แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ผมเชื่อว่าทั้งพุทธกาลก็เหมือนกันแหละ ใครพูดก็ได้ ไม่ใช่ต้องเป็นอาจารย์หรือพระพุทธเจ้าพูดเรื่อย ไปอ่านวิมุตตารัตนสูตร เขากำลังพิมพ์ออกมาเป็นอันดับที่ 8 ไอ้เรื่องวิมุตตารัตนสูตรที่เทศน์บนภูเขา ลำดับที่ 7 นี่เรื่องทำบุญ ลำดับต่อไปนี่เรื่องวิมุตตารัตนสูตร เมื่อฟังเขาพูดกันได้ พูดให้เขาฟังก็ได้ ก็ท่องอยู่ก็ได้ เมื่อสอนอยู่ก็คิดอยู่ เมื่อทำสมาธิอยู่ ให้ถือว่าเป็นโอกาสแห่งการรู้ธรรม แวดวงสนทนา จะต้องทำอย่างมีระเบียบ ที่ปล่อยให้ใครพูดก็ได้ มันมักจะเสียระเบียบ ที่จริงมีคนอยากพูดแยะ พอปล่อยให้เสียระเบียบก็พูดกันฟังไม่ได้ศัพท์ โดยเฉพาะพวกชาวบ้านหรือพวกที่มาๆนี่ มาเที่ยว ไม่ค่อยจะฟังเราหรือฟังใครพูด คอยจ้องแต่จะพูดเอง วันนี้มีฝรั่งคนหนึ่งเป็นเพื่อนกับพระฝรั่ง มาหาผมมาคุย ก็นับว่าดีมาก รายหนึ่ง อีกรายหนึ่งเข้าใจ นาที 4:00 ฟังไม่รู้เรื่อง คนไทยหลายคนที่ติดตามมาด้วยดูจะไม่ได้อะไร เพราะไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้ประสงค์จะรู้อะไร ก็เลยไม่ได้อะไร ก็พูดมาก ในเรื่องพูดมาก เรื่องจิตใจฟุ้งซ่าน ก็ใช้ไม่ได้ พูดเรื่องอะไรดีล่ะ นาทีที่ 5:20 ฟังไม่รู้เรื่อง เหมือนถามตอบกัน สถานการณ์ในขณะนี้คืออะไร ต่างจากขณะอื่น มันต้องถามปัญหา ต้องมีปัญหาที่แน่นอน ทุกคนก็ควรจะเข้าใจในปัญหาที่แน่นอน จึงจะฟังคำตอบได้ เหมือนสอบไล่ฟังคำถามไม่ชัดเจน ไม่ทั่วถึง ไม่เข้าใจงั้น
นาทีที่ 7:17สถานการณ์ในขณะนี้มันกว้าง เดี๋ยวนี้กำลังไม่สนใจธรรมะ ไม่สนใจศาสนา เป็นปัญหาที่กว้าง คือทำให้โลกวุ่นวายเป็นทุกข์เดือดร้อนกันไปหมดทั้งโลก แล้วมันภายในมันพูดกันไม่รู้เรื่อง ก็พูดกับคนที่มาเป็นประจำวัน พูดกันไม่ค่อยรู้เรื่อง นี่มันเป็นปัญหาทั่วไป นาทีที่ 8:07 ฟังไม่รู้เรื่อง
นาทีที่ 8:14 ถ้าคุณเรียกว่าปัญหาเฉพาะหน้าและรีบด่วน ก็ต้องหมายถึงความที่จะลำบากจะยุ่งยากจะเป็นทุกข์ ประชาชนทั่วไปทั้งโลก รวมทั้งเราด้วยจะพลอยยุ่งยาก เมื่อคนทั้งโลกลำบากยุ่งยาก อย่างน้อยเราหาข้าวกินยาก อย่างน้อยพระก็หาข้าวกินยาก ในวัดวาอารามหรือสถาบันอย่างนี้มันอยู่ได้ด้วยการช่วยเหลือของผู้อื่น จะไปรบราฆ่าฟันกันเสียหมดหรือ ก็ตายหมด ปัญหาหลัก ปัญหาใหญ่ ก็เคยพูดกันมามากแล้วเรื่องนี้ มันเพียงแต่พูด คือปัญหาทุกๆปัญหาแก้ได้ด้วยคำๆเดียวคือธรรมะคำเดียว คือธรรมะอย่างเดียวแก้ได้ แล้วก็ยังฟังไม่ถูกว่าจะแก้ยังไง ปฏิบัติข้อไหนให้มันรัดกุม สมัยหนึ่งหรือสมัยตอนแรกๆ เราใช้คำว่าแต่งงานกับสุญญตา สมรสกับสุญญตา พูดจนขี้เกียจพูดแล้ว ก็มีรุ่นหลังที่ไม่เคยฟัง ถ้าใครแต่งงานกับสุญญตาได้ก็หมดปัญหา ปัญหาที่คุณถามน่ะเลิกไป เสร็จแล้วมันคงมีปัญหาว่าแต่งงานกับสุญญตาคือทำยังไง เป็นลูกเขยหรือเป็นลูกสะใภ้ของใคร ถ้าแต่งงานกับสุญญตา
ถ้าพูดเป็นบุคคลาธิษฐานมันก็ต้องเป็นบุคคลาธิษฐานไปหมด ถ้าพูดอย่างธรรมาธิษฐานด้วนออกไปละลายไปหายไปได้ ที่นี้มันพูดแบบภาษาคน พูดแบบบุคคลาธิษฐาน มีอยู่ในเทปม้วนหนึ่งเดี๋ยวอยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้ แต่งงานกับสุญญตา ต้องไม่เป็นหมาหางด้วน ต้องไม่เป็นหมาที่หางไหม้ไฟไปเสียก่อน จึงจะแต่งงานกับสุญญตาได้ ผู้ชายก็แต่งงานกับสุญญตา ผู้หญิงก็แต่งงานกับสุญญตา แล้วสุญญตามันเป็นอะไร เป็นผู้ชายหรือเป็นผู้หญิง นั่นน่ะผู้ชายหรือผู้หญิง แสดงว่าไม่เข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่งไป ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าไม่เข้าใจแม้แต่คำว่าแต่งงานกับสุญญตา ถ้าไม่รู้ว่าเป็นลูกเขยหรือลูกสะใภ้ของใคร แล้วคงไม่รู้ว่าแต่งงานกับสุญญตาคือทำยังไง การทำธรรมะอย่างธรรมาธิษฐาน มันก็พ้นจากความเป็นหญิงหรือเป็นชาย มันต้องเปลื้องส่วนนี้ออกไปได้คือไม่มีความเป็นหญิงเป็นชาย มันจึงจะแต่งงานหรือสมรสหรือเข้าถึงเป็นอันเดียวกันกับสิ่งที่เรียกว่าสุญญตาได้
งั้นสุญญตาก็ต้องไม่ใช่หญิงไม่ใช่ชาย ก็พ้นจากภาวะที่เป็นหญิงหรือเป็นชาย มันก็ไม่เป็นลูกเขย มันก็ไม่เป็นลูกสะใภ้ แต่นี้เรามันพูดอย่างภาษาคนวัตถุสมมติ ก็เป็นลูกเขยของพระเจ้าหรือลูกเขยของพระพุทธเจ้า พวกคริสเตียนเค้าเรียกว่าเป็นลูกพระเจ้า เป็นลูกชายของพระเจ้า เป็นลูกสาวของมนุษย์ ในไบเบิ้ลมีแปลกด้วยถ้าผู้ชายเป็นลูกพระเจ้า ถ้าผู้หญิงเป็นลูกมนุษย์ ค่อนข้างจะลำเอียง ฟังยาก เขาจึงไม่สามารถอธิบายให้พระเจ้ากับมนุษย์เป็นอันเดียวกันได้ง่ายๆ
มันต้องไปไกลกว่านั้น คือต้องกลับสภาวะเดิม สภาพเดิมที่สุดก่อนมีอะไร ทีแรกที่สุดน่ะมีอะไร ทีแรกที่สุดมีอะไร มีคำว่าธรรม ก็เรียกว่าพูดอย่างดี พูดอย่างภาษาคนมีธรรม ที่จริงก็พูดได้ว่าไม่มีอะไร ไม่มีอะไรก็คือมีธรรม พวกเซ็นอย่างจีนอย่างญี่ปุ่นเขาชอบพูดกันว่าไม่มีอะไร ทีแรกที่สุดไม่มีอะไร เหมือนตัวหนังสือที่เขียนอยู่ตัวหนึ่ง ทีแรกที่สุดไม่มีอะไร นาทีที่ 17:46ฟังไม่รู้เรื่อง ถ้าไม่มีอะไร มันก็จะเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาไม่ได้ ทีแรกที่สุดไม่มีอะไรเลยจริงๆ มันก็จะเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา ถ้าว่ามันเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้ กระทั่งเกิดเป็นโลก เป็นสัตว์ เป็นมนุษย์ขึ้นมาได้จากความไม่มีอะไร มันต้องผิด ผิดหลักหมด มันต้องมีอะไร ต้องมีอะไรอย่างที่ไม่รู้จัก พวกคริสเตียนเขาเรียกว่าต้นตอหรือที่มาของทุกสิ่งคือพระเจ้า ต้องมีพระเจ้าจึงมีอะไรออกมาจากพระเจ้า ไอ้พวกนี้ที่พูดว่าไม่มีอะไร ถ้างั้นก็เป็นเรื่องผิดหมดเลย ถ้าให้ถูกต้องลึกมาก ถ้าเป็นภาษาธรรมที่ลึกมาก คือมันไม่มีอะไร เพิ่งเกิดความเป็นตัวเราของเราทีหลัง แล้วมันก็ดับไปอีกสู่ความไม่มีอะไร นาทีที่19:37 ฟังไม่รู้เรื่อง ไอ้แรกที่สุดน่ะหมายถึง
ทีแรกที่สุดไม่มีตัวเรา ไม่มีของเรา มันก็เผลอไปมีตัวเราของเรามาพักหนึ่งก็กลับไป เดี๋ยวเกิดอีก ทีแรกที่สุดไม่มีตัวเรา ไม่มีอะไร นี่ก็ภาษาธรรมะมากเกินไป ภาษาชาวบ้านต้องพูดว่าไม่มีอะไร แต่ภาษาชาวบ้านพูดว่าไม่มีอะไร ก็หมายความมันไม่มีอะไรซะจริง ทีนี้ก็เกิดอะไรขึ้นมาไม่ได้ ตัวกูของกูเกิดจะขึ้นมาได้อย่างไร ถ้าไม่มีอะไร มันต้องมีอะไรที่เป็นเหตุ เป็นส่วนประกอบเกิดตัวกูของกูขึ้นมาได้ นี่หมายถึงภาษาธรรมะ โลกคือภายในจิตหรือว่าทั้งหมด นี้รวมอยู่ภายในจิต ทีแรกไม่มีอะไร แล้วเกิดตัวกูของกูขึ้นมา
ทีนี้ถ้ามันพูดหมดเลย ทั้งวัตถุ ทั้งตัวโลก ก็พูดไม่ได้ว่าไม่มีอะไร แต่พูดได้ว่าไม่มีอะไรปรากฎเลย แล้วค่อยๆปรากฎออกมา ต้องมีสิ่งหนึ่งซึ่งมองไม่เห็นตัวหรือไม่ปรากฎ เขาเรียกว่าพระเจ้า เราเรียกว่าธรรม หน้าที่ตามธรรมชาติเรียกว่าธรรม ธรรมคือธรรมชาติหรือกฎธรรมชาติ สิ่งที่เรียกว่าธรรม สิ่งที่เรียกว่าธรรมในกรณีนี้ไม่มีที่สิ้นสุด คือถอยหลังไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด แล้วมันจะคลอดอะไรออกมาได้ไม่มีที่สิ้นสุด การคลอดออกมามีได้ไม่มีสิ้นสุด แล้วสิ่งที่คลอดออกมาก็ไปเรื่อย ไม่มีที่สิ้นสุด เป็นความหมายของภาพที่ตีระฆัง อนันตะ ความหมายของภาพภาพนั้นซึ่งยังแต่งคำอธิบายไม่ได้เพราะมันเข้าใจยาก ภาพๆนั้นเป็นพระเจ้าก็ได้ พระเจ้าไม่มีที่สิ้นสุดในฝ่ายให้เกิด เมื่อฝ่ายที่ให้เกิดไม่มีที่สิ้นสุด ไอ้ฝ่ายที่มันจะเกิดแล้วไปดับ ดับไปก็ไม่มีที่สิ้นสุดเหมือนกัน นาทีที่ 22:37ฟังไม่รู้เรื่อง จากอนันตะ เกิดมาจากภาวะหรือลักษณะที่ไม่มีที่สิ้นสุด แล้วก็ไปสู่ภาวะที่ไม่มีที่สิ้นสุด มีการดับไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อถามเป็นภาษาธรรมดาว่าทีแรกมีอะไรหรือไม่มีอะไร ต้องตอบได้ ต้องตอบถูก มันก็มีภาษาคนอย่างหนึ่ง ภาษาธรรมอย่างหนึ่ง ภาษาธรรมคือทีแรกไม่มีอะไร ดับไปสู่ความไม่มีอะไร มันเข้าใจไม่ได้ ต้องพูดภาษาคน มันมีอะไรเป็นพระเจ้าหรือมีธรรม แล้วพอจะคำนวณด้วยสติปัญญาอย่างคนนั้นว่าถอยลงไปเรื่อย ถอยหลังลงไปเรื่อย ว่ามีอะไร ก็มีสิ่งหนึ่งที่เป็นที่มาของสิ่งทั้งปวงเป็นต้นตอ แล้วสิ่งนั้นมันไม่สิ้นสุด เพราะฉะนั้นมันต้องว่ามีเบื้องต้นที่ไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าเป็นอวิชชา มันก็อวิชชานั้นไม่สิ้นสุด หรือถ้าแปลอวิชชาว่าสิ่งที่ยังรู้ไม่ได้ เข้าใจไม่ได้ ก็สิ่งนั้นแหละ อวิชชานั้นแหละคือไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าไม่นึกถึงประเด็นบาลี ที่แปลคำว่า นาทีที่ 24:32 อนัตมัตโคยัง ฟังแล้วไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ มีที่สุดในเบื้องตนอันบุคคลผู้ไปตามอยู่ รู้ไม่ได้ แปลตามสมาสที่สุดในเบื้องต้นอันบุคคลผู้ไปตามอยู่รู้ไม่ได้ ที่จุดเบื้องต้นโน้น แม้ว่าสัตวที่์เวียนตามไปอยู่ในวัฏสงสารก็รู้ไม่ได้ว่าวัฏสงสารตั้งต้นอย่างไร ที่ไหน เมื่อไหร่ ที่ผมเถียงครูว่าไม่ได้ นาทีที่ 25:08 ฟังไม่รู้เรื่อง เถียงกระทั่งครูบาอาจารย์ มีเบื้องต้นและที่สุด คำนี้ต้องไปสมาสว่าทั้งเบื้องต้นและทั้งที่สุดที่บุคคลผู้ไปตามอยู่ รู้ไม่ได้ ครูในโรงเรียนสอนให้แปลว่ามีที่สุดในเบื้องต้น ฝ่ายสุดในข้างต้นที่คนรู้ไม่ได้ว่าคืออะไร ก็แปลว่าข้างหลังไม่ต้องพูดถึง ต่อไปข้างหน้าไม่ต้องพูดถึง ข้อนี้มันเป็นเหตุให้เถียงกันสนุก เพราะมักจะใช้ว่าข้างหลังมีที่สุดคือนิพพาน เพราะว่าสัตว์มันเวียนว่ายไปในวัฏสงสารนานหนักเข้า วันหนึ่งมันต้องถึงนิพพาน เพราะนิพพานเป็นที่สุด ฝ่ายหลังนะ แต่ฝ่ายข้างต้นคืออวิชชา ถือว่าไม่มีที่สุด ถอยเข้าไปเท่าไหร่เป็นอวิชชาของอวิชชา เป็นอวิชชาของอวิชชา เป็นอวิชชาของอวิชชา เรื่อยไป มันก็มีเหตุผล มีที่สุดในเบื้องต้นที่บุคคลลอยไปตามอยู่รู้ไม่ได้
ถ้าพูดว่าข้างหลังมันสุดอยู่แค่นิพพาน ก็ต้องพูดได้ว่าข้างหน้าสุดแค่อวิชชา ข้างหน้าคืออวิชชา ข้างหลังคือนิพพาน พูดอย่างนี้ ถือว่าไม่ลึกซึ้ง ไม่ถูกต้อง รู้ไม่ได้ คือรู้ไม่ได้ว่าอวิชชาตั้งต้นเมื่อไหร่ ไม่รู้ว่าพระเจ้าตั้งต้นเมื่อไหร่ พูดแต่ว่าพอเริ่มเดิมทีก็มีพระเจ้าขึ้นมา คำว่าพระเจ้ามีความหมายหลายอย่าง พระเจ้าคือแสงสว่าง พระเจ้าคือธรรมหรือพระธรรม พอพระเจ้าคือแสงสว่างคือธรรม เพราะธรรมะคือแสงสว่าง คือกฎธรรมชาติ มีอำนาจธรรมชาติ คือแสงสว่างได้ หรือจะเรียกว่าธรรมหรือพระธรรมคือคำพูดก็ได้ กฎธรรมชาติมันบังคับลงไปเลย ไม่มีใครเถียงได้ คำพูดของธรรมชาติ มันบังคับก็แปลว่าต้องปรุงแต่งและเกิดขึ้น อวิชชาปรุงแต่งและเกิดขึ้น เกิดโลกเกิดมนุษย์ เกิดอะไร เรียกคำปกาศิตของพระเจ้าหรือของธรรมทีแรก นั้นโลกมันก็ต้องเกิดขึ้น โลกคราวนี้หรือโลกคราวไหนมันก็ต้องเกิดขึ้น ถ้าเราถือว่าโลกเพิ่งเกิดคราวนี้ก็คราวนี้ ถ้าถือว่าโลกเกิดมาแล้วหลายร้อยครั้งหลายหมื่นครั้ง มันทำให้เกิดขึ้น งั้นคุณก็ไม่รู้แล้วใช่ไหมว่าสุญญตาอยู่ที่ไหน ไม่รู้แล้ว เลยไม่รู้ไปแต่งงานกันที่ไหน น่าหัว ล้มเหลว
พวกที่พูดว่าไม่มีอะไร น่าชอบใจกว่าทางภาษาธรรม ภาษาธรรมะแท้ชั้นสูงจะพูดว่าทีแรกที่สุดก็ไม่มีอะไรดีกว่าที่จะพูดว่ามีพระเจ้าหรือมีอะไร เพราะถ้าพูดว่ามีธรรมะมันก็คล้ายกับมีอะไรเสีย ไม่ว่าง มันต้องอธิบายธรรมะด้วยความว่าง ยืดยาว ลำบากมาก พูดอย่างพวกเซ็น ทีแรกมันไม่มีอะไร เผลอนิดเดียว โง่นิดเดียว ความโง่เกิดขึ้นมา ความโง่มันตั้งต้นให้มีอะไรอยู่ชั่วขณะที่ความโง่มันมี พอเราทำลายความโง่หรือจิตทำลายความโง่ได้ก็ฉลาด คือหมดโง่ มันก็เท่านั้นแหละ มันก็ไม่ต้องฉลาด มันก็เท่าเดิม คือไม่มีอะไร เขาได้เปรียบมาก พอพูดว่าไม่มีอะไร เพิ่งจะมี นาทีที่ 30:45 ฟังไม่รู้เรื่อง ของอวิชชาขึ้นมาหน่อยนึง พูดชั่วขณะหนึ่ง เกิดความคิดโง่ๆเขลาๆขึ้นมามีตัวฉันมีของฉันเป็นอุปทานขึ้นมา เดี๋ยวมันก็หมดไป เพราะว่าหมดความต้องการ มันก็ดับไป มันก็ว่างเท่าเดิม ไม่มีอะไรเท่าเดิม ของเขาสั้น พูดอย่างสั้น ปฏิบัติได้ง่ายมากสั้นมาก มันมีทางที่จะเป็นว่าง คือแต่งงานกับสุญญตา อยู่ได้เรื่อยไป ก็ง่ายกว่าคือจิตจะเข้าถึงหรือซึมซาบอยู่ในสุญญตาได้ง่ายกว่า ถ้าพูดว่ามันเป็นอย่างนั้น
ถ้าพูดว่ามีพระเจ้าหรือมีธรรมะที่ปรุงแต่ง อำนาจปรุงแต่งอย่างใหญ่หลวง อย่างเด็ดขาด มันก็ยาก เหมือนที่พวกอภิธรรมพูดว่ามีกิเลสอยู่ตลอดกาล มีกิเลสอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่ากิเลสเพิ่งเกิดนิดๆหน่อยๆเป็นครั้งเป็นคราว คนละวิธี พูดกันคนละวิธี คือว่ากิเลสคืออนุสัย สังโยชน์ เกิดอยู่ในสันดาน มีตลอดกาลไม่เกิดไม่ดับ กลายเป็น นาทีที่ 32:14 ฟังไม่รู้เรื่อง การพูดอย่างนั้นเท่ากับพูดว่า อวิชชาเป็นนาทีที่ 32:27 ฟังไม่รู้เรื่อง อวิชชาเป็นของเที่ยง ประจำ ไม่เกิดไม่ดับเลย ถือว่าอวิชชาก็เป็นสังขละ คือเกิดดับ เกิดดับ เป็นสังขารธรรม
ถ้าว่าแต่งงานกับสุญญตามันง่ายนิดเดียว ก็คือขณะที่เราไม่มีอุปทานว่าตัวเรา ว่าของเรา หย่ากันเร็วเกินไป ไม่กี่นาทีก็หย่า ก็แต่งงานกันอีก เป็นธรรมดา เป็นปุถุชน ซึ่งเดี๋ยวก็เกิดอุปทาน เดี๋ยวก็ไม่เกิดอุปทาน เดี๋ยวก็เกิดอุปทาน เดี๋ยวก็ไม่เกิดอุปทาน วันหนึ่งหลายครั้งหลายหน ก็เรื่องเดียวปฏิจสมุปบาท วันหนึ่งหลายครั้งหลายหน การที่มันดับไปก็เข้าถึงความดับ ความไม่มีอะไร ได้กลิ่นรสของสุญญตาและของธรรมะที่เป็นความดับสนิท เดี๋ยวมันเผลอมีอีก มีอวิชชาปรุงแต่งทางตา ทางหู ก็หย่ากันอีก ก็มามีความทุกข์อีก ก็มีแต่พระอรหันต์พวกเดียวที่แต่งงานกับสุญญตาโดยแท้จริงตลอดกาล ที่ยังเป็นหมาหางไหม้ไฟคือยังมีกิเลส มีตัวกูของกูอยู่ พูดอย่างสมมติก็ว่าสุญญตาไม่ยอมเข้าใกล้ผู้ที่มีหางไหม้ไฟ ก็จะแต่งงานได้อย่างไรเมื่อไม่ยอมเข้าใกล้ เคยพูดชวนหัวมีอยู่ในเทปม้วนหนึ่ง ไปเอามาเปิดฟัง แล้วไม่ทันจะจบ ไม่ได้พูดให้สิ้นกระแสความ พูดได้สักตอนเดียว หรือสองตอน แล้วก็ไม่ได้พูด เลิก ไม่ได้พูดแบบนี้
งั้นพูดธรรมะแบบล้อคนฟังไปพลาง ถ้างั้นมันง่วงนอน เบื่อ ไอ้เรื่องธรรมะกลายเป็นเรื่องเบื่อ เมื่อแต่งงานกับสุญญตา โดยภาษาบุคลาธิษฐานนี่ ในตอนนั้นก็ไม่เป็นหญิงหรือเป็นชาย ไม่มีความรู้สึกเป็นตัวกู งั้นก็ไม่มีเป็นหญิงหรือเป็นชายได้ ถ้าพูดแนวนี้มันก็ไม่เป็นลูกเขยลูกสะใภ้ใคร แต่ถ้าพูดโดยสมมติ ผู้หญิงก็เป็นลูกสะใภ้ของสุญญตา หรือผ้ชายเป็นลูกเขยของสุญญตา ซึ่งต้องยกไปให้พระเจ้าหรือพระพุทธเจ้า เป็นลูกเขยพระพุทธเจ้า พูดอย่างสมมติ พูดอย่างบุคคล มีหญิง ชาย ก็มีปัญหาที่คนเถียงขึ้นมา ถ้างั้นสุญญตาเป็นได้ทั้งหญิงทั้งชายหรือเป็นกระเทย หัวเราะกัน เพราะแต่งงานกับผู้หญิงก็ได้ แต่งงานกับผู้ชายก็ได้ นั่นน่ะไอ้ความฟั่นเฝือระหว่างภาษาคนกับภาษาธรรมมันมีมาอย่างนี้ ไอ้เราพูดภาษาคนอยู่เรื่อย คนที่ไม่รู้ธรรมะก็พูดภาษาคน ก็พยายามจะพูดให้เป็นภาษาคน เป็นอุปมา เปรียบเทียบเรื่อยมา ตั้งต้นก็ใช้คำว่าแต่งงาน คนชอบแต่งงาน ไม่ชอบอยู่เฉย เลยดึงเรื่องนี้เข้าไปหาเรื่องโลกุตตระคือไม่มีหญิง ไม่มีชาย หรือไม่แต่งงาน มันก็เลยฟังยาก อธิบายไม่เป็น เช่นเดียวกับที่สมมติให้พระธรรมเป็นนางฟ้า มันก็คือผู้หญิงสิ ถ้าเป็นนางฟ้า พระไตรปิฎกสมมติเป็นนางฟ้า นาทีที่ 38:26 ….. แปลว่านางฟ้า เกิดออกมาจากดอกบัวคือปากของพระพุทธเจ้า ขอให้มาช่วยทำให้ใจของข้าพเจ้าหลงใหลเป็นบ้าไปเลย หลงใหลในนางฟ้า แล้วจะได้เรียนพระไตรปิฎก ผู้ชายพูดข้างเดียว ผู้หญิงเหลวเลย แล้วผู้หญิงก็ไม่มีปัญหาเรื่องเรียนพระไตรปิฎกสมัยนั้นไม่เหมือนสมัยนี้ เป็นคาถาหรือเป็นบทที่ต้องภาวนา ทั้งลูกประคำ เวลาเรียนพระไตรปิฎก หรือก่อนลงมือเรียนพระไตรปิฎก หรือหลังเรียนพระไตรปิฎกแล้วก็ตามต้องพูดคาถานี้ นาทีที่ 39:30 เป็นคาถา จงทำใจของข้าพเจ้าให้ดูดดื่ม ให้หลงใหล นางฟ้าที่เกิดในดอกบัวคือปากของพระพุทธเจ้าผู้เป็นจอมแห่งมุนี ซึ่งเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย จงทำใจของข้าพเจ้าให้บ้าให้หลงใหลดูดดื่มไปเลย อันนี้มันควรจะนึกดูว่าทำไมเขาต้องใช้วิธีอย่างนี้ ทำไมเขาต้องใช้วิธีถึงขนาดนี้ เพราะเหตุอะไร
เพราะว่าพระไตรปิฎกมันมากเหลือเกิน มันมากจนเรียนไม่ไหว มันมากจนคนธรรมดาเรียนไม่ไหว ถ้าคนที่บ้า หลงใหลเหมือนกับบ้านางฟ้า เรียนได้ อีกทางหนึ่งครูบาอาจารย์โบราณพูดว่าเรียนพระไตรปิฎกเหมือนปิ้งช้าง ย่างช้าง การจะปิ้งช้างตัวหนึ่งให้สุก มันมีพิธีรีตรองมากน้อยขนาดไหน หรือว่าสัตว์อะไรก็ได้ที่มันใหญ่กว่าช้างเป็นดี ปิ้งช้างตัวหนึ่งให้สุก ลองดู ไอ้เรื่องของธรรมะมันมีขนาดนี้ นั้นอย่าไปทำเล่นกับมัน คุณตั้งใจจะทำอะไรก็ต้องตั้งใจขนาดว่าจะย่างช้างให้สุก ไม่งั้นไม่ได้ มันต้องอดทนมาก มันนานมาก ให้จำคำว่าปิ้งช้างไว้ ถ้าใครสู้ได้ ปิ้งไหวก็ได้ แต่งงานกับสุญญตาได้ง่ายนิดเดียว ไอ้พวกนี้ที่มาหาผมสองชั่วโมงรู้ธรรมะหมด มันบ้าขนาดนั้น ที่มาเขาตั้งใจ ไม่ใช่มาหาเราสองชั่วโมงรู้ธรรมะหมด ข้อเท็จจริงมันต้องถึงขนาดปิ้งช้าง ช่วยไม่ได้ ต้องพยายามปลุกปล้ำด้วยตนเอง
การปิ้งช้างในที่นี้หมายตามธรรมดา ปกติของคนสามัญธรรมดา ไม่ใช่สมัยใหม่ ไม่ใช่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่มีเครื่องมือวิเศษวิโส คิดถึงยายแก่ตาแก่สองคนผัวเมียจะย่างช้างให้สุก ลำบากขนาดไหน เขาถึงต้องมีพิธีขึ้นครู ลงมือเรียนพระไตรปิฎก มอบหมายนั่นนี่ สร้างกำลังใจกันใหญ่โตเลย ให้คนเรียนพระไตรปิฎก ต้องท่องคาถานี้ คาถาที่ว่านางฟ้าจงทำใจของข้าพเจ้าให้เคลิบเคลิ้ม ทั้งเช้าทั้งเย็น ทั้งเช้าทั้งเย็น ทุกคราวที่จะเรียน นาทีที่ 44:20 ฟังไม่รู้เรื่อง
ผู้ชายก็จะหาทำยายากที่จะกล้าคิดที่จะเรียนพระะไตรปิฎก หมายถึงสมัยโบราณ สมัยก่อน ให้ทำอะไรซ้ำๆซากๆ เป็นเวลาหลายสิบปี เด็กโลเลเหลาะแหละมันทิ้งเสียก่อน บวชสามเดือนไม่ทันออกพรรษา จีวรร้อนเป็นไฟ จะแหกพรรษา อยู่ก็ทะเลาะวิวาทกัน ก็ยังไกลมากที่จะแต่งงานกับสุญญตา มีหางไหม้ไฟลุกโพลง เดี๋ยวนี้หางไหม้ไฟลุกโพลง กำลังนั่งทับไว้หรือเปล่า ไม่ให้ใครเห็น
พูดแบบนี้ เหมือนพูดเรื่องพระอรหันต์ ไอ้ความหมายทางกามารมณ์ นาทีที่ 46:24 ฟังไม่รู้เรื่อง คนธรรมดาละทิ้งเรื่องนี้ไม่ได้ เอาธรรมะชั้นสูงไปเปรียบเทียบโดยอุปมากับเรื่องของชาวบ้าน เรื่องผัวเรื่องเมีย ก็เพื่อปลุกเร้าความสนใจให้หลงใหลในธรรมะ เหมือนผู้ชายหลงผู้หญิง ผู้หญิงหลงผู้ชาย เมื่อพูดให้นางสาวสุญญตาเป็นนางสาวขึ้นมา เป็นนางสาวที่สาวเสมอตลอดอนันตกาลไม่หมดความเป็นสาวเพื่อล่อใจคน ส่วนที่ไม่เปลี่ยนแปลงของ นาทีที่ 47:35 ฟังไม่รู้เรื่อง สังขารที่มีความสดชื่นเป็นสุข ไม่มีความทุกข์อยู่ตลอดกาลก็เป็นความหมายของนางสาวสุญญตา เป็นการโฆษณาชวนเชื่อให้คนหลงใหลในนางสาวสุญญตา พยายามที่จะแต่งงานโดยการปิ้งช้าง เป็นของสืบพันธุ์ ในการปิ้งช้าง
ถ้าพูดถึงสมัยนี้ ไม่ยาก การเรียนพระไตรปิฎกสมัยนี้ไม่ยาก ไม่มีความหมายเหมือนปิ้งช้าง ถ้าเรามีมันสมองฉลาดกว่า มีวิธีดีกว่า อุปกรณ์ดีกว่า แตกฉานได้ ไม่ถึงขนาดที่ว่าล้มละลายเหมือนปิ้งช้างสมัยก่อน สมัยก่อนการมีพระเณรเข้ามาเรียนบาลีเรียนพระไตรปิฎกนี่พันคนจะประสบความสำเร็จสักหนึ่งคน พ่ายแพ้ถอยหลังกลับไป เขาเลยเปรียบว่าปิ้งช้าง แต่พอมาถึงเดี๋ยวนี้ มีวิธีเรียน วิธีการ วิธีสอน เครื่องมืออุปกรณ์การสอน กลับไม่มีใครเรียน ไม่มีใครศรัทธาที่จะเรียน ศรัทธาอย่างสมัยก่อนไม่มี ความลุ่มหลงในพระศาสนา ในพระไตรปิฎกไม่มี เมื่อก่อนมันมี ฟังแล้วอยากเรียนอยากได้กุศลใหญ่หลวง เรียนกันจนเป็นบ้า ส่วนมากเป็นบ้า เรียนบาลีจนเป็นบ้า ไม่รู้ทำใจให้อยากรู้ ทรมานใจจนเป็นบ้า ร้อยก็ทั้งร้อยเป็นบ้า หรือว่าไม่ประสบความสำเร็จ
เดี๋ยวไปดูหนังสือสักชุดหนึ่ง หน้ากุฏิ วางอยู่ เป็นหนังสือดี ที่ดีในทางอยากให้เรียน หนังสือชุดนั้นมีอยู่ 74 เล่ม ปริมาณมากกว่าพระไตรปิฎก สำหรับเรียนสิบปี เขาทำแผนการไว้เสร็จ สามเล่มแรกจะต้องเรียนอย่างไร อ่านอย่างไร ปีที่หนึ่งจะต้องอ่านเล่มไหนเฉพาะตรงไหน ปีที่สองจะต้องอ่านเล่มไหน กี่เล่ม ตรงไหน จนกระทั่งครบสิบปี จะผ่านหนังสือนั้นหมด จะมีความฉลาดในแง่ ประมาณร้อยกว่าแง่ ในแง่ นาทีที่ 50:53 ฟังไม่รู้เรื่อง ในแง่จิตวิทยา ในแง่ศาสนา ในแง่มนุษยวิทยา ในแง่ทุกอย่างเลยกระทั่งหนังสือหนังหาต่างๆ เนี่ยผมเห็นถึงรู้ว่าทำไมถึงไปไกลมากในการที่จะเรียนอะไรให้รู้ เขาเขียนไว้ชัดหมดแม้กระทั่งเด็กให้เรียนยังไง จะให้เด็กอ่านหนังสือชุดนี้ยังไง เป็นลำดับไป พ่อแม่ผู้ใหญ่จะเรียนยังไง ถ้าเรียนหมด หนังสือชุดนี้เท่ากับหมดสิ้น ไอ้ของหนังสือที่เป็นสาระ เป็นของชั้นดีเลิศของฝ่ายตะวันตก ของฝ่ายฝรั่ง มันมีหมด นาทีที่ 51:43ฟังไม่รู้เรื่อง สมัยปัจจุบันเร็วๆนี้เกิดหนังสือยิ่งใหญ่ของฝ่ายตะวันตก ไม่มีพระไตรปิฎกรวมอยู่ในนั้น ไม่มีของฝ่ายตะวันออกเลย ศาสนาอะไรต่างๆของฝ่ายตะวันออกไม่มีรวมอยู่เลย เฉพาะฝ่ายตะวันตกมีทั้งนั้น ทำไว้ดีมาก ถ้าหนังสือฝ่ายตะวันออกของเราหมดทั้งหนังสือศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์อิสลาม เล่าจื้อ ขงจื้อ ทำกันได้อย่างนี้จะวิเศษ แต่ฝรั่งมันไม่ทำ มันกลัวของเราจะปรากฎมาดี ผมว่าเอาเองว่าฝรั่งไม่กล้าทำ ขืนทำวิชาความรู้ของฝ่ายตะวันออกออกมาในรูปนี้มันจะดีกว่าฝรั่ง จนฝรั่งเป็นขี้ไก่เลย เขาทำฝ่ายของเขามา บริษัทที่ทำหนังสือเอนไซโคลปีเดียนาทีที่ 52:58ฟังไม่รู้เรื่อง ถ้าใครจะซื้อทีเดียวทั้งชุดเขาไม่ขาย เราขอซื้อทีเดียวทั้งชุดไม่ขาย จะต้องจ่ายเงินเดือนละ 340 ทุกเดือน ทุกเดือนๆ 30 เดือน สองปีครึ่งเป็นเงินหมื่นบาท ให้ทันทีหมื่นบาทไม่เอา ไม่ยอมให้หนังสือเรามาหมดเลย ไม่ได้ให้ทีละเล่มสองเล่ม คือให้หมดเลยเป็นราคาหมื่นบาท ไม่ยอมรับเงินทีเดียวหมื่นบาท บังคับให้จ่ายเป็นรายเดือน ส่งคนมาเก็บ 30 เดือน มันทำดีมาก แล้ววิธีการมันก็มันก็หยั่งใจคน ให้ลงเห็นด้วยว่าเขาต้องดี เขาต้องกล้า ถึงอ่านไม่รู้เรื่องก็ไปดูเพราะมันสวย ทำซะสวย 54เล่มใหญ่ๆ ไปตามคน ผู้สอน เป็นเรื่องๆ แล้วมันทำเป็นชุดพิเศษสองชุด โดยเก็บเรื่อง เช่นว่าเรื่องคนของใครบ้างก็ไปใส่ไว้ เป็นเนื้อหรือสาระของมันทั้งหมด ตั้งชื่อว่าเป็นอุดมคติสูงสุดจากทั้งหมดนี้ทุกชุด ให้เรียนง่ายๆ ชุดละ 10 เล่ม สองชุด ทั้งหมดเป็น 74 เล่ม ไม่มีวิธีไหนดีเท่าวิธีนี้ ที่จะให้คนศึกษาของมากมายยิ่งกว่าพระไตรปิฎกในเวลา 10 ปี พระไตรปิฎกยังอยู่ในสภาพที่รุงรัง สับสนรุงรังเหมือนกับเข้าไปในดงไผ่ ออกไม่ได้ ป่าไผ่ที่มันหนาๆ รุงรังไม่รู้อะไรไปทางไหน คือมันไม่ถูกตัด ไม่ถูกแยกแยะ ให้เห็นชัด มันเป็นยังไง ศึกษายังไง ศึกษาทางไหนก่อน เจาะเข้าไปตรงไหนก่อน แล้วเดินไปทางไหน มันไม่มีใครทำเลย เราจึงผ่านพระไตรปิฎกเข้าไปไม่ได้ ทั้งที่เดี๋ยวนี้พิมพ์ขายเพียงชุดละ 1600 บาท ที่แปลไทยนะ ขายชุดละ 1600 บาท ยังเป็นของที่มืดตื้อ
ไม่มีหวังที่จะแต่งงานกับสุญญตา มืดหูอื้อไปหมดเลย เวลาที่เรานึกว่าเราเป็นผู้ชาย วันหนึ่งกี่นาที ลองสังเกตดู ไม่ใช่ให้ตอบเดี๋ยวนี้ก็ได้ ลองสังเกตดูเอง เราจะมีความรู้สึกลึกๆว่าเป็นผู้ชาย หรือต้องการอะไรอย่างผู้ชาย วันหนึ่ง คืนหนึ่ง 24ชั่วโมง กี่นาที ทีนี้ในระยะที่ไม่ได้นึก เราเป็นอะไร เป็นผู้ชายหรือเปล่า ผู้หญิงก็เหมือนกัน มันก็ต้องเหมือนกันแหละ ทีนี้มันคิดว่าเป็นผู้ชายตลอด 24 ชั่วโมงไหม นาทีที่ 57:28 ฟังไม่รู้เรื่อง เป็นผู้ชาย 24 ชั่วโมงทุกวันเลย แล้วมันจริงหรือเปล่า โง่หรือฉลาด นี่คืออุปาทานซ้อนอุปาทาน โง่สองเท่าสามเท่าสี่เท่า เช่นเดียวกับคนที่คิดว่ากิเลสมีอยู่ตลอดกาลพื้นฐานในสันดาน นาทีที่ 57:45 ฟังไม่รู้เรื่อง มันเป็นสิ่งที่ป้องกันได้ที่จะไม่ให้ความรู้สึกนี้เกิดขึ้น คงจะมีคนกลัวซะอีก ไม่มีประโยชน์อะไร มันจะบ้าชนิดหนึ่งก็ได้ ไม่กล้าคิด ที่จะไม่เป็นอะไร ไม่เป็นอะไรเลย ไม่เป็นดี ไม่เป็นชั่ว ไม่เป็นหญิง ไม่เป็นชาย ไม่มีได้ไม่มีเสีย ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ไม่กล้าคิด เพราะอาจจะมีความสุข สุขอย่างผู้หญิงหรืออย่างผู้ชายด้วย แล้วก็มากอย่างนั้น อย่างนี้ อย่างโน้น เรื่องอย่างนี้มันเหมือนกับเป็นเรื่องพูดกันในซอก พูดกันนาทีที่ 58:43 ฟังไม่รู้เรื่อง
แต่ว่ามันเป็นเรื่องที่จริงที่สุดและเป็นเรื่องที่รวบรัดที่สุด ลัดสั้นที่จะเข้าใจ เรื่องนิพพาน เรื่องหลุดพ้น เรื่องว่าง ตะกี้พูดยังไม่ทันจบ คุณ(ชื่อคน) ก็ไม่ได้ตอบว่า 24 ชั่วโมง เรารู้สึกว่าเราเป็นผู้ชายกี่นาที กี่วินาที บางวันลืมไปหมดเลยนะ กล้าพูดไหม บางวัน ผมว่าบางวัน แล้วมันก็ไม่ได้เป็นไร มันไม่มีความต้องการ บางวันมันอาจจะมีมาก แล้วแต่คน แล้วแต่อายุ แล้วแต่วัย แล้วแต่การศึกษา และสิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อมรอบตัว แล้วเมื่อมันไม่มีความหมายเรื่องผู้ชาย เรื่องผู้หญิงเข้ามา จิตใจมันกำลังทำอะไรอยู่ แล้วก็ตอบคำถามสุดท้ายว่าเวลาไหนสบายที่สุด เวลาที่รู้สึกว่าเป็นผู้ชาย มีความต้องการอย่างผู้ชาย ชนิดหนึ่ง แล้วเวลาที่ไม่รู้สึกอย่างนี้ เวลาไหนสบายที่สุด คงไม่เหมือนกัน แต่ว่าส่วนใหญ่ หรือข้อเท็จจริงคุณก็ตอบได้ เวลาที่ไม่รบกวนสบายที่สุด แต่ไม่มีใครต้องการ นี่คือข้อที่มีจิตใจเหมาะสมที่จะศึกษาธรรมะ ของเด็กๆของคนหนุ่มคนสาวทั่วไป โดยเฉพาะในสมัยนี้ ที่ว่ามีปัญหามาก ทั้งที่ว่าในเวลาที่เราไม่มีความรู้สึกว่าเป็นผู้หญิงเป็นผู้ชาย สบายที่สุดเพราะไม่มีใครต้องการ เพราะว่าจิตใจมันต่ำเกินไป มันถูกครอบงำมากเกินไปโดยสิ่งที่แวดล้อมของสมัยนี้ แม้แต่เด็กที่ติดแจอยู่กับเรื่องยั่วยุส่งเสริมเรื่องนั้น เรื่องละคร เรื่องวิทยุ เรื่องโทรทัศน์นั่นนะยิ่งตกลึกเข้าไป ยิ่งตกไกลลึกๆๆๆ ไม่มีทางที่รู้สึกว่าเวลาที่เราไม่มีอะไรไม่เป็นอะไรเป็นเวลาที่สบายที่สุด ผมแทบจะทำสถิติไว้ ไอ้คนที่มาหาที่นั่งคุยที่หน้ากุฏิ ผมดูหน้าทุกคนไว้แล้ว พอผมพูดประโยคนี้ออกไปนะ ว่าเวลาที่เราไม่รู้สึกว่าเรามีอะไร แม้แต่ตัวของเรา ชีวิตของเรา เป็นเวลาที่เรามีความสุขที่สุด ไม่งั้นมันง่วงนอนทันทีเลย มันหน้าเบ้ทันที มันไม่อาจจะเข้าใจ แล้วไม่ปฏิเสธล่วงหน้า ไม่อยากฟัง เพื่อจะให้รู้ว่าเวลาไหน จิตใจหัวใจของเรารู้สึกสบายที่สุด เป็นสุขที่สุด ก็พูดให้เป็นสมมติฐาน เวลาที่เราไม่มีความรู้สึกว่าเรามีอะไร เป็นตัวเราหรือของเรา มันยิ่งกว่าสิ้นเนื้อประดาตัว คือไม่มีอะไรเลย เวลานั้นเราสบายที่สุด น้อยคนที่จะมีคนสนใจ จะเข้าใจสักคนหนึ่ง เพราะงั้นมันก็ปล่อยจิตใจ ไม่อยากฟัง หมุนหน้าไปทางอื่น ใจลอยไปทางอื่น ไม่ไหวโว้ย ไม่ไหวโว้ย มาทางนี้ไม่ไหวแล้ว เราพยายามอธิบายว่าเวลาที่เราไม่ได้นึกถึงตัวเรา ไม่ได้นึกว่าเรามีอยู่ในโลก ไม่รู้สึกว่าเรามีอะไร เป็นอะไรต้องการอะไร ไม่มีตัวฉัน ไม่มีชีวิตอยู่เลย เราสบายที่สุด มันจริงที่สุด ถูกต้อง ไม่สนใจ ไม่เข้าใจ ไม่พยายามทำความเข้าใจ มันจึงเข้าใจเรื่องสุญญตาไม่ได้ พอเราบอกว่า สุญญตามันมีอยู่วันหนึ่งหลายชั่วโมงอยู่แล้ว เวลาที่สบายที่สุดนั้นแหละ ไม่สนใจ ไม่คอยตั้งหน้าตั้งตาสนใจ จับให้ได้ก่อน จับข้อเท็จจริงอันนี้ให้ได้ก่อน สักอย่างหนึ่งก่อนว่าเวลาที่เราไม่ได้รู้สึกว่าเรามีอยู่ เป็นอยู่นั่นน่ะเวลาที่สบายที่สุด เวลาที่แต่งงานกับสุญญตา นาทีที่ 1:04:40 ฟังไม่รู้เรื่อง เวลานั้นมันสบายที่สุด เอาไปคิดดู ไปสังเกตดู
พอมีตัวฉันตัวกูของฉันขึ้นมา มันก็เป็นหมาหางไหม้ไฟ อาจจะจริงที่บางคน โดยมากบางคนชาวบ้านเวลาที่เหมือนกับหมาหางไหม้ไฟมาก มาก มากกว่าเวลาว่าง นาทีที่ 1:05:20 ฟังไม่รู้เรื่อง ลืมไปว่าเราเป็นอะไร แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังมีมากกว่าที่มันไปมีหางไหม้ไฟ หมายความว่ามันน้อยคน ชาวไร่ชาวนาแถวนี้ไม่กี่คนที่เป็นโรคเส้นประสาท หรือวิกลจริต มันน้อย ที่กรุงเทพจะมากกว่า ที่กรุงเทพมันมีส่วนที่เป็นหมาหางไหม้ไฟมากกว่าที่บ้านนอก เพราะมันจึงเป็นโรคประสาทมากขึ้น เป็นโรคจิตมากขึ้น จนล้นโรงพยาบาล เวลาที่แต่งงานกับสุญญตามันไม่มี มันไม่ค่อยจะมี มันมีน้อยเกินไปหรือมันไม่มีเลยก็ได้ ไอ้คนที่มันบ้าจัดๆบางคนในกรุง แต่ถึงอย่างไรก็ตามอย่างน้อยที่สุดมันก็ต้องมีเวลาที่มันหลับ มันกินเหล้าเมาหลับไป นั่นมันจึงอยู่ได้เพราะเหตุไม่เป็นบ้า เพราะเหตุที่เวลาที่มันหลับยังมีบ้าง ถ้าแม้กระทั่งนอนก็ไม่หลับ มันไม่ได้มันต้องเป็นบ้า มันลงนรกอเวจีเลย มันต้องมีจิตใจที่เป็นทุกข์ เป็นไฟในจิตใจเร่าร้อนไม่กี่วันก็คงเป็นเส้นประสาท เป็นโรคจิตจะต้องไปตายฆ่าตัวตายหรือตาย นี่ก็ยังดีที่มันอยู่ได้ในเวลาที่มันว่างไม่มีตัวเราบ้าง แต่งงานกับสุญญตาสองสามนาทีต่อวัน
แถวบ้านนอกคอกนายังมีอยู่บ้าง ถ้าเราออกมาบวชอย่างนี้ ก็หมายความว่าต้องการให้มันมีมากกว่านั้น เวลาที่อยู่กับสุญญตาควรจะมีมากกว่านั้น มันจึงผ่องใส จึงสบายมากขึ้นมากขึ้น สมกับเป็นบรรพชิต เว้นไปได้ไกลจากสิ่งที่เป็นทุกข์ ไปได้ไกลกว่า บวชชี บวชเณร บวชพระ บวชเถร มันมุ่งหมายอย่างนี้แหละ มุ่งหมายเพื่อแต่งงานกับสุญญตาเป็นเวลานานกว่า
แต่เดี๋ยวนี้เมื่อมามองเห็น ไม่มีประโยชน์ ไม่มีรส ไม่มีชาติ ไม่น่าเสน่หา ไม่น่าสนใจ มันก็เลยพูดกันไม่รู้เรื่อง แล้วไอ้พวกที่ว่าตั้งตัวเองเป็นผู้ชอบธรรมะ ชอบศาสนา ยิ่งพูดไม่รู้เรื่อง แล้วพวกนักอภิธรรมยิ่งไม่รู้เรื่องกว่าพวกไหนอีก เพราะนักอภิธรรมเขาติดตัวหนังสือ ติดหลัก ติดเกณฑ์ ติดคำพูดภาษาคน อย่างนรกสวรรค์เขาต้องไปตามภาษาคนหมด อย่างผมพูดคำว่าบ้าเลย มันก็ไม่รู้เรื่อง ก็พูดกันไม่รู้เรื่อง คำว่าสวรรค์ในอกนรกในใจฟังไม่รู้เรื่อง ไม่มีทางจะรู้เรื่อง
เมื่อคืนมีใครเอาเทปไปส่งทางวิทยุ ความร้อนใจคือสัตว์นรก ความโง่คือสัตว์เดรฉาน ความหิวคือเปรต ควากลัวคืออสุรกาย คงได้ยินกันมากขึ้นๆ ไม่มีใครเห็นด้วย โดยเฉพาะพวกอภิธรรมพยายามจะค้านเตรียมพร้อมที่จะค้านว่าเราเป็นผู้ตู่พุทธวัจนะ หรือเป็นผู้ทำลายล้าง แล้วเราก็ไปยืนยันว่านี่คือจริงที่สุด คือถูกที่สุด แล้วก็สนใจที่สุดอยากตกนรกชนิดในอกในใจ แล้วไม่มีตกนรกชนิดไหน ไม่มีตกอบายชนิดไหน อยู่ที่นี่ก็ต้อง นาทีที่ 01:09:21 ฟังไม่รู้เรื่อง แล้วมันก็เรื่องเดียวกันอีกเรื่องสุญญตา พูดได้หมดไม่ตกนรกด้วย แล้วก็ไปเหนือสวรรค์ซะอีก ถ้าเป็นสวรรค์ก็สวรรค์อีกแบบหนึ่งคือสวรรค์ที่เรียกว่าอยู่กันอันเดียวกับพระเจ้าคือนิพพาน ไม่ใช่สวรรค์กามารมณ์เหมือนที่เขาเขียนตามฝาผนังโบสถ์
รวมกันแล้วไอ้เรื่องที่มันไม่อาจจะเข้าใจกันได้มันต้องมี ช่วยไม่ได้ หาว่าเราบ้าก็ตามใจ เราก็ว่าเขาบ้าก็ได้ ถ้าคนมีปากจะว่าก็ต่างคนต่างว่าได้ แต่เดี๋ยวนี้เรามาพิจารณาถึงว่าอย่างไหนมันเร็วกว่า มันใกล้ชิดกว่า มันเข้าถึงธรรมะง่ายกว่าและเร็วกว่าสะดวกกว่า สะดวกอย่างธรรมชาติธรรมดา ไม่ต้องมีอะไร ที่พูดอย่าง อย่าทำอะไร อย่าทำอะไร ไม่ต้องทำอะไร มันจะมีธรรมะหรือถึงธรรมะ ที่นี้มีอะไรทำอะไรก็ต้องการด้วยกิเลสตัณหา อยากดีอยากเด่นอยากเป็นพระอรหันต์ อยากถึงขนาดอยากได้นิพพานทั้งที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร มันอยากไปเรื่อย ถึงว่าให้ลองสังเกตดูให้ดีไอ้เวลาที่จิตว่างเป็นสุญญตา 24 ชั่วโมงมีกี่นาที เวลานั้นนะเป็นเวลาที่ไม่ทำอะไรอย่าง (ใคร) ว่า นาทีที่ 01:11:22ไม่ทำอะไรเลยนะ แต่ว่าเราอาจจะกำลังกินข้างอยู่ก็ได้ อาบน้ำอยู่ก็ได้ ผูกเหล็กอยู่ก็ได้หรือทำอะไรอยู่ก็ได้ คล้ายๆกับว่าไม่ได้ทำอะไร พวกแม่ครัวกำลังทำครัวอยู่ก็ได้ นาย(ชื่อคน) กำลังขุดดินอยู่ก็ได้ ไม่ทำอะไรมันหมายความอย่างนี้ คือไม่มีตัวกูตัวฉันที่ต้องการอะไรและกำลังทำอะไรอยู่ นี่มันจะเป็นการเข้าใจหรือไม่เข้าใจคำว่าจงทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง
จงทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่างมันอย่างนี้คือไม่ทำอะไรอย่าง (ใคร) พูด นาทีที่ 01:12:21 แต่ผมว่าทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่างความหมายเดียวกันคือไม่ทำอะไร อย่าง (ใคร) พูด ฟังไม่รู้เรื่อง แต่เรากลับพูดว่าทำด้วยจิตว่าง นาทีที่ 01:12:35 ฟังไม่รู้เรื่อง ถ้าฟังอันแรกไม่เข้าใจอันหลังก็ไม่เข้าใจ อันต่อๆไปก็ไม่เข้าใจ ว่าตายเสร็จสิ้นแล้วตั้งแต่ทีแรกยิ่งไม่เข้าใจใหญ่ นี่หมายถึงเป็นพระอรหันต์หรือสมรสกับสุญญตาตลอดกาลเลย ตายเสร็จสิ้นแล้วในตัวแต่หัวนาทีที่ 01:12:59 ฟังไม่รู้เรื่อง
พอพูดว่าไม่ทำอะไร ไอ้พวกนั้นพวกอภิธรรมหมายถึงอยู่ตัวแข็ง หรือพูดว่าจิตว่างหมายถึงนอนแข็งทื่อ พูดไม่รู้เรื่อง มันคนละภาษา คนละความหมาย จิตว่างนี่วิ่งอยู่ก็ได้ แต่ว่าจิตว่าง หรือเรียกว่าไม่ได้ทำอะไร ผมเคยอธิบายหลายหนแล้ว คำว่าหยุดของพระพุทธเจ้าที่ตรัสแก่องคุลีมาร เป็นภาษาธรรมอย่างยิ่ง แต่ครูบาอาจารย์ตื้นๆไปสอนผิดๆ ว่าหยุดฆ่าคนเฉยๆ ว่าหยุดไม่ทำอะไร ไม่ถูก หยุดของพระพุทธเจ้าคือหยุดมีตัวฉัน ไม่มีความประสงค์อะไรไม่ต้องการอะไร พระพุทธเจ้าเที่ยวสอนคนทั้งวันทั้งคืนจะหยุดยังไง แล้วการอธิบายธรรมะชั้นลึกยังไม่ถูกต้องยังไม่สมบูรณ์อยู่มากทีเดียวมากเรื่องมากราว อย่างคำว่าหยุดที่ตรัสแก่องคุลีมาร อธิบายยากที่สุด บางครูสอนในโรงเรียนหยุดฆ่าคนเถอะ แล้วองคุลีมารฟังเพียงเท่านี้ได้เป็นพระอรหันต์ เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เป็นสิ่งที่บ้าบอที่สุด พระพุทธเจ้าต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่งจนองคุลีมารรู้เรื่องหยุดมีตัวฉัน หยุดยึดมั่ยถือมั่นในอุปาทาน คือตัวฉัน เป็นเหตุให้ต้องการนั่นต้องการนี่ไปเที่ยวฆ่าเขาเพราะอยากได้นั่นได้นี่ หยุดอย่างนี้มันหยุดจริงๆอย่างนี้
งั้นน่าสงสารในการเรียนธรรมะเรียนบาลีในโรงเรียนมันเรื่องของเด็กอมมือ แต่มันก็จำเป็นในเบื้องต้นที่เราจะต้องเรียนกันอย่างนี้เรียนกันอย่างนี้ ให้มันมากขึ้นมากขึ้น สูงขึ้นสูงขึ้น และผมก็เคยเรียนอย่างนี้อย่างเด็กอมมือ ก็เลยเป็นครูสอนเด็กอมมือ ผมเคยเป็นครูสอน อย่าว่าผมไม่เคยเป็นครู ผมเคยเป็นครูสอนนักธรรม ผมสอนนักธรรมชั้นตรีสี่สิบกว่าคนได้หมดเลย ชั้นโทสิบคน ตกคนเดียวเพราะใบสอบหาย อย่าเรียกว่าผมอวดเก่งนะ มีตกคนเดียว เพราะใบสอบหายชั้นโท ชั้นตรีได้หมดเกลี้ยงชั้นเลย แล้วเราไม่ได้โกง เรากลับจะเข้มงวดกวดขัน ลองดู ให้มันเห็นจริง เพราะว่าผมพูดภาษาของผม พูดภาษาที่มนุษย์ฟังรู้เรื่อง มันอาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ก็ได้ นักเรียนมีความรู้ แล้วมันสอบได้หมด
ผมเกี่ยวข้องกับเรื่องปริยัติอยู่สามสี่ปี สี่ห้าปี ปีที่หนึ่งก็เรียนนักธรรมตรีได้ ปีที่สองก็เรียนนักธรรมโทได้ ปีที่สามก็เรียนนักธรรมเอกได้ ปีที่สี่ก็เป็นครูสอนนักธรรม ปีที่ห้าก็เป็นเปรียญสามประโยค ปีที่หกก็เป็นเปรียญสี่ประโยคตก ตกเพราะไปนาทีที่ 01:17:02 ฟังไม่รู้เรื่อง ไม่อยากเรียน ไปเล่นถ่ายรูปเสีย ไปเล่นหีบเสียงเสีย แต่ถึงอย่างนั้นเราก็คิดว่าของเราถูก กรรมการตรวจผิดที่เลยเราตก แล้วเลิกเลย มาอยู่สวนโมกข์เลย เกี่ยวข้องกับเรื่องปริยัติอยู่หกปี สามหกปีพอดี แล้วไม่แตะต้องเลย นั้นรวมความแล้วมันต้องพูดกันให้รู้เรื่อง สอนนักธรรม สอนบาลี ต้องพูดกันให้รู้เรื่อง เดี๋ยวนี้สอบนักธรรมได้แล้วก็ยังไม่มีความรู้พูดกันไม่รู้เรื่อง เป็นนักธรรมเอกยังพูดกันไม่รู้เรื่อง เป็นมหาเปรียญแล้วก็แปลบาลีไม่ได้ อ่านพระไตรปิฎกไม่รู้เรื่อง เพราะตลอดเวลามันพูดกันอย่างไม่รู้เรื่อง มันจำๆๆๆกันไว้แล้วมัน ...ได้ ถึงแม้บางคนจะฉลาดพูดกันรู้เรื่อง ฟังดี เข้าใจดี แต่ว่าคนเหล่านี้ก็มีน้อยคนมาก แล้วคนเหล่านี้ก็ไม่อยากจะอยู่ในพระศาสนาเท่าใด ก็ใฝ่หาเงินหาอะไรไปตามเรื่องก็มีทางได้ดิบได้ดีบ้าง ก้าวหน้าเป็นอะไรกันไปเยอะแยะ เป็นขุนน้ำขุนนาง พวกเปรียญได้เปรียบกว่าผู้อื่น
อ้าวพอแล้ว ค่ำแล้วมืดแล้ว ใครอยากจะไปดูหนังสือก็ไปดู หรือว่าอยากดูหนังทะไลลามะก็ได้ บางคนบ่นจะดู ยังไม่เคยดูก็ไปดู มันเป็นเรื่องที่ทำให้มีได้ตลอดเวลา ไม่มีความรู้สึกเป็นตัวฉันที่ต้องการ มันมีสติปัญญาจะไปดูนี่เป็นความต้องการของสติสัมปชัญญะ จะได้รู้ว่าดูด้วยความอยาก ถ้าจะดูของแปลก เรื่องของความเผลอสติ ไม่ว่าง งั้นก็ระวังระวังให้หยุด แล้วมันมีสติสัมปชัญญะ จะไปทำอะไร ดูอะไรก็ได้ เขาเรียกว่าอยู่นิ่งๆ อย่างนี้กลับเรียกว่าอยู่นิ่งๆ ทีนี้เขาไปเหมาว่าอยู่นิ่งๆคือไม่ทำอะไรจิตว่างนอนแข็งทื่อเหมือนถูกยาสลบ เขามาว่าเราให้เราเป็นคนบ้า เพราะเขาไม่รู้ภาษาที่ใช้พูดกันในทางธรรม เป็นการดีที่เราคุ้ยเขี่ยข้อเท็จจริงเรื่องว่ามีภาษาคนภาษาธรรมขึ้นมา แล้วพิมพ์หนังสือเล่มนี้ขึ้นมา มีคนเขียนมาถึงผมหลายฉบับ ถึงประโยชน์ จากการอ่านหนังสือภาษาคนภาษาธรรม พวกรุ่นๆ นักศึกษารุ่นปัจจุบัน อุตส่าห์เขียนมาขอบใจ เสียสตางค์ ไม่มีอะไร ไม่ต้องอ่าน เหมือนคุณเหมือนกันสนใจภาษาคนภาษาธรรมให้เพียงพอแล้วจะเข้าใจสิ่งที่ไม่เข้าใจที่ปิดบังอยู่ได้ ที่แล้วมามันรับเรื่องแยะแล้ว แต่ว่าแต่ละเรื่องก็ยังไม่เข้าใจ คิดว่าเข้าใจไม่เพียงพอ หัดฝึกให้เข้าใจให้ลึก เป็นชั้นๆๆๆๆ เช่นไปนั่งดูภาพเสียงขลุ่ยกลับมาหากอไผ่แล้วโว้ย ไปดูความหมายของมัน เป็นชั้นๆๆๆๆ อย่างน้อยสักสามสี่ชั้นให้ได้ ถ้าใครไปดู เข้าใจแล้ว ความหมายเพียงครั้งเดียว โง่