แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เอ้า ท่านมหาวิจิตรดี หือม์ มีปัญหาอะไรบ้างล่ะ ไม่มีปัญหาอะไร ผมก็ว่าเรื่องตัวกูของกูเรื่อยไปไม่มีที่สิ้นสุด วันนี้ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๑๑ วันธรรมปาฏิโมกข์ เรื่องตัวกูของกู สร้างนรกในอากาศ เขาพูดกันแต่เรื่องสร้างวิมานในอากาศ เพราะมันเป็นเรื่องที่เห็นง่าย ไอ้เรื่องสร้างนรกในอากาศนี่ไม่ค่อยเห็นกัน และไม่ค่อยจะพูดกัน หรือไม่เคยพูดเลยก็ได้ ต้องนึกไปถึงข้อสำคัญ ที่เป็นหลักสำคัญที่ว่า โลภะ โทสะ โมหะ นั้ นมันมาจากไอ้ความรู้สึกที่เป็นตัวกูของกู คือว่าเราเอาตัวกูของกูนี้เป็น เป็นไอ้ต้นตอที่สุด แล้วคลอดออกมาเป็น โลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง แต่ว่าที่อื่นเขาอาจจะไม่พูดกันอย่างนี้ หรือจะไม่ยอมพูด ยอมเชื่ออย่างนี้ ซึ่งเขามักจะให้ตัวกูของกูนี้เป็นเพียงโมหะชนิดหนึ่งเท่านั้น ส่วนเรานี่พูดว่า ตัวกูของกู ความรู้สึกที่เป็นตัวกูของกูนั้นนะ เป็น ต้นตอที่รวมที่ทำให้เกิดโลภะด้วย โทสะด้วย โมหะด้วยทั้ง ๓ อย่าง ข้อนี้ได้พูดมาหลายหนแล้วต้องจำไว้และต้องเอามาระลึกบ่อยๆ เพราะว่าความรู้สึกของตัวเอง นั้นอาจจะไปในทำนองว่า ตัวกูของกูเป็นโมหะชนิดหนึ่งเท่านั้น เดี๋ยวนี้เรากำลังยืนยันว่า ตัวกูของกูเป็นที่มาของทั้ง ๓ อย่างเลย ทั้งโลภะ โทสะ โมหะ ด้วย
ที่เมื่อพูดถึงว่า สร้างวิมานในอากาศ โดยมากนั้นมันเป็นเรื่องโลภะ เมื่อพูดกันว่าสร้างวิมานในอากาศมักจะเป็นเรื่อง โลภะ หรือราคะ โลภะ แต่ว่าที่จริงไม่ใช่อย่างนั้น มันเป็นเรื่องของโมหะก็ได้ ไอ้สร้างวิมานในอากาศนี่ เราหมายถึงแต่เพียงว่า มันคิดออกได้เรื่อยไปไม่มีที่สิ้นสุด บางทีก็เป็นเรื่องทางความ เอ่อ ความอยากได้โลภะ ราคะ แล้วบางทีมันก็เป็นเรื่องโทสะก็ได้ ความโกรธ ความเกลียด ความอิจฉาริษยานี่ มันไหลเปื่อยไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะบางทีมันก็เป็นโมหะก็ได้ ฟุ้งซ่านนอนไม่หลับเลย นั้นคำว่า สร้างวิมานในอากาศนี่มันกว้าง ก็คิดได้เรื่อยไป คิดได้เรื่อยไป ไม่ต้องมีเหตุผล เมื่อความคิดมันออกไปได้ แปลกประหลาดกว้างขวางไปมันก็พอใจแล้ว นี้ถ้ามันเป็นไปในลักษณะที่ สนุกดี เอร็ดอร่อยดี สนุกดี ไปตามความหวังความฝันมันก็เป็นเรื่องวิมานในอากาศ
แต่อย่าลืมว่าฝ่ายที่ตรงกันข้ามหรือกลับกันอยู่มันก็มีเหมือนกัน ทรมานใจ ความคิดหรือเรื่องราวที่เอามาคิดล้วนแต่เป็นไปเพื่อทรมานใจ อย่างนี้มันก็ควรจะเรียกว่าสร้างนรกในอากาศตรงกันข้ามกับสร้างสวรรค์ในอากาศ นี่มันสร้างนรกในอากาศ และก็มีมากพอๆ กันแหละ แต่ว่าคนไม่มองในลักษณะเดียวกัน หรือว่าในความรู้สึกอย่างเดียวกันกับที่สร้างวิมานในอากาศ แล้วมันไม่สนุก ไม่สนุกที่จะมอง ที่จะไปรู้สึกกับมัน มันเป็นความทุกข์ ไม่สนุก แล้วคนก็ไม่ค่อยชอบปล่อยให้มัน เอ่อ มัน เพราะมันไม่สนุก ไม่ปล่อยไปอย่างสนุก นั้นเราควรจะรู้กันกันดีทั้งฝ่ายสร้างวิมานในอากาศและสร้างนรกในอากาศ สวรรค์ก็หมายถึงว่าสนุกสนานเพลิดเพลินไปเลย ไอ้ส่วนนรก คือเผาไหม้ร้อนระอุเลย แล้วมันไม่น่าเชื่อที่ว่าคนจะไปสร้างมันได้ เหมือนกับสร้างวิมาน อย่างคิดสร้างวิมานในอากาศ เรื่องสร้างวิมานในอากาศด้วยโลภะก็ดี ด้วยโมหะก็ดี มันก็พอจะเข้าใจกันอยู่แล้ว
ทีนี้อยากจะพูดถึงสร้างนรกในอากาศ เพราะโทสะ เพราะกิเลสประเภทโทสะ หรือโกรธะ แต่ข้อนี้อย่าได้หมายความผมแยกเด็ดขาดลงไปว่า นรกในอากาศแล้วต้องสร้างด้วยโทสะ เพราะโทสะนั้นอาจจะมีมูลมาจากโลภะ หรือโมหะอย่างอื่นก็ได้ เดี๋ยวนี้เราเอาไอ้ที่มันมีลักษณะชัดเจนแล้ว เป็นลักษณะของโทสะ ในบาลีมีกล่าวถึงมาก ซึ่งสะดุดใจ สะดุดตา สะดุดใจมานานแล้ว แต่คนเขาไม่ค่อยสนใจกัน เป็นกิเลสประเภทที่อรรถกถา เรียกว่า นิพพิเสวนะ (นาทีที่ 9.31) ในบาลีที่เป็นพุทธภาษิตตรงๆ มีพูดถึงว่า “เมื่อเขาพูด หรือเขาว่าเล็กน้อยก็เอาไปคิดได้มาก” นี่บาลีมีสั้นๆ เท่านี้ เมื่อเขาว่าแต่เล็กน้อย เขาพูดเอาแต่เล็กน้อย ก็เอาไปคิดได้มาก และไม่มีที่สิ้นสุด เป็นกิเลสประเภทนิพพิเศวานะ หรือ อกุปปกิเลส ที่ใช้เป็นเครื่องวัดบุคคล ลักษณะเฉพาะอย่างนี้ กิเลสทีมีลักษณะเฉพาะอย่างนี้ เขาฝากไว้ฐานะเป็นเครื่องวัดลักษณะของบุคคล หรือวัดตัวเองก็แล้วกัน และยังมีว่า เมื่อเขายังไม่ได้พูดเลย ไม่ได้ว่าเลย ก็เอามาคิดได้เป็นการล่วงหน้าว่าเขาจะว่าอย่างนั้น เขาจะว่าอย่างนั้น ไอ้เขาจะว่าอย่างนั้น มัน มัน มันหมายความว่า ว่าร้ายนะ เพราะมันเป็นเรื่องของโทสะ มีโทสะเป็นรากฐานแล้วมันจะเลื่อนลอยไปเอง ว่าเขาจะว่าอย่างนั้น แล้วกูจะว่าอย่างนี้ แล้วจะต่อต้านอย่างนี้ มันสองสองทีอยู่นะ สองขยักอยู่ เมื่อเขาว่าเอาแต่น้อย ก็นำไปคิดได้มาก นี่ต้องอย่างนี้ทีก่อน แล้วเมื่อเขาไม่ได้ว่าเลย ก็คิดว่าเขาจะว่าได้ ไอ้เรื่องมันตั้งต้นขึ้นมาจาก ที่เขาว่าเอาแต่น้อยก่อน แล้วก็มารู้สึกได้มาก มาขยายความออกไปมาก เพื่อจะมีความเพ่งโทษของฝ่ายโน้นให้มาก คือจะโกรธได้มาก นี่เป็นสร้างการสร้างนรกในอากาศ ภายในระยะแรกก่อน ทีนี้กระแสนี้ไม่หยุด มันจะเลือนเลยไปถึงว่า มันว่าอย่างนั้น มันว่าอย่างนี้ มันว่าอย่างโน้น เหมือนกับความฝัน ฝันตื่นๆ นี่ ซึ่งไปในทางที่ให้ผู้นั้น ฝ่ายโน้นเป็นฝ่ายผิด ฝ่ายเลว ตัวเองเป็นฝ่ายดีทั้งนั้น แล้วตัวเองก็จะมีเหตุผลอย่างนั้น เหตุผลอย่างนี้ สำหรับต่อต้าน บางทีก็จำนนต่อเหตุผล ก็น้อยใจ ก็ขัดใจ ก็น้ำตาไหล ถ้ามีเหตุผลที่จะว่าเขาด้วยการสร้างนรกในอากาศนี่เรื่อยไปได้ก็สนุกดีอีกแบบหนึ่ง นี่ลักษณะย่อๆของคำว่า สร้างนรกในอากาศ
ผู้ที่มีนิสัยปฏิฆะ มีมีนิสัย มีปฏิฆะเป็นเจ้าเรือน อึดอัด ขัดแค้น น้อยอก น้อยใจ ใจน้อยเป็นเจ้าเรือน จะสังเกตได้ง่าย แล้วถ้าความรู้สึกอ่อนไหวมากไป เช่นผู้หญิงอย่างนี้ก็จะมีได้มาก มีได้มากกว่าผู้ชาย แต่ผู้ชายบางคนก็ไม่ใช่เล่น ถ้ามันมีส่วนหนึ่งของมันแสดงออกมาเป็น อะไร อะไรแปลกๆ เป็นมารยาสาไถเป็นความบิดพลิ้วเป็นอะไรไปตามเรื่องตามราวของมัน ที่จะรักษาไอ้เหตุผล ในความฝันของตัว เหตุผลในการสร้างนรกในอากาศให้ตัวนี่ไปเรื่อย ไปได้เรื่อย ความรู้สึกในขณะนั้นมันไม่ได้เป็นนรกเต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ คือมันไม่ได้เผามาก ๑๐๐เปอร์เซ็นต์ มันเผาพอสบายๆ อยู่มากเหมือนกัน เมื่อได้คิดไปในทางมุ่งร้ายอยู่ แล้วก็มีเหตุผลเข้าข้างตัวเองอยู่ ความรู้สึกก็จะรู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกเรื่อย มันก็สบายตอนนี้ แต่ทีนี้มันไม่ควรจะเรียกว่าสร้างวิมาน หรือสร้างสวรรค์ในอากาศเพราะมันเผา อย่างมากที่สุดมันก็เหมือนกับคันแล้วเกา ไอ้สมภารนี่บางเวลามันเกา เกาอย่างมุทะลุเลย แต่มันก็สบายเพราะเกานะ แต่เกาอย่างมุทะลุ อย่างไม่กลัวหนังถลอก อย่างนี้เราเรียกว่า ทั้งเจ็บทั้งคัน ทั้งอะไรกันตามภาษาที่เขาเรียกกัน มันมีความสบายชนิด ทั้งเจ็บ ทั้งคัน ทั้งร้อน ทั้งอร่อยไปตามเรื่อง บางทีเราชอบกินของเผ็ด ของร้อน ซดของร้อนๆ น้ำตาไหลอะไรมันก็ทำไปได้ เพราะว่าไอ้ความเผ็ดร้อนนั้นมันก็เป็นรสชนิดหนึ่งด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นคนจึงสร้างนรกในอากาศได้โดยไม่ ไม่รู้สึกตัว หรือโดยไม่กลัวเพลิดเพลิน เช่นเดียวกับสร้างวิมานในอากาศ คนหนุ่ม คนสาวก็เป็นไปมากในทางสร้างวิมานในอากาศ แต่แล้วในขณะหนึ่ง ในโอกาสหนึ่งมันจะสร้างนรกในอากาศโดยไม่รู้สึก บางทีมันเห็นเป็นของดีมากสนุกมาก อร่อยไปอีกแบบหนึ่ง ก็สมัครสร้างมันเรื่อยไป จนกระทั่งได้กินยาตาย ได้ฆ่าตัวตาย ได้อะไรตายไป
ไอ้เรื่องสร้างวิมานในอากาศนี้มันก็เป็นเรื่องแย่อยู่แล้ว คือเป็นเรื่องที่น่าหัว หรือว่าน่าตำหนิติเตียน เป็นความบ้าหลังชนิดหนึ่งแล้ว ไม่มีใครถือว่ามันเป็นของดี นอกจากจะฝันเล่นสนุกๆ เป็นพักๆ โดยไม่มีอะไรจะทำ แต่ไอ้เรื่องสร้างนรกในอากาศนี่มันยังร้ายกว่านั้นมาก ถ้าพูดถึงน่าติเตียน มันควรจะน่าติเตียนกว่า แต่มันลึกซึ้งลึกลับกว่า นั้นอยากจะขอให้พิสูจน์ ศึกษาพิสูจน์ดูว่า เรามี กำลังมี หรือมีอยู่บ่อยๆ หรือไม่ ในเรื่องสร้างนรกในอากาศ บทนี่มีเท่านั้น มันต้องเป็นเรื่องที่เฉียบขาดตรงไปตรงมา มันจึงจะพบ มันจึงจะรู้ คือได้ปล่อยให้ความรู้สึกประเภทปฏิฆะ ปฏิฆะอนุสัย อะไรก็ตามนี่ มันไหลเรื่อยเฉื่อยไปดังสายน้ำไหล ให้มีเหตุผล ตัวเป็นฝ่ายถูกเสมอ เพราะว่าเรื่องนี้มันจะต้องทำลายฝ่ายหนึ่ง ประทุษร้ายฝ่ายหนึ่งด้วยความคิด หรือด้วยอะไรก็สุดแท้ จะทำได้ หรือไม่ได้ หรืออะไรก็ตาม มันห้ามใจไม่ได้ เพราะใจมันคิดได้ คิดฆ่ากันได้ ในเมื่อไอ้มือมันไปฆ่าไม่ได้ แต่ว่าใจมันคิดได้ เพราะฉะนั้นเราจะต้องเป็นไปได้อย่างง่ายดาย ไหลเชี่ยว เป็นเกลียวไปอะไรทำนองนั้น
นี้ในบาลี เขาว่าเอาแต่เพียงเล็กน้อย ก็นำไปรู้สึกได้มากนี้มันเริ่มขึ้นมาด้วยการที่ เป็นคนเจ้าอารมณ์ เจ้าความคิด เป็นคนสร้างวิมานในอากาศเก่งอยู่แล้ว ในทางราคะ โลภะ หรือโมหะ อย่างอื่นมันก็สร้างวิมานในอากาศเก่งอยู่แล้ว พอถึงทางที่จะใช้ทางโทสะ หรือปฏิฆะ มันก็เก่งอีกเหมือนกัน มองดูในลักษณะหนึ่งมันเป็นปัญญาเพราะสามารถคิดได้ละเอียดลออ แล้วคิดได้ลึกหรือกว้างเกินธรรมดาเหมือนกัน พวกนักศึกษาบางคน ที่อินเดียก็มี ไม่ใช่เฉพาะที่จีน หรือญี่ปุ่น ฝ่ายเซ็น ฝ่ายเซ็นก็มี ที่เขาพูดไว้อย่างที่โดยมากฟังไม่ถูก คือว่าพูด กิเลสก็คือโพธิ หรือ โพธิก็คือกิเลส นี่ก็เป็นเรื่องที่จะต้องจดจำไว้คิดดู เมื่อเขาพูดว่า กิเลสก็คือโพธิ โพธิหมายถึงปัญญาที่จะตรัสรู้ ปัญญาสำหรับใช้ไปในการตรัสรู้ แล้วกิเลส ก็คือกิเลสนี่ก็คือโพธิ โพธิก็คือกิเลส กิเลสก็คือโพธิ ข้อนี้จะเข้าใจได้ง่าย จากตัวอย่างที่ว่าสร้างวิมานในอากาศ สร้างนรกในอากาศเหมือนที่พูดแล้ว ต้องไปพิจารณาดูให้ดี ลักษณะของการคิดอย่างสร้างวิมานในอากาศ หรือสร้างนรกในอากาศนั้นนะ มันเป็นปัญญาเหมือนกัน มันทำได้แต่มนุษย์ที่มีปัญญา มีสติปัญญา สุนัขหรือสัตว์เดียรัจฉานทำไม่เป็น เหมือนกับอย่างอื่นๆ ที่ว่าสัตว์เดียรัจฉานทำไม่เป็น มันมีอีกมาก นั้นสติปัญญายิ่งมีมากเท่าไหร่ คนเราก็ยิ่งสร้างวิมานในอากาศได้เท่านั้น แล้วมันสร้างวิมานในอากาศได้เก่งเท่าไร มันก็สร้างนรกในอากาศได้เก่งเท่านั้น ที่เราจะเรียกสร้างนรกในอากาศว่ากิเลส สร้างวิมานในอากาศว่ากิเลส มันก็คือปัญญาชนิดเดียวกับโพธิ ที่จะไปทำการตรัสรู้บรรลุมรรคผล มันเป็นปัญญาด้วยกันแต่มันเดินคนละทางกัน ก็ตัวอย่างทางวัตถุสิ่งของเช่นว่ามีดนี่ มันใช้ฆ่าคนก็ได้ มันใช้ตัดไม้ก็ได้ นั้นมันไม่ ไม่อาจจะกล่าวได้ว่ามันเป็นอาวุธ หรือมันเป็นเครื่องมือ ทั้งที่ไอ้มีดตัดไม้ ก็คือไอ้มีดเล่มนั้นมีดเล่มเดียวกับที่มันฆ่าคน ไอ้มีดเล่มนั้นมันก็เรียกเรียกได้ว่าเป็นอาวุธก็ได้ เป็นเครื่องมือก็ได้ นั้นมีดเล่มนั้นคือมีดอันเดียวกัน แล้วเพราะฉะนั้นก็มีทางที่จะกล่าวอย่างตัด logic ว่าไอ้อาวุธกับเครื่องมือคือสิ่งเดียวกัน อาวุธสำหรับฆ่าคน กับเครื่องมือทำประโยชน์นี่ก็สิ่งเดียวกัน ในทางวัตถุมันก็มีอะไรที่แสดงเห็นได้อย่างนี้ ทางจิตใจก็คือปัญญาอย่างที่เรียกว่า intellect intellect พวกนี้ปัญญาแบบนี้ มันก็คือสิ่งซึ่งอาจจะเป็นไปทางโพธิก็ได้ เป็นไปในทางกิเลสก็ได้ มี intellect มาก มันก็สร้างโพธิได้มากหรือเร็ว พร้อมกันนั้นก็สร้างวิมานหรือนรกในอากาศได้มากหรือเร็ว เพราะมันคล่องแคล่วในการคิด หมายความว่า อวัยวะเพื่อการคิดของบุคคลนั้น จะเรียกว่ามันสมองหรืออะไรก็สุดแท้ มันคล่องแคล่วในการคิด ในการทำหน้าที่ตามธรรมชาติของมัน คือการคิด และเมื่อมันได้อะไรมาก็ไปตามเหตุปัจจัยอันนั้น แต่ว่าเขายังไปลึกกว่านั้น ซึ่งไม่มีเวลาที่จะอธิบายหรอก มันไปลึกกว่านั้น ก็ในข้อที่ว่า เพราะว่าผู้ที่ ไม่มีตัวกูของกูโดยแท้จริงไม่ต้องการอะไร เพราะฉะนั้นมันจึงไม่ต้องการแม้กระทั่งของผลของโพธิ มรรคผลนิพพานอะไรมันก็ไม่ต้องการ มัน มันตัดทิ้งออกหมดว่า ไม่มีสิ่งใดที่ควรยึดถือว่าของเราเป็นของเรานี่ ผลของโพธิ มันก็ไม่ต้องการยึดถือเป็นเราของเรา ผลของกิเลส มันก็ไม่ต้องการยึดถือว่าเป็นเราของเรา แล้วมันจึงประนามกิเลสและโพธิเป็นสิ่งเดียวกันไป ความรู้สึกของพระอรหันต์ก็เป็นอย่างนี้ แต่เขาไม่พูดอย่างนี้ เมื่อเขาพูด เขาพูดเรื่องคนธรรมดา ก็แยกกิเลสกับโพธิต่างกัน ตรงกันข้าม เดินคนละทาง
นั้นเรามองดูให้ดีว่าไอ้ปัญญานี่ ถ้ามันเป็นปัญญาประเภทที่เรียกกันว่า intellect อะไรอย่างที่ฝรั่งเขาเรียก มันก็คือ สิ่งที่คิดนึกไปได้อย่างนี่( นาทีที่ 26.15) มันจะคิดไปได้ก็ได้ ยังยังโง่ยังเลวยังดิบอยู่ ผู้ที่จะบรรลุธรรมะด้วยปัญญาชนิดนี้ สติปัญญาชนิดนี้ มันก็เหมือนกับที่ภาพล้อมัน เหมือนกะกับจับปลาดุกด้วยลูกน้ำเต้าเกลี้ยงๆ ลื่นๆ แต่ใช้ปัญญาชนิดนี้ไปเอาธรรมะนั้น มันมีผลเหมือนเอาลูกน้ำเต้ากลมๆ ลื่นๆ ไปจับปลาดุก มันได้เท่านั้น ไอ้ปัญญาที่จริงๆ คือโพธิที่วิวัฒนาไป ในทางเรื่องของตัด ตัดกิเลส ตัณหา ตัดตัวกูของกู มันมีชื่ออย่างอื่น แต่เรามักจะเรียกรวมๆ กำกวมกันหมดว่าปัญญา นั้นถ้าเราจะเรียกว่าญาณแล้วใส่คุณบทลงไปชัดเจนว่า อาสวักขยญาณหรืออะไรทำนองนั้น มันก็ดีไปสิ นี่คือโพธิที่มันวิวัฒนาการไกลออกไปจากกิเลส ไปจากอาการของกิเลส แต่มันมีค่าต่อเมื่อคนต้องการผลของสิ่งนี้เท่านั้น ถ้าใครคนใดคนหนึ่งมันเกิดไม่ต้องการผลออกมามันก็เป็นขยะมูลฝอยไปเหมือนกับกิเลส นั้นคนที่จะพูดว่ากิเลสกับโพธิคือสิ่งเดียวกันนี้ต้องมีจิตใจสูงมาก สามารถจะประณามผลของทั้งฝ่าย ทั้งสองฝ่ายนี้เหมือนกับสิ่งที่ไม่ต้องแยแสสนใจเหมือนเศษขยะมูลฝอย เขาไม่ต้องการนิพพาน ไม่ต้องการอะไรในที่เขาชื่อๆ ที่เขาเรียกกัน เขาต้องการอยู่เฉยๆ อยู่เฉยๆ อย่างแท้จริง ทั้งโพธิก็ไม่ต้องการ กิเลสก็ไม่ต้องการ มันน่าคิดตรงที่ว่า ไอ้ความโง่ก็ให้เกิดความฉลาด ความฉลาดก็ให้เกิดความโง่ ทำนองเดียวกับโพธิมันก็มาจาก มาจากกิเลส ถ้าไม่มีเรื่องของกิเลสโพธิมันก็มีไม่ได้ คนเราไม่ฉลาดขึ้นมาได้ ถ้ามันไม่มีเรื่องที่ตรงกันข้ามคือความโง่หรือกิเลส หรืออะไรนี่ นั้นโพธิมันมาจากการศึกษา ศึกษาอะไร ก็ไอ้ความทุกข์หรือกิเลสต้องมีอันนี้มา มันถึงจะเกิดไอ้ ไอ้ ไอ้ความรู้หรือความคิดหรือระบบ ระบบหนึ่งขึ้นมาคือเป็นพวกโพธิ
นั้นเราอาจจะพูดได้ว่า คนมีปัญญาก็บรรลุมรรคผลได้ง่าย และพร้อมกันนั้นก็สามารถสร้างวิมานในอากาศ หรือนรกในอากาศได้มาก มันจึงเหลืออยู่แต่การควบคุมเท่านั้นเอง เพราะถ้าปล่อยไปตามธรรมชาติแล้วมันจะเพลินไปในทางสร้างวิมานในอากาศ หรือสร้างนรกในอากาศมากเสียกว่าที่จะไปสร้างโพธิ แบบตัดกิเลส เพราะมันสนุกกว่าหรือมันอยู่ใกล้ชิดกว่า มันอยู่ในทางที่ละง่ายกว่าพร้อมที่จะเกิด เหมือนทางหนึ่งมันไหลไปทางต่ำทางหนึ่งต้องเข็นขึ้นไปทางสูงนี่มันมันยากกว่า เราจะให้น้ำไหลไปในทางต่ำนี่มันง่าย กว่าที่จะให้น้ำไหลไปทางสูงเป็นอย่างนี้ นั้นมันจึงต้องระวังให้ดีว่าเราสร้างวิมานในอากาศก็เก่งด้วย สร้างนรกในอากาศก็เก่งด้วย และสิ่งที่เรากำลังได้รับอยู่นั้นดูจะเป็นเรื่องสร้างนรกในอากาศมากกว่าวิมานในอากาศ สิ่งที่กำลังได้รับอยู่จริงๆ เป็นประจำวันนี่ นั้นต้องไปนึกถึงข้อที่มีกล่าวไว้ในบาลีอยู่เสมอไปว่า ”เขาว่าเอาแต่น้อยก็เอาไปรู้สึกได้มาก เขาไม่ได้ว่าอะไรเลยก็สร้างความสร้างความรู้สึกได้เอง” เป็นเรื่องนรกในอากาศ ผมตั้งชื่อเอาใหม่ในบาลีไม่ได้ตั้งชื่ออย่างนี้ เขาว่าเอาแต่เล็กน้อยก็ไปทำความรู้สึกได้มาก ขยายความเป็นรู้สึกแบบมุ่งร้ายได้มากมากหลายๆ แง่ หลายๆ มุม แล้วเผลอ คิดฟุ้งไปเลย นี้พอลืมตัวหน่อยก็ไอ้ที่เขาไม่ได้ว่าเลย ก็เอามาสร้างเป็นรูปขึ้นมาได้ นี่มันก็มากเหมือนกับเอา เอาสามมาคูณเอาสิบคูณเรื่อยออกไป เรื่อยออกไป
แล้วให้ระวังให้ดี เพราะว่ามันเป็นของธรรมดาที่สุดสำหรับคนที่มีปัญญาดิบๆ ปัญญาดิบคือ intellect นี่มาก นั้นคุณจะใช้คำว่าปัญญาดิบก็ดูเหมือนจะดี และปัญญาดิบชนิดนี้ คือไอ้ตัวกู ของกู ที่จะไม่รู้เดินทางไหน มันเป็นตัวกูของกูที่รุนแรงที่ยังไม่รู้จะเดินทางไหน มันก็มักจะเดินไปทางตามแบบตัวกูของกูคือ ยกหูชูหาง มันจึงสร้างวิมานในการยกหูชูหาง สร้างวิมานในรูปการยกหูชูหาง ในรูปวิมานหรือว่าในรูปนรกก็สุดแท้ แม้จะสร้างวิมานก็ในรูปยกหูชูหาง จะสร้างนรกมันก็เป็นในรูปยกหูชูหาง ลองคิดดูว่าไอ้คนที่นอนก่ายหน้าผากมันกำลังทำอะไรอยู่ ส่วนมากมันกำลังสร้างนรกในอากาศ แล้วเป็นนรกชนิดโมหะ มากกว่านรกชนิดโทสะ แต่นรกชนิดโทสะก็ไม่ใช่น้อย เรียกว่ามีความรู้สึกโกรธไม่พอใจ มีปฏิฆะแล้วไปนอนก่ายหน้าผากคิดอยู่ อยู่ไม่ใช่น้อย หรือมันคิดไปด้วยความโลภ ความ โมหะอย่างอื่นมันก็มีเหมือนกัน ถ้าไอ้ความรู้สึกนั้นมันทรมานมันทำให้เป็นทุกข์ เรียกว่าสร้างนรกในอากาศ ถ้ามันเคลิ้มไปในด้วยความสนุกสนาน ก็เรียกว่าสร้างวิมานในอากาศ สร้างสวรรค์ในอากาศ พวกนอนก่ายหน้าผากนี้ต้องสร้างสองอย่างนี้ ไม่สวรรค์ก็นรกในอากาศ นี้ระวังให้ดี อย่านอนคิด อย่านอนคิด อย่าชอบนอนคิด อย่าชอบนอนก่ายหน้าผากคิด มันจะเป็นไปในรูปนี้ แล้วให้พยายามคิดโดยอิริยาบทที่พระพุทธเจ้าแนะนำ คือการเดินคิด ที่เรียกว่าจงกรม แต่แม้อย่างนั้นก็ระวังให้ดี ระวังให้ดี แม้ในการเดินคิดนี้ถ้ามันเผลอไป หรือมันมีอะไรมากไปก็คิดในแบบสร้างวิมานหรือนรกในอากาศได้เหมือนกัน แม้แต่การเดินคิด ไปอ่านดูกันเองก็ได้ ใน อังคุตตรนิกายพวกปัญจกนิบาตอะไรทำนองนั้น พูดอานิสงค์ ประโยชน์อานิสงค์ของการเดินคิด ของการเดินจงกรมนี่ เป็นอิริยาบทที่ดี สำหรับการคิดสติปัญญาที่เกิดขึ้นในการเดินคิดนั้นถูกต้องกว่าในอิริยาบทอื่น และว่าอยู่นาน ทนต่อเหตุผลนานกว่าอิริยาบทอย่างอื่น เพราะว่ามันเป็นเวลาที่มีความแจ่มใสกว่า มีความเข็มแข็งกว่า ไอ้นั่ง ไอ้นั่งสมาธิ นั่งขัด สมาดสมาธิก็พิจารณาหรือคิดเหมือนกัน ส่วนมากก็ใช้อย่างนั้น แต่ว่ามีความมึนชา หรือว่าเคลิบเคลิ้มได้ง่ายกว่าที่จะเดินคิด แต่มิได้หมายความว่าไอ้เดินคิดนี่มันจะดีกว่านั่งเสมอไป มันมีแต่เพียงว่า มันแจ่มใสกว่ามั่นคงกว่า ถ้าความคิดอันใดมันออกมาในขณะที่เดินคิด มันก็ดีกว่าที่นั่งคิด แต่เราก็จะเดินคิดตลอดเวลาไม่ได้ เพราะมันมีมีการนั่งที่สะดวกกว่า เพราะฉะนั้นการที่จะนั่งสมาธิแล้วมีผลดีนั้น มันต้องทำไปมาก ทำไปจนชำนาญที่สุด จนว่านั่งแล้วไม่เคลิ้ม ถ้า ถ้าไม่ฝึกมากพอ พอนั่งเข้ามันก็เคลิ้ม เลื่อนลอย อ่อนเพลีย เลื่อนลอยได้ ส่วนการเดินนั้นมันเป็น มันเป็นไปยากกว่า เพราะมันอยู่ในอิริยาบทที่เข้มแข็งหรือกระทัดรัดกว่า แต่ถ้าเป็นผู้สามารถ มีความสามารถทำได้ เช่นสามารถกำจัดนิวรณ์ ๕ ประการได้ในอิริยาบทนั่ง นั่งนี้มันก็เหมือนกัน ใช้ได้เหมือนกัน กามฉันทะ พยาบาท ถินมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา ทำสมาธิในขั้นต้นก็มุ่งจะกำจัดสิ่ง ๕ สิ่งนี้ ถ้ากำจัดไปได้ ไอ้การนั่งคิด หรือนั่งสมาธิเพื่อคิดนั้น มันก็ ก็เรียกว่ามีความเข้มแข็ง มีอะไรแจ่มใสเหมือนกับเมื่อเดินคิดได้เหมือนกัน นี้ในกรณีที่จะคิดให้ละเอียดออกไปนั้น นั่ง นั่งคิดจะได้เปรียบกว่า ถ้าว่าเป็นคนที่ไม่แพ้แก่นิวรณ์ ถ้าจะพูดอีกทีก็ว่าคิดโดยหัวข้อใหญ่ๆ นี่สู้เดินคิดไม่ได้ แต่คิดโดยรายละเอียดสู้นั่งคิดไม่ได้ แต่หมายความว่าควบคุมจิตได้นะ ไม่มี ไม่มีนิวรณ์รบกวน ถ้านิวรณ์รบกวนในขณะนั่งคิดมากกว่าในขณะที่เดินคิด มันดีคนละอย่าง อย่างนี้อยู่เสมอ นี่พูดถึงนอนคิดล่ะใช้ไม่ได้เลย ความคิดที่คิดออกเมื่อเดินจะดีกว่าความคิดเมื่อนั่ง ความคิดเมื่อนั่งดีกว่าความคิดเมื่อยืน ความคิดเมื่อยืนดีกว่าความคิดเมื่อนอน เมื่อนอนนั่นถือว่าเลวที่สุด แล้วเป็นไปลักษณะสร้างวิมาน หรือนรกในอากาศได้โดยไม่ทันรู้ตัว
นี่เรามองดูกันใหม่ในส่วนลึก อย่างที่ว่าแล้วข้างต้น ว่าปัญหายุ่งยากทั้งหมดนั้นมันสรุปอยู่ที่ต้นตอ คือความมีตัวกูของกู มันต้องการอย่างนั้น มันต้องการอย่างนี้ เมื่อไม่ได้ตามต้องการ มันก็เกิดไอ้กิเลสประเภท โทสะปฏิฆะขึ้นมา หรือเมื่อได้ตามต้องการมันก็เกิดความหลงใหลใฝ่ มันเนื่องกันอยู่ด้วยสิ่งๆ เดียวกันคือตัวกูของกู มันออกออกมาในรูปโลภะ ราคะได้ ออกมา รูปโทสะ โกรธะก็ได้ ออกมาในรูปโมหะก็ได้ มันเพื่อตัวกูของกูทั้งนั้น แล้วทีนี้เมื่อควบคุมไม่ได้ มันเลื่อนลอยไปเอง พอเลื่อนลอยไปเองมันก็เป็นรูปอย่างที่ว่า คือวิมานในอากาศ หรือนรกในอากาศ หรืออะไรในอากาศแล้วแต่จะเรียก ที่เอามาพูดนี้ก็หมายความว่า ให้ระวังให้ดีแม้แต่นรกในอากาศมันก็อร่อยเท่ากันกับไอ้วิมานในอากาศ เพราะว่าคราวที่แล้วมาเราพูดถึงความสุขชนิดที่ตัวกูได้ทำอะไร คือว่าได้ประสบความสำเร็จในการยกหูชูหางของมัน หรือว่าสงวนไว้ซึ่งในอาการนี้ของมันนั่นเป็นความสุขชนิดหนึ่งซึ่งละได้ยากที่สุด ยิ่งไปกว่ากามารมย์ ละยากยิ่งกว่ากามารมย์ การติดพันในความสุขที่ตัวกูได้ทำอะไรตามความต้องการของมัน ยกหูชูหางในแง่ทิฐิมานะไม่เกี่ยวกับกามารมย์นี่ มันเป็นความสุขที่ละยาก ละได้ยาก เทียบเหมือนกับชั้นพรหม มีความอิ่มใจว่ากู มีตัวกู ที่ถูกต้องบริสุทธิ์ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใด สูงสุดกว่าสิ่งใด รู้สึกว่าตัวอยู่ในฐานะที่สูงสุดกว่าสิ่งใด แล้วมันจึงเป็นการง่ายแล้วไอ้ที่ว่าสร้างวิมานในอากาศก็อร่อย สร้างนรกในอากาศก็อร่อย มันจึงเพ้อไปได้ทุกชั่วโมง ชั่วโมง หรือทั้งวัน ทั้งคืน บางคนจะเก่งถึงหลายวันหลายคืน มันกรุ่นอยู่ได้
นี้ถ้าใครค้นพบในตัวว่ามีอยู่อย่างนี้ และก็รีบรู้จักว่ามันเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยงอย่างหนึ่งเหมือนกัน คือเป็นนิพพิเศวะนะ (นาทีที่ 41.21) คืออาการของคน อาการของกิเลสเลวร้ายตามธรรมดา ที่มัก ที่เป็นกันทั่วไปในหมู่ หมู่ หมู่ปุถุชน คนพาล เรียกว่าปุถุชนในที่นี้หมายถึงคนพาล คนที่ไม่มีธรรมะ ไม่มีปัญญา แล้วมันก็เป็นมากถ้าเทียบกับคนมีปัญญา มี intellect มาก หรือมี intellect น้อย มีปัญญาดิบมากหรือน้อย ถ้าให้มองในแง่ที่ไม่พึงปรารถนา ดีกว่าจะมองในแง่ที่พึงปรารถนา ว่ามันก็เป็นปัญญา มันก็เป็นปัญญาอันหนึ่ง กิเลสก็คือโพธิ โพธิก็คือกิเลส แต่ก็ไม่มี ไม่มีใครสอนให้รักกิเลส เขาสอนเพื่อให้ปัดทิ้งไปเสียทั้งคู่ ผู้ที่มีความรู้ถูกต้อง ไม่ ไม่ต้องการทั้งคู่ ทีนี้ผู้อยู่ในระดับต่ำมันก็ต้องเลือกเอาโพธิก่อน ถ้าว่าบางทีมันก็จะใช้ปัญญาประเภทโพธินี่ ทำลายปัญญา ประเภทกิเลส อาการอย่างนี้มันเกิดขึ้น สร้างอะไรในอากาศ นี่เกิดขึ้นก็รู้ว่ามันกำลังเดินผิดทาง มันกำลังเดินไปในทางที่จะเป็นกิเลส หรือกำลังเดินอยู่ในทางที่เป็นกิเลส เหมือนกับว่าเราได้ใช้มีดเล่มนี้ไปลักษณะที่เป็นการทำร้าย การประทุษร้ายไม่ใช่ใช้ไปในทางที่เป็นประโยชน์ อย่าได้ไปหลงว่าอร่อยดี และพร้อมกันนั้นก็ดูเห็นว่ามันมาติดกันอยู่ที่นี่ ความไม่ยอม ตามที่ใครๆ ก็ไม่ยอมใครแล้วก็ติดอยู่ที่นี่ เพราะมันอร่อยดีในความไม่ยอม และความไม่ยอมนี้ก็เป็นการรักษาไว้ซึ่งไอ้สร้างนรกในอากาศ
มองดูให้ดีแล้วจะรู้สึกว่าคนสมัยปัจจุบันนี้สร้างนรกในอากาศนี่มากขึ้น มากขึ้นยิ่งกว่าสร้างวิมานในอากาศ แม้ว่าเขาจะได้ตั้งต้นด้วยการสร้างวิมานในอากาศ แต่แล้วมันก็เปลี่ยนรูปเป็นสร้างนรกในอากาศไม่ทันรู้สึก ไม่ทันรู้สึก แล้วไปเรื่อยโดยไม่ทันรู้สึก เดี๋ยวนี้กำลังอยู่ในสภาพสร้างนรกในอากาศ ในส่วนบุคคลก็ดี ในส่วนรวมเช่นประเทศชาตินี่ก็ดี สังคมใหญ่ซึ่งรวมกันเป็นประเทศชาติ มหาประเทศ ไอ้อันนี้มันก็กำลังสร้างนรกในอากาศอยู่ทั้งนั้น สนุกสนานอย่างยิ่งในการคิดครุ่นไปในทำนองนรกในอากาศ ยังไม่มีใครจะทำร้าย ก็คิดไว้ล่วงหน้าได้ว่าเขาจะทำร้าย และยังไม่ ยังไม่ใช่วิธีที่จะใช้ทำร้ายกันอยู่ก็คิดได้ว่าจะเป็นวิธีที่จะเกิดขึ้นแล้วจะอย่างนั้น อย่างนั้น อย่างนั้น อย่างนั้น นั้นโลกเราทั้งโลกไม่มีความสงบสุข เพราะว่าโลกกำลังสร้างนรกในอากาศ คือคนทั้ง ๙๙ % นี่กำลังสร้างนรกในอากาศ ไหลเรื่อยเป็นเกลียวไปทีเดียว แม้ว่าจะได้ตั้งต้นสร้างวิมานในอากาศก็เปลี่ยนเป็นอย่างนี้ได้ หรือจะแยกเอาส่วนน้อยส่วนหนึ่งมาพิจารณาดูในแง่สร้างวิมานในอากาศก็ได้เหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่ ๙๐% นั้นมันเป็นเรื่องสร้างนรกในอากาศ แล้วโลกนี้ก็เป็นมากขึ้น มากขึ้น ตามความเจริญของวัตถุนิยม ความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุของโลกในสมัยปัจจุบันทำให้ส่งเสริมกิเลสทุกประเภท แล้วที่เอามาคำนึงใฝ่ฝันอยู่ก็เรื่องในอากาศ สร้างวิมานในอากาศ มองไปในแง่ดี จะใช้ความรู้ วิชาสมัยใหม่อย่างนั้นอย่างนี้ เพื่อความสะดวกสบายของมนุษย์อย่างนี้อย่างนั้น ฉะนั้นไปได้ไม่กี่กี่มากน้อย มันพลิกไปเป็นเรื่องนรกในอากาศ คือความหวาดกลัวเกิดขึ้นมา นั้นชีวิตมันอยู่ด้วยความหวาดกลัว ความระแวง มากกว่าสิ่งอื่น นี่เป็นเหตุให้เขาว่าเอาน้อยก็รู้สึกได้มาก เขาไม่ได้ว่าอะไรเลยก็คิดขึ้นได้เองว่า เขาว่าอย่างนั้น เขาว่าอย่างนี้ เขาจะว่าอย่างนั้น จะว่าอย่างนี้ บางเรื่องใหญ่โตมโหฬาร มันก็อยู่ในคำพูดโง่ๆ เล็กๆ น้อยๆ สองสามคำนี้ก็ได้ คำพูดโง่ๆ สองสามคำนี้ หมายความว่าคนทั้งโลก ที่ทำตัวเองเป็นคนฉลาด เขาเห็นว่าคำพูดของพระพุทธเจ้านี้เป็นคำพูดโง่ๆ ไม่ให้ความเอาใจใส่ ไม่พินิจพิจารณาดู ไม่หยิบขึ้นพิจารณาดูในฐานะที่จะใช้ประโยชน์เลย เพราะว่ากำลังสร้างนรกในอากาศ สร้างวิมานในอากาศ ด้วยวัตถุนิยม ด้วยอะไรก็ตาม รวมความแล้วโลกมันไปไม่รอดในเวลานี้ เพราะว่ามันดูหมิ่นศาสนา ศาสนาพุทธ ศาสนาคริสเตียน ศาสนาอิสลาม ศาสนาอะไรก็ตาม หรือปรัชญาหรือเนื่องด้วยศาสนาอะไรก็ตาม ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม ว่าไม่มีประโยชน์ ไม่คุ้มกับเวลาที่จะไปแตะต้อง เพราะไม่เข้าใจ ศาสนาพุทธก็เป็นหมัน ศาสนาคริสเตียนก็เป็นหมัน เพราะเหตุนี้ เป็นหมันสำหรับมนุษย์ในโลกปัจจุบันนี้
ทีนี้การสร้างนรกในอากาศนี้มันไม่ได้อยู่เพียงเท่านั้น มันกลายเป็นนรกขึ้นมาจริงๆ เป็นนรกอย่างยิ่ง นรกมากมายขึ้นมาจริงๆ ในตอนหลัง เพราะมันได้สร้างโครงการไว้เสร็จแล้ว เหลือ เหลือเฟือสำหรับเลือก สร้างไว้มากมายสำหรับเลือก แล้วมันก็ต้องเลือกได้อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นจริงๆ แล้วก็ทนไป ทน ทนอยู่ในนรกในอากาศนี่เรื่อยไป คืออยู่ด้วยความหวาดกลัว ไม่มีความสงบสุข บางทีพวกที่อยู่ที่นี้อาจจะโง่มากไปก็ได้ เพราะมันไม่มีอะไรรบกวนมาก มันพอจะมีความสงบสุขบ้าง จึงหยั่งจิตใจของพวกที่อยู่ในกลางกองไฟนั้นไม่ได้ พวกที่กำลังสร้างนรกในอากาศไม่ได้ เทียบเคียงดูไอ้จากนรกหรือสวรรค์ในอากาศ ที่เรามีได้บ้าง ไม่สู้มาก พูดว่าไม่สู้มากหรือมันจะมากก็ตามใจ เมื่อไปเทียบกับคนอื่นๆ ซึ่งมันมากกว่ามากแล้วล่ะก็ ก็ยังเข้าใจผิดได้เหมือนกัน
ถ้าว่ากิเลสกับโพธิเป็นสิ่งเดียวกันได้ นรกกับสวรรค์ก็เป็นสิ่งเดียวกันได้ แต่ผมพูดอย่างนี้อีก ต่อไปอีกเขาก็ ผมก็ เขาก็ว่าผมบ้า บ้ามากขึ้นไปอีก แล้วที่จริงมันเป็นอย่างนั้น แล้วนับประสาอะไรกับนรกกับสวรรค์ที่จะไม่เป็นอย่างเดียวกันได้ ถ้าหากว่าไอ้กิเลสกับโพธิมันก็คือสิ่งเดียวกัน ความสุขกับความทุกข์ก็สิ่งเดียวกัน มีค่า มี มี มีค่า มีความหมายก็ต่อเมื่อมีตัวกูของกู พอหมดตัวกูของกู มันก็เป็นสิ่งที่ไม่มีสาระอะไรเลย เป็นไอ้เรื่องที่เรียกว่าเศษขยะมูลฝอย นั้นจะเป็นนรก หรือเป็นสวรรค์ นั่นก็ ล้วนแต่เป็นเครื่องทรมาน เครื่องจองจำ ทรมาน เผาลน หุ้มห่อด้วยกัน มีคำเปรียบว่าไฟชนิดหนึ่งแห้งร้อน หรือไฟชนิดหนึ่งเปียก เปียกหรือเย็น แต่หมายถึงเย็นอย่างเผาลน ไม่ใช่เย็นอย่างในความหมายธรรมดา ไอ้ความหมายอีกความหมายหนึ่ง ถ้าให้ความเย็นแก่เนื้อหนังร่างกายนี้ มากเกินกว่าศูนย์ดีกรีหลายๆ เข้ามันก็ตายเหมือนกัน มันก็เจ็บปวดรวดร้าวทนไม่ได้ ไอ้เย็นชนิดนี้มันก็เท่ากับความร้อนชนิดหนึ่ง เป็นอุณหภูมิระดับหนึ่ง ถ้าเรารอดตัวมีชีวิตกันมาในธรรมชาติในโลกนี้ก็เพราะว่าความเหมาะสมของอุณหภูมิของอะไรมันมาในรูปที่ถูกต้อง มันจึงงอกงามอยู่ มีชีวิตอยู่ เหลืออยู่จนกระทั่งบัดนี้ไม่รู้กี่ล้านๆ ปีมาแล้ว ไอ้นี่มันผิด ทั้งที่มันผิดความเหมาะสมมันก็สูญสิ้นไปไม่รู้กี่พวก กี่ร้อยพวก พันพวก หมื่นพวก เหลืออยู่มนุษย์พวกเดียว หรือสัตว์พวกเดียวที่อยู่ เห็นๆ อยู่เดี๋ยวนี้ เราก็หลงเรียกว่าไอ้ร้อน ไอ้เย็น ไอ้สุข ไอ้ทุกข์ไปแล้ว หลงไปแล้ว แล้วมันก็โง่มากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น จนเอาไอ้เรื่องนิดๆ เล็กๆ นิดๆ เช่นรัก เช่นโกรธ เช่นชอบ เช่นไม่ชอบ เป็นเรื่องใหญ่ แต่ทั่งที่โง่ที่สุด ก็เอาอร่อยที่ลิ้น ไม่อร่อยที่ลิ้น เป็นเรื่องใหญ่แล้ว ถ้ามันอร่อยด้วยความโง่มันก็เป็นสวรรค์ได้ ถ้ามันไม่อร่อยด้วยความโง่มันก็เป็นนรกได้ พอใจด้วยความโง่ก็เป็นสวรรค์ได้ ไม่พอใจด้วยความโง่ก็เป็นนรกได้ แต่แล้วไม่ว่าอะไรแม้ทั้งนรกและสวรรค์ มันเป็นของทรมาน ทรมาน ผู้ที่มีความยึดถือ นั้นตัดบทได้ด้วยการหมดความยึดถือ ไม่สร้างสวรรค์ในอากาศ ไม่สร้างนรกในอากาศ ไม่สร้างสุข สร้างทุกข์ไม่สร้างอะไรชนิดที่ เป็นคู่คู่ คู่คู่ ตรงกันข้ามไป ต้องการความปรกติ อยู่เฉย ความเฉย
คำว่าความเฉย คำนี้มีความหมายพิเศษ ไม่ใช่เฉยอย่างธรรมดา คำว่าความเฉยมีหลายคำ นี่ฝากไว้ จำไว้ด้วย ไป ไปศึกษาดู ค้นดู สังเกตดู เปรียบเทียบดู ไอ้เฉยทางวัตถุ นั้นมันก็เฉยอย่างหนึ่ง ไอ้เฉยเพราะมันเอือม มันอิ่มมันอะไรมันก็อย่างนึง เดี๋ยวมันก็อยากอีก ไอ้เฉยเพราะมันรู้ถูกต้องถึงที่สุด ไม่มีอะไรน่าสนใจ ไม่มีอะไรที่น่าให้ความหมายเลยเหล่านี้ อย่างนั้นอย่างนี้ เฉยอย่างนี้ จึงเฉยๆ ที่ว่าสูงสุด เฉยอย่างที่เป็นองค์คุณของพระอรหันต์ ไอ้เฉยอย่างที่เป็นองค์คุณของฌานของสมาธินั้นยังใช้ไม่ได้ อุเบกขาตัวนั้นมันเป็นองค์หนึ่งของสมาธิของฌาน ไปคว้าอันอื่น ตัวอื่นที่เป็นองค์คุณของอรหัตตมรรค คือเฉยทุกสิ่ง ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ มันเฉยเพราะมันรู้ว่าไม่มีค่า ไม่มีความหมายที่น่าสนใจ มันจึงเฉย นี่เฉยอย่างคนเฉยๆ นี่มันเกลียดน้ำหน้าหรือมันเบื่อเข้า หรือว่ามันอิ่มแล้ว หรือว่ามันเฉยอย่างนี้มันเฉยชั่วขณะ เหมือนกับผัวเมีย บางวันก็เฉยเมยต่อกัน บางวันก็บ้ากันถึงที่สุด เฉย แบบนี้ไม่ใช่เฉยตามความหมายที่พูดถึงนี้
เรื่องตัวกูของกูมีอะไรหลายแง่หลายมุม ถึงขนาดที่มันให้ยกหูชูหาง ในลักษณะที่ต่างกันมาก ถ้ามันยกหูชูหางเริงร่าขึ้นมาเที่ยวโลดเที่ยวเต้นอยู่มันก็แบบหนึ่ง เหมือนที่เราพูดถึงในคราวที่แล้ว แต่คราวนี้มันไปนอนใฝ่ฝันอยู่ ในการยกหูชูหางจะอยู่ในรูปของการใฝ่ฝัน ของการเพ้อฝัน ที่ทำอะไรใครไม่ได้ หรือว่ายังไม่ได้ทำอะไรใครออกมาภายนอก มันเป็นความเพ้อฝัน ซึ่งเราเรียกว่าสร้างอะไรในอากาศ นี่เพราะฉะนั้นขึ้นชื่อว่าตัวกูของกูแล้วมันไม่ยอมลดหูลดหางเท่าไร นั้นจะสร้างได้แม้ในความเพ้อฝัน สร้างสวรรค์ในอากาศ สร้างนรกในอากาศ นั้นเราทุกคนควรจะไม่ประมาท เพราะมันลึกลับซับซ้อน เพราะมันมีเล่นตลกมากกว่าธรรมดา ที่จะไม่รู้เท่าทันมัน นี่คำว่าท่านทั้งหลายอย่าประมาท หรือถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท มันหมายความว่ามาถึงขั้นชั้น มาถึงอย่างนี้ด้วยชนิดนี้ด้วย อย่าประมาท อย่าอวดดี หาได้ง่าย เข้าใจได้ง่าย เดี๋ยวนี้ไม่มีอะไรแล้วสิ้นเรื่องแล้ว เสร็จแล้วก็ อยากเป็นอย่างว่า คือยกหูชูหางอยู่ในอากาศในความเพ้อฝัน พอจับตัวมันได้ก็ต้องด่ามันว่าไอ้ชาติหมาอีกเหมือนกัน ในความเพ้อฝัน นี่ มันเป็นในความเพ้อฝัน พอไม่มีสติสัมปชัญญะ พอเผลอไปก็สบายไปเลย สบายไปเลย เก่งไปเลย
นั้นระวังให้ดีอย่าไปหลงในวิปัสสนาสร้างวิมานในอากาศ สร้างนรกในอากาศ อย่าไปหลงอาจารย์วิปัสสนาที่กำลังสร้างวิมานหรือนรกในอากาศโดยไม่รู้สึกตัว ดูๆ แล้วไอ้วิปัสสนาของสมัยนี้มันเป็นเรื่องสร้างอะไรในอากาศเสียอย่างนี้มากกว่า นั้นผมจึงไม่อยากเรียกว่าวิปัสสนา พระพุทธเจ้าก็ไม่เคยเรียกวิปัสสนา ไม่เคยใช้คำคำนี้ หนังสืออรรถกถาชั้นหลังมันใช้ แล้วมันเขียนพระพุทธเจ้าพูด จะมีอยู่สองสามคำ ใช้คำวิปัสสนา สมถะวิปัสนา ในบาลีในพุทธภาษิต แต่มีสองสามคำ ส่วนมาก หรือว่าตั้ง ๙๙% ท่านใช้คำอื่น คือใช้คำธรรมดาที่สุด ให้เกิดความรู้ ให้เกิดแสงสว่าง ให้เกิดอะไรก็ตาม ในสิ่ง ในคำเหล่านั้น ไม่มีคำว่าวิปัสสนา จักขุงอุทะปาทิ ญาณังอุทะปาทิ อาโลโกอุทะปาทิ ใช้คำอย่างนี้อยู่ทั่วๆ ไป พอโผล่ขึ้นไอ้หนังสือธรรมบทมันก็สอนให้โง่ซะแล้ว เรื่องแรกที่สุดในอรรถาธรรมบท พระจักขุบันได้ถาม ถามพระพุทธเจ้าว่า ธุระในพุทธศาสนามีกี่อย่าง ว่าแล้วก็เขียนว่า พระพุทธเจ้าว่ามีสองอย่างคือ คันถธุระ วิปัสนาธุระ อย่างนี้เราก็โง่กันตั้งแต่ทีแรกแล้ว ว่าไอ้ธุระจริงจังสองอย่าง มันโดยปริยายในสมัยที่เขียนอรรถกถานั้นนะ พ.ศ.ล่วงมาตั้งพันแล้ว มีกิจการฝ่ายคันถธุระเป็นปึกแผ่นแล้ว วิปัสสนาถูกแยกตัวออกไปเป็นพระนั่นนี่ไปแล้ว ครั้งพุทธกาลเขาไม่ได้แยกกันอย่างนี้ พระทุกองค์จะต้องมองด้านใน ไม่ยกเว้นพระองค์ไหนต้องมองด้านใน ให้เกิดญาณ เกิดปัญญา เกิดวิชชา เกิดแสงสว่าง แล้วก็ไม่เรียกว่าวิปัสสนา ไม่ได้ใช้คำพูดคำนี้ มีคำเป็นอันมากที่มันไม่เคยใช้ในครั้งพุทธกาล เดี๋ยวนี้เอาขึ้นใช้แทนคำที่เคยใช้ในครั้งพุทธกาล แล้วทำความสับสนให้แก่แก่พวกเราสมัยนี้
นั้นระวังให้ดี อย่าให้วิปัสสนาเป็นเรื่องสร้างอะไรในอากาศขึ้นมาระวังให้ดีๆ อย่าให้สิ่งที่เรียกว่าวิปัสนากลายเป็นเพียงโอกาสหรือเครื่องมือสำหรับสร้างอะไรในอากาศ มันจะฉิบหายวายวอดไม่มีอะไรเหลือ มีคนถามเรื่อย แม้เมื่อวานซืนก็มีคนถาม ไอ้พวกที่สนใจมาจากกรุงเทพฯ ที่นี่ทำวิปัสสนาไหม ผมบอกว่า วิปัสสนาอย่างคุณว่าไม่ได้ทำหรอก ไม่ได้ทำหรอกอย่างที่เขาว่าไม่ได้ทำ วิปัสสนาในแบบฟอร์มที่ตายตัวแล้ว มีความเพ้อฝันที่วาดไว้ให้ตายตัวก็ยังแยก แม้ความเพ้อฝันก็ยังอยู่ในรูปในกรอบในแบบที่ใครวาดไว้ให้ตายตัว นี่มันก็หมดหมดเวลาแล้ว
สรุปความเสียทีว่าอย่า อย่าทำวิปัสสนาแบบสร้างอะไรในอากาศให้ระวังที่สุดก็คือ สร้างนรกในอากาศ ในนามของไอ้ความถูกต้อง ความมีเหตุผลของตัวกู ของกู ที่ยกหูชูหาง อยู่ในความเพ้อฝัน ทำให้คุณได้ความรู้แปลกออกไปอีกหน่อยว่า ไอ้การยกหูชูหางนี้มีได้แม้ในการเพ้อฝัน อย่างสร้าง สร้างอะไรในอากาศ ไม่ได้เกี่ยวกับบุคคลใดโดยตรง แต่มันสร้างขึ้นมาได้ว่า เขาไม่ได้ว่าอะไรเลยก็ ก็สร้างขึ้นมาได้ว่าเขาว่าอะไรเราอย่างนั้นอย่างนี้ขยายไปใหญ่ และเขาว่านิดเดียวก็ไปขยายไอ้ความโกรธได้มาก และเขาว่าโดยเจนตนาดีโดยถูกต้องแท้ๆ ก็เอาไปเปลี่ยนรูปเป็นเจตนาร้าย แล้วไปขยายความโกรธ ความน้อยใจ ความเสียใจอะไรได้บ้าง นี้มันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ในชีวิตประจำวัน ที่เขาเรียกว่าเรื่องที่มีอยู่จริงในชีวิตประจำวันที่ต้องสนใจให้มาก ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน ไม่ใช่เรื่องในคัมภีร์ ไม่ใช่เรื่องสำหรับไว้พูด แต่เป็นเรื่องที่มีอยู่จริงในชีวิตประจำวัน คือการสร้างนรกในอากาศโดยเฉพาะ ความโกรธ ความหงุดหงิด ความมีปฏิฆะน้อยอกน้อยใจ กระทั่งไม่มีที่น้อยอกน้อยใจใคร ก็น้อยอกน้อยใจโชคชะตาวาสนาผีสางเทวดาเคราะห์กรรมอะไรไป มันเป็นเรื่องของคนโง่ แต่ต้นจนปลาย เลิกแล้วพอกันทีแล้ว
1:04:50 (เสียงถามเบามาก) …. นั่นมันเป็นหลักอยู่แล้วจะต้องกล่าวจะต้องถามทำไม แม้แต่สิ่งที่เอ้อ กิเลสทุกประเภท รวมทั้ง กิเลสประเภทนิวรณ์ก็อยู่กฎเกณฑ์ของปหานะสามอย่าง ตทังคปหานะ วิกขัมภนปหานะ สมุจเฉทปหานะ อย่างที่เราเรียนกันมาแล้ว สำหรับพระอรหันต์มันก็ไม่มี ไม่มีอะไรที่พูดถึงนิวรณ์ เพราะมันไม่มีทางที่จะเกิด 1:05:34 (เสียงถามเบามาก) … นั่นมันสูงมันระดับสุดท้าย มันระดับสูงสำหรับผู้ที่รู้เห็น ถึงที่สุดแล้ว มันจึงจะเห็นอย่างนั้นได้ เดี๋ยวกันก็ได้แต่พูดให้ฟังว่ามองดูให้ดี กิเลสก็คือโพธิ โพธิก็คือกิเลส แต่แล้วเราก็ไม่สามารถ จะมีจิตใจชนิดที่ไม่ยอมรับผลของฝ่ายหนึ่งหรือ หรือทั้งสองฝ่าย เพราะผลของมันเกิดขึ้นหรือว่ามันจะเกิดขึ้น หรือคิดว่ามันจะเกิดขึ้นมันก็ยินดียินร้าย 1:06:30 (เสียงถามเบามาก) … ในใจยังไม่ถึงนะ มันมีอยู่ที่ว่าเราต้องการนั่นนะ ถ้าเราต้องการมันก็มีค่า ถ้าเราไม่ต้องการก็ไม่มีค่า พอเราไม่ต้องการทั้งกิเลสทั้งโพธิเป็นของไม่มีค่าเหมือนกัน เหมือนกันก็เพราะข้อนี้ ถ้าเราต้องการโพธิอยู่ยังเกิดกิเลสอยู่ ก็คือยังมีอุปทานอยู่ คนนั้นยังมีอุปทานอยู่ 1:07:05 (เสียงถามเบามาก) …. ถ้านั้นก็แน่นอน เป็นหลักปัจจุบันที่พูดอยู่เดี๋ยวนี้