แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๑๑ เป็นวันธรรมปาฏิโมกข์อีกวันหนึ่ง เป็นพิเศษชนิดของพวกเราที่นี่ อย่างที่เคยพูดกันแล้วว่าไม่มีเรื่องอื่น ซ้ำซากอยู่แต่เรื่องตัวกูของกูในแง่ใดแง่หนึ่ง เพราะว่ามันไม่มีเรื่องอื่นจริงๆ ที่เป็นตัวพุทธศาสนา เรื่องทำลายความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกูของกูเรื่องเดียวเท่านั้น เรื่องอื่นกี่ร้อยกี่พันกี่หมื่นเรื่อง มันเป็นบริวารของเรื่องนี้ คือว่าเป็นคำอธิบายของเรื่องนี้ นี่ก็เป็นเรื่องพูดซ้ำๆ อยู่นี่ แม้ ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์ ล้วนแต่เป็นคำอธิบายรู้เรื่องตัวกูของกู กับการทำลายหรือดับเสียซึ่งตัวกูของกูหรือดับทุกข์
ทีนี้คนส่วนมากทั้งฝรั่ง ทั้งไทย ทั้งนั้นแหล่ะ ทั้งเจ้าของพุทธศาสนาเองนี้ก็จับหลักข้อนี้ไม่ได้ เพราะว่าไม่ชอบที่จะมีเรื่องสั้นๆ เพียงเรื่องเดียวอย่างนี้ มันชอบให้มีเรื่องมากให้หรูหรา ให้เป็นผู้รู้มาก เรียนมาก พูดมาก คิดมาก มันจึงเลยไม่เป็นพุทธศาสนา ไม่เข้าถึงตัวพุทธศาสนา เปรียบเทียบหรือตัวยกตัวอย่างโดยตรงสัก ๒ เรื่อง เรื่องปริยัติ กับเรื่องปฏิบัติวิปัสสนา สำหรับเรื่องปริยัตินี้ หมายความว่ามันเป็นเรื่องที่เฟ้อจนเป็นวรรณคดี ที่เขาเรียกกันว่าวรรณคดี อักษรศาสตร์วรรณคดี มันมันเฟ้อจนกลายเป็นวรรณคดี พระไตรปิฎกนั่นเองคือวรรณคดี ถ้ามันเป็นเรื่องพุทธศาสนาโดยเฉพาะ มันก็เท่าที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่คนคนหนึ่ง ให้เหมาะกับเหตุการณ์นิสัยของคนนั้นแล้วก็วันธรรมะที่นั่นนั่นเองอีกคำ เพราะใจความอยู่แต่เรื่องดับความยึดถือเรื่องตัวกูของกูทั้งนั้น เขาใช้คำว่าอัตตา อนัตตาโดยมาก ถึงจะพูดโดยชื่ออื่นๆ มันก็ใจความมันอยู่แค่นี้ อยู่แค่อนัตตาแค่ไม่มีตัวตนนี่ทุกเรื่อง อย่างนี้มันยังไม่ถึงขนาดที่เรียกว่าเป็นวรรณคดี พอพระพุทธเจ้านิพพานแล้ว เขาเก็บรวบรวมไอ้เรื่องต่างๆ นี่มารวมกันเข้า แล้วก็เพิ่มมากขึ้นมากขึ้นทุกๆ ครั้งที่ทำสังคายนา แล้วมันเนื่องจากต้องจัดให้ไพเราะทางภาษา ถ้าคุณไม่สะเพร่าหรือเลินเล่อเกินไป เคยอ่านเคยเรียนเรื่องสังคายนามาแล้วว่าต้องปรับปรุง ให้เป็นภาษาที่สวดสังคายนาได้ ภาษาที่พระพุทธเจ้าท่านพูดนี้ ท่านพูดเหมือนกับชาวบ้าน ชาวบ้านพูดกับชาวบ้าน ไม่เป็นภาษาที่ไพเราะอะไรเลย แล้วเป็น ภาษาปรากฤต ภาษาเลวๆ อย่างที่จารึกอโศก ที่แผ่นนั้นแล้วไปอ่านดู แล้วไปเทียบกับภาษาบาลีดู เอวานะ ปิเยนะ ปิยะทัสสินะ(นาทีที่ 08:03) ถ้าเป็นภาษาสันสกฤตหรือภาษาบาลีมันไพเราะกว่านั้นมาก เปรียบเทียบภาษาไทย เช่นว่า ทำราชการ ภาษาบาลีเป็นทำราชการ ภาษาปรากฤต ทำราก กาน(นาทีที่ 08:25) อย่างคนเมืองนี้พูด โยมของผมก็พูดอย่างนี้ ผมได้ยินมาแต่เด็กๆ ไอ้คนนี้มันทำรากกาน (นาทีที่ 08:35) ราชการเหลือ รากกาน ( นาทีที่ 08:38) นั่นคือ ภาษาปรากฤตที่พระพุทธเจ้าท่านใช้พูดสอนประชาชน ไปที่เมืองไหนก็พูดปรากฤตเมืองนั้น ปรากฤตนี้หลายๆ เมืองหลายๆ แคว้น ถ้าอยู่ที่แคว้นมคธมากก็พูดปรากฤตอย่างแคว้นมคธมาก แล้วก็ ปรากฤตอย่างอโศกนี้ ปรากฤตอย่างอโศกนี้ปรากฤตอย่างแคว้นมคธ เพราะพระเจ้าอโศกครองแคว้นมคธ นี้ปรากฤตอย่างโกศล กาสีก็มีไปต่างๆ ไปกัน มันเพี้ยนกันอย่างขนาดว่า พูดไชยา พูดนคร ชุมพร สงขลา พัทลุง เพี้ยนกันพออย่างนี้ อย่างผมไปปัตตานี ผมก็พูดอย่างนั้นให้เขาฟังถูกรู้เรื่องได้ ภาษาปรากฤต นี้ไม่ ไม่ ไม่เหมาะ ที่จะทรงพระพุทธวจนะในฐานะที่เป็นตำรา ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนเป็นภาษาที่สละสลวยร้อยกรองขึ้นทีหลัง มันเลยเป็นลักษณะวรรณคดี แล้วมันมากขึ้นๆ เติมเข้าไปมากขึ้นๆ ให้มันครบ ให้มันบริบูรณ์ จัดหมวดจัดอะไรกันอย่างดี จัดไปตามลำดับที่พูดก็มี จัดตามลำดับตัวเลขอย่างขุททกนิกายก็มี จะเห็นได้ว่าเรื่องที่มีอยู่ในมัจฉิมนิกาย ฑีฆนิกายก็มาอยู่ในอังคุตตรนิกาย จัดตามลำดับมากน้อย นั้นมันจึงเปลี่ยนรูปเป็นวรรณคดี พอครบ ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์ ก็เป็นวรรณคดีเอกของโลกไม่มีใครยาวเท่า เพราะมันยาววาหนึ่งเต็มๆ พระไตรปิฏกเมื่อพิมพ์แล้วมันยาววาหนึ่งพอดี วาหลวงนะยาวกว่าผมเสียอีก มาเรียงเล่มตามสัน ทีนี้เมื่อเรียนพระไตรปิฎกก็ยิ่งไม่รู้พุทธศาสนาเพราะมันยิ่งเรียนวรรณคดี นั้นเราก็เรียนวรรณคดีแล้วความไพเราะของวรรณคดีก็ดึงจิตใจไปทางศิลปะทางอักษรศาสตร์ทางอะไรต่างๆ ก็เลยเป็นโอกาสทำมาหากินด้วยศิลปะเหล่านี้ นั้นยิ่งเรียนพระไตรปิฎกยิ่งไม่รู้จักพุทธศาสนาก็เพราะเหตุนี้ แล้วยิ่งไปหากินอย่างตะลบตะแลงหลอกลวงก็มี เพราะมันยิ่งง่ายนี่ มันใช้ได้ง่าย
นี่เรื่องปริยัติที่ทำให้คนติดตังไม่รู้พุทธศาสนา ยิ่งเรียนยิ่งไม่รู้ ยิ่งรู้ยิ่งยาก ยิ่งรู้ท่วมหัวยิ่งเอาตัวไม่รอด เพราะเหตุที่มันเป็นวรรณคดีที่เฟ้อ ถ้ามีใครสนใจจับเอาใจความให้ได้ ไม่ใช่ในลักษณะวรรณคดี จับหลักธรรมะให้ได้เรื่อง ไม่มีอะไรกว่า นอกจากระวังเรื่องที่จะเข้ามาในจิต ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แล้วก็อย่าให้เรื่องนั้นมันเข้าไปปรุงแต่งในจิตเป็นตัวกูของกู เท่านั้นเอง มีอยู่เท่านั้นเอง สูตรไหนก็สูตรนั้นมีความมุ่งหมายอย่างนี้ แต่คนเขาไม่ได้เรียนสูตรเหล่านั้นในลักษณะอย่างนี้ เรียนในลักษณะที่เป็นของแปลก ของใหม่ไม่เหมือน ไม่ซ้ำไม่อะไรกันไปเรื่อยไปเลย มากจนท่วมหัวท่วมหู คำว่าตกหลุมวรรณคดีความมืดสีขาวอย่างที่เคยพูดวันก่อน คือหมอกแห่งวรรณคดี หมอกแห่งคำพูดที่ถือเอาใจความไม่ได้ เมฆหมอกแห่งคำพูดที่คนเหล่านี้ถือเอาใจความไม่ได้ นี่พระไตรปิฎกก็บังพระธรรม ใครไม่โง่เกินไปก็คงจะฟังถูก ว่าพระไตรปิฎกนั่นแหละบังพระธรรม พระธรรมที่จะดับทุกข์ได้ นิยยานิกธรรม ญายธรรม อะไรก็ตาม พระธรรมแท้นั้นถูกบังมิดโดยพระไตรปิฎก แล้วคนก็เข้าไม่ถึง นี่ก็กลายเป็นคนบ้าวรรณคดี บ้าภาษาศาสตร์ อักษรศาสตร์ อย่างที่เรียนกันเป็นเปรียญ ๙ ประโยคอะไรก็สุดแท้ นี่เป็นเหตุให้ไม่ถึงตัวธรรมะในส่วนปริยัติ
ทีนี้ตัวอย่างที่ ๒ เรื่องปฏิบัติสมถะวิปัสสนา คุณอ่านบาลีอ่านอรรถกถาหรือแม้แต่อ่านธรรมบทก็ตาม จะเห็นว่าปฏิบัติวิปัสสนาครั้งกระโน้นไม่มีแบบไม่มีรูป ไม่มีแบบไม่มีพิธีรีตอง ไม่มีความต้องการที่จะปฏิบัติวิปัสสนา นี่คุณฟังให้ดีนะว่าเขาไปขอการปฏิบัติกับพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ไปขอวิปัสสนาขอกรรมฐานอะไรเหมือนที่พูดกันเดี๋ยวนี้ คือไปไอ้ความทุกข์ร้อนทางจิตใจเฉพาะตัว แก่พระพุทธเจ้าหรือครูบาอาจารย์ แล้วท่านก็บอกว่าจงทำอย่างนั้นจงคิดอย่างนั้น จงดำรงจิตอยู่แต่อย่างนั้น ไม่ได้ใช้คำว่าวิปัสสนาหรือตั้งพิธีรีตองเหมือนกับเดี๋ยวนี้ แล้วมันจึงเป็นการปฏิบัติธรรมแท้ๆ ปฏิบัติธรรมทางจิตแท้ๆ เลยได้ประโยชน์ ทีนี้พอมาถึงเดี๋ยวนี้วิปัสสนาเกิดเป็นฟอร์ม เป็นแบบ เป็นฟอร์ม เป็นรูปบัญญัติเฉพาะอะไรขึ้นมา แล้วก็มีการทำให้เข้าใจว่า วิเศษ ศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธิ์ กระทั่งมีฤทธิ์ มีเดช มีปาฏิหารย์ มันไปทำวิปัสสนาเข้ามันก็บ้า บ้าก็ต้องจับล่ามโซ่ บ้าไปส่งโรงพยาบาล ซึ่งมันไม่เคยมีในครั้งพุทธกาล ปฏิบัติธรรมะในทางจิตนั้นไม่เคยมีใครบ้าในครั้งพุทธกาล มีแต่ได้ประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งขั้นใดขั้นหนึ่ง เดี๋ยวนี้ทำวิปัสสนาบ้าหลายสิบเปอร์เซนต์ ไม่มากก็น้อย ไอ้บ้าเลยบ้าเสียคนไปเลยนั้นก็มีมาก บ้าไปเลยนั้นก็มีเพราะทำวิปัสสนาบ้า แล้วก็บ้าครึ่งๆ กลางๆ คุ้มดีคุ้มร้ายเที่ยวอวดดีอยู่ อะไรอยู่นี่ก็มีมากที่สุดหลายสิบเปอร์เซนต์ ที่จะได้รับผลของความดับทุกข์โดยตรงหายากเต็มที เพราะมันเป็นวิปัสสนายกหูชูหางทั้งนั้น วิปัสสนาเพื่อจะดีกว่าคนอื่น เพื่อจะสอนคนอื่นจะเป็นอาจารย์แล้วทำนาบนหลังลูกศิษย์ นี่ๆ อย่างไม่บ้า อย่างที่ไม่บ้าแล้วเป็นอย่างนี้ ไอ้ที่ทำไปโดยความบริสุทธิ์ใจโดยตรงนั้นมันมีน้อยมาก ซึ่งจะไม่บ้าด้วยแล้วก็ได้ผลตามสมควรด้วยมันมีน้อยมาก นี่เรียกว่าไอ้วิปัสสนารูปแบบ ที่ปรุงกันขึ้นเป็นรูปเป็นแบบ เป็นพิธีรีตองอย่างนั้นอย่างนี้ นับตั้งแต่ว่าต้องเอาดอกไม้ธูปเทียนมา มอบเนื้อมอบตัว อัญเชิญอย่างนั้นอัญเชิญอย่างนี้ ประกาศอย่างนั้นทำอย่างนี้ แล้วก็ให้ทำไปเหมือนกับเครื่องจักร เห็นดวงอย่างนั้นเห็นสีอย่างนี้คืออย่างนั้นอย่างนี้ มันเป็นรูปฟอร์มสำเร็จรูปไปอย่างนี่คือไปสู่ความบ้า ก็เรียกว่าวิปัสสนาสมัยนี้นั่นเอง ปิดบังพระธรรมส่วนที่เป็นปฏิบัติ เป็นพระไตรปิฎกก็ปิดบังพระธรรมส่วนที่เป็นหลักปริยัติ ไอ้วิปัสสนารูปแบบนี้ก็ปิดบังไอ้การปฏิบัติธรรมะที่แท้จริง ที่โดยตรงของพระพุทธเจ้า ครั้นปริยัติธรรมก็ดีปฏิบัติธรรมก็ดีมันมีเครื่องปิดบังเสียอย่างนี้ นั้นไอ้เรื่องปฏิเวทธรรม คือผลที่ได้รับมันก็เลยไม่มี ถ้ามีก็บ้าอย่างเดียวกันอีก ก็คือบ้า บ้านั่นเอง คือเป็นคนบ้าวิปัสสนา ต้องจับล่ามโซ่นั่นก็คือผลของวิปัสสนาหรือปฏิบัติธรรมในรูปอย่างนี้
ทีนี้อีกด้านหนึ่งเมื่อมันมัวเมาในเรื่องความรู้เสียแล้ว ผลมันก็คือลาภ ยศ สักการะอย่างดีที่สุด มีคนนับหน้าถือตา มันก็มีผลอย่างนั้นไป ไม่มีผลเป็นไอ้มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ เลย นี้เรียกว่าไอ้เมฆหรือหมอกไอ้เครื่องปิดบังพระธรรมทั้งปริยัติทั้งปฏิบัติมันมีอยู่อย่างนี้ มันกลายเป็นว่าเพื่อส่งเสริมตัวกูของกู ให้ยกหูชูหางทางปริยัติบ้างให้ยกหูชูหางทางปฏิบัติบ้างทั้ง ๒ ทาง แล้วมันจะหาที่พึ่งได้ที่ไหน เพราะว่าสิ่งที่ควรจะเป็นที่พึ่งนั้นมันถูกเข้าใจผิด ถูกทำให้เป็นอย่างนี้ แล้วลักษณะอย่างที่ว่าทั้งหมดนี่คือ สีลัพพตปรามาส สีลัพพตปรามาสที่พูดถึงกันอยู่เสมอและอย่างร้ายแรงที่สุด ที่ปิดกั้นหนทางของการบรรลุมรรคผลนิพพาน เพราะเมื่อมันทำไปจนชินจนเคยตัวอย่างนี้แล้ว มันก็ยากที่จะถอนออกได้และมันก็เป็น สีลัพพตปรามาส ที่แท้จริง หมายความว่า มันอยู่ในเรื่องในราวของเราที่เราไปไม่รอด ไปไม่สำเร็จ ก็เพราะสังโยชน์ข้อนี้ที่ได้มีอยู่จริงๆ และมากมายท่วมท้นไปหมด
นั้นมันก็อาจจะสรุปเข้าเรื่องที่พูดมาแล้วว่า ปริยัติก็ดีปฏิบัติก็ดีมันมีใจความสำคัญอยู่ที่ทำลายตัวกูของกู ป้องกันการเกิดแห่งตัวกูของกู ก็ทำลายการเกิดแห่งตัวกูของกูอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าเรียนก็เรียนเพื่ออันนี้ ถ้าปฏิบัติก็ปฏิบัติเพื่ออันนี้ ถึงเดี๋ยวนี้เราไม่เอากันอย่างนั้น กลับจะสงวนไว้ซึ่งตัวกูของกู พวกปริยัติก็สงวนที่จะเป็นเด่นไปทางปริยัติ พวกปฏิบัติก็สงวนทางเด่นทางปฏิบัติ
ทีนี้ขออภัยที่จะพูดตรงๆ ว่า พวกที่ตั้งใจจะเอาจริงนี่ ก็ยังสงวนตัวกูของกูไว้ด้วยความเคยชิน ทุกองค์นี่ถ้ามีอะไรที่เกิดขึ้นเป็นตัวกูของกูแล้วขอให้เข้าใจว่า มันมีผลจากการที่เคยชินและไม่ยอม ไม่ยอมสละโดยแท้จริง สงวนเอาไว้ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าสิ่งนี้จะต้องละนี่ ก็ไม่ละ เลวกี่มากน้อยคิดดูสิ ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าสิ่งนี้ต้องละนะ ไอ้ตัวกูของกูแบบนี้ หัวดื้อแบบนี้ต้องละ แล้วก็ไม่ละ มันเลวกี่มากน้อย มันควรจะเรียกว่าไอ้ชาติหมาเลย ไอ้เลวชนิดนี้ เหมือนกับเรื่องราชสีห์นอน อย่างอรรถกถาอธิบาย ชาคริยานุโยค เรื่องราชสีห์นอนนั้นนะ ขอให้เอามาระลึกไว้เสมอ ถ้าทำอะไรไม่สมกับเพศกับภูมิของตัวแล้ว ให้ถือว่าไอ้ชาติหมา บางคนอาจจะไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ ก็เล่าให้ฟังซ้ำอีกว่า ราชสีห์นอนบนก้อนกรวดในถ้ำ โนหะระตาละศิลานี่ (นาทีที่ 22:49) เป็นก้อนกรวดชนิดหนึ่งในถ้ำที่มันอยู่ พอมันล้มตัวลงนอน มันมีสติอย่างที่มีพูดใน ชาคริยานุโยค มีสติล้มตัวลงนอน มีสติกำหนดทุกอย่าง กำหนดทิศตะวันตก ทิศตะวันออก ทิศเหนือ ทิศใต้ มือ เท้า หาง หัวอยู่อย่างนี้ กรวดมโนหะระตาระศิลา(นาทีที่ 23:20).เรียบ เรียบอยู่อย่างนี้ แล้วมันก็นอน ทีนี้มันตื่นขึ้นมา มันก็ดูก่อนที่มันจะลุกขึ้นมันดู ไอ้กรวดเหล่านี้ว่าเป็นยังไง ก็เห็นกรวดมันขยุกขยิกผิดไปจากเดิม มันก็รู้ได้ว่ามันนอนดิ้น มือเท้าหูหางหัวหางมันดิ้น กรวดมันผิดไปจากเดิม มันจึงว่าไอ้ชาติหมา นี่ไม่ใช่ราชสีห์นะ ไม่ใช่ชาติราชสีห์แล้ว ไอ้ชาติหมา ว่านอนไม่สมกับที่เป็นราชสีห์ มันก็เลยว่าไอ้ชาติหมา นอนอย่างไอ้ชาติหมา คือนอนไม่สมกับอย่างที่เป็นราชสีห์ แล้วมันก็เลยนอนใหม่ไม่ลุก มันก็จัดการใหม่แล้วมันก็นอนใหม่แล้วก็ไม่ลุก ยอมอดอาหาร ไม่ไปหาอาหารตามเวลา ทีนี้ก็ตื่นขึ้นมาอีก ถ้ามันยังเป็นอย่างนั้นอีกก็ไอ้ชาติหมาอีก ทีนี้มันตื่นขึ้นมามันเห็นเรียบ บางทีมันหลายครั้งเข้ามันอาจจะเพลียมันไม่ดิ้น มันก็เลย กรวดมันก็เรียบดีอยู่หรือตามใจมันเถอะ แต่ถ้ามันตื่นขึ้นมากรวดนี้เรียบไม่มีรอยดิ้น เออนี่หละ ชาติราชสีห์ นี่ราชสีห์ ก็ลุกขึ้นเปล่ง สีหนาทก้องไปทั้งป่าแล้วจึงไปหากิน เป็นราชสีห์ นั้นถ้าทำอะไรไม่สมกันกับภาวะ แล้วต้องเรียกว่าไอ้ชาติหมา นั้นถ้ารู้อยู่ว่าสิ่งไรมันเป็นสิ่งที่ต้องละ เพื่อให้สมกับการเป็นพระ เป็นเณร เป็นอุบาสก เป็นอุบาสิกาแล้วไม่ละอย่างนี้ แล้วก็เห็นอยู่รู้อยู่ว่าอย่างนี้ต้องละแล้วไม่ละ แล้วก็ไม่ละอาย แล้วก็พยายามสงวนเอาไว้เพราะความเคยชินหรือว่าเพราะความมีตัวกูของกูจัด ไม่ยอมแพ้หัวดื้อ หรือเพราะว่ามันมากจนเป็น สีลัพพตปรามาสแล้ว มันควรจะเรียกว่าไอ้ชาติหมา ตัวเองก็เรียกตัวเองว่าไอ้ชาติหมา และคนอื่นก็ควรจะเรียกได้ว่าไอ้ชาติหมา เพราะไม่พยายามทำให้สมกับความเป็นอยู่ที่เป็นอุบาสก อุบาสิกา ภิกษุ สามเณรจะทำ ไม่สมควรที่จะนอนบนกรวดมโนหะระตาระศิลา (นาทีที่ 26:22).ในถ้ำนั้น เช่นเดียวกับภิกษุสามเณร ไม่ควรนอนในกุฏิที่เขาสร้างถวาย ตัวเองก็อยากให้สวยทาน้ำมันขัดถูอย่างนั้นอย่างนี้ ปลูกต้นไม้ ดอก ประดับประดาอย่างนั้นอย่างนี้จะให้มันสวย แต่คุณสมบัติในตัว มันไม่มีพอที่จะนั่งนอนในเสนาสนะอย่างนั้น มันก็ควรด่าตัวเองเหมือนกับราชสีห์ที่มันด่าตัวเองว่าไอ้ชาติหมา ไม่สมกับกรวด มโนหะระตาระศิลา(นาทีที่ 26:55) แห่งถ้ำนี้ หรือว่าไม่เหมาะสมกับความเป็นราชสีห์ของกู ทีนี้ถ้าเราจะคิดว่ามันไม่สมกับไอ้บริโภคอาหารบิณฑบาต จีวร เสนาสนะ คิลานะปัจจะยะเภสัชของผู้ที่ถวายด้วยศรัทธา มันก็ต้องอย่างเดียวกัน แล้วมันต้องจริงขนาดนี้ มันถึงจะพ้นจากไอ้เครื่องหุ้มห่อปิดบังต่างๆ เดี๋ยวนี้ไม่มีปัญหาแล้วไม่มีข้อสงสัยแล้ว ไม่มีปัญหาแล้ว รู้อยู่เลยว่าไม่ถูกและไม่ควรก็ยังดื้อ ดื้อเพราะความเคยชิน ดื้อเพราะความมีมานะทิฐิ เพราะหูหางมันสูง มันลดไม่ค่อยจะลง มันดื้อมาเป็นนิสัย
เพราะฉะนั้นทุกๆ องค์ควรจะเรียกตัวเองในลักษณะอย่างนี้ เมื่อไม่ยอมแก้ไขสิ่งที่รู้อยู่ว่าควรแก้ไขนี่ว่าไอ้ชาติหมาก็แล้วกัน อย่าต้องเป็นคน นี่คือว่าหิริและโอตตัปปะที่แท้จริงจะได้เกิดขึ้น ก็เราพูดกันมาหลายหนแล้วว่าต้องป้องกันด้วยสติสัมปชัญญะแล้วก็ต้องลงโทษมันด้วยหิริและโอตตัปปะ คือรู้จักละอายรู้จักกลัว มันจึงจะเปลี่ยนแปลง ไม่งั้นมันไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะงั้นขอให้นึกให้มาก คือว่านึกที่ว่า สิ่งที่ไม่ทำนี่ล้วนแต่เป็นสิ่งที่รู้อยู่ทั้งนั้นว่าควรละ เช่นความโกรธ นี่มันโกรธ ซึ่งมันไม่สมกับการเป็นพระเป็นผู้ศึกษานี้ อ่านหนังสือเถรวาท อ่านหนังสือมหายาน อ่านหนังสือเซน อ่านหนังสืออะไรต่างๆ มากมาย แล้วมันก็ยังโกรธ นี้ยังไม่เลวถึงชาติหมานะ แต่เมื่อมันรู้แล้วว่ามันต้องละแล้วมันไม่พยายามละนี้มันเลวถึงขนาดเป็นชาติหมาแล้ว มันหลายสิบครั้งแล้ว ครั้งหนึ่ง สองครั้ง สามครั้ง สี่ครั้ง แล้วมันก็สงวนเอาอันนี้ไว้ ยังสงวนเอาอย่างนี้ไว้ลักษณะอย่างนี้ไว้ ไม่ใช่ครั้งหนึ่งไม่ใช่สองครั้งไม่ใช่สิบครั้ง มันหลายสิบครั้งแล้ว เช่นความโกรธ ซึ่งพระพุทธเจ้าสรุปไว้อย่างน่าฟังที่สุด สัจจัง ภเน น กุตชายะ(นาที่ที่ 29:49) พูดจริงแล้วอย่าโกรธ เดี๋ยวนี้มันโกรธทั้งที่ปากมันพูดจริง บางทีเรื่องที่พูดนั้นมันเป็นเรื่องจริง แต่มันเรื่องจริงของความโกรธ หรือจริงสำหรับจะโกรธแล้วมันก็โกรธ มันก็ไขว้กันกับที่ว่า สัจจัง ภเน น กุตชายะ(นาที่ที่ 30:12) มันต้องพูดจริงแล้วไม่โกรธ นี้มันพูดจริงแต่โกรธ บางทีส่วนมากมันก็พูดไม่จริงด้วยแล้วมันก็โกรธด้วย
ตรงนี้อยากจะพูดแทรกให้เข้าใจเรื่องความโกรธ ความโลภ ความโกรธ ความหลง คือ โลภะ โทสะ โมหะ นี่ ถ้าคุณยังไม่รู้นะ ควรจะรู้เสียทีว่า มันเนื่องอยู่ด้วยกัน มันขึ้นด้วยกัน มันลงด้วยกัน มันเนื่องอยู่ด้วยกัน อย่าไปพูดโง่ๆ ตามที่คนบางคนพูดว่า โลภะให้เกิดโทสะ โทสะให้เกิดโมหะ โมหะให้เกิดโลภะ โลภะให้เกิดโทสะ เพื่ออธิบายภาพบนชั้นบน ไอ้เรื่องงูกัดหางไก่ ไก่กัดหางหมู หมูกัดหางงู อธิบายนั้นว่าโลภะ โทสะ โมหะนั้นคือความโง่ ที่จริงมันไม่ใช่อย่างนั้น มันไม่อาจจะส่งเสริมกันอย่างนั้น ไอ้เรื่องโลภะโทสะ โมหะ มันขึ้นด้วยกันมันลงด้วยกัน มันคนละลักษณะ คนละอาการ ไอ้ ๓ ตัวนั้นมันเรื่องกิเลส กรรม วิบาก กิเลส กรรม วิบาก ถึงแม้พระทิเบตจะเป็นผู้อธิบายเองก็อย่าได้ไปเชื่อมัน มันฟังมาผิดมันบอกต่อๆ กันมาผิด อาจารย์ทีแรกผู้เขียนเขาไม่ได้โง่ถึงอย่างนั้นหรอก ไม่ได้โง่ถึงว่าโลภะให้เกิดโทสะ โทสะให้เกิดโมหะ โมหะให้เกิดโลภะ อย่างไอ้รูปสัตว์ ๓ ตัวนั้น เพราะว่า โลภะ โทสะ โมหะ ทั้ง ๓ อย่างนี้มันมาจากตัวกูของกู ถ้าตัวกูของกูลด ไอ้ ๓ อย่างนี้มันก็ลด ตัวกูของกูแรง ๓ อย่างนี้มันก็แรง โลภะก็มาจากตัวกูของกู คือเป็นอาการของตัวกูของกูอย่างหนึ่ง โทสะก็เป็นอาการของตัวกูของกูอย่างหนึ่ง โมหะ ความโง่นี้ก็เป็นอาการของตัวกูของกูอย่างหนึ่ง เห็นแก่ตัวมันก็โลภ เห็นแก่ตัวมันก็โกรธ เห็นแก่ตัวมันก็เข้าใจผิดเพราะว่าไอ้ความเห็นแก่ตัวมันเสียหลักเสียแล้ว มันจึงเข้าใจสิ่งต่างๆ ผิด เมื่อจิตเห็นแก่ตัวแล้ว มองสิ่งอะไรก็เข้าใจผิดหมด มันจึงเป็นโมหะมา
นั้นพระพุทธเจ้าตรัสแต่เพียงว่าอย่าโกรธ พอแล้ว เพราะว่าถ้าไม่โกรธจริงๆ มันก็หมายความว่ากดหัวไอ้ตัวกูของกูลงไปได้ ไอ้ตัวกูของกูมันลดไปเท่าไรมันยุบไปเท่าไร มันก็ไม่เกิดโลภะ หรือโทสะ หรือโมหะ รุนแรงอะไรได้ นั้นเราจะเลือกปฏิบัติว่า ไม่โกรธก็ได้ แต่ทำให้ถูก ไม่โลภก็ได้ ทำให้ถูก ไม่โง่ไม่หลงก็ได้ ทำให้มันถูก คือว่ามันกำจัดไอ้ตัวกูของกูนี่ลงไป กระทั่งโลภะโทสะโมหะมันก็จะลดลงไปด้วยเหมือนกัน มันอาจจะพูดได้ว่า สัจจัง ภเน น กุตชายะ (นาทีที่ 33:25) สองคำแค่นี้ก็พอที่จะบรรลุมรรคผลและนิพพาน พูดจริงและไม่โกรธ นั่นหล่ะ ถ้าปฏิบัติได้จริงแสดงว่ามัน มันหมดตัวกูของกู ทีนี้มันยังมีพูดไม่จริงและโกรธอยู่เสมอ แล้วรู้อยู่ครั้งที่หนึ่งก็ยังไม่ละ ครั้งที่สองก็ไม่ละ ครั้งที่สิบก็ไม่ ไม่ละ ครั้งที่ยี่สิบก็ไม่ละ หลายๆ สิบก็ยังไม่ละ นั้นต้องเรียกไอ้ชาติหมา ไม่ละสิ่งที่แน่นอนเหลือเกินแล้วว่าจะต้องละ ไม่สมกับที่ว่า เราเรียกตัวเองว่า ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา บริโภคปัจจัยสี่ของผู้ถวายด้วยศรัทธาอะไรอย่างนี้
มันเป็นเรื่องที่เหลืออยู่นิดเดียวเท่านั้นแหล่ะ คือว่าเราหลุดจากไอ้โซ่ตรวนของไอ้เมาปริยัติมาได้ หลุดจากโซ่ตรวนของไอ้วิปัสสนารูปแบบที่ทำให้บ้านั้นมาได้ เรียกว่ารอดปากเหยี่ยว ปากกามาไม่น้อยแล้วนะ แล้วมันก็มาติดไอ้ปากเหยี่ยวปากกาชนิดนี้ คือไม่ยอมละสิ่งที่รู้อยู่ว่าจะต้องละ แม้ครั้งที่ ๑ แม้ครั้งที่ ๒ แม้ครั้งที่ ๓ ปากก็ว่าจะละ ปากก็รับสารภาพผิด ปากก็บอกว่าจะกลับตัวใหม่ ตรงกันข้าม บางทีก็ไปยืนยันกับเพื่อนฝูงแสดงอาบัติก็มี มายืนยันกับผมเองก็มี แต่แล้วมันก็ยังไม่ละ เพราะฉะนั้นให้เห็นว่านี่คืออุปสรรคอันเดียวนี้เท่านั้น ผ่านข้อนี้ข้อเดียวไปได้แล้วละก็ตลอดรอดฝั่งได้ จะต้องละสิ่งที่รู้อยู่ว่าควรจะต้องละ ซึ่งเราเหลวไหลไม่ละมาตั้งหลายสิบครั้งแล้ว ก็คือไม่ละอายและไม่กลัว ทำอย่างไรจะให้ละอายให้กลัวก็ต้องเรียกมันไอ้ชาติหมา นี้ถ้าว่าอย่างนี้มันไม่ได้อีกก็เลิกกัน มันไม่มีทางจะทำแล้ว ถ้าหิริโอตตัปปะเกิดขึ้นไม่ได้เพราะข้อนี้แล้วมันก็ไม่มีทางจะทำ อย่าลืมไอ้หลักใหญ่ๆ ที่ว่า ไอ้เผลอ เผลอตกร่องของตัวกูของกูนั้นมันป้องกันได้ด้วยสติสัมปชัญญะ นี้ถ้ามันเผลอสติสัมปชัญญะไปบ้างแล้วทำลงไปแล้ว มันต้องแก้ภู(นาทีที่ 36.16)หรือว่าป้องกันต่อไปด้วยหิริและโอตตัปปะ คือละอายให้มาก กลัวให้มาก หรือว่าถ้าเอามา รวมกันเข้าได้เลยก็ยิ่งดี กลัวล่วงหน้า ละอายล่วงหน้า นี้ทำเสร็จแล้วก็ยังไม่ละอายยังไม่กลัว ทำไมจะละอายล่วงหน้าหรือว่ากลัวล่วงหน้า นั้นถ้าเป็นชั้นดีที่สุด มีสติสัมปชัญญะกับหิริและโอตตัปปะรวมกัน ควบคุมตัวเองอยู่ เหมือนอย่างว่าไม่ไปทำผ้านุ่งหลุดกลางถนนนี่เพราะอะไร เพราะสติสัมปชัญญะอย่างหนึ่ง และเพราะหิริและโอตตัปปะความละอายความกลัวผนวกอยู่ด้วยผูกไว้ด้วย มันจึงไม่ไปทำผ้านุ่งหลุดกลางถนน สักคนเดียวเลย พูดได้ว่า ร้อยเปอร์เซนต์เลย แต่ทีอย่างนี้ทำไมจึงเหลวร้อยเปอร์เซนต์หรือว่าเหลวไปเก้าสิบเก้าเปอร์เซนต์ ทีทางจิตใจทำผ้านุ่งหลุด มีตัวกูของกูเกิดขึ้นเปรียบเหมือนทำผ้านุ่งหลุด แล้วทำไมไม่ละอาย ก็เพราะไม่มีสติสัมปชัญญะ และหิริโอตตัปปะมากพอเหมือนกับเรื่องทางวัตถุ ที่ว่าจะไปทำผ้านุ่งหลุดกลางถนนหรือทำอะไรที่คล้ายๆ นั้น เพราะถือว่าไม่มีใครรู้ของใครไม่มีใครเห็นของใคร ซ่อนตัวอยู่ได้ อย่างนี้มันก็ไม่มีทางแล้ว ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนนิสัย นี้ก็อย่าให้เลวกว่าไอ้ราชสีห์อย่างที่กล่าวไว้ในอรรถกถา แม้แต่สัตว์เช่นราชสีห์มันยังมีธรรมอย่างนั้นมีหลักอย่างนั้น นี่เราเป็นมนุษย์มันก็ควรจะทำได้ ทำอะไรไม่สมกับภาวะที่เป็นอยู่นี้ก็ควร ควรละอายขนาดนั้นเลย เรียกไอ้ชาติหมาเลย แล้วไม่ไปบิณฑบาตด้วย เหมือนราชสีห์ไม่ไปหากิน จนกว่ามันจะแก้ไขสิ่งนี้ได้เสียก่อนจึงจะไปบิณฑบาตคือไปหากิน ถ้าใครเอาจริงอย่างนี้มันก็รอดทุกคน เขาไม่ได้เขียนไว้ชัดว่าราชสีห์มันทำกี่ครั้ง เขากลับไปเขียนชัดว่ามันยอมตายไม่ไปหากิน แล้วมันนอนอีก มันนอนอีก มันนอนอีก จนตื่นขึ้นมาไอ้รอยกรวดนั้นเหมือนเดิม เพราะมันหมดแรงหรืออะไรก็สุดแท้ มันจึงไปหากินอย่างราชสีห์ บันลือสีหนาท ๓ ครั้งแล้วก็ออกไปจับสัตว์กินเป็นอาหาร ภิกษุที่มีปิติปราโมทย์ในการกระทำของตัวที่ทำอะไรได้ตามที่ควรจะทำ ก็บรรลือสีหนาทออกไปบิณฑบาตอย่างราชสีห์ คือ เดินไปอย่างภาคภูมิใจตลอดเวลา เราไม่มีอะไรที่จะโจษท้วงตัวเองได้ ผมขอย้ำอีกทีหนึ่งว่า เรารอดปากเหยี่ยวปากกา ไม่ตกหลุมปริยัติ ไม่ตกหลุมปฏิบัติวิปัสสนาบ้า แล้วก็มารู้อยู่อะไรจริง อะไรเป็นอย่างไร อะไรควรทำอย่างไร อะไรควรละอย่างไร แล้วก็มาติดอยู่ข้อเดียวที่ว่า ไม่เข้มแข็งไม่เด็ดขาดในการที่จะละสิ่งที่รู้อยู่แล้วว่าจะต้องละและควรละ เช่นความโกรธ เช่นความไม่จริง เช่นความยกหูชูหาง แง่ใดแง่หนึ่ง อย่างใดอย่างหนึ่งที่มีอยู่ประจำตัวคนหนึ่งๆ ไม่ค่อยจะเหมือนกัน เดี๋ยวนี้กลัวว่ามันจะไม่ละอายถึงขนาดว่าจะเอาอย่างนี้ไว้เบ่งทับกัน ไว้อวดกันว่าไม่กลัวใคร กูไม่กลัวใคร ด่าใครก็ได้ คำพูดที่ไม่น่าฟังสำหรับพระเช่นว่า เตะสอนมันซักที ไม่ใช่พระ ถ้าพูดว่าเตะสอนซักทีคนนั้นมันไม่ใช่พระแล้ว มันโกรธด้วยแล้วมันเข้าใจผิดด้วย มันโกรธจัดด้วยแล้วมันเข้าใจผิดด้วย เตะสอนได้ที่ไหน ถ้าเป็นพระจะเตะสอนได้ยังไง มันควรจะพูดอย่างอื่น นี่มันทั้งโกรธและทั้งมีมานะทิฐิมีทั้งไอ้หลักเปลี่ยนแปลงหลักธรรมะกลับเอาหัวลงเลย เป็นผู้เปลี่ยนหลักธรรมะจากหัวขึ้นเอาหัวลงไปเลย นี่เป็นปัญหาของอุบาสก อุบาสิกา ภิกษุ สามเณร คือพุทธบริษัททั้ง ๔ ที่มาติดตังอยู่ว่าตรงที่ว่าไม่เข้มแข็งพอที่จะละสิ่งที่จะต้องละ แล้วไปเห็นแก่ไอ้ของเล็กๆ น้อยๆ อย่างอื่นซึ่งไม่ใช่วัตถุประสงค์ของพรหมจรรย์ ไอ้ลาภสักการะ เสียงสรรเสริญ หรืออะไรเหล่านั้นไม่ใช่ความประสงค์ของพรหมจรย์ นี้พูดแล้วพูดอีกและเขียนไว้แล้วก็ในที่หลายแห่ง พระพุทธภาษิตข้อนี้เคยยกมาให้ ฟังเทศน์ก็หลายครั้ง พรหมจรรย์นี้มิใช่มีลาภสักการะเป็นอานิสงค์
พระพุทธภาษิตนั้นมีอยู่อย่างนั้น พรหมจรรย์นี้มิใช่มีลาภสักการะเป็นอานิสงค์ นี้ทำไมจะต้องบูชาลาภสักการะทุกลมหายใจเข้าออกใฝ่ฝันแต่ช่องทางที่จะได้มาซึ่งลาภสักการะ ทำสิ่งนอกรีตนอกรอยของบรรพชิตก็เพื่อลาภสักการะ ผลสุดท้ายมันก็เรื่องสุขเวทนาที่ถูกตัณหาทิฐิลูบคลำ รู้สึกอร่อยเมื่อได้โกรธ รู้สึกอร่อยเมื่อได้ดื้อ รู้สึกอร่อยเมื่อได้สงวนไว้ซึ่งหูและหางของตน เวลานั้นเวลาที่อร่อยที่สุด สงวนไว้ซึ่งหูและหางของตนที่ยกขึ้นสูง เวลานั้นเป็นเวลาที่อร่อยที่สุด เป็นสุขเวทนาที่ร้ายกาจที่สุด ที่ลึกซึ้งที่สุด ที่จะครอบงำหรือยึดจิตใจของคนไว้ในวัฏสงสาร เวทนาทางกามารมณ์ก็ไม่แรงเท่า อาจจะไม่แยแสกับผู้หญิงผู้ชายผู้อะไร ไม่ติดในสุขเวทนาระหว่างเพศเกิดแต่เพศ แต่มาบ้าหรือหลงในสุขเวทนาที่เกิดจากอรูปธรรม อรูปธรรมคือสิ่งที่ไม่รูป เช่นการยกหูชูหางในจิตใจ เป็นตัวกูของกู ยึดมั่นถือมั่นอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าได้สงวนไว้ซึ่งสิ่งนั้นละก็อร่อยที่สุด นั้นจึงไม่ยอมละสิ่งที่รู้อยู่ว่าต้องละ แล้วบางทีก็ได้ปฏิญญาสัญญากับคนใดคนหนึ่งแล้วด้วยว่าจะละ แต่แล้วก็ไม่ละ นี่เพราะความอร่อยของไอ้สุขเวทนาประเภทอรูป คือเกียรติ เราสงเคราะห์เราเรียกว่าเกียรติ โลกธรรม ๘ มีคำว่าได้ลาภ เสื่อมลาภได้ยศ เสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุขนี่ ไอ้ความสุขที่เกิดมาแต่เกียรติหรือยศ นี่เหนียวแน่นร้ายกาจลึกซึ้ง มันผ่านชั้นกามาวจรภูมิเรื่องเพศมาได้ แล้วมันก็มาจมปลักอยู่ที่นี่ เรื่องรสอร่อยที่สุดที่เกิดมาจากการสงวนไว้ซึ่งหูหางของตัวกู ของกู ซึ่งยกไว้สูงอยู่เสมอ
นั้นทุกคนจงรู้ว่านี่คือต้นเหตุสำคัญ อันเดียวเท่านั้นที่เราทั้งหลายมันติดตังอยู่ ติดตังอยู่ที่นี่ ความดื้อความไม่ยอม ต้องหาช่องบิดพลิ้วให้จนได้ เถียงให้จนได้ ดื้อให้จนได้ สารัมภะไม่ใช่แข่งดี สารัมภะคือบิดพลิ้ว ผมไปแปลอุปกิเลส ๑๖ ไอ้ข้อนั้นเสียใหม่ ถ้า ถัมภะก็ได้ ถัมภะกับสารัมภะหัวดื้อแข่งดีนี้อย่าไปให้ มันอย่างเดียวกัน มันมีอยู่คำว่าบิดพลิ้วอยู่คำหนึ่ง มันจึงยังไม่มีใน ๑๖ อย่างนั้น นั้นไม่เชื่อว่าคำแปลนั้นถูกต้อง อุปกิเลส ๑๖ อย่างนั้น ต้องรวมคำว่าบิดพลิ้วอยู่ด้วย แก้ตัวซึ่งน่าบิดพลิ้วซึ่งน่าให้มันรวมอยู่ในนั้นด้วย นั้นยังไม่มีใน ๑๖ อย่างนั้น ต้องใส่เข้าไปมี แล้วมันไปซ้ำอยู่สองอันคู่หนึ่งเปล่าๆ ความหมายเหมือนกัน เอาอันนั้นหละออกมาเสียอันหนึ่ง ซึ่งจะเป็นสารัมภะหรือถัมภะก็ได้ นี้มีสารัมภะคือบิดพลิ้วมีแก้ตัวตลอด นี้คือสิ่งที่ว่าอุปสรรคอย่างยิ่งที่มันจับกดไว้ ไม่ให้เผยอขึ้นมาได้ การที่บิดพลิ้วนั้นลองคิดดู บิดพลิ้วกับใคร บิดพลิ้วกับเพื่อนหรือครูบาอาจารย์ หรือว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไอ้คนบิดพลิ้วมันต้องคิดว่ากะคนที่พูดด้วยหรือคนที่มีเรื่องด้วย คนที่มีเรื่องด้วย นั้นมันเล็กเกินไป เรื่องนี้มันเล็กเกินไป บิดพลิ้วกับครูบาอาจารย์หรือว่าเพื่อนหรือว่าใครที่มันเป็นคู่วิวาทด้วยมันเล็กเกินไป มันบิดพลิ้วต่อธรรมะหรือต่อธรรมชาติ ถ้าที่จริงก็คือต่อตัวเอง ไอ้ทุกอย่างที่ทำผิดนั่นมันทำต่อตัวเองทั้งนั้น ไม่ใช่ทำต่อคู่วิวาทตรงกันข้ามฝ่ายโน้น แต่ว่ามันรู้สึกอร่อยเหลือเกินที่ว่าได้ทำกับคู่ คู่วิวาท แต่ที่แท้มันทำกับตัวเอง มันมองไม่เห็น นั้นจึงอร่อยอยู่ได้ ถ้ามันรู้ความจริง อะ หนออะแหม นี่ทำกับเราเองเท่านั้นมันก็เยอะ ใจหายวาบเลย มันจะละได้เพราะเหตุนี้ มองดูให้ดีๆ เถิด ไอ้ที่ไม่ละที่ประชดกิเลสหรือประชดเพื่อนฝูง บิดามารดา ครูบาอาจารย์ อะไรก็ตามที่มันประชด มันอร่อยเพราะมันเข้าใจว่ามันประชดคู่ตรงกันข้าม แต่ที่จริงที่ถูกที่แท้ มันคือประชดตัวเองทำลายตัวเอง มันมองไม่เห็นข้อนี้ มันจึงจมอยู่ในนรกขุมนี้เรื่อยไปขึ้นมาไม่ได้
ที่ผมเคยบอกว่าอยากให้ทำงานเพื่อให้มีการสังคมเป็นบุคคลที่ ๒ ที่ ๓ นี้ก็มีความมุ่งหมายอย่างนี้ด้วย คือว่าเปิดช่องให้กิเลสว่ามันจะมีหรือไม่มี แล้วมันจะโกรธหรือไม่โกรธ ถ้ามันจะประชดประชันกันหรือไม่ อยากให้สิ่งต่างๆ มันเกิดขึ้นในลักษณะที่พอสมควร ที่จะเป็นเครื่องวัดเครื่องทดสอบว่าเป็นพระเป็นเณรกันจริงหรือไม่ เพียงแต่รถมอเตอร์ไซค์วิ่งเข้ามาว่าหนวกหู บ่นบ้าอยู่คนเดียวนี่มันไม่ถูก มันเป็นเครื่องวัดที่ดีแล้วว่าคนนี้มันเป็นยังไง พระเณรองค์ไหนที่โกรธรถมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งจ๊าดผ่านไปโดยไม่เบาเครื่อง หรือว่าไม่แยแสต่อนั่นอยู่ นั่นหล่ะถือว่าเป็นเครื่องสอบไล่ตัวเอง ว่าเป็นพระเณรกี่มากน้อย แล้วมันก็ดี แต่ว่ามันมีเหตุจำเป็นที่ต้องปิดซะบ้างเพราะเหตุอย่างอื่น ไม่ใช่เพราะว่ากลัวมันหรือว่าเพราะรำคาญมันอย่างเดียว มันมีความเสียหายอย่างอื่น แต่บางคราวก็จะต้องเปิดให้มันเข้ามาสอบไล่พระเณร ว่าใครโกรธบ้างว่าใครหงุดหงิดบ้าง ถ้าใครเดือดขึ้นมาในใจมีตัวกูของกู ที่เดือดที่โกรธขึ้นมาบ้างเป็นคราวๆ เดี๋ยวนี้มันความเสียหายอย่างอื่นด้วยที่ต้องปิดนี้ ถ้าเพียงแต่หนวกหูอย่างเดียวนี้ อยากจะเอาไว้เป็นเครื่องสอบไล่ เมื่อคุณหนีไปอยู่บนภูเขานานพอแล้ว ก็ลองมาสอบไล่ดูว่า อยู่กุฏิที่รถมันวิ่งผ่านอยู่เสมอนี่มันเป็นอย่างไร มันปกติหรือยัง มันก็เสียเวลาเปล่า ทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ ทำอย่างโน้นอย่างโง่เขลา ด้วยความโง่เขลา ไอ้ที่เคยนอนมุ้งก็เก็บมุ้งเสียบ้างสิ บางคืนหนะ เก็บมุ้งเสียบ้าง ที่เคยนอนมุ้ง นอนมุ้งก็ถูกแล้วจะได้สบายบ้าง หรือไว้กันมาลาเรีย แต่ว่าบางคืนควรจะเก็บมุ้งเสียบ้าง ลองพูดจากันดูกับยุงบ้าง มันยังขาดความรู้ข้อนี้อยู่ เดี๋ยวนี้เราก็มีอะไรหลายอย่างที่ว่ามันเป็นไปในทางช่วยให้ดีขึ้น แต่บางอย่างก็ยังไม่ได้ใช้เพราะว่าไปปิดไปกั้นเสีย ความเป็นอยู่อย่างต่ำที่สุด แล้วก็มุ่งพยายามอย่างสูงที่สุดนั่นแหละดี แต่ไม่ใช่สูงอย่างยกหูชูหาง ขอให้จำไว้ว่าไม่ใช่สูงอย่างยกหูชูหางสูง ไอ้หางหูลงต่ำมันจึงจะเรียกว่าเป็นอยู่อย่างต่ำ plain living และ high thinking นี่มันคิดไปในทางที่มันว่าง ว่างจากตัวกูของกู ไอ้ plain living high thinking นี้เขียนไว้ที่กระดานแผ่นนั้นที่โรงฉัน ใครลบไปเสียแล้ว มันเป็นคำเตือนให้ทุกคนอยู่อย่างนั้น อยู่ในลักษณะอย่างนั้น ไอ้ plain living ขอให้ลดหูลดหางลงเสีย แล้วจิตใจมันจะได้ไปสูง เดี๋ยวนี้เมื่อมันไปยกหูชูหางแล้วมันก็ high thinking มันมีไม่ได้ เพราะมันไม่ยอมเป็นอยู่อย่างต่ำ
นี่มันอาจจะสรุปความได้ว่าเท่าที่พูดมาแล้วทั้งหมดนี้ ก็เพื่อจะสรุปให้เห็นว่าอุปสรรคมันติดอยู่ที่ตรงนี้ อื่นๆ ดูก็ดี ดี ดี ดีเข้ามาหลายๆ ด้านหรือรอบด้าน แต่ก็มาติดตันอยู่กับอุปสรรคที่ว่าไม่เข้มแข็งพอที่จะละสิ่งที่จะต้องละ ซึ่งรู้อยู่ว่าได้ผัดเพี้ยนมาหลายสิบครั้งแล้ว ได้รู้อยู่แก่ใจนี่หลายสิบครั้งแล้ว แม้จะมีเสียใจบ่อยๆ ก็ยังน้อยไปไม่ถึงกับละ นั้นเพื่อให้มันมีประโยชน์ อย่าให้มันเสียเปล่าในที่ได้พูดกันมาเสมอๆ หรือว่า ได้อุทิศจิตใจเพื่อธรรมะเพื่อพระพุทธเจ้าที่แท้จริง แล้วมันมาติดอยู่ที่นี่ มันก็เรียกว่าอะไรดีหล่ะ จะเรียกว่าขาดทุนก็ยังไม่ ยังไม่ ยังน้อยไป เรียกว่าขาดทุนนี้ยังน้อยไป มันจะล้มละลายระวังมันจะล้มละลาย มันไม่เพียงแต่ขาดทุนเล่นสนุกๆ มันจะล้มละลายจะจะหมดเลย
เพราะนั้นเห็นว่าอุปสรรคข้อเดียวข้อนี้ที่สำคัญที่สุดที่ยังเหลืออยู่นี่ จะต้องฟันฝ่าให้มันหลุดรอดไปได้ นั้นมองให้กว้างออกไปเถอะ ถึงเรื่องอื่นๆ เรื่องของชาวบ้านเรื่องที่บ้านเรื่องไอ้ศีลธรรมทั่วไปเรื่องรบราฆ่าฟันกันทั้งโลกเหมือนกัน ทั้งหมดมันรวมอยู่ที่ ไม่ละ ไม่ละ ไอ้สิ่งที่ควรจะละ ไม่เคยคิดจะละด้วยซ้ำไป แม้คิดว่าควรจะ แม้เคยคิดว่าจะละ แต่ถ้ามันอ่อนแอขนาดนี้มันละไม่ได้ มันต้องจริงถึงขนาดอย่างที่ว่า เดี๋ยวนี้กำลังติดสุขเวทนาที่เกิดจากการยกหูชูหางทั้งนั้น ตัวกูของกูที่ยกหูชูหางให้รสอร่อยนี่ มันจึงตกลงอะไรกันไม่ได้ ปรับความเข้าใจอะไรกันไม่ได้ นับแต่ส่วนบุคคลออกไปถึงส่วนหมู่คณะเล็กๆ หรือกระทั่งที่รบราฆ่าฟันกันอยู่ในโลกเวลานี้ มันก็สงวนไว้ซึ่งสุขเวทนาแห่งการยกหูชูหาง ถึงที่เรียกว่าสันติภาพอันมีเกียรติ มันก็เกียรติอย่างนี้ทั้งนั้น ไม่ใช่เกียรติของพระเจ้า ไม่ใช่เกียรติของธรรมะ เกียรติอย่างยกหูชูหาง ต่างฝ่ายต่างต้องการสันติภาพอย่างมีเกียรติ จึงยอมกันไม่ได้ นั่นนะดูเอาปัญหาทั้งหมดมันขึ้นอยู่สิ่งนี้สิ่งเดียว สิ่งนี้สิ่งเดียวเป็นต้นเหตุของปัญหาทั้งหมด ส่วนบุคคลก็ตาม หมู่คณะก็ตาม หรือทั้งโลกก็ตาม หรือว่าถ้าต่อไปมันอาจจะมีโลกอื่นขึ้นมาอีก ที่จะไปหามาได้ค้นพบมาได้ มันปัญหาระหว่างโลกมันก็เกี่ยวกับตัวนี้อีกเกี่ยวกับข้อนี้อีก
นั้นต้องชนะข้อนี้ชนะสิ่งนี้ก็จะเป็นชนะทั้งหมด ชนะตัวกูของกูที่ทำให้โลภ ที่ทำให้โกรธ ที่ทำให้โง่ มันพอๆ กัน อาการทั้ง ๓ ของตัวกูของกูนี่ ความโลภ ความโกรธ ความหลงมันพอๆ กัน ถ้ายังโลภจัด โกรธจัด โง่จัด ถ้ามันโกรธน้อย มันก็โลภน้อย โง่น้อย มันลงมาด้วยกันขึ้นไปด้วยกัน มันแต่จะแปลกกันอยู่แต่ว่า อันไหนมันเป็นสิ่งที่เล่นงานเอาบ่อยๆ สำหรับคนคนหนึ่ง คนๆ หนึ่งอันไหนมันเล่นงานบ่อยๆ มันมี อาจจะต่างกันบ้าง บางคนมีความโลภ บางคนมีความโกรธ แต่แล้วมันก็ไม่ไม่แปลกต่างอะไรกัน เพราะว่ารกรากมันขึ้นมาจากไอ้ความอร่อยในการสงวนไว้ซึ่งตัวกูของกูจึงมีความโลภ ความโกรธ ความหลง
เดี๋ยวนี้ก็คิดดูสิมันก็ล่วงมาแล้วอายุก็ตั้งหลายสิบปีแล้วก็มีมาก อายุยังไม่ถึงหลายสิบปีก็มีมาก แต่ปัญหาอย่างเดียวกัน บางคนจะตายอยู่รอมร่อแล้วก็ยังไม่เคยสร่างซาในข้อนี้ เรื่องความโลภ ความโกรธ ความหลงนี่ นี้ไอ้มาอยู่วัดก็เพื่อต้องการความรวดเร็วในข้อนี้ในการทำลายสิ่งนี้ ให้สังเกตให้ดีๆ เกิดเมื่อไรเกิดยังไงจะจัดการกับมันเสีย ก็ต้องเปิดโอกาสให้ได้มีการทดสอบหรือสอบไล่กันบ้าง ไปนั่งหลับตาอยู่คนเดียว แล้วว่าไม่เกิดไม่เกิดนี้ก็ไม่ถูก ไม่จริงด้วย นั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีบุคคลที่ ๒ ที่ ๓ เข้ามา ติดต่อกับเพื่อนฝูงก็ตาม ติดต่อร้านกาแฟก็ตาม ติดต่อรถสามล้อก็ตาม ติดต่อใครก็ตามมันมีอะไรที่เป็นตัวกูของกูเกิดขึ้น ก็กว้างออกไป กระทั่งคนนอกข้างนอก นอกออกไป นอกออกไป ทำกันอยู่กับเพื่อนในวัดนี้ก็ตัวกูของกูก็ไปในรูป ออกไปนอกวัด ร้านขายของไปอีกรูปหนึ่ง ไปบิณฑบาตตามบ้าน ประชาชนก็ไปอีกรูปหนึ่ง ไปที่ตลาดก็ไปอีกรูปหนึ่ง นั้นเวลาเหล่านี้เป็นเวลาที่มีค่าที่สุด ไม่ใช่เวลาที่ไปนั่งหลับตาอยู่คนเดียวเงียบๆ เสียเรื่อยไป มันอาจจะทำให้ไม่รู้อะไรเป็นอะไรก็ได้ ถ้าทำไปตามแบบรูปหนักๆ เข้าเป็นบ้าเลย ต้องส่งโรงพยาบาลแน่ เพราะว่าทำแต่ตามรูปแบบแต่เจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ หวังความดี วิเศษ หวังฤทธิ์ หวังปาฏิหารย์ หวังอะไรไปรูปนั้น นั้นให้ทำอย่างคนธรรมดาสามัญนี่ ที่อยู่กันอย่างไรสังคมกันอย่างไรเป็นประจำวัน แล้วมันมีอะไรเกิดขึ้น ตัวกูของกูพ่นฟองขึ้นมาในรูปโลภะ หรือรูปโทสะ หรือรูปโมหะ เพราะไอ้บทเรียนง่ายที่สุดที่สะดวกที่สุดก็คือ ไม่โกรธ ไม่น้อยใจ ไม่ขัดใจ ไม่หงุดหงิด นี่เป็นเครื่องทดสอบที่ดีที่ง่าย คุณจำเถิดไว้คำว่าโทสะนั่นแหละ มันขยายความไปไม่โกรธ ไม่น้อยใจ ไม่หงุดหงิด ไม่ใช่มุ่งหมายเฉพาะโกรธเดือดพล่าน กล่าวคำหยาบหรืออะไรต่ออะไร ไอ้ที่มันกรุ่นอยู่เรื่อยตลอดเวลาเพราะความแค้นใจน้อยใจหงุดหงิดมันรวมอยู่ในข้อนี้
นี่ถ้าสมมติว่าไอ้คำพูดวันนี้เป็นเรื่องหรือเป็นสูตรหรือเป็นอะไรก็ตาม สูตรนี้ต้องให้ชื่อสูตรว่าไอ้ชาติหมา ชื่อสูตรว่าอย่างนี้ หัวข้อมันว่าอย่างงั้น แล้วขอให้กลัวกันให้มาก และก็ให้ลดลงไปลดลงไป และให้จริงเหมือนกับราชสีห์ตัวนั้น พูดเรื่องหนึ่งวันหนึ่งมันมีหัวข้ออย่างหนึ่ง หัวข้อเรื่องอย่างหนึ่ง อย่างหนึ่งๆ สำหรับวันนี้ก็คือว่า เมื่อมองเห็นการที่ไม่ยอมละ ไม่ยอมละสิ่งที่รู้อยู่ว่าต้องละ ขนาดนี้แล้วก็ต้องด่าตัวเองว่าอย่างงั้น แล้วที่ไม่ยอมละนั่นก็ไม่ใช่เพราะว่ามีเหตุจำเป็นอะไร มีมานะทิฐิสงวนเอาไว้จนเป็นความเคยชิน จนเป็น สีลัพพตปรามาส ชอบที่จะทำอย่างนั้น ชอบที่จะสงวนไว้อย่างงั้น ชอบที่จะพูดอย่างงั้น ชอบที่จะทำอย่างงั้น สงวนเอาไว้ เพราะความเคยชิน จนเป็นความเคยชิน นี่ก็เรียกว่า สีลัพพตปรามาส อย่างร้ายที่เรามีกันอยู่ เคยชินในการสงวนไว้ซึ่งหูหางที่ยกขึ้นไว้สูงไม่ยอมลด ไอ้คำว่า สีลัพพตปรามาส นี้เป็นคำที่เป็นปัญหายุ่งยากที่สุดในวงการศึกษา งั้นคุณจำไว้ว่า ไอ้ความเคยชินในที่ทำมาอย่างโง่เขลา งมงาย คำว่า สีลัพพตปรามาส แปลว่าลูบคลำด้วยศีลและพรต หรือลูบคลำซึ่งศีลและพรตก็ได้ ถ้าลูบคลำซึ่งศีลและพรตก็หมายความว่ามันไปแก้ตัวบิดพลิ้วแก้ตัว เพื่อได้ทำสิ่งที่กิเลสอยากจะทำเหมือนกับเป็นหมอความ มันอ้างความเคยชิน อ้างความที่เป็นมาแต่ปางก่อน ถ้าจะแปลว่าลูบคลำด้วยศีลและวัตร มันก็หมายความอย่างเดียวกันคล้ายๆ กันคือว่า เอาศีลและวัตรมาอ้างอิงให้เป็นศีลและวัตรขึ้นมา เอาการกระทำอย่างกิเลสนี่มาเปลี่ยนชื่อเป็นศีลและวัตรขึ้นมา แล้วมีเหตุผลที่จะอ้างอย่างนั้น ในบาลีไม่มีคำอธิบายคำๆ นี้ ในอรรถกถามีอธิบายเป็นการปฏิบัติผิดๆ อย่างลัทธิอื่นนอกพุทธศาสนา นี่เป็นความ ผมก็ใช้คำหยาบว่าความโง่ของพวกอรรถกถาจารย์ที่มองแต่ในแง่นั้น จนว่าเรานี้ไม่มี สีลัพพตปรามาสกัน เพราะเราไม่ได้ประพฤติอย่างนั้นเลย แต่พอถามเข้าจริง อ้าวเราก็มี สีลัพพตปรามาส อยู่ ทีนี้บอกมาทีว่าอย่างไหน เพราะว่าอย่างลัทธิอื่นๆ นอกพุทธศาสนาก็ไม่ได้ทำแล้ว ประพฤติอย่างวัว ประพฤติอย่างสุนัข ประพฤติอย่างไหนก็ไม่ได้ทำแล้ว แล้วเรายังมีอยู่คืออย่างไหน นี่มันคือไอ้อย่างที่เราไม่รู้จักมันว่าเป็นความโง่ ความงมงายที่ประพฤติมาจนชินนี้มันไม่ใช่สิ่งถูกต้อง นั้นการประพฤติ ศีล สมาธิ ปัญญานี้แต่ประพฤติชนิดที่งมงายเป็นสีลัพพตปรามาส ประพฤติศีล สมาธิ ปัญญาตามหลักพุทธศาสนาเลย แต่ประพฤติอย่างงมงาย อย่างไม่รู้จักความมุ่งหมาย อย่างที่ยิ่งประพฤติก็ยิ่งมืดมน ยิ่งกลายเป็นเมฆหมอกหนาขึ้นเสียอีก เพราะความยึดมั่นในคำว่าศีล สมาธิ ปัญญา ยิ่งรักษาศีลยิ่งไม่มีศีล ก็เพราะเหตุนี้ เพราะมันกลายเป็นสีลัพพตปรามาสไปหมด รับศีลเท่าไร รักษาศีลเท่าไร สมาทานศีลมากี่ปี กี่ปี มันก็ไม่เคยมีศีลเป็นที่พอใจได้ก็เพราะข้อนี้
นี่เราก็ได้เสียสละมามากแล้ว เหนื่อยมาก็มากแล้ว เสียสละมาก็มากแล้ว ยอมทนลำบากมาก็มากแล้ว แล้วทำไมมันจึงไม่ประสพความสำเร็จนั้น ก็เพราะมันไม่จริงแล้วไม่เข้มแข็งพอในส่วนที่ว่านี้ แล้วก็ไม่รู้จักด่าตัวเองว่าไอ้ชาติหมาเลย ยังเป็นชาติเทวดา ชาติอะไรที่สูงกว่าคนอยู่เรื่อย นี่คือแขนงหนึ่งของคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องตัวกูของกู ว่ามันมีรสชาติดึงดูดใจเหลือประมาณยิ่งกว่าสิ่งใด ที่สงวนไว้ซึ่งรสชาติอันนี้แล้วไม่ยอมเปลี่ยนแปลงแก้ไขสิ่งใดเพื่อตรงกันข้าม นี่อีก ๑๐ นาทีจะหนึ่งทุ่มแล้ว อีก ๑๐ นาทีจะหนึ่งทุ่ม กลางวันมันมาก ชั่วโมงหนึ่งแล้ว