แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้ จะได้วิสัชนาวาระคุณกถา เป็นเครื่องประดับสติปัญญาส่งเสริมศรัทธาความเชื่อและวิริยะความพากเพียรของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัทให้เจริญงอกงามก้าวหน้าในทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายกว่าจะยุติลงด้วยเวลา ธรรมเทศนาในวันนี้เป็นธรรมเทศนาพิเศษปรารภเหตุเป็นวันมาฆบูชา เป็นอภิลักษณ์ขิตสมัยในพระพุทธศาสนา พุทธบริษัททั่วไปย่อมประกอบกุศลวิธีมีประการต่าง ๆ เป็นที่ระลึกแก่วันเช่นวันนี้ อันถือกันว่าเป็นวันสำคัญด้วยเหตุที่พระอรหันต์ทั้งหลายประชุมกัน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอุเทศแห่งพระศาสนา ซึ่งเรียกกันว่า โอวาทปาติโมกข์ เป็นการประดิษฐานพระพุทธศาสนาลงไปในหมู่สงฆ์ให้เป็นที่มั่นคง เป็นที่ยอมรับ เป็นหลัก บัดนี้วันที่คล้ายกันกับวันนั้นมาถึงเข้า พวกเราจึงมีความตั้งใจที่จะทำมาฆบูชา ธรรมเทศนาในตอนแรกนี้เป็นเหมือนกับการปรับปรุงความเข้าใจให้มีความเชื่อความเลื่อมใสในการที่จะประกอบมาฆบูชานั้น
สำหรับสิ่งที่ควรจะระลึกนึกถึงในโอกาสเช่นนี้และในวันนี้ อยากจะเรียก อยากจะระบุไปถึงสิ่งที่เรียกว่า คุณพระ หรือคุณของพระ ถ้าจะเรียกเต็มๆก็ว่าพระคุณของพระนั่นเอง คำว่าคุณพระนี้เป็นที่คล่องปากชินหูแก่คนทุกคนอยู่แล้ว คนธรรมดาก็มักจะร้องขึ้นมาเมื่อมีความทุกข์ เมื่อมีความทุกข์ก็ร้องขึ้นว่า คุณพระช่วย อย่างนี้เป็นต้น นี้แสดงว่าคำนี้คล่องปากและชินหูแก่คนทั่วไปที่สุดแล้ว หากแต่ปัญหายังมีอยู่ว่าคนเหล่านั้นรู้จักคุณของพระอย่างถูกต้องและสมบูรณ์แล้วหรือยังเท่านั้นเอง บางทีอาจจะร้องได้ว่า คุณพระ คุณพระแต่ตามประเพณี ตามธรรมเนียมที่ได้ยินคนอื่นร้อง ก็ร้องสืบๆกันมาว่า คุณพระ รู้ความหมายแต่เพียงว่าเป็นสิ่งที่จะช่วยได้หรือเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่จะช่วยคนได้ แต่แล้วก็ยังไม่รู้โดยแท้จริงหรือโดยรายละเอียดว่าเป็นอย่างไร และจะช่วยได้อย่างไรอย่างนี้เป็นต้น ถ้าร้องได้แต่ คุณพระเฉย ๆ ก็ยังเป็น ลูกเด็ก ๆ อยู่นั่นเอง เพราะว่าลูกเด็ก ๆ เล็ก ๆ ก็ร้องว่าคุณพระได้เพราะได้ยินคนแก่เขาร้องกัน เมื่อร้องแต่ปากสืบ ๆ กันมาอย่างนี้ก็ยังเป็นลูกเด็ก ๆ สืบ ๆ กันมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ เป็นสิ่งที่ง่ายเกินไปในการที่จะเพียงแต่ร้องว่าคุณพระ บัดนี้ถึงสมัยที่พุทธบริษัททั้งหลายควรจะก้าวหน้าในวิถีทางของตน ของตน คือจะต้องรู้จักอะไรให้ดี ให้ถูก ให้ตรง และให้สมบูรณ์ สิ่งที่เรียกว่าคุณพระเป็นต้นนั้น นับว่าเป็นสิ่งที่ควรจะเอามาพิจารณา เอามาคิดนึกศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจจนกว่าจะถึงที่สุด และรู้จักคุณพระถึงที่สุดได้ก็ด้วยการที่มีคุณพระอยู่ในใจของตนและได้รับผลเป็นความสงบสุขอยู่เท่านั้น ไม่เพียงแต่ร้องด้วยปากได้แล้วก็จะพอแล้วดังนี้ก็หาไม่
ข้อแรกที่จะกล่าวถึงก็คือสิ่งที่เรียกว่า พระ คำว่าพระหมายถึงอะไร นี้เป็นสิ่งที่ต้องทำความเข้าใจกันก่อน คำว่า พระ นี้ตามตัวหนังสือก็ต้องแปลว่า ประเสริฐที่สุด และปัญหาก็มีต่อไปว่า สิ่งที่ประเสริฐที่สุดนั้นคืออะไร สิ่งนี้เป็นบุคคลตัวตนหรือว่าเป็นรูปธรรม เป็นนามธรรม อย่างไรเป็นต้น สิ่งที่เรียกว่า พระ ที่แปลว่าประเสริฐที่สุดนั้น เราจะต้องนึกให้กว้างออกไปว่า สิ่งใดจะเป็นสิ่งที่ประเสริฐขึ้นมาได้นั้น จะต้องเป็นอย่างไร มนุษย์เราต้องการสิ่งที่จะดับความทุกข์ของตัว เป็นสำคัญกว่าสิ่งอื่นหมด เพราะฉะนั้นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดสำหรับมนุษย์ก็คงจะไม่มีอะไรนอกไปจากสิ่งที่จะสามารถดับความทุกข์ของตนได้เท่านั้นเอง ทีนี้สิ่งที่จะดับความทุกข์ของมนุษย์ได้ก็ไม่มีอะไรนอกจากสิ่งที่เรียกว่า ธรรม หรือ พระธรรม เมื่อเป็นดังนี้คำว่าคุณพระนั้นจะต้องขยายความออกไปเป็น คุณของพระธรรม พระธรรมนั่นเองคือพระในที่นี้ เพราะว่าพระธรรมนั้นสามารถกำจัดความทุกข์ให้แก่มนุษย์ได้จริง แต่คำว่าธรรมนี้มีความหมายกว้างขวาง หมายไปถึงทุกสิ่งทุกอย่างไม่ยกเว้นอะไรเลย ดังที่ได้เคยนำมาบอกกล่าววิสัชนาชี้แจงให้ฟังแล้วหลายครั้งหลายหนด้วยกันซึ่งสรุปใจความสั้น ๆ ก็จะได้ว่า ธรรมหมายถึงรูปธรรม นามธรรมที่เป็นธรรมชาติทุกสิ่งทุกอย่างนี้ก็มี คำว่าธรรมหมายถึง กฎต่าง ๆ ของธรรมชาติซึ่งมีอยู่ในสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นก็มี คำว่าธรรมหมายถึง หน้าที่ ๆ มนุษย์จะต้องประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติดังนี้ก็มี คำว่าธรรมหมายถึง ผลที่จะเกิดขึ้นแก่มนุษย์ตามสมควรแก่การปฏิบัติของมนุษย์ดังนี้ก็มี เมื่อธรรมมีอยู่กัน ๔ ความหมายอย่างนี้ ธรรมในความหมายไหนสามารถดับความทุกข์ของมนุษย์ได้ ธรรมในความหมายนั้นได้แก่ พระธรรม ในบทว่าคุณของพระ หรือคุณของพระธรรมในที่นี้นั่นเอง เราพิจารณาดูแล้วจะเห็นได้ว่าธรรมในความหมายประเภทที่ ๓ คือหน้าที่ ๆ มนุษย์จะต้องปฏิบัติให้ถูก ให้ตรงตามกฎของธรรมชาตินั่นแหละ เป็นสิ่งที่จะช่วยมนุษย์ได้ ดังนั้นคำว่าพระธรรมจึงหมายถึงธรรมในความหมายที่ ๓ คือ ปฏิปัตติธรรม อันเป็นหน้าที่ ๆ มนุษย์จะต้องประพฤติปฏิบัติให้เกิดเป็น นิยยานิกธรรม นำสัตว์ให้ออกจากทุกข์ได้ ในที่สุดสิ่งที่เรียกว่าผลอันประเสริฐคือความดับทุกข์นั้นก็จะต้องมีมาเอง เพราะการปฏิบัตินั้น เรามีหน้าที่แต่จะต้องปฏิบัติ เราจะต้องกระทำแต่การปฏิบัติอย่างเดียวก็พอ แต่ว่าจะต้องประพฤติปฏิบัติไปในทางที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นเราจะต้องรู้จักสิ่งที่เรียกว่าพระนี้ให้ถูกต้อง จะได้รู้จักคุณพระที่ถูกต้อง
ที่นี้ก็มาถึงคำว่าคุณพระ คำว่าคุณพระนี้ หมายถึงคุณพระธรรมดังที่กล่าวมาแล้ว ทีนี้คุณของพระธรรมนี้แยกออกได้เป็น ๒ อย่างคือ คุณของพระธรรมที่เป็นลักษณะประจำอยู่ในพระธรรมนั้นอย่างหนึ่ง และคุณของพระธรรมที่จะมามีประโยชน์แก่มนุษย์ผู้ประพฤติปฏิบัตินี้อีกอย่างหนึ่ง สรุปความสั้น ๆ ก็ว่าคุณของพระที่มีอยู่ในตัวพระเองนั่นอย่างหนึ่ง คุณของพระที่จะมาคุ้มครองเราช่วยเหลือเราที่เป็นมนุษย์นี้อีกอย่างหนึ่ง รวมเป็น ๒ อย่างหรือ ๒ ฝ่ายอยู่ด้วยกันดังนี้ สำหรับคุณพระที่มีอยู่ในตัวพระเองนั้น หมายความว่า ความดี ความงาม ความถูกต้อง ความบริสุทธิ์ และคุณสมบัติ อานุภาพอะไรต่าง ๆ ที่มีอยู่ในตัวพระหรือพระธรรมนั้น เช่นพระธรรมก็มีกฎเกณฑ์ตายตัวว่าสิ่งนั้นต้องเป็นอย่างนั้น สิ่งนี้ต้องเป็นอย่างนี้ ไม่มีใครมาหักล้างได้ นี้ก็เป็นคุณสมบัติของพระที่มีอยู่ในตัวพระ และถ้าผู้ใดประพฤติถูกต้องตรงตามกฎของพระธรรมในทางที่จะดับทุกข์แล้ว ความทุกข์ก็จะหมดไป นี้ก็เป็นคุณของพระที่มีอยู่ในตัวพระและเนื่องมาถึงพวกเราด้วย ลักษณะหรือคุณสมบัติใด ๆ ที่มีอยู่ในคุณธรรม ในพระธรรมนั้น (นาทีที่ 0:12:41.3)เป็นคุณธรรมของพระ เป็นคุณสมบัติของพระ เป็นคุณลักษณะของพระ อยู่ในตัวพระ ส่วนคุณสมบัติของพระที่จะเนื่องมาถึงพวกเราและคุ้มครองเราได้นั้น เราเรียกว่าประโยชน์หรือคุณค่าของพระที่มีต่อสัตว์ทั้งปวง อย่างที่กล่าวกันว่า ผู้ประพฤติธรรมย่อมอยู่เป็นสุข นี้หมายความว่าเราต้องประพฤติปฏิบัติให้เนื่องกันกับพระธรรม ให้พระธรรมมีในตัวเรา พระธรรมจึงจะคุ้มครองเรา ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้พระธรรมก็ไม่เนื่องกับเรา เราก็ไม่ได้รับประโยชน์จากพระธรรมนั้น พระก็อยู่แต่พระ เราก็อยู่แต่เรา ไม่มีการเนื่องกันโดยแน่นอน เพราะฉะนั้นการที่เด็ก ๆ หรือใครสักคนหนึ่งจะเพียงแต่ร้องตะโกนว่าคุณพระช่วย คุณพระช่วย อย่างนี้ย่อมไม่สำเร็จประโยชน์สมตามความมุ่งหมายได้ อย่างมากที่สุดก็จะพอ ก็เพียงแต่จะทำให้สบายใจได้สักนิดหนึ่งเท่านั้น แต่ที่จะให้สำเร็จประโยชน์เป็นความดับทุกข์นั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะว่า ว่าแต่ปากยังไม่ได้ปฏิบัติให้เกิดพระหรือเกิดพระธรรมขึ้นมาในเนื้อในตัวของตน หลักเกณฑ์มีอยู่ชัดแจ้งว่าผู้ปฏิบัติธรรมย่อมอยู่เป็นสุข หมายความว่าผู้นั้นต้องปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมทำให้พระธรรมเกิดขึ้นในตัว ปรากฏอยู่ที่เนื้อที่ตัว คือที่กาย ที่วาจาที่ใจของตัว พระธรรมที่เกิดขึ้นนี่แหละจะช่วยคุ้มครองบุคคลนั้นไม่ให้มีความทุกข์ได้ เช่นเกิดมีสติปัญญาความรู้ขึ้นมาว่า ทุกอย่างเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โดยแท้จริงอย่างนี้แล้ว ก็คุ้มครองจิตใจไม่ให้ต้องเป็นทุกข์ ไม่ให้ต้องหวั่นไหวไปตามสิ่งที่เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั้น อย่างนี้เรียกว่าพระธรรมคุ้มครองบุคคลนั้นให้มีจิตใจที่จะไม่ต้องเป็นทุกข์ ถึงแม้การปฏิบัติธรรมอย่างอื่นๆก็เหมือนกัน ถ้าสามารถทำให้พระธรรมมีขึ้นในตนแล้วก็จะเป็นเครื่องกำจัดทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งเสมอไป แต่การที่ทำให้พระธรรมมีขึ้นในตนโดยลำพังสักว่าปากพูดหรือร้องออกไปว่าคุณพระช่วยนี้ มันยังน้อยเกินไป ไม่พอที่จะช่วยได้แท้จริง เขาจะต้องมี การปฏิบัติที่จริงกว่านั้นคืออย่างน้อยที่สุด เมื่อปากร้องว่าคุณพระช่วยนั้น ใจต้องระลึกนึกได้ว่า พระธรรมเป็นอย่างไร สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาอย่างไร หรือว่าพระพุทธเจ้าท่านหมดกิเลศไม่มีความยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดจึงไม่มีความทุกข์ อย่างนี้เป็นต้น เมื่อใจก็ระลึกนึกเห็นอยู่อย่างนี้และปากก็ร้องว่าคุณพระช่วยอย่างนี้ ก็นับว่าเป็นการประพฤติธรรมอยู่เหมือนกัน ไม่ร้องแต่ปาก เพราะฉะนั้นถ้าผู้ใดมีปากสำหรับจะร้องว่าคุณพระช่วย คุณพระช่วยอยู่แล้ว ก็จงรู้จักทำให้จิตใจมีคุณพระที่จะช่วย ให้มาก ให้เพียงพอกันเสียด้วยจึงจะสำเร็จประโยชน์ เวลานี้หรือในสมัยนี้เป็นสมัยที่จะต้องพูดถึงเรื่องนี้กันบ้างแล้วหรือกันให้มากขึ้น เพราะว่าดูจะมีแต่คนที่รู้จักร้องว่าคุณพระช่วยเสียเป็นส่วนใหญ่ แล้วก็ไม่สนใจในตัวพระจริง ๆ คนสมัยนี้มีความหลงใหลในเรื่องเงิน เรื่องของ เรื่องความผาสุกสนุกสนานอย่างเดียว ไม่ได้นึกถึงธรรมะหรือศาสนามากเหมือนคนแต่กาลก่อน แต่ว่าคนเดี๋ยวนี้เสียอีกที่ชอบพูดว่าคุณพระช่วย คุณพระช่วย เพราะคนสมัยนี้มีเรื่องมาก มีเรื่องทำให้กลัวมาก ให้วิตกกังวลมาก จึงขยันร้องให้คุณพระช่วย ทั้งที่ตัวไม่รู้จักคุณพระ ไม่ปฏิบัติพระธรรมที่จะเป็นพระสำหรับช่วย ดูให้ดีเถิดคนสมัยนี้ขี้ขลาดหรือมีความหวาดกลัวมากยิ่งขึ้นทุกที เที่ยวรดน้ำมนต์ก็เพื่อให้ขอให้คุณพระช่วย เที่ยวทำพิธีรีตองอย่างนั้นอย่างนี้ ก็เพื่อขอให้คุณพระช่วย แขวนเครื่องรางก็เพื่อให้คุณพระช่วย ทำอะไรทุกสิ่งทุกอย่างตามที่เขาพูด ๆ กันว่าเป็นของขลังของศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็หวังว่าเพื่อให้คุณพระช่วย แต่ในใจจริงนั้นไม่รู้จักคุณพระกันเสียเลย เสียชาติที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา คนสมัยนี้รู้จักแต่เงิน รู้จักแต่วัตถุ ซึ่งเป็นที่ตั้งของความสนุกสนานในทางวัตถุ เรื่องสวยเรื่องงาม เห็นเรื่องนี้เป็นสรณะ เป็นเรื่องใหญ่ เลยไปเอาคุณพระมาเป็นเครื่องมือสำหรับ สำหรับจะให้ได้สิ่งเหล่านี้ นี้แปลว่าเขานับถือพระนิดเดียว นับถือเงินหรือนับถือทรัพย์สมบัติสิ่งของมากกว่าพระ เขาไปหวังจะให้พระช่วยเพื่อจะให้ได้สิ่งเหล่านี้ต่างหาก ไม่ได้เพราะจิตใจนับถือพระจริง ๆ ถ้าจิตใจนับถือพระจริง ๆ ก็ต้องเห็นแก่พระ อยากจะได้พระ ไม่ต้องกลัวอะไร ไม่อยากได้อะไรอีก จึงไม่หวังที่จะเอาพระมาเป็นเครื่องมือ สำหรับให้ได้เงิน ให้ได้ลาภ ให้มีโชควาสนาเป็นต้น คนสมัยนี้บูชาเงินยิ่งกว่าบูชาพระ ทั้งที่ปากร้องว่าคุณพระช่วยอยู่เสมอ ๆ ไป ถ้าขืนเป็นอยู่อย่างนี้ก็ต้องกล่าวได้ว่า กำลังจะเสียชาติเกิด เสียชาติที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา คือสักว่าเกิดมา หรือสักว่าพบพระพุทธศาสนา ไม่รู้ว่าเกิดมาเป็นอะไรหรือเกิดมาทำไม เอาแต่ความรู้สึกนึกคิดของตัว คือนึกได้อย่างเด็ก ๆ เรื่องกิน เรื่องเล่น เรื่องสนุกสนานเท่านั้นเอง เพราะเหตุเช่นนี้แหละจึงเห็นว่าควรจะต้องพูดถึงคุณพระกันเสียบ้าง เพื่อให้เข้าใจ ให้รู้จักอย่างถูกต้องและสมบูรณ์
รู้จักคุณพระเพื่อประโยชน์อะไร รู้จักคุณพระก็เพื่อให้พระช่วยได้ แต่คงจะไม่ใช่ให้ช่วยเรื่องได้เงินได้ของ นั้นมันเป็นหน้าที่ของคน ๆ นั้นจะต้องมีปัญญาแสวงหาเอาเอง คุณพระช่วยนั้นสำหรับช่วยไม่ให้เป็นทุกข์ ในการที่จะหาเงิน หาของ หาทรัพย์สมบัติ หาเกียรติยศชื่อเสียงอะไรก็ตามนั้น ตามปรกติจะต้องมีความทุกข์เกิดขึ้น เพราะไม่รู้จักหา ไม่รู้จักตั้งใจไว้ให้ถูกต้อง ดังนั้นในการทำการงานนั้นจึงมีความทุกข์ ทีนี้ก็มีคุณพระเข้ามาช่วยอย่าให้การงานนั้นมีความทุกข์ และเมื่อเขาทำอย่างนี้ได้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปก็จะกลายเป็นว่าได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ที่เราเรียกกันว่าการบรรลุมรรคผลนิพพานคือการที่มีชีวิตอยู่โดยปราศจากความทุกข์โดยประการทั้งปวง ไม่มีความทุกข์แต่ประการใดหรือในกรณีใด ๆ ถ้าได้อย่างนี้เรียกว่าได้บรรลุมรรคผลนิพพาน อาศัยคุณพระที่ถูกวิธี ให้ช่วยอย่างถูกวิธี คนก็จะได้บรรลุมรรคผลนิพพานซึ่งยิ่งไปกว่าเงินทองทรัพย์สมบัติสิ่งของหรือแม้แต่ชีวิต เพราะว่าการที่เรามีทรัพย์สมบัติเงินทองข้าวของนี้ก็เพื่อกิน เพื่อใช้ให้มีชีวิตอยู่ และเมื่อมีชีวิตอยู่แล้วจะต้องรู้ว่ามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร จะต้องมีชีวิตอยู่เพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ก็คือให้รู้จักและเข้าถึงจิตใจชนิดที่ไม่มีความทุกข์แต่อย่างใดจนตลอดชีวิตนั่นเอง อย่างนี้เรียกว่าชีวิตที่ไม่มีธรรมะ ที่ไม่มีความสุข ที่ไม่มีพระธรรมนั้นเป็นชีวิตที่ไม่มีราคาอะไร ยังไม่มีราคาอะไรต่อเมื่อบุคคลได้กระทำให้สิ่งที่เรียกว่าชีวิตนั้นประกอบไปด้วยพระธรรม คือภาวะที่ประเสริฐไม่มีความทุกข์โดยประการทั้งปวงจึงจะเรียกว่าเป็นชีวิตที่มีความหมาย เป็นชีวิตอย่างที่เรียกว่าชีวิตแท้ขึ้นมา คือเป็นความไม่ตาย แต่ถ้าสักว่ามีชีวิตอยู่แล้วมันก็เหมือนกับสัตว์เดรัจฉานทั่วไปเพราะว่าสัตว์เดรัจฉานก็รู้จักหากิน และรู้จักจะทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้มีชีวิตอยู่ มันก็มีชีวิตเหมือนกัน แต่ทำไมจึงไม่ถือว่าชีวิตอย่างสัตว์เดรัจฉานนั้นเป็นของประเสริฐสุดเล่า ก็เพราะว่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่าพระธรรมในความหมายของสิ่งที่ประเสริฐที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้นั่นเอง เพราะเหตุฉะนี้แหละเราจะต้องรู้จักมีชีวิตอย่างมนุษย์ที่ได้พบพระพุทธศาสนา อย่าได้มีชีวิตเหมือนสัตว์เดรัจฉานทั่วไปซึ่งไม่ได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เพียงแต่รู้จักกลัวอย่างเดียวนั้นไม่พอ คนที่รู้จักพูดแต่ว่าคุณพระช่วย คุณพระช่วย ด้วยความกลัวอย่างเดียวนี้ ก็ไม่ดีกว่าสัตว์เดรัจฉานเท่าใดนักเพราะรู้จักแต่เรื่องของความกลัว ยังไม่รู้จักวิธีที่จะกำจัดเสียซึ่งความกลัว กล่าวคือตัณหาอุปาทาน เพื่อให้มนุษย์ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา เราจึงต้องพูดกันถึงสิ่งที่เรียกว่าคุณพระ เขาจะได้รับสิ่งอันใหญ่หลวงโดยไม่ต้องเสียเงินเสียสตางค์ เพราะพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า นิพพานนั้นเป็นสิ่งที่ให้เปล่าไม่คิดสตางค์ มีแต่การประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้องและบางทีจะน่าอัศจรรย์ที่สุดในการที่จะพูดตามแบบของธรรมะในชั้นลึกว่า ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องทำอะไรด้วยซ้ำไป อยู่นิ่ง ๆ อย่าไปปรุงแต่งความคิดเป็นโลภะ โทสะ โมหะขึ้นมา จงอยู่นิ่ง ๆ อย่าไปเที่ยวยึดมั่นถือมั่นสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นตัวกูหรือเป็นของกูขึ้นมา จงอยู่นิ่ง ๆ อย่าให้เกิดตัวกู อย่าให้เกิดของกู อย่างนี้ก็เป็นความสงบ เป็นนิพพาน นิพพานจึงเป็นเรื่องอยู่นิ่ง ๆ ไม่ปรุงแต่งอะไรให้เป็นกิเลสตัณหาขึ้นมา จึงไม่ต้องเสียสตางค์ พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสว่า นิพพานนี้เป็นของแจกให้ฟรี ไม่เก็บเงินแก่บุคคลใด และบุคคลนั้นก็ไม่ต้องเสียเงินเสียทองแต่อย่างใด จึงจะเรียกว่าเป็นนิพพานแท้ ส่วนเรื่องอื่นที่ยังต้องลงทุนนั้นยังไม่ถึงขนาดที่จะเป็นนิพพานเลย นี่แหละเพราะเหตุที่ว่าไม่รู้จักคุณพระอย่างถูกต้องจึงต้องเสียเงินเสียทองเสียเวลา ต้องเหน็ดเหนื่อยมากแล้วก็ยังไม่ได้นิพพาน ถ้ารู้จักคุณพระถูกต้องไม่ต้องเสียอะไรก็ยังได้สิ่งที่สูงสุดในพระพุทธศาสนา คือความดับทุกข์สิ้นเชิงที่เรียกว่าพระนิพพานนั้นโดยไม่ต้องเสียสตางค์
ทีนี้ก็จะได้พิจารณากันต่อไปถึงข้อที่ว่า จะสำเร็จประโยชน์ได้ตามนั้นอย่างไร คำตอบก็ตอบอย่างกำปั้นทุบดิน ก็เพียงแต่มีคุณพระกันให้ถูกต้อง คือมีคุณพระกันให้จริง ๆ เท่านั้น เราก็จะต้องได้รับสิ่งที่ประเสริฐที่สุดที่มนุษย์จะพึงได้รับนั้น ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า สิ่งที่เรียกว่าคุณพระนี้ไม่ได้เป็นเรื่องเล็กน้อยเสียแล้ว แต่เป็นเรื่องใหญ่หลวง เป็นเรื่องทั้งหมดทั้งสิ้นด้วยเหมือนกัน อย่าได้ไปคิดว่าเรื่องคุณพระเป็นเรื่องไว้สำหรับเด็ก ๆ ท่องเด็ก ๆ ร้อง ไม่ต้องศึกษาอะไร ไม่ต้องปฏิบัติอะไร ว่ากันโดยที่จริงแล้วสิ่งที่เรียกว่าคุณพระนี้มีเรื่องที่ต้องศึกษามาก และต้องปฏิบัติมาก จนกระทั่งคุณพระจริง ๆ ได้มีขึ้นในเนื้อในตัว อยู่ที่กาย ที่วาจา ที่ใจ คุ้มครองตัวให้พ้นจากทุกข์ภัยทุกอย่างทุกประการได้ รวมความว่า เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราจะต้องกระทำให้เกิดมีขึ้นมาเพื่อว่าจะได้รับสิ่งที่สูงสุดในพระพุทธศาสนา ดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น
สำหรับผลสูงสุดที่จะพึงได้จากคุณพระนั้น เราควรจะพิจารณากันเป็นเบื้องต้น ก่อนแต่จะพิจารณาถึงการที่จะปฏิบัติอย่างไรลงไป นี้เป็นของธรรมดาที่สุด มนุษย์เราจะสนใจในสิ่งใดก็ต่อเมื่อได้ความรู้ความเข้าใจว่าสิ่งนั้นมีประโยชน์อะไรเสียก่อน เหมือนเราจะลงทุนค้าขายก็ต้องมองเห็นประโยชน์ที่จะได้จากการค้าขายเสียก่อน หรือจะทำไร่ ทำนา ทำสวน ก็ต้องมองเห็นสิ่งจะพึงได้จากการทำไร่ ทำนา ทำสวนเสียก่อน เพราะฉะนั้นท่านจึงแนะให้พิจารณาถึงส่วนที่เป็นอานิสงส์ หรือเป็นประโยชน์ให้ถูกให้ตรงกันเสียก่อน เป็นเครื่องชักจูงจิตใจให้แก่คนเราสนใจอย่างแท้จริง มีความพากเพียรอย่างแท้จริงในสิ่งที่ตนจะต้องทำ เดี๋ยวนี้เราอาจจะพูดได้อย่างกว้าง ๆ ว่า โลกทั้งโลกกำลังระส่ำระสายเดือดร้อน หาความสงบสุขไม่ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็เรื่องการเบียดเบียนกัน ในขนาด ขนานใหญ่ที่เราเรียกว่าสงคราม อันเป็นเหตุให้เกิดความลำบากยุ่งยากอย่างอื่นตามมาอีกมากมายหลายอย่างหลายประการนัก จนเรียกว่าโลกนี้เต็มไปด้วยความระส่ำระสาย ไม่มีความสงบสุข แต่แล้วที่สุดก็มองเห็นได้ว่า การที่โลกไม่มีความสงบสุขนี้ ก็เพราะว่าโลกขาดคุณพระนั่นเอง คุณพระไม่ได้มีอยู่ในโลกหรือคุ้มครองโลกให้มากพอ โลกนี้ทั้งโลกก็ต้องระส่ำระสาย เป็นทุกข์เดือดร้อน บางหมู่บางพวกก็ถึงกับวิบัติฉิบหาย สูญสิ้นไป อย่างนี้ก็ยังมี เพราะว่าคุณพระไม่ได้คุ้มครอง สิ่งที่เรียกว่าคุณพระนั้น มีอยู่ที่การปฏิบัติอย่างถูกต้องในศาสนานั้น ๆ ด้วยกันทุกศาสนา พวกที่เป็นพุทธบริษัท อย่าโง่เขลา อวดดีว่า คุณพระมีแต่ในพระพุทธศาสนา นี้มันเป็นเรื่องของคนโง่ที่ตั้งต้นมาจากความคิดว่าตัวเท่านั้นดีกว่าคนอื่น ของตัวเท่านั้นดีกว่าของคนอื่น มีความคิดอย่างนี้อยู่ประจำสันดานเป็นนิสัย คนอย่างนี้หละที่จะเห็นว่า คุณพระมีแต่ในพุทธศาสนา แต่โดยที่แท้แล้ว ถ้ามีการปฏิบัติถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมะหรือของธรรมชาติที่ไหนแล้ว ก็เรียกว่าคุณพระได้ทั้งนั้น ไม่ว่าในศาสนาไหน ในศาสนาอื่นก็มีคุณพระของศาสนานั้นอยู่ด้วยกันทุก ๆ ศาสนา แล้วก็มีส่วนที่จะช่วยให้มีความสงบสุขได้ด้วยกันทั้งนั้น ตามมากตามน้อย ตามสูงตามต่ำ เพราะว่าศาสนาแต่ละศาสนานั้น ก็มุ่งหมายที่จะกำจัดเสียซึ่งความชั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือจะกำจัดเสียซึ่งความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวเป็นเหตุให้เกิดความโลภ ความเห็นแก่ตัวเป็นเหตุให้เกิดความโกรธ และความเห็นแก่ตัวนั่นแหละเป็นเหตุให้ลืมตัว ให้มัวเมา ให้หลงใหล ถ้าปราศจากความเห็นแก่ตัวเสียแล้วก็ไม่มีทางที่จะเกิดความโลภ ความโกรธ ความหลงได้ ดังนั้นการที่ศาสนาทุกศาสนาต้องการจะกำจัดความเห็นแก่ตัวอยู่ด้วยกันทั้งนั้น ๆ ก็เป็นการถูกต้องแล้วด้วยกันทุก ๆ ศาสนา จึงเรียกได้ว่า คุณพระนั้นมีอยู่ตามกฎเกณฑ์ของศาสนาทุกศาสนา ที่คนที่นับถือศาสนานั่นแหละกลับไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของศาสนานั้น ๆ ดังนั้นคุณพระก็ไม่ปรากฏออกมา ไม่ว่าจากศาสนาไหนหมด เมื่อเป็นดังนี้โลกทั้งโลกก็กลายเป็นโลกที่ว่างจากคุณพระ ไม่มีคุณพระสำหรับคุ้มครองโลก โลกก็ระส่ำระสายไม่มีสันติภาพ ไม่มีความสงบสุขดังที่เราเห็นกันอยู่ นี้เรียกว่าเป็นการมองอย่างกว้างขวางที่สุดแล้วว่า โลกมนุษย์นี้ก็ดี โลกเทวดาก็ดี โลกอื่น ๆ จะเป็นโลกที่สูงขึ้นไปถึงพรหมโลก หรือว่าจะเป็นโลกในเบื้องต่ำที่สุดคือพวกนรก เปรตเดรัจฉาน อสูรกายก็ตาม ถ้าปราศจากเสียซึ่งคุณพระแล้วก็จะมีแต่ความระส่ำระสาย ความทุกข์ยากลำบาก เดือดร้อนนานาประการ ถ้ามีคุณพระแล้วก็เป็นการคุ้มครองให้อยู่เป็นผาสุกได้ นี้เรียกว่าเรามองกันอย่างกว้างขวางที่สุดเป็นส่วนรวมพร้อมกันคราวเดียวทั้งโลก และทุก ๆ โลก ว่ากำลังเดือดร้อนเป็นทุกข์อยู่เพราะการขาดคุณพระ ถ้ามีคุณพระเข้ามาช่วย โลกทุกโลกก็จะมีความผาสุก สงบเย็นเป็นธรรมดา นี้เป็นผลอันใหญ่หลวงของสิ่งที่เรียกว่าคุณพระ
ทีนี้จะมองให้แคบเข้ามาเป็นรายบุคคล เป็นส่วนย่อย ๆ ย่อย ๆ ลงไป ก็จะทำให้เห็นได้ว่า คุณพระนี้สำคัญมาก ทำให้เราอยู่ด้วยความปรกติสุข มีจิตใจที่เป็นธรรม มีจิตใจที่ไม่อาจจะเป็นทุกข์ มีจิตใจที่เรียกว่าพร้อมที่จะทำการงาน จะยกตัวอย่างให้ต่ำที่สุด เหมือนว่าเราจะทำไร่ทำนา หาเลี้ยงปาก หาเลี้ยงท้อง ก็ต้องอาศัยคุณพระมาช่วยทำจิตใจนั้นให้เหมาะสมที่จะทำการงาน คืออาศัยคุณพระนั้นมาช่วยทำจิตใจให้รู้จักรักความถูกต้อง ความบริสุทธิ์ ความยุติธรรม มาช่วยทำให้จิตใจมีความอดกลั้น อดทน มีความขยันหมั่นเพียร และยิ่งไปกว่านั้นซึ่งเป็นปัญหาซึ่งมีอยู่มากมายเหมือนกันก็คือ อาศัยคุณพระนั้นมาช่วยทำให้จิตใจเข้มแข็ง เป็นสมาธิ การเป็นสมาธินั้นไม่ใช่สำหรับพวกที่อยู่ตามป่าตามเขา เป็นมุนี ฤๅษี ชีไพร หรือเป็นนักบวช ที่อยู่ตามป่าตามเขา แต่ว่าการเป็นสมาธินี้ต้องการด้วยกันทุกคน ไม่ว่าใครจะทำอะไรต้องทำด้วยใจที่เป็นสมาธิ ถ้าทำด้วยจิตใจที่เคลิบเคลิ้มแล้ว ก็เป็นเสียหายหมด แม้จะทำงานในไร่ ในนา ในบ้าน ในเรือน แม้ที่สุดแต่ในครัว ก็จะต้องทำด้วยจิตใจที่เป็นสมาธิ จึงจะทำอะไรได้ดี เพราะว่าจิตที่เป็นสมาธินั้นมีคุณสมบัติน่าปรารถนาอย่างยิ่ง คือมีคุณสมบัติเป็นความบริสุทธิ์ สะอาดผ่องใสนี้อย่างหนึ่ง มีคุณสมบัติเป็นความหนักแน่นมั่นคงตั้งมั่นนี้อีกอย่างหนึ่ง แล้วมีคุณสมบัติว่องไวต่อการงานในหน้าที่ ๆ จะคิด จะนึกจะตัดสินใจ จะพูด จะทำ มีความว่องไวในหน้าที่ของจิตนั้น นี้ก็อย่างหนึ่ง รวมเป็นสามอย่างด้วยกันแล้วจึงจะเรียกว่ามีจิตเป็นสมาธิ สมาธิของคนโง่ ๆ บ้า ๆ บอ ๆ เข้าใจเอาเองนั้นไม่ใช่สมาธิอย่างนี้ คนบางคนพูดว่าเป็นสมาธิแล้วก็นั่งตัวแข็งไปเลยทำอะไรไม่ได้ อย่างนี้ไม่รู้ว่าเป็นสมาธิชนิดไหนของเขาเราพูดไม่ถูก แต่ว่าสมาธิของพระพุทธเจ้านั้น ท่านแสดงลักษณะไว้เป็นสามอย่าง สามประการด้วยกันคือ ปริสุทโธ สะอาด สว่าง แจ่มใสดี สมาหิโต ตั้งมั่นหนักแน่น มั่นคง บึกบึนดี กัมมนีโย คล่องแคล่วต่อการงานในหน้าที่ของมันดี รวมกันทั้งสามอย่างนี้เรียกว่า ความเป็นสมาธิของจิตนั้น เพราะฉะนั้นยิ่งมีสมาธิมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำการงานได้ดีมากเท่านั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่คนเราจะต้องมีสมาธิในการทำการงานให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี นี้อย่างหนึ่ง
ทีนี้มองดูอีกต่อไป ต่อไปอีก ก็จะเห็นได้ว่าคุณพระมีในใจ ในเวลาใด ในเวลานั้นคนเรามีความอุ่นใจ มีความสบายใจในชีวิตของตน ๆ อยู่ตลอดเวลา เมื่อใดใจหม่นหมอง เร่าร้อน รำคาญอย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม เมื่อนั้นเรียกว่า คุณพระไม่ได้อยู่กับใจของผู้นั้นเสียแล้ว เพราะว่าคุณพระมีอยู่ในใจของผู้ใด ผู้นั้นมีความอุ่นใจ มีความสบายใจ มีความแน่ใจ มีความพอใจในตนเองอยู่เสมอ อย่างนี้เป็นต้น ถ้าคนเรามีความฟุ้งซ่านรำคาญอยู่ตลอดไปแล้ว ก็จะต้องเป็นบ้า หรือจะต้องเป็นโรคเส้นประสาท นี้เห็นได้ว่า คุณพระนั้นเองเป็นเครื่องคุ้มครองไว้ ไม่ให้เราเป็นบ้า ไม่ให้เราเป็นโรคเส้นประสาท เราควรจะขอบคุณคุณพระ และรู้จักบุญคุณของคุณพระ และคุณพระนี้เองยังช่วยคุ้มครองบาปกรรมต่าง ๆ นา ๆ ไม่ให้เกิดขึ้นมาได้ เราตั้งใจให้เหมือนพระ ให้บริสุทธิ์ ให้มั่นคงแน่วแน่ ถูกต้องไว้เสมอแล้ว ก็ย่อมจะไม่ทำบาปใด ๆ ได้เลย ถ้าตั้งใจไว้ไม่ดีทำอะไรก็จะต้องเป็นบาปไปหมดแม้แต่จะทำมาหากิน ยกตัวอย่างเหมือนกับว่า จะทำนา คนที่จะไถนาก็รู้อยู่ดีว่า จะต้องมีการกระทบกระทั่งต่อชีวิตของสัตว์เหล่าอื่น เช่นการไถนานั้นจะต้องทำให้สัตว์เล็กสัตว์น้อยในเนื้อนานั้นตายไป เป็นปูบ้าง เป็นเขียดบ้าง เป็นแมลงอย่างอื่นบ้าง จะต้องถูกผานไถนาเชือดเฉือนให้ฉีกขาด แตกตายทำลายผันไป ให้เจ็บปวด ให้ลำบากก็มี อย่างนี้แล้วเราจะนึกอย่างไรกัน ว่าการทำนานั้น เป็นบาปหรือไม่เป็นบาป คนที่ไม่มีคุณพระอยู่ในใจ มีโมหะครอบงำ อาจจะนึกไปในทางว่า บาป เพราะความไม่รู้ก็ได้ หรือจะนึกไปทางไม่รู้ไม่ชี้คือไม่บาปอย่างนี้ก็ได้ แต่คนที่มีความรู้ในทางของพระธรรมอย่างถูกต้องแล้ว ก็จะรู้จักทำจิตใจให้ประกอบอยู่ด้วยธรรมะ คือความยึดมั่นอยู่แต่ในความดี ความจริง ความถูกต้อง ไม่มีเจตนาในการที่จะทำชั่วหรือทำบาป ไม่มีเจตนาในการที่จะฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่มีเจตนาที่จะฆ่าสัตว์ในท้องนาเหล่านั้น มีเจตนาเพียงแต่จะทำหน้าที่ของตน ทำการงานของตน ด้วยความสำนึกในหน้าที่ ในสัมมาอาชีพ ในสัมมาปฏิบัติของตน แล้วก็ทำไป อย่างนี้แม้จะมีสัตว์ตายบ้างก็ไม่เป็นบาป เรียกว่าธรรมะคุ้มครองไม่ให้เป็นบาป เรียกว่าคุณพระคุ้มครองใจของเขาไว้ ไม่ให้ตกไปสู่ความบาป ไม่ให้มีเจตนาในการที่จะทำบาป จึงไม่มีบาป เพราะคุณพระคุ้มครอง ส่วนคนที่มีจิตใจหยาบช้า อำมหิต เขาคิดว่าไม่บาป อย่างนี้มันเป็นเรื่องของคนโง่ มันต้องบาป แต่เขาทำอย่างฝืนความรู้สึก หรือฝืนความบาปนั้น รู้สึกคล้าย ๆ กับว่าไม่บาปเหมือนกัน นี้มันต่างกันมาก เอามาเปรียบกันไม่ได้ สำหรับเรื่องธรรมะคุ้มครองคนที่จะต้องทำการตามหน้าที่ของตนนี้ มีอยู่มากมายทีเดียว คนที่เป็นผู้มีหน้าที่ป้องกัน ย่อมจะต้องทำลายชีวิตสัตว์อื่นหรือผู้อื่นด้วยกันทั้งนั้น แต่ถ้าหากว่าทำไปด้วยความรู้สึกที่ถูกต้อง ตามทำนองของพระธรรมแล้วย่อมหาบาปมิได้ ปัญหาเรื่องนี้มีมาก แต่ในที่สุดก็ขึ้นอยู่กับเจตนาอย่างเดียว เช่นว่าจะต้อง รบราฆ่าฟันกัน ถ้ารบราฆ่าฟันกันด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง มันก็ต้องเป็นบาป แต่ถ้ารบราฆ่าฟันกันด้วยความจำเป็นที่จะต้องป้องกันตัว หรือป้องกันความยุติธรรมอย่างนี้มันก็ไม่บาป เช่นว่าเราถูกเขาเบียดเบียนโดยไม่เป็นธรรม เขาข่มเหงด้วยความอยุติธรรม เราก็ต้องต่อสู้และต้องป้องกันตัว ด้วยความรู้สึกว่าจะป้องกันความเป็นธรรม ไม่ใช่มีความโกรธที่จะฆ่าเขา ไม่มีความอาฆาตมาดร้ายที่จะฆ่าเขา แต่มีความต้องการเพียงจะป้องกันตัวและเพื่อความเป็นธรรม แม้ว่าการป้องกันตัวจะทำให้คนบางคนต้องเสียชีวิตไป ก็หาได้เป็นบาปเพราะเหตุนั้นไม่ นี้เรียกว่ามีพระธรรมเป็นเครื่องคุ้มครองบุคคลนั้นไว้ ไม่ให้ต้องเป็นบาปเพราะการทำให้ผู้อื่นต้องเสียชีวิตไปหรือทำให้สัตว์อื่นต้องเสียชีวิตไป เดี๋ยวนี้คนเราไม่เป็นอย่างนี้ มักจะทำอะไรด้วยความโลภ ความโกรธ ความริษยา อาฆาต แม้จะเรียกว่าป้องกันตัว ก็ทำไปด้วยความโกรธ ความริษยาอาฆาต ในการกระทำนั้นมันก็ต้องเป็นบาป เพราะทำไปด้วยความโกรธแค้น ความอิจฉาริษยา ความอาฆาต ไม่ประกอบอยู่ด้วยธรรมะเลย ถ้ามีจิตใจประกอบอยู่ด้วยธรรมะ ก็จะปฏิบัติไปในทางที่ถูกต้องได้ ควรทำอย่างไรก็ทำไปเพียงเท่านั้นเท่าที่จำเป็น หรืออาจจะไม่ทำอะไรเลยก็ได้แล้วแต่กรณี นี้เรียกว่า ธรรมะคุ้มครองคนไม่ให้เป็นบาป คนที่จะต้องพิพากษา เป็นตุลาการพิพากษาประหารชีวิตคนอื่นก็ไม่ต้องเป็นบาป คนที่จะเป็นเพชฌฆาต ฆ่าคน ให้ตายไปอย่างถูกต้องตามความเป็นธรรมก็ไม่ต้องเป็นบาป แต่เดี๋ยวนี้เขามักเอาคนขี้เมามาเป็นคนสำหรับประหารชีวิตคน อย่างนี้มันก็ต้องเป็นบาป เพราะว่าเขาไม่มีความรู้ในทางของธรรมะ ธรรมะไม่อาจจะคุ้มครองจิตใจของเขาได้ เขาก็ต้องเป็นบาป นี้แหละจงดูเถิดว่าการกระทำอย่างเดียวกันดูข้างนอกก็เหมือน ๆ กัน แต่ทางข้างในนั้นแตกต่างกันมาก คนหนึ่งมีธรรมะ คนหนึ่งไม่มีธรรมะ คนใดมีธรรมะ ธรรมะก็ย่อมคุ้มครองเขาไม่ให้มีบาป จึงเป็นผู้หมดจดจากบาป เพราะมีคุณพระช่วย มีธรรมะช่วย อยู่ตลอดเวลาด้วยเหตุนี้ รวมความแล้วก็อาจจะกล่าวได้ว่า คุณพระนั้นสามารถจะช่วยให้คนทุกคนอยู่เหนือบาป อยู่เหนือความทุกข์ เราจะต้องสนใจกันให้มากเป็นพิเศษ เพื่อจะได้อยู่เหนือบาป เหนือความทุกข์ พ้นบาป พ้นความทุกข์ได้จริง ๆ อย่าเอาเปรียบ อย่าโง่เขลา คือพูดได้แต่ว่า คุณพระช่วย คุณพระช่วย แล้วก็คิดว่าคุณพระช่วย มันเป็นอาการง่ายเกินไป เมื่อคุณพระไม่ช่วยก็พาลโทษเอาคุณพระนั้นว่าไม่ช่วย แล้วก็เกิดความลังเลขึ้นมา เลยเป็นคนที่ไม่แน่นอน ไม่มีคุณพระอย่างแท้จริง มีคุณพระแต่ปาก และเมื่อจวนตัว จำเป็น จนตรอกเข้าเท่านั้น ปากจึงจะพูดว่าคุณพระ ในใจนั้นนึกถึงแต่เรื่องอื่น เรื่องเงิน เรื่องของ เรื่องสิ่งต่าง ๆ ซึ่งตนต้องการ เอาคุณพระมาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อแสวงหาสิ่งเหล่านั้น เหมือนที่กล่าวแล้วข้างต้นว่าไม่ได้นับถือคุณพระอย่างแท้จริง กลับจะเหยียดหยาม เหยียบย่ำคุณพระให้เป็นเครื่องมือสำหรับทำตามใจกิเลสของตัวเสียมากกว่า อย่างนี้มันใช้ไม่ได้ มันเป็นคุณพระไม่ได้ คนนั้นก็ไม่อาจจะมีคุณพระสำหรับช่วยตัวได้
ทีนี้ลองพิจารณากันดูบ้างถึงวิธีที่จะทำให้มีคุณพระเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ถ้าตอบอย่างกำปั้นทุบดินก็ตอบได้ง่าย ๆ ว่า จงปฏิบัติพระธรรมตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือของศาสนา ของทุก ๆศาสนา เว้นจากการทำชั่ว ทำแต่ความดี ทำจิตให้บริสุทธิ์ ที่ยกขึ้นเป็นอุเทศของพระธรรมทั้งปวง ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงแล้วในวันมาฆบูชาเช่นวันนี้ อย่างนี้ไม่มีผิด เป็นการกระทำที่ใช้ได้ในทุกกรณี แต่แล้วทำไมคนจึงไม่ปฏิบัติตามนั้นเล่า ทั้งที่รู้อยู่ว่าจะต้องปฏิบัติอย่างนั้น นี้ก็เพราะว่าเขาเหล่านั้นบังคับตัวไม่ได้ มีความเห็นแก่ตัวมากเกินไปอย่างที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า ความเห็นแก่ตัวนั้นเป็นเหตุให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง ไม่ว่าศาสนาไหนล้วนแต่สอนให้กำจัดความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเราต้องประพฤติปฏิบัติในเรื่องความไม่เห็นแก่ตัว คุณพระจึงจะเกิดขึ้นมา ถ้าเราอยากจะมีตัว เราก็จงมีตัวของพระอย่ามีตัวของเรา นี่ลองไปคิดดูว่า ถ้าจะมีตัวก็อย่ามีตัวของตัว แต่มีตัวของพระ คนที่มีตัวของตัวนั้นคือเอากิเลสเป็นตัว เอาความต้องการของตนเป็นตัว ก็เป็นตัวของกิเลสไปหมด ถ้าเอาพระเป็นตัวก็คือเอาความถูกต้องนั่นแหละเป็นตัว คือเอาพระธรรมนั่นแหละเป็นตัว เพราะว่าพระธรรมนั้นคือความถูกต้อง เราศึกษาให้รู้ว่าความถูกต้องเป็นอย่างไร พระธรรมเป็นอย่างไร แล้วยึดหลักนั้นอย่างมั่นคง แม้จะต้องเสียชีวิตก็ยอม อย่างนี้เรียกว่าเป็นผู้มีธรรมะเป็นตัว เอาธรรมะเป็นตัว หรือเรียกว่าเอาพระนั่นแหละเป็นตัว อย่าเอาเราเป็นตัว อย่าทำตามกิเลสของเรา ยึดมั่นแต่ในหลักของพระธรรม แล้วก็เรียกว่าเอาพระเป็นตัวได้ นี้ก็หมดความเห็นแก่ตัวชนิดที่เป็นของกิเลส มีตัวเป็นพระเสียแล้ว มันก็ปฏิบัติได้ถูกต้องไม่มีความเห็นแก่ตัวที่เป็นกิเลส ทีนี้ถัดไปก็คือ อย่ามีอะไรเป็นของตัวแต่มีอะไรเป็นของพระ เราจะมีชีวิต หรือมีทรัพย์สมบัติ มีเงินทองข้าวของอะไรก็ตาม อย่ามีเป็นของตัวแต่ให้มีเป็นของพระ คือของพระธรรม คือของธรรมชาติ สิ่งต่าง ๆ เป็นธรรมชาติ เป็นไปตามกฎธรรมชาติ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเป็นต้น ก็เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นมันเป็นของธรรมชาติ ไม่ใช่เป็นของเรา เราอย่าเป็นคนขี้ฉ้อ เป็นคนปล้นซึ่งหน้าเอาของธรรมชาติมาเป็นของตัว เมื่อเป็นอย่างนี้ก็เรียกว่าเราไม่มีอะไรเป็นของตัว แต่มีเป็นของพระไปหมด คือของพระธรรม หรือธรรมชาตินั้น ๆ โดยสรุปก็คือ ไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดว่าเป็นเราหรือเป็นของ ๆ เราดังนี้ นี้เรียกว่าอย่ามีอะไรเป็นของตัว มีอะไรก็ให้เป็นของพระ ทีนี้ดูต่อไป เราก็อย่าทำอะไร ทำอะไรเพื่อตัวแต่จงทำเพื่อพระ นี้ออกจะฟังยากเพราะว่าทุกคน ๆ ย่อมทำอะไรเพื่อตัวอยู่ด้วยกันทั้งนั้น เช่นทำมาหากิน หาเงินหาของนี้ก็ทำเพื่อตัวอยู่ด้วยกันทั้งนั้น แต่แล้วทำไมมาสอนว่าให้ทำเพื่อพระ คำตอบก็เหมือนกับข้อที่สองที่แล้วมา ด้วยทุกอย่างเป็นของธรรมชาติเอามาเป็นของตัวไม่ได้ ขืนเอามาของตัว เอามาเป็นของตัวก็เป็นคนขี้โกง เป็นคนขโมยซึ่งหน้า ปล้นมาซึ่งหน้าเอามาเป็นของตัว ฉะนั้นเราจะทำอะไรก็จงทำด้วยความสำนึกในหน้าที่ ที่ว่า ธรรมะคือหน้าที่ ๆ มนุษย์จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ถ้าเราปฏิบัติเสียให้ถูกต้องตามธรรมะ ตามหน้าที่ก็เรียกว่าเราทำทุกอย่างเพื่อธรรมะ ไม่ใช่เพื่อตัว แม้แต่เราจะทำการงานประจำวันเหล่านี้ก็ต้องทำเพื่อธรรมะ จะทำเอาเองหรือจะทำให้ผู้อื่นนั้นมันเป็นคำสมมติเรียก แต่โดยที่แท้แล้วมันเป็นการทำให้แก่พระธรรม หรือธรรมะ เหมือนคนที่ทำงานอยู่ในวัด เพื่อใช้เอง กินเอง ก็ต้องมองให้เห็นว่าเพื่อประโยชน์แก่ธรรมะ หรือเพื่อแก่พระศาสนา ไม่ใช่เพื่อเรา การที่เราต้องทำ ต้องกิน ต้องใช้นั้น มันเป็นหน้าที่ มันเป็นความจำเป็นที่จะต้องทำ แต่ความมุ่งหมายอันแท้จริงนั้นมันเพื่อส่วนรวม เพื่อศาสนา เพื่อธรรมะ เพื่อธรรมชาติในที่สุด
ทีนี้เราจะต้องดูให้ละเอียดลงไปว่าแม้จะกินอะไรก็อย่ากินตามที่กิเลสต้องการจะกิน แต่จงกินตามที่พระแนะนำสั่งสอน อย่างภิกษุจะฉันอาหารก็พิจารณา ยถาปัจจะยัง เป็นต้น ว่าการกินนี้เพียงเพื่อตั้งอยู่แห่งกายนี้ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลทั้งผู้กินและสิ่งที่ถูกกิน นี้พระท่านสอนให้กินอย่างนี้ ถ้าเรากินอย่างนี้ก็เรียกว่า กินอย่างที่พระแนะนำ ถ้ากินตะกละตะกลามด้วยความเอร็ดอร่อยอย่างนี้เรียกว่า กินตามที่กิเลสมันต้องการจะกิน ถ้าเรากินอะไรอย่างที่กิเลสต้องการจะกินก็ไม่มีคุณพระเจืออยู่ในนั้น มีแต่กิเลสทั้งนั้น แต่ถ้าเรากินอะไรตามที่พระแนะนำให้กิน ก็มีคุณพระอยู่ในนั้นเพราะว่าเราทำตามคำสั่งของพระ พิจารณาอยู่อย่างที่พระแนะนำ กินอาหารนั้นจึงเป็นการกินตามที่พระแนะนำ ก็มีคุณพระอยู่ในสิ่งที่กิน หรือกล่าวอย่างหนึ่งก็ว่า อย่ากินอะไรที่เป็นของตัว แต่กินของพระ นี้ก็ยิ่งฟังยาก เพราะอะไร ๆ ที่เรากินเข้าไปนั้นอย่าได้คิดว่าเรากินอะไรที่เป็นของตัว แต่กินสิ่งที่เป็นของพระ สิ่งที่เป็นของพระนี้หมายถึงของธรรมชาติก็ได้ หรือของพระศาสนาก็ได้ อย่างภิกษุสามเณรทุกองค์อย่ากล้าอวดดีว่ากินอะไรของตัว แม้ว่าตัวจะไปบิณฑบาตเอามาฉันเองกินเองก็อย่าได้โง่ถึงกับคิดว่านี้กินของตัวเพราะเราไปหาเอามา จะต้องรู้อยู่เสมอว่าที่ไปบิณฑบาตได้มานั้นก็เพราะคุณของพระ คุณของพระพุทธเจ้า ของพระธรรม ของพระสงฆ์ เขาจึงใส่บาตรให้มาและได้กิน อย่างนี้เรียกว่ามันกินของพระ ไม่ใช่กินของตัวเพราะตัวไปหามา คนโง่และคนอวดดีเท่านั้นที่จะคิดว่ามีตัวกู มีของกู กินของกู หรือกูกินเพราะกูทำเขาจึงให้กินอย่างนี้มันไม่ถูก มันต้องคิดไปในทางที่ว่า ถึงแม้เราจะทำ เราก็ต้องประพฤติ ให้ถูกตรงตามคำของพระหรือตามพระธรรม แล้วพระหรือพระธรรมนั่นต่างหากเป็นสิ่งที่บันดาลให้ได้กินหรือให้มีมาจนได้กิน เราจึงแน่ใจและบริสุทธิ์ใจว่า ทุกอย่างที่กินเข้าไปนี้ไม่ใช่กินของ ๆ ตัว แต่กินของ ๆ พระ คือพระธรรม คือความจริง ความถูกต้อง ความยุติธรรม หรือพูดอีกอย่างหนึ่งที่กว้างขวางที่สุดก็คือว่า ธรรมชาติ เพราะว่าตัวผู้กินเองก็เป็นธรรมชาติอยู่แล้ว สิ่งของที่เอามากินก็เป็นธรรมชาติอยู่ด้วย จึงเรียกว่าไม่มีตัวของตัว หรือของความโง่ ความหลงอันใด ที่จะเป็นผู้กินของ ๆ ตัว ให้มองเห็นชัดโดยความเป็นของว่างปราศจากตัวอยู่เสมอ ทั้งผู้กินและทั้งสิ่งที่ถูกกินดังนี้ นี่แหละเรียกว่าไม่กินอะไรที่เป็นของตัว แต่กินสิ่งที่เป็นของ ๆ พระ เรามีการสรุปความข้อนี้ไว้ว่า ทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง คือเมื่อทำงานก็ทำด้วยจิตที่ไม่มีความรู้สึกว่าตัว ยกผลงานให้ความว่างทุกอย่างสิ้น ทำงานได้ผลอะไรมาก็ยกผลอันนั้นให้เป็นของความว่าง หรือของธรรมชาติ กินอาหารของความว่างอย่างพระกิน นี้ก็ดังที่อธิบายแล้ว ว่าอย่าได้ไปโง่ ไปหลงว่ามีตัวกู มีของกูเป็นผู้ทำผู้หา กูกินของกู อย่างนี้เป็นต้น เมื่อได้กินของอร่อยก็ต้องนึกว่า ขอบใจธรรมชาติ ขอบใจธรรมะ อย่าคิดว่าได้มาด้วยเงินของกู นั้นจะเป็นการสร้างความโง่ให้มากขึ้นในเรื่องตัวกู ของกู แล้วจะมีความทุกข์จนเป็นโรคเส้นประสาทเหมือนที่เห็น ๆ กันอยู่ ตายเสร็จสิ้นแล้วในตัวแต่หัวที นี้ หมายความว่า เราไม่มีตัวกูของกู อยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงอวสาน แต่ว่าตลอดเวลาที่เรายังโง่อยู่ เราก็เผลอไปเอง ว่าเอาเอง เดาเอาเองว่ามีตัวกูมีของกู แต่พอเรามีความรู้ มีความฉลาดขึ้นมา เราก็รู้ได้ว่าตลอดเวลานี้ไม่ได้มีตัวกู ไม่ได้มีของกู มีแต่ธรรมะที่เป็นไปตามธรรมชาติ ธรรมชาติล้วน ๆ ได้เป็นไป ได้เปลี่ยนแปลงไป ธรรมชาติเหล่านั้นไม่เป็นตัวกู ของกู หรือของใครได้ เป็นของธรรมชาติและเราเรียกกันว่า เป็นธรรม รูปธรรม นามธรรมที่เป็นไปตามธรรมชาติ นี้เป็นการสรุปความเข้าด้วยกันทั้งหมดว่า อย่ามีตัวหรือมีของ ๆ ตัว จึงจะมีพระ เมื่อใดมีตัวกูของกูยกหูชูหาง เหมือนที่เห็น ๆ กันอยู่เหล่านี้แล้วมันไม่มีพระเลย ไม่มีพระแล้วจะเอาคุณพระมาแต่ไหน ไม่มีพระแล้วมันก็มีแต่อบาย เป็นสัตว์นรกหมกไหม้ คือตกนรกทั้งเป็น เป็นโรคเส้นประสาทบ้าง เป็นโรคจิตบ้าง กระทั่งตายไปในที่สุด แต่ถ้ามีพระหรือมีคุณพระแล้วมันไม่มีอาการที่เป็นอย่างนี้ มีแต่ความสะอาด สว่าง สงบ ในจิต ในใจออกมาถึงภายนอกกาย มีความสุขสบาย ไม่มีความทุกข์ทนแต่ประการใดเลย วิธีที่จะทำให้มีคุณพระนี้ก็สรุปได้สั้น ๆ ง่าย ๆ ว่าอย่ามีตัวของตัว แต่มีตัวของพระ อย่าให้เกิดเป็นตัวกูของกูขึ้นมา ก็จะมีพระอยู่เรื่อย เกี่ยวกับข้อนี้ได้บอกกล่าวกันมาหลายครั้งหลายหนแล้วว่า ระวังจิตอย่าให้เกิดตัวกูของกูขึ้นมามันก็จะสงบเป็นพระอยู่เรื่อย ความปรุงแต่งที่โกลาหลวุ่นวายเป็นกิเลสตัณหานี้เพิ่งมีเป็นคราว ๆ เมื่อเผลอ เผลอเมื่อใดก็มีตัวกูของกูขึ้นมาในรูปของความโลภบ้าง ความโกรธบ้าง ความหลงบ้างแล้วแต่กรณี มีตัวกูอย่างนี้ขึ้นมาแล้วก็ไม่มีพระ พระก็หายไป เมื่อใดตัวกูของกูนี้ หยุดลงไป ดับลงไปด้วยหมดเหตุหมดปัจจัย ความสงบซึ่งเป็นลักษณะของพระหรือตัวพระก็ออกมาให้เห็นอีก จิตใจก็มีความสงบเย็นต่อไปอีก จนกว่าเมื่อใดจะเผลอ เกิดตัวกูของกู ยกหูชูหางขึ้นมาอีกพระก็หนีไปหายไป นรกหรืออบายก็เกิดขึ้นแทน เป็นสัตว์ที่มีตัวกู ของกู ยกหูชูหาง ดังที่เห็นกันอยู่วันละหลาย ๆ ครั้ง หลาย ๆ หน คนบางคนมีกิเลสข้อนี้เก่ง ก็เกิดกิเลสข้อนี้ได้วันละหลายครั้งหลายหนหลายสิบครั้งหลายสิบหน ใครมีน้อยเบาบางก็ไม่ค่อยจะเกิด หรือเกิดแต่น้อยครั้ง น้อยหน ใครไม่เกิดถึงขนาดที่จะเป็นทุกข์เป็นร้อนก็นับว่าดีอยู่มากทีเดียว ถ้าไม่เกิดถึงที่สุดก็เรียกว่าบรรลุนิพพานหรือเป็นพระอรหันต์ มีความสงบเย็นเด็ดขาดลงไป ถ้าเกิดบ้างเล็กน้อยไม่มีความทุกข์มากตามธรรมดาสามัญก็ยังเป็นพระอริยเจ้าในขั้นต้น ๆ ต่ำ ๆ ถ้าไม่ถึงนั้นก็เป็นปุถุชนชั้นดี แต่ถ้าเกิดมากเป็นธรรมดาก็คือปุถุชนตามธรรมดา ซึ่งเราเรียกกันว่าคนหนาไปด้วยไฝฝ้าในดวงตา มีกิเลสเกิดขึ้นอย่างรุนแรงวันหนึ่งหลายครั้งหลายหนจนมองดูแล้วไม่เห็นความเป็นมนุษย์ที่น่ายกย่องบูชาที่ตรงไหนเลย แม้ทำดีก็ทำเพื่อกิเลสไม่ได้ทำเพื่อธรรมะ ข้อนี้สำคัญมากขอให้ทุกคนสนใจให้มาก เพราะทำอย่างคนนั้นถึงทำจนตายมันก็ไม่ได้บุญ ฟังดูให้ดีว่าทำความดีจนตายมันก็ไม่ได้ดี ทำดีจนตายมันก็ไม่ได้บุญ ทำประโยชน์ผู้อื่นจนตายมันก็ไม่ได้บุญ เพราะมันทำเพื่อกิเลสตัณหาของตัว มันทำประชดกิเลสตัณหาของคนอื่นก็มี คนที่จะมีบุญแท้จริงต้องทำไปด้วยความเสียสละโดยแท้จริง รับใช้ผู้อื่นด้วยจิตใจบริสุทธิ์ จึงจะเป็นการรับใช้พระพุทธเจ้า คน ๆ นั้นรับใช้กิเลสตัณหาของตัว รับใช้ผู้อื่นจริงแต่ว่ารับใช้ด้วยการประชดประชันกิเลสตัณหาของตัว อย่างนี้เรียกว่าเป็นการรับใช้กิเลสตัณหา ทำความดีจนตายก็ไม่ได้ดี ช่วยเหลือผู้อื่นจนตายก็ไม่ได้บุญ ขอให้ระวังให้มาก เพราะว่าจิตใจชนิดนี้ไม่มีคุณพระเหลืออยู่เลย ทั้งที่ปากก็พูดถึงคุณพระ ร้องตะโกนถึงคุณพระและเที่ยวคุยโวไปว่าทำความดีมาก เสียสละมาก ช่วยเหลือผู้อื่นมาก แต่ทำไปภายใต้อำนาจของกิเลสตัณหา รับใช้กิเลสตัณหาไม่ได้รับใช้พระพุทธเจ้าเลย รวมความแล้วก็อยู่ตรงที่ ขาดคุณพระ ไม่มีคุณพระอยู่ในตน หวังว่าทุกคนจะได้นึกถึงข้อนี้ให้มากในวันพิเศษเช่นวันนี้เพราะเป็นวันของพระ วันมาฆบูชานี้มีความสำคัญตรงที่จัดไว้เป็นวันที่ระลึกของพระอรหันต์ทั้งหลาย พันสองร้อยห้าสิบรูปประชุมกันโดยไม่ต้องนัดหมายในเวลาเที่ยงวันเช่นวันนี้ แล้วพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ซึ่งมีใจความสำคัญอยู่ตรงที่ ให้ทำจิตให้บริสุทธิ์ ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวกูของกูนั่นเอง เมื่อละความยึดมั่นถือมั่นนี้เสียได้ก็มีคุณพระอยู่กับตัว ละได้เท่าไหร่ เมื่อไร เวลาไรก็มีคุณพระอยู่กับตัวเท่านั้น เมื่อนั้น และเวลานั้น วันนี้เป็นวันที่เราจะทำพิธี (นาทีที่ 1.08.16) อาสาฬหบูชากันอีกแล้ว จึงขอวิงวอนตักเตือนท่านทั้งหลายว่าจงได้เตรียมตัวให้พร้อม จะได้เตรียมกายวาจาใจให้พร้อมที่จะทำมาฆบูชาต่อไปในเย็นวันนี้ ให้เป็นการได้ที่ดีให้เป็นการกระทำที่ดีที่สุด สุดความสามารถของตน ของตน ด้วยกันจงทุกคนเถิด ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลาเอวังก็มีด้วยประการฉะนี้