แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เรื่อง ตามเคย คือเรื่องที่เกี่ยวกันกับตัวกูของกู แง่ใดแง่หนึ่ง ปริยายใด ปริยายหนึ่ง แต่ว่ามันก็มีเรื่องเกี่ยวไปถึงเรื่องที่ประกอบกันอยู่ หรือว่าเนื่องกันอยู่หลายๆ เรื่อง นั้นขอให้ลองนึกดูถึงหลายๆ ครั้งที่แล้วมา คือว่าอย่าไปเข้าใจผิดมันเป็นเรื่องอื่นไปเสีย ถ้ามีเรื่องอื่นพูดบ้างแทรกแซงเข้ามาก็เพื่อประกอบให้รู้เรื่องที่เราจะพูด คือเรื่องเกี่ยวกับตัวกูของกูในแง่ใดแง่หนึ่ง
แม้แต่เรื่องความว่าง มันก็เกี่ยวกับตัวกูของกูคือมันตรงกันข้าม ไอ้ความว่างมันตรงกันข้ามกับตัวกูของกู นั้นพูดเรื่องไอ้ความว่างนั้น ก็หมายความว่า พูดเรื่องตัวกูของกูในปริยายหนึ่ง หรือตรงกันข้าม จะเข้าใจเรื่องความว่างมันต้องเข้าใจเรื่องวุ่น คือตัวกูของกูก่อน อยู่เฉยๆ จะไปเข้าใจเรื่องความว่างนี้ไม่ได้ เข้าใจไม่ได้ ทีนี้มันยังยิ่งไปกว่านั้น ก็คือว่า ความวุ่นในความว่าง ความว่างในความวุ่น หรือว่าอย่างน้อยที่สุด มันก็รวมกันอยู่ในร่างกายนี้ ในคนๆ เดียวกัน มันเข้าใจยากยิ่งขึ้นไปอีก สำหรับผู้ที่เรียนมาตามธรรมดา เรียนมาอย่างที่เขาเรียนๆ กัน
เดี๋ยวนี้อยากจะพูดให้เห็นลึกเข้าไป ลึกเข้าไป เรียกว่ามีสังสารอยู่ในนิพพาน มีนิพพานอยู่ในสังสาร สังสารวัฏมันเป็นเรื่องที่ในโรงเรียนไม่พูด คือมันเห็นแต่ผู้ที่มีปัญญาและเห็นลึก เช่นพูดว่าความมีกับความไม่มีอยู่ในที่เดียวกัน บางคนก็ ธรรมดาฟังไม่รู้เรื่อง ฟังไม่เข้าใจ นี่เราสอนให้มองทะลุความมีเข้าไปเห็นความไม่มี ไม่เข้าใจ มันอยู่ในสิ่งเดียวกันจนไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไร
ไอ้ที่แล้วมาเราพูดเรื่องสังสารวัฏกับนิพพานในร่างกายในจิตใจ ที่สมมุติเรียกว่าเป็นคนๆ หนึ่งหรือคนเดียวกันนี่ บางเวลาเป็นเรื่องสังสารวัฏคือมีตัวกูของกู บางเวลาว่างจากตัวกูของกูคือเป็นนิพพาน นิพพานตามธรรมชาติเรียกว่านิพพานชั่วขณะตามธรรมชาติ นิพพานจริงมันก็อย่างนั้น คือว่าให้มันถาวรก็แล้วกัน นิพพานที่ยังเปลี่ยนแปลงได้นั่นหล่ะอย่างนั้นเอง แล้วก็ให้มันถาวร อย่างนี้มันก็เรียกว่าพูดอย่างสุด สุดที่จะพูด จะพูดถึงความจริงมันก็จริงถึงที่สุด พูดถึงความลึกมันก็ลึกถึงที่สุด
สุภาษิตจีน สุภาษิตของชาวจีนกลางบ้าน เขาใช้คำว่ากลางบ้าน คือที่พูดกันอยู่ตามบ้านเรือน ก็ยังพูดว่า คนเราคนหนึ่งคือสวรรค์กับแผ่นดินโลกย่อส่วน หมายความว่าทั้งสวรรค์และทั้งมนุษย์ทั้งแผ่นดินมนุษย์นี่รวมกันสองอย่าง ย่อส่วนเล็กลงมาแล้ว คือคนเราคนหนึ่งๆ นี่มันหมายความว่าไอ้คนหนึ่งๆ นี่ มันมีทั้งสวรรค์และทั้งแผ่นดินมนุษย์รวมอยู่เสร็จ ทำไมมันมีขนาดเล็ก จึงเรียกว่าย่อส่วน หมายความว่ามันมีครบ มันมีครบ ครบทั้งสวรรค์ครบทั้งมนุษย์ แม้จะเป็นเรื่องสุภาษิตชาวบ้าน ชาวบ้านพูดกลางบ้านมันก็ไม่ใช่เล่น มันก็ไม่ใช่เล่นอยู่แล้ว มัน มัน มันฉลาดมาก มันฉลาดมากกว่าธรรมดามากแล้วเห็นไหม คือคนธรรมดาไม่ได้นึกว่าสวรรค์กับมนุษย์นี่จะอยู่ในที่เดียวกันได้ เป็นธรรมดาไม่เคยนึก แล้วก็ยังไม่เคยนึกว่ามันจะมารวมอยู่ในคน คนหนึ่งๆได้ก็ไม่เคยนึก นั้นไอ้สุภาษิตพื้นบ้านของคนจีนยิ่งฉลาดมาก ที่พูดว่าสวรรค์กับมนุษย์รวมอยู่ในคนๆ หนึ่ง หรือคนๆ หนึ่งก็คือสวรรค์กับมนุษย์รวมกันย่อส่วน หมายความว่าบางคราวในคนๆ หนึ่งมันมีความดีเหมือนกับสวรรค์ บางคราวมันมีธรรมดาเหมือนกับมนุษย์ หรือเราจะไปพูดเสียอีกคู่หนึ่งว่ามีทั้งนรก มีทั้งสวรรค์ในคนๆ หนึ่ง คือสวรรค์หรือนรกย่อส่วน
นี่ไปมองให้เห็นเสียสักชั้นหนึ่งก่อน สักระดับหนึ่งก่อน สวรรค์กับมนุษย์ย่อส่วนคือคนๆ หนึ่ง คือมองให้เห็นไอ้ข้อที่ว่าบางเวลานี้ล่ะก็เป็นมนุษย์ คือมีความลำบากอย่างมนุษย์ บางเวลาเราก็สบายใจ กำลังสบายใจเหนือความเป็นมนุษย์เหมือนกับสวรรค์ บางเวลาก็มีได้ ถ้ารู้จักทำให้มันมากขึ้น มันก็มีสวรรค์กับมนุษย์เท่าๆ กัน ถ้ารู้จักทำให้มากขึ้นอีก ก็มีสวรรค์มากกว่ามนุษย์ก็ได้ ถ้ารู้จักทำอะไรให้เป็นที่พอใจแก่ตัวเองไปทุกอย่างเลย ก็จะเป็นประโยชน์ จะกินข้าวก็สบายใจ จะไปนั่งตรงไหนก็สบายใจ กระทั่งว่าไม่ได้กินข้าวก็ยังสบายใจ กระทั่งเจ็บไข้ก็ยังสบายใจ เช่น ดีใจเพราะว่ามันได้รู้ ได้เรียน ได้เข้าใจชีวิต ทีนี้มันก็ไม่มีปัญหา คนเรากระทั่งตายก็ดีใจ คือว่าตายไปด้วยความพอใจที่ได้รู้จักความตาย มันก็เลยสบายเท่านั้นเอง คือไม่มีปัญหาลำบาก หรือไม่มีความทุกข์ ไม่มีปัญหาอะไร อย่างนี้มันคล้ายกับพูดใหม่ว่ามันมีแต่สวรรค์ มีแต่เรื่องสวรรค์ ไม่มีเรื่องมนุษย์ หรือไม่มีเรื่องนรก แต่นี่คนที่เขาพูดสุภาษิตข้อนั้น เขาหมายความถึงว่ามันก้ำกึ่งกัน บางเวลาเราก็สบายใจ บางเวลาเราก็ไม่สบายใจ เวลาที่ไม่สบายใจก็เป็นมนุษย์ เวลาสบายใจก็เป็นสวรรค์ ถ้าเราใช้ธรรมะบางอย่างเพียงบางระดับไม่ใช่สูงสุดอาจจะแก้ไขให้มันมีความเป็นสวรรค์มากขึ้นหรือไม่มีความเป็นมนุษย์เลย คือว่าได้ขึ้นสวรรค์ไปเลย คือรู้จักทำให้จิตใจมันพอใจทุกอย่างที่มันเกิดขึ้น สบายใจทุกอย่างในสิ่งที่มันเกิดขึ้น ข้อนี้อย่าลืมเสียสิ เดี๋ยวจะหลง จะหลงกลับลืมเสียสิ
มีหลักว่า ‘ อะไรมันก็สำเร็จที่ใจ’ อะไรมันก็สำเร็จอยู่ที่ใจ เราจะไม่สบายก็อยู่ที่ใจ จะสบายก็อยู่ที่ใจ อะไรมันก็อยู่ที่ใจ แล้วก็ต้องจัดการที่ใจ จะจัดให้มันเป็นอย่างไรก็ได้เพราะมันอยู่ที่ใจ มันสำเร็จที่ใจนี้ เราก็จัดใจเสียใหม่ เพราะไอ้เรื่องศาสนาก็คือ เรื่องจัดใจเสียใหม่ให้มีความสุขมีความพอใจตามที่เราต้องการ อย่างนี้มันตรงกันหมดทุกศาสนา ยิ่งพุทธศาสนาด้วยแล้วยิ่งมีคำยืนยัน มีพุทธภาษิตยืนยัน มีคำชั้นหลังอรรถกถาต่างๆ ก็ยืนยัน ความสุข ความทุกข์ อัตภาพร่างกายสำเร็จอยู่ที่ใจขณะเดียว ขณะเดียวๆ ที่จิตขณะเดียว ขณะเดียว นั้นเราอาจจะสร้างอะไรขึ้นมาได้โดยการจัดที่ใจ นี่หมายความว่ามันมีสวรรค์และแผ่นดินมนุษย์ มีมนุษย์นี่ ครึ่งหนึ่ง คนละครึ่ง ก็เรียกว่าเป็นคำพูดที่เป็นประมาณการได้ทั่วๆ ไป ทั่วๆ ไป มันก็ไม่แพ้สุภาษิตไทยที่ว่าสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ ทั้งสุภาษิตจีนกับสุภาษิตไทยก็ไม่แพ้กันหรอก นี่เราก็กล้าพูดว่าสวรรค์ในอก นรกในใจ ก็ในใจด้วยกัน ไอ้นั่นว่าทั้งสวรรค์ทั้งมนุษย์นี่ก็อยู่ในคนๆ หนึ่ง ในลักษณะที่ย่อส่วนเล็กนิดเดียว นั้นเราก็ฟังภาษิตของชนชาติไหนด้วยก็ได้ ถ้าความหมายมันตรงกัน มันก็เป็นของนั่นด้วยกันเพราะมันใช้ได้ด้วยกัน ถ้าอย่างนี้มันหมดจีน หมดไทยและหมดศาสนานั่น ไม่มีศาสนาไหน ไม่มีศาสนาโน้น ไม่มีศาสนานี้
เพราะนั้นเราสนใจสิ่งเหล่านี้ในลักษณะที่เป็นความจริง เป็นความจริง ถ้าใครสนใจความจริงที่เรียก Truth Truth นั้ นมันเร็ว มันเข้าถึงไอ้ตัวจริงนั่นนะเร็ว ถ้าไปสนใจศาสนา สนใจไอ้ทำนองนั้นแล้วมันโอ้เอ้ เพราะมันต้องไปติดเปลือกศาสนา ไปติดพิธีรีตรอง ไปติดแบบแผนอะไรต่างๆ มันมาก มันโอ้เอ้ เช่น อย่างว่าเราจะยกเลิกหมด เป็นพระเป็นเณรเป็นอะไรไม่รู้ มีแต่จะศึกษาให้รู้ว่า มันทุกข์ขึ้นมาเพราะเหตุไร มันดับทุกข์เพราะเหตุไรนี่ นี่ก็เรียกว่าเราไม่สนใจอะไรหมด ไม่สนใจศาสนา ไม่สนใจ สนใจแต่เรื่องทุกข์โดยตรง มันก็เร็วกว่ามีเรื่องมาก หลายเรื่อง หลายสิบเรื่อง นั้นผมถึงแนะให้มองกันในแง่ที่ว่าถ้าสนใจเรื่องความจริงแล้วก็ไม่มีศาสนาไหน ไม่มีศาสนาต่างๆ มีศาสนาเดียวกันได้ คือความจริงที่มนุษย์เราเป็นทุกข์เพราะเหตุนั้น ต้องดับมันอย่างนั้น และผลสุดท้ายก็ดับไอ้ตัวกูของกูด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าศาสนาไหน ไปค้นดูให้ถึงหัวใจ ถึงแก่นแท้ ทุกศาสนาล้วนแต่มุ่งหมายจะดับตัวกูของกู คือความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวกูของกูทุกศาสนา ไอ้นั่นมันเป็น Truth เป็นความจริงของทุกศาสนา ไอ้นอกนั้นมันเป็นเปลือกทั้งนั้น
นี่เราควรจะขึ้นมาถึงระดับนี้แล้ว การที่บวชเรียนมาหลายปีแล้วหรือฟังอะไรมามากแล้ว ศึกษาอะไรมามากแล้วมันควรจะขึ้นมาถึงระดับนี้ ระดับที่ไม่ต้องมีจีน มีไทย มีสุภาษิตจีน สุภาษิตไทย ไม่ต้องมีศาสนาพุทธ ศาสนาคริสเตียน ศาสนาโมฮำหมัด ไม่ต้องมีศาสนา มีแต่ว่าความจริงข้อเดียว ถ้าจะดับทุกข์กันแล้วต้องดับตัวกูของกูที่เป็นความเห็นแก่ตัว มีตัว และเป็นของตัว นี่ก็คือไม่มีตัวกู ไม่มีของกู ก็คือว่าง นั้นศาสนาว่าง ก็คือศาสนาทั้งหมด ศาสนาทุกศาสนาเป็น Truth ของทุกสิ่งของทุกศาสนา ดับเสียซึ่งความคิด ความเข้าใจ ความสำคัญมั่นหมายว่าตัวกูของกู นี่พูดเพียงว่าอย่าให้มันดูถูกผู้อื่น อย่าดูถูกพวกอื่นเข้า นั้นสุภาษิตก็ตาม อะไรก็ตามของชนชาติไหนก็ได้ ควรจะเอามาดู มาฟัง มาเขียนไว้ มารักษาไว้ไม่เสียหลาย กระทั่งภาษิตของพวกจีนนี่ คนๆ หนึ่งคือนรก เอ้ย , คือสวรรค์กับมนุษย์ย่อส่วน
ผมตรวจดูสุภาษิตจีนอยู่เหมือนกัน จึงพบไอ้อย่างนี้ ไปพบระดับที่ดีที่ว่า ที่เราเคยคิดอยู่เป็นภาษิตจีนที่มีว่า จุดตะเกียงไว้ในที่มืดสักดวงหนึ่งเท่านั้นหล่ะ ดีกว่าไปสร้างพระเจดีย์ใหญ่โตมโหฬารสูงเจ็ดชั้นเทียมฟ้า เขาว่าอย่างนั้นนะ จุดตะเกียงไว้ในที่มืดสักดวงหนึ่งดีกว่าไปสร้างพระเจดีย์มหึมาสูงเจ็ดชั้น พระเจดีย์จีนเขาทำเป็นชั้นๆ และแพงมากทำยากมาก คือมันเหมือนกับตึกขึ้นไปทุกชั้นๆ ขึ้นไปได้ข้างใน กลวงข้างใน ขึ้นไปได้บันไดอยู่ข้างใน มีช่องมีหน้าต่างแพงมาก แล้วดูเหมือนจะมีสักอันหนึ่งว่าไอ้ตั้งหม้อน้ำไว้ให้คนกินสักหม้อหนึ่ง ยังดีกว่าสร้างพระเจดีย์มหึมาสูงเจ็ดชั้น ตั้งน้ำ น้ำหม้อเล็กๆ ไว้ นี่ ให้คนเดินทางได้กินสักหม้อหนึ่งยังดีกว่า นี่แสดงว่าในเมืองจีนนั้นก็แย่มาก คือคนหลงใหลเรื่องทำบุญ ทำแบบนั้นกันมาก จนต้องมีคำพูดอย่างนี้ขึ้นมา หรือเขาคงคิดไปในแง่ประโยชน์และไอ้พระเจดีย์นั้นมันคงจะจืดชืด มันไม่ให้ประโยชน์ในที่สุด ที่จริงก็มีประโยชน์พระเจดีย์ก็มีประโยชน์ แต่มันยากที่จะได้รับประโยชน์ ตั้งน้ำสักหม้อมาให้กินกันยังได้ประโยชน์กว่า ได้ประโยชน์ก่อน พระเจดีย์มันมีประโยชน์ ถ้าทางศิลปะมันก็ไปกันใหญ่ มันก็ยุ่งยากลำบากเปล่าๆ ไอ้เรื่องศิลปะชนิดนั้นมันยุ่งยากลำบากหมดเปลือง แล้วความมุ่งหมายเขาจะให้เป็นเครื่องระลึกถึงพระพุทธเจ้า หรือถึงธรรมะ แต่มันคงไม่สำเร็จประโยชน์ มันไม่ทำให้เกิดประโยชน์อย่างนั้นได้ คนจึงเบื่อระอาว่าจะต้องเล็งถึงประโยชน์กันก่อน จะจริงหรือไม่จริงก็ลองไปคิดดู อย่างน้อยจะเห็นว่าไอ้คำพูดชนิดนี้ นี่ ไอ้คนพูดนั้นไม่เลวเลย คนพูดเคยคิดมากเคยมองมาก นี่เขาพูดว่าคนๆ หนึ่งคือนรก เอ้ย, คือสวรรค์กับมนุษย์ย่อส่วนนี่ มันก็ฉลาดกว่านั้นอีก
ทีนี้มาเปรียบเทียบกันดูกับที่เราพูดวันก่อน ที่พูดวันก่อน ว่าในคนๆ หนึ่งมีทั้งสังสารวัฏและนิพพาน นี่ลองเปรียบเทียบกันดูจะเห็นว่าเรายังพูดไปไกลกว่า เพราะว่าทั้งสวรรค์และทั้งมนุษย์นั่นมันเป็นสังสารวัฏ เป็นวัฏฏสงสาร ทั้งสวรรค์และทั้งมนุษย์ที่ว่าทั้งสองอย่างเป็นเพียงวัฏสงสารยังไม่มีนิพพาน ยังไม่ได้พูดถึงนิพพาน นี่เราพูดว่าทั้งสังสารวัฏและทั้งนิพพานอยู่ในคนๆ หนึ่ง หมายความว่าเรามีขอบเขตที่กว้างออกไปกว่า ให้มองดูกันไกลกว่า กว้างกว่า ลึกกว่า นรกหรือมนุษย์หรือสวรรค์ หรือไอ้นี่ มันเป็นสังสารวัฏทั้งนั้นอยู่ในคนๆ เดียว ว่าคนๆ หนึ่งเป็นได้ทุกอย่าง นี่แถมบางขณะเป็นความหยุด เป็นความสงบหรือเป็นนิพพานซ่อนอยู่ในนั้นก็มี นั้นเรามองได้ได้ลึกกว่า มองได้ละเอียดกว่า จึงมองอย่างที่ว่าเมื่อวันก่อน เราจะเห็นว่าคนๆ เดียวนี่ บางเวลาเป็นสังสารวัฏ บางเวลาเป็นนิพพาน ความคิดมันพลุ่งขึ้นไปพักหนึ่ง เดี๋ยวมันก็หยุด มันจะบ้าไปได้ถึงไหน หายบ้ามันก็หยุด เดี๋ยวมันบ้าอีกมันก็พลุ่งอีก เดี๋ยวมันก็หยุดอีก ลักษณะอย่างนี้ เหมือนภาพเขียนขลุ่ยกลับมากอไผ่ มันไม่มีที่ไปไหนหรอก มันต้องกลับไปหาไอ้สภาพเดิมของมัน ต้นกำเนิด หรือสภาพเดิมของมัน เสียงขลุ่ยที่เป่าออกมาจะสลายลงไปในธรรมชาติที่หยุดที่สงบ คือเปรียบเหมือนกอไผ่ นั้นไอ้ชั่วเสียงเป่านี่ เขาเรียกว่าปรุงแต่ง เป็นพวกปรุงแต่ง ไอ้ของปรุงแต่งมันก็มีระยะเวลา เดี๋ยวมันก็สิ้นอำนาจปรุงแต่ง มันก็หยุดลงไป ไอ้ของที่ไม่ปรุงแต่ง อยู่ถาวร
นั้นคิดว่าเอาไอ้ความสงบนี่เป็นพื้นฐานของจิตใจไว้ก่อน อย่าง ปะภัสสะระมิทัง ภิกขะเว จิตตัง นี่ได้กำไร เป็นลักษณะฝ่าย Positive พูดอย่าง พูดอย่างสมัยใหม่ ก็เรียกว่า Positive คือพูดอย่างมี พูดอย่างให้มี มันน่าชื่นใจกว่าพูดอย่างไม่มี พูดในรูปที่ว่าไม่มีอะไรว่าอย่างนี้ มันไม่น่าชื่นใจ เรียกว่าเรามี คนเรามันชอบมี มีความสงบเป็นพื้นฐานถาวรอยู่ แล้วพลุ่งเป็นความไม่สงบเป็นพักๆ อย่างนี้มันมีหวัง หรือว่ามีที่อุ่นใจกว่าที่ว่าไม่มีอะไรเลย ไปทำความเข้าใจกันบ่อยๆ ว่าเดี๋ยวก็เป็นสังสารวัฏสักพักหนึ่ง เดี๋ยวก็หยุดเป็นนิพพานตามเดิม เดี๋ยวก็เป็นสังสารวัฏไปพักหนึ่ง เดี๋ยวก็หยุดเป็นนิพพานไปตามเดิม เดี๋ยวเผลอเดี๋ยวเป็นสังสารวัฏขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง สังสารวัฏเรื่องนี้ สังสารวัฏเรื่องโน้น สังสารวัฏในหลายๆ เรื่องหรือหลายๆ สิบเรื่องแล้วแต่จะจำแนก พวกที่เรียนอภิธรรมก็จำแนกได้ดี สังสารวัฏจะจำแนกอะไรได้บ้าง เช่นว่า ภูมิ ๓๑ ๓๑ อย่างคือสังสารวัฏ หล่ะ อย่างน้อยได้ ๓๑ อย่าง สังสารวัฏ คือเป็นนรกเสีย ๖ ชนิด เอ้ย, ๔ ชนิด เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย เป็นนรกเสีย ๔ ชนิด คิดๆ ตัวเลข แล้วเป็นมนุษย์ ๑ ชนิด เป็น ๕ แล้วเป็นสวรรค์กามาวจรอีก ๖ เป็น ๑๑ แล้วก็เป็นพวกรูปาวจรภูมิ อีก ๑๖ ๑๖ชนิด มันก็เป็นอะไรล่ะ ๑๖ กับ ๑๑ เป็น ๓๗ แล้ว และก็เป็นชนิดอรูปวจรอีก ๔ ชนิด นี่เลยเป็น ๓๑ ๓๑ชนิด สังสารวัฎ
นี่ลองให้ผมอธิบายชนิดพวกที่ ชนิดที่พวกอภิธรรมเขาไม่ยอมเด็ดขาด เป็นอบาย ๔ ชนิดในวันหนึ่งอาจจะเป็นอบายครบทั้ง ๔ ชนิด เมื่อไหร่ร้อนใจเป็นไฟเมื่อนั้นเป็นสัตว์นรก เมื่อไหร่โง่ไปบ้างไม่น่าเชื่อ อย่างไม่น่าเชื่อเมื่อนั้นเป็นเดรัจฉาน เมื่อไหร่หิวทะเยอทะยานไปตามแบบของตัวกู เป็นเปรต แล้วเมื่อไหร่ไม่กล้าคือขี้ขลาดซบเซาไปอันนั้นก็เป็นอสุรกาย ครบ ๔ ไหม ในวันหนึ่งอาจจะมีได้ครบ ๔ ที่เป็นมนุษย์นี่คือขณะที่ทำงานอย่างจริงจัง ทนลำบากทำงานเพื่อประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง เหงื่อไหลไคลย้อยอยู่ เมื่อนั้นเป็นมนุษย์
ทีนี้เป็นกามาวจร ๖ ชั้น นับตั้งแต่ชั้นจาตุมมหาราช ยามา ดุสิตา นั่นแหละคือเรื่องเกี่ยวกับกามารมณ์ กามคุณ กามารมณ์ตามชั้นที่ปราณีตหรือหยาบ ง่ายหรือลำบาก ก็แบ่งเป็น ๖ ชั้น ไปอ่านในรายละเอียดดูในธรรมวิภาคปริเฉท ๒ ชั้นสุดท้ายที่เรียกว่า ปรนิมมิตวสวัตตี นี่คือกามารมณ์สูงสุดด้วย แล้วไม่ต้องทำเอง ไม่ต้องหยิบเองมีคนรับใช้ มีคนทำให้ มีคนอะไรให้ กามารมณ์ที่ชนิดที่มีคนทำให้ ชั้นจตุมหาราชนี่ยังค่อนข้างจะหยาบหรือทราม นี่ก็พอจะเข้าใจกันได้ ไม่ต้องไปจำมันให้เป็นรายละเอียดเพราะในพวกที่บริโภคกามารมณ์ด้วยกันมันมีหยาบๆ ละเอียดมีหลายๆ ขนาด มาตรฐาน ถ้าว่าไม่อาจจะบริโภคด้วยร่างกายจริงๆ เป็นความคิดฝันก็ได้ ฝันไปทางกามารมณ์ ทางกามคุณอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วสบายใจอยู่ในเวลานั้น ก็เรียกว่า สวรรค์กามาวจรได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งซึ่งจะต้องพูดกันคราวอื่น พูดไว้แต่หัวข้อไว้ทีว่า พูดแต่หลักไว้ทีก่อนว่า ไอ้ความรู้สึกทางกามารมณ์ทุกชนิดเป็นมโนภาพทั้งนั้น ความรู้สึกทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ทั้ง ๖ นี่ ล้วนแต่เป็นมโนภาพ แต่คนไม่รู้สึกว่าเป็นมโนภาพเพราะว่ามันอัตโนมัติและเร็วที่สุด ความรู้สึกที่เรารู้สึกนี่ คือส่วนที่เป็นมโนภาพไม่ใช่ของจริง เช่นว่า ผู้ชายไปกอดผู้หญิงเข้า ความรู้สึกที่ว่าเป็นผู้หญิงนั้นเป็นส่วนของมโนภาพ ไอ้เนื้อตัวผู้หญิงจริงๆ นั้นก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ว่ามโนภาพนี้สร้างเสร็จรวดเร็วทัน ไม่ ไม่ ไม่อาจจะรู้สึก ถ้าสมมุติว่าถูกของปลอมที่มันเหมือนคนนี้ ก็มีความรู้สึกอย่างเดียวกัน มโนภาพสร้างได้อย่างเดียวกัน ความรู้สึกกำหนัดด้วยกิเลส ราคะนี่ล้วนแต่เป็นมโนภาพ ล้วนแต่เป็นส่วนที่เกิดขึ้นจากมโนภาพเป็นผลของการเกิดมโนภาพ หูกระทบเสียงอย่างนี้ สัญญาสร้างมโนภาพขึ้นมาเป็นเสียงนั่นเสียงนี่ ทันทีทันควันโดยไม่รู้สึกและเราคิดว่าเสียงจริงๆ ถ้าเสียงจริงๆ ไม่สำเร็จประโยชน์อะไร ต้องเป็นเสียงของมโนภาพจึงจะสำเร็จจากจิตใจ เมื่อสัมผัสอะไรอยู่ก็ตาม ถ้ามโนภาพหรืออุปทานนั้น มีว่าเป็นเพศตรงกันข้ามแล้วก็ใช้ได้ มันเป็นอย่างนี้ ทั้ง ๖ อารมณ์ ทั้งทวารทั้ง ๖ นี้ มีลักษณะเป็นมโนภาพเหมือนกัน เรื่องนี้อาจจะพิสูจน์ได้แม้ทางจิตวิทยาเกี่ยวกับการ จิตวิทยาทางวัตถุนี่ ไป ไปเรียน จะรู้ได้ พวกหมอ พวกผู้เชี่ยวชาญเรื่องทางระบบประสาท ทางจิตใจแล้วก็เรื่องทางเพศด้วย ต้องเป็นหมออย่างนี้จะบอกได้ จะอธิบายได้ว่า เป็น Imagination หรือที่เราเรียกกันว่ามโนภาพ ความรู้สึกกำหนัด ความรู้สึกกระสัน ความรู้สึกอะไรต่างๆ ความรู้สึกเหล่านี้เกิดมาจากส่วนที่เป็นมโนภาพไม่ใช่จากของจริง มันเลยมีความแน่นอนอยู่อย่างว่า เมื่อมันเป็นมโนภาพ มันจึงแน่นอนว่า มันเป็นสิ่งที่กำจัดได้ เป็นสิ่งที่สามารถกำจัด นั้นกิเลสเป็นสิ่งที่สามารถกำจัดได้ นี่สรุปความไว้ทีหนึ่ง แต่เพียงว่าไอ้ที่เรารู้สึกอยู่ในใจ นั่นแหละคือมันจริงเท่านั้น มันจะรู้สึกอย่างไรมันก็เป็นอย่างนี้ รู้สึกเอร็ดอร่อย รู้สึกสนุกสนาน รู้สึกมากขนาดที่ว่าจัดเป็นสวรรค์เป็นอะไรไป มันเป็นมโนภาพที่ให้ผลเหมือนกัน นั้นอย่าเข้าใจว่าเป็นพระเป็นเณรอยู่ไม่สัมพันธ์กับเพศตรงกันข้ามแล้วก็จะไม่มีเรื่องสวรรค์ชั้นกามาวจร มันมีได้เต็มที่ในลักษณะที่เป็นมโนภาพ มันมีความกระสัน มีความกำหนัด มีอะไรเหมือนกับจะไปแตะต้องเพศที่ตรงกันข้ามเข้าจริงๆ ได้ นี่ถ้าพูดถึงฆราวาสแล้วไม่ต้องสงสัยเลยเพราะทำอะไรก็ได้ นี่พูดแต่พระนี่ก็ยังมีทางที่จะเป็นกามาวจรได้ทั้ง ๖ ชั้นด้วยมโนภาพซึ่งมีผลเท่ากัน
ทีนี้มันก็มาถึงไอ้พวกรูปาวจร ๑๖ ชั้นที่เราเรียกกันว่ารูปพรหม ๑๖ ชั้น แจกไปตามพวกปฐมฌาณ ทุติยฌาณ ตติยฌาณ จตุตถฌาณ ไปดูบัญชีรายชื่อในไอ้พวกหนังสือสวดมนต์ก็ได้ นี่คือความที่จิตสบาย สบายเพราะมีวัตถุที่ไม่เกี่ยวกับกามคุณนะ แต่มีวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งมาทำให้พอใจได้รสได้ชาด นั้นแม้แต่วัตถุของเล่น ที่ไม่เกี่ยวกับกามคุณถ้าทำให้ได้รับความพอใจได้สงเคราะห์เป็นรสชาติของรูปาวจรได้ เป็นความสุขอย่างรูปาวจรได้ พอใจอะไร ชอบเล่นอะไร
ผมจะเล่าความรู้สึกของผมให้ฟังบางอย่างก็ได้ พอใจเพราะได้ถ่ายรูป ฟังดูดีๆ นะ ผมพูดว่าพอใจเพราะได้ถ่ายรูป เพราะได้เล็ง และก็ได้แน่ใจว่าสวยแน่แล้วก็ถ่าย สนุก พอใจอย่างยิ่ง ทำไมจึงเรียกว่าอย่างนี้ ว่าพอใจเพราะได้ถ่ายรูป เพราะว่าฟิล์มตั้งหลายสิบม้วนล้างแล้วไม่เคยอัดเลย ไม่เคยอัดรูปเลย ไม่เคยอัดออกมาเป็นรูปกระดาษ หรือรูปภาพ แล้วบางม้วนก็ไม่ล้าง ทิ้งไปเลย แต่ว่าความพอใจสูงสุดเมื่อร่างกายถูกกล้องหรือเมื่อเล็ง หรือเมื่อคำนวณหรือเมื่ออะไรต่างๆ อย่างนี้จะเรียกว่ากามาวจรไม่ได้ ความพอใจนั้นเป็นกามาวจรไม่ได้ ต้องเป็นประเภทรูปาวจรหรืออรูปาวจรอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วแต่จะไปเพ่งเล็งส่วนไหน นั้นไม่ต้องพูดถึงแล้ว ไอ้พวกที่เล่นนกเขา หัดเล่นลายครามอย่างนี้ ไม่ต้องไปพูดถึง มันพอใจอย่างยิ่ง เหมือนกับผมพอใจถ่ายรูปโดยไม่ต้องล้างนี้ ถ้าเอาเป็นไม่มีรูปไม่มีตัวมีตนกันมันก็เป็นพวกอรูปาวจร ถ้าเอาวัตถุเป็นหลักกันก็เป็นพวกรูปาวจร ครั้งหนึ่งเป็นอย่างนั้น เคยเป็นอย่างนั้น ไอ้นั่นเขาไปจำแนกมัน อย่างตามแบบในคัมภีร์ แล้วก็เจริญทุติยฌาณ ปฐมฌาณ ทุติยฌาณ ฌานอะไรก็ล้วนแต่เอารูปเป็นอารมณ์ทั้งนั้น ฌานไหนก็ตามที่ประเภทรูปาวจรต้องเอาของที่มีรูปเป็นอารมณ์ เช่นดวงกสิณ เช่น แม้แต่ลมหายใจ แม้แต่ซากศพ แม้แต่อะไรก็ตาม ถ้ามันเกิดฌานขึ้นมาได้เหตุนั้น มันเป็นรูปาวจร แต่เดี๋ยวนี้เราไม่ต้องการจะพูดในขอบเขตที่จำกัดอย่างนี้ พูดกว้างๆ สำหรับทุกคนมีได้ ก็คือพอใจในวัตถุที่มีรูปล้วนๆ พอใจอย่างหลงใหล มีคนหนึ่งเล่นนกเขาจนไม่อยากมีเมีย จนมีเมียไม่ได้ หรือว่าไม่อยากมีเมีย เพราะว่าถ้าเกิดมีเมีย มันก็เล่นนกเขาไม่ได้ มันต้องทะเลาะกันหรือถ้ามันอร่อยเสียเกินไปกว่าที่จะคิดจะมีเมีย จนตายเลย นี่ คุ้นเคยกับผมนี่ เพราะผมยังเคยขอเขา มันเอาความพอใจเป็นหลัก ถ้าสิ่งนั้นมันเกี่ยวกับรูปจะเป็นรูปล้วนๆ แล้วไอ้คนที่เล่นนกเขาบางคนก็มันก็สนุกต่างๆ กัน ต่างอย่างกัน บางคนสนุกเพียงว่าเมื่อต่อ เมื่อต่อนกเขาสนุกที่สุด ต่อได้แล้วให้ใครก็ได้ ไม่ได้คิดที่จะมาเลี้ยงให้เป็นนกที่วิเศษวิโส ให้ใครก็ได้ ไอ้ความสนุกความเอร็ดอร่อยสูงสุด จิตจุใจก็ตรงที่มันต่อนกได้ แล้วก็เดินไปต่อนกหรือนั่งเฝ้านก หรือต่อนกมันสบาย ไม่มีเวลาไหนจะเสมอเหมือน แล้วมันมีมากที่มนุษย์เราเวลาหนึ่งหรือบางโอกาส หรือวัยหนึ่ง สมัยหนึ่งมันจะหลงใหลในสิ่งที่เป็นรูป มีรูปล้วนๆ ไม่เกี่ยวกับกามารมณ์ ทีนี้คุณก็ไปแบ่งชั้นเอาเองให้มันได้ ๑๖ ชั้น
ที่นี้ไอ้พวกอรูปาวจรก็หมายความว่า อย่ามีรูปเป็นเหตุ เป็นเรื่องเกียรติ โดยเฉพาะไอ้พวกยกหูชูหางนี่ เป็นพวกอรูปาวจรแท้เลย เพราะพวกพรหมเขามีปัญหาเหลือแต่เรื่องอัตตวาทุปาทาน ตัวกูของกู ตัวกูของกู เพราะมัน มัน ไอ้ตัวกูของกูนี่มันไม่มีอะไรมากเท่าเกียรติ เช่นว่า เราอุตส่าห์พยายามมากในการงานหรือศิลปะชนิดใดชนิดหนึ่งในหน้าที่ เช่นเป็นศิลปินเขียน หรือว่าเป็นอะไรก็ตามหรือว่ากระทั่งว่าเป็น engineer อย่างนี้เป็นต้น ค้นคว้าแต่เรื่องเทคนิคต่างๆ พวกเหล่านี้สบายใจเมื่อรู้สึกว่ารู้ มันไม่สบายใจเมื่อจะไปรับจ้างเอาเงินเอาอะไรมากนัก เมื่อค้นพบและรู้ หรือว่ารู้ รู้ เพียงแต่ว่ารู้สึกว่ากูชำนาญ หรือกูเก่งพอแล้ว ไม่ต้องการเงิน ไม่ต้องการวัตถุอะไร ถ้ามันต้องการเพียงแต่เกียรติเพื่อตัวกูของกูอย่างนี้หล่ะก็ มันก็เป็นพวกอรูปาวจรได้ เลือกเอาสิ่งที่ไม่มีรูปร่างเป็นหลัก แล้วมาทำความพอใจ หรือทำความยึดมั่นถือมั่นให้อย่างสูงสุด ลึกซึ้งเหนียวแน่นที่สุดมันก็พอแล้ว ความหมายมันเท่ากัน แล้วทุกคนก็กำลังพยายามอยู่ไม่ใช่เหรอ ทุกคนนี่ ผมกล้าพูดว่า พยายามที่จะให้มันเก่งนะ ใครบ้างที่นั่งอยู่นี่ไม่ต้องการเก่ง รู้แต่ไม่มีล่ะ มีแต่บ้ามากบ้าน้อยเท่านั้น มันต้องการจะเก่งทั้งนั้นหล่ะ ไอ้ความได้เก่งนี่ คือรสอร่อยประเภท อรูปาวจร ไม่ต้องการเงินไม่ต้องการของ ไม่ต้องการให้ใครชมทำอะไรบางที ไม่ต้องการให้ใครรู้เรียกว่าค้นพบทาง สบายใจ แต่ถึงแม้ต้องการให้ใครชมก็เถอะ มันก็ยังไม่มีรูป มันยังเป็นอรูปาวจร ทีนี้มันก็สูงต่ำกว่ากันในระดับ ๔ ชั้น มันพอจะแจกออกไปได้
แต่ถ้าเป็นเรื่องไอ้ทางศาสนา ทางลัทธิ ทางศาสนาเขาใช้ อากาสานัญจายตน เอาอากาศเป็นสำหรับให้จิตเพ่ง เอาวิญญาณให้จิตเพ่ง เอาความไม่มีอะไรให้จิตเพ่ง เอาความรู้สึกที่ไม่ได้เป็นหรือตายนี้เป็นจิตเพ่ง อรูปฌาน ๔ นั่น มันก็ล้วนแต่ความสบายใจเกิดมาจากสิ่งที่ไม่มีรูป ความสบายใจสูงสุดที่เกิดมาจากสิ่งที่ไม่มีรูปด้วยกันทั้งนั้น เอาหล่ะไอ้เราๆ อย่างนี้บางวันเกิดบ้าขึ้นมา นั่งปล่อยจิตว่างเฉยๆ สบายใจก็เป็นอย่างนี้ได้ เป็นอย่างอรูปาวจรนี้ได้ เป็นอากิญจัญญายตนได้ และถ้าอากิญจัญญายตนะ นี่แหละอยากจะบอกให้รู้ว่าบางทีเป็นชื่อนิพพานที่ถูกต้องก็มี ไอ้ชื่อนี้มันยืมกันได้ อากิญจัญญายตนะ ความไม่มีอะไรนี่ ที่เป็นโลกียะก็เป็นไอ้พวกอรูปฌานที่ ๓ บางทีชื่อนี้เอามาใช้เป็นชื่อนิพพานแท้จริง เพราะคุณอ่านหนังสือบาลีไม่ได้ ผมเคยพบในอรรถกถา ในพระไตรปิฎกเองก็มี คนไม่รู้ ไม่รู้ หลงตายเลย เข้าใจผิด หลงตายว่าหนังสือผิด ไปแก้ของเขา อะไรของเขา หรือถ้าเรานั่งชมท้องฟ้าที่เวิ้งว้างแล้วสบายใจที่สุดอย่างนี้ จะเป็นอะไรคิดดู ก็สงเคราะห์ไอ้พวกนี้ ไม่ใช่ก้อนเมฆหรือไม่ใช่อะไรนะ คือความว่างเวิ้งว้างท้องฟ้าหรือว่า มันแล้วแต่ว่าอะไรที่มันไม่มีรูปก็แล้วกัน ถ้ามันทำให้เกิดความพอใจ ยึดมั่นถือมั่นได้ ในความพอใจได้ มันก็เป็นไอ้พวกสังสารวัฎนี้ นั้นในคนๆ เดียวในชาติหนึ่งหรือในวันหนึ่งมันอาจจะเป็นได้ครบใน ๓๑ ภูมิ อย่างนี้พวกอภิธรรมเขาไม่ยอมหรอก เขาว่าผมโกหก มาหลองลวงพูดเอาเอง เขาเข้าใจไม่ได้ เขาต้องว่าอย่างนั้น เพราะเขาเอาไว้คนละภพคนละชาติ เข้าโลงแล้วเข้าโลงอีกจึงจะได้สักชั้นหนึ่งสักภูมิหนึ่ง พอตายแล้วก็ไปเกิดในพรหมโลก ไปเกิดในชั้นลึก มันก็พูดกันอย่างนั้น มันต้องหลังจากตายแล้วเข้าโลกแล้วเข้าโลงอีก
ที่เราพูดว่าในวันเดียวมีครบได้ คำว่า ชาติ ของเรา หมายถึงการเปลี่ยนจิตใจ การเกิดใหม่ของจิตใจครั้งหนึ่งๆ คือตัวกูของกูอย่างนั้นอย่างนี้ เอร็ดอร่อยนี้ก็มาครั้งหนึ่งเรียกชาติหนึ่ง นั้นวันหนึ่งมีตั้งหลายๆ ร้อย หลายๆ สิบชาติแล้วก็ต่าง แตกต่างกันได้ จนถึงกับ บางคนนะไม่ใช่ว่าทุกคนอาจจะเก่งถึง ๓๑ ภูมิได้เลย ถ้ามันเป็นคนที่มีใจคอประณีต เป็นนักศึกษาบ้าง มันเปลี่ยนจิตใจหมดแหละแปลกๆๆ กันเกิน ๓๑ ภูมิก็ยังได้ ก็เกิน ๓๑ ชนิดก็ยังได้ ถ้าอะไรมันไม่บีบบังคับ ผมนั่งดูปลาได้วันละ ๖ ชั่วโมง ไม่ลุกเลยก็ได้ นั่งดูปลา ไม่ต้องลุกไปไหนเลยก็ได้ คือมันถูกกัน อะไรก็ไม่รู้ล่ะ เพราะฉะนั้นมันอย่าเข้าใจไปว่าจิตนี้มันจะไม่ ไม่เปลี่ยนขนาดหนัก เปลี่ยนอย่างไม่เหมือนกันเลย มันเปลี่ยนได้
เอ้อ,แล้วมันมีอีกอย่างหนึ่งนะ ที่ว่าแม้เป็นพระอริยเจ้า เป็นพระอริยเจ้า เป็นพระอริยบุคคลนี่ มันก็ไม่พ้นไปจากสิ่งเหล่านี้แต่ว่าไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งเหล่านี้ นั้นพระอริยบุคคลประเภทอนาคามีจึงอยู่ในฌาน อยู่ในฌานในสมาบัติอย่างพวกฤาษีมุนีอย่างเดียวกัน อรูปฌานชนิดใดชนิดหนึ่ง เหมือนกัน เพราะไม่รู้จะทำอะไรในบางครั้ง จึงหันมาสบายใจพักผ่อนฆ่าเวลาอยู่ด้วยสิ่งเหล่านี้ เพียงแต่ว่าจิตไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น เหมือนกับปุถุชน ซึ่งพออร่อยเข้าแล้วมันยึดมั่นถือมั่น แม้แต่อร่อยในฌาน นั้นพระอริยบุคคลไม่รู้จะฆ่าเวลาด้วยเรื่องอะไรแล้วก็มาเข้าฌานเล่นอย่างนี้มันก็ต่างกัน มันเป็นเพียงพักผ่อนและฆ่าเวลา สมมุติว่าพระอรหันต์จะเดินดูดอกไม้เล่นอย่างนี้ก็ทำได้ เวลามันก็หมดไปแล้วมันก็ทำได้ด้วยความเพลิดเพลินแต่มันเป็นความเพลิดเพลินชนิดอื่น คือไม่ยึดมั่นถือมั่น แล้วไอ้การฆ่าเวลาล่วงไปนั้นเอาไปเป็นประมาณไม่ได้ มันต้องเอาที่จิตใจที่ตกเป็นทาสของสิ่งนั้นหรือไม่ คือยึดมั่นถือมั่น
นี่ มันจะต้องอธิบายกันมากกว่านี้แต่ว่าเท่านี้ก็พอจะเข้าใจได้ ว่าสังสารวัฏซึ่งพวกอภิธรรมเขาขืนแยกออกไปเป็น ๓๑ ชนิดนั่น เราก็มีได้ในคนหนึ่งในวันหนึ่ง นั้นเมื่อใดไม่เป็นสังสารวัฏเมื่อนั้นก็เป็นนิพพาน นี่บอกให้รู้นะอย่าเอาอย่างนี้ไปสอบไล่นะ มันตกหมดเลยเขาไม่เอาหรอก ในสนามหลวงสนามอะไร ทางเขาไม่เอาคำพูดอย่างนี้หลักเกณฑ์อย่างนี้ แต่นี่ผมบอกให้รู้ว่ามันเป็นความจริงอย่างนี้ เพราะมันคนละชนิด มันคล้ายๆ จะขยายไอ้ความครั้งที่แล้วมาว่า สังสารวัฏและนิพพานมีได้ในคน ในนามรูปของคน คนหนึ่ง วันหนึ่งได้ สลับกันไป มีตัวกูของกูเมื่อไหร่เป็นสังสารวัฏชนิดใดชนิดหนึ่งเมื่อนั้น ใน ๓๑ ชนิด ไม่มีตัวกูของกูก็เหมือนว่างอยู่ มันก็เป็นนิพพานชนิดชิมลอง ชนิดชั่วคราว ชนิดทันตาเห็นเมื่อนั้นแหละ
เอาหล่ะสมมุติว่าเรานั่งสบายใจ ครึ้มใจเพราะรู้อะไรใหม่ หรือคิดอะไรใหม่หรือทำอะไรใหม่สำเร็จได้อย่างหนึ่งนะ เมื่อนั้นมันก็เป็นสังสารวัฏแล้ว คือชนิดรูปาวจร อรูปาวจรอะไรก็ตาม แต่พอหลังจากนั้นมันเบื่อเข้า มันขี้เกียจเข้า มันก็ต้องหยุด หยุดสบายใจ หยุดครึ้มใจ หยุดสบายใจ หยุดอร่อยว่าอย่างนั้น เหมือนเสียงขลุ่ยกับมากอไผ่ ขณะนั้นมันก็เป็นความพักผ่อนเป็นนิพพาน เป็นความหยุดหรือความดับชั่วขณะ แบบที่เรียกว่า ตทังคนิพพาน ทิฏฐธัมมิกะ ทิฏฐธัมมนิพพาน เขาเรียกหลายชื่อไอ้นิพพาน เป็นเองอย่างนั้น ก็เรียกว่านิพพานเหมือนกัน เพราะรสชาติมันก็เหมือนกันกับนิพพานจริง นิพานถาวร คือว่ามันไม่มีอะไรในทางดีใจและเสียใจ หรืออร่อยหรือไม่อร่อยมันเป็นความหยุด แต่มันอาจจะมีน้อยเต็มที นี่เราเหมาเอาว่าเมื่อ เมื่อ เมื่อขณะที่กิเลสไม่ได้ครอบงำจิต เมื่อจิตไม่มีกิเลสครอบงำก็ให้ถือว่าเป็นขณะของนิพพานในปริยายต่ำๆ อย่างหนึ่ง แล้วก็เหมือนกับที่อธิบายให้ฟังแล้วว่า มันต่างกันอันหนึ่งมันชั่วคราว อันหนึ่งมันถาวร อันหนึ่งมันเปลี่ยนกลับไปวุ่นวายได้ อันหนึ่งมันกลับไปวุ่นวายไม่ได้อีกต่อไป คือกลับไปเป็นสังสารวัฏไม่ได้อีกต่อไป มันต่างกันเท่านั้น
นี้คิดดูให้ดี มันก็มีหน้าที่เหลืออยู่นิดเดียวคือระวังอย่าเป็นสังสารวัฏขึ้นมา ระวังอย่าให้ปรุงไปเป็นสังสารวัฏขึ้นมา เพราะฉะนั้นมันก็ไปเข้ารูป เข้าเรื่องที่เคยพูดมาคราวก่อนนานมาแล้ว กี่เดือนมาแล้วก็ไม่รู้ ที่ว่าอย่าไปรับจ้างตัวกู อย่าเพื่อตัวกูหรืออย่ารับจ้างตัวกู ให้รับจ้างความว่าง คุณมีดีอะไร มีเก่งอะไรในทางไหนก็ตาม ในทางไหนก็ตาม เพราะคนๆ หนึ่งมันดีอย่าง ถ้ามีดี มีเก่งตามที่ตนอยากจะดี อยากจะเก่ง เป็นช่างหรือว่าเป็นศิลปินหรือว่าเป็นอะไรที่มันเรียกว่าขนาดไม่ใช่ธรรมดาแล้วนะ แล้วก็อย่าไปรับจ้างตัวกูหรือของกู ถ้าทำไปเพื่อให้ชอบใจใครคนใดคนหนึ่งมันก็คือรับจ้างคนนั้น ถ้าทำไปเพื่อให้เกิดความพอใจในตัวเองมันก็รับจ้างตัวกู ตัวกูของกูเอง เป็นลูกจ้างของตัวกูของกูเอง นี้อย่าปล่อยให้มันเป็นไปในลักษณะที่เป็นลูกจ้างคนนั้นคนนี้หรือตัวกูของกู พูดตามภาษาของผมก็คือรับจ้างความว่าง พวกนั้นฟังไม่ถูกหรอก สิบคึกฤทธิ์ก็ฟังไม่ถูก ไม่ใช่ผมเข้าใจว่าคึกฤทธิ์แกล้งไม่รู้ ให้ฉลาดอีกสิบคึกฤทธิ์ก็ยังฟังไม่ถูก หรือพวกอภิธรรมรวมกันทั้งหมดนั้นก็ฟังไม่ถูก ผมว่ารับจ้างความว่าง คือว่าไอ้ความรู้ความสามารถ สติปัญญาอะไรของเราทั้งหมดนี่ ที่เราจะใช้มันหรือทำงาน ที่ได้ใช้ไป คือรับจ้างใคร รับจ้างความว่างหมายความว่าไม่รับจ้างใคร คือพูดสำนวนธรรมดาคือรับจ้างความว่าง ว่างจากตัวกูของกู คุณก็ฉลาดขึ้นทุกวัน เก่งขึ้นทุกวัน รู้นั่นรู้นี่มากขึ้นทุกวัน แล้วคุณจะมุ่งหมายที่จะรับจ้างใคร ทำงานให้ใคร มาทำงานให้ใคร ถ้าพูดว่าทำงานให้วัด ก็ต้องเข้าใจให้ถูกต้องเพราะทำงานให้วัดมันอาจจะดิ้นได้ไปในเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง หรือเพื่อใครยกย่องชมเชยก็ได้ ถ้าทำงานให้วัดในความหมายที่ว่าไม่มีใคร เป็นของศาสนาหรือเป็นของธรรมชาติโดยบริสุทธิ์นี่มันก็เป็นความว่างได้ และถ้าวัดยังมีสถานะเป็นนิติบุคคลหรือเป็นอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง มีความหวังอย่างใดอย่างหนึ่งกันอยู่ เป็นรับจ้างตัวกูของกู หรือจะใช้คำว่ารับจ้างมันกินความไปไม่ได้ในบางกรณี จะใช้คำว่ารับใช้ก็ได้ รับใช้ นั้นถ้ามีสติปัญญาความสามารถวิเศษวิโสก็รับใช้ความว่าง ไม่ต้องรับใช้บุคคล หรืออะไรที่มันอยู่ในรูปของตัวกูของกู นี่เราพูดถึงความจริง ความจริงที่เด็ดขาดที่ผ่าซากที่ไม่เข้าใครออกใคร
ที่นี้เรื่องโลกุตระ เรื่องความจริงเป็นอย่างนี้ ทีนี้เรามันยังอยู่ในโลกมันก็ปล่อยให้เป็นไปตามเรื่องของโลก ถ้าสิ่งที่ทำเพื่อรับใช้ความว่างนั้นมันมีประโยชน์แก่ครูบาอาจารย์ ก็รับใช้ครูบาอาจารย์ มีประโยชน์แก่วัด ก็เป็นรับใช้วัด หรือมีประโยชน์ต่อชาวบ้านก็รับใช้ชาวบ้าน นั่นให้มันเป็นเศษ เศษ เศษ ส่วนที่มันเหลือออกไปจากตัวจริง ผลพลอยได้หรือเศษ เพื่อแก้ปัญหาทางศีลธรรมทางสังคมอะไรนี้ ถึงแม้ว่าจิตใจจะหลุดพ้นเป็นโลกุตระแต่ว่าความเป็นอยู่สภาพร่างกายนี้มันยังเนื่องด้วยโลกด้วยสังคมด้วยโลกียะ มันก็เป็นการชดเชยไปด้วยในตัวเสร็จ มันก็เป็นการทดแทนคุณไปด้วยเสร็จ ทีนี้ถ้าว่าเรายังทำไม่ได้ถึงขนาดนั้น ยังมีจิตเป็นโลกียะอยู่ในภูมิปุถุชนมันก็ต้องพลอยผสมโรงกัน คือว่าทำเพื่อทดแทนบุญคุณใครสักคนหนึ่งก็ตาม แต่อย่าหวังอะไรให้มันผูกพันอยู่อย่างนั้นว่ามีเรามีเขา มีอะไรอยู่ ให้มันหมดๆ ไป ปู่ย่าตายายของเราที่นี่ ถิ่นนี้มีคำพูดที่วิเศษที่ลึกมาก เขาจะรู้หรือไม่รู้ก็ไม่รู้ แต่ว่ามันลึกมาก ที่ว่า ทำอะไรเพียงให้มันหมดไป ทำอะไรเพียงเพื่อให้มันหมดไป ให้มันเลิกแล้วกัน ให้มันหมดไป เขาอาจจะไม่เข้าใจก็ได้ เช่นเดียวกับเรื่องมะพร้าวนาฬิเกร์ ร้องเพลงกล่อมลูกไปโดยไม่เข้าใจข้อความ แต่ก็ร้องกันอยู่อย่างนั้น เพราะเขาถูกสอนอย่างนั้นจนเป็นวัฒนธรรมประจำบ้านเรือน ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรคือ ไม่ต้องเสียใจให้มันหมดๆ กันไป ให้มันหมดกันไป แล้วถูกที่สุดเลย แล้วมันก็แก้ความทุกข์ของเขาได้ด้วยจริง แล้วเขาไม่เสียใจ ไม่น้อยใจ มันก็ดีกว่าเรา รู้มากยากนาน ไม่มัวเสียใจ มัวน้อยใจอะไรอยู่ เขาโง่เขารู้จักให้มันแล้วๆ ไป ให้มันหมดๆ ไป
นั้นวัฒนธรรมของพุทธศาสนานี่วิเศษประเสริฐลึกซึ้งที่สุดแต่กำลังถูกปล่อยปละละเลยให้มันหมดไปเหมือนกัน จนกลายเป็นตามก้นฝรั่ง เพราะไปเรียนหนังสือฝรั่ง วัฒนธรรมฝรั่ง คือวัฒนธรรมบ้าเกียรติเป็นอย่างสูง วัฒนธรรมฝรั่งคือบ้าเกียรติเป็นอย่างสูงไม่มีอะไรยิ่งกว่านั้น นี่ บ้าเกียรตินี่ ทำให้กลับกลายเป็นเรื่องยุ่งยากมากขึ้นจนทำลายโลก ทำลายมนุษย์ นี่ honorable peace ที่พูดกันอยู่ในวิทยุทุกคืนทุกวัน สันติภาพอย่างมีเกียรติที่อเมริกาต้องการทำให้สิ่งต่างๆ ตกลงกันไม่ได้ เวียดนามเหนือก็ต้องการ อเมริกาก็ต้องการ สันติภาพอย่างมีเกียรติมันตกลงกันไม่ได้ มันก็ต้องทำลายกันต่อไป นั้นการที่เอาฝรั่งเป็นครูก็คือบ้า พวกฝรั่งอยู่ข้างหลังให้ได้ยินก็ดีเหมือนกัน งั้นต้องเอาไอ้ความจริงหรือเอาไอ้ของจริงนั่นแหละเป็นหลัก แล้วจริงที่สุดก็คืออย่างที่กำลังพูด มีตัวกูของกูเกิดก็เป็นวัฏสงสาร ว่างตัวกูของกูเป็นนิพพาน อันหนึ่งเป็นร้อนอันหนึ่งเป็นเย็น มันพูดนี้ มันก็อาจจะมากไปหรือว่าเลยเถิดไปก็ได้ แต่สำหรับผมไม่รู้สึกว่ามากไปหรือเลยเถิดไปหรืออุตริวิตถารพิสดารอะไร มันเป็นธรรมดา มันเป็นความจริงของธรรมชาติอย่างนี้ แล้วเราไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนมุ่งตรงมายังหลักเกณฑ์เหล่านี้ เราไปเรียนรูปโครงของศาสนาที่ว่า ที่วาดกันขึ้นใหม่ สร้างกันขึ้นใหม่ สร้างขึ้นใหม่เป็นรูปโครง ยืดเยื้อยืดยาวสลับซับซ้อนแล้วไม่ค่อยจะมีเนื้อมีหา ฝรั่งที่กำลังบ้าเที่ยวตามหาพุทธศาสนา แล้วไม่มีวันพบนี่ มีอยู่มากรวมทั้งอริยานันทะ (นาทีที่ 1.00.55)คนหนึ่งนี้ด้วย เวลานี้กำลังนี้ ต่อไปจะเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ เขาก็หลงที่จะศึกษาพุทธศาสนาทั้งอย่างเถรวาท ทั้งอย่างมหายาน ศึกษาศาสนาเปรียบเทียบ ฮินดู นี่ เขากำลังหลงอย่างนี้ เพื่อว่าจะพบพุทธศาสนา นี่ กำลังบ้าคนหนึ่งด้วยเหมือนกัน แต่ว่าเนื่องจากเขาเป็นคนฉลาด เขาอาจจะรู้สึกได้เร็ว เขาอาจจะเปลี่ยนได้เร็ว แล้วพุ่งตรงไปยังตัวธรรมชาติ ตัวธรรมชาติ ที่อ่านออกเองจากจิตใจ จากสิ่งที่เกิดขึ้นในใจ รวมทั้งไอ้ที่ผมพูดว่า เมื่อใดเกิดตัวกูของกู เมื่อนั้นก็เป็นสังสารวัฏ เมื่อใดว่างนี้ก็เป็นนิพพาน พระองค์นี้ก็ไม่เข้าใจและไม่สนใจ เห็นว่าเป็นเรื่องพูดไปตามความคิดเห็นส่วนเอกชน เขาเขียน list มา ขอยืมหนังสือผมราวสิบเล่มกว่า แล้วผมก็ไม่หาให้ แต่ว่า ก็ต้องค้นดูก่อน แล้วเขาก็ไปเกาะสมุยแล้ว นี่ไม่ใช่นินทานะ ยกตัวอย่างที่มีประโยชน์แต่ผมยอมรับพระองค์นี้ฉลาด ถ้าว่า....นาทีที่ 1.02.06 แต่บางทีอาจจะกลับตัว รู้จักหนทางได้ แต่ระหว่างนี้ต้องการจะศึกษาพุทธศาสนาจากพุทธศาสนาเรื่อย ศึกษาพุทธศาสนาจากพุทธศาสนาหมายความว่าจากพุทธศาสนาที่เขาทำกันขึ้น ทำกันขึ้นๆ เป็นวรรณคดีเป็นอะไรไปทั้งหมด ไม่ได้มุ่งตรงดูไปยังตัวธรรมชาติ คือจิตใจเลย นี่คือคำด่าเหมือนอย่างในภาพนั้นว่าเอาลูกน้ำเต้าจับปลาดุก ที่ข้างประตู ไปเด็ดลูกน้ำเต้ามาลูกหนึ่ง เป็นเครื่องมือสำหรับจับปลาดุก ก็เหมือนกับที่ไอ้เรียนศาสนาเปรียบเทียบ เรียนไอ้คัมภีร์วรรณคดีไม่มีที่สิ้นสุดนี่ มันยังเหมือนกับเอาน้ำเต้าจับปลาดุกอยู่นั่นเรื่อยไป เรื่อยไป จนกว่าเมื่อไรจะเรียนจากธรรมชาติ จึงจะเอาสวิงหรือเอาแห หรืออะไรจับปลาดุก มันได้ตัวปลาดุก
มันก็อาจจะต้องพูดไปว่า เราบ้าเรียนหนังสือ บ้าอ่านคัมภีร์ บ้าศึกษาคัมภีร์กันเพื่อจะให้หายบ้า หายบ้าอ่านคัมภีร์ แต่พร้อมกันนั้นก็พอจะจับหรือรู้วิธีได้ว่าจะจับปลาดุกอย่างไร ด้วยแห ด้วยสวิง ด้วยอะไร นี่ผมพูดตามประสบการณ์ที่ผ่านมาถึงผมก็เคยบ้าอย่างนี้ ผมกล้ายืนยันว่าไอ้ที่พูดนี้จริง บรรดาไอ้เรื่องที่น่าจะบ้า ควรจะบ้า ผมจะเคยบ้าหมดทุกอย่าง มากกว่าพวกคุณทั้งหมดนี้รวมกันก็ได้ คุณยังไม่เคยทำอะไรมาก แปลกเท่าผม ทีนี้พูดอย่างนี้มันจะมากเกินไปก็ตรงที่ว่าไอ้ที่พูดนี้มันจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ฟังในลักษณะโดยที่ไม่ต้องไปลองให้เสียเวลา นี่มีอย่างนี้ แต่ถ้าธรรมชาติหรือกฎธรรมชาติมันมีชัดว่าต้องไปบ้า เสียก่อน จึงจะหายบ้า ไอ้ที่พูดนี้มันก็เกินไป มันอาจจะเป็นว่า ไม่ควรพูดแก่คนอย่างนี้ในเวลานี้ ให้เขาไปบ้ากันให้มากพอแล้วขลุ่ยก็จะกลับมาหาก่อไผ่เองก็ถูกเหมือนกัน แต่เดี๋ยวนี้มันไม่ได้นึกอย่างนั้นหรอก นึกว่าถ้ายังไงก็เอา เอา ที่มันเป็นประโยชน์ไว้ก่อน อย่าให้ต้องเสียเวลามากหรือตายเปล่า หรือบางทีมันเหลวเพราะว่าพวกคุณหลายๆ องค์นี้ อาจจะไม่บ้าเก่งก็ได้ คือบ้าไม่เก่งจนบ้าได้หมดก็กลับมาก็ได้ มันเหลวหมด ตรงนี้มันเหลวหมด แล้วมันต้องนึกถึงวิธีที่ว่า คนแก่ๆ คนหนึ่งไปเฝ้าพระพุทธเจ้าคุยกันชั่วโมงเดียวเป็นพระอรหันต์ มันด้วยเรื่องอะไร ไม่เคยฟังเรื่องขันธ์ ๕ เรื่องไตรสิกขา เรื่องเบญจขันธ์ เรื่องอะไรไม่เคยฟัง ไม่เคยพูด..... (นาทีที่ 1.05.31) มันพูดเรื่องอะไรแล้วมันตรงจุดอะไร คนเหล่านั้นเป็นพระอรหันต์ได้ในที่นั่งนั้นเอง ก็แปลว่าคนชนิดนี้ไม่มีเวลานี้ไม่มีโอกาสที่มาบ้าวรรณคดี อักษรศาสตร์ บ้าคัมภีร์ ที่เรียกว่าคัมภีร์ เหมือนพวกเรา มันลัดทีเดียวตรงจุด เช่นมองเห็นว่าถ้าอย่างนั้นเป็นตัวกูของกูทำอย่างนี้เป็นอุปาทาน ทำอย่างนั้นไม่เป็น แล้วมันเศร้าหรือมันสังเวชหรือมันอะไรต่ออุปาทาน ต่อกิเลสขึ้นมาทันทีจนจิตใจมันวูบวาบลึกซึ้งหมดไปเลยในส่วนที่จะไปหลงใหลอย่างนั้นได้อีก มันก็เป็นพระอรหันต์ก็พอแล้ว ไม่ต้องเป็นพระอรหันต์ที่แตกฉานในวิชาความรู้ อักษรศาสตร์ศิลปะหรืออะไรก็ได้ มันหวังได้ ถ้ามันพอเกินพอ ขอแต่ให้รู้ความที่กิเลสหมดไปจริงๆ และพูดไปตามความรู้สึกนั้นทุกคำพูด แพงเป็นทองคำเลย เดี๋ยวนี้เราพูดเป็นชั่วโมงๆ ห้าสตางค์ก็แทบจะไม่ได้ นี่ราคาห้าสตางค์ก็แทบจะไม่ได้ นี่ทุกๆ คำ เป็นทองคำ
นั้นสรุปความแล้วถ้าฟังถูกก็เป็นการพอ ถ้าฟังถูกเป็นการเพียงพอ ก็พอเกิดตัวกูของกูเป็นสังสารวัฏ ถ้าว่างจากตัวกูของกูก็เป็นนิพพาน ให้มีสติกั้นทางเกิดแห่งสังสารวัฏ ปล่อยทางเกิดแห่งนิพพานไว้เรื่อย ทางที่จะไปนิพพานปิดอุดกั้นทางเกิดสังสารวัฏไว้เรื่อย มันก็เป็นนิพพาน ระยะที่เป็นนิพพานก็มากขึ้น มากขึ้น ไอ้ระยะที่เป็นสังสารวัฏก็หดตัวไปเอง หดตัวไปเองน้อยลงไปเอง เรียกว่าผอมตายไปในที่สุด
นั้นไอ้ปฏิบัติแท้จริงมันจึงเหลือ แต่สติตัวเดียว งั้นผมถึงขี้เกียจอธิบายเป็นชั่วโมงๆ ชักเบื่อแล้วที่จะพูดเรื่องอานาปานสติหรือเรื่องอะไรก็ตาม ตามแผนปริยัติให้หมดทุกแง่ทุกมุมทุกกระทงความ มันกลายเป็นวรรณคดีไป กลายเป็นจิตวิทยาไป ยิ่งไกลออกไป เหนื่อยทั้งคนพูดและคนฟัง ก็เป็นอานาปานสติวรรณคดีไป นี่ พูดอย่างนี้เป็นอานาปานสติของพระพุทธเจ้าสั้นนิดเดียว แค่ฟังมันเผลอ จิตมาแนวนี้ มันเกิดตัวกูของกูขึ้นมา ไม่ต้องใครสอนหรอก กิเลส ความทุกข์ จิตใจมันสอน นั้นผมจึงบอกว่าธรรมชาติสอนดีกว่าพระพุทธเจ้าสอน คุณวิโรจน์ก็เอาไปพิมพ์บ่อยๆ ยืนยันอยู่ตามปกหนังสือนี่ ถ้าเป็นสมัยพระสังฆราชวัดเบญจฯ อยู่ล่ะ ผมเสร็จ ถูกเอ็ด อย่างร้าย อย่างเหมือนคราวก่อน ถูกเรียกตัวไปดุ เดี๋ยวนี้ไม่มีใครดุ คงจะ คนจะมองดูกันไว้ว่าเข้าใจ หรือว่าเห็นท่าว่าจะเล่นงานไม่ได้ ยังเงียบๆ กันอยู่ ธรรมชาติสอนดีกว่าพระพุทธเจ้าสอน นี่คุณเรียนจากจิตใจให้รู้ว่าเรื่องสังสารวัฎฏ์เกิดอย่างไร ถ้ายังว่างอยู่เป็นนิพพานยังไง อย่างนี้เรียกว่าธรรมชาติสอน พระพุทธเจ้าเองสอนจริงอันนั้นมันเป็นเรื่องคำพูดเรื่องอะไรไปหมด แต่นั่นพระพุทธเจ้าอย่างบุคคล นี่ ธรรมชาติสอนอย่างนี้คือพระพุทธเจ้าจริงสอน พระพุทธเจ้าพระองค์จริงสอน พระพุทธเจ้ามีสององค์ องค์จริงกับองค์ไม่จริง ร่างกายมีปากมีอะไรพูดได้นี่เป็นพระพุทธเจ้าไม่ใช่องค์จริง ไอ้ธรรมมะที่เกิดขึ้นในใจคนเป็นพระพุทธเจ้าองค์จริง พระพุทธเจ้าจึงว่าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาตค ผู้ใดเห็นตถาคตผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดไม่เห็นธรรม ผู้นั้นไม่เห็นตถาคต ตถาคตองค์นั้น มันคนละองค์กับที่เห็นอยู่ทุกวัน นี่ตถาคตองค์ที่ไม่มีรูป ไม่มีรูปไม่มีร่าง มันคือธรรมชาติชนิดหนึ่ง คือธรรมะที่จะปรากฎแก่ใจใครก็ได้ แก่จิตใจของใครก็ได้ อันนั้นสอนดีกว่าพระพุทธเจ้า คนๆ พระพุทธเจ้าที่เป็นคนสอน งั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ในที่อื่นว่า เมื่อฉันพูดก็อย่าเชื่ออย่างกาลามสูตร ถึงฉันพูดก็อย่าเชื่อ มีในพระไตรปิฎกก็อย่าเชื่อ ข้อที่ว่าอย่าเชื่อด้วยเหตุว่าสมณะนี้เป็นครูของเรานี่ มันกินความถึงว่าแม้ตถาคตก็อย่าเชื่อ อย่าเชื่อด้วยเพราะเหตุนี้เป็นศาสดาของเรา แล้วก็ไปหาข้อเท็จจริงเอาจากไอ้ความโลภ ความโกรธ ความหลงเกิดขึ้นแล้วมันร้อนอย่างไร ไม่เกิดมันไม่ร้อนอย่างไร แล้วทำอย่างไรมันจึงไม่เกิดก็ไปหาเอาจากประสบการณ์แล้วจึงเชื่อ ทำอย่างนี้เรียกว่าธรรมชาติสอน แต่ที่แท้จริงคือพระพุทธเจ้าองค์จริงอย่างที่ พระพุทธเจ้าต้องการสอน พระพุทธท่านเป็นผู้จริง ถึงขนาดที่ว่า อย่าเชื่อฉันพูดให้เชื่อตัวแกเอง
นั้นคุณอย่าให้ผมเหนื่อยเปล่านัก เดี๋ยวนี้ผมไม่ค่อยมีแรงพูดแล้วมันทรุดโทรมขึ้นทุกๆ ปี ทุกๆ เดือนจะต้องตาย ก็เอาไปคิดดู เอาไปคิดดูอย่างรวบรัดที่สุดเลย อย่างรวบรัดจะได้ประโยชน์ที่สุด ในฐานะที่มันเป็นเรื่องที่กลั่นกรองมา ให้มันประหยัดเวลา ให้มันเข้าใจกันง่าย ประหยัดความยากลำบาก แล้วก็สกัดความหลง ละเมอ ไปในทางที่จะเรียนไปในทางรูปดี รูปเด่น คือเรียนวิชามากๆ แค่เรียนมากๆ นี่ เรียนกันจนตาย ตายสิบหนก็ไม่จบหรอก ถ้าไปรูปนั้นมันก็ไม่ไหว มันจะต้องเรียนจากธรรมชาติสอน นั้นคำพูดมันจึงต่าง
แล้วมันยังมีร้ายกาจอีกอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านพูดไว้อย่างหนึ่งแล้วถูกต้องแล้ว ถูกต้องที่สุดแล้ว แล้วคนที่เขียนคัมภีร์หรือสอนสืบๆ กันมาไปตีความผิดแล้วเขียนเตลิดเปิดเปิงไปในทางผิด ผิดจากพระพุทธเจ้าสอน ผมเข้าใจอย่างนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องปฏิจจสมุปาท ถ้าเอาคำพูดตามบาลีนั้นถูกแล้ว แต่คำอธิบายที่มีในอรรถกถาหรือหนังสือ หนังหา มันผิดหมด ทำให้เข้าใจปฏิจจสมุปาทไปทางอื่น เรื่องนี้มันต้องพูดกันมาก อย่างที่ผมพูดว่าวันหนึ่งเกิดปฏิจสมุปาทได้ไม่รู้กี่วง เขาพูดกันว่าวงเดียวต้องกินสามชาติ ชาติข้างหลัง ชาติตรงกลาง แล้วชาติข้างหน้าสุด วงเดียวกินสามชาติ คิดดู แล้วจะทำอย่างไร จะดับมันอย่างไรได้ จะสกัดกั้นมันอย่างไรได้ แล้วว่าวันหนึ่งเกิดได้หลายภพหรือหลายสิบวง ก็มีทางที่จะสกัดกั้นเสียด้วยสติ อย่าให้เกิดเป็นตัวกูของกูขึ้นมา นั้นคำอธิบายอันนี้จะต้องปะทะกันกับไอ้ความรู้ที่สอนกันอยู่ในโรงเรียน อย่างยิ่งเหลือประมาณ เราก็จะต้องพูดกันจริงจังแตกหักสักวันหนึ่งแต่เราต้องเตรียมคำอธิบายให้ชัดพอ แล้วยิ่งกว่านั้นจะต้องรอเวลาให้เขาเปลี่ยนความคิดเห็น หรือว่าเตรียมเนื้อเตรียมตัวบ้าง อย่างพูดเรื่องความว่างนี้มีแผนการณ์กะไว้ว่า ๑๕ ปีหรือ ๒๐ ปีจากวันที่พูดครั้งแรกนั้น คนคงจะเข้าใจได้ มีระยะเตรียมเนื้อเตรียมตัวตั้ง ๑๕ ปี ๒๐ ปี มันก็มาอย่างนี้จริงๆ เดี๋ยวนี้คนเริ่มเข้าใจได้บ้าง เริ่มสละไอ้ความโง่ ความหลงความคิด ความศึกษาผิดๆ กันบ้าง สลัดไอ้ความเข้าใจผิดนั้นได้เท่าไหร่ มันก็เข้าใจอันนี้ได้เท่านั้น
นั้นพูดในวันแรก ในปีแรก บางคนเขาก็ว่าเราบ้าหรืออุตริหรือว่าเข้าใจผิด เป็นมิจฉาทิฐิ นี่เรื่องปฏิจจสมุปาทมันก็เรื่องเดียวกันนั่นแหละแต่มันอยู่ในรูปที่ละเอียดกว่านั้นมาก นี่พูดเปรยๆ เรียกว่าเปรย เปรย แล้วคิดกันดูใหม่ คิดกันดูใหม่ ให้เขาคิดกันดูพลาง พอถึงโอกาสหนึ่งที่เหมาะสมก็จะพูดให้มันชัดเจนลงไปทุกตัวอักษร พูดเดี๋ยวนี้ก็เหนื่อยเปล่า มันก็ มันเหมือนเป่าปี่ให้แรดฟัง มันก็ไม่มีประโยชน์ มันต้องรอ รอจังหวะของผู้ฟังซึ่งมีความวิวัฒนาการพอสมควร คือเราไม่เอาอันอื่นเป็นหลัก เอาการกำหนดประโยชน์หรือการปฏิบัติได้เป็นหลัก อย่างโน้นมันปฏิบัติไม่ได้ ถึงจะรู้ว่าหมดนั่น มันก็ปฏิบัติอะไรไม่ได้ เป็นของที่ปฏิบัติไม่ได้ นั้นจะรู้ไปมากมายก็ไม่มีประโยชน์ แล้วปฏิบัติได้แล้วมันยังต้องวินิจฉัยกันอีกทีหนึ่งว่า มันมีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ หรือมันดับทุกข์ได้จริงหรือไม่อาจจะดับทุกข์ได้เลย
นั้นไม่ต้องเอาผิดเอาถูกว่าพระพุทธเจ้าว่าหรือใครว่า มันต้องเอาถูกเพราะว่ามันเห็นเป็นประโยชน์ดับทุกข์ได้จริง นั่นแหละคือพระพุทธเจ้าว่า คือธรรมะมันว่า ธรรมะที่เป็นพระพุทธเจ้าว่า ส่วนที่ว่าพระพุทธเจ้าว่าเขียนไว้ในพระไตรปิฏกนั้น อย่าไปยึดถือเลย มันโกหกก็มี คือคนชั้นหลังเขียนไป เติมลงไปด้วยความรู้ความเห็นอัตโนมัติก็มี อธิบายที่เขาถูกๆ อยู่แล้วให้ผิดเสียก็มี ที่ยังถูกอยู่ตามเดิมก็มี แต่ไม่รู้ว่าอะไร พระไตรปิฏกอยู่ในสภาพอย่างนี้ นั้นจึงไม่เชื่อพระไตรปิฏก ไม่เชื่อพระพุทธเจ้าว่า เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นในใจ แสดงอยู่ ปรากฏอยู่ ธรรมชาติสอนเอง มาตามลำดับ นั้นสิ่งใดถูก มันก็เข้ากันได้ข้อความในพระไตรปิฏกส่วนที่ยังถูก แล้วมันขัดกันทันทีกับข้อความในพระไตรปิฏก ทิฐิ ส่วนที่มันแปลกปลอมเข้ามา แต่เราไม่มีหน้าที่ที่จะไปคัดออก เพราะเราไม่มีหน้าที่ทำอย่างนั้น แล้วไปทำเข้ามันยุ่ง ยุ่งใหญ่ เพราะว่าพระไตรปิฏกนั้นมันเติม เติมได้เรื่อย หรือว่าจะมีความหมายเป็นอย่างอื่นก็ได้ โดยเฉพาะคัมภีร์ที่เรียกว่าคัมภีร์อิติวุตตกะ น่าสงสัยมากที่สุด น่าสงสัยทั้งสองทาง คือน่าสงสัยที่ว่าเขียนกันทีหลังเมื่อเร็วๆ นี้ก็ได้ แล้วก็อีกทาง ก็น่าสงสัยว่าเราไม่เข้าใจ เพราะคำบางคำไม่รู้ว่าอะไร มันจะเป็นการคัดลอกผิดหรืออะไรผิด จนคำบางคำไม่รู้ว่าจะตีความว่าอย่างไร ประโยคบางประโยคตีความไม่ถูก ที่เป็นเหตุให้สันนิษฐานเรื่องนิพพานสองมีตรงนั้นแห่งเดียวที่มันเถียงกันอยู่เดี๋ยวนี้ นิพพาน เรื่องนิพพานสอง เพราะผมเขียนไปตามความรู้ที่มันลงกันได้ที่อื่นๆ พิมพ์แจกเป็นใบปลิว งานศพสมเด็จฯ วัดเทพศิรินทร์ เจ้าคุณอะไรนะ วัดบวรมงคลฝั่งโน้น เขาเขียนด่าโจมตีผมลงในหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย ว่าผมนี่ ตกนรก เท่าจำนวนตัวหนังสือที่เขียน เขาไม่ออกชื่อผมหรอก เขาเขียนเรื่องนิพพานนั้นๆ แหละ ผู้ที่พูดให้ผิดไปจากพระพุทธวัจนะนั้น จะต้องตกนรกเท่าจำนวนตัวอักษรที่เขียนลงไป ก็หลายหน้ากระดาษอยู่ แล้วดูเหมือนไม่กี่เดือนนะเจ้าคุณองค์นี้ ถูกเขายิงตาย ตายที่วัดบวรมงคล ทะเลาะกับชาวบ้าน ผมยังไม่ทันตกนรก เขายิงตายข้างๆ ประตูวัด (มีเสียงสอบถาม) ชื่อสายเจ้าคุณอะไรเป็นเปรียญเก้าประโยคแล้ว เป็นเจ้าคุณ นี่คิดดูสิ ที่เราบอกว่าไอ้เรื่องนิพพานสองอิติวุตตกะนั้น อย่าเพื่อยึดถือ ให้ไปอ่านดูตรงนั้น ตรงนั้นๆ ในอังคุตรนิกายในมัชฌิมนิกาย ที่มันเป็นคัมภีร์ที่มีเครดิตดีกว่าด้วย แล้วมันก็ลงกับที่อื่นๆ ด้วย ควรจะสรุปความว่าอย่างนี้
ที่นี้มันผิด มันผิดกับที่สอนอยู่ตามโรงเรียน ผิดกับหลักสูตรนักธรรมโท ภาคอะไรของ.. (นาทีที่ 1.20.21) นั่นแหละอย่าว่าแต่ชาวบ้าน คนที่เป็นเปรียญเก้าประโยคก็ฟังไม่ถูก นั้นมันป่วยการที่ผมจะไปพูด เป่าปี่ให้แรดฟัง แต่ว่าผมก็ต้องพูดเพราะผมเหมือนกับว่าจะต้องตายเร็ว ร่างกายสังขารมันทรุดโทรมเร็ว งั้นมีอะไรก็พูด พูดไว้อย่างนี้ เขียนๆ ไว้ พูดเปรยๆ ไว้ก่อน
มันเป็นแต่เพียงเรื่องที่เขาไม่สนใจ มันมีอยู่แล้วในพระไตรปิฏก มันมีอยู่แล้ว เขาไม่สนใจ เขาจึงไม่เข้าใจ เขาเห็นเข้าใจไปทางอื่น แล้วอีกทีหนึ่งต้องรู้ว่า ต้องรู้ไว้ว่ามันเป็นกฎธรรมดาที่สุด คือคนจะสนใจแต่สิ่งที่ตนเห็นว่าจะได้ประโยชน์หรือเข้าใจได้หรือเข้าข้างตัว ถ้าเข้าใจไม่ได้ แล้วไม่มองเห็นประโยชน์ก็ไม่สนใจเรา เหมือนกับเราไปป่านี่ คนต้องเก็บแต่สิ่งที่มองเห็นอยู่เป็นประโยชน์ ไอ้สิ่งที่มันดีมากจน แล้วไม่รู้ว่าจะใช้อะไร ไม่มีใครเอามา นั้นพระไตรปิฏก ข้อความในพระไตรปิฎกก็เหมือนกัน ส่วนที่ดีจริง หรือดีที่สุดก็คือ อาจจะไม่เป็นที่สนใจก็ได้ เพราะมันไม่เข้าใจและไม่รู้จะเอามาใช้อะไร นั้นเขาจึงเอามาใช้แต่เรื่องทำบุญทำทาน เรื่องโฆษณาชวนเชื่อ ไอ้เรื่องความว่างก็มีเยอะแยะไป ไม่เอามา นั้นก็มองไม่เห็นอีกว่าไอ้เรื่องความว่างที่พูดไว้ด้วยคำว่า ความว่างนั้นก็มีเยอะแยะ แต่ที่นี้ไอ้เรื่องความว่าง แต่พูดไว้ด้วยคำอย่างอื่น ชื่ออื่นก็ยิ่งมี เยอะแยะ เขาก็ยิ่งไม่รู้ว่านี่เรื่องความว่าง เพราะเรื่องความว่างจริงๆ ที่พูดด้วยคำว่าความว่าง ก็ไม่เข้าใจแล้ว ไอ้เราพยายามใช้คำธรรมดาก็เพื่อประหยัดเวลา ใช้คำว่าความว่างความวุ่น ตัวกูของกู ใช้คำธรรมดาแรงๆ นี้ก็เพื่อประหยัดเวลา ใช้คำไพเราะอย่างอื่นก็ได้ ไม่ประหยัดเวลา แล้วมันชวนให้ง่วงนอน คนไม่เข้าใจ ห้านาทีก็ง่วงนอนทุกคน เหมือนกับพูดกับเด็กๆ พูดให้เขาไม่สนุก ห้านาทีก็ตาปรือง่วงนอน เหมือนอย่างกับอธิบายภาพ ภาพแถวผนังด้านตะวันตกนี่ ถ้าให้เขาเข้าใจหรือพอใจไม่ได้ในห้านาที เขาจะเบนหัวไปสนใจเรื่องอื่น เราพูดคนเดียว ก็พูดบ้าอยู่คนเดียว นั้นต้องฉลาดพูด อธิบายให้เกิดความสนใจตั้งแต่คำแรกแล้วก็สนใจหนักขึ้น หนักขึ้นๆ นั้นก็หมายความว่าเราต้องพูดให้เขาฟังถูก และให้เห็นความสำคัญ มีประโยชน์ มีความหมาย หรือว่าอย่างน้อยให้สนุกเข้าไว้ก่อน ถึงจะไม่มีประโยชน์อะไร ให้สนุกไว้
นั้นการทำงานเผยแพร่ศาสนาหรือว่าพจนาอะไรก็ตามมันยาก ยาก ผมเคยทำไม่ได้ผลมา มามาก มากมายเหลือประมาณ มันค่อยๆ รู้ตอนหลังพูดยังไงอธิบายยังไง จะเริ่มกันด้วยอะไร จะจูงกันไปทางไหน จะเกิดความเข้าใจด้วยสนใจด้วย นั้นมันยากกว่าไอ้ของฝ่ายทางวัตถุแท้ๆ ก็ยังทำกันไม่ได้ ปลูกต้นไม้ต้นหนึ่งให้มันงามดีเหมือนกับ ความโง่ของคน ว่าจะปลูกอะไรลงไปในจิตใจของคน มนุษย์ด้วยกันยิ่งยาก เลี้ยงสุนัขอย่าให้มันตายอย่างนี้ ให้มันเจริญดีสักตัวหนึ่งก็ยังยาก (มีเสียงสนทนา) อ้าว,ไปสินี่มัน ๖โมงแล้ว เดี๋ยวจะไม่ทันเวลานัดเขาไว้ (มีเสียงสนทนา) คือว่าเราจำเป็นที่จะต้องพูดซ้ำๆ ซากๆ ซ้ำๆ ซากๆ เรื่องตัวกูของกูอยู่นี่ กี่ครั้งกี่คราวก็เรื่องตัวกูของกูอยู่นี่ ไม่มีเรื่องอื่น
นั้นวันนี้ก็สรุปความมันได้ว่า พอมีตัวกูของกู ก็เป็นสังสารวัฎ ถ้าว่างจากตัวกูของกูก็เป็นนิพพาน นั้นถ้ามีดีมีเก่งอะไรบ้างก็อย่ารับใช้ตัวกูของกู อย่ารับใช้ตัวกูของกูข้างในหรือตัวกูของกูข้างนอก ให้รับใช้ความว่างคือนิพพาน ไอ้รับใช้ความว่างคือนิพพานนี้ ถ้าฟังไม่เป็นก็ฟังไม่ออก ฟังไม่รู้ ไม่รู้ว่ารับใช้กันได้อย่างไง (มีเสียงสนทนา) เอาเถอะไปเถอะจบแล้วไม่มีอะไรแล้ว ไอ้เนื้อเรื่องเนื้อความมันหมดแล้วไปเถอะ
ไอ้ประโยคที่ผมแกล้งพูดไว้ ต้องอีก ๑๐ ปี อีก ๑๐ ปี หรือ ๑๕ ปี ผมเอาไปแย่คึกฤทธิ์ดูที่โต้กันวันนั้น จงทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง ยกผลงานให้ความว่างทุกอย่างสิ้น กินอาหารของความว่างอย่างพระกิน ตายเสร็จสิ้นแล้วในตัวแต่หัวที เขาไม่เข้าใจ อารมณ์พลุ่ง ไปดู อ่านดูสำเนา เขาว่าไง หรือว่าคล้ายๆ กับว่าผมบ้า ที่พูดออกมานี่ ไปอ่านดูเถอะสำเนาพิมพ์ นี่ยังมีไหม แต่ว่าตอนหลังก็อาจเข้าใจบ้างนิดหน่อยก็ได้ ว่านั่นเขาไม่เข้าใจเลย เพราะว่าเราแกล้งแหย่เล่น นี้คนทั่วไปก็เหมือนกัน เดี๋ยวนี้ผมยังมีคนมาถามกินอาหารด้วยความว่างทำยังไง ความว่างทำยังไง อันนี้เป็นมนต์ เป็นธารณี ที่ดี เป็นมนต์ขลัง ทำงานด้วยจิตว่าง ยกผลงานให้ความว่าง กินอาหารความว่าง ตายแล้วตั้งแต่ทีแรก และถ้าไปพูดอย่างนี้กับพวกฝรั่ง ถ้าทั้งหมดฟังมันก็ว่าเราบ้า ร้อยเปอร์เซ็นต์ทันทีเลย เว้นแต่พวกฝรั่งที่เคยอ่านหนังสือเซน เรื่องสุญญตามาบ้างแล้ว ที่จะฉงน แล้วก็จะค่อยๆ เข้าใจ.