แบบที่จะไปใช้จับปลาดุกด้วยน้ำเต้านั้นหละ ปัญญาชนิดนั้น มันมีมากสำหรับจะจับปลาดุกด้วยน้ำเต้า เรื่องนี้ไม่ใช่จำใจทำ ถ้าจำใจทำมันก็ไม่เป็นทาน ยกตัวอย่างง่ายๆ ก่อนว่า เราถูกเขาโกงเงินไปมากทีเดียวแหละ ทีนี้เราจะทำยังไง เราเสียท่าเขา เขา ถูกเขาโกงเงินไปจำนวนมาก เราจะทำยังไง เราจะฟ้องเขาก็ได้ เป็นความกันก็ได้ หรือเราจะนั่งร้องไห้ก็ได้ ไม่ฟ้อง หรือว่าเราจะทำพอเป็นพิธี ทำว่าช่างหัวมัน ให้มันเลยก็ได้ ฟาดเคราะห์ไปที อย่างนี้ก็ได้ มันก็ยังดีกว่านะ ยังดีกว่าเป็นความหรือไปนั่งร้องไห้อยู่ แต่ถ้ามันรู้จักทำ มันก็คือการพิจารณาให้มันเข้ารูปกันกับการเสียสละ มันคล้ายกับผสมโรงเสียสละไป แต่ว่ามันไม่ใช่ผสมโรงเพราะจำใจนะ มันเป็นโอกาส มันเป็นโอกาสที่จะทำได้มากถึงขนาดนั้น เพราะตามธรรมดาเราจะไม่ยอมให้เงินให้ทานใครตั้งหมื่นบาท สมมติว่า ธรรมดาเราจะไม่ยอมหยิบเงินบริจาคทานไปหนึ่งหมื่นบาทหรอก รู้จักหายาก ถ้าสำหรับคนธรรมดานะ ถ้าคนธรรมดาทั่วๆ ไปนี่ ถ้าพวกเศรษฐีก็ต้องพูดเป็นล้านบาทหรือสิบล้านบาท มันยากที่มันจะหยิบเงินบริจาคไปสิบล้านบาท แต่นี่ถ้าว่ามันถูกโกงโดยวิธีใดก็ตาม มันถูกโกงอย่างคนธรรมดาถูกโกงหมื่นบาท หรือพวกเศรษฐีถูกโกงสิบบาท..สิบล้านบาท ร้อยล้านบาทก็ตาม ความรู้สึกมันพอๆ กันแหล่ะกับชาวบ้านถูกโกงหมื่นบาท มากมายอยู่
มันก็คงจะยากนะที่จะเอาให้กลายเป็นยอดทาน คือบริจาคเงินหมื่นบาทได้ แต่ตามธรรมดาเราไม่ยอมบริจาค เดี๋ยวนี้มันต้องบริจาค มันดีอย่างนี้ เดี๋ยวนี้มันเป็นโอกาส หรือมันเป็นโอกาสให้ได้ทำการบริจาค เราต้องฉวยโอกาสอันนี้ ให้ถือว่าการสูญเสียนั้นมีมาเพื่อให้เราได้บริจาคทานที่สูงสุด ที่เราไม่อาจจะบริจาคได้ในตามธรรมดาหรือตามปรกติ ตามปรกติเราไม่เคยให้เงินใครหมื่นบาท แต่บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องคิดให้ดีที่สุด ในแง่ที่ว่าไอ้สิ่งเหล่านี้มันจะเป็นของเราไม่ได้ จะถือไว้เป็นของเราไม่ได้ จะต้องไปตามเหตุ ตามปัจจัย ตามธรรมชาติ นั้นให้มันไปตามเหตุ ตามปัจจัย ตามธรรมชาติ จนกระทั่งไม่มีความรู้สึกเสียดาย ไม่มีความรู้สึกฝืน ฝืนอารมณ์หรือว่าจำใจอีกต่อไป เป็นโอกาสให้ได้สิ่งที่มากมาย ที่ดีที่สุด คือการเสียสละที่ไม่อาจจะเสียสละตามปรกตินี่ นั่นหล่ะลองนึกดูหรือว่าเข้าใจไว้ หรือว่าเตรียมไว้เผื่อมันจะมีอะไรเกิดขึ้น บางทีคนอย่างชั้นเราๆ นี้จะไม่ต้องถึงหมื่นบาทหรอก หรือพระเณรจนๆ นี่ ไอ้ของอะไรที่ชอบใจมากๆ สูญไปหายไปนี่ ของใช้ไม้สอยอะไรก็ได้หายไปนี่ ของที่รักมากที่ถูกใจมากหายไป จะต้องถือเป็นโอกาสที่จะให้ได้ทำทานแบบที่ว่านี้ เพราะธรรมดาไม่ยอมให้ เดี๋ยวนี้ธรรมชาติมันบีบบังคับเข้ามาครึ่งหนึ่งแล้ว ว่าแกจะให้หรือไม่ให้ ถ้าแกไม่..ไม่ๆ ทำให้ถูกต้องในการให้ ก็แกเอาความทุกข์ไป แกรับเอาความทุกข์ไปก็แล้วกัน ความเสียดาย ความทุกข์ ความโกรธ ความพยาบาท ความ..อะไรหม่นหมองไปต่างๆ เกลียดน้ำหน้ามัน ลักของกูไปอะไรทำนองนี้ โกงของกูไป นี้ถ้าคนหนึ่งทำถูกวิธี มันก็คือเป็นโอกาสแล้วที่จะศึกษา มันต้อง..ต้องตั้งต้นด้วยว่าเป็นโอกาสแล้วที่จะศึกษา แล้วศึกษาให้เห็นในข้อที่ว่า เอ้อ มันจริงอย่างเขา มันไม่มีอะไรจะอยู่กับเราได้เป็นการถาวร เป็นตัวกูของกู ที่เป็นนิจจัง ถาวร แล้วพยายามทำจิตใจให้บริจาคกันไปให้ได้ สมัครรักเอาความสูญเสียมาเป็นการให้ทานจนได้ อย่าเอามาเป็นความทุกข์ นี่เสียเงินเท่านี้มันก็อย่างหนึ่งแล้ว ทีนี้มันถ้าเสียของที่มันรักมากกว่านั้น สามีภรรยาหรือว่าอะไรก็ตาม มันก็ต้องทำวิธีเดียวกัน มันก็ทำยากยิ่งขึ้นไปอีก แต่ถ้าทำได้มันก็ดี ถ้าทำได้จริง มันก็เป็นพระอรหันต์...(นาทีที่ 31:30)
เอาละเรา ทีนี้เราจะยอมถือเอาตามอรรถกถาบ้าง บางทีเราก็ไม่ถือเอาตามอรรถกถา อย่างเรื่องในอรรถกถาธรรมบทเรื่องอะไร..เรื่องปฏาจาราหรืออะไรนี่ ที่มันผัวตาย ลูกตาย อะไรตาย ไฟไหม้บ้านแล้วมันเป็นบ้า แก้ผ้าไปหาพระพุทธเจ้า นี่มันเพราะไม่ยอมรับ ไม่ยอมรับไอ้การสูญเสียนั้นว่าเป็น เป็นการสิ้นไปแห่งตัวกูของกูเหมือนที่เรากำลังพูดนี่ มันจึงเป็นบ้า มันจึงเป็นบ้าขนาดที่ว่าแก้ผ้าเข้าไปในโรงธรรม แต่พอพระพุทธเจ้าพูดโดยที..ที่ๆ ไอ้ๆ ๆ พวกนี้มันจะเรียกกันว่าเล่นสำนวนนั้นหละ เล่นสำนวนตามแบบพระพุทธเจ้านี่ มันหายบ้าเลย มันเป็นพระอรหันต์ที่นั่น มันหายบ้าแล้วมันเป็นพระอรหันต์ที่นั่น นี่มันก็เนื่องมาจากการสูญเสีย เมื่อยอมรับเอาการสูญเสียถูกวิธี มันก็เป็นการบริจาคตัวกูของกูออกไปและทำให้เป็นพระอรหันต์ เมื่อมันรับไม่ถูกวิธี มันก็เป็นบ้า ไอ้เรื่องนี้จะจริงหรือไม่จริงก็ตาม แต่มันมีเหตุผลอยู่อย่างนั้นแหละ ถือว่าเป็นเรื่องจริงก็ได้ ไม่เสียหายอะไร แม้จะเป็นเรื่องแต่งขึ้น มันก็เป็นเรื่องมีเหตุผลที่ตรงตามธรรมชาติ แต่นี่เขาถือว่าเป็นเรื่องจริงกันทั้งนั้น นี่เราเอามาเป็นหลักสำหรับศึกษาข้อนี้ ไอ้ทานชนิดที่ตัวกูของกูไม่ยอมให้นั่นหนะมัน..มันไม่ได้อะไรเลย ไอ้ทานชนิดตัวกูของกูไม่ยอมให้นั่นมันได้มาก ไอ้ที่ตัวกูของกูมันสมัครจะให้นี่มันไม่ได้อะไรเลย แล้วจะทำให้เป็นบ้า
ที่เราควรจะมองดู ไอ้ความสำคัญในข้อนี้คือข้อที่ว่า ไอ้เรื่องที่จะต้องสูญเสียนี้มันเป็นของธรรมดา ในโลกนี้เต็มไปด้วยการสูญเสีย แทบว่าเราต้องมีอะไรสูญเสียอยู่ทุกวันๆ ไม่มากก็น้อย แล้วก็มีการสูญเสียมากขึ้นตามส่วนของการงานที่กระทำอยู่ อย่างๆ ถ้าคนเขาทำงานใหญ่โตกว้างขวาง เขาก็มีส่วนที่จะสูญเสียเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้าน แล้วก็ถ้าเขามีอะไรมาก มีอะไรที่เป็นที่รักที่พอใจมาก เขาก็มีส่วนที่จะสูญเสียไอ้ที่จะขยี้หัวใจเขาได้มาก นี้ว่าเรามันแทบจะไม่มีอะไร สูญเสียมัน เราก็สบาย จะถืออย่างไรก็ได้ จะถือว่ามันต้องเป็นธรรมดาที่ว่ามันจะต้องมีการสูญเสียสำหรับทุกคน อย่างไม่มีสมบัติอะไรนอกจากต้นไม้ปลูกไว้ มันก็ต้องมีการสูญเสีย บางต้นมันก็ถูกแมลงกัดตาย อะไรอย่างงี้ มันสูญเสียไป อย่างเราเลี้ยงปลา บางทีปลาตัวที่เราอยากจะดูมันก็ตายไป มันมีการสูญเสียอย่างนี้อยู่เป็นประจำ กระทั่งสูญเสียมากขึ้น เดี๋ยวของหาย เดี๋ยวอะไรนั่น เดี๋ยวปลวกกัดหนังสือทีเดียวเยอะแยะ เดี๋ยวไอ้หนูกัด เดี๋ยว...เรื่อยกันมาจนถูกขโมยหรือว่าถูกอย่างอื่นๆ มันมีอยู่เป็นประจำ ประจำคน ประจำวัน นั้นต้องพูดว่า โอกาสที่จะบรรลุพระอรหันต์นั้นมีอยู่เป็นประจำวัน ประจำคน ประจำวัน มีอยู่เสมอ มีอยู่พร้อม แต่คนโง่ๆ เหล่านี้ไม่ยอมรับเอาโอกาสนี้ รับเอามาเป็นความทุกข์ทั้งนั้น รับเอามาแต่สำหรับจะเป็นตัวความทุกข์ ไม่รับเอามาสำหรับเป็นโอกาสที่จะดับทุกข์ นั้นมีอะไรสูญเสีย มันก็ด่ากัน ร้องไห้กัน อะไรกันไปตามเรื่องตามราว หรืออย่างน้อยต้องมาอึดอัดกลัดกลุ้มอยู่ นอนไม่หลับ แล้วก็ไม่ได้อะไร ก็เลิกกันเท่านั้นเอง นั้นถ้าทำให้ถูกวิธีตามแบบของพระพุทธเจ้าหรือพุทธศาสนานี่ มันต้องให้เป็นที่แน่นอนว่าทุกคราวที่มีการสูญเสียน่ะ จะต้องมีอะไรเพิ่มขึ้นในทางที่ดี ที่สูง ที่ถูกต้อง คือฉลาดขึ้นก็แล้วกัน แล้วทุกคราวที่มีการสูญเสียจะมีความฉลาดขึ้น ใช้ได้ ก็หมายความว่าให้มีกิเลสเบาบางลงไปทุกคราวที่สูญเสีย อุปาทานว่าตัวกูว่าของกูนี่จะเบาบางลงไปได้ทุกคราวที่มีการสูญเสีย
ทีนี้ถ้าไม่ทำอย่างนั้น มันก็กลับตรงกันข้าม มันจะเพิ่มขึ้นทุกคราวที่สูญเสีย เป็นๆ คนขี้โมโหโทโส เป็นคนโรคจิต เป็นคนโรคประสาท เป็นคนบ้า เหมือนกับไอ้ๆ นางคนนี้ก็ได้ในที่สุด นั้นดูไอ้เด็กหรือคนที่มันเป็นบ้า เที่ยว..เที่ยวเป็นบ้าอยู่นี่ ถามเรื่องราวดูเถิด มันมาจากไอ้การที่ไม่ยอมรับโอกาสอย่างนี้ทั้งนั้น มันรับมาเพื่อจะเป็นทุกข์ มันจึงได้แต่ไอ้อย่างนี้ ไม่มีใครสอนให้ ถูกวิธีที่จะให้รับมาในฐานะเป็นการศึกษาสำหรับฉลาด แล้วมันเป็นบาปกรรมของคนสมัยนี้นะ ของคนสมัยนี้นะ ที่มันไปหันหลังให้ของดีๆ ของบรรพบุรุษของไทยเรา ไปเดินตามก้นฝรั่ง ไม่มีการศึกษาความคิดไอ้ๆ ความต้องการอย่างฝรั่ง ไปเดินตามก้นฝรั่ง แล้วก็ละทิ้งไอ้ของดีๆ ของไทยโบราณของเรา นั้นจึงได้เป็นบ้ามากขึ้นๆ เป็นโรคจิตมากขึ้น เป็นโรคเส้นประสาทมากขึ้น เพราะว่าวัฒนธรรมหรือศาสนาของเราที่มาเป็นวัฒนธรรมนี้มันมีแต่การให้ ต้อนรับในลักษณะที่ถูกต้อง ที่ไม่เป็นบ้า คือเมื่ออะไรสูญเสียไป ปู่ย่าตายายของเราคิดไปทำนองว่า ชาติก่อนเราเคยเอาของเขา หรือว่าเราไม่ได้ทำบุญไว้ มันไม่อยู่กับเรา มันก็เลิกกันสิ มันไม่เป็นบ้าสิ เดี๋ยวนี้เด็กสมัยใหม่ไม่คิดอย่างนี้นะ พอสูญเสียก็น้อยใจอย่างนั้นอย่างนี้ โมโหโทโสขึ้นมา จะแก้แค้นหรือว่าจะเป็นความหรือจะอะไรก็ตาม ไม่คิดอย่างนี้ อย่างดีที่สุดมันก็คิดว่าโชคไม่ดี เทวดาไม่ช่วย ไปอ้อนวอนเทวดา ไปดูโชคดูอะไรไป น่ะมันโง่ โง่อย่างดีที่สุดของมัน หรือว่ามันก็โกรธ หรือมันก็ต่อสู้ กระทั่งมัน มันฆ่าตัวตายในที่สุดเมื่อทำอะไรไม่ได้ มันยอมฆ่าตัวตาย นี่เพราะเด็กๆ ของเราหันไปหาวัตถุนิยมเหมือนพวกฝรั่งที่เล็งเอาวัตถุเป็นหลัก ไม่เอาเรื่องจิตใจเป็นหลัก เรียกว่า วัตถุนิยม นี่ ทางวัตถุที่ได้ ได้กินได้ใช้ได้อะไรนี่เป็นหลัก ถ้าได้วัตถุก็ดี ถ้าไม่ได้ก็ไม่ดี นั้นจึงไม่ยอมให้อภัย ไม่ยอมสลัดออกไป
เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นก็ ไม่เป็นไรๆ นี่มันดีนะ ไอ้ไม่เป็นไรนี่มันดี คือไม่โกรธ คือไม่จองเวร ไม่ต้องการตอบแทน นี่สมมติว่าเมื่อเกิดการสูญเสียอย่างหนักเช่น คนที่รักอย่างยิ่งตายลงนี่ ลองคิดดู พอ พอมันมีการสูญเสียอย่างหนัก อะไรก็ตามนะ ปู่ย่าตายายของเราเคยพูด หรือเคยสอนให้ๆ ๆ ..ให้นึกให้คิด ว่ากรรมนะ ว่ากรรม ว่ามันกรรม มันเป็นเรื่องของกรรม คือผลของกรรมหรือเป็นกรรม พวกที่ถือศาสนาอื่นก็เอาพระเจ้า God ร้องออกมาว่า God คือพระเจ้า พระเจ้าช่วย หรือว่าพระเจ้าต้องการ หรือพระเจ้าบังคับให้เป็นอย่างนั้นน่ะ เขา เขานึกถึง God แต่พวกเรานี่นึกถึงกรรม ไอ้คำพูดไอ้คำเดียวที่จะหลุดออกมาคือกรรม คล้ายกับว่า ทำอะไรไม่ได้ แก้ไขอะไรไม่ได้ ต้องไปตามกรรม แล้วมันก็เลิกกัน มันก็ไม่เป็นบ้า นี่ธรรมเนียมของคนไทยที่วิเศษที่สุด ไอ้การที่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นแล้วหลุดออกมาจากปากว่า มันเป็นเรื่องกรรม มันเป็นกรรมของเราหรือว่ากรรมของเขาก็ตาม เป็นเรื่องกรรม นั้นไม่ต้องเสียใจ และก็ไม่ต้องดีใจด้วย แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่อย่างนั้นเสียแล้ว เด็กๆ เดี๋ยวนี้ไปตามสมัยใหม่ ไป..ไปบ้าอย่างพวกสมัยใหม่ เป็นเรื่องต้องต่อสู้ เป็นเรื่องจะต้องสู้จนตายหรือว่าจะนั่งร้องไห้ก็ยังดีกว่า ยังดีกว่า มันมีๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ..มีความพอใจที่จะนั่งร้องไห้ ไอ้คำว่า กรรม นั้น คือคำว่า ไม่เป็นไร หรือช่าง..หรือว่า ช่างมันเถิด หรือไม่เป็นไร หรืออะไรก็ตาม ช่างเถิด ไม่เป็นไร นี่ มัน..มันหมายความว่ามันมองเห็นว่าเป็นกรรม เพราะมันก็ต้องบอก ช่างเถิด ไม่เป็นไร หยุดกัน เรื่องนี้ไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องมีอะไร นี่มันทำให้คนนั้นดีขึ้นๆ ในทางธรรมะโดยไม่รู้สึกตัวนะ ทำให้คนเหล่านั้นสูงขึ้นๆ ในทางธรรมะโดยไม่รู้สึกตัว ขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมไทยของเราแต่โบราณมันดีอย่างนั้น
แต่เดี๋ยวนี้คนไม่ทำ ไม่..ไม่เอาอย่างนี้ ไปเอาอย่างสมัยใหม่ นิยมฝรั่งซึ่งนิยมวัตถุทั้งนั้น ได้วัตถุแล้วเป็นดี ไม่ได้ต้องต่อสู้ ต่อสู้ไม่ได้ ฆ่าตัวตาย มันก็ไม่มีอะไร มันเป็นชีวิตเหมือนกับแมลงเม่า เป็นของที่เกิดมาเหมือนกับแมลงเม่า ไม่มีความหมายอะไร ตายได้ง่าย ไม่ได้ใช้ให้มันเป็นประโยชน์ที่สุดได้เลย เมื่อเกิดเรื่องน่าเศร้า พวกฝรั่งเขาร้อง อะลาส อะแลส อะไรก็ตามใจเขา ไม่รู้ว่าอะไร ผมก็ไม่รู้ว่าอะไร แต่เราเรียกว่า เรา..เราร้องว่า พุทโธ คำว่า โธ่ น่ะคือคำว่า พุทโธ นี่ไอ้เด็กบ้าๆ มันไปเปลี่ยนเป็น พิโธ่ พิธ่า อะไรเสียนี่ เป็นพี่โธ่ พี่ถัง อะไรไปเสีย ไอ้คำเดิมคำเขา พุทโธ พุทธัง อนิจจัง อนัตตา นั่นมันอย่างนั้น เมื่อเกิดอะไรที่น่าเศร้าขึ้นมา ไอ้เด็กบ้าๆ มีแต่ พี่โธ่ พี่ถัง อนิจจัง อนัตตา อะไรมันก็ จนไม่รู้ว่าอะไร เป็น พี่โธ่ พี่ถัง ไป นั้นมันเสียเวลา เสียทีที่ปู่ย่าตายายเขาทำไว้ดี
เมื่อมีเรื่องเศร้าเกิดขึ้น มันต้อง พุทโธ พุทธัง หรืออนิจจัง อนัตตา พวกชนชาติอื่นที่เขาถือพระเจ้าหรือเขาถืออะไร เขาต้อง..ต้องพร่ำถึงพระเจ้า พร่ำถึงโชค ถึงเทวดา ถึงกรรม เอ้ย โชคชะตาไอ้นั้นน่ะ ไอ้เรานี้พร่ำถึงกรรม พร่ำถึงพุทโธ ซึ่งมีความหมายถึง ผู้รู้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พุทโธ พุทธัง อย่า..อย่าไปเปลี่ยนเป็น พิโธ่ พิถัง เสียสิ มันก็โทษใครไม่ได้ เรียนจนไม่รู้ว่าธรรมเนียมเดิมของบรรพบุรุษปู่ ย่า ตา ยายเป็นอย่างไร ใครรู้บ้างว่า พี่โธ่ พี่ถัง มันหมายความว่าอะไร เพียงแต่คำว่า โธ่ๆ เฉยๆ มันก็ไม่ค่อยจะรู้ มันเพี้ยนมาจากพุทโธ เหลือแต่ โธ แล้ว โธ มันจะเป็น โธ่ แล้วเป็น โถ เป็นอะไรไปเลย แล้วที่เอามาใช้เป็นไอ้เรื่องชวนหัว เรื่องตลกคะนอง เรื่องอะไรไปเลย ไอ้ของวิเศษก็สูญหายหมด มันก็สมน้ำหน้าไอ้คนเหล่านี้ มันต้องมีแต่ความทุกข์ เพราะมันไปทำลายสิ่งที่มัน เขาทำไว้ดี
ที่พูดมานี่เดี๋ยวจะเลือนจะเฟือนกันหมด นี่พูดให้รู้ว่าปู่ ย่า ตา ยาย บรรพบุรุษทำไว้ดีแล้ว ถ้ามีอะไรเกิดเป็นการสูญเสียอย่างหนัก พูดเป็นกลอน ลูกตายเสีย เมียตายจาก อะไรอย่างพระเทศน์นะ ให้ต้อนรับสิ่งนี้ด้วยคำนี้ คือ กรรม หรือ พุทโธ พุทธัง อนิจจัง อนัตตา อะไรก็ตาม มันเป็นการรับมาเพื่อเป็นการให้ทาน รับมาเพื่อเป็นการบริจาคอย่างใหญ่หลวง สิ้นสุดแห่งตัวกูของกูได้ ไม่รับเอาเข้ามาเพื่อเป็นทุกข์ เพื่อร้องไห้ เขาทำไว้ดีแล้ว ไม่ให้เสียโอกาส นั้นว่าตกกระไดพลอยโจนนี่ ตกกระไดหรือพลอยกระโจน อะไรก็ตาม ไม่ใช่เป็นคำที่เลวหรือเป็นคำที่แสดงความโง่ เขาแสดงความฉลาด เมื่อมันต้องตกแล้วมัน..ให้มันถึงเสียเลย โดยวิธีที่ถึงเสียเลย เมื่อใดก็ตามไม่ยอมลงมา มันไม่ให้ทาน มันไม่ยอมลงมา ทีนี้พอมันตกกระได มัน..มันต้องลงแน่แล้ว เราก็ต้องกระโจนลงไปให้ถูกวิธี ให้ถึงเสียเลยโดยปลอดภัย เมื่อมีการสูญเสียอย่างหนักเกิดขึ้นแล้ว ก็คือกระโจนให้ถูกวิธี ให้กลายเป็นการบริจาคทานที่สูงสุด ให้รู้เรื่องการเสียสละที่สูงสุด มันก็เลยได้ผลที่แท้จริงมากมายได้ในขณะนั้น นั้นถ้าจะเอาเรื่องปฏาจาราเป็นหลัก ก็แปลว่าเขาก็ต้องลงทุนด้วยผัว ด้วยลูก ด้วยบ้าน ด้วยเรือน ด้วยญาติพี่น้องต่างๆ หมดนั่นเลยเพื่อซื้อไอ้ ทางหลุดพ้นเป็นพระอรหันต์อย่างเดียว ใน..ในตอนสุดท้ายเขาซื้อมันได้เพราะว่าเขากลับโดยการช่วยเหลือของพระพุทธเจ้า เมื่อเขาไม่ยอมซื้อมัน เขาเป็นบ้า นี่คือทานที่ตัวกูของกูไม่ยอมทำ นี่ไอ้ทานที่ตัวกูของกูยอมทำก็มีแต่จะเอา เอาแล้วก็เป็นบ้า มันก็ได้บ้ามาแล้วสิ นี่ไอ้ทานของตัวกูของกูจึงไม่ได้อะไร เรียกว่าไม่ได้อะไร อย่างได้มาก็คือความบ้า หรือความตายในที่สุด ส่วนไอ้ทานของปัญญา ที่ปัญญามันทำเพื่อเข่นฆ่าตัวกูของกูนี้มันได้หมด ได้ทั้งหมด แต่มันเป็นทานที่ตัวกูของกูไม่ยอมทำ
นั้นท่านผู้ใดคนใดคนหนึ่งที่ชอบสงวนไว้ซึ่งตัวกูของกู ยกหูชูหางเร่อร่าอยู่นี่ คิดเรื่องนี้ให้มาก ระวังเรื่องนี้ให้มาก เพราะว่าถ้ามีตัวกูของกูเป็นเจ้าเรือนอยู่อย่างนี้แล้ว มันไม่ยอมทำไอ้อย่างนั้นหรอก มันจะทำแต่ไอ้สิ่งที่ทำให้บ้า ให้ตายในที่สุดแหละ มันไม่ยอมรับเอาไอ้การให้ทานที่ถูกต้อง แล้วก็เพื่อสิ้นไปแห่งตัวตน แล้วก็เพื่อความว่าง ให้พิจารณาดูให้ดีแล้วจะได้ค่อยๆ ..ค่อยๆ หมดอาลัยในตัวกูของกู จะได้ปล่อยให้มันตายไปเสียบ้าง ให้มันร่อยหรอไปด้วยการให้ทาน ให้ทานอะไร ก็ให้ทานตัวกูของกูนั่นแหละออกไป ใครเป็นผู้ให้ทาน ก็สิ่งที่ตรงกันข้ามกับตัวกูของกู ก็คือปัญญา คือความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องนี่มันให้ ก็พูดกันหลายสิบครั้งแล้วว่าเมื่อใดตัวกูเข้ามา ปัญญาออกไป เมื่อใดปัญญาเข้ามา ตัวกูออกไป มันอยู่อย่างนี้ นั้นทานที่ทำในขณะมีตัวกูของกูมันก็เพื่อบ้า ทานที่ทำในขณะที่ปัญญามี ตัวกูออกไปแล้ว นี่ ทานนี้ก็เป็นไปเพื่อตัดกิเลส เพื่อถึงที่สุดแห่งความดับทุกข์
นั้นขอให้ฝึกฝนอยู่เป็นประจำวัน ทุกเวลานาที ทุกชั่วโมง ไม่ว่าใครมีหน้าที่ทำอะไร ถ้าทำอะไรลงไปแล้วก็ขอให้ทำเพื่อทำลายตัวกูของกู หรืออย่ารับเอาอะไรมาเป็นตัวกูของกู เพื่อตัวกูของกู แม้แต่คำว่า ขอบใจ จากใครก็ตาม ให้ละนิสัยนั้นกันเสียที ละวัฒนธรรมบ้าๆ เสียที ที่จะทำอะไรก็ต้องเอาตอบแทน นี่ เลิกกันเสียที ถ้าเขาขอบใจ ก็ขอบใจ ไอ้เราจะขอบใจเสียอีก เพราะว่าเขาทำให้เราได้รับสิ่งที่มีประโยชน์สูงขึ้นไปกว่า เราไม่ต้องรับความขอบใจจากคนให้อะไรแก่เรา หรือใช้ให้เราทำอะไร เราก็จะขอบใจเขาว่า เขาได้ทำให้เราเกิดโอกาส มีโอกาสที่เราจะทำบทเรียนอันนี้ นั้นเราควรจะขอบใจขโมยหรือว่าขอบใจคนที่มันทำให้สูญเสีย เพราะว่าเขาได้มาทำให้เกิดโอกาสที่เราจะทำบทเรียนนี้ ถ้ามีเรื่องสูญเสียเกิดขึ้น ถูกขโมยก็ตาม ถูกอะไรก็ตาม มันก็ควรจะขอบใจไอ้คนนั้น นี่คือวิธีที่จะทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า ทานหรือการบริจาคตัวตนเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพานในโอกาสอันกระทันหัน ในโอกาสพริบตาเดียว ก่อนแต่ที่จะตายเสียหรือก่อนที่จะเป็นบ้าเสีย เพราะบางอย่างมันจะต้องเป็นไปถึงต้องเสียชีวิตนะ คือว่าเรื่องอะไรมันเกิดขึ้นที่จะทำให้เราต้องตาย เราก็จะต้องเตรียมตัวพร้อมที่จะสลัดออกไป ก่อนการหายใจครั้งสุดท้ายคือก่อนการตาย สมมติว่ามีใครมายิงเราโป้งเข้า เราจะต้องตายในสองสามนาที นี่ก็ไม่มีปัญหาอะไร มันจะต้องสละทุกอย่าง ไม่ต้องไปนึกถึงว่าใครยิง หรือว่ายิงทำไม หรือว่าจะต้องแก้แค้นตอบแทน หรือว่าจะกลัวตาย หรือจะเสียใจ หรือจะเป็นทุกข์ นี่มันไม่..ไม่จำเป็นแล้ว ต้องถือเป็นโอกาสสำหรับสลัดออกไป ซึ่งตัวกูของกูในอันดับสุดท้าย อันดับสูงสุด ลำดับสุดท้าย แล้วถ้า..ถ้าเก่งกว่านั้น ก็ควรจะทำไปอีกหน่อยหนึ่ง อย่างมหาตมะคานธี พูดเมื่อถูกยิง ว่าอย่าเอาความผิดแก่เขาเลย เมื่อมหาตมะคานธีถูกยิง พูดว่าอย่าเอาความผิดแก่เขาเลย แล้วตาย แต่คนข้างหลังจะปฏิบัติตามหรือไม่ ไม่ทราบนะ แต่นี่ ความประสงค์ของมหาตมะคานธี คือบุคคลที่เสียสละไว้ก่อนหน้าแล้ว ไอ้คนชนิดนี้ คนที่มีจิตใจชนิดนี้เป็นคนที่เสียสละไว้ล่วงหน้าแล้ว ก่อนหน้าแล้ว ชีวิตก็ตาม อะไรก็ตามไม่มี.. ไม่มีที่จะคิดค่าเป็นของกูตัวกู มันจึงนึกถึงคนอื่นจะถูก..ถูกเขาจับไปลงโทษ แล้วว่าอย่าไปเอาความผิดกับมันเลย นั้นเขาทำได้ถูกต้องที่สุดแล้ว ทำตามวิธีนั้น
เดี๋ยวนี้ใครมามองหน้าเท่านั้นแหละ ฮึ นี่ไม่ใช่ผมแกล้งพูดนะ เดี๋ยวนี้เพียงแต่ใครมามองหน้านะ มันแย่แล้วนะ มันตัวกูของกูยกหูชูหางร่าขึ้นมา แล้วจะชกปากละ นี่มันๆ ๆ ..มันยังไกลอยู่เท่าไหร่ คิดดู มันยังไกลอีกมาก นั้นการที่ได้บวชเข้ามาเป็นพระเป็นเณร ต้องระวังให้ดีในเรื่องนี้ เตะสั่งสอนมันสักกะที นี่ไม่ใช่คำพูดของพระของเณร เป็นคำพูดที่เลวที่สุด เกินกว่าจะเป็นพระเป็นเณร เพราะเรากำลังพูดถึงความเสียสละ ความให้อภัย ไม่มีเหลือ และถือโอกาสนั้นเรียน..เป็น ทำลายไอ้ตัวกูของกู นั้นถ้ามันมีใครมามองหน้าอย่างเหยียดๆ หยามๆ นี่ คุณจะทำยังไง คุณจะปฏิบัติอย่างที่ผมว่านี่ยังไง คุณจะถือเอาเป็นโอกาสสำหรับปฏิบัติเพื่อทำลายตัวกูของกูได้ยังไง แหมถ้าทำได้ มันวิเศษมากนะ เพราะมีคนมองหน้าบ่อยๆ นี่ แล้วมันยั่วโทสะที่สุดสำหรับบางคน นั่นล่ะมันก็ต้องใช้วิธีอย่างที่พูดกันมาแล้วมากมาย ว่าไอ้สิ่งเหล่านี้มันอย่างนี้เอง ไอ้คนนั้นน่ะมันคนที่ควรสงสาร ไอ้ๆ ..สมมติว่าคนที่มาทำอะไรเรา มาล่วงเกินเรา หรือว่ามาทำอะไรเราอะ มันน่าสงสารตรงที่ว่ามันมีความโง่ มันมีกิเลสหรือมันมีความโง่ ความโง่ของมัน กิเลสของมันทำ ทำอาการอย่างนั้น ไม่ใช่มันทำ
ทีนี้เราจะไปกัดกันกับกิเลสหรือว่าความโง่ของมันได้ยังไง มันยิ่งกว่าหมาอีกมั้ง เขาจะถือว่ากิเลสหรือความโง่นี่มันเลวกว่าหมา หมากัดเขายังไม่ให้กัดตอบหมาเลย นี่ถ้าว่ากิเลสหรือความโง่ของใครจะมากัดเรา นี่เราจะไปกัดกับมันไม่ได้ นั้นหนะคือโอกาสที่ว่าจะผสมโรง ผสมรอยหรือฉวยโอกาสนั้น ทำให้เป็นการบริจาคคือการให้อภัยหรือว่าการเมตตาปรานีไปเลย ถ้ามันทำได้ ถ้ามันทำได้ มันก็เป็นการให้อภัยที่แท้จริง เมตตาปรานีที่แท้จริง การเสียสละความยึดถือมานะทิฏฐิอะไรได้จริง แล้วถ้าไม่ถือเอาโอกาสอย่างนี้ แล้วจะเอาโอกาสที่ไหน มันมีที่ไหนโอกาสหนะ ฮึ โอกาสอื่นมันจะมีที่ไหน มันได้แต่นั่งโกหกอยู่นั่นแหละ นั่งท่องเมตตาสูตร นั่งท่องอะไร ท่องๆ อยู่นั้นน่ะ มันก็..มันเป็นไปไม่ได้ คือมันได้แต่พูดแต่ปาก ก็เพียงแต่คิดว่าจะไม่ทำ เสร็จแล้วมันทำไม่ได้ มันทำอยู่ นั้นไอ้สิ่งที่มันจะช่วยเราได้จริงก็คือสิ่งเหล่านี้ สิ่งที่เข้ามาลักษณะที่ทำให้เกิดตัวกูของกู ยกหูชูหางเข้าใส่นี่ แล้วเราต้อนรับในลักษณะที่ตรงกันข้าม มันก็ได้เท่านั้นเอง มันมีเท่านั้นเอง นี่ขอให้ทุกๆ องค์นี่ช่วยสนใจไว้ เพราะว่าคุณจะหาอ่านจากหนังสือไม่ได้ ไอ้เรื่องอย่างนี้ หรือคำพูดชนิดนี้มันหาอ่านจากหนังสือไม่ได้ ในพระไตรปิฎกเขาก็ไม่พูดรูปนี้ ไม่เขียนในรูปนี้ เขาเขียนไปตามระเบียบ ไปตามไอ้..ธรรมดา เป็นระเบียบ เป็นธรรมดา เป็นอย่างที่ว่า นั้นจะว่าผมเล่นสำนวน พูดพลิกแพลงหรืออะไรก็ได้ แต่ว่าถ้ามันมีประโยชน์แล้วก็ขอให้ถือว่ามันได้ประโยชน์ซะ เอาตรงที่มันได้ประโยชน์ในการที่ทำลายกิเลสได้ นี่ก็ใช้ได้แล้ว พูดจริงไม่จริงก็อย่า..อย่าไปคิดมันนัก แต่ว่าถ้ามันทำลายกิเลสได้แล้วก็..ก็เอาเถอะ นั่นน่ะมันถูกต้อง
นั้นมันไม่มีประโยชน์หรอกที่ว่าเราจะมาอยู่ด้วยกันที่นี่ ถ้าหากว่าไม่ๆ ๆ รับเอาสิ่งที่มันไม่มีในหนังสือ ถ้าคุณไม่ยอมรับเอาสิ่งที่มันไม่มีในหนังสือ แล้วมันมีประโยชน์อะไรที่จะมาอยู่กันที่นี่ เพราะว่าคุณจะเอาหนังสือไปอ่านที่ไหนก็ได้ ไปอ่านเอาเองจากหนังสือได้ นั้นถ้ามันจะคุ้มกับการ..กับการที่มาลำบากอยู่ที่นี่ มันก็ต้องได้รับสิ่งที่มันไม่อาจจะเขียนเป็นหนังสือ หรือไม่มีในหนังสือหรืออะไรทำนองนั้น หรือมันเป็นประสบการณ์ชนิดที่ไม่อาจจะบรรยายเป็นตัวหนังสือ นี่มัน..มันคือการช่วยดึงตัวออกมาเสีย การจมลงไปในหนังสือ คนส่วนมากนี่กำลังบ้าหนังสือ กำลังจมลงไปในหนังสือ จมลงไปในๆ ๆ ทะเลของหนังสือ นี้ผมต้องการจะกระชากตัวออกมา อย่าจมลงไปในทะเลของหนังสือ ของปริยัติหรือของอะไรทำนองนั้น มันก็ดู มันจมแล้ว ถึงคอถึงอะไรแล้ว มันก็แย่แล้ว มันก็ไม่..ไม่ได้อะไรจากความวนเวียน ความ..ความมืดสีขาว วันก่อนเราเคยเรียกอันนี้ว่าความมืดสีขาวคือ ความบ้าหนังสือ มันควรจะถอยออกมาสู่ความสว่างที่แท้จริง ไอ้หนังสือนี่ ทับถมเข้าไปมันยิ่งเป็นความมืด กว่าจะถอยออกมาได้นี่ แย่ ถ้าผมจะช่วยคนอื่นในลักษณะที่ดีที่สุดก็ไม่มีอะไร นอกจากช่วยดึงออกมาจากความมืดชนิดนี้ เพราะเดี๋ยวนี้ในๆ ๆ โลกนี้มีหนังสือมากขึ้นๆ ทั้งโลกนี่ มันกำลังฝังลงไปในหนังสือ แล้วเสียเวลา จนตายเปล่า อะไรทำนองนั้น ถ้ายังไงเราก็เอาตัวรอดกันให้ได้ ก่อนตาย อย่าไปจมหนังสือตาย ถ้าอ่านหนังสือ มันต้องเพื่อถอนตัวออกมาจากหนังสือ อย่าอ่านหนังสือเพื่อฝังตัวจมลงไปในหนังสือ คืออ่านหนังสือเพื่อรู้เท่าหนังสือ อย่าให้หนังสือมันหลอกได้ ถ้าอ่านพระไตรปิฎก สมมติว่าอ่านพระไตรปิฎก ก็ต้องรู้จักถอนตัวออกมาจากพระไตรปิฎก ที่เคยยึดมั่นถือ ให้มันมีความหลุดพ้นดับทุกข์ได้ นี่มันจึงจะเป็นพระไตรปิฎกที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่นั้นเป็นหนังสือบ้าๆ บอๆ ที่คนชั้นหลังทำเพิ่มมากขึ้น เพิ่มมากขึ้นๆ น่าเวียนหัว
ไอ้การจมลงไปในหนังสือนี่ มันเป็นการเพิ่มตัวกูของกู เพิ่มตัวกูของกู กูรู้มาก กูรู้กว่าใคร เรียนนานกว่าใคร อะไรกว่าใครนี่ มันๆ ..มันเป็นเรื่องตัวกูของกู มันหนักเข้า แล้วมันก็เสียสละยาก นั้นพวกที่เรียนปริยัติมากๆ จึงไม่มีโอกาสรู้ธรรมะที่แท้จริง ได้แต่รับจ้างขายลมๆ แล้งๆ ไปสอนความรู้ด้วยปากอย่างลมๆ แล้งๆ ได้ตำแหน่ง ได้เงินเดือนสูง ได้ลูกได้เมีย ได้อะไรไปตามเรื่องตามราว นี่พวกอนุศาสนาจารย์หรือพวกอะไรก็เป็นอย่างนี้ มันช่วยทำให้ มัน..มันไม่ช่วยทำให้ของจริงของพระพุทธเจ้าปรากฏออกมา แต่มันช่วยกันจับฝัง..จับคนฝังลงไปในหนังสือ ฝังลงไปในความรู้ของปริยัติ นี่ จับคนฝังลงไปใต้หนังสือ ใต้ปริยัติ ใต้อะไรมั่ง
เพราะฉะนั้นคนสมัยนี้พูดกันร้อยชั่วโมงก็ไม่รู้เรื่อง พูดกันหลายปีก็ไม่บรรลุพระอรหันต์ ไม่เหมือนกับคนสมัยโน้นที่พูดพริบตาเดียว เขาก็ยังบรร..บรรลุพระอรหันต์ เหมือนนางไอ้บ้าคนนี้ หายบ้า แล้วคนอื่นอีกมากมายที่ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ไม่กี่นาทีก็เป็นพระอรหันต์ มันมีมาก เพราะว่าคนเหล่านั้นไม่ได้เมาหนังสือ ไม่ได้ฝังตัวเองอยู่ภายใต้หนังสือ ภายใต้ความรู้ปริยัติ นั้นก็จะมีหูตาสว่าง ไม่มีความมืดสีขาว ไม่มีความมืดสีขาว มันจึงมีแสงสว่างที่แท้จริง เขาฟังรู้เรื่อง แล้วไม่กี่นาทีก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ ขนาดหนักถึงกับเป็นบ้า มันก็ไม่เคยเมาหนังสือนะ นั้นระวังให้ดี เดี๋ยวนี้มันมี..เป็นยุคที่เรากำลังมีปัญหาหนักเรื่องไอ้หนังสือหรือความรู้ มันทำให้เราหลงทาง ทำให้เราวนเวียนจนไม่รู้จะออกทางไหน ผมว่าโกยไปทิ้งเสียก็ได้ ไอ้คำง่ายๆ อย่างที่ว่านี่ ให้ทานให้เป็น ให้ทานถูกต้อง ให้ทานให้เป็น อย่าเป็นให้ทานตัวกูของกู ให้เป็นให้ทานของสติปัญญาที่ฆ่าตัวกูของกู
หัวข้อสองหัวข้อที่ว่าเป็นกระทู้ของเรื่องที่พูดวันนี้ ว่าทานที่ตัวกูของกูชอบให้นั้นนัก ไม่ได้อะไรเลย ไม่มีอะไรเลย ไม่ได้อะไรเลย สูญเปล่า ไอ้ทานที่ตัวกูของกูไม่ประสงค์จะให้ นี้จะได้หมด จะได้มรรคผลนิพพาน หัวข้อของเรามีอย่างนี้ คำอธิบายมีอย่างนี้ และการปฏิบัติมันก็มีอย่างนี้ แต่ปฏิบัติได้หรือไม่ก็ตามใจ เรื่องนี้ผมก็ไม่อยากพูดแล้ว ว่าใครจะปฏิบัติได้หรือไม่ หรือจะสมัครปฏิบัติหรือไม่ มันๆ ๆ ..มันพ้นหน้าที่ที่ผมจะต้องพูด มันจะเป็นการรุกล้ำเข้าไปในสิทธิของผู้อื่น ในขอบเขตของผู้อื่น บอกได้แต่ว่าข้อเท็จจริงมันมีอย่างนี้ จากประสบการณ์ส่วนตัวของผมก็ได้ หลายสิบปีแล้ว เวลามันล่วงมาหลายสิบปีแล้วที่เกี่ยวข้องกันอยู่กับหนังสืออย่างมากมาย เกี่ยวข้องกับคน เกี่ยวข้องกับความสุข ความทุกข์ ความได้ ความสูญเสีย ผมอาจจะคุยโตได้ว่าผมมีการได้มากกว่าพวกคุณ มีการสูญเสียมากกว่าพวกคุณ นั้นผมก็ควรจะฉลาดกว่าในเรื่องนี้ นั้นจึงเอาอะไรมาพูดตามไอ้..เรื่องจริง เป็นไอ้ความประสบมาแล้ว มันก็เคยเจ็บปวดรวดร้าวมาแล้ว เคยร้องไห้มาแล้ว เคยอะไรเหมือนๆ กับที่เขาเคยทำกันมาแล้ว กระทั่งเคยฉลาดขึ้นมา ฉลาดขึ้นมา จนถึงกับรู้จักซ้อนกลมัน หรือว่ากลับมันให้เป็นหน้ามือเป็นหลังมือ หรือว่าจะถือเอาโอกาสแห่งการสูญเสียทำให้กลายเป็นการได้สิ่งที่สูงสุดได้ มันก็ไม่มีปัญหา นั้นการที่เกิดมาชาติหนึ่ง มันก็ไม่มีปัญหาอะไรเหลือที่จะต้องลำบากยุ่งยากใจ นี่ ถ้ามันได้กันเพียงเท่านี้ก่อน อย่าเพ่อพูดมากกว่านี้ หรือมันก็จะไม่มีอะไรมากกว่าแล้ว ก็เป็นการดีแล้ว
นี่ทีนี้มันก็เหลือแต่ว่าเรื่องพูดนี่มันง่าย แต่เรื่องทำมันยาก แต่ว่ารู้ไว้ดีกว่าไม่รู้ รู้หนทาง รู้แนวทาง รู้อะไรไว้ ดีกว่าที่ไม่รู้อะไรซะเลย แล้วรู้นี้ก็เพื่อป้องกันไอ้การจมลงไปในหนังสือด้วย คือการจมลงไปในโคลน ในหลม..ในหลุมลึกที่เต็มไปด้วยโคลนแล้วมันจะดิ้นไม่ขึ้น มันจะดิ้นไม่ขึ้น ยิ่งดิ้นมันยิ่งจมลงไป นี้พอโคลนมันเข้าจมูกเข้าหูเข้าตาแล้วมันก็แย่แล้ว วิชาความรู้ก็อย่าไปทำเล่นกับมัน พอมันท่วมหัวเข้าแล้วมันเอาตัวไม่รอด ความรู้ ระวังอย่าให้มันท่วมหัวนะ เขาพูดไว้ดี ถ้าความรู้ไม่ท่วมหัว ไม่เป็นไรนะ พอความรู้ท่วมหัวแล้วเป็นเอาตัวไม่รอด เพราะมันอุดตาอุดหูอุดจมูกอุดปากหมด ทำอะไรได้ เหมือนกับเราจมโคลนอย่างนั้นน่ะ เขาว่าจิตใจต้องอยู่เหนือความรู้ไว้เสมอ อย่าให้ความรู้ท่วม..ท่วมจิตใจ ทีนี้ไอ้ความรู้ปริยัติด้วยยิ่งแล้วใหญ่ เต็มไปด้วยสิ่งยั่วยวน ความไพเราะก็มี ความอะไรก็มี หนทางที่จะได้ลาภได้ชื่อเสียงก็มี ล้วนแต่เป็นอันตราย นั้นให้บริจาคมันออกไป ให้บริจาคไอ้เกียรติ ไอ้กาม ไอ้กินอะไรนี่ออกไป ออกไปๆ มันไม่ท่วมหัว จึงจะเป็นการให้ทานที่ถูกต้องจริงๆ เหมือนที่ว่ามา อย่าให้การค้า ลงทุนค้าเอากำไรมากเกินควร ให้เขาเอาไป ได้เพื่อนฝูงมาหลายคน ให้เอาไป ได้หน้าได้ตามาเบ้อเร่อ ให้เอาไป ได้สวรรค์วิมานมาเป็นที่ไม่มีสิ้นสุด เป็นเรื่องค้ากำไรเกินควรทั้งนั้น ให้ออกไป ให้หมดไป ให้ออกไป ให้หมดไป ให้ออกไปมันหมดไป ให้หมดตัวกูของกูนี่ ให้มันว่างเข้า ว่างเข้าๆ นี่มันจึงจะได้ ได้ ได้รับสิ่งที่วิเศษสุด แล้วไม่ใช่การค้ากำไรเกินควร มันเป็นการกระทำตรงไปตามความมุ่งหมาย ตามวัตถุประสงค์ของพุทธศาสนาคือสิ้นสุดแห่งการว่ายเวียน สิ้นสุดแห่งความทุกข์ มันต้องทำอย่างนี้ มันจะไปมัวค้ากำไรเกินควรอยู่แล้วมันจะไปไหน มันก็อยู่ที่ตรง..วนเวียนอยู่ที่กำไรนี้ เพราะมันต้องการกำไรไม่มีที่สิ้นสุด ทีนี้ไม่ต้องกลัวแล้ว ไอ้ที่มันจะไปเอา..ค้ากำไรเกินควรน่ะ มันเอาได้ง่ายๆ มันเป็นอยู่แล้ว มันเป็นมามากมายแล้ว มันเป็นนิสัยสันดานอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัวว่าจะทำไม่เป็น หรือไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้อะไร มันมีแต่จะเกิน นั้นวิ..นั้นแม้แต่วินัยก็ยังห้ามไว้ ไม่ให้ภิกษุทำการแลกเปลี่ยนเพื่อหากำไรในทางวัตถุ วินัยก็ยังห้ามอยู่แล้ว นี่ธรรมะมันก็ยิ่งดี..ยิ่งสูงไปกว่าวินัย แล้วจะให้ลงทุนบาทเดียวได้วิมานหลังหนึ่ง มันก็ไม่ใช่เรื่องธรรมวินัยแน่ๆ แล้วจะศึกษาไอ้เรื่องโคตมีสูตร(นาทีที่ 1.07.50) ตัดสินธรรมวินัยอะไรดูก็แล้วกัน
นี่วันนี้เรามีหัวข้อเรื่องทาน เรื่องต่ำที่สุดเลย เรื่องที่เขาถือกันว่าต่ำที่สุดเลยคือการเรื่อง..คือเรื่องการให้ทาน แล้วก็บอกให้รู้ว่าดูให้ดี ไอ้เรื่องทานนี้มันไม่ใช่ต่ำที่สุด มันคือเรื่องสูงสุด ถ้าทำถูกแล้ว มันเรื่องสูงสุด มันหมดตัวกูหมดของกู เพราะฉะนั้นการให้ทานชนิดนี้มันเป็นหมดทุกเรื่อง เป็นศีล สมาธิ ปัญญา มรรค ผลนิพพาน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อะไรมันรวมอยู่ที่สิ้นไปแห่งตัวกูของกูนี่ มันรวมอยู่ที่คำพูดคำเดียวว่า ความสิ้นไปแห่งตัวกูของกู ถ้าการให้ทานของเรามันทำไปเพื่อสิ้นไปแห่งตัวกูของกู มันก็หมดทั้งนั้นแหละ มันมีเรื่องเดียวเท่านั้นแหละ นั้นทุกๆ วัน ทุกๆ วัน จงให้ทานให้ถูกต้องเพื่อความสิ้นไปแห่งตัวกูของกู อย่าไปให้ทานชนิดที่ตัวกูของกูมันอยากจะให้ เป็นการค้ากำไรเกินควรทั้งนั้น แต่แล้วมันก็ทำเหมือนๆ กัน เราก็ทำงานประจำวันเหมือนที่ทำอยู่ บางคนก็ทำนั่น บางคนก็ทำนี่ แล้วแต่ในวัดนี้จะมีกี่ร้อยอย่าง การงานน่ะ แต่ในใจน่ะ ระวังให้ดี ให้มันเป็นไปในทางที่ไม่สะสมกิเลส ไม่เพื่อความอยากใหญ่ ไม่เพื่อประกอบทุกข์ ไม่เพื่อหลักตัดสินธรรมวินัย แต่ผมมันรวมความสั้นๆ คำเดียวว่า สิ้นไปแห่งตัวกู ให้ทำความสิ้นไปแห่งตัวกู อย่างเดียว คำเดียวพอแล้ว นั่นมันเป็นเรื่องที่หาอ่านจากหนังสือไม่ได้ สังเกตดูให้ดีว่าไอ้หนังสือหนังหาที่เราเรียนมา ชั้นตรีชั้นเตรอชั้นเอกประโยค ๙ ประโยค ๑๐ มันไม่มี..ไอ้เรื่องที่พูดในลักษณะไอ้รัดกุมอย่างนี้ หรือพูดตรงๆ อย่างนี้ มันเป็นเรื่องทำให้สติปัญญาเฟ้อเสียเรื่อยไป จนจับต้นชนปลายไม่ถูก มากเรื่องขึ้นๆ จนปฏิบัติไม่ไหว สุดท้ายยอมแพ้ พอไปรู้ว่า ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์ มันก็ยอมแพ้แล้วคนเรา แต่ถ้าให้ลดจาก ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์ให้เหลือข้อเดียวคำเดียวมันก็ได้ ก็ไม่ๆ ..ไม่ท้อถอย เหมือนกับ สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ นั่นละ ถ้าไม่ยึดถือสิ่งใดว่าเป็นตัวตนของตนแล้ว มันก็ให้ทานจริง ให้ทานชนิดแท้จริงแล้ว
ทีนี้ลองสังเกตดูให้ดีว่า ที่ผมพูดว่าเรื่องตัวกูของกูนี้มันมีแง่มีมุมมาก จะให้พูดกันแง่ไหนมุมไหนก็ได้ พูดกันจนตายก็ได้ เพราะมันเรื่องเดียว มันมารวมอยู่ที่นี่ ทุกเรื่องมันมารวมอยู่ที่เรื่องนี้เรื่องเดียว นั้นเราไม่ต้องพูดเรื่องอื่นกันหรอก พูดแต่เรื่องตัวกูของกูในปริยายใดปริยายหนึ่ง ให้มันเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้นดีขึ้น ชัดเจนขึ้น ล้อมรอบขึ้น จึงจะจับตัวมันได้ จึงจะฆ่าให้ได้ นั้นไอ้มหรสพทางวิญญาณนี้ยังไม่ประสบผลถึงที่สุด เว้นไว้แต่มันจะได้ฆ่าตัวกูของกูให้มันตายไปแล้ว มันจึงจะสนุกสนานเหมือนกับมหรสพในทางวิญญาณได้ ก็ช่วยกันมีอะไร มีอะไรทุกๆ อย่างที่มันจะมีนี่ ให้เป็นไปในลักษณะที่แสดงให้เห็นการทำลายเสียซึ่งตัวกูของกู
นี่ธรรมปาฏิโมกข์ ธรรมปาฏิโมกข์ซ้ำๆ ซากๆ เรื่องตัวกูของกู สำหรับวันนี้ วันนี้วันที่อะไร ที่สอง หือ วันที่สอง กรกฎาคม หนึ่งหนึ่ง เรียกว่า ธรรมปาฏิโมกข์ของวันที่สอง กรกฎาคม หนึ่งหนึ่ง ขึ้นแปดค่ำ เดือนแปด ไม่มีเรื่องอะไร แล้วผมก็พูดเรื่องอื่นไม่เป็นเสียด้วย คุณดูคล้ายกับไม่มีเรื่องอะไร มีแต่เรื่องเกี่ยวกับตัวกูของกูโดยปริยายใดปริยายหนึ่ง ทำไปเพื่อความว่าง ว่างจากตัวกู ว่างจากของกู ก็คือความว่าง