แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
คิดว่าจะพูดถึงแต่เรื่องเดียว เรื่องเกี่ยวกับตัวกู ของกู เรื่องเดียวเท่านั้น ก็ในหลายแง่หลายมุม ทุกแง่ทุกมุม เหมือนกับที่เราตั้งใจจะเรียกมันว่า ธรรมะปาฏิโมกข์ หรือปาฏิโมกข์ธรรมะ คือเรื่องที่เป็นหลัก เป็นประธาน เป็นหลักทางธรรมะ แล้วที่ ที่กำหนดหัวข้อเป็นเรื่องตัวกูของกู นี่ ก็เพราะมันเป็นหัวข้อที่เหมาะสมที่สุด เหมาะสมตรงที่มันกว้างขวางที่สุด สะดวกที่สุด กินความหมดทุกข้อ ทีนี้ก็มีแง่ มากแง่มากมุม ที่จะต้องพูด ก็พยายามนึกดู แง่ไหนมุมไหนที่มันยังไม่ค่อยเข้าใจกันอยู่ ก็เลือกพูดเฉพาะแง่นั้น สำหรับคราวหนึ่ง คราวหนึ่ง
นี้เราพูดกันมาแล้วโดยมาก มันเกี่ยวกับ แง่ที่ยกหูชูหาง ใช้คำว่า ยกหูชูหาง มากที่สุดหรือเรียกว่าเป็นประจำก็ได้ ที่นี้บางคนอาจจะเข้าใจผิด ถ้ามันลดหัว มันหดหาง มันจะเป็นอะไร ถ้ามันหดหางหรือลดหัวลง มันซบหัว ทรุดหัวลง มันจะเป็นตัวกู ของกู หรือไม่ บางคนอาจจะเข้าใจผิดเอาดื้อๆ ตามหลักธรรมดาสามัญ หรือว่า logic ของคนโง่ ตรรกวิทยาของคนโง่ ก็ว่า ถ้ายกหูชูหาง เป็นตัวกูของกู การลดหู ลดหาง มันก็ไม่ใช่ตัวกูของกู โดย โดย logic โดยตรรก อย่างนี้มันไม่ถูก ตามหลักของธรรมะ มัน มันเป็นตัวกูของกู เท่ากัน แม้ว่าจะเป็นเรื่องลดหู ลดหาง ซบเซาลงไป มันเป็นเรื่องตัวกูของกู เท่ากัน จะตรงกันข้ามก็ต่อเมื่อมันไม่มีตัวกู มันหมดตัวกู หมดของกูไป จึงจะเรียกว่าตรงกันข้าม ไอ้ยกหูชูหาง นี่มันก็ท่าทางอันหนึ่งเท่านั้น นี่ถ้ามันหดหูหดหาง เพราะมันกลัว เพราะมันเศร้า เพราะมันโศก เพราะมันละเหี่ย อ่อนเพลียไปนี่ มันก็เรียกว่าตัวกูของกู อีกแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวกูของกู ที่เท่ากัน หากแต่ว่ามันเป็นคนละรูป คนละแบบ เหมือนกับที่เราได้ยินคำพูดอยู่เป็นหลักทั่วไปในการเรียนธรรมะขั้นต้น ยินดี ยินร้ายอย่างนี่ อภิชชา และโทมนัส นี่ หรือว่าอยาก กับไม่อยาก ดีใจ หรือเสียใจ ยินดี ยินร้าย รักหรือเกลียด ซึ่งเป็นตรงกันข้าม แต่ทั้งสองอย่างเป็นกิเลสเท่ากัน ไอ้รักก็เป็นกิเลส ไอ้เกลียดก็เป็นกิเลส นี่ก็เป็นเครื่องเปรียบ มันต้องหมดทั้งรักทั้งเกลียด มันจึงจะไม่เป็นกิเลส
หรือที่เป็นหลักธรรมะชั้นสูง ที่เขาเรียกชื่อว่ามานะนี่ มานะ เป็นสังโยชน์ที่ ๘ ในสังโยชน์ ๑๐ มานะ แปลว่า ถือตัว ไทยแปลว่าถือตัว นี่ทำให้เข้าใจผิดได้ เพราะภาษาไทย ความมันไม่ค่อยจะเหมือนกับภาษาบาลี แต่ถ้าเราจะแปลว่าถือตัว เราก็ต้องขยายใจความคำว่าถือตัวให้มันกว้าง กว้างกว่าธรรมดา ถือมีตัวก็แล้วกัน ถือว่ามีตัวก็ถือตัวล่ะ ในคำอธิบายของคำว่า มานะ ในที่นี้ สังโยชน์ที่ ๘ นี้ เขาแจกไว้ตั้ง ๓ อย่าง สำคัญว่าตัวดีกว่าเขา ก็เป็นมานะ สำคัญว่าตัวเสมอเขา ก็เป็นมานะ สำคัญว่าตัวเลวกว่าเขา ก็เป็นมานะ เป็นมานะเท่ากัน คือมันเนื่องจากมีตัวก่อน แล้วมันสำคัญว่าตัวกู อยู่ในสถานะเช่นไรแล้วสถานะเช่นนั้น เมื่อนำไปเปรียบกันกับคนอื่น มันก็เกิดความแตกต่าง เป็นสูงกว่า เป็นเสมอกัน เป็นต่ำกว่า นั้นจึงเรียกว่าถือตัว ถือตัวคือ สำคัญตัวว่าเป็นอย่างไร ในเมื่อไปเปรียบกับผู้ที่ดีกว่า สูงกว่า อ้าว เราก็เลวกว่า ไปเปรียบกับผู้ที่เลวกว่า เราก็สูงกว่า ไปเปรียบกับผู้ที่เท่ากัน มันก็เท่ากัน
จากข้อนี้ต้องให้เข้าใจกันเสียให้ถูกต้องว่า ไอ้ตัวกูของกู ที่มันจะยกหูชูหาง มันก็เป็นตัวกูของกู ที่มันลดหูลดหาง เรียบราบไปเหมือนอาการยอมแพ้ นี่ก็เป็นตัวกูของกู มันคนละแบบ ต่อเมื่อไม่มีทั้งสองอย่าง จึงจะเรียกว่าไม่มีตัวกูไม่มีของกู เพราะฉะนั้นเมื่อกำลังเศร้า กำลังเศร้าสลดซบเซาอยู่ อ่อนเพลียละเหี่ยละห้อยอยู่ อะไรนี้มันก็เป็นตัวกูของกู เต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์แต่เป็นไปในทางลบหรือทางอีกรูปหนึ่ง จะเรียกว่าลบก็ไม่ค่อยถูก แต่ว่ามันก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไร นั้นเมื่อพูดถึงตัวกูของกูในรูปยกหูชูหางมากพอแล้ว ก็จะต้องพูดถึงตัวกูของกู ในรูปที่หดหูหดหางนี้บ้าง ที่จริงถ้าดูแล้ว ไอ้หดหูหดหางนี่มันก็มีหลายแบบ แบบเล่นตลก เล่นลูกไม้ เล่นอุบาย เล่ห์เหลี่ยมก็มี แต่ว่าในที่นี้เราหมายถึงไอ้แบบที่มันเป็นไปจริงๆ เป็นไปโดยตรงจริงๆ เป็นโทมนัส ซึ่งเรียกว่าโทมนัส ถ้าไม่มีตัวกู ของกู มันโทมนัสไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้ามันมีโทมนัสเท่าไหร่ มันก็มีตัวกูของกูมากเท่านั้นร้อยเปอร์เซ็นต์ เกี่ยวกับผล มันก็เป็นทุกข์มากกว่า เกี่ยวกับผลที่ได้รับ ไอ้โทมนัส ป็นความทุกข์มากกว่า ไอ้ตัวกูของกู ที่ลดหูลดหาง หดหูหดหางนี้ มันมีรสชาดของความทุกข์มากกว่าไอ้ที่ยกหูชูหาง
เพราะฉะนั้นปัญหามันก็คงมีมากกว่าไอ้เรื่องที่เราต้องเศร้า ต้องสลด ต้องนี่ จะมีมากกว่า เป็นปัญหากว่า เป็นสิ่งที่รบกวน หรือว่าทำความทุกข์ให้มากกว่า ก็ต้องดูเหมือนกัน ต้องสังเกตดูให้ดีๆ ให้ละเอียด มันจะต้องสังเกตไอ้ที่มีกันอยู่มากที่สุด ที่ทุกคนมีหรือมีมากที่สุด ที่เราเรียกกันว่า ความน้อยใจ เรียกเป็นภาษาไทยว่า ความน้อยใจ วันหนึ่ง คืนหนึ่งใครเคยมีความน้อยใจในอะไร หรือไม่ กี่ครั้งกี่หน นั้นต้องเอาไอ้ความน้อยใจมาเป็นบทเรียน เป็นตัวปัญหาสำหรับศึกษา โดยทั่วไปมันก็ดูเหมือนว่า จะน้อยใจในความอับโชค อับวาสนาไม่มีโชค ไม่มีวาสนานี่ จะเป็นเรื่องน้อยใจกันอยู่มาก ทีนี้มันเล่นตลกกันอยู่ตรงที่ว่า คนส่วนมากนั้นมันปรารถนามากเกินไป มันหวังหรือมันปรารถนา หรือมันต้องการ นี่มันมากเกินไปกว่าที่ควร เมื่อเป็นเช่นนี้ ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจว่า อับโชค อับวาสนา มันจะมากขึ้น จะมากขึ้นเท่าๆ กันตามส่วน มันยิ่งไปโง่มาก ไปหวังมาก แล้วมันจะประสบความน้อยใจ หรืออับโชควาสนานี่มาก มันจึงอยู่ด้วยความระทมทุกข์ หน้าด้านๆ ไปอย่างนั้นเอง หาเรื่องอะไรมากลบเกลื่อนกันไปวันหนึ่งๆ เหมือนจะเป็นพื้นฐาน เป็นหลักพื้นฐาน ที่นี้เราต้องสังเกตดูให้ดี ให้เห็นว่านี่ไอ้หลักพื้นฐาน หรือว่าไอ้เรื่องพื้นฐานนี้มันขึ้นอยู่กับตัวกูของกู ทั้งนั้นไม่ยกเว้นอะไร แม้แต่ในขณะที่ซบเซาที่สุด มันก็เป็นเรื่องตัวกูของกู นั้นดูจะเป็นปัญหาสำหรับทุกคน ที่จะมีความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในเรื่องไม่มีโชคไม่มีวาสนา ซึ่งไม่รู้ว่าจะไปโทษใครที่ไหนนี่ นี่มันเป็นรากฐานทั่วไป ไม่รู้จะไปโทษใครที่ไหน จะไปโทษพ่อแม่ก็ดูว่าไม่มีเหตุผล จะไปโทษรัฐบาลก็ไม่มีเหตุผล จะไปโทษพระเจ้า ก็ลมๆ แล้งๆ ไปอย่างนั้น มันไม่รู้ว่าจะไปโทษใครที่ไหน เพราะมันยังรู้อยู่ว่า พระเจ้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งเรา มันมีอะไรอีกอย่างต่างหากที่ทำให้เราไม่ได้อะไร หรือรู้สึกไม่พอใจ นั้นปัญหาใหญ่ ปัญหาทั้งหมดนี้ก็ต้องแก้กันด้วยความรู้เรื่องตัวกู ของกู
ฉะนั้นคนเหล่านั้นทุกคนควรจะศึกษาเรื่องตัวกู ของกู ให้เข้าใจจนหยุด หยุดได้ หยุดความซบเซา หยุดความโทมนัส หยุดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจนั้นได้ ก็อย่างเดียวกันอีกที่ว่า ไอ้ตัดตัวกู ของกู ยกหูชูหางได้ มันก็เท่ากับไปตัดตัวกู ชนิดที่หดหูหดหางได้ ด้วยชั้นที่เป็นพระอรหันต์กันทั้งนั้น ตัดความจองหอง ลำพองได้ เมื่อเป็นพระอรหันต์ และพร้อมกันนั้นก็ตัดไอ้ความซบเซาหดหู่ หดหัวหดหางนี่ได้ เมื่อเป็นพระอรหันต์อีกเหมือนกัน ไอ้ความหมดตัวกูของกู นี่มันเป็นเรื่องของความเป็นพระอรหันต์ คือถึงขั้นสูงสุด ขีดสูงสุดของการหมดกิเลส เดี๋ยวนี้เราไม่เป็นพระอรหันต์ หรือเราไม่กล้าคิด หรือไม่อยากคิด และไม่ยอมคิด ไอ้เรื่องที่จะเป็นพระอรหันต์ เพราะได้บอกกล่าวไว้ส่วนหนึ่งแล้วว่า ถ้าไปคิดในทำนองนั้น มันจะเพิ่ม แทนที่มันจะลด มันจะเพิ่ม มันจะทำให้เผลอ มีตัวกูของกู ในรูปอื่น ซึ่งมีปัญหามากขึ้นอีก นั้นเราจะมุ่งหมายเพียงจะตัด ตัดๆ เสียซึ่งความเป็นตัวกูของกูเรื่อยไป เรื่อยไปๆ ไม่ต้องพูดถึงพระอรหันต์ หรือว่าอย่างน้อยที่สุดเราก็จะควบคุมมันเท่านั้นเอง ควบคุมมันไว้ในระเบียบ ตัดไม่ได้ ก็ควบคุมได้ นี่คือการต่อสู้ การอดกลั้น อดทน การมีสมาทาน เจตนาวิรัติ เหมือนที่สมาทานศีลกันทุกวันพระ ๘ ค่ำทุกวัน มัน เป็นเรื่องบังคับควบคุม ในเมื่อยังตัดไม่ได้ก็ต้องทำไป
นั้นการที่เราไปควบคุมแต่เพียงด้านยกหูชูหาง ด้านเดียวนั้นไม่พอ ต้องควบคุมด้านที่มันจะหดหัวหดหางด้วย ในแง่นี้ เรียกว่า เท่ากัน มีน้ำหนักเท่ากัน มีปัญหาเรื่องเดียวกัน คือเรื่องตัวกู ของกู ให้มันอยู่ในสภาพปกติ ถ้าพูดโดยอุปมา อุปมา ก็คือว่าให้มันอยู่ในสภาพที่ปกติ หางนี้ไม่ชู และหางนี้ก็ไม่ลด หัวนี้ก็ไม่ชู หัวนี้ก็ไม่ลดอย่างนี้ ให้มันอยู่ในสภาพตามปกติ คือเมื่อไม่รู้สึกฟุ้งซ่านเห่อเหิม กระทั่งไม่รู้สึกเศร้าสลด อ่อนเพลียอะไรนี่ มันมีสภาพอยู่อย่างไร ก็ให้มันอยู่อย่างนั้น ก็คือว่างจากตัวกูของกู เมื่อมันเป็นสภาพที่ว่างจากตัวกูของกู ก็คือไม่ขึ้น ไม่ลง ไม่ฟู ไม่แฟบ ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ซึ่งเราเรียกว่า ไม่ยกหูชูหาง และไม่หดหัวหดหาง อยู่ในสภาพปกติ
ในที่สุดมันก็เกี่ยวกับเรื่องที่ต้องศึกษา พินิจพิจารณาอย่างเดียวกัน เท่าๆ กัน และเคยบอกไว้มากทีเดียวว่า ให้มีความละอายให้มาก เมื่อมีอาการยกหูชูหางขึ้น ให้ละอายให้มาก ละอายให้มาก กลัวให้มาก เดี๋ยวนี้ก็ต้องบอกว่า เมื่อมันมีอาการซบเซา หดหูหดหาง มันก็ต้องละอายให้มาก และกลัวให้มากเหมือนกัน เป็นสิ่งที่น่าละอายเท่ากัน น่ากลัวหรือน่าละอายเท่ากัน ทำไมเรามานอนซบเซา และเศร้าสร้อย น้อยใจอยู่ พอมองเห็นเท่านั้น ก็ต้องละอายให้มาก กลัวให้มาก ถ้าเป็นเรื่องที่คิดตกแล้ว เป็นธรรมะที่พิจารณาเห็นแล้ว ทำนองเดียวกับเรื่องยกหูชูหาง มันก็ละอายทันทีเหมือนกัน มันก็เศร้า เมื่อมีความเศร้า หรือมีความน้อยใจ หรือมีความหดหู่ นี่ก็ละอายทันทีเหมือนกันนะ นี่มันก็ไม่ใช่ นี่มันก็ไม่สมกันกับที่ว่าเป็นพุทธบริษัท
ที่นี้ก็มาถึงเรื่องที่จะต้องเปรียบเทียบดู ว่าเรา ปัญหาของเรา เรานี่ คนอื่นไม่รู้ เรารู้ มันมีส่วนที่จะยกหูชูหางมาก หรือว่าจะซบเซามาก ก็โดยเปรียบเทียบกันดู วันหนึ่งๆ มันมีชนิดไหน กี่ครั้ง กี่คราว มันอาจจะเป็นคนๆ ไปก็ได้ ในบางราย บางคนนั้นอาจจะเป็นในทางซบเซา ละเหี่ยละห้อย น้อยใจมากกว่า บางคนมันก็โบ้งเบ้ง ๆ ไม่มีเหตุผลมาก นี่ก็บอกแล้วว่าให้มองมาตั้งแต่วงกว้างที่สุด เรื่องอับโชค อับวาสนา ซึ่งไม่รู้ว่าจะโทษใคร จะโทษพระเจ้าก็ ก็ไม่มีเหตุผล ก็โทษกรรม ถ้าไปโทษกรรม กรรมเก่า เป็นผู้เชื่อกรรม กรรมเก่า แล้วก็น้อยใจ อย่างนี้มันก็ไม่ถูก คือว่าเป็นเรื่องตัวกู ของกู ที่ทำผิด ทำผิดหลัก จนต้องน้อยใจ จนต้องเศร้าและน้อยใจ เกี่ยวข้อนี้ต้องอย่าลืมถึงจุดมุ่งหมายของหลักธรรมะ ที่มีอยู่อีกคำหนึ่งว่า หมดกรรม หรือสิ้นกรรม สิ้นกิเลสก็คือสิ้นกรรม หมดกิเลส หมดทุกข์ก็คือหมดกรรม สัพพะธรรมะ อะยังปัตโต (นาทีที่ 25.38) ถึงแล้วซึ่งความสิ้นไปแห่งกรรมทั้งปวง ถึงความหมดกรรมทุกชนิด นั้นถ้าตัวกูที่มันยังเศร้าอยู่ ด้วยความคิดว่า เป็นผลกรรมเก่า นี้ก็เรียกว่า มันธรรมดา ยังถูกกรรมครอบงำ ทำให้เป็นทุกข์ มันก็ต้องปฏิบัติจนสิ้นกรรม จนอยู่เหนือกรรม คือข้อที่เราไม่ทุกข์นั่นแหละ ข้อที่เราไม่ทุกข์คือเราไม่มีตัวเรา มันจะทำให้เหนือกรรม ถ้ามีตัวกู มีของกู มันก็ต้องถูกบีบคั้นโดยกรรมดี หรือกรรมชั่ว กรรมดีมันก็บีบไปในทางให้ฟุ้งซ่าน เหลิงเจิ้ง หรือสนุกสนานไปเลย ไอ้กรรมชั่วมันก็บีบให้ซบเซา ซูบซีด เศร้าสร้อยไปเลย นี่ถ้าว่ามันมีตัวกู ของกู มันก็รับกรรม มันก็ถูกกรรมบีบคั้นกระทำ ถ้าไม่มีตัวกูของกู มันก็ไม่มีกรรมไหนจะทำอะไรมันได้ การสิ้นกรรม การสิ้นสุดของกรรม มีเพราะความสิ้นสุดของตัวกู ความรู้สึกว่าตัวกู ไม่มีอะไรทั้งนั้น ก็มีธรรมชาติ มีธรรมชาติล้วนๆ เรื่องนี้เคยอธิบายมากแล้ว คือข้อที่ให้ศึกษาจนเข้าใจมันไม่มีอะไร ไม่มีตัวเรา ไม่มีตัวใคร มีแต่ธรรมชาติ ธรรมชาติล้วนๆ เท่านั้นเป็นไป ในลักษณะที่ฟลุกเรื่อย 27.44 คำนี้แม้จะเป็นคำของพวกฝรั่งเขาพูดก็ถูกที่สุดและใช้ได้กับพุทธศาสนา พวกกรีซในสมัยพุทธกาล พ้องๆ สมัยกับพุทธกาล พวกกรีซ สมัยสองพันกว่าปีมาแล้ว รู้จักพูดคำที่ว่าฟลุ๊คเรื่อย คือไหลเรื่อย perpetual fluke นะ perpetual fluke นะ ฟลุกเรื่อย ไหลเรื่อย ไม่มีอะไรนอกจาก perpetual fluke แม้จะเป็นคำฝรั่งพูดอยู่ทางสุดตะวันตกโน้น มันก็ยังถูก และเป็นพุทธศาสนา ไอ้เรามันพูดว่าธรรมชาติล้วนๆ ไหลไป ก็ถูกเหมือนกัน สุทธิ ธัมมา ปวัต ตันติ ธรรมชาติล้วน ๆ เป็นไป คือไหลไป เป็นกระแสของธรรมชาติที่เป็นไป ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ตัวกู
เพราะฉะนั้นไอ้การเรียนธรรมะ การเรียนพุทธศาสนาโดยเฉพาะนี่มันกลายเป็นเหลือนิดเดียว เหลือนิดเดียวตรงที่ว่าเรียนให้ได้รู้ว่าไม่มีตัวกู มีแต่ perpetual fluke หรือว่า สุทธิ ธัมมา ปวัต ตันติ หรือว่าธรรมชาติล้วนๆ เราใช้คำว่าไหลไป แก่คำว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป เราใช้คำว่าไหลไป คือเรียนจนรู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรที่เป็นตัวกู เป็นตัวเรา มีแต่ธรรมชาติล้วนๆ สัพเพธัมมา อนัตตา หรือว่าสัพเพธัมมา นาลังอภินิเวสายะ หรือ.....นาทีที่30.06ไอ้ธรรมมาตัวนี้มันคือธรรมชาติ ธรรมชาติล้วนๆ ไม่มีตัวกู ถ้าเข้าใจผิดมันก็มีตัวกู เข้าที่ธรรมชาติส่วนใดส่วนหนึ่ง ระยะใดระยะหนึ่ง ถ้าเข้าใจถูก เห็นอยู่ชัดเจน ก็ไม่มีตัวกู ที่ธรรมชาติอันไหน หรือส่วนไหน หรือกระแสไหน เวลาไหน ในการเรียนธรรมะ มันจึง คือการเรียนให้รู้ว่า ไม่มีตัวกู มีแต่ธรรมชาติ มีแต่ธรรมชาติ แล้วธรรมชาตินี้ก็คือไหลเรื่อย อีกคนหนึ่งพูดว่า แพนทาเร (นาทีที่ 30.50) ทุกอย่างไหล แพนทาเร ทุกอย่างไหลก็มี perpetual fluke อันเดียวกัน
นี่มันเข้าใจยาก ที่ว่า จะเข้าใจว่าอันนี้ไม่ใช่ตัวกู เพราะว่าในขณะนั้น หรือสิ่งนั้นในขณะนั้นมันพูดได้ คิดได้ ทำได้ รู้สึกได้ เอร็ดอร่อยได้ เศร้าโศกได้ เหมือนกับว่าที่ว่าเราว่ายกหูชูหางก็ได้ หดหูหดหางก็ยังได้ แล้วทำไมจะไม่ใช่ตัวกู มันก็รู้สึกเป็นตัวกูอยู่เรื่อย ที่นี้คนนี้รู้สึกแต่ในแง่นี้ ในมุมนี้ มันก็เข้าใจไม่ได้ เรื่องที่จะไม่มีตัวกู ของกู มันเลยพาลหาเรื่อง ไม่เชื่อแล้วก็ไม่ยอมศึกษา ไม่เชื่อด้วยแล้วไม่ยอมศึกษาด้วย ที่จะให้เห็นว่ามันไม่มีตัวกู ก็เลิกกัน เลิกกัน พวกนี้ต้องเลิกกัน จะถูกประนามว่าเป็น ปทปรมะ หรือว่าเป็นอภัพพสัตว์หรือว่าเป็น อเวไนยสัตว์ หรือเป็นอะไรก็สุดแท้ มันเลิกกันน่ะคนนี้ ปุถุชนคนนี้จะต้องเลิกกัน แปลว่า ไม่รู้ว่าเวลาจะกินเวลานานสักเท่าไหร่ที่จะต้องเลิกกัน พูดกันไม่รู้เรื่องนี่จะกินเวลานานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ แต่โดยเหตุที่ว่า ทุกสิ่งไม่ได้แน่นอน เปลี่ยนแปลงเรื่อย เพราะนั้นอีกหลาย หลายๆ นั่นเขาอาจจะกลับมารู้เรื่องก็ได้ แต่ในขณะนี้อย่าพูดกันดีกว่า
ทำไมมันจึงโศกเศร้า น้อยใจนี้ได้ และทำไมมันจึงคึกคัก คะนอง ฮึกเหิมได้ ถ้ามันไม่ใช่ตัวกู ถ้ามันไม่ใช่ตัวกู หรือถ้ามันไม่ได้เป็นตัวกู ถ้ามันไม่ใช่เป็นสิ่งที่ควรจะเรียกว่าตัวตน ทำไมมันจึงน้อยใจก็ได้ แล้วก็ฮึกเหิม คึกคะนองก็ได้ ทำได้อย่างตรงกันข้าม อย่างนี้แล้วก็ให้รู้เถอะว่า นั่นแหละคือธรรมชาติ นั่นแหละคือธรรมชาติ คือไปตามเหตุตามปัจจัย ธรรมชาติอีกส่วนหนึ่งมันเป็นเหตุ มันเป็นปัจจัย มันปรุงแต่งให้ธรรมชาติส่วนนี้ เป็นไปลักษณะที่เราเรียกว่า ยกหูชูหาง ฮึกเหิมคึกคะนอง หรือบางคราวธรรมชาติอีกส่วนหนึ่งมาปรุงแต่ง ไปทำนองเศร้า สยบซบเซาไปเลย น้อยใจไปเลย นี่มันยากอยู่ตรงที่ว่า พวกเราไม่ได้รับการสั่งสอนมาแต่ทีแรก เพื่อให้รู้เสียว่า แม้แต่สิ่งที่เรียกว่าจิตใจ รู้สึกคิดนึกได้ หรือจิตใจนี้ก็เป็นเพียงธรรมชาติ เราไม่ได้รับคำสั่งสอนมาว่าจิตใจก็เป็นเพียงธรรมชาติ ผมเองก็รู้สึกได้ ว่าตั้งแต่ผมเกิดมา พ่อแม่สั่งสอนยังไง พูดจายังไง และก็เข้าโรงเรียนแล้ว โรงเรียนเขาสอนกันยังไง หรือหนังสือหนังหาที่อ่านอยู่มากมาย ตอนหลังนี่มันว่ายังไง กระทั่งมาเรียนธรรมะในพุทธศาสนา เท่าที่รู้แล้วนี้ มันไม่มีใครบอกว่า แม้แต่จิตใจที่คิดนึกอะไรได้นี้ก็เป็นเพียงธรรมชาติ มันเพิ่งมาอ่านเอาเอง เพิ่งสังเกตเห็น หรือเพิ่งเข้าใจ คำนี้ ที่เขาได้พูดไปแล้ว ถูกแล้วในพุทธภาษิต พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสไว้แล้วว่า ไอ้ทุกอย่างนี้สักว่าธรรมชาติ แต่เราไม่เข้าใจหรอก เราเข้าใจไม่ได้ เพราะเราไม่ได้รับการสั่งสอนอย่างนั้นมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ก็ยิ่งมาเรียนอย่างนั้น วิธีสมัยนั้นแล้วด้วย ก็ยิ่งไม่เข้าใจคำว่าธรรมชาติ แล้วเราก็ได้รับการแวดล้อมแต่ให้มีตัวฉัน ตัวฉัน ตัวฉัน ของฉัน เพื่อยกสถานะตัวฉัน ของฉัน กันเรื่อยไปไม่มีที่สิ้นสุด มันก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจ เป็นเพียงธรรมชาติ
ต่อเมื่อศึกษาพุทธศาสนา เข้าใจได้ถึงหัวใจของพุทธศาสนา มันจึงจับหลักอันนี้ได้ ว่าตามหลักของพุทธศาสนา หรือของพระพุทธเจ้าก็ตาม ถือว่าไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรมชาติ และไอ้สิ่งที่เรียกว่า จิตใจนี้ที่แสนจะวิเศษ ที่แสนจะประหลาดมหัศจรรย์ ลึกลับ มีความสามารถเหลือประมาณอย่างนี้ มันก็เป็นเพียงแต่ว่า ธรรมชาติ ธรรมชาติตามธรรมชาติ นี่มันจึงจะเข้าใจได้ ในข้อที่ว่า โอ้ย ไอ้ตัวกู ไอ้ตัวกูของกู นี่มันก็ เป็นที่เรียกว่า สังขาร คือของที่ถูกปรุงขึ้นชั่วขณะ อย่างภาษานี้เขาเรียกว่า Product หรือ by Product ด้วยซ้ำไปไม่ใช่ตัว Product แท้ๆ เป็นผลิตผลชั่วขณะ หรือบางทีก็เป็นเพียงปฏิกิริยาชั่วขณะ ของจิตที่ถูกกระทบกระเทือน มีแสดงปฏิกิริยาเกิดขึ้นชั่วขณะ หรืออย่างดีที่สุดก็เป็น Product อันหนึ่ง หรือ by Product อันหนึ่ง ชั่วขณะหนึ่ง ที่ทำให้มีความรู้สึกร่าเริงเป็นสุขอย่างนั้นอย่างนี้ อย่างโน้นอยู่ แล้วเราก็พอใจ เราไม่รู้สึกว่านี้ถูกกระทำ หรือว่านี้ถูกจับเชิด ถูกเขาจับเชิด เราไม่รู้ ไม่รู้สึกอย่างนั้น รู้สึกเป็นของดีวิเศษกับเราเสมอไป เพราะฉะนั้นจึงไม่เข้าใจได้ว่า ไอ้จิตใจ หรือทรัพย์สมบัติทั้งหมดของจิตใจนี้มันเป็นเพียงธรรมชาติ แล้วก็ไม่มีตัวตน ที่ควรจะเรียกว่าตัวตน แล้วมันก็ไหลเรื่อย คือเปลี่ยนแปลงเรื่อย
เพราะฉะนั้นถ้า อยากจะแนะนำตรงนี้พิเศษหน่อยหนึ่ง ว่า ถ้าผู้ใดสามารถสร้างอะไรขึ้นมา วิธีการหรือว่า หรือว่าไอ้ความบังเอิญก็ได้ คือว่าเจตนาจะทำ ด้วยความคิดความตั้งใจก็ได้ หรือว่าความบังเอิญก็ได้ ให้มันรู้สึกว่านี่มันธรรมชาติ ยิ่งเห็นเป็นธรรมชาติลึกลงไป ลึกลงไป ลึกลงไป นั่นแหละ ถูกแล้ว นั่นแหละคือ คือ กำลัง กำลังเข้าถึง เข้าถึงพุทธศาสนาอย่างยิ่ง แล้วจะดูอะไรก็ได้ นั่งดูอะไรอยู่ก็ได้ จะดูอะไรอยู่ก็ได้ ไม่ใช่อ่านหนังสือ ไม่ใช่เรียนพระธรรม หรือไม่ใช่อ่านหนังสือธรรมมะ ไม่ได้เรียนพระธรรม จะนั่งดูไอ้สัตว์ผู้เมีย ๒ ตัวมันกำลังเสพทำอะไรกันอยู่ก็ได้ หรือว่าจะดูปลา ดูปู ดูกุ้ง ดูหอย มันกำลังทำอะไรอยู่ ในลักษณะที่ ที่ทำให้เราคิดว่ามีจิตใจ มีความรู้สึก เป็นจิตใจ เป็นตัวตนของมัน เป็นอะไรของมัน คือเป็นตัวมัน รู้สึกเป็นตัวตนของมัน อย่างนี้เรียกว่าโง่ แต่ถ้ามองลึกถึงขนาดที่เห็นว่า โอ้ย ปฏิกิริยาตามลำดับที่ส่งๆ กันมาของธรรมชาติ จึงมีปรากฎการณ์อันนี้ การเสพอสัทธรรม ระหว่างสัตว์ผู้เมีย หรือว่าไอ้มันจะกระทำอะไรที่น่าอัศจรรย์ ในลักษณะที่เราจะคิดว่าเป็นตัวตนเสมอ เราจะเห็นความปรารถนาของมันก่อน การที่สัตว์ตัวผู้ตัวเมีย จะเป็นสุนัข หมู หมา กา ไก่ ปู ปลา อะไรก็ตามใจ แม้แต่คางคก อึ่งอ่าง ก็ตามใจ ดูมันกัน จะมองเห็นความปรารถนาที่รุนแรงแสดงออกมา และก็กระทำกิจกรรมอันนี้ด้วยอะไร ด้วยอำนาจของอะไร ถ้าไปเห็นด้วยอำนาจของตัวตน ตัวมัน ตัวตน อะไรอยู่ ก็เรียกว่ามันตายด้านไปแล้ว ความรู้มันไปไม่รอด มันตายด้าน ก็มองเห็นมันเป็นเพียง perpetual fluke ไอ้ไหลเรื่อย ของการกดดัน ของปฏิกิริยาต่างๆ ที่มันมาตั้งแต่แรก ทางเนื้อ ทางหนัง ทางความรู้สึกทางอะไรก็ตาม แล้วแสดงอาการอันนี้ออกมา กระทั่งรู้เลยไปถึงว่าที่มันมาเกิดเป็นสัตว์ เป็นคน เป็นอะไร มีรูปร่างอย่างนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องพิเศษนะ ไม่ใช่เรื่องวิเศษ พิเศษ ประหลาด เป็นเรื่องตามธรรมชาติ แต่เรามักจะเข้าใจว่า เป็นเรื่องพิเศษ ไม่ใช่ตามธรรมชาติ คือเป็นคนนี่มันเป็นเรื่องพิเศษ ไม่ใช่ตามธรรมชาติ เพราะมันมีอะไรอัศจรรย์ น่าอัศจรรย์เหลือเกิน และมันก็จะมีความสงสัย เอ้อ เอ้อ มีเหตุผลอันหนึ่งขึ้นมาขัด ขึ้นมารับรองไปเรื่อยหล่ะว่า ทำไมมันจึงมีแต่อย่างนี้ ทำไมมันจึงไม่มีอย่างอื่นที่ตรงกันข้าม ทำไมจึงมีแต่สัตว์หรือคนที่รู้จักกระทำความรู้สึกอันนี้ หรือทำกรรมอันนี้ ทำไมจึงไม่มีชนิดอื่นที่ไม่รู้จักทำกิจกรรมอันนี้ หรือปัญหาอย่างอื่นที่คล้ายกันนี้ ถ้าอย่างนี้แล้วเราต้องรู้สึก ต้องรู้ทันทีว่าเรานี้คือโง่ คือเราโง่ โดยที่ไม่รู้ว่าถูกธรรมชาติซ่อน ซ่อนหรือปกปิดความลับอะไรไว้ เอาไว้ไม่ให้เรารู้ คือว่าถ้าสิ่งที่ไม่ได้เป็นอย่างนี้ มันมาอย่างนี้ไม่ได้ มันไม่ได้เหลืออยู่ คือมันจะดับหายไปเสียตั้งแต่แรก แรกตั้งต้นของวิวัฒนาการของธรรมชาติ ไอ้ที่มันจะเหลืออยู่มาเป็นเรานี่ มันจะเหลืออยู่แต่สิ่งที่เหมาะสมที่จะเป็นอย่างนี้ ส่วนอย่างอื่นที่ไม่เหมาะสมที่เป็นอย่างนี้อีก หลายๆ หลายร้อย หลายหมื่น หลายพัน หลายแสน หลายล้าน ล้านกระแส หรือหลายๆ สาย มันสุดสาย.... นาทีที่ 44.05 หายสาบสูญไปแล้ว นี้เรามาเอาแต่เราเป็นหลักอย่างเดียว นี้เราก็คิดว่านี่ไม่ใช่ธรรมชาติโว้ย นี่คือข้อที่ธรรมชาติมันซ่อนเร้น มันมีความลับ มันซ่อนเร้น ทำให้เราไม่รู้ว่า ไอ้ความเหมาะสมนี่คือธรรมชาติที่เหลืออยู่ ในรูปร่างที่น่าอัศจรรย์เหลือประมาณจนไม่อาจจะคิดได้ว่า เป็นของธรรมชาติ นี่ความคิดว่าเป็นตัวฉัน เป็นตัวกู เป็นอะไรก็เกิดขึ้นมา รับเอาส่วนนี้ รับเอาระยะช่วงนี้มาเป็นตัวฉัน มันไม่ใช่ธรรมชาติ นั่นเราจะพูดกันในรูปอุปมาว่า ไอ้ธรรมชาติมันเล่นตลกกับเรา ธรรมชาติมันซ่อนเร้นความจริงจนเราไม่รู้จักตัวธรรมชาติน่ะถูกกว่า พอเราจับได้คาหนังคาเขา อ้าว นี่ธรรมชาติ ธรรมชาติแท้ๆไม่มีอะไรมากกว่านี้ มันก็เรื่องมันก็หมดกัน กว่าที่เราจะรู้ได้ว่าไอ้ของที่ลึกลับ น่าอัศจรรย์ น่าประหลาดเข้าใจไม่ได้นี้ก็เป็นเพียงธรรมชาติ
ไอ้การที่สัตว์หรือคน ซึ่งมีจิต มีความรู้สึก คิดนึก มีความต้องการ แล้วจะทำอะไรต่างๆ ตามความรู้สึก ตามความต้องการ นี่ก็คือธรรมชาติแท้ๆ เท่ากับธรรมชาติอย่างอื่นๆ ธรรมชาติส่วนนี้ มันวิวัฒน์ วิวัฒน์แรงเท่ากับความเป็นคนที่มันมีมากขึ้น ความเป็นคน คือสัตว์ที่มีจิตใจประณีตสูงสุดมากขึ้น เพราะฉะนั้นมันจึงรู้จักตัวตนนี่มาก ในลักษณะที่สูง ละเอียด ลึกลับประณีต เพราะมันจึงรู้จักไอ้ที่เรียกว่าของตนนี่ สูงลึกลับประณีต ดูความที่คนแก่ๆ รักลูก รักหลานรักเหลน รักอะไรของคนแก่ๆ ลูกของเรา หลานของเรา เหลนของเรา นี่ยิ่งกว่าอะไรเสียอีก ยิ่งกว่าตัวเองไปเสียอีก มันก็คือความเล่นตลกของธรรมชาติ กับคนโง่ บรมโง่ มันถึงขนาดที่ว่า เปรียบเทียบได้อย่างนี้ ถ้าสมมติว่า ไอ้พ่อ แม่คนหนึ่งมันมีลูกที่โรงพยาบาล หรืออะไรก็ตาม แล้วมันถูกสับเปลี่ยนโดยไม่มีใครรู้ โดยที่ผัวเมียคู่นี้ พ่อแม่คู่นี้ไม่มีทางจะรู้ได้ ลูกนั้นถูกสับเปลี่ยน โดยเหตุๆ หนึ่งก็ตามใจ แต่ เราไม่ต้องพูด แต่มันถูกสับเปลี่ยนโดยเหตุที่พ่อแม่นี้รู้ไม่ได้ มันก็รักตายเลย รักเหมือนกับลูกในไส้ รักเหมือนกับอะไรกัน ออกมาเป็นหลานอีก มันก็รักอย่างหลานอีกแหละ ให้ความรู้สึกที่รักลูก รักอันนี้ไม่ใช่ความจริง ไม่ใช่ของจริง มันเป็นผลของอุปทานของความโง่เรื่องตัวกู เรื่องของกู ถ้ามันเป็นความจริง และจริงแท้กัน ในจิตใจที่เป็นตัวตนจริง มันก็ต้องรู้ได้สิว่านี่ไม่ใช่ลูกของฉัน และก็ไม่รัก นั้นอุปาทานมันสร้างขึ้นมาได้เต็มที่ จากของที่ไม่จริง ไม่ต้องจริง นั้นไอ้ที่มันสร้างลงบนของที่เราเรียกว่าจริงนั้นก็คือของเท็จ คือเป็นลูกจริงๆ รักลูกจริงๆ รักหลานจริงๆ นั่นก็คือของเท็จตามแบบของอุปาทาน ของตัวกู ของกู แล้ะวมันก็มีเท่ากันกับไอ้ลูกปลอม ลูกที่ไม่ใช่ของตนจริงๆ มันก็มีได้เท่ากัน
ที่นี้มันถูกกระชับ ทำให้กระชับมากขึ้นไปอีก ก็คือ ขนบธรรมเนียมประเพณี ที่เรายกย่องสรรเสริญคนนี้ เลี้ยงลูกเก่ง เลี้ยงหลานเก่ง เลี้ยงเหลนเก่ง มีลูก ๑๐ คนก็ได้เรียนดีทุกคน มีหลานอีก ๓๐ คน ก็ได้ดิบได้ดีทุกคนนี่ มันส่งเสริมกันอย่างนี้ไปหมด ไอ้ความแน่นแฟ้นในเรื่องตัวกู ของกู ก็มีมากจนแกะไม่ออก นั้นคำพูดหรือว่าคำสอน หรือว่าเรื่องราวอะไรก็ตาม ที่เขามีไว้อย่างขนาดหนัก ขนาดหนัก ก็อย่าต่อต้านด้วยความรู้สึกอันนี้ มันก็มุ่งหมายเพื่อจะทำลายความรู้สึกอันนี้ แต่ว่าเราไม่รู้ เรากลับไม่ชอบ บางทีเราก็ว่าบ้าเลย เช่น เรื่องพระเวสสันดร ให้ทานลูก ให้ทานเมียนี่ เราถือเป็นเรื่องบ้าหมด บ้าทั้งที่เป็นพระเวสสันดร หรือเป็นพระโพธิสัตว์นั้น หรืออย่างดีที่สุดก็บอก ไม่ใช่เรื่องของเราโว้ย มันไม่ใช่เรื่องสำหรับเรา เรื่องที่จะตัดความรู้สึก เป็นไอ้ของกู อะไรนี่ อย่างรุนแรงอย่างนี้ มันไม่ใช่เรื่องสำหรับเรา เพราะฉะนั้นเราจึงไม่สนใจกับเรื่องเหล่านี้ แล้วมันจะเอาอะไรที่ไหนมาทันกันได้ ในการที่เราถูกอบรม ถูกมอมให้มึนเมา ถูกหลงไปในเรื่องของเรา เรื่องตัวเรา เรื่องของเรา เพราะนั้นคนแก่ๆ อายุตั้ง ๘๐- ๙๐ แล้วก็ไม่เคยรู้สึกเรื่องนี้ ว่าที่แท้มันเป็นเรื่องไม่ใช่ของเรา มันก็ตายไปเลย เกิดมาถูกย้อมด้วยความรู้สึกมึนเมา เป็นตัวเรา ของเรา จนกระทั่งตายไปเลย นั้นวัฒนธรรมที่ดี ที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนา นี่มันควรจะให้คนแก่ๆ อายุ ๖๐-๗๐ ปีนี้ เริ่มรู้ความจริงกว่านี้ และเริ่มหันหลังกลับ เริ่มมีความคิดที่ถูกต้องเพื่อจิตใจจะได้เป็นอิสระ ไม่ทนทรมาน ด้วยเรื่องตัวกู ของกู จนเน่าเข้าโลงไป แต่จะรู้สึกปล่อยวางได้ในระยะหนึ่ง
ก็พูดกันไว้ตรงนี้เลยก็ได้ว่า ไอ้คำว่า โลก ไอ้ชาติหนึ่งเกิดมาในโลกนี้ หรือโลกโน้น หรือชาตินี้ หรือชาติโน้น มันอยู่ที่ภาวะ หรือสถานะมันต่างกัน เอาอย่างนี้ดีกว่า เมื่อโง่เง่า หมกจมอยู่ด้วยความทุกข์ ก็ถือว่าตกนรกก็แล้วกัน อยู่ในโลกนรกก็แล้วกัน เมื่อมันไม่มีไอ้ความทนทรมานอย่างนี้ ก็เรียกว่าพ้นจากนรก ก็แล้วกัน หรือว่ามันถูกหลอกอยู่ด้วยของหวาน ก็เรียกว่าเป็นสวรรค์ เป็นโลกสวรรค์ มีความทุกข์ที่เคลือบน้ำตาลอะไรนี้ ต่อเมื่อมันพ้นอย่างนี้หมด มันจึงจะเป็นโลกุตตระ (นาทีที่ 52.32) คือเป็นโลกของพระอริยเจ้า เพราะนั้นให้เราได้เลื่อนชั้นมาตามลำดับ ๆ ๆ จนได้เป็นโลกสุดท้าย หรือโลกพระอริยเจ้า บางทีเกิดมาเป็นเด็กๆ จะเรียกว่าโลกของมนุษย์ หรือสวรรค์ที่น่าดู เด็กๆ ยังไม่มีความทุกข์ความร้อน ทีนี้เด็กๆ ที่ไม่ประสีประสา เริ่มมีกิเลสตัวกูของกู มากขึ้น ตัวกูของกู มากขึ้น จนเป็นหนุ่มเป็นสาว มันก็ได้กินไอ้ยาพิษเคลือบน้ำตาลเข้าไป ทีนี้พอเป็นพ่อบ้านแม่เรือน มันก็หนักไปด้วยภาระต่างๆ มันก็เหมือนกับตกนรก มันเป็นโลกนรก ในระหว่างที่มันทนทุกข์ เลือดตาแทบจะกระเด็น และต่อมามันมีลูก มีหลาน มีเหลน มันเข้าใจสิ่งเหล่านี้ดีขึ้น ดีขึ้นๆๆ แล้วจิตใจมันก็เปลี่ยนไป ก็รู้อย่างที่ว่านี่ คือรู้ว่ามันเป็นความโง่เรื่องเป็นตัวกู ของกู ทั้งนั้น ก็มีจิตใจเปลี่ยนไปในทำนองตรงกันข้าม นี่มันจะขึ้นจากนรก ทีนี้ก็จะไม่ต้องข้องแวะกับสวรรค์อีกแล้ว เพราะมันเคยมาแล้ว มันเป็นไอ้เรื่องของหวานเคลือบยา ยาพิษ เคลือบน้ำตาลอย่างนี้ มันก็อาจจะกระโจนเลยไปโลกของพระอริยเจ้า โลกของความอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้
นั้นแต่ครั้งโบราณก่อนพุทธกาลเป็นต้นมา เขาก็มีธรรมเนียมอย่างนี้ อย่างที่พูดว่า คนที่มีหงอกเส้นแรกเกิดขึ้นบนหัว ก็ร้องว่า พอที พอที สำหรับโลกนี้ ไปโลกอื่นที จึงกระโดดเข้าไปผ่าอยู่ที่หิมาลัย คือเป็นคนสาบสูญไปเลย ไม่รู้ไม่มีใครตามตัวพบ คือเดี๋ยวนี้ไม่เป็นอย่างนี้ กลับฝังแน่นลงไป ให้ลูกเกาะรุมแน่น ให้หลานเกาะรุมแน่น ให้เหลนเกาะรุมแน่น กอดคุณตา คุณปู่ ลงจมลงไปในไอ้ความยึดมั่น ถือมั่น สลัดไม่ออก และก็ดูกันว่าดี มันก็ดีสิ ก็เพราะว่าดีต้องเป็นอย่างนั้น ให้พ้นตัวกูของกูนี่มันเหนือดีนะ จำไว้ว่า มันเหนือดีนะ เหนือชั่วเหนือดีนะ ถ้าอย่างนั้นเรียกว่าดีนั่นมันถูกแล้ว มันดีสำหรับปุถุชน คำว่าดีหรือชั่ว เขามีไว้สำหรับปุถุชน ไม่ได้มีไว้สำหรับพระอริยเจ้า พระอริยเจ้าเห็นว่าทั้งชั่ว ทั้งดีนั่นเป็นของขี้เหร่ เป็นของเด็กเล่น ของหลอกเด็กเล่น มันอยู่เหนือชั่วเหนือดี จึงจะ จึงจะเรียกว่าดีอีกทีหนึ่งก็ได้ แต่เขาไม่เรียกว่าดีหรอก เขาเรียกว่าพ้น พ้นไปหรือหลุดไป เพราะฉะนั้นธรรมเนียม หรือประเพณี หรือธรรมเนียมที่ว่า จะออกไปแสวงหาไอ้สิ่งหนึ่งซึ่งมันสูงสุดนี่ ก่อนแต่ตายนี่มันมีมาแล้วก่อนพระพุทธเจ้า ก่อนพุทธกาล แต่เขาไปหาไม่ถูกเท่านั้นแหละ ที่เขาหาไม่ถูก เขาไปหาได้เพียงไปอยู่เฉยๆ อยู่เฉยๆ ให้มากเข้าไว้ก็แล้วกัน ยังมีตัวตนที่เฉยๆ ให้มากๆ เข้าไว้ ไม่ถึงกับหมดตัวตนได้ ไอ้ความรู้เรื่องหมดตัวตนนี้มันเป็นของชั้นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเกิดขึ้น จึงจะมีความรู้เรื่องนี้ แต่ว่าไอ้ความรู้เรื่องไปมีตัวตนที่สะอาด หรืออยู่เฉย ๆ มีตัวตนอยู่อย่างนั้นแหละ เขามีกันอยู่แล้วก่อนพระพุทธเจ้า ที่เขาเรียกกันในตอนหลัง ว่าพรหม เรียกว่าชั้นพรหม แล้วพรหมนี้ก็มีหลายแบบนะ พรหมมีแต่ใจไม่มีกาย พรหมมีแต่กายไม่มีใจ พรหมมีความคิดนึกอย่างนั้น พรหมมีความคิดนึกอย่างนี้ อย่างที่ชาวบ้านเขาพูดเป็นว่า พรหมลูกฟัก คือพรหมที่มีแต่ร่างกาย ไม่มีจิตใจ มีตัวตน มีตัวตนที่ไม่รู้จักดับ แต่ว่าหยุดได้ มันก็เป็นความทน หรือความหนักอะไรชนิดหนึ่ง วิชาชนิดนี้ หรือขนาดนี้ เขารู้กันได้ก่อนพุทธกาล (นาทีที่ 57.44) แต่นี่มาสอนมันโง่หนักขึ้นไปอีก จนเอาไปไว้ในชาติอื่น เอาไปไว้ในแดนสวรรค์อื่น พรหมโลกอื่น ไม่เอามาไว้ที่จิตใจของมนุษย์ ที่เปลี่ยนสถานะเปลี่ยนระดับ เปลี่ยนอะไรได้
ผมจึงพูดเรื่องคำว่า ชาติ คำว่า ชาติ เสียใหม่ในภาษาธรรม ซึ่งการพูดอย่างนี้พวกอภิธรรม เขาไม่ยอมหรอก บอกให้ไปทำศาลาวัด เขาไม่ยอม เพราะมนุษย์เกิดเป็นนรก เกิดเป็นเทวดา ต้องอยู่กันคนละโลก โลกอื่น เวลาอื่น ชาติอื่น ไม่มารวมกันอยู่ได้ในชีวิตนี้ หากแต่ว่าเปลี่ยนสถานะหรือความรู้สึกเป็นคนละอย่าง เช่น ผมจะพูดว่าเมื่อจิตนี้มันสลัดไอ้ความมีตัวกู ของกู เรื่องลูก เรื่องหลาน เรื่องเงิน เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ์ อะไรออกหมดแล้ว มีจิตใจเหนือสิ่งเหล่านั้นแล้ว เราเรียกว่าคนนี้อยู่ในโลกของพระอริยเจ้า อยู่เหนือโลกแล้ว ไอ้คนที่บ้ากามารมณ์หนัก และก็ได้อย่างใดไป เพราะมันทำอะไรไว้ดีอย่างนี้ มันก็อยู่ในสวรรค์ อยู่ในสวรรค์จริงๆ นะนี่ สวรรค์จริงกว่าของพวกนั้นด้วย แล้วขณะที่มันเดือดร้อน น้อยเนื้อต่ำใจ อับโชค วาสนาอะไรก็ตาม มันก็นรกอยู่แล้ว มันเป็นนรกอยู่แล้ว ถ้ามันแก้ได้มันก็กลับมาสวรรค์อีก หรือว่ากลับมาสู่มนุษย์อีก หรือมันฉลาดกว่านั้น มันหยุดอะไรได้ มันก็เป็นพรหมไป มันเกิดเป็นพรหมในพรหมโลก เป็นสวรรค์ชั้นประเสริฐไป แต่ถ้ามันปีนขึ้นไปได้เหนือนั้นอีก มันก็ไปในโลกของพระอริยเจ้า ไอ้ที่มันกลับไปกลับมา อย่างนั้นอย่างนี้ได้ มันอยู่ในแค่ มนุษย์ นรก สวรรค์ พรหมโลก ก็ได้แค่นี้ ถ้ามันปีนขึ้นไปได้เหนือพรหมโลก เข้าไปในเขตของพระอริยเจ้าแล้ว มันก็ไม่กลับมาอย่างนี้ได้อีก มันไปทางโน้นเลย ไปเรื่อยไปแต่ทางโน้นเลย แล้วสอน แล้วก็เคยขอร้องให้สนใจเรื่องนี้ แล้วเรื่องอื่นจะหมดปัญหา ถ้าไปเอาไว้คนละโลก คนละชาติ คนละอย่างที่ว่า ที่เขาพูดกันแล้วมันทำอะไรไม่ได้ มันช่วยอะไรไม่ได้ มันทำอะไรไม่ได้ แล้วมันยาวเกินไปกว่าที่จะทำอะไรให้เป็นเรื่องเป็นราวได้
เพราะฉะนั้นคำว่าคนนี่ ไม่เอาที่คน เอาที่ความรู้สึกเป็นตัวกูของกู เมื่อตัวกูของกู มันร้อน รู้สึกร้อนเหมือนไฟเผา ก็เป็นนรก เมื่อมันได้สนุกสนานตามพอใจมันก็เหมือนสวรรค์ นี้มันไปหยุดอยู่ที่ความมีเกียรติ อย่างนี้มันก็เป็นพรหม ถ้ามันขึ้นไปเหนือนั้นได้ มันก็จะเป็นพระอริยเจ้า มันโง่มากๆ ก็เป็นสัตว์เดรัจฉาน มันขี้ขลาดมากเกินไปก็เป็นผีชนิดหนึ่ง หิวเกินไป มันก็เป็นเปรตนั่นเอง เขาแยกออกมาเสียจากนรก ไอ้เดรัจฉาน เปรต อสูรกาย นั่นเขาแยกมาจากนรก เพราะนรกหมายถึงความร้อนใจโดยเฉพาะ แล้วจะไปยุ่งกับมันทำไม มันเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรา จะไปยุ่งกับมันทำไม มันยุ่งแต่เรื่องที่ไม่มีตัวกู ของกู ดีกว่า บางเรื่องจะได้เหลือเรื่องเดียว และน้อยเข้า ไอ้เรื่องมหากุศลนั่นคือเรื่องบ้าที่สุด ไอ้มหากุศลของพวกอภิธรรมที่เขาสรรเสริญกันนัก ผมถือว่าเป็นเรื่องบ้าที่สุด คือมันหวังจะดีจะเด่น ไปเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ เรื่องสวรรค์ เรื่องพรหมโลก เรื่องอะไรนั้น ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด ต้องเป็นเรื่องที่รู้ตามที่เป็นจริง ว่านี่ไม่ไหว ต้องการจะอยู่เหนือนี้ ต้องการจะอยู่เหนือมหากุศล หรือว่าจุลกุศล หรืออะไรก็ตาม ต้องการจะอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ มันจึงจะเป็นเรื่องของพุทธศาสนา คือเรื่องไม่ยึดมั่น ถือมั่น เรื่องไม่มีตัวกูของกู ถ้ามันฝังจมเข้าไปในเรื่องสวยงาม เรื่องเอร็ดอร่อย ก็เรื่องสวรรค์ไปเลย เรื่องสวรรค์แบบกามารมณ์ หรือว่าสวรรค์แบบจืดสนิทอย่างพรหมโลก สวรรค์กามารมณ์มันก็สกปรก สวรรค์พรหมโลกมันก็จืดสนิท แต่มันมีตัวกู ของกู มันมีตัวกูของกู ที่หยุดอยู่ในความรู้สึกว่าดี ว่าจืด ว่าเย็น อะไรอย่างนี้ ถ้าจะเป็นเหนือโลก มันก็ต้องไม่มีตัวกู เป็นธรรมชาติล้วนๆ ทุกอย่างเป็นธรรมชาติล้วนๆ
จิตใจที่หายโง่ ก็คือมองเห็นทุกสิ่งเป็นเพียงธรรมชาติล้วนๆ ที่นี้คำว่าทุกสิ่ง มันหมายถึง ไม่หมายถึงแต่เพียงวัตถุ หรือรูปธรรม มันหมายถึงนามธรรมด้วย ทั้งการได้อย่างใจ หรือความไม่ได้อย่างใจ นี้ก็เป็นธรรมชาติล้วนๆ ความยกหูชูหาง ก็ธรรมชาติชนิดหนึ่ง ความสยบซบเซาก็ธรรมชาติชนิดหนึ่ง แต่ในที่สุดก็คือธรรมชาติ คือธรรมชาติอย่างเดียว ธรรมชาติคือสิ่งที่ไหลเรื่อย เปลี่ยนแปลงเรื่อย ไหลเรื่อยพวกหนึ่ง ที่นี้ธรรมชาติอีกพวกหนึ่งก็คือตรงกันข้าม คือหยุด คือไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ไหล เพราะไม่มีความคิดเป็นตัวกู ของกู แต่ว่าโดยที่แท้ทั้งสองอย่างแล้วมันไม่ใช่ตัวตนทั้งนั้น ทั้งสองธรรมชาติ ธรรมชาติปรุงแต่ง หรือธรรมชาติไม่ปรุงแต่งก็ตาม มันไม่ใช่ตัวตนทั้งนั้น นั่นธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น นั้นให้เหลือแต่ธรรม หรือธรรมชาติ ไม่มีตัวตน หรือตัวกูหรือของกู ที่ลักษณะหนึ่งจะต้องไปดีใจกับมัน ลักษณะหนึ่งจะต้องไปเศร้าเสียใจกับมัน เดี๋ยวนี้เรามีแต่ เดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวเสียใจ เดี๋ยวยินดี เดี๋ยวยินร้าย เดี๋ยวยกหูชูหาง เดี๋ยวหดหูหดหาง นี้มันก็เรียกว่าธรรมดาที่สุด ธรรมดามากเกินไป ไม่มีอะไรผิดธรรมดา ที่ควรจะถือว่า ดีหรือว่ามีค่า หรือว่าน่าสนใจ ก็คือจมอยู่ในกองทุกข์ ทุกข์ที่เคลือบน้ำตาลก็มี ทุกข์ที่ไม่ได้เคลือบอะไร เป็นทุกข์ตรงๆ ก็มี มันก็เลยจมอยู่ในกองทุกข์
ที่นี้ก็มา มาเข้ารูป เข้ารูปกับไอ้หลักที่เคยแนะนำอยู่ ก็คือในการทำการงานนี้ ในการทำการงานที่คุณทำกันอยู่ โดยถือว่ามันเป็นโอกาสที่จะทดสอบจิตใจบ้าง หรือว่าเป็นโอกาสที่จะฝึกฝนมันโดยตรงบ้าง เพราะฉะนั้นในการงานที่ทำอยู่นี่ คุณจะมีโอกาสที่จะดีใจ หรือเสียใจ คือจะยกหูชูหาง หรือจะหดหูหดหาง ก็ตามใจคุณ บางทีก็โกรธ ขัดใจ น้อยเนื้อต่ำใจ ไม่ได้รับคำสรรเสริญ ไม่ได้รับคำเอาอกเอาใจ ไม่ได้รับความเอาใจใส่ นี้ก็น้อยใจ หรือว่าถ้าได้รับการเอาอกเอาใจก็คึกคะนอง ก็ฟุ้งซ่าน มันเป็นไปในทาง ทางฟู ทางขึ้น ทางฟู เดี๋ยวแฟบ เดี๋ยวฟู เดี๋ยวแฟบเดี๋ยวฟู ที่แล้วมาเราพูดถึงแต่ปัญหา เรื่องยกหูชูหาง วันนี้เราพูดปัญหาที่คู่กัน คือว่ามันหดหูหดหาง ซึ่งเป็นเรื่องของตัวกู หรือของกู เท่ากันหมด เท่ากันทีเดียว เพื่อว่าจะได้สังเกตระวังให้มันเพียงพอด้วยกันทั้งสองอย่าง เพราะฉะนั้นเมื่อใดมีความเศร้า เสียใจ น้อยใจ ก็ต้องละอายให้มากว่า ไม่มีความเป็นพุทธบริษัทเลย เมื่อใดยกหูชูหาง คึกคะนองไปด้วยความดีความเด่นอะไรก็ เรียกว่าควรจะละอาย และกลัว และเสียใจ ไม่มีความเป็นพุทธบริษัทเลย ต่อเมื่อมันมีความปกติอยู่ได้ที่ตรงกลาง ก็เลยเป็นพุทธบริษัท คือปกติ สงบ หรือว่าง หรือหยุด หรือเย็น มันอยู่ที่ตรงกลาง พอมาฝ่ายนี้มันก็อย่างหนึ่ง มาฝ่ายนี้ก็อย่างหนึ่ง มันร้อนคนละแบบ มันร้อนคนละแบบ แล้วความทุกข์มันมีหลายแบบ ตรงกลางนี่ไม่ใช่ว่าเสมอกันกับใครนะ ไม่ดีกว่าใคร ไม่เลวกว่าใคร ไม่เสมอกับใคร เพราะฉันไม่มีตัวฉัน ที่จะไปเปรียบเทียบกับใคร นั่นแหละเรียกว่า เรื่องหมดตัวกู เรื่องไม่มีตัวกู นั้นไอ้พุทธศาสนานี่ให้ถือว่า พุทธศาสนา คือศาสนาแห่งความไม่มีตัวกู คำสอนหรือการปฏิบัติ เรื่องความไม่มีตัวกู สอนให้รู้ว่าไม่มีตัวกู ปฏิบัติเพื่อให้ไม่มีตัวกู ให้อยู่หรือเป็นอยู่ด้วยความไม่มีตัวกู ถ้ายังต้องปฏิบัติอยู่ ยังใช้ไม่ได้ มันต้องเป็นแล้วจึงจะใช่
พวกเซนเขาพูดในเรื่องเหล่านี้ดีกว่าเรามาก แต่อย่าคิดว่าผมน่ะหลงพวกเซน พวกเซนที่โง่ๆ แบบผิดๆ ไปก็มี ไอ้พวกเซนที่มันพูดไว้ดีๆ ก็มีอยู่ บางพวกที่เขาสนใจเรื่องนี้จริงๆ ไม่เหมือนกับเราที่มีมากเรื่องแล้วฟุ้งซ่าน นั้นคำพูดของพวกเซน เป็นคำพูดที่ไม่กี่คำ แล้วก็ไม่ค่อยพูด แล้วพูดแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าคิด น่านึก เป็นเรื่องไม่มีตัวกู ไม่มีอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ เรื่องจิตว่าง จิตเดิม จิตอะไรก็ตาม แล้วแต่เขาจะพูด จะเรียก ไม่ใช่ว่าเหมือนกันทุกพวก พวกเซนก็มีหลายพวก ที่เกี่ยวกับธรรมชาติ เขาพูดเป็นธรรมชาติไปเลย ไอ้เรานี่เป็นธรรมชาติไปเลย นี่ถ้าพูดตามวิธีของพวกเซน ให้เราทุกคนนี่เป็นธรรมชาติไปเสียเลย เพราะไม่มีการประพฤติ ไม่มีการปฏิบัตินะ ไม่มีการเล่าเรียนนะ มันประนามไอ้การเล่าเรียน การปฏิบัติว่า เป็นเรื่องบ้าๆ บอๆ ทั้งนั้นนะ แต่มันสอนเรื่องให้เป็นซะเลย ฉันเป็นธรรมชาติเสียเลย ไม่ต้องเรียน ไม่ต้องปฏิบัติ ไม่ต้องอะไรเหมือนที่เขาเรียนปฏิบัติกันจนไม่มีที่สิ้นสุด ที่จริงมันก็ต้องเรียนต้องปฏิบัติ แต่เขาไม่พูดอย่างนั้น เพราะกลัวคนจะไปติด ไปยึดไอ้เรื่องเรียน เรื่องปฏิบัติ เหมือนกับที่บอกมาแล้วเมื่อตะกี้ว่า มันไม่มีอะไร นอกจากธรรมชาติ ธรรมชาติล้วนๆ ไหลไป นั้นเราเป็นธรรมชาตินั้นไปเสียเลยก็แล้วกัน ไม่ต้องเรียน และไม่ต้องปฏิบัติ คือเป็นธรรมชาติไปเสียเลย ก็คือหมดตัวฉันนั่นเอง คือหมดตัวกู หมดของกู
แหมเดี๋ยวนี้มาเป็นคนเรียนเก่ง บวชเก่ง เรียนเก่ง ปฏิบัติเก่ง อะไรเก่ง บรรลุนั่นบรรลุนี่กันอยู่ เป็นเรื่องบ้าๆ บอๆ ซะ ถ้าเป็นธรรมชาติซะทีเดียวมันก็หมดเรื่อง เพราะมันหมดตัวฉัน หมดตัวกู ทั้งกายทั้งใจมันเปลี่ยนเป็นของธรรมชาติ เป็นตัวธรรมชาติไปเสียเลย กลายเป็นธรรมชาติไปเสียเลย นั้นเขาจึงสรุปไอ้คำให้มันสั้นเข้าไปอีก ซึ่งถ้าฟังไม่ดีแล้วผิดกันไปเลยนา เข้าใจผิดเลย ว่า ไม่ ไม่ต้องปฏิบัติเป็นอย่างนั้นไปเลย ไม่ต้องทำ หรือไม่ต้องปฏิบัติ เป็นเสียก็แล้วกัน คืออยู่นิ่งๆ ก็กลายเป็นธรรมชาติไปเสียก็แล้วกัน
ไอ้เรื่องจับปลาดุกด้วยลูกน้ำเต้า ก็มีข้อความเกี่ยวเนื่องกับเรื่องนี้ คนมัวแต่เรียน เรียน และคิด และปฏิบัติ ไอ้พวกนี้กลายเป็นวัวบ้า มัวแต่เรื่องเรียน เรื่องคิด เรื่องปฏิบัตินี้มันเหมือนกับเอาไอ้ลูกน้ำเต้าไปจับปลาดุก มันต้องเป็นธรรมชาติเสียเลย นี่มันจึงจะได้ผล เหมือนกับจับปลาดุกด้วยเบ็ด ด้วยแห ด้วยอะไรก็ตามที่มันจับได้ มันก็ประนามไอ้คนที่บ้าเรียน บ้าปฏิบัติ บ้าศึกษาอย่างนั้น อย่างนี้ คัมภง คัมภีร์ อะไรต่างๆ กระทั่งรูปนี้ ล้อคนที่ติดพระพุทธรูป รูปเผาไฟนี้ ก็อย่าไปคิดว่า พวกเซน หรือไม่ใช่เซน ก็อย่าไปคิดเลย คิดว่าวิธีการอันไหน มันช่วยได้ และเร็วดี เอาอย่างนั้น และก็ต้องไม่ผิดนะ เราต้องไม่ผิด ถ้าผิดนี่มันลงเหวเหมือนกันนะ ถ้าไปตีความผิด ก็ลงเหวได้เหมือนกัน
นี่ชี้ให้เห็นในข้อที่ว่าเขาฉลาดกว่าเรา ในการที่เขาพูดอะไรได้สั้น และกระทัดรัดกว่าเรา ตรงจุดกว่าเรา ทั้งนี้ก็เพราะว่าเขาสนใจมากกว่าเรานั่นเอง เราสนใจน้อยกว่าเขา แล้วเขาสนใจกันในแง่ให้ต้องคิดด้วยตนกันทั้งนั้น ไม่สอนกันให้ด้วยความจำ สอนสืบๆ ไปด้วยความจำ เขาเพียงแต่แนะวิธีให้คิดด้วยตน ด้วยตน ของตน และก็รู้ขึ้นมาด้วยตน ของตน ไอ้พวกเรามันดีแต่ถาม ไอ้มานี่มาเพื่อจะถาม ผมบอก ขี้เกียจ ขี้เกียจตอบ ถ้าว่าเกี่ยวกับวิธีของเราก็คือว่า เป็นธรรมชาติเสียเรื่อย นี่คุณจำไว้ง่ายๆ แล้วกันนะ คุณมีทั้งเนื้อทั้งตัว เป็นธรรมชาติเสียเรื่อย อย่าเป็นตัวกู ของกู นั้นในขณะที่คุณทำงาน ทำการทำงานประจำวันนี่น่ะ ก็โกรธไม่ได้ เสียใจไม่ได้ ถ้าเป็นธรรมชาติอยู่เรื่อย มันโกรธใครไม่ได้ แล้วไปน้อยใจเสียใจอะไรไม่ได้ แล้วไปรักไปหลงอะไรก็ไม่ได้ ไปยินดียกหูชูหางก็ไม่ได้ ลดหูลดหางก็ไม่เป็น ไม่รู้ว่าจะลดกันยังไง มันเป็นธรรมชาติ มันเป็นธรรมชาติเสีย มันก็จะไม่ยกหูชูหาง และก็จะไม่ซุกหูซุกหางอะไรที่ไหน เป็นธรรมชาติ เพราะมันไม่มีหู ไม่มีหาง ก็ต้องให้การงานประจำวัน ทุกวัน ๆ เป็นบทเรียนสำหรับเรา เพื่อจะเป็นธรรมชาติเสียเลย ไม่มีหู ไม่มีหาง สำหรับจะยก หรือสำหรับจะซุก จะหดอะไรอีก
นี่ผมก็บอกแล้วว่า ไอ้นี่คือเรื่องสำคัญที่สุด ขอให้คิดนึก พิจารณา เอาใจใส่อยู่เสมอ เดี๋ยวนี้เรามันไปบ้า บ้าอ่าน บ้าหนังสือหนังหา สั่งมาเยอะแยะ เยอะแยะ เป็นบ้าหอบฟาง ดูไม่มีสาระอะไร บ้าหอบฟาง หอบมาตั้งเบ้อเร่อเบ้อร้า ไม่มีสาระอะไร หนังสือเยอะแยะที่คุณสั่งมาอ่านกัน เว้นแต่หนังสือที่มันจะช่วยในข้อที่ว่าเป็นธรรมชาติได้เลย ไม่มีตัวกูของกู ซึ่งมันเป็นเพียงคำพูดเพียงไม่กี่คำ ผมรู้นะไอ้หนังสือที่ผ่านเมล์ไปรษณีย์มา ผ่านทางผม ผมรู้ว่าหนังสือเข้ามาในวัดนี้ยังไงเท่าไหร่ หนังสือชนิดไหน นี่เดี๋ยวนี้จะเห็นหนังสือบ้าหอบฟางมากขึ้น ถ้าไปเทียบกับพวกเซนแล้วมันผิดกันอย่างที่เทียบกันไม่ได้ คือมันฉีกหนังสือ ดูรูปเว่ยหล่าง ฉีกหนังสือ ฉีกหนังสือหมด ฉีกพระสูตรนะ ไม่ได้ฉีกหนังสืออื่นนะ ฉีกพระไตรปิฏก ฉีกพระสูตร เพื่อให้ไม่มีหนังสือ เพื่อให้ตัวเองกลายเป็นธรรมะไปเสีย ตัวเองกลายเป็นหนังสือ ฉีกหนังสือเล่มๆ ฉีกเพื่อให้ตัวเองกลายเป็นหนังสือ ไอ้รูปภาพที่เราเลือกมาเขียนไว้นี้ นับว่าวิเศษที่สุดแล้ว แต่ว่าไม่มีประโยชน์เพราะว่าคนเขาไม่ถือเอาประโยชน์ บางทีเขาอาจไม่รู้ว่า ภาพเว่ยหล่าง ตัดไม้ไผ่ ภาพเว่ยหล่าง ฟังพระสูตร ภาพเว่ยหล่าง ฉีกพระสูตร ก็ไม่มีใครเข้าใจว่าอะไร แล้วเราก็เลือกมาดีที่สุดแล้ว ความหมายมันเหลือแต่คำว่า ว่าง ว่าง ว่าง แล้วคุณก็ไปคิดกันหน่อยหนึ่งสิว่า ไว้ว่างนี่มันฟูได้ แล้วมันแฟบได้หรือ ไอ้ความว่างนี่มันฟูได้ที่ไหนล่ะ มันแฟบได้ที่ไหนล่ะ นั้นไอ้ความว่างนี้ไม่ยกหูชูหางได้ แล้วก็ไม่หดหูหดหางอะไรได้ เพราะความว่างนี้ มันฟูไม่ได้ แฟบไม่ได้ เพราะฉะนั้นไอ้รูป รูปที่แท้จริงของพระอรหันต์ หรือของพระพุทธเจ้า คือรูปกลวงๆ กลมๆ ความว่าง รูปความว่าง ซึ่งมันฟูไม่ได้ แฟบไม่ได้ แต่ว่าคนมันก็ดูไม่ออกอีกแหละ เพราะว่าไอ้คนเขียนก็เขียนไม่ได้ เขียนไม่ไหว เขียนรูปความว่าง นั้นคือต้องไม่เขียนอะไรเลย มันจึงจะถูก แต่ถ้าไม่เขียนอะไรเลย มันก็ไม่มีการแสดงอะไรได้ นี่กลายเป็นไปเขียนมีพื้นขาว มีวงกลมเข้า ไอ้คนดูก็โง่ไปทันทีเลย เป็นวงกลมเล็ก เป็นวงกลมใหญ่ เป็นมีพื้นขาว เป็นมีอะไร มันก็เลยโง่กันไปเลย เพราะว่าเราไม่สามารถเขียนรูปความว่างได้ นั้นเมื่อช่างเขียนเขาเขียนให้เราไม่ได้ ก็ไปเขียนเอาเอง เราอย่าไปโง่อยู่ ดักดาน เราไปนึกวาดภาพความว่างเองสิ ซึ่งไม่มีสี ไม่มีขนาด ไม่มีรูปร่าง ไม่มีเปลี่ยนแปลง ไม่มีหด ไม่มียึด ไม่มีอะไร วาดความว่าง เขียนได้แต่ในใจ เขียนอยู่ในใจ เขียนได้แต่ในใจ เป็นภาพความว่าง นั่นแหละคือธรรมชาติเดิมแท้ พอมันเกิดยืดหดได้ หรืออะไรได้ มันก็ธรรมชาติปรุงแต่งของใหม่
การที่เขาฉีกพระสูตรนั่นมันถูก ถูก มันถูกที่สุด เดี๋ยวนี้เรามีห้องสมุดมีหนังสือแยะ ซื้อมาก็มี เขาให้มาก็มี แพงแล้วก็มากแยะ เราจะถือเหมือนว่าเป็นคุก หรือเป็นตารางที่ขังความโง่ของคนไว้ อย่าให้ไปครอบงำใคร เพราะนั้นไอ้ห้องสมุดของผมชั้นบนนั่น ผมจึงไม่ค่อย ไม่ให้ใครขึ้นไป เอาไว้ใช้มัน (นาทีที่ 1.22.59) เพราะเป็นความโง่ของคนทั้งโลกที่ผมขังไว้อย่าให้มันไปครอบงำคนอื่น บางชุดซื้อมาตั้งหมื่น ไอ้ความโง่นี้ไม่กี่เล่ม เอามาขังๆๆไว้ที่นี่ อย่าได้ครอบงำใครเข้า มันยิ่ง ยิ่ง ยิ่งทำยิ่งโง่ ยิ่งอ่านยิ่งโง่ ยิ่งเรียนมากยิ่งโง่ ระวังอยู่หน่อยว่า เลือกอ่านไอ้เล่มที่มันทำให้รู้ว่าเราโง่นั่น เร็วๆ ได้ เล่มไหนที่มันทำให้เรารู้เร็วว่าเราโง่นั่นล่ะ เลือกอ่านเล่มนั้น แล้วเราก็จะเลิกโง่ คือจะไม่ต้องอ่าน ที่นี้บางเล่มมันทำให้เรารู้สึกว่า แหมนี่เราเก่งโว้ย เราฉลาดโว้ย เป็นนักปราชญ์แล้วโว้ย ยกหูชูหางใหญ่ ก็ไม่รู้สึกตัว ไอ้หนังสือเหล่านี้มันไม่ควรจะมี สำหรับผู้ที่จะเป็นพุทธบริษัท มันมีประโยชน์สำหรับคนที่จะไปบ้า มีความเจริญอย่างโลกๆ แล้วรบราฆ่าฟันกันไม่มีที่สิ้นสุด มัน มัน มันมีสำหรับคนพวกนั้น ที่โลกก็มีวิกฤตการณ์ถาวร รบราฆ่าฟันไม่มีที่สิ้นสุด มันดีสำหรับคนนั้น แต่มันไม่ดีสำหรับผู้ที่จะหยุด จะสงบ จะถึงไอ้ความเยือกเย็นของความเป็นมนุษย์ ผมก็เคยบ้ามากกว่าคุณรวมกัน ผมกล้าพูดนะ คุณรวมกันทั้งหมดนี่ก็ไม่เคยโง่ หรือเคยบ้าหนังสือเท่าผมนะ เพราะผมอายุมากกว่า มีหนังสือมากกว่าอ่านก่อนคุณเกิดนะ ผมจึงกล้าพูดอย่างนั้น แต่แล้วมันก็มาแสดงให้เห็นในลักษณะที่ว่า คว้าไม่ถูก จับไม่ถูก คว้าไม่ถูกเรื่อง จับไม่ถูกเรื่อง แล้วก็เสียเวลามาก
นั้นไอ้ที่ผมพูดเอง เขียนเอง ที่เขาพิมพ์ๆ กัน ที่ของผมคนเดียวนี่ก็บ้ามากแล้ว เกิน เกิน เกินความจำเป็น หรือว่าเฟ้อ ไม่ต้องเอาของคนอื่นมารวมหรอก มันไม่ต้องมากถึงเท่านั้น มันไม่ต้องมากถึงเท่านั้น นี่ยิ่งพูดยิ่งเวียนหัว ยิ่งเทศน์ให้มากไป คนฟังยิ่งเวียนหัว มันควรจะพูดกันมาในลักษณะที่มันลดลง ลดลง ลดลง เหลือแต่เรื่องตัวกู ของกู นิดเดียว และก็ทำให้มันหยุด ให้มันเลิกเป็นตัวกูของกูเสีย ให้เป็นธรรมชาติเสีย พูดมันง่าย ง่ายมาก แต่ว่าปฏิบัติมันก็ยาก และกว่าที่จะมาพูดเป็นคำสั้นๆ ได้นี้มันก็ยาก เพราะว่าคนเขาก็ติดหนังสือ ติดไอ้เรื่อง ติดไอ้คำพูดที่มากๆ เขาชอบไอ้คำพูดที่มากๆ แล้วไม่เข้าใจ นี้คนในเมืองไทยก็ยังเป็นอย่างนี้ พวกนักศึกษา พวกอุบาสก อุบาสิกา ก็ชอบเรื่องที่ฟังไม่รู้เรื่องแหละ มันได้อัศจรรย์ ขลัง หรือว่าอยู่ในความหวังที่ลึกซึ้ง ถ้าพูดเปิดเผยชัดเจนนี่เขาเรียกว่าหมดหวังเหรอ คือไม่เข้าใจนี่ และเรื่องนี้ก็หมดกันแค่นี้เอง ก็เลยเป็นเรื่องหมดหวัง เอาเรื่องนิพพานมาพูด พูดให้หมดหวังแล้วก็เลิกกัน สู้ทิ้งไว้เป็นเรื่องลึกลับเข้าใจไม่ได้นี่ดีกว่า นั้นโลกเราจึงมีแต่ความทุกข์ยากลำบากวุ่นวายระส่ำระสายมากขึ้น คนกลับไปโง่ วนไปวนมา วนไปวนมา เดี๋ยวนี้โง่ไปในทางศาลพระภูมิ โง่ไปทางเครื่องรางของขลังศักดิ์สิทธิ์อีก อีกรอบหนึ่ง อีกรอบหนึ่ง มาใหม่อีกรอบหนึ่ง เคยเบาบาง (นาทีที่ 1.27.48) ไปรอบหนึ่งแล้วกลับมาใหม่อีกรอบหนึ่ง เวียนอยู่อย่างนี้ กระทั่งเรียนพุทธศานาแต่ในแง่ของปริยัติ เจริญรุ่งเรืองกันในแง่ของปริยัติ แล้วเอาไปจับกันเข้ากับไอ้การศึกษาสากลนอกพุทธศาสนาเลยมากใหญ่ เลยเป็นนักปราชญ์ที่ขนาดเขื่องกันออกไปอีก ก็เป็นไปอีกรอบ มันต้องโง่ขนาดหนัก อย่างนี้ก็อีกรอบหนึ่ง กว่าจะเห็นว่าอ้าว มันใช้ไม่ได้ แล้วจึงมาลดเหลือแต่ ค่อยๆ ลดเหลือแต่ไอ้สิ่งที่มันใช้ได้ ใช้ได้ ก็จะน้อยเข้าอีกเหมือนกัน (นาทีที่ 1.28.29)
นั้นหัวใจของศาสนาทุกศาสนาที่มีพูดแค่คำเดียวว่า ไม่มีตัว หรือไม่เห็นแก่ตัว พอ เท่านั้นแหละมันพอ แล้วก็ทุกศาสนาด้วย สอนเรื่องไม่เห็นแก่ตัว ทำลายความเห็นแก่ตัวเสีย ทำลายได้สิ้นเชิงก็เป็นพระอรหันต์ ทำลายได้ไม่สิ้นเชิง ก็ยังเป็นคนที่พอใช้ได้ ยังเป็นพระอริยเจ้าขั้นน้อยๆ ได้ แต่เดี๋ยวนี้กลับไม่มีใครสนใจ ทั้งโลก ทุกชาติ ทุกประเทศ ไม่สนใจ หัวใจของศาสนาทุกศาสนา เรื่องไม่มีตัว เรื่องไม่เห็นแก่ตัว เขาดันทุรังแต่เรื่องมีตัว มีความเห็นแก่ตัวนี้ นั้นการทะเลาะวิวาทที่ควรจะยอมกันได้ ก็ยอมกันไม่ได้ เขากลัวจะแพ้อย่างไม่มีเกียรติ ซึ่งมีพูดวันหนึ่งไม่รู้กี่ร้อยครั้งในวิทยุเดี๋ยวนี้ ชัยชนะอย่างมีเกียรติ หรือสันติภาพอย่างมีเกียรติ อเมริกาต้องการสันติภาพอย่างมีเกียรติ ถ้านั้นไม่เอา ไม่ต้องการ เพราะฉะนั้นฝ่ายอเมริกาเป็นฝ่ายพูดมากที่สุด เรื่องต้องการสันติภาพอย่างมีเกียรติ แล้ววันหนึ่งตั้งไม่รู้กี่ร้อยครั้ง นี่เรื่อง เรียกว่าเรื่องไม่ยอมเอาหัวใจของศาสนา ของทุกศาสนาที่เรื่องว่าไม่มีตัว ไม่เห็นแก่ตัว เรื่องมีสันติภาพที่มีเกียรติ และถ้ายังดันทุรังเป็นสันติภาพที่มีเกียรติอยู่ แล้วไม่มีวันที่จะตกลงกันได้ เพราะมีตัวมาก และทุกฝ่าย ทั้งสองฝ่ายมันต้องการมีตัว มีตัวกู มีเกียรติ มีตัวกูทั้งนั้น นี่ถ้ามากกว่าตัวกู มันก็ต้องการกาม ต้องการกิน สามคำนี้จำไว้ให้ดี เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ ต้องการเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ จึงได้เกิดรบกัน และก็ไม่ยอมสละเรื่องนี้ ก็ไม่มีทางที่จะยุติได้ สันติภาพอย่างมีเกียรติ แล้วสันติภาพชนิดไหนที่ไม่มีเกียรติ นั้นสันติภาพมีเกียรติ คือสันติภาพของคนบ้า เพราะสันติภาพนี้มันอยู่เหนือเกียรติเสียแล้ว มันเลยเหนือเกียรติเสียแล้ว สันติภาพมีเกียรติมันเป็นสันติภาพของคนบ้า สันติภาพต้องอยู่เหนือเกียรติเสมอ
และข้อที่ไม่รู้ว่าศาสนาทุกศาสนาเหมือนกัน มีเนื้อแท้เหมือนกัน ตรงที่ทำลายความเห็นแก่ตัว นี้ก็เป็นอุปสรรค มันทำให้มีตัว มีตัวเรา มีตัวเขา มีฉัน มีท่าน มีเขา มีเรา อูถั่นน่ะ ที่พูดถึงเรื่องอูถั่น อูถั่นเขาพูดว่าพุทธศาสนามีอะไรเหนือกว่าใคร มีอะไรที่ศาสนาอื่นไม่มี นี่มันบ้า ทำให้ศาสนาทุกศาสนามันเข้ากันไม่ได้ ทุกศาสนามันมีเนื้อแท้เหมือนกันหมด ตรงที่ว่า ทำลายความเห็นแก่ตัว ศาสนาไหนก็ทำลายความเห็นแก่ตัวเป็นหลัก เป็นหัวใจมันเหมือนกันหมดทุกศาสนา ศาสนาพุทธก็ทำลายความเห็นแก่ตัว ศาสนาคริสต์ก็ทำลายความเห็นแก่ตัว ศาสนาอิสลามก็ทำลายความเห็นแก่ตัว นั้นเนื้อแท้ของศาสนาทุกศาสนามันเหมือนกัน แล้วคนจะได้เริ่มหันหน้าเข้ามาหากัน ไม่รังเกียจกัน แม้เกี่ยวกับศาสนา เดี๋ยวนี้ศาสนาเองเป็นเหตุให้คนเข้ากันไม่ได้ เข้าใจเรื่องความไม่เห็นแก่ตัวให้ดีๆ ไอ้ที่ไม่เหมือนกันนั้นไม่ใช่ศาสนา ไอ้ส่วนที่ไม่เหมือนกันนั้นไม่ใช่เนื้อของศาสนา เป็นเปลือกของศาสนา เปลือกของศาสนาต่างกันได้ ต่างกันได้มาก ต่างกันได้ แต่เนื้อแท้ของศาสนาทุกศาสนาต้องเหมือนกัน คือทำลายความมีตัวกู มีของกู เดี๋ยวนี้โง่มากถึงขนาดในศาสนาเดียวกันแท้ๆ ก็ยังมีผิดมีถูก มีนิกายนั้นผิด นิกายนี้ถูก นี่ยิ่งบ้ามากขึ้นไปอีก ศาสนาเดียวกันยังมีผิด มีถูก มีเขา มีเรา แต่ถ้าโดยที่แท้แล้วไอ้ธรรมชาตินี้ไม่เป็นอะไรหรอก มันเป็นอันเดียวกัน ศาสนาทุกศาสนามันมีเนื้อแท้เป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ที่ไม่มีตัวกู ของกู เหมือนกัน
ถ้าให้ภาวนา ถ้าจะใช้คำว่าภาวนา หรือเพ่งจิต หรือภาวนา หรือส่งใจ หรืออธิษฐานใจ หรือมอบกายถวายชีวิต อะไรก็ตามนี้ ให้เพ่งถึงแต่ไอ้ธรรมชาติ ธรรมชาติที่แท้ ธรรมชาติที่ไม่เป็นตัวกู ของกู ถ้าถือเอานั่นแล้วเป็นพระเจ้า เป็นพระธรรม เป็นพระพุทธ เป็นพระอะไรหมด เป็นพระ เป็นยอดของพระ เอาธรรมชาติที่บริสุทธิ ที่ว่างจากตัวกู ของกู เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นสิ่งสูงสุด เป็นสิ่งที่ควรเคารพ และควรเข้าถึง ก็เพ่งภาวนา เล็ง เพ่งเล็งถึงสิ่งนั้น อันนี้ก็คือ เป็นทั้งหมด คือเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วย หรือเป็นพระเจ้าในศาสนาอื่นด้วย หรือเป็นอะไรทั้งหมดที่มนุษย์ควรจะเคารพนับถือ หรือเข้าถึงสิ่งนั้น คือธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ที่ปราศจากความรู้สึกเป็นตัวกู หรือของกู ที่ปรากฎแก่จิตใจได้ นั้นจิตใจนั้น ในขณะนั้นก็พลอยเป็นพระเจ้า พลอยเป็นอะไรไปด้วย เพราะมีธรรมชาติอันนั้น หรือภาวะอันนั้น หรืออะไรก็ตาม แล้วแต่จะเรียก นั้นพวกเซนเขาฉลาดที่สุด ที่เขาเรียกว่าความว่าง เขามีปัญญากว่า มีอะไรเหนือกว่า ที่เขาเรียกมันว่าความว่าง เอาล่ะ พอกันทีวันนี้ พรุ่งนี้จะมีเทศน์บนภูเขา ในฐานะเป็นวันที่ 27 พฤษภาคม ผมทำบุญล้ออายุ ไม่กินข้าว ใครรับเชิญมาในงานนี้ต้องไม่กินข้าวตลอดวัน นั้นพรุ่งนี้จะเทศน์แบบทำบุญ อายุ ปีละครั้ง วันที่ 27 พฤษภาคม ถ้ายังสะดวกสบายอยู่ ก็เทศน์ เป็นวันฟรี เป็นวันอิสระ