แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้ จะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธา ความเชื่อ วิริยะ ความพากเพียร ของท่านทั้งหลาย ผู้เป็นพุทธบริษัทให้เจริญงอกงามยิ่ง ๆ ขึ้นไป ในธรรมวินัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าอันเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลาย กว่าจะยุติลงด้วยเวลา
ธรรมเทศนานี้เป็นปุพพาปรลำดับสืบต่อธรรมเทศนาเมื่อตอนบ่าย อันได้กล่าวถึงดวงตาเห็นธรรม ดวงตาเห็นธรรมมีความสำคัญอยู่ที่ว่า เป็นการเห็นสิ่งทั้งหลายเหล่าใดที่มีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ย่อมจะมีความดับเป็นธรรมดาดังนี้ สรุปความแล้วก็คือว่า ถ้าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นก็จะเห็นโลกนี้ว่าไม่มีอะไร นอกไปกว่าการเกิด ๆ ดับ ๆ โลกนี้มีแต่การเกิดดับ ๆ อยู่ทุกขณะโดยทั่วไป ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ไม่เป็นการเกิดดับ
ลองคิดดูให้ดีว่า ใครบ้างที่มองเห็นโลกนี้ในลักษณะเป็นของเกิดดับ ๆ ๆ ชั่วขณะอยู่เสมอไป คนโดยมากหรือตัวผู้มองทั้งหลายเหล่านั้น ล้วนแต่มองเห็นโลกนี้เป็นของเที่ยงแท้ถาวร อยากจะมีนั่นมีนี่เป็นของตัว แล้วก็ยึดมั่นถือมั่นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ด้วยความยึดมั่นต่าง ๆ นานา ไม่มองเห็นว่าโลกนี้ไม่มีอะไรอื่นนอกจากการเกิดดับ ๆ
สมมติว่าเราไปที่ทะเลที่มีคลื่นจัด เราก็จะเห็นว่าทะเลนั้นไม่มีอะไรนอกจากการเกิดดับ ๆ ของลูกคลื่น ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นเลย เราก็รู้สึกว่าทะเลนี้ไม่มีอะไรนอกจากการเกิดดับ ๆ
แต่สำหรับโลกทั้งโลกนั้น เราไม่ได้มีความรู้สึกอย่างนั้น เพราะไม่มีดวงตาเห็นธรรม ถ้ามีดวงตาเห็นธรรม มองไปที่อะไรก็จะเห็นเป็นเพียงการเกิดดับ ๆ จะเป็นวัตถุแท้ ๆ ก็มีการเกิดดับ แต่เราดูเป็นของหยุดนิ่ง เป็นของไม่เกิดไม่ดับ เพราะไม่ได้มองให้ลึกซึ้งว่ามันมีการเกิดและมีการดับ มีความรู้สึกแต่ชั่วขณะที่มอง จึงไม่เห็นการเกิดการดับ
ถ้าศึกษาจนรู้จนเข้าใจว่าสิ่งเหล่านั้น เมื่อก่อนนี้มันก็ไม่มี แล้วมันก็มีมา แล้วมันก็ค่อยเปลี่ยนไป แล้วมันก็ดับลง เหมือนอย่างว่าโลกนี้ทั้งโลก ก่อนนี้ก็ไม่เคยมี
ที่พูดว่าโลกนี้ไม่เคยมีนั้นดูจะไม่มีใครค้าน พวกที่เชื่อพระคัมภีร์ พระคัมภีร์ก็ได้เขียนไว้ว่าก่อนนี้โลกนี้ก็มิได้มี เพิ่งจะมีขึ้นมา พวกที่มีการศึกษา อย่างการศึกษาใหม่ ๆ ปัจจุบันนี้เป็นพวกวิทยาศาสตร์ เขาเชื่อว่าโลกนี้ก่อนนี้ก็ไม่เคยมี แล้วมันก็เพิ่งมี
ในพระคัมภีร์ก็กล่าวถึงว่า โลกนี้ไม่เท่าไหร่ก็จะต้องแตกดับ ถึงพวกนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ก็มีความเชื่อว่าสักวันหนึ่งโลกนี้ก็จะต้องแตกดับ แต่อาศัยการที่ไม่อยากจะคิดไปให้มากถึงข้อที่มันจะดับ ป่วยการเปล่าถึงที่เขาจะคิดว่ามันจะเกิดดับ ๆ ๆ ตั้งหลายสิบครั้งหลายร้อยครั้ง แม้แต่จะคิดว่ามันจะดับสักครั้งเดียวครั้งนี้ก็ไม่อยากจะคิดกันแล้ว เพราะว่าจิตใจไม่ต้องการจะคิดอย่างนั้นไม่ต้องการจะเห็นอย่างนั้น คือไม่ต้องการจะเห็นการเกิดดับนั่นเอง
เพราะฉะนั้นจึงไม่มีโอกาสที่จะมีดวงตาเห็นธรรม เพราะว่าดวงตาเห็นธรรมนั้นหมายถึงเห็นข้อที่สังขารทั้งหลายเกิดขึ้นแล้วก็มีการดับไปเป็นธรรมดาอยู่เสมอเนืองนิตย์ โดยบทว่า ยังกิญจิ สมุทยธัมมัง สัพพันตัง นิโรธธัมมัง ดังที่กล่าวแล้ว
ทีนี้น่าจะมองกันถึงคาถาอีกคาถาหนึ่งที่ว่า เย ธัมมา เหตุปปภวา สิ่งใดมีเหตุเป็นแดนเกิด เตสัง เหตุง ตถาคโต พระตถาคตทรงแสดงเหตุแห่งธรรมนั้น เตสัญจะ โย นิโรโธ จะ และทรงแสดงความดับแห่งธรรมเหล่านั้นด้วย เพราะการดับไปแห่งเหตุ เอวัง วาที มหาสมโณ พระมหาสมณะผู้เป็นครูของเราพูดแต่อย่างนี้ ไม่มีพูดอย่างอื่น
ลองคิดดูเถิดว่าสิ่งใดมีเหตุเป็นแดนเกิด สิ่งนั้นก็มีความดับก็ดับไปแห่งเหตุ พระพุทธเจ้าทรงแสดงการที่สิ่งนั้นเกิดมาแต่เหตุ และการที่สิ่งนั้นจะต้องดับไปก็ดับแห่งเหตุ ทั้งหมดนี้ก็เป็นการแสดงอย่างเดียวกันให้เห็นว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นอย่างไร
เมื่อเรามองเห็นว่าโลกนี้มันมีการเกิด แล้วทำไมจะไม่เห็นว่ามันมีการดับ ทำไมจะต้องเศร้าใจ ในเมื่อโลกนี้จะต้องดับไป ถ้ามีความหวั่นกลัวในเรื่องการเกิดและการดับอย่างนี้แล้ว มันหวั่นกลัวไปในทางที่ไม่อยากจะให้เกิดไม่อยากจะให้ดับ เพราะฉะนั้นความอยากอันนั้นเอง จึงเป็นเครื่องปิดบังเสียซึ่งดวงตาที่จะเห็นธรรม จึงไม่มีดวงตาที่จะเห็นธรรมได้เพราะเหตุนี้
นี่แหละคือปัญหาเฉพาะหน้าหรือเหตุการณ์ในปัจจุบัน ซึ่งกำลังเป็นอยู่ในหมู่มนุษย์ในโลก แม้กระทั่งที่เป็นพุทธบริษัท ที่เป็นพุทธบริษัทกันแต่ปาก เป็นพุทธบริษัทแต่ปากในที่นี้หมายความว่าเป็นตามธรรมเนียมตามประเพณี พ่อแม่เป็นพุทธบริษัท ลูกก็เป็นพุทธบริษัท หลานก็เป็นพุทธบริษัท เหลนก็เป็นพุทธบริษัท อย่างนี้เรื่อย ๆ ไป เรียกว่าเป็นการเป็นพุทธบริษัทแต่ตามธรรมเนียมประเพณี นี้ก็ไม่ได้เปรียบผู้อื่นนัก คงไม่เห็นคงไม่มีดวงตาเห็นธรรมด้วยกัน
นี้ก็เพราะเหตุว่า ความเป็นพุทธบริษัทนั้นตกต่ำเสื่อมทรามลงไป วัฒนธรรมของพุทธบริษัท เนื่องกันอยู่กับพุทธศาสนา ก็พากันตกต่ำลงไป ถ้าว่าพุทธบริษัทยังเป็นพุทธบริษัทอยู่อย่างถูกต้อง ก็จะต้องมีวัฒนธรรมชนิดที่ช่วยให้คนในบ้านในเรือนมีดวงตาเห็นธรรมได้โดยง่าย ข้อนี้หมายความว่า ถ้าเป็นพุทธบริษัทที่รู้ธรรมะก็เอาธรรมะมาพูด จนเป็นของกลางบ้านหรือประจำบ้านประจำเรือนไป กลายเป็นวัฒนธรรมประจำบ้านไปในที่สุด
เราอยากจะนึกกันถึงบรรพบุรุษของเราให้มากในข้อนี้ ว่าบรรพบุรุษหลายชั่วคนหรือหลายสิบชั่วคนมาแล้วท่านเป็นกันอย่างไร เป็นพุทธบริษัทกันอย่างไร คงจะไม่เป็นพุทธบริษัทกันแต่ปากเหมือนพวกเรา จะรู้ได้แม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เป็นวัฒนธรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ในบ้านในเรือน เช่น บทกล่อมลูกให้นอน มีบทกล่อมลูกมากมายหลายบทแสดงธรรมในพระพุทธศาสนาโดยทั่ว ๆ ไป และมีบางบทแสดงธรรมะใน ๆ ขั้นที่กล่าวถึงนิพพาน เช่น บทเรื่องมะพร้าวนาฬิเก เป็นต้น
นี่แหละขอให้ดูเถิด ให้สังเกตดูเถิดว่าวัฒนธรรมของชาวพุทธนี่มันรุ่งเรืองขึ้นหรือว่ามันตกต่ำลง ถ้าหากว่าคนสมัยนั้นมีความรู้น้อยก็คงจะไม่ประพันธ์ไอ้บทกล่อมลูกชนิดนี้ขึ้นมาได้ ต้องเป็นคนมีความรู้ธรรมะพอสมควรทีเดียว จึงประพันธ์บทกล่อมลูกชนิดนี้ขึ้นมาได้
และเมื่อดูทั่ว ๆ ไป กว้างออกไปอีก ก็จะเห็นว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่แสดงถึงความมั่นคงของพุทธบริษัทอยู่ในสายเลือดสายเนื้อว่าเป็นพุทธบริษัทจริง ๆ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเหตุการณ์อันร้ายกาจเกิดขึ้นแก่ชีวิตจิตใจของเรา พุทธบริษัทปู่ย่าตายายของเราท่านพลั้งปากออกอุทานมาว่า กรรม หรือว่า กรรมของเรา หรือว่า กรรมของเขา พวกอื่นอาจจะพลั้งอุทานออกมาว่า God หรือ พระเจ้า แต่พุทธบริษัทเราพลั้งปากว่า กรรม กรรมของเรา หรือ กรรมของเขา นี่แหละคือความเป็นพุทธบริษัทแท้
เมื่อวัฒนธรรมของชาวพุทธตกต่ำแล้ว ลูกหลานโง่ ๆ ก็พลั้งปากออกไปว่าผีสางเทวดาไม่ช่วย เคราะห์ร้าย ฤกษ์ไม่ดี เหล่านี้เป็นต้น ขอให้สังเกตดูว่าเมื่อมีอะไรเกิดขึ้น คนสมัยนี้พูดว่า ฤกษ์ไม่ดี โชคไม่ดี เทวดาไม่ช่วย แต่ปู่ย่าตายายของเราพูดว่า กรรม คือการกระทำของเราเอง สิ่งนี้มันจึงเกิดขึ้น เมื่อเห็นใครนอนตายอยู่ ก็พูดว่า กรรม คือกรรมของเขา มันมาถึงเข้า ไม่ได้มองไปในแง่อื่น ไม่ได้เข้าใจไปในแง่อื่น ไม่ได้โทษผีสางเทวดา
นี้ก็เป็นการแสดงว่า ความรู้สึก หรือแม้แต่ความรู้ในทางจิตใจได้ตกต่ำลงอย่างไร ถ้าจะดูกันอีกอย่างหนึ่งว่าปู่ย่าตายายของเรา มีเหตุการณ์ที่ทำให้ตกใจเกิดขึ้น ก็จะพลั้งปากว่า พุทโธ หรือ พระอรหันต์ช่วย อะไรทำนองนี้ทั้งนั้น แต่ลูกหลานโง่ ๆ สมัยนี้ไม่เข้าใจ ก็เปลี่ยนคำพูดนั้นไปเป็นเสียอย่างอื่น เช่น เหลือแต่คำว่า โธ่ หารู้ไม่ว่า คำว่า พุทธ คำว่า โธ่ นั้นมาจากคำว่า พุทโธ หนักเข้าหนักเข้าก็เปลี่ยนไปจนไม่รู้ว่าอะไร จนกลายมีคำว่า พิโธ่พิถัง อนิจ อะไรก็ไม่รู้ขึ้นมา
ซึ่งคำนี้ของเดิมต้องเป็น พุทโธ พุทธัง ทุกขัง อนัตตา หรืออะไรทำนองนี้ คนที่ตกใจพลั้งปากออกมาว่า พุทโธ หรือ พุทธัง หรือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เดี๋ยวนี้กลายเป็นจำอวดไปว่า พิโธ่พิถังอนิจจังอนัตตา อะไรก็ว่า ไม่มีความหมายเป็นธรรมะเหมือนในสมัยของบรรพบุรุษของเราเลย
นี่แหละจงดูความตกต่ำแม้ในทางวัฒนธรรมประจำชีวิต ของลูกหลาน ของพุทธบริษัทที่โง่ลง ๆ โง่ลงจนขนาดร้องว่า พิโธ่พิถัง แล้วก็ไม่รู้ว่าอะไร เมื่อเรามีความ ๆ รู้สึกกลัวหรือตกใจ ถ้าปากของเราร้องว่า พุทโธ หมายความว่าเรานึกถึงพระพุทธเจ้าก่อนสิ่งใดหมด คนพวกอื่นเขาก็นึกถึงสิ่งอื่น นึกถึงเทวดา นึกถึงพระเจ้า นึกถึงอะไรก็ตามใจเขา แต่พวกเรานึกถึงพุทโธอย่างนี้ อันไหนจะน่าดูกว่ากัน เรียกว่าฉลาดกว่ากัน มีเหตุผลกว่ากัน หรือว่าอันไหนมันเป็นความเป็นพุทธบริษัทมากน้อยกว่ากันอย่างไร ก็ขอให้ลองคิดดูเถิด
นี่แหละมันเป็นต้นตออันหนึ่งด้วยเหมือนกันที่ทำให้คนสมัยนี้ไม่มีดวงตาเห็นธรรม ถ้าคนสมัยก่อนมีความรู้ความเข้าใจเรื่องนิพพานดี จนเอามาเป็นบทกล่อมลูก และมีความรู้ความเข้าใจเรื่องกรรมดี จนมีอะไรก็พลั้งปากออกมาว่า กรรม และรู้จักพระพุทธเจ้าดี จนเมื่อตกใจขึ้นมาก็ระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าอย่างนี้แล้ว มันเรียกว่าพุทธศาสนาหรือว่าธรรมะ หรือธรรม หรือ ธมฺม ก็ตาม ได้ซึมซาบอยู่ในจิตใจของคนเหล่านั้น
เพราะฉะนั้น คนเหล่านั้นจึงยังมีดวงตาเห็นธรรม หรือไม่เท่าไหร่ก็จะมีดวงตาเห็นธรรม มันก็เป็นการหมดปัญหาในข้อที่จะดับทุกข์ เพราะว่าเขาเป็นผู้มีดวงตาเห็นธรรม เห็นอยู่ว่าสิ่งทั้งหลายมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาแล้วต้องมีความดับไปเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นจึงไม่ดีใจเมื่อได้และไม่เสียใจเมื่อเสีย
คนเหล่านี้ดีใจเมื่อได้ เสียใจเมื่อเสีย ดีใจเมื่อได้จนนอนไม่หลับ เสียใจเมื่อเสียก็นอนไม่หลับอีกเหมือนกัน เมื่อมีแต่ทั้งนอนไม่หลับทั้งได้ทั้งเสีย ไม่เท่าไรก็ต้องเป็นโรคเส้นประสาท และไม่เท่าไรก็ต้องเป็นโรคจิต และไม่เท่าไหร่ก็ต้องตาย นี่แหละคือความตกต่ำทางวัฒนธรรมของพุทธบริษัทเรา
จงได้พิจารณาดูกันให้ดี ๆ ให้เข้าใจข้อเท็จจริงอย่างนี้กันเสียก่อน แล้วจึงจะสามารถตอบปัญหาที่ว่าทำไมคนสมัยนี้จึงไม่ค่อยมีดวงตาเห็นธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในวันอาสาฬหบูชาเช่นนี้ ควรจะมีการรื้อฟื้นในเรื่องนี้ รื้อฟื้นเพื่อมีความดวงตาเห็นธรรมนั่นเอง หวังว่าท่านทั้งหลายจะได้เห็นเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องสำคัญ สนใจที่จะแก้ไขปรับปรุงให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป โดยอาศัยพระพุทธภาษิตที่เป็นหลักอยู่แล้ว ว่าเห็นธรรมนั้นคือเห็นว่าไม่มีอะไรนอกจากการเกิด ๆ ดับ ๆ แห่งสังขารทั้งปวง
ชีวิตสังขาร ชีวิตร่างกายนี้ ก็เป็นสักว่าสังขารทั้งปวง เงินทองข้าวของทรัพย์สมบัติ ก็เป็นสักว่าสังขาร ทั้งปวง เกียรติยศชื่อเสียง ความสุขความทุกข์ ก็ล้วนแต่เป็นสังขารทั้งปวง เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรนอกจากสังขารทั้งปวงที่เกิด ๆ ดับ ๆ อยู่ จิตใจอย่าไปผูกพันกับสิ่งเหล่านั้น ให้เป็นจิตใจที่เป็นอิสระ เป็นปกติ อยู่เหนือสิ่งเหล่านั้นอยู่เสมอไป
ถ้าไปมัวยินดียินร้ายก็หมายความว่าไปตกต่ำอยู่ภายใต้สิ่งเหล่านั้น ให้สิ่งเหล่านั้นมันบีบบังคับจนไม่มีความเป็นมนุษย์เหลืออยู่เลย ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใด สิ่งนั้นก็บีบบังคับผู้นั้น จนกลายเป็นทาสของสิ่งเหล่านั้นไปเสียแล้ว แล้วจะเป็นมนุษย์ได้อย่างไรกัน เพราะว่าคำว่ามนุษย์นั้นแปลว่าผู้มีใจสูง ต้องมีใจสูงอยู่เหนือสิ่งเหล่านั้นจึงจะเป็นมนุษย์ ถ้ามีจิตใจตกต่ำอยู่ภายใต้สิ่งเหล่านั้นแล้ว มันก็ไม่ใช่มนุษย์ แล้วสิ่งเหล่านั้นมันก็เหยียบย่ำบุคคลนั้นให้สูญเสียความเป็นมนุษย์ไปในที่สุด
แล้วไปเป็นอะไร ลองคิดดู มันก็เป็นนรก เดรัจฉาน เปรต อสุรกายนั่นเอง ในรูปร่างอย่างนี้ ที่เห็น ๆ กันอยู่นี่แหละ เป็นสัตว์นรก เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เมื่อไรก็ได้ วันหนึ่งกี่ครั้งกี่หนก็ได้
เมื่อใดมีความร้อนใจเหมือนไฟเผา เมื่อนั้นคนนั้นเป็นสัตว์นรก เมื่อใดมีความโง่อย่างไม่น่าโง่ เมื่อนั้นคนนั้นเป็นสัตว์เดรัจฉาน เมื่อใดคนนั้นหิวกระหายทางจิตทางวิญญาณ มีวิตกกังวลไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อนั้นคนนั้นเป็นเปรต และเมื่อใดมีความขี้ขลาดหวาดกลัวไปเสียหมด อย่างไม่ควรจะขลาด เมื่อนั้นคนนั้นแหละเป็นอสุรกาย
นี่แหละคิดดูเถอะว่าการตกต่ำอยู่ภายใต้สังขารเหล่านั้นมันทำให้เป็นอะไร มันทำให้สูญเสียความเป็นมนุษย์แล้วไปเป็นสัตว์นรก เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสุรกาย
ทั้งนี้ก็เพราะเหตุว่าคนเหล่านั้นไม่มีดวงตาเห็นธรรม ไม่มีดวงตาเห็นธรรมเสียเลย ไม่เห็นว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา มีการดับเป็นธรรมดา ไม่ต้องไปยินดียินร้ายกับสิ่งเหล่านั้น จะหามาหรือจะมีไว้ หรือจะกินจะใช้ก็ต้องไม่เป็นทาสของมัน อย่าไปเป็นทาสของมัน มันต้องเป็นทาสของเรา
เดี๋ยวนี้มีจิตใจยึดมั่นถือมั่นจนเป็นทาสของสิ่งเหล่านั้น บางคนก็เป็นทาสของสุรายาเมา บางคนก็เป็นทาสของการเล่นการพนัน บางคนก็เป็นทาสของการทำความชั่วอย่างอื่น เมื่อตกลงเป็นทาสของสิ่งเหล่านี้แล้วก็คือตกอบายนั่นเอง ดื่มน้ำเมา เล่นการพนัน ดูการเล่น ที่เรียกว่าอบายมุขเป็นต้นนั้น มันก็หมายถึงว่าเครื่องจับตัวส่งลงไปในอบาย ในที่สุดผลของมันก็กลายเป็นอบายขึ้นมา
ถ้าร้อนใจก็เป็นสัตว์เดรัจฉาน อ้ะ เป็นนรก ถ้าโง่ก็เป็นสัตว์เดรัจฉาน ถ้าหิวก็เป็นเปรต ถ้ากลัวก็เป็นอสุรกาย มัวแต่เป็นนรก เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สลับกันอยู่วันหนึ่ง ๆ ไม่รู้กี่ครั้งอย่างนี้ ไม่มีสิทธิหรือความชอบธรรมอันใดที่จะเรียกตัวเองว่ามนุษย์หรือเป็นพุทธบริษัท
ขอให้เรานึกถึงความจริงข้อนี้โดยไม่ต้องเข้าใครออกใคร ไม่ต้องเข้ากับตัวเราเอง ให้เห็นแก่ความจริงแล้ว ตัดสินพิพากษาวินิจฉัยลงไปให้มันจริงว่าเรากำลังเป็นอะไร เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอย่างไรแล้วก็พยายามหลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่ควรจะเป็น ให้เป็นแต่สิ่งที่ควรจะเป็น เช่น เป็นมนุษย์หรือเป็นพุทธบริษัทดังนี้ เป็นต้น
เป็นมนุษย์ก็มีจิตใจสูงอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ เป็นพุทธบริษัทก็มีความสว่างไสวรุ่งเรืองอยู่ เพราะมีธรรมะเหนือสิ่งใดหมด นี่แหละคือปัญหาเฉพาะหน้าที่เราจะต้องนึกสำหรับเราทุกคนที่เป็นพุทธบริษัท แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันอาสาฬหปุณณมีเช่นวันนี้จึงได้ชักชวนกันมาที่นี่เพื่อให้เกิดโอกาสอันเหมาะสมที่จะพูดเรื่องนี้ ที่จะฟังเรื่องนี้ ที่จะคิดเรื่องนี้ พินิจพิจารณาเรื่องนี้ ให้มีความเข้าใจเรื่องนี้ให้มากยิ่ง ๆ ขึ้นไป ในลักษณะที่จะมีดวงตาเห็นธรรมได้โดยง่าย
เราควรจะได้พิจารณากันต่อไปอีกถึงข้อที่ว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า สิ่งใดมีเหตุเป็นแดนเกิด สิ่งนั้นก็ดับไปเพราะการดับแห่งเหตุ เพราะมีคำพูดว่าสิ่งใดมีเหตุเป็นแดนเกิด สิ่งนั้นดับไปเพราะเหตุ เพราะดับเหตุ มันก็ต้องหมายความว่ามีบางสิ่งที่ไม่ได้เกิดจากเหตุ เมื่อไม่ได้เกิดจากเหตุก็คือไม่มีเหตุ เพราะฉะนั้นมันไม่ต้องดับ ไม่ต้องดับไปเพราะการดับแห่งเหตุ
นี่แหละคือสิ่งที่เราจะต้องรู้จะต้องเข้าใจ จะต้องมีดวงตาเห็นและเข้าถึงให้ได้ หลังจากที่ได้มองเห็นสิ่งที่มีเหตุเป็นแดนเกิด และดับไปเพราะเหตุ นั้นคือความทุกข์ และก็เห็นสิ่งที่ดับทุกข์ ก็คือสิ่งที่ไม่ต้องเป็นไปตามเหตุ ถ้าจิตใจเป็นไปตามเหตุ ก็เป็นจิตใจที่เป็นทุกข์ ถ้าเป็นจิตใจที่เข้าถึงธรรมะที่อยู่เหนือเหตุ จิตใจนั้นก็ไม่เป็นทุกข์ นั้นคือเข้าถึงนิพพาน
สิ่งที่เรียกว่านิพพานนั้นอยู่เหนือเหตุ ไม่มีเหตุ แต่เป็นธรรมชาติเป็นธรรมชาติอันสูงสุดอย่างหนึ่ง มีอยู่ในฐานะเป็นตรงเป็นของตรงกันข้ามจากสิ่งทั้งหลายที่มีเหตุ สิ่งทั้งหลายมีเหตุ นิพพานอย่างเดียวไม่มีเหตุ สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นเพราะเหตุ นิพพานอย่างเดียวไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเหตุ สิ่งทั้งหลายดับไป เพราะดับแห่งเหตุ แต่นิพพานก็มิได้ดับไปเพราะดับแห่งเหตุ เพราะว่าไม่มีเหตุ ดังนั้น จึงเป็นของอนันตกาล คือเป็นของถาวร ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เกิดดับ เป็นของนิรันดร ซึ่งในพุทธศาสนาเรียกว่า อมตะธรรม คือสิ่งที่ไม่รู้จักตาย
ถ้าเรามองเห็น สิ่งที่ ๆ ๆ ๆ ๆ รู้จักตาย ต้องหมายความว่าเรามองเห็นสิ่งที่ไม่รู้จักตายด้วย การเห็นแต่เรื่องรู้จักตาย หรือมีเหตุดับแห่งเหตุอย่างเดียวอย่างนี้ ยังไม่เรียกว่าเห็น ต้องเห็นสิ่งที่ตรงกันข้ามด้วย จึงจะเห็นทั้งสองสิ่งอย่างถูกต้อง ถ้าเห็นทุกข์ก็ต้องเห็นความดับทุกข์ด้วย จึงจะเรียกว่าเห็นทุกข์ เพราะเหตุที่เห็นแต่ความทุกข์มันก็ไม่เห็นไอ้ความดับทุกข์ ต้องเห็นความทุกข์ถึงขนาดลึกซึ้ง จนเห็นสิ่งที่ตรงกันข้ามคือความดับทุกข์ด้วย จึงจะได้ชื่อว่าเห็นทุกข์
เดี๋ยวนี้เราเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งแต่ในด้านเดียวเสมอไป ไม่เห็นทั้งสองด้าน จึงไม่เรียกว่ามีดวงตาเห็นธรรม แม้คำบาลีจะกล่าวแต่เพียงว่า สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับเป็นธรรมดา ก็มิได้หมายความว่าให้เห็นแต่สิ่งนั้น คือจะต้องเห็นสิ่งที่ตรงกันข้ามด้วย คือสิ่งที่มิได้มีการเกิดเป็นธรรมดา เลยไม่ได้มีการดับเป็นธรรมดาด้วย นั่นแหละคือการเห็นนิพพานหรือความดับทุกข์ ผู้ใดเห็นธรรมในลักษณะที่เรียกว่าเห็นสิ่งที่มีการเกิดดับเป็นธรรมดาแล้ว หมายความว่า เขาย่อมเห็นสิ่งที่มิได้มีการเกิดดับเป็นธรรมดาด้วยเสมอไป
ขอให้มีความเข้าใจอย่างนี้ ถ้าไปมัวเข้าใจแต่เพียงว่าเห็นว่ามันเกิดดับ ๆ อย่างเดียวแล้ว ก็เป็นการที่เห็นเพียงครึ่งเดียว การเห็นเพียงครึ่งเดียวชนิดนี้ไม่เรียกว่ามีดวงตาเห็นธรรม
คิดดูว่าเรา คนทั่ว ๆ ไป จะรู้จักความทุกข์ก็ต้องรู้จักความสุข จึงจะเรียกว่ารู้จักความทุกข์ เช่นเดียวกับถ้าเราไม่รู้จักความเย็นก็แปลว่าเรามิรู้จักความร้อน ถ้าเรารู้จักความร้อนจริง เราต้องรู้จักความเย็น เพราะว่าความเย็นนั่นแหละมาเป็นเครื่องวัดเครื่องแสดงให้เรารู้จักความร้อน แต่ปากเราก็พูดว่ารู้จักความร้อนก็พอแล้ว แต่ตามความจริงนั้นมันรู้จักทั้งความร้อนและความเย็น มันจึงเรียกว่ารู้ความร้อนรู้จักความร้อน หรือรู้จักความเย็นก็ตาม เรื่องความสุขและความทุกข์นี้ก็เหมือนกัน
หรืออย่างหนึ่งเหมือนกับความมั่งมีหรือความยากจน คนที่จะพูดว่ารู้จักความมั่งมีนั้น ถ้าไม่รู้จักความจนด้วยแล้วยังเป็นคนโง่ ที่กล้าพูดว่ารู้จักความมั่งมี พูดได้แต่เพียงปาก ต่อเมื่อรู้จักดีเท่ากันทั้งความมั่งมีและความจน จึงจะพูดได้ว่ารู้จักความจนหรือรู้จักความมีโดยแท้จริง
ถ้าจะให้เห็นได้ง่าย ๆ ๆ ขึ้นมาอีกก็คือความเป็นเด็กกับความเป็นผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่อย่าลืมเสียว่าเคยเป็นเด็กมาแล้วทุกคน ฉะนั้นพอพูดว่าความเป็นเด็กกับความเป็นผู้ใหญ่ เราก็รู้ดีว่ามัน ๆ คืออะไรกันแน่ แต่สำหรับเด็ก ๆ นั้น แม้แต่ความเป็นเด็กของเขาเอง เขาก็ยังไม่รู้ แล้วเขาจะมารู้จักความเป็นผู้ใหญ่ได้อย่างไร
แม้ว่าเด็ก ๆ จะมองเห็นผู้ใหญ่อยู่ทุกวันทุกคืน ก็หารู้จักความเป็นผู้ใหญ่ไม่ ต้องเป็นเด็กจนรู้จักความเป็นเด็ก และรู้จักหรือว่าเป็นผู้ใหญ่จนรู้จักความเป็นผู้ใหญ่เสียก่อนแล้วจึงจะเรียกว่ารู้จักความเป็นเด็ก เพราะฉะนั้น ผู้ใหญ่จึงรู้จักความเป็นเด็ก แต่เด็กไม่อาจจะรู้จักความเป็นผู้ใหญ่
นี่แหละคือข้อที่จะต้องคิดนึกกันบ้าง เพราะการที่จะรู้จักสังขารที่มีการเกิดการดับนั้น ไม่อาจจะรู้ได้เพียงครึ่งเดียว ว่ารู้แต่จะรู้จักแต่สังขารที่มีการเกิดดับ ต้องรู้จักวิสังขารที่ไม่มีการเกิดไม่มีการดับด้วย จึงจะเรียกว่ารู้จักสังขาร ดวงตาเห็นธรรมจึงเห็นทั้งสิ่งที่มีเหตุและสิ่งที่ไม่มีเหตุ รู้จักทั้งความเกิดดับและความไม่เกิดไม่ดับก็แปลว่าเห็นความทุกข์กับความดับทุกข์พร้อมกัน หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็ว่าเห็นวัฏสงสารและเห็นพระนิพพานพร้อมกันไปทีเดียว
คนฉลาดเขาจึงบอกให้ดูนิพพานในกลางวัฏสงสาร ให้ดูนิพพานในท่ามกลางแห่งวัฏสงสาร ให้ดูมะพร้าวนาฬิเกซึ่งเป็นนิพพานในท่ามกลางวัฏสงสารคือทะเลขี้ผึ้ง
แม้แต่บทกล่อมลูกก็ยังฉลาดกว่าพวกมหาเปรียญในสมัยนี้เสียมากมายแล้ว ลองคิดดูเถิดว่าบทกล่อมลูกของคนโบราณโง่ ๆ นั่น ที่พวกมหาเปรียญหาว่าเป็นคนโง่ ๆ นั่น ก็ยังฉลาดกว่าพวกมหาเปรียญสมัยนี้เสียเป็นอย่างยิ่งแล้ว เพราะว่าเขารู้จักแนะให้แสวงหานิพพานในท่ามกลางวัฏสงสาร ซึ่งพวกมหาเปรียญสมัยนี้พูดไม่เป็น แล้วยังไปพูดโกหกแยกออกไปเสียเป็นคนละฝักละฝ่ายไม่เกี่ยวข้องกันอย่างนี้ มันเป็นความโง่ หลอกคนอื่นโดยไม่รู้สึกตัว
ถ้าเป็นผู้เห็นจริง เห็นธรรมะจริง จะบอกให้ดูความทุกข์ในความดับทุกข์ทั้งนั้น ดูความดับทุกข์ในความทุกข์ทั้งนั้น พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสว่า โลกนี้ก็ดี เหตุให้เกิดโลกนี้ก็ดี ความดับแห่งโลกนี้ก็ดี ทางให้ถึงความดับแห่งโลกก็ดี ตถาคตบัญญัติไว้ในร่างกายที่ยาวประมาณวาหนึ่งนี้อันมีทั้งสัญญาและใจ คือในร่างกายที่ยังเป็น ๆ ยังมีชีวิต ยังมีความรู้สึกคิดนึกอยู่ได้นี้แหละ ให้มองให้ดี มีอยู่ทั้งสังสารวัฏและนิพพาน โลกและเหตุให้เกิดโลกนั้น คือสังสารวัฏ ความดับสนิทแห่งโลก และทางให้ถึงความดับสนิทแห่งโลกนั้น เป็นฝ่ายนิพพาน ค้นหาได้ในร่างกายนี้
เราต้องหาความดับทุกข์ที่ความทุกข์ เพราะเราต้องการจะดับตัวทุกข์ ดับตัวทุกข์ที่ไหน ความดับทุกข์มันก็มีที่นั่น เพราะฉะนั้น ต้องเห็นความดับทุกข์ในตัวความทุกข์นั่นเอง ในตัวความร้อนเป็นทุกข์นั่นแหละจะมีความเย็น เพราะว่าถ้าดับมันได้มันมีความเย็นที่นั่น ยิ่งเป็นทุกข์มากก็ยิ่งเย็นมาก เพราะฉะนั้น คนฉลาดจึงกล่าวไว้สำหรับให้คนโง่ ๆ งงต่อไปอีกว่า จงหาความเย็นที่สุดในท่ามกลางเตาหลอม
เตาหลอมใหญ่ ๆ สำหรับหลอมโลหะ หลอมเหล็ก หลอมอะไรก็ตาม ที่ตรงใจกลางเตาหลอมนั้นมีความเย็นที่สุด คนไม่เข้าใจก็หาว่าคนพูดนี้เสียสติ ถ้าคนเข้าใจมี ๆ สติปัญญาเข้าใจก็จะรู้ว่านั้นเป็นข้อเท็จจริงหรือเป็นความจริง ยิ่งมีความร้อนมากมันก็ยิ่งมีความเย็นมาก เมื่อดับความร้อนนั้นเสียได้ ยิ่งมีความทุกข์มากก็ยิ่งมีความดับทุกข์มาก ในเมื่อมันดับเมื่อดับความทุกข์นั้นเสียได้ เขาหมายความอย่างนี้ต่างหาก
ถ้ามีไฟกองใหญ่ก็มีการดับไฟกองใหญ่ เพราะไฟกองใหญ่ดับไป ก็หมายความว่าไฟกองใหญ่มันดับมากกว่าไฟกองน้อย ๆ นี้เป็นตัวอย่างทางวัตถุ
ในทางจิตใจ ทางนามธรรมก็เหมือนกันอย่างนั้น ถ้ามีความยึดถือมากก็ต้องเป็นทุกข์มาก ดับความยึดถือเสียได้มันก็ไม่มีความทุกข์ การดับความยึดถืออย่างสูงสุดเสียได้มันก็ได้นิพพานมา คือความดับอย่างยิ่ง ถ้าเรารู้จักแสวงหาความดับทุกข์ในตัวความทุกข์แล้ว ก็เรียกว่าเป็นผู้รู้ธรรมะ หรือมีดวงตาเห็นธรรมแล้ว เป็นแน่นอน
คนที่ไม่มีดวงตาเห็นธรรมก็แยกเอาความทุกข์ไว้ชาตินี้ เอาความดับทุกข์ไว้ชาติโน้น แล้วจะหาอย่างไรกัน ผู้ที่มีความเข้าใจถูกต้อง ต้องถือว่ามีความทุกข์ที่ไหนมีความดับทุกข์ที่นั่น มีความร้อนที่ไหนจะต้องดับความร้อนที่นั่น ความมีอยู่ที่ไหน ความไม่มีมันก็อยู่ที่นั่น
ขอให้ช่วยฟังให้ดี ๆ หน่อยว่า ความมี ความมีอยู่ มีอยู่ที่ไหน ความไม่มีมันก็มีอยู่ที่นั่น คือมันซ้อนอยู่ในความมีนั่นเอง ความทุกข์มีทำลายความทุกข์เสีย ความไม่มีแห่งความทุกข์ก็อยู่ที่นั่น แต่ทีแรกเรามองไม่เห็นเพราะความทุกข์มันบังอยู่ ทำลายความทุกข์เสีย ไม่มีอะไรบังแล้ว ความไม่มีทุกข์ก็ปรากฏออกมา จงหาความดับทุกข์ที่ความทุกข์ จงหาความเย็นที่ความร้อน หรือว่าจงหาสิ่งที่ตรงกันข้ามในสิ่งนั้นเอง แล้วเราก็จะพบสิ่งนั้นจริง ๆ นี้คืออานิสงส์ของการเห็นธรรม
ทีนี้ก็พิจารณากันถึงข้อที่ว่า สิ่งใดมีเหตุเป็นแดนเกิด สิ่งนั้นก็มีการดับไปเพราะความดับแห่งเหตุ เราดูเถิดว่าความทุกข์มันตั้งขึ้นมาอย่างไร ตั้งขึ้นมาอย่างไร เราก็ทำลายเสียซึ่งเหตุแห่งความทุกข์นั้น นี้เป็นการกล่าวโดยใจความสั้น ๆ แต่ถ้าจะรวมกันทั้งโลกก็ยังกล่าวได้โดยหลักเกณฑ์อย่างเดียวกันอีก โลกนี้เกิดขึ้นมายังไม่มีความทุกข์ ต่อเมื่อมีกิเลสเกิดขึ้นในใจคน สัตว์จึงจะมีความทุกข์
กิเลสนี้คือความยึดมั่นถือมั่น สัตว์เดรัจฉานยึดมั่นถือมั่นไม่เป็น ดังนั้นจึงไม่มีความทุกข์ หิวก็หิว ตายก็ตายไป โดยไม่ต้องทุกข์เหมือนคน คนมีความยึดมั่นถือมั่น ไม่หิวก็ทุกข์ หิวก็ทุกข์ ได้กินแล้วก็ยังทุกข์ ร่ำรวยแล้วก็ยังทุกข์ มีความสุขแล้วก็ยังมีความทุกข์ นี่เพราะว่าคนยึดมั่นถือมั่นเป็น สติปัญญาของคนต่างกันกับสัตว์ที่ตรงนี้
เพราะฉะนั้น คนจึงได้รับบาปหนักบาปหนายิ่งกว่าสัตว์ ใครไปด่าสัตว์ว่าบาปหนา คนนั้นโง่ คนนั่นแหละคือผู้ที่มีบาปหนายิ่งกว่าสัตว์ สัตว์ไม่ได้มีความยึดมั่นถือมั่นอย่างคน สัตว์ไม่ได้มีโลภะ โทสะ โมหะ อย่างคน เพราะฉะนั้น มันจะมีบาปหนาได้อย่างไร มันสบายกว่าคน
คนนี้ตั้งต้นเป็นคนขึ้นมา เมื่อยังไม่มีอะไรแตกต่างไปกว่าสัตว์ แต่พอใจของคนสูงไปในทางสติปัญญา มนุษย์ก็เกิดขึ้น แต่มนุษย์ชนิดนี้ยังไม่ใช่มนุษย์ที่แท้จริง คือใจไม่ได้สูงจริง คือไปหลงยึดมั่นถือมั่น เราจะเรียกสัตว์ชนิดนี้ว่าเป็นมนุษย์ก็ต่อเมื่อรู้จักยึดมั่นถือมั่น คือรู้จักดีรู้จักชั่วนั่นเอง แต่ไม่ได้รู้จักในลักษณะที่จะปล่อยวาง แต่กลับไปรู้จักในลักษณะที่จะยึดมั่นถือมั่น ฉะนั้นพอคนเริ่มรู้จักความดีความชั่ว ก็รู้ไปในทางที่จะยึดมั่นถือมั่น ดังนั้น คนก็ลงมือเป็นทุกข์ ตั้งต้นเป็นทุกข์ทันที เหมือนที่ฝ่ายศาสนาคริสเตียนพูดว่า พอมนุษย์คู่นั้นได้กินผลไม้ชนิดที่ทำให้รู้จักดีจักชั่วเข้าไป ก็ลงมือมีบาปทันที ตั้งต้นมีบาปทันที
นี่แหละลองคิดดูเถิดว่าความทุกข์นี้มันเพิ่งจะตั้งต้นเมื่อรู้จักยึดมั่นถือมั่น พูดอย่างนี้มันยังไกลไป เอากันอย่างนี้ดีกว่าว่าเด็ก ๆ เล็ก ๆ เกิดขึ้นมาจากท้องแม่ เมื่อยังไม่รู้จักยึดมั่นถือมั่นว่าอะไรเป็นตัวกูหรือของกูก็ยังไม่มีความทุกข์ พอเด็ก ๆ นั้น ทารกนั้น เริ่มรู้จักยึดมั่นถือมั่นว่าอะไรเป็นตัวกูเป็นของกู ก็เริ่มมีความทุกข์ รู้จักยึดมั่นว่าพ่อแม่ของกูก็เริ่มมีความทุกข์ ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่สักชั่วโมงเดียวก็ร้องไห้เสียแล้ว
นี่ความทุกข์ตั้งต้นขึ้นมาเมื่อรู้จักยึดมั่นถือมั่น ถ้าอย่าไปทำให้รู้จักยึดมั่นถือมั่น เด็กนั้นจะไม่มีความทุกข์เลย แต่ว่าธรรมชาติหรือขนบธรรมเนียมประเพณีของมนุษย์ได้เป็นไปในลักษณะที่ให้ทารกอ่อน ๆ ลูกน้อยนั้น เจริญขึ้นมาในลักษณะที่ยึดมั่นถือมั่น พ่อของกู แม่ของกู บ้านของกู เงินของกู ตัวกู ชื่อเสียงของกู อะไรขึ้นมาตามลำดับ
นับตั้งแต่เริ่มรู้จักยึดมั่นถือมั่น ก็ตั้งต้นมีความทุกข์ ยึดมั่นถือมั่นมากขึ้นไปหลายอย่างหลายสิ่งขึ้นไป ก็มีความทุกข์มากขึ้น หลายสิ่งหลายอย่าง จนกระทั่งเป็นดังที่อยู่เดี๋ยวนี้แหละ ที่นั่ง ๆ กันอยู่ที่นี่แหละ มีความยึดมั่นถือมั่นกี่อย่างมากน้อยเท่าไรก็ลองคิดดูเถิด นี่แหละคือความทุกข์ที่ตั้งต้นขึ้นมาเมื่อรู้จักยึดมั่นถือมั่น
ถ้าพูดตามภาษาพระพุทธเจ้าก็เรียกว่าโลกได้ตั้งต้นขึ้นมาเมื่อรู้จักยึดมั่นถือมั่น คือความทุกข์ตั้งต้นขึ้นมาเมื่อสัตว์นั้นรู้จักยึดมั่นถือมั่น ทั้งก่อนหน้านี้เรายังไม่มีโลก เด็กน้อย ๆ เกิดขึ้นมาก็ยังไม่มีโลก จนกว่าเด็กน้อยนั้นจะรู้จักยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดสิ่งหนึ่งเข้า จึงจะเริ่มมีโลก คือมีความทุกข์ รู้จักยึดมั่นสิ่งใดในโลกว่าเป็นตัวกูว่าเป็นของกูแล้ว ความทุกข์ก็ตั้งต้นขึ้นมา พอรู้จักว่าพ่อของกูแม่ของกูแล้ว โลกก็ตั้งต้นขึ้นมาสำหรับเด็กนั้นในลักษณะที่เป็นความทุกข์
พระพุทธเจ้าท่านตรัสโลกกับความทุกข์โดยความเป็นของสิ่งเดียวกันด้วยเหตุนี้ ถ้ามันไม่มีความทุกข์ไม่เป็นความทุกข์มันก็ไม่เป็นปัญหาเลย เดี๋ยวนี้โลกมีปัญหาเพราะเป็นความทุกข์ ดังนั้น จึงมีการพูดเรื่องเหนือโลกคือโลกุตระ จะต้องรู้การทำจิตใจให้อยู่เหนือโลก เหนือความหมาย เหนือคุณค่า เหนืออะไรของสิ่งของสิ่งเหล่านี้ จิตใจจึงจะเป็นอิสระและอยู่เหนือความทุกข์ ปราศจากความทุกข์ นี้เป็นเคล็ดลับเพียงอย่างเดียว อย่างอื่นไม่มี นี้เป็นเคล็ดลับเพียงอย่างเดียวที่จะทำให้มนุษย์ไม่ต้องมีความทุกข์
นี่แหละคือธรรมะที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้และสอนพวกเรา แล้วเราก็รับเอาไม่ได้เพราะความโง่ของเราหรือว่าจะเพราะอะไรบันดาลให้เป็นไปก็ตาม แต่ถ้าจะพูดตามความจริงแล้ว ก็คือความโง่ของเราที่ปล่อยให้สิ่งอะไรมาบันดาลให้เป็นไปเช่นนั้นได้
โดยเฉพาะเดี๋ยวนี้คนสมัครเป็นทาสเป็นบ่าวของวัตถุ จนกระทั่งว่ารู้จักสมัครจะเป็นบ่าวเป็นทาสของวัตถุมาตั้งแต่ในท้องแม่ เพราะว่าเมื่อพ่อและแม่เป็นทาสของวัตถุแล้ว จิตใจก็ใฝ่ฝันอยู่แต่จะที่จะเป็นทาสของวัตถุ มันคงจะมีอิทธิพลต่อลูกในท้องในครรภ์นั้นได้บ้างเหมือนกัน ที่เกิดมาสำหรับจะเป็นทาสของวัตถุ จึงได้ลุ่มหลงในความสุข สนุกสนาน เอร็ดอร่อย ทางเนื้อทางหนัง ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ นั่นเอง
นี้ก็คือการที่ทำให้ถอยหลังไกลออกไปจากความเหมาะสมที่จะมีดวงตาเห็นธรรม มนุษย์นี้จึงมีความยากลำบากในการที่จะมีดวงตาเห็นธรรม ยิ่งเดี๋ยวนี้ทั้งโลกก็ว่าได้ ตกอยู่ใต้อิทธิพลของการค้นคว้าศึกษาสมัยใหม่ ที่ล้วนแต่จะนำไปเป็นทาสของวัตถุโดยไม่รู้สึกตัวทั้งนั้น การศึกษาทุกแขนงในสมัยปัจจุบันนี้เป็นเครื่องมือของกิเลสทั้งนั้น แต่มนุษย์ก็ไม่รู้สึกตัว เป็นทาสของกิเลสโดยไม่รู้สึกตัว ศึกษาค้นคว้าไปเพื่อกิเลสคือเพื่อลุ่มหลงในวัตถุ
คือว่าหลงไปในฝ่ายความทุกข์ ฝ่ายที่จะเกิดความทุกข์ทั้งนั้น ไม่มีความรู้สึกตัวที่จะถอยกลับมาในทางฝ่ายความดับทุกข์เลยและยิ่งเป็นมากขึ้นทุกที ลูกของเราเป็นมากกว่าเรา หลานของเราเป็นมากกว่าลูกของเรา เหลนของเราเป็นมากกว่าหลานของเรา ขอให้ท่านไปมองดู แล้วเมื่อไหร่จะถอยหลังออกมาเพื่อจะมีดวงตาเห็นธรรมกันบ้าง
ถ้าอย่างไร ๆ พ่อแม่นี่แหละ เริ่มตั้งอกตั้งใจที่จะดึงกลับ ให้ลูกหลานในอนาคตเริ่มสำนึกถึงความจริงของธรรมชาติ หรือจะเรียกว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าก็ถูกเหมือนกัน เพราะพระพุทธพระพุทธเจ้าท่านสอนไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ว่าคือถ้าขืนเป็นไปอย่างนั้นมันก็เป็นทาสของวัตถุมากขึ้นและมีความทุกข์มากขึ้น ต้องมาอย่างนี้มันจึงจะเป็นทาสของวัตถุน้อยลง เป็นอิสระเหนือวัตถุแล้วก็มีความทุกข์น้อยลงหรือไม่มีความทุกข์เลย และก็เป็นมนุษย์สมชื่อ
เราจะไปเอามันมาทำไมสำหรับเป็นความทุกข์ พูดภาษาหยาบคาย ก็ว่าจะไปเอามันมาสุมหัวเราทำไมเพื่อจะเป็นทุกข์ เราควรจะเอามาไว้ใต้ฝ่าเท้าเท่าที่จำเป็นสำหรับใช้สอย ที่ไม่จำเป็นแล้วก็อย่าไปเอามาดีกว่า อย่าไปแสวงหามาเกินกว่าที่จำเป็นหรือเหมาะสม ก็ถ้าได้มาอย่าเอามาสุมไว้บนศีรษะจะนอนไม่หลับ แต่ต้องเอามาไว้ใต้ฝ่าเท้าคือมาเป็นบ่าวเป็นทาสเรา ให้วัตถุเป็นทาสเรา เราอย่าเป็นทาสวัตถุ
นั่นแหละคือความเป็นมนุษย์ มีความสูงของจิตใจอยู่เหนือสิ่งทั้งปวง จนกระทั่งว่าสังขารทั้งปวงหรือทรัพย์สมบัติอะไรก็ตาม มันจะเกิดดับ ๆ ๆ ไปอย่างไร ก็เป็นไปตามเรื่องของมัน ใจของฉันอยู่ในฝ่ายที่ไม่มีการเกิดดับ ขอใจของฉันเข้าถึงธรรมะที่ปราศจากเหตุ ที่ไม่มีเหตุ ที่ไม่มีเกิดไม่มีดับ คือนิพพาน สภาพอันนี้เรียกว่านิพพาน ไม่มีเหตุและไม่ต้องเกิดไม่ต้องดับ ทำจิตใจให้ลุถึงภาวะอันนี้แล้ว มันก็ไม่ต้องเกิดไม่ต้องดับไปตามวัตถุสังขารเหล่านั้น ก็หัวเราะเยาะสังขารทั้งหลายทั้งปวงได้ ได้มาก็หัวเราะเยาะ เสียไปก็หัวเราะเยาะ อยู่ก็หัวเราะเยาะ ตายก็หัวเราะเยาะ คือจิตใจที่เป็นอิสระ
เดี๋ยวนี้มีแต่ความหวาดกลัว มีแต่ความดิ้นรนที่จะเป็นทาสของวัตถุ ที่รักใคร่ชอบใจหวงแหน เลยไม่มีวันสร่างซาที่จะถอยออกมาเสียจากความครอบงำของสิ่งเหล่านั้น มันจึงเกิดมาแล้วอย่างหลับตา แล้วก็ตายไปอย่างหลับตา ไม่รู้ว่ามีแสงสว่างอยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่ามีพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่ามีความหลุดรอดอยู่ที่ไหน คือไม่รู้ว่ามีนิพพานอยู่ที่ไหน เพราะว่าเกิดในความทุกข์ ตายไปในความทุกข์ เหมือนสัตว์บางชนิดที่เกิดในน้ำในโคลนในเลน แล้วก็ตายไปในน้ำในโคลนในเลน ไม่เคยขึ้นบก
ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว ก็น่าจะนึกกลัวให้มาก ละอายให้มาก เพราะว่ามันเสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ และมิหนำซ้ำร้ายกว่าสัตว์เดรัจฉานเพราะเป็นทุกข์มากกว่าสัตว์เดรัจฉาน ดังนั้น ค่าของความเป็นมนุษย์ก็หมดไป ควรจะได้พิจารณากันดูให้ดี ๆ ว่า ถ้าเรียกว่ามนุษย์แล้ว จะต้องมีอะไรเหนือสัตว์เดรัจฉาน จะต้องมีความทุกข์น้อยกว่าสัตว์เดรัจฉาน จะต้องควบคุมวัตถุได้ยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน
สัตว์เดรัจฉานมีแต่เรื่องกิน หิวก็กิน หายหิวก็เลิกกัน ไม่เป็นบ่าวเป็นทาสของวัตถุมากเหมือนคน ตรงที่ว่าคนนี้หวังไม่มีที่สิ้นสุด สะสมไม่มีที่สิ้นสุด พยายามไม่มีที่สิ้นสุด วิตกกังวลไม่มีที่สิ้นสุด สิ่งเหล่านั้นมาสุมอยู่เหนือจิตใจทั้งนั้น แล้วคนจะดีกว่าสัตว์ที่ตรงไหน ถ้าเป็นเรือนเป็นรังของความทุกข์ไปเสียหมดอย่างนี้
วันอาสาฬหบูชาเป็นวันชนะของมนุษย์ เป็นวันที่มนุษย์มีชัยชนะเหนือความทุกข์และกิเลส ดังที่ได้กล่าวแล้วเมื่อตอนกลางวัน ว่าก่อนก่อนนี้อยู่ในทะเลมืด เดี๋ยวนี้ออกมาสู่แสงสว่างเอาชนะความมืดได้ จากการตรัสสอนธรรมะของพระพุทธเจ้าที่เรียกเป็นครั้งแรกว่า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ในวันเช่นวันนี้ ดังนั้น วันนี้เป็นสัญลักษณ์ของแสงสว่าง เป็นวันแห่งแสงสว่าง เราต้องมีแสงสว่างที่จะรู้จักสิ่งเหล่านั้นตามที่เป็นจริง อย่าได้จมอยู่ในความมืด กล่าวคือความลุ่มหลงในวัตถุ ในวัตถุนิยม หรือในรสของวัตถุนิยม อีกต่อไปเลย
ฟังดูให้ดี ๆ ไม่ได้บอกว่าอย่าเกี่ยวข้องกับวัตถุ วัตถุกับจิตใจต้องไปด้วยกันเรื่อย ต้องเกี่ยวข้องด้วยกันเรื่อย แต่ต้องเกี่ยวข้องในสภาพที่เหมาะสมถูกต้องคือ ให้จิตใจอยู่เหนือวัตถุ เป็นนายวัตถุเสมอไป มันจึงจะเป็นจิตใจที่ไม่เป็นทุกข์ และก็ไม่จำเป็นที่จะต้องหาให้มันเกินความจำเป็นหรือความพอดี สำหรับเอามาทำให้ลำบาก แม้ว่าจิตใจจะไม่ยึดถือแล้ว แต่ถ้าหามาเกินจำเป็นมันก็ไม่รู้จะหามาทำไม หามาเก็บรักษาให้ลำบากให้ยุ่งยาก ไม่มีความพักผ่อนนี้ มันก็คือความโง่ แต่มันคงไม่ทำเป็นแน่
ถ้าจิตใจไม่มีความยึดถือแล้ว ท่านก็จะทำแต่เท่าที่จำเป็นจะทำหรือควรจะทำ เพราะฉะนั้นคำสอนในศาสนาที่ซ่อนเร้นอยู่ข้อหนึ่งอย่างลึกลับก็คือข้อที่ว่า อย่าได้แสวงหาเกินกว่าความจำเป็นเลย แต่คนก็ไม่ค่อยจะชอบฟัง หรือไม่อยากจะเชื่อ ต้องการแต่จะแสวงหาสะสมให้มากเกินกว่าความจำเป็นหลายเท่า หลายสิบเท่า หลายร้อยเท่า หลายพันเท่า ก็ยังไม่พอใจ นื้คือคนที่ไม่เห็นธรรม คนที่ยังยึดถือมาก คนที่มีการเห็นธรรมแล้ว จะขวนขวายเท่าที่ควรขวนขวาย และต้องการความพักผ่อน อย่างนี้เรียกว่าช่วยกันทำโลกนี้ให้สงบ ให้อยู่กันเป็นผาสุก
ถ้ามีแต่คนที่ขวนขวายเกินกว่าความจำเป็นแล้วมันก็ต้องเบียดเบียนกันเพราะว่ามันไม่พอ เมื่อจิตใจของมนุษย์โลภมากจนวัตถุไม่พอแล้ว มันก็ต้องเบียดเบียนกัน นี่แหละคือต้นเหตุแห่งการรบราฆ่าฟันที่กำลังเป็นอยู่ในเวลานี้ และจะเป็นต่อไป จนกว่าจะวินาศกันลงถึงที่สุดเสียก่อนสักคราวหนึ่ง บางทีจะอาจนึกได้ หรือไม่อาจจะนึกได้ก็ได้ แล้วแต่ความเป็นจริงของคนเหล่านั้นว่าจะเป็นไปในลักษณะใดกันแน่
แต่ตามข้อเท็จจริงของธรรมชาตินั้น ถ้าคนทุกคนแสวงหาแต่เท่าที่จำเป็นแล้วมันยังมีความเหลือเฟืออยู่ คือวัตถุจะยังอำนวยให้เหลือเฟืออยู่ได้ สำหรับจะอยู่เย็นเป็นสุขด้วยกันทั้งนั้น เหมือนคนในสมัยโบราณกาล ไม่ได้นึกถึงตัวมากมายนัก แสวงหาเท่าที่จำเป็น ถ้าแสวงหามากกว่านั้นก็เพื่อผู้อื่น มีข้าทาสบริวาร มีอย่างลูกอย่างหลาน มีไว้เลี้ยงเขาให้เป็นสุข
ไม่มีไม่ใช่มีอย่างคนสมัยนี้ ซึ่งไม่มีใครเลี้ยงคนอื่นให้เป็นสุข เลี้ยงไว้เพื่อจะทำนาบนหลังเขา มีลูกจ้างมีกรรมกรไว้ก็เพื่อจะทำนาบนหลังเขา หาความมั่งมีใส่ตน กอบโกยความมั่งมีใส่ตน นี้คือลัทธิของคนที่เลี้ยงคนในสมัยนี้
แต่ถ้าในสมัยโบราณแล้ว เลี้ยงอย่างลูกอย่างหลานให้คนยากจนพิกลพิการเข้ามาพึ่งพา อาศัยบารมีอยู่กันเป็นผาสุก ไม่ได้มีความรู้สึกว่าทั้งหมดนั้นเป็นของเรา แต่มีความรู้สึกว่าทั้งหมดนั้นเป็นของทุกคน ดังนั้นลัทธิ Communism เป็นต้นจึงเกิดขึ้นไม่ได้ ไม่มีช่องโอกาสที่ลัทธิเช่นลัทธิ Communism จะเกิดขึ้นได้เลย จึงได้อยู่กันเป็นผาสุก เดี๋ยวนี้มันกลับตรงกันข้าม เลี้ยงคนเพื่อจะทำนาบนหลังเขา มันก็เกิดลัทธิ Communism ขึ้นมาในโลก แล้วปัญหานี้มันจะสิ้นสุดกันได้อย่างไร
นี่แหละถ้าได้อาศัยบารมีของธรรมะเป็นเครื่อง ๆ ๆ คุ้มครองแล้ว วิกฤติการณ์ในโลกไม่อาจจะเกิดขึ้นได้เลย คงจะสงบสงัดอย่างยิ่งต่อไปตลอดกาลนาน ชั่วเวลาที่มนุษย์ยังรู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรมะด้วยดวงตาเห็นธรรม แล้วเป็นอยู่ด้วยดวงตาเห็นธรรมนั้น จนตลอดกัลปาวสาน
เดี๋ยวนี้เป็นโชคร้ายของมนุษย์ที่หันหลังให้พระเจ้า หันหลังให้ศาสนา หันหลังให้ธรรม ตกไปเป็นทาสของวัตถุนิยม โลกมันจึงเป็นอย่างนี้ มันไม่ใช่ความลึกลับซับซ้อนอะไรเลย แต่มันมีความยากลำบากในการที่จะจูงคนมาหาธรรมะ มาหาศาสนา หรือจูงคนให้หันหลังให้วัตถุ มาแสวงหาความสุขในทางจิตใจ ด้วยดวงตาที่เห็นธรรมนี้เอง
หวังว่าเราทุกคนที่เป็นพุทธบริษัทที่ได้ล่วงกาลผ่านวัยเข้ามาอีกปีหนึ่งถึงวันอาสาฬหบูชาแห่งปีนี้ ควรจะมีความสำนึกในข้อนี้ได้มากขึ้น มีความรู้ความเข้าใจที่จะมีดวงตาเห็นธรรม มากออกไป ๆ จนจะกว่าจะอยู่แก่ร่องแก่รอย คือมีดวงตาอันเห็นธรรมที่แท้จริงนั่นเอง แล้วก็จะไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้