แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อรหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อรหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อรหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ (บทสวดมนต์)
ณ บัดนี้จะได้วิสัชนา ธรรมเทศนาเพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อ วิริยะความพากเพียร สอนท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัทให้เจริญงอกงามก้าวหน้าในทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลาย กว่าจะยุติลงด้วยเวลา ธรรมเทศนาในวันนี้ ณ สถานที่นี้ เป็นธรรมเทศนาพิเศษ ดังที่ท่านทั้งหลายก็ควรจะทราบได้อยู่เองแล้วเป็นส่วนใหญ่ ที่ว่าเป็นพิเศษจริงๆ นั้น ก็เนื่องด้วยวันนี้เป็นวันที่อาตมาอยากจะทำอะไรสักอย่างหนึ่งเป็นที่ระลึกแก่วันที่ ๒๗ พฤษภาคมของทุกๆ ปี มันเป็นวันครบรอบปีที่ได้เกิดมา หรือจะเรียกว่าสังขารร่างกายอันนี้เวียนมาครบรอบปีหนึ่งๆ ในวันที่ ๒๗ พฤษภาคม วันเช่นวันนี้เขาเรียกกันว่าเป็นวันเกิด ถ้าทำบุญอะไรเนื่องในวันนี้ เขาเรียกว่าทำบุญอายุ โดยความหมายทั่วๆ ไปเช่นนี้ก็นับว่ามีส่วนดี หรือส่วนที่เป็นประโยชน์อยู่เหมือนกัน ดังที่ได้ถือกันมาเป็นธรรมเนียม เป็นประเพณี และมุ่งหมายสำคัญอยู่ที่ความไม่ประมาทเป็นการเตือนให้ระลึกนึกถึงสังขารร่างกายที่ร่วงไปครบ ๑ ปี เป็นเครื่องกำหนดนับ สำหรับจะกำหนดความเปลี่ยนแปลงมีความชรา เป็นต้น แต่โดยมากก็มักจะทำบุญเนื่องในอายุเมื่อครบ ๖๐ ปี หรือเลย ๖๐ ปีไปแล้วเป็นส่วนมาก ทั้งนี้ก็เพราะว่าอายุที่ล่วงมาถึงขนาดนั้นเรียกว่าผ่านไปถึงวัยชรา หรือแม้จะไม่เรียกว่าชราก็ยังเรียกได้ว่า ได้ผ่านมามากจนรู้เรื่องอะไรๆ เกี่ยวกับอายุ หรือเกี่ยวกับชีวิตนี้มากกว่าคนที่มีอายุยังน้อย ทีนี้ในกรณีพิเศษก็มีอยู่ตรงที่ว่า บางคนกลัวตาย ไม่อยากตาย ก็เลยกระวนกระวายใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าโดยที่แท้ก็คือหาวิธีที่จะประกันความตายให้ยืดยาวออกไปจึงได้ทำบุญเนื่องด้วยอายุเพื่อความประสงค์อันนั้น เขาก็เลยเรียกกันว่าทำบุญต่ออายุ ส่วนในกรณีของอาตมานี้ไม่ได้หมายความว่าเป็นการต่ออายุ และไม่ได้หมายความว่าเป็นการทำบุญด้วย หรือถ้าจะเรียกว่าทำบุญก็ยังเรียกได้เหมือนกันแต่อีกความหมายหนึ่งต่างหาก ไม่ใช่ทำบุญชนิดที่เป็นการลงทุนเพื่อจะต่ออายุเหมือนที่เขาทำกันโดยมาก แต่จะทำบุญชนิดที่เป็นกุศลอย่างอื่น เช่น ถ้าสำหรับตัวเอง ก็เป็นโอกาสที่นึกคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ แต่ที่เกี่ยวกับผู้อื่นก็คือการบอกกล่าวแก่ผู้อื่นถึงความรู้สึกคิดนึก หรืออะไรก็ได้ที่ควรจะบอกกล่าวแก่กันและกันในโอกาสเช่นนี้ ซึ่งอายุในปูนนี้เปลี่ยนแปลงเร็วมาก ความเปลี่ยนแปลงนั้นจะมีอย่างไรบ้างก็จะได้เอามาเล่าให้ฟัง เด็กๆ หรือภิกษุหนุ่ม สามเณรอาจจะไม่มีความรู้ในเรื่องนี้เลยก็ได้ คือไม่มีความรู้ในข้อที่ว่าอายุที่ล่วงมาถึงปูนนี้นั้นเปลี่ยนแปลงมาก คนที่มีอายุเลย ๖๐ ปีไปแล้วหรือประมาณ ๖๐ ปีไปแล้วนี้ ความเปลี่ยนแปลงจะมีมากในปีหนึ่งๆ จนสังเกตได้หรือรู้สึกได้ ไม่เหมือนกับคนที่อายุยังอยู่ในระดับกลางๆ และไม่เหมือนกับคนที่อยู่ในวัยปฐมวัยซึ่งกำลังมีความเจริญขึ้น ผิดกันกับปัจฉิมวัยซึ่งมีความเสื่อมลง ระยะที่เสื่อมลงนี้มีความเปลี่ยนแปลงรุนแรงกว่าในระยะที่เจริญขึ้น ทีนี้คนที่มีอายุยังน้อยก็ไม่ทราบเรื่องนี้ จึงตั้งอยู่ในฐานะเป็นผู้ที่ประมาทโดยไม่รู้สึกตัว ว่าที่แท้ความประมาทนี้ก็เป็นความไม่รู้สึกตัวอยู่แล้ว แต่ความประมาทของคนในวัยนี้ ยังเป็นความประมาทที่ไม่รู้สึกตัวมากยิ่งไปกว่านั้นอีก คือเข้าใจผิดไปในทำนองที่มันตรงกันข้าม ส่วนผู้ที่มีอายุล่วงมามากนั้นย่อมมองเห็นทั้งส่วนที่มันเจริญขึ้นมา จนถึงมีความเจริญเต็มที่ แล้วก็ชะงักอยู่ เพราะต่อมาก็ถึงระยะที่เสื่อม เสื่อมโทรมลง เรียกว่าพอที่จะรู้จักได้ดีทั้ง ๓ ระยะ จึงรู้อะไรมากกว่าคนที่รู้จักเพียงระยะเดียว นี่แหละจึงเห็นว่าเป็นสิ่งที่ควรนำมาเล่า ควรจะนำมาเล่ามาบอกกล่าวกัน ตามที่จะทำได้อย่างไร
แต่ถึงกระนั้นก็ดี ควรจะทราบไว้ด้วยว่า แม้ในคนที่มีอายุมากๆ ด้วยกัน มันก็ยังต่างกัน เพราะบางคน ไม่ชอบคิด ไม่ชอบนึก ไม่ชอบสังเกต หรือปล่อยไปตามเรื่อง แต่บางคนชอบนึก ชอบคิดชอบสังเกตอย่างยิ่ง ถ้าทำอย่างนี้ก็จะรู้สึกอะไรมาก และเห็นอะไรมาก หรืออีกอย่างหนึ่งยังมีความต่างกันอยู่ในข้อที่ว่า คนบางคนนั้นมีการงานน้อย มีหน้าที่หรือภาระน้อย น้อยมากจนเปรียบกันไม่ได้กับคนอีกคนหนึ่งซึ่งมีหน้าที่การงานมาก ทำให้ต้องมีการกระทำมากทั้งทางกาย ทางวาจา และทางจิต ทางสติปัญญา ฉะนั้นคนที่มีการงานมาก จึงมีความชรามาก จึงมีความเสื่อมโทรมของสังขารร่างกายมากกว่าคนที่ไม่ค่อยทำอะไร ไม่ค่อยคิดอะไร ไม่มีภาระหน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบอะไร มันแตกต่างกันมาก จนถึงกับคนหนึ่งไม่อาจจะเข้าใจ จนถึงกับคนที่มีเรื่องน้อยไม่อาจจะเข้าใจสภาวะตามที่เป็นจริงของคนที่มีเรื่องมากก็ได้ เมื่อต่างคนต่างมีอะไรผิดแผกแตกต่างกันอยู่อย่างนี้ก็นับว่าเป็นการสมควรที่จะพูดจากันบ้าง เผื่อว่าจะมีอะไรที่เป็นของแปลกออกไปจากที่ตนเคยรู้สึกอยู่หรือได้ผ่านมา สำหรับในโอกาสนี้ขอให้ท่านทั้งหลายถือว่าเป็นโอกาสที่จะฟังความรู้สึกของคนๆ หนึ่งซึ่งมีความรู้สึกต่อชีวิตจิตใจอย่างไรในรอบปีหนึ่งๆ ในรอบปีหนึ่งๆ เผื่อว่าความรู้สึกที่นึกนั้นอาจจะเป็นประโยชน์แก่กันและกันบ้างก็ได้ นี่แหละเป็นมูลเหตุอันหนึ่ง อันแท้จริงที่ทำให้บอกกล่าวมิตรสหายเพื่อนฝูงมาประชุมกันในวันนี้ เพื่อจะฟังเรื่องนี้เผื่อจะเป็นประโยชน์บ้าง ถ้าจะเป็นประโยชน์บ้างก็จะเป็นการทำบุญอายุอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน เพราะว่าทำให้คนอื่นได้รับประโยชน์ ถ้าหากว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรก็เป็นการพูดไว้ในฐานะเป็นที่ระลึกตามความรู้สึกที่ได้มีอยู่จริงและได้เปลี่ยนไป เปลี่ยนไปในรอบปีหนึ่งๆ ซึ่งบางทีจะเป็นประโยชน์ในทางอ้อมแก่ผู้อื่นบ้าง โดยเฉพาะแก่คนที่ยังมีอายุน้อย เพื่อว่าคนที่มีอายุน้อยจะไม่ต้องไปเสียเวลาคิดนึกในสิ่งที่ไม่ต้องคิดนึก หรือว่าจะเสียเวลาน้อยในการที่จะรู้ที่จะเข้าใจสิ่งซึ่งต้องใช้เวลามาก เมื่อได้ฟังสิ่งนี้แล้วตัวเองก็ไม่ต้องใช้เวลามาก ใช้เวลาแต่เล็กน้อยก็จะเข้าใจสิ่งหรือเรื่องที่ต้องใช้เวลามากได้ นี่ก็นับว่าเป็นผลกำไรอย่างหนึ่งอยู่ด้วยเหมือนกัน คืออาจจะกล่าวได้ว่าจะทำให้คนหนุ่มๆ เหล่านั้นได้เป็นคนแก่โดยไม่ต้องเปลืองอายุมาก เหมือนกับที่จะปล่อยมันไปตามเรื่อง พูดตรงๆ ก็คือว่า อาจจะทำให้คนมีอายุ ๒๐, ๓๐ ปี มีความฉลาดเท่ากับคนอายุ ๕๐, ๖๐ ปีก็ยังได้ ลองคิดดูให้ดีๆ ว่าถ้าท่านทั้งหลายได้เข้าใจเรื่องที่อาตมาจะได้กล่าวต่อไปนี้แล้ว ก็จะช่วยให้คนที่มีอายุยังน้อยนั้น มีความรู้อย่างคนที่มีอายุมากได้ ก็เป็นการต่ออายุอย่างวิเศษ คืออายุน้อยแต่มีความรู้หรือคุณธรรมอะไรเหมือนคนที่มีอายุมาก นี่มันก็เป็นการต่ออายุออกไปมากแล้ว สมมุติว่าคนมีอายุ ๒๐ ปี แต่รู้อะไรได้เหมือนคนอายุ ๖๐ ปี มันก็ได้กำไร ๔๐ ปี เท่ากับคนนั้นมีอายุ ๖๐ ปีแล้ว ทั้งที่มีอายุเพียง ๒๐ ปี เขาก็ได้กำไรมา ๔๐ ปี ทีนี้ถ้าเขามีอายุยืนออกไปถึง ๖๐ ปี มันก็เท่ากับเขามีอายุยืนออกไปถึง ๑๐๐ ปี คือได้กำไร ๔๐ ปีอยู่เรื่อยไป เมื่อเป็นดังนี้ทุกคนควรจะพยายามให้สุดความสามารถของตนที่จะมีความรู้สึกคิดนึก หรือคุณธรรมอะไรก็ตามให้มากเข้าไว้ นั่นแหละเป็นการต่ออายุอย่างแท้จริง ต่ออายุอย่างวิเศษ เมื่อเป็นเช่นนี้ การที่อาตมาจะเอาอะไรมาเล่าให้ฟัง ในโอกาสเช่นนี้ก็คงจะมีประโยชน์แก่ผู้ที่มีอายุยังน้อย คือจะได้รับความรู้ชนิดที่เหมือนกับมีอายุมากแล้วก็ได้กำไรกันตอนนี้เอง
แต่ถึงอย่างไรก็ดี การที่จะเล่าอะไรๆ กันหมดทุกเรื่องทุกราวนั้น มันไม่จำเป็น หรือบางทีก็จะทำไม่ได้ด้วยซ้ำไป เมื่อเป็นดังนี้ก็จำเป็นจะต้องเลือกคัดเอามาว่าเรื่องอะไรควรจะเอามาเล่าให้ฟัง และเรื่องแรกที่สุดก็คือเรื่องที่พูดกันให้เข้าใจ ปรับปรุงความเข้าใจกันให้เข้าใจ ถึงข้อที่ว่าทำบุญอายุนี้มันมีอยู่ ๒ ความหมาย ดังที่กล่าวมาแล้ว ทำบุญต่ออายุอย่างงมงายนั้นก็มีอยู่ เพราะทำไปด้วยความขลาด ความกลัว ความต้องการที่เป็นกิเลสตัณหาก็ทำบุญต่ออายุเอา ด้วยความคิดว่าอายุมันจะยาวออกไปได้เช่นนั้น นั่นก็เป็นเรื่องของคนพวกนั้น ถ้าเป็นเรื่องของคนอีกพวกหนึ่งก็คือรีบ รีบศึกษา รีบทำความรู้ความเข้าใจแจ่มแจ้งในสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ที่เราเรียก รวมเรียกกันว่าธรรมะนั่นเอง มีความเข้าใจในสิ่งทั้งหลายทั้งปวงให้มากเข้า ทั้งที่มีอายุยังน้อยก็รู้เท่ากับคนที่มีอายุมาก นี่เป็นการยืดอายุออกไปอย่างนี้ เป็นการต่ออายุที่ดี ที่จริง ที่ไม่งมงาย การต่ออายุโดยความงมงายนั้น เป็นความงมงาย เป็นความขลาดกลัว เป็นความพ่ายแพ้ หวั่นกลัวต่อความตาย เมื่อเป็นการพ่ายแพ้แก่เวลา คือเวลาที่ล่วงไป ล่วงไปนั่นแหละ มันครอบงำบุคคลนั้นได้จริง ทำให้มีความแก่ ความเจ็บ ความตายไปโดยเร็ว และเป็นทุกข์เพราะเวลาที่ล่วงไปนั้น นี่เรียกว่าการทำบุญต่ออายุอย่างงมงาย ได้ผลก็เพียงแต่ว่าปลอบใจตัวเองให้เข้าใจ ให้คิดเอาว่ามันก็ต่ออายุแล้ว มันก็ปลอดภัยแล้ว เป็นแต่เพียงความเชื่อ อย่างขอไปทีก่อน ส่วนผู้ที่เข้าใจอะไรได้จริงนั้นเป็นคนมีอายุยาวจริง คือมีอายุของสติปัญญานั้นยาวออกไปจริงๆ และเป็นไปในทางที่มีความกล้าหาญ ไม่ ไม่พ่ายแพ้แก่เวลา แต่ว่าเอาชนะเวลาได้ และในที่สุดอาจจะเป็นไปได้จนถึงกับว่า ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวง จนเรียกว่าอยู่เหนือเวลา หรือชนะเวลา หรือเป็นผู้ที่กินเวลา ผิดกับคนใฝ่พวกแรกซึ่งเป็นผู้ที่ถูกเวลากิน อย่างนั้นเรียกว่าเวลากินคน อย่างนี้เรียกว่าคนกินเวลา ระวังให้ดีในข้อที่ว่า ถ้าทำบุญอายุเนื่องในความขลาด เป็นการต่ออายุแล้ว มันจะกลายเป็นเรื่องที่ว่าเวลากินคน และถ้ามีความรู้ความเข้าใจในเรื่องธรรมะเพียงพอก็จะกลับกันเป็นว่าคนๆ นั้นกินเวลา ลองคิดดูเถอะว่าเรากินเวลาดี หรือว่าให้เวลากินเราดี ถ้าชอบอย่างหลังที่เรากินเวลาดีกว่าแล้วก็ต้องทำบุญอายุชนิดที่เป็นการล้ออายุ ล้อเลียนอายุ ล้อเลียนเวลา ไม่มีความขลาด ไม่มีความกลัวที่จะเกิดมาจากความชรา หรือความตาย เพราะว่าเป็นผู้อยู่เหนืออำนาจของเวลา ไม่มีความต้องการสิ่งใดๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับเวลา ถ้าทำได้อย่างนี้ก็เรียกว่าทำบุญล้ออายุ มากกว่าที่จะเรียกว่าทำบุญต่ออายุ ถ้าจะเรียกว่าต่ออายุก็มีความหมายอีกอย่างหนึ่ง ไม่เหมือนกับการต่ออายุของคนทั่วไป แต่ในที่นี้เราเรียกว่าทำบุญต่ออายุ หรือล้ออายุจะดีกว่า เข้าใจได้ง่ายกว่า ทำบุญต่ออายุนั้นของคนขลาด ทำบุญล้ออายุนี่เป็นของคนไม่กลัว
การที่จะเป็นผู้ทำบุญล้ออายุได้นี้ มันมีความสำคัญอยู่ตรงที่ว่า ได้มองดูชีวิตจิตใจที่ล่วงมาแล้วแต่หนหลังในลักษณะที่ถูกต้อง เรื่องนี้ท่านทั้งหลายก็คิดได้เองว่าคนเรานั้นมองสิ่งทั้งหลายทั้งปวงต่างๆ กัน ไม่เหมือนกัน ยิ่งการมองชีวิตจิตใจ หรือสังขารร่างกายที่ผ่านมา ผ่านมา ตามลำดับนี้ด้วยแล้ว ยิ่งมองต่างกันมากทีเดียว มันแล้วแต่ว่าสติปัญญา ความรู้ หรือการศึกษาของคนนั้นๆ คิดดูง่ายๆ ก็จะเห็นได้ในข้อที่ว่า คนที่มีความรู้ทางศาสนา ทางธรรมะนี่ ก็มองชีวิต จิตใจของตัวเองแต่หนหลัง ไปในลักษณะหนึ่ง ส่วนคนที่ไม่มีความรู้ทางธรรม ทางศาสนาก็มองเห็นไปอีกอย่างหนึ่ง ดังนั้นมันจึงต่างกันหมด ความต้องการก็ต่างกัน ความรู้สึกคิดนึกอย่างอื่นๆ ก็ต่างกัน และบางทีก็ต่างกันมากจนถึงกับพูดกันไม่รู้เรื่องเลยก็มี ข้อนี้เป็นข้อที่จะต้องสังเกตดูให้ดีว่าทำไมคนเราที่เป็นคนไทยนับถือพุทธศาสนาด้วยกันนี้ ก็ยังได้รับประโยชน์จากพระพุทธศาสนานั้นผิดกันมาก บางคนแทบจะไม่ได้รับประโยชน์อะไรเสียเลยก็มี บางคนก็ได้รับประโยชน์มากมายเหลือประมาณ บางคนยังจะต้องมีความทนทุกข์อยู่อย่างเดิม หรือมากขึ้นกว่าเดิมก็ได้ เพราะว่าความแก่ชรามาถึงแล้วก็ย่อมมีโรคภัยไข้เจ็บมากกว่า แต่ว่าบางคนกลับเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม คือไม่มีปัญหาเรื่องความเกิดแก่เจ็บตายอีกต่อไป นี่แหละคือโทษ ผลหรือโทษของการมองชีวิตในลักษณะที่ต่างๆ กัน
ผู้ใดมีความรู้ มีสติปัญญาที่จะรู้จักชีวิต สังขาร ร่างกายอะไรต่างๆ นี้ ในลักษณะที่ถูกต้อง นั่นแหละเรียกว่าเป็นคนที่มีบุญมาก เพราะจะนำไปสู่ความเข้าใจชนิดที่อยู่เหนือเวลา เหนืออายุ ไม่รู้สึกว่ามันมีความหมายอะไรมากไปกว่าธรรมชาติ ธรรมดาที่จะต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ธรรมดา มีอายุล่วงมาปีหนึ่งก็รู้อะไรมากขึ้น แต่แม้จะรู้อะไรมากขึ้น ก็ยังมองเห็นว่า ไม่เห็นว่าจะมีสาระอะไรในการที่จะอยู่มาอีกปีหนึ่ง คือพอล่วงมาอีกปีหนึ่งก็เกิดความรู้สึกว่านี่จะอยู่กันมาทำไมอีกปีหนึ่ง ความที่ไม่ต้องการอะไรในลักษณะเช่นนี้ เรียกว่าอยู่เหนือความบีบคั้นของอายุ เมื่ออยู่เหนืออำนาจของความเปลี่ยนแปลง หรือเหนืออายุอย่างนี้แล้วมันก็ไม่มีปัญหาอะไรที่จะต้องทำบุญต่ออายุหรืออะไรทำนองนั้น พูดอีกทีก็ว่าเป็นผู้ไม่มีอายุ พูดว่าไม่มีอายุบางคนก็ไม่เข้าใจ เพราะมันเข้าใจยาก แต่ถ้าเรียนธรรมะมามากพอสมควรก็จะเข้าใจได้ เมื่อไม่มีความต้องการอะไรมันก็กลายเป็นผู้ไม่มีอายุ ความต้องการนั่นต้องการนี่ ต้องการจะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ นั่นแหละที่ทำให้อายุนี้มีความหมายขึ้นมา วันคืนเดือนปีมันมีความหมายขึ้นมาก็เพราะว่าเราหวังที่จะได้อะไรสักอย่างหนึ่ง ทีนี้ถ้าเกิดไม่หวังจะได้อะไรขึ้นมา วันคืนเดือนปีก็หมดความหมายไปเอง นี่เรียกว่าเป็นคนที่ไม่มีอายุ หรือพูดให้ดีกว่านั้นก็พูดว่าเป็นคนที่อยู่เหนืออายุ อยู่เหนือความมีอายุ ไม่เกี่ยวกับอายุ เพราะว่าใจของเขาไม่ต้องการอะไรในเรื่องที่จะเป็นหรือจะอยู่ เรื่องที่จะมีนั่นมีนี่ มันยกไว้ให้เป็นเรื่องของธรรมชาติ ตามธรรมชาติไปหมดไม่มีของเรา หรือไม่มีตัวเรา ถ้าความรู้สึกว่าไม่มีตัวเรา ไม่มีของเรา ได้เป็นไปจริงๆ แล้ว สิ่งที่เรียกว่าอายุก็สูญสิ้นไปเมื่อนั้นด้วยเหมือนกันเป็นผู้อยู่เหนืออายุ หรือไม่มีอายุ พอครบปีเข้าก็อาจจะหัวเราะได้ครั้งหนึ่ง หรือบางทีก็ลืมไป ไม่ได้นึก ไม่ได้รู้สึกว่ามันครบปีอีกแล้วก็มี แต่เนื่องด้วยปฏิทินมีแขวนอยู่ที่ข้างฝา คอยบอกให้เห็นว่ามันสิ้นปีเปลี่ยนอันใหม่ มันก็รู้กันทีหนึ่งว่า ปีหนึ่ง ปีหนึ่ง แต่แล้วความต้องการใดๆ มันก็ยังไม่มีอยู่นั่นเอง เพราะฉะนั้นจึงไม่มีอะไรที่จะเกิดเป็นปัญหาขึ้นมาจากการที่เวลามันล่วงไปปีหนึ่ง ท่านทั้งหลายลองคำนวณดูเถิดว่า ถ้าเป็นได้อย่างนี้มันจะมีความสุขสักเท่าไร ถ้าเป็นได้อย่างนี้มันจะหมดปัญหาไปได้สักเท่าไร หรือว่าไม่มีปัญหาใดเหลืออยู่เลย คนเรากำลังมีปัญหามากมาย เพราะยังมีความต้องการอย่างนั้นอย่างนี้ที่ทำให้เวลามีความหมายขึ้นมา จนต้องทำงานแข่งกันกับเวลาอย่างนี้เป็นต้น เมื่อเวลาจะหมดไปตนก็ต้องมีความทุกข์ เพราะว่าสิ่งที่ตนหวังนั้นมันยังไม่ได้มา และยิ่งบางคนหวังมาก จนไม่รู้ว่าหวังอะไร คือหวังไปหมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว มันก็ยิ่งมีความทุกข์มากเกี่ยวกับเรื่องที่จะต้องตายไปเสียก่อน แต่ที่จะได้สิ่งที่ตนหวัง นี่คือการตกนรกทั้งเป็น ส่วนผู้ที่ไม่มีความหวังอะไรนั้น ไม่มีความทุกข์เลย ไม่เกี่ยวกันกับเรื่องนรก และไม่เกี่ยวกันกับเรื่องสวรรค์ วิมานอะไรที่ไหนอีก อย่างนี้เรียกว่าอยู่เหนือเวลา เหนืออายุ เหนือโลก หรือเหนือทุกอย่างทุกสิ่ง ที่เรียกกันว่าความหลุดพ้น เท่าที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นว่า เรื่องทำบุญอายุนี้มันมี ๒ ความหมาย คือต่ออายุก็มี ล้ออายุก็มี พ่ายแพ้แก่เวลาก็มี ไม่พ่ายแพ้แก่เวลาก็มี เราควรจะรู้ เราควรจะเข้าใจเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น มากยิ่งขึ้น ทุกปีตามลำดับ จนกระทั่งไม่มีปัญหาอะไรที่เป็นความทุกข์ความร้อนส่วนตน เหลืออยู่แต่เวลามันก็เป็นของเวลา มันไม่ใช่ของเรา มันจึงบีบคั้นเราไม่ได้ ที่เหลืออยู่แต่สังขารร่างกาย นามรูปนี้ มันก็เป็นเรื่องของสังขาร ร่างกาย นามรูปนี้ ไม่ทำความทุกข์ให้เกิดขึ้นแก่จิตใจได้ และสังขารร่างกายนี้จะเป็นประโยชน์อะไรได้ แก่ผู้ใด ก็ใช้มันไปให้เป็นประโยชน์ เช่นเป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ แก่ประเทศชาติ ศาสนา หรือแก่ธรรมชาติล้วนๆ ก็ยังได้ การงานที่กระทำไปนั้นไม่ได้กระทำด้วยความหวังเพื่อตัวเอง เพราะว่าได้เอาตัวเองออกไปเสีย เหลืออยู่แต่นามรูป เหลืออยู่แต่ธรรมชาติ มันก็กลายเป็นว่าสังขารก็ทำเพื่อสังขาร ธรรมชาติก็ทำเพื่อธรรมชาติ อะไรทำก็ทำเพื่อสิ่งนั้นไม่เกี่ยวกับตัวเรา นี่เป็นหลักเกณฑ์อันสำคัญที่สุดที่ทุกคนจะต้องกำหนดไว้ในใจให้ดี ว่าที่ทำอะไรอยู่ทุกวันนี้ ไม่ได้ใช่ทำ ไม่ใช่ทำเพื่อปากเพื่อท้อง ไม่ใช่ทำเพื่อกิน เพื่อกาม เพื่อเกียรติ เป็นคำพูด ๓ คำที่สำคัญที่สุดที่ตักเตือนกันอยู่เสมอ คือเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ อย่าได้กระทำอะไรเพื่อกิน เพื่อกาม และเพื่อเกียรติเลย จงพยายามที่จะทำลายสิ่งที่มีความมุ่งหมายเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรตินั้นเสีย ข้อนั้นก็คืออุปาทานที่ว่าเรา ว่าตัวเรา ว่าของเรานั่นเอง และข้อนั้นของตัวนั่นแหละที่ทำให้มีความหวัง ที่ทำให้มีความตกอยู่ใต้อำนาจของเวลาและอายุจนมีปัญหาต่างๆ นานา คนที่ไม่มีความรู้ในเรื่องนี้ ที่เรียกกันว่าเป็นคนธรรมดาก็ต้องทำอะไรๆ เพื่อกิน เพื่อกาม เพื่อเกียรติ นี้เรียกว่าคนธรรมดา เป็นคนธรรมดาสามัญ ไม่มีใครว่า ไม่มีใครว่าเขา เขาก็ทำถูกต้องแล้ว สำหรับคนธรรมดาสามัญ คือทำทุกอย่างเพื่อกิน เพื่อกาม และเพื่อเกียรติ แต่ว่ามันไม่ถูกสำหรับบุคคลที่มองเห็นอยู่ว่าถ้าทำเพียงเท่านั้นมันยังมีความทุกข์ และมันไม่ใช่สิ่งที่วิเศษประเสิรฐไปที่ไหนเลย จะต้องทำในลักษณะที่ไม่เป็นความทุกข์ด้วย และเป็นสิ่งที่ควรจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของมนุษย์ด้วย จึงต้องทำในลักษณะที่ไม่มีความทุกข์ หรือจะแม้จะเกี่ยวข้องกันกับสิ่งที่เรียกว่ากิน ว่ากาม ว่าเกียรตินั้นก็ต้องเกี่ยวข้องกับมันในลักษณะที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ เพราะว่าคนที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ได้ หรือไม่อาจจะหลีกเลี่ยงสิ่งที่เรียกว่ากิน ว่ากาม ว่าเกียรตินี้ได้ ผิดกันแต่ว่าคนพวกหนึ่งเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ในลักษณะที่มีความทุกข์ เพราะเขาเกี่ยวข้องกับมันด้วยความโง่ และเกี่ยวข้องกับมันด้วยความหลง มันจึงมากเกินไปกว่าที่ควรจะเกี่ยวข้อง คนอีกคนหนึ่งเกี่ยวข้องด้วยสติปัญญา รู้ว่าควรจะเกี่ยวข้องอย่างไร และเท่าไร หรือเพียงไร และถ้าไม่จำเป็นต้องไปเกี่ยวข้องก็ไม่ไปเกี่ยวข้องเสียเลย นั้นคนทีหลังนี้จึงไม่มีความทุกข์คือไม่แส่เข้าไปหาความทุกข์ หรือเมื่อมันแส่เข้ามาหาก็ไม่ต้องรับเอา ที่ต้องเกี่ยวข้องเท่าที่จำเป็นแก่การที่มีชีวิตอยู่ได้นั้นมันน้อยเกินไปกว่าที่จะเรียกว่าเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ ที่พูดว่ากินในที่นี้หมายถึงกินด้วยกิเลสตัณหา ที่พูดว่ากามในที่นี้ก็คือความใคร่ด้วยกิเลสตัณหา ที่เรียกว่าเกียรติในที่นี้ก็คือความต้องการหรือว่าความหวังด้วยกิเลสตัณหา สิ่ง สิ่งเดียวกันเหล่านั้นแหละถ้าอย่าไปเกี่ยวข้องกับมันด้วยกิเลสตัณหา มันก็พ้นไปจากการที่จะเรียกว่าเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติมากลายเป็นแต่เพียงหน้าที่ตามธรรมดาที่มนุษย์เราจะต้องเกี่ยวข้องด้วยอย่างไร ตามสถานะ ตามภูมิ ตามชั้นแห่งตน และยิ่งไปเกี่ยวข้องเข้าเท่าไรก็ยิ่งรู้เพิ่มขึ้นว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกี่ยวข้องมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งไปเกี่ยวข้องเข้าก็ยิ่งไปเห็น ก็ยิ่งเห็นไปว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าเกี่ยวข้อง คือเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ หรือเป็นเรื่องที่หลอกลวง เพราะว่าจะผูกพันคนไว้กับความทุกข์เท่านั้นเอง อย่างนี้แหละที่คิดดูเอาเถิดมันเนื่องกันอยู่กับเวลาในอายุของเราที่ล่วงไปวันหนึ่ง เดือนหนึ่ง ปีหนึ่ง เพราะว่าเวลาที่ล่วงไปวันหนึ่ง เดือนหนึ่ง ปีหนึ่งนี้มันเกี่ยวข้องกับเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติอยู่ตลอดเวลา ปัญหาเหลืออยู่แต่ว่ายิ่งไปเกี่ยวข้องยิ่งทำให้โง่มาก หรือว่ายิ่งไปเกี่ยวข้องยิ่งทำให้ฉลาดมาก ถ้าเข้าไปเกี่ยวข้องในลักษณะที่ทำให้โง่มากยิ่งๆ ขึ้นไป มันก็เป็นการติดหรือจมอยู่ในกองทุกข์มากยิ่งขึ้นเท่านั้น ถ้าเกี่ยวข้องในลักษณะที่ทำให้ฉลาดขึ้นมันก็เป็นการถอยหลังออกมาจากความทุกข์อยู่ทุกทีหรือเสมอไป นี่คือความรู้อันแท้จริงของมนุษย์เราที่เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ในโลกนี้อย่างถูกต้อง ความรู้ชนิดนี้ไม่อาจจะเรียนรู้ได้จากคำบอกเล่าของผู้อื่น หรือจากหนังสือหนังหาที่มีเขียนมีกล่าวกันอยู่ แม้ว่าได้พูดถึงเรื่องเดียวกันนั้น แต่ถ้าผู้ใดมีสติสัมปชัญญะเกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ หรือสิ่งเหล่านี้ด้วยความเฉลียวฉลาดแล้วก็จะได้ความรู้ข้อนี้ที่ดีกว่าความรู้ในหนังสือ หรือคำบอกเล่าสั่งสอนของผู้อื่น นี่ก็เป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนจะต้องกำหนดไว้ให้ดี เพราะเราจะไม่อาจเข้าใจเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เรื่องหลอกลวงเรื่องมายาของสิ่งต่างๆได้จากการอ่านหนังสือ หรือคำบอกเล่าของคนอื่น แต่เราจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ดีโดยการที่เราเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้นด้วยสติปัญญา เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ หรือเรื่องอะไรก็ตาม ถ้าเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยในฐานะเป็นการศึกษามันก็ทำให้รู้ความจริงเพิ่มขึ้นจนเรื่องเหล่านั้นหมดพิษ หมดสง หมดอำนาจ หมดอะไรไป ไม่ทำอันตรายแก่ใครได้อีกต่อไป คงทำอันตรายได้แก่คนที่ยังโง่อยู่เท่านั้น
ฉะนั้น ใครที่ทำตัวเองให้เอาชนะเรื่องนี้ได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นการดีเท่านั้น คือทำให้คนนั้นมีอายุมากขึ้นทันที คือมีอายุเพียง ๒๐ ปี ก็มีอายุเท่ากับคนอายุ ๖๐ ปี ดังที่กล่าวมาแล้วเป็นต้น ทั้งหมดนี้คือเรื่องที่จะต้องพูดกันในวันเช่นวันนี้ สำหรับอาตมา สำหรับคนอื่นก็เป็นวันอื่นที่ถือว่าเป็นวันครบรอบปีของอายุ ต่อไปนี้ก็จะได้พูดกันถึงเรื่องวันที่กำหนดไว้ว่าเป็นวันครบรอบปี หรือวันอะไรทำนองนี้ คือเราจะพูดกันถึงข้อที่ว่าทำไมจะต้องมาพูดเรื่องนี้กันในวันนี้ซึ่งถือว่าเป็นวันครบรอบปี นี้เป็นการยึดมั่นในเรื่องเวลาด้วยหรือเปล่า คนทั่วไปได้รับการสั่งสอนมาในลักษณะให้ยึดมั่นเรื่องเวลา เพราะว่าเราก็ได้รับการสั่งสอนให้มีความเข้าใจเรื่องเวลาเท่านั้นวัน เท่านั้นเดือน เท่านั้นปีแล้วนะ แกมีอายุเท่านั้นปี เท่านี้ปีแล้วนะ เรื่อยๆ มาอย่างนี้ทั้งนั้น คนจึงมีความยึดมั่นในเรื่องเวลาว่ามีอายุเท่านั้นปี เท่านี้ปี ครบรอบปีเมื่อวันนั้น วันนี้ แล้วก็เห็นเป็นวันที่สำคัญหรือเป็นวันที่ศักดิ์สิทธิ์เอาไปทีเดียว ถือว่าเป็นวันพิเศษ เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าวันอื่น นี่ก็ถูกเหมือนกัน ที่ว่าเป็นวันพิเศษ เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ ถ้าหากว่ามันเป็นเครื่องช่วยให้คนนั้นทำอะไรให้ดียิ่งขึ้นไป การที่เขากำหนดวันนั้นวันนี้เป็นวันพิเศษศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นอย่างนี้ ก็เพราะต้องการจะให้คนเราทำอะไรให้ดีให้ยิ่งขึ้นไปพิเศษในวันนั้น แต่เรามันก็ยึดถือกันเอาเองว่าเป็นวันสำคัญ วันที่จะต้องยึดมั่นถือมั่น ทางที่ถูกควรจะรู้สึกแต่เพียงว่าเป็นวันที่เราจะต้องทำอะไรให้ดี เป็นพิเศษอย่างหนึ่ง หรือว่าเป็นวันที่ครบรอบปี รอบเดือนอะไรเข้ามาสำหรับเราจะได้ใช้เป็นหลัก สำหรับกำหนดว่าอะไร อย่างไร เท่าไร แล้วจะได้เปรียบเทียบกันกับวันอื่น เดือนอื่น ปีอื่นว่ามันต่างกันอย่างไร ก็จะพบความจริงในข้อที่ว่ามันดีขึ้นหรือหาไม่ ถ้าผู้ใดทำไปในลักษณะที่มันจะช่วยให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป ให้สูงยิ่งๆ ขึ้นไปก็เป็นการถูกต้องแล้วที่จะยึดมั่นวันใดวันหนึ่งเป็นวันสำคัญ
แต่เดี๋ยวนี้การยึดมั่นของคนเรา แม้ในสมัยนี้ก็ยึดมั่นไปในทางศักดิ์สิทธิ์ ทางในไสยศาสตร์ก็มี นี่มันลำบากยุ่งยากเรื่องหนึ่งด้วยเหมือนกัน ยิ่งสมัยนี้คือสมัยที่คนกลับโง่ลงไปเพราะความยึดมั่นถือมั่น ก็ยิ่งลำบากมากขึ้น จะยกตัวอย่างให้ฟังบางอย่าง เพื่อให้เห็นว่าแม้เราไม่ยึดมั่นถือมั่นก็ต้องพลอยทำไปอย่างคนยึดมั่นถือมั่น เหมือนกับคำภาษิตที่ว่า อยู่กับคนตาเหล่ก็ต้องเหล่ตาตามไปด้วยเพื่อให้มันไม่มีเรื่องเท่านั้นเอง เมื่อคนเขายังถือเรื่องวัน เรื่องคืน เรื่องเดือน เรื่องปีกันอยู่มาก แม้เราจะไม่ถือก็ต้องพลอยถือกันไปกับเขา เพื่อมีโอกาสพูดจากับเขา เพื่อมีโอกาสชักจูงเขาให้ทำอะไรให้ดีเป็นพิเศษในวันนั้น ในเวลานั้น หรือในคราวนั้น เพราะว่าเรายังต้องอยู่ร่วมกัน ยังต้องเกี่ยวข้องกัน จนพูดได้ว่าเมื่ออยู่กับคนโง่ก็ต้องพลอยทำเป็นคนโง่ไปด้วย มันจึงจะไม่ค่อยมีเรื่องมีราวอะไร ลองไปทำกับคนฉลาดอยู่กับคนโง่ เดี๋ยวเดียวมันก็เกิดเรื่อง เรื่องไสยศาสตร์ เรื่องยึดมั่นถือมั่น เรื่องเวลา เรื่องฤกษ์ เรื่องยาม เรื่องอะไรเหล่านี้ มันก็มีปัญหาขึ้นมา ถ้าผู้ใดฉลาดถึงขนาดที่ไม่ยึดมั่นก็ยังต้องฉลาดต่อไปถึงข้อที่ว่า ฉลาดทำเป็นการยึดมั่นถือมั่นในบางโอกาส สำหรับจะเข้ากันได้กับคนที่ยึดมั่นถือมั่นและสอนเขาให้ทำอะไรให้มันดีขึ้น ดีขึ้น จนพ้นจากความยึดมั่นถือมั่น ขออภัยที่จะยกตัวอย่างกันตรงนี้เอง ที่นี่และเดี๋ยวนี้ว่าในวันนี้ถ้าอาตมาไม่บอกว่ามาฟังเทศน์เนื่องด้วยทำบุญอายุครบรอบปี ท่านทั้งหลายก็อาจจะไม่มาก็ได้ เพราะมีความยึดมั่นอยู่ว่าเรื่องทำบุญอายุครบรอบปีอันนี้มันมีอะไรพิเศษ จึงอยากรู้ อยากเห็น อยากฟัง และก็อยากมา แล้วก็มา ลองคิดดูเถอะว่ามันเกี่ยวกับความยึดมั่นถือมั่น หรือไม่เกี่ยวกัน
โดยที่แท้แล้วมันเกี่ยวกับความยึดมั่นถือมั่น ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง หรือว่าไม่โดยตรงก็โดยอ้อมด้วยกันทั้งนั้น นี่เรียกว่ายังเป็นปุถุชน ยังเป็นโลกของปุถุชน ยังอยู่ในโลกของความยึดมั่นถือมั่น สิ่งที่จะยึดมั่นถือมั่น มันก็มีความหมาย มีค่ามีราคาไป ถ้าเราจะเล็ง เพ่งเล็งไปถึงพระพุทธเจ้า ว่าพระพุทธเจ้าท่านอยู่ในโลกกับเขาด้วยเหมือนกัน ในโลกแห่งคนที่เป็นปุถุชนมีความยึดมั่นถือมั่นด้วยเหมือนกัน แล้วท่านทำอย่างไร เราจะเห็นได้ว่าท่านก็พูดจาภาษาคนที่ยึดมั่นถือมั่น พูดว่าฉัน พูดว่าเรา พูดว่าของเรา พูดว่าของท่านอะไร เหมือนกับที่คนทั้งหลายเขาพูดกัน พระพุทธเจ้าเป็นผู้ไม่ยึดมั่น เป็นผู้หลุดพ้น เป็นพระอรหันต์ ไม่ยึด ไม่มีความยึดมั่น แต่ก็พูดจาอย่างคนยึดมั่นถือมั่น พูดว่าเราตถาคต พูดว่าของเรา พูดว่าของท่าน พูดว่าฉันต้องการอย่างนั้นอย่างนี้ ฉันก็ไม่ชอบ ฉันก็อนุโมทนาด้วยอะไรทำนองนี้ซึ่งเป็นภาษาของคนยึดมั่นถือมั่น นี้เรียกว่าผู้ที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นจริง นั่นแหละเป็นผู้ที่ยอมได้ พูดได้ด้วยภาษาของคนยึดมั่นถือมั่น คนโง่ๆ เพิ่งมาพบเรื่องความไม่ยึดมั่น ถือมั่นต่างหาก ที่เป็นคนหัวแข็ง ยกหูชูหาง พูดภาษาที่ตัวเห็นว่าเป็นภาษาของคนไม่ยึดมั่นถือมั่น นี่ก็คือคนยึดมั่นถือมั่น ไปแสดงตัวแบบคนไม่ยึดมั่นถือมั่น เหมือนกับลาในหนังราชสีห์ที่เขามีไว้สำหรับล้อคนที่แกล้งทำตนเป็นอย่างอื่น นอกจากภาวะที่แท้จริง ถ้าเราจะไม่ใช้ภาษาของคนที่ยึดมั่นถือมั่นเสียเลยเราก็พูดกันไม่รู้เรื่อง ในเมื่อเราพูดภาษาคนยึดมั่นถือมั่นว่ามาทำบุญอายุกัน มันก็มีความสนใจ มีความกระตือรือร้น และก็เป็นโอกาสที่จะมาพูดกันเรื่องว่าทำบุญอายุนี้อย่างไร จะทำกันในแบบไหน ในแง่ไหน เพื่อพ่ายแพ้แก่อายุ หรือว่าเพื่อมีชัยชนะแก่อายุ อยู่ใต้อายุ หรือว่าอยู่เหนืออายุ เราจะกินอายุ หรือว่าอายุจะกินเรา มาพูดกันทีหลังก็ได้
ดังนั้นขอให้เข้าใจว่า แม้ว่าอาตมาจะเลือกเอาวันที่ ๒๗ พฤษภาคมเป็นวันสำหรับพูดเรื่องนี้ ก็มิได้เป็นไปเพื่อจะส่งเสริมความขลังหรือความศักดิ์สิทธิ์ของวัน ตามแบบของไสยศาสตร์ หรือความงมงายอะไรทำนองนั้น หากแต่ว่ามันเป็นโอกาสที่เราจะพูดกันถึงเรื่องนี้ให้มีความหมายดี มีความเข้าใจดี จึงต้องเลือกพูดเรื่องนี้ ในลักษณะอย่างนี้ เฉพาะในวันเช่นวันนี้ ซึ่งจะเรียกคำเทศนาชนิดนี้ว่าเป็นคำเทศน์สำหรับวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันครบรอบปีของผู้พูด หรือผู้เทศน์ และทั้งหมดที่เอามาพูดเป็นเรื่องชักชวน ชี้ชวนท่านทั้งหลายให้พยายามในการที่จะกินอายุ หรืออยู่เหนืออายุให้มากเข้าไว้ ถ้าสมมุติว่าใครคนใดคนหนึ่ง ทำได้ถึงขนาดว่าอยู่เหนืออายุจริงๆ แล้ว คนนั้นจะกลายเป็นอมิตายุไป อมิตายุ คือ มีอายุที่ยาวนานจนนับไม่ไหว คำว่าอมิตายุ เป็นชื่อของพระพุทธเจ้าในฝ่ายมหายาน เขาอธิบายกันอย่างไรก็ตามใจเขา สำหรับคำว่าอมิตายุ แต่เราเอาคำว่าอมิตายุมาพูดจากันที่นี่ ในวันนี้ ว่าเป็นอายุที่คำนวณไม่ได้ เป็นอายุที่ยาวนานจนคำนวณไม่ได้ จะพูดว่ามีอายุสักอสงไขยปี มันก็ยังน้อยไป อสงไขย อสงไขยปี กี่อสงไขย ทั้งมันก็ยังน้อยไป จึงต้องพูดว่าอมิตายุ มีอายุที่ยาวจนคำนวณไม่ได้ ผู้ใดสามารถที่จะกินอายุ อยู่เหนืออายุ ไม่ให้ความหมายของคำว่าอายุครอบงำจนได้แล้ว ผู้นั้นเป็นอมิตายุ คือพ้นจากความมีอายุ หรือว่ามีอายุชนิดที่ว่าคำนวณไม่ได้ คือไม่รู้จักตายนั่นเอง อมิตายุก็คือไม่รู้จักตาย นั่นแหละการทำบุญอายุ ถ้าทำไปถูกวิธีจนถึงกับกินอายุเสียได้ ให้อายุหมดไปก็กลายเป็นทำให้ไม่รู้จักตาย คือบรรลุความเป็นผู้ไม่ตาย อยู่เหนือความตายโดยประการทั้งปวง และจะมีความหมายอะไรที่ว่า ๑ ปี ๒ ปี ๓ ปีอะไรทำนองนี้ ซึ่งมันเป็นคำพูดสำหรับพูดกันตามภาษาของคนในโลกนี้ที่ยังมีปัญหาจะต้องทำต่อไป ทำเรื่อยๆ ไปจนกว่าจะอยู่เหนืออายุดังที่กล่าวแล้ว ฉะนั้นเมื่ออาตมาพูดถึงเวลา เดือนปี หรืออะไรทำนองนี้ ก็ขอให้เข้าใจว่าพูดเพื่อให้ท่านทั้งหลายมีความรู้ความเข้าใจ สำหรับจะได้ข้ามขึ้นพ้นจากสิ่งเหล่านี้ สำหรับจะได้อยู่เหนือวันเดือนปี หรืออายุนั่นเอง และสำหรับจะได้พูดกันรู้เรื่อง และพร้อมกันนั้นสำหรับจะได้ไม่ยึดถือ เพราะเราจะพูดว่าทำบุญอายุครบ ๑ ปีก็เพื่อจะได้ไม่ยึดถือการที่มีอายุครบ ๑ ปี นี่เป็นวิธีอย่างหนึ่งซึ่งจะต้องเข้าใจ รู้กันไว้ สำหรับอยู่ในโลก ร่วมกันกับคนที่ยังยึดถือ
ยังมีเรื่องอื่นๆ อีกมากที่น่าขัน จะมีประโยชน์ หรือไม่มีประโยชน์ ก็ยังไม่ทราบแต่เอามาเล่าให้ฟังก็ได้ มีคนมาขอให้ตั้งชื่อเด็กซึ่งเกิดอยู่บ่อยๆ ปัญหาก็มีอยู่ว่า เราไม่ได้ถือไสยศาสตร์เรื่องการตั้งชื่อ เรื่องวัน เรื่องตัวอักษร ตัวนั้นชื่อนี้อย่างนี้เป็นต้น ถ้าเราไปตั้งตามพอใจโดยไม่คำนึงถึงตัวอักษร ถึงวันเกิดเดือนปีของเด็กแล้ว ถ้าตั้งไปแล้วในชื่อเด็กนั้นมีตัวอักษรบางตัว ที่เขาถือกันว่าเป็นกาลกิณีบ้าง เป็นมูละบ้าง คือเป็นตัวอักษรที่ไม่ดีตามหลักของไสยศาสตร์ เมื่อพ่อแม่ไปรู้เข้า หรือเมื่อเด็กคนนั้นมันโตขึ้นไปรู้เข้ามันก็คงจะเดือดร้อนจะต้องเปลี่ยนชื่อใหม่กันอีก ทั้งที่เราไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ก็พลอยต้องทำตาม ทำเหมือนกับคนที่เชื่อไสยศาสตร์ คือตั้งชื่อเด็กๆ เหล่านั้นไม่ให้มีตัวอักษรที่เป็นกาลกิณี หรือเป็นมูละ เป็นต้นไป นึกดูก็น่าหัวเราะตัวเองที่ต้องทำเป็นผู้เชื่อไสยศาสตร์ไปกับเขาด้วย มันก็เป็นการหลอกตัวเองชนิดหนึ่งด้วยเหมือนกัน เราไม่เชื่อแต่ต้องทำเป็นว่าเชื่อ มันก็คือการหลอกตัวเองด้วยชนิดหนึ่งเหมือนกัน ทีนี้เราจะลองดันทุรังดูที เราไม่ยอมทำอย่างนั้นมันก็ไม่มีผลอะไร นอกจากจะทำให้คน เจ้าของชื่อนั้นเขาร้อนใจทีหลัง แล้วเราก็เป็นคนดันทุรังด้วยความยึดมั่นถือมั่นว่าเราเองไม่ถือไสยศาสตร์ มันเป็นมุมที่กลับกันอยู่อย่างนี้ จึงทำให้พบความจริงข้อหนึ่งว่า คนที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นนั่นแหละกลับเป็นคนที่ยอมทำตามอะไรได้ทุกอย่างในเมื่อมันควรจะทำ ซึ่งหมายความว่าจะทำอย่างคนยึดมั่นถือมั่นก็ทำได้ แม้ข้อนี้ก็เป็นข้อที่ต้องระวังให้ดี อย่าได้ทำตนเป็นคนขวานผ่าซากหรือเถรตรงชนิดที่ว่าทำให้ลำบากกันหลายคน เถรตรงคนเดียวก็ทำให้คนหัวล้านทั้งสี่คนพลอยตายอย่างงี้ ก็เพราะความยึดมั่นถือมั่นอย่างหลับหูหลับตานั่นเอง ผู้ที่ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นก็ควรจะมีสติปัญญาพอที่จะแสดงละครเป็นคนยึดมั่นถือมั่น อย่าให้ต้องคนต้องพลอยตาย พลอยลำบาก พลอยร้อนใจไป นี่แหละเป็นเรื่องที่พูดถึงเวลา ๑ ปี ๑ เดือน ครบรอบปี ครบรอบเดือน วันนั้นวันนี้ที่สมมุติกันว่าพิเศษสำคัญ มันเกี่ยวกับความยึดถือหรือไม่ยึดถือ ถ้าไม่ยึดถือจริงๆ ก็ต้องไม่ยึดถือไปในทำนองที่ไม่ทำให้เกิดปัญหาขึ้นมา ไม่ทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาเพราะเหตุนั้น ถ้าทำไปอย่างดันทุรังมันก็กลายเป็นความยึดมั่นถือมั่น อีกชนิดหนึ่งซึ่งมีผลร้ายคือทำให้คนอื่นพลอยลำบาก ไม่ลำบากแต่ตนคนเดียว จึงหวังว่าท่านทั้งหลายทุกคนทั้งพระทั้งเณร ทั้งอุบาสก ทั้งอุบาสิกา จะได้รู้จักความยึดมั่นถือมั่นและใช้มันให้ถูกวิธีเพื่อทำลายความยึดมั่นถือมั่นนั้นเสีย แล้วอย่าให้ไปกลายเป็นการกีดเกะกะ ขวาง กีดขวางคนนั้นคนนี้ เหมือนควายเขารี กีดขวางไปทั้งหมด เข้ากับใครไม่ได้ เพราะความยึดมั่นถือมั่นโดยไม่รู้สึกตัวนั่นเอง
สรุปความแล้วก็กล่าวได้ว่าเรื่องความไม่ยึดมั่นถือมั่นนี้ ไม่เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ด้วยอาการของคนที่ขวานผ่าซากหรือเถรตรง คือคนโง่ที่จะยกหูชูหางว่ากูเป็นคนไม่ยึดมั่นถือมั่น ซึ่งมีอยู่โดยมากและมีอยู่โดยทั่วๆ ไป แม้ในวัดนี้ก็มีอยู่มากด้วยเหมือนกัน มันจึงมีอะไรๆ ที่เกิดขึ้นอย่างที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น อย่างที่ไม่จำเป็นที่จะต้องยุ่งยากลำบาก มันก็เกิดขึ้นมาเพื่อความยุ่งยากลำบาก เพราะผู้ที่แสดงตัวเป็นคนไม่ยึดมั่นถือมั่นด้วยความยึดมั่นถือมั่นที่ไม่รู้สึกตัว วันนี้เราพูดกันในฐานะที่เป็นวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ถ้าใครยึดมั่นวันนี้เป็นวันพิเศษอะไรสำหรับอาตมาก็แปลว่านั่นแหละระวังให้ดี มันจะสร้างความยึดมั่นถือมั่นอะไรอันใหม่ขึ้นมา แต่ถ้าจะถือแต่เพียงว่ามันเป็นเวลาที่เหมาะสมที่มีอะไรมากพอ สมควรจะพูดกัน ปีหนึ่ง สักครั้งหนึ่งในวันเช่นวันนี้ มันก็ดีกว่าที่จะพูดกันวันอื่น เพราะฉะนั้นจึงถือเอาโอกาสนี้ของวันนี้สำหรับทำอะไรให้มันแปลกออกไป เพื่อทำลายเสียซึ่งความยึดมั่นถือมั่น วันนี้เป็นวันทำบุญล้ออายุเลยไม่กินข้าว ไม่กินปลาอะไรหมด นี่ข้อนี้ถ้ามองดูอีกทีหนึ่งก็เป็นความยึดมั่นถือมั่น เราไม่กินข้าวกินปลาก็เพราะวันนี้ซึ่งเป็นวันพิเศษ แต่ถ้าจะช่วยกันดูอีกทางหนึ่งก็จงดูไปในแง่ที่ว่าก็วันอื่นมันไม่เหมาะ ที่จะทำอะไรอย่างนี้ ถ้าทำในวันอย่างนี้ เช่นวันนี้มันได้ผลดีกว่า พูดง่ายๆ ก็คือว่าถ้าเราจะล้ออายุกันเล่น ก็ควรจะล้อในวันเช่นวันนี้ซึ่งสมมุติ สมมุติเท่านั้นว่าเป็นวันเกิด ถ้าเราจะไปล้ออายุในวันอื่นมันไม่สนุกเท่าที่จะล้อกันในวันที่สมมุติกันว่าเป็นวันเกิด อย่างน้อยก็มันมีข้อเท็จจริงอยู่อย่างหนึ่งที่เคยแนะให้ท่านทั้งหลายทุกคนสังเกตดู ว่าในวันที่เราเกิดมาในวันนั้นๆ เราไม่ได้กินอะไร ใช่มั้ย แต่วันที่ 2 วันที่ 3 วันอะไรเขาถึงจะให้เรากินน้ำบ้าง กินนมบ้าง กินอะไรบ้าง ในวันที่เราเกิดมาจากท้องแม่เราไม่ได้กินอะไร นั้นถ้าเราจะล้ออายุกันบ้างในวันที่เราไม่กินอะไรวันหนึ่งมันก็ควรจะล้อในวันที่ตรงกับวันเกิด มันก็จะสนุกดี หรือมีความหมายดี นี่แหละไม่ใช่เรื่องไสยศาสตร์ แต่เป็นเรื่องที่มีเหตุผล เป็นเรื่องที่เราจะใช้เหตุผลให้มากขึ้น ให้เป็นไปในทำนองที่จะล้ออายุเล่นสนุกๆ ให้อายุมันพ่ายแพ้ไปเอง ให้เราเป็นคนที่ไม่มีอายุ หรืออยู่เหนืออายุเป็นอมิตาพะ อมิตายุ ดังที่ได้กล่าวแล้ว นั้นถ้าใครจะมาร่วมสนุกกันวันนี้ก็ต้องไม่กินข้าวด้วยกันมันจึงจะสนุก เพราะว่าวันที่เราเกิดมานั้นเราไม่ได้กินข้าว เราควรจะทำบุญวันเกิดด้วยการไม่ได้กินข้าว มันจึงจะจริง มันจึงจะจริงกว่าที่จะไปเลี้ยงไปดูไปกินกันให้มากๆ ดูเหมือนเขาจะทำกันทั่วๆ ไปว่าวันทำบุญอายุนั้นจะเลี้ยงกันใหญ่ จะกินกันใหญ่ ข้อนี้ขอคัดค้านว่าไม่ ไม่ ไม่ ไม่ตรง ไม่จริงและไม่ตรงตามความจริง เพราะว่าวันที่เราเกิดมานั้นเราไม่ได้กินอะไร น้ำเขาก็ยังจะไม่ให้กินด้วยซ้ำไป นั้นในวันเกิดของเรานั้นเราควรจะไม่กินอะไรมากกว่า มันจึงจะเรียกว่าคล้ายวันเกิด หรือทำบุญวันเกิด ทุกคนลองไปคิดดู ถ้าจะทำอะไรให้เป็นที่ระลึก เป็นบุญ เป็นกุศลในวันเกิดแล้ว ขอแนะว่าอย่าได้กินอะไรเลยนั่นแหละจะถูกกันกับเรื่องกับราว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับลดความอ้วนเพราะว่าคนที่ไม่อ้วนอยากจะทำบุญอายุก็ยังได้ ด้วยการทำการงดเว้นไม่กินอะไรในวันเกิด มันก็จะเป็นการล้ออายุอย่างดี ถูกตรงกันกับเรื่อง อายุนี่มันเป็นเรื่องที่ต้องล้อ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะต้องไปประจบประแจงไปเอาอกเอาใจมัน เพราะว่ามันทำให้เกิดความทุกข์ ถ้าเราตกอยู่ใต้อำนาจของอายุ ต้องหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปตามอายุ เราต้องมีความทุกข์ เพราะเราอยากจะทำลายความหมายของคำว่าอายุเสีย เป็นคนอยู่เหนืออายุ หรือไม่มีอายุ จึงจะไม่มีความทุกข์ เพราะนั้นเราอยากจะล้อมันเล่นว่าอยู่มาปีหนึ่งนี้ อยู่มาทำอะไรอีกแล้ว เราอยากจะทำเป็นที่ระลึกกับวันเกิดเราก็ไม่กินอะไร เพราะฉะนั้นวันที่ ๒๗ พฤษภาคมนี้ไม่ใช่เป็นวันสำคัญ หรือมีความหมายทางไสยศาสตร์ แต่มีความหมายในทางที่จะรบราฆ่าฟันกันกับอายุ เพื่อทำลายความหมายของสิ่งที่เรียกว่าอายุให้หมดสิ้นไปเร็วๆ หรือแม้ความหมายอันนี้จะหมดไปแล้วก็ยังคงอยากจะทำเหมือนอย่างนั้นต่อไป เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นที่จะได้ถือเอาเป็นตัวอย่าง และทำให้มันเป็นประโยชน์อย่างเดียวกันบ้าง นี่คือความมุ่งหมายหรือเหตุผลที่ชวนกันมาที่นี่วันนี้ มานั่งกันอยู่ที่นี่ในลักษณะอย่างนี้ เพื่อฟังเรื่องราวของคนๆ หนึ่งที่มีอายุครบรอบปีอีกวันหนึ่ง แล้วก็อยากจะล้ออายุ ไม่ใช่อยากจะต่ออายุเหมือนคนทั่วๆ ไปเขาอยากจะต่อกัน ถ้าอยากจะต่ออายุก็ต่อด้วยการล้อให้อายุมันหมดไป หรือตายไป เป็นไม่มีอายุหรือผู้อยู่เหนืออายุ มีอายุยืนยาวนับไม่ได้ คำนวณไม่ได้นั่นแหละมากกว่า นี่ถ้าต่ออายุต้องต่อกันอย่างนี้ ไม่ใช่ต่อเพียงสองสามปี สี่ห้าปีพออย่าให้ตายเร็ว ในขณะที่ยังไม่อยากตาย นี้เรียกว่าความคิดนึกอันหนึ่ง ซึ่งมีขึ้นมาในวันเช่นวันนี้แล้วก็เอามาเล่าให้ฟัง ถ้าใครเห็นว่าเป็นเรื่องที่น่าฟัง หรือคุ้มค่ากับเวลาที่จะทนฟัง ก็ฟังต่อไป ใครเห็นว่าไม่คุ้มค่าที่ทนฟังก็กลับไปนอนเสียก็แล้วกัน เพราะว่ามันยังมีเรื่องที่จะต้องพูด เกี่ยวกับการล้ออายุนี้อยู่อีกหลายคำ และเรื่องแรกก็คือเรื่องล้ออายุในวันนี้ สำหรับอาตมา และก็ชักชวนเพื่อนฝูงมิตรสหายมาสำหรับฟังดู มันจะน่าสนใจที่ไหนบ้าง
ทีนี้จะได้พูดเรื่องที่มันเกี่ยวเนื่องกันอยู่ต่อไปอีก ว่าเนื่องในการล้ออายุนี้ มันมองกันได้หลายแง่หลายมุม ใจความสำคัญมันอยู่ตรงที่ว่า มันเป็นคนบ้าอยู่ในโลกนี้ด้วยความหวังอย่างใดอย่างหนึ่ง จนอายุมีให้ไม่พอ เรื่องนี้จริงหรือไม่ลองคิดดูทุกคนเถิด ทุกคนที่ได้ฟังอยู่นี้ลองคิดดู เพราะเราเป็นคนบ้า อยากจะได้อย่างนั้น อยากจะเป็นอย่างนี้ อยากจะมีอย่างโน้น มากมายเหลือเกินจนอายุไม่พอ ทุกคนยังไม่อยากตายข้อนี้จริงหรือเปล่า ถ้าจริงก็จะต้องถามต่อไปว่าที่ไม่อยากตายนี้อยู่ไปทำไม มันอยู่เพื่ออยากจะได้อะไร หรืออยากจะเป็นอะไรอย่างหนึ่ง จริงหรือเปล่า ความอยากนี้มันเป็นไปตามภูมิตามชั้นของคน มันไม่เหมือนกัน พวกที่อยู่ในภูมิกามาวจร ก็อยากไปในทางเรื่องกาม พวกที่อยู่ในภูมิรูปาวจร ก็อยากไปในเรื่องของรูปที่บริสุทธิ์ จะมีความสุขใจเพราะรูปที่บริสุทธิ์ พวกที่อยู่ในภูมิอรูปาวจร ก็อยากไปในทางเรื่องของสิ่งที่ไม่มีรูป คือละเอียดออกไปจากสิ่งที่ไม่มีรูป ก็อยากจะได้ความสุขเกิดมาจากสิ่งที่ไม่มีรูป นี่เป็น ๓ ภูมิอยู่อย่างนี้ด้วยกันทั้งนั้น ใครอยู่ในภูมิไหนก็อยากให้เป็นไปอย่างนั้น เข้าใจกันง่ายๆ คนหนุ่มคนสาวก็อยากไปตามเรื่องของกามาวจรภูมิ คนที่สูงอายุแล้วอยากหยุดอยู่นิ่งๆ แต่ยังอยากมีตัวกูอยู่ มันก็อยากไปในเรื่องของรูปาวจรภูมิ หรือ อรูปาวจรภูมิเป็นธรรมดา ส่วนคนที่หยุด อยากเป็นโลกุตรภูมินั้นยังหายาก เพราะว่าเป็นเรื่องเหนือโลก เหนือเวลา เหนืออายุ ทุกคนยังตกอยู่ภายใต้อำนาจของเวลา ของอายุ เพราะมีความอยากอย่างใดอย่างหนึ่งดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ก็อยากไปในทางกามก็มี อยากในทางรูปก็มี อยากในทางอรูปก็มี สัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน สัตว์อะไรเหล่านี้ก็ยังอยากไปในทางกามาวจรภูมิ คืออยากไปในทางกามตามประสา ตามภูมิของเขา พวกมนุษย์ธรรมดาก็อยากไปในกามาวจรภูมิ คืออยากไปในทางกามตามวิสัยของมนุษย์ คือในระดับของมนุษย์ มนุษย์ที่รู้จักความเป็นมนุษย์ ในชั้นกามาวจรภูมิเพียงพอแล้วเท่านั้น จึงจะเงยหน้ามองไปทางที่สูงขึ้นไป คือประเภทรูปาวจรภูมิ หรืออรูปาวจรภูมิ ถ้าไปอยู่ด้วยความจืดสนิทอย่างนั้นนานเข้าอีก เกิดความซ้ำซากเบื่อหน่ายเข้าอีก จึงจะแหงนหน้าเลยไปหาโลกุตรภูมิ คือความอยู่เหนืออายุ เหนือเวลา นี่เป็นกฎตายตัว ใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ตามใจ ใครจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตามใจ นี่มันเป็นกฎตายตัวของธรรมชาติ ถ้ามันเบื่อสิ่งนี้มันก็ต้องเงยหน้าไปหาสิ่งที่สูงไปกว่า หรือดีไปกว่า ถ้ามันเบื่อสิ่งนั้นอีก มันก็ต้องแหงนหน้าไปหาสิ่งที่ดีกว่า สูงกว่าเรื่อยๆ ขึ้นไป จนกว่าเหนือทุกสิ่ง เหนือทุกๆ สิ่ง มันจึงจะหยุด คือไม่มีอะไรที่จะแหงนไปที่ไหนอีกแล้ว มันจึงจะหยุด ในระดับนั้น ในระดับที่หยุดนั้นเขาเรียกว่าโลกุตรภูมิคือเหนือโลก ถ้ายังอยากในทางกาม ทางรูป ทางอรูป อย่างนี้อยู่ก็เรียกว่ายังอยู่ในโลก แต่ว่าในระดับที่ต่างกัน เดี๋ยวนี้เรากำลังมีความอยากอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ จนเวลาในอายุนี้มันน้อย ไม่มีมากพอที่จะให้ได้สมอยาก นี้คือคนบ้า ขอให้จำไว้ให้แม่นยำว่านี้คือคนบ้า คือมันอยากไปในทางที่จะให้เกิดความทุกข์ขึ้นมา ในสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องอยาก หรือไม่ควรจะไปอยาก แล้วมันก็ไปอยากจนเกิดความทุกข์ขึ้นมา จึงต้องเรียกว่าคนบ้า ถ้ามันอยากอะไรแล้วคิดดู แล้วก็ไปปรับปรุงกันเสียใหม่ อย่าให้มันถึงขนาดที่เรียกว่าเวลามันไม่พอ อายุมันไม่พอ อยากจะสอบไล่ได้ หรืออยากจะแต่งงาน หรืออยากจะเป็นคนดีมีเกียรติ หรืออยากจะเป็นอะไรก็ตามใจ อย่าอยากให้มันมากจนเวลามันไม่พอ และรู้จักทำให้มันสมอยากโดยไม่ต้องมีความทุกข์ และเมื่อได้สมอยากแล้วก็รู้จักทำให้มันเลื่อนชั้นไปเร็วๆ เพื่อให้มันหมดความอยาก ไม่มีความอยากชนิดไหนอีกต่อไป อย่าไปจมอยู่ที่ปลักไหนให้มันนานเกินกว่าที่จำเป็น หรือถ้าไม่ต้องไปจมอยู่ที่ปลักไหนเสียเลยมันก็ยิ่งเป็นการดี อายุมันจะได้ไปเร็วๆ และมันจะได้พ้นจากความมีอายุได้ทันในชีวิตนี้ ในชีวิต ในชีวิตนี้ ในชีวิตทันตาเห็นนี้ เราจะได้พบเห็นสิ่งที่อยู่เหนืออายุ เหนือเวลา เหนือความอยาก เหนือความต้องการ อะไรหมด คือภาวะที่ไม่มีตัวกูของกูนั่นเอง คนอย่างนี้เขาไม่เรียกว่าคนบ้า แต่ก็ต้องถูกเรียกว่าคนบ้า โดยคนที่บ้าอีกชนิดหนึ่ง หมายความว่าคนที่เป็นปุถุชนมากๆ ก็จะต้องมองเห็นพระอริยเจ้าว่าเป็นคนบ้า แม้ในครั้งพุทธกาล ก็มีคนตำหนิติเตียนเกลียดชังพระพุทธเจ้าว่าเป็นคนบ้า พวกนางฟ้า คนเทวดาก็ลงมาเกี้ยวพระอรหันต์ ไม่เชื่อก็ไปหาอ่านดูในสมิทธิสูตร สมิทธินิกาย มีเรื่องนางฟ้ามาเกี้ยวพระอรหันต์ชื่อสมิทธิ ว่าทำไมมาบ้าชนิดที่ภาษาคนเดี๋ยวนี้เขาเรียกว่าทำไมอดแห้งอดแล้งอะไรอย่างนี้ ทำไมจึงไม่บริโภคกาม แล้วจึงมาบวชกันอย่างนี้ อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นแม้จะเป็นพระอรหันต์ หรือจะเป็นพระพุทธเจ้าก็ยังถูกคนพวกหนึ่งหาว่าเป็นคนบ้า แต่อย่างนี้ไม่เป็นไร เพราะว่าไม่ได้เป็นคนบ้าจริง เป็นแต่เพียงถูกคนบ้าหาว่าเป็นคนบ้าเท่านั้นเอง เพราะว่าคนบ้านั้นมันไม่รู้สึกตัวว่ามันเองเป็นคนบ้า มันจัดตัวเองเป็นคนดี แล้วก็มองคนดีเป็นคนบ้า นี้เรียกว่าคนบ้ามากคือคนที่นั่งๆ อยู่นี้ คนที่บ้าชนิดที่อยู่ที่โรงพยาบาลปากคลองสานนั้น ยังบ้าน้อยกว่าเสียอีก เรื่องนี้อยากจะเล่าให้ฟัง แล้วลองเปรียบเทียบกันดูดีๆ ว่าคนธรรมดาสามัญทั่วไปนี้ ไม่รู้สึกว่าตัวเป็นคนบ้า ทั้งที่เป็นคนบ้า คือมีความอยากมากจนอายุไม่พอ ไม่รู้สึกว่าตัวเป็นคนบ้าก็จะไปพาลหาเรื่องว่าพระอรหันต์ หรือพระพุทธเจ้าเป็นคนบ้าเสียด้วยซ้ำไป เพราะไม่รู้จักบริโภคกามให้เต็มที่ซะก่อนแล้วจึงไปบวช ทีนี้สำหรับคนบ้าที่โรงพยาบาลปากคลองสานนั้น มีคนหนึ่งที่แปลกมาก วันหนึ่งอาตมาไปธุระที่นั่น ไปเยี่ยมคนไม่สบายที่โรงพยาบาลนั้น คนบ้าคนหนึ่งเขาไม่ไหว้ คนบ้าแทบทั้งหมดก็ยกมือไหว้ แต่มีคนบ้าคนหนึ่งเขาไม่ไหว้ ไม่ไหว้อาตมา ทีนี้เพื่อนหลายๆ คนเขาบอกว่าให้ไหว้ ท่านมาแล้วให้ไหว้ ไอ้คนบ้าเขาก็ตอบว่าถ้ามาที่นี่แล้วบ้าทุกคนแหละ นั้นเราไม่ไหว้ บ้าเหมือนเราทุกคนเขาว่าอย่างนั้น นี่มันก็ยังดีที่ว่า คนบ้าคนนั้นมันรู้ว่าตัวเองบ้า คนบ้าที่รู้ว่าตัวเองเป็นคนบ้านี้ยังดีกว่าคนที่บ้าแล้วไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนบ้า ได้แก่คนที่อยู่นอกโรงพยาบาลปากคลองสานนั่นเอง อยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่งนี้ มีความปรารถนา มีความหวังอะไรมากมาย มากมายเหลือที่จะมากมาย หวังด้วยชีวิตจิตใจ สุดจิต สุดใจ มีความหวังที่เก็บซ่อนไว้ไม่บอกให้ใครรู้ แล้วความหวังนั้นก็มากจนเวลาในอายุนี้ไม่พอ อายุนี้ไม่พอ ไม่พอที่จะสร้างสรรค์ให้ได้ตามที่หวังที่อยาก นี่คือคนบ้าจริงๆ เสร็จแล้วไม่ยอมรับว่าตัวเป็นคนบ้า เพราะไม่รู้สึกว่าตัวเป็นคนบ้า อย่างนี้ควรจะถือว่ามันบ้ามากกว่า คนบ้าคนหนึ่งที่ปากคลองสานที่รู้สึกตัวเองว่าเป็นคนบ้า ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบ้าเขาจึงเอามาเก็บไว้ที่นี่อย่างนี้เป็นต้น
เมื่อพูดมาถึงข้อนี้อย่างนี้ ก็อย่าได้เข้าใจว่าเป็นเรื่องพูดเล่น ไม่ใช่เรื่องพูดเล่น วันนี้ไม่ใช่วันพูดเล่น เพราะว่าวันนี้เป็นวันสำคัญที่สุด สำหรับอาตมาโดยเฉพาะ จึงไม่ใช่มีเรื่องมาพูดเล่น และมีเรื่องจริง เรื่องรีบด่วนมาพูด สำหรับให้ทุกคนได้มีประโยชน์ ได้รับประโยชน์ ได้มีโอกาสที่จะรีบๆๆ ทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ให้มีชัยชนะต่ออายุที่มันล่วงไป ล่วงไป ล่วงไป ให้อยู่เหนืออายุ ให้อยู่เหนือความล่วงไป ล่วงไป ล่วงไป นี่คือการศึกษาให้รู้ ให้เข้าใจในธรรมะของพระพุทธเจ้า ที่ถ้าใครเข้าถึงแล้ว คนนั้นจะหมดตัวกู หมดของกู หมดตัวตน หมดของตน ไม่มีตัวตนอะไรที่จะตั้งอยู่ให้อายุครอบงำ คือให้ล่วงไปตามอายุ เป็นคนไม่มีอายุ เป็นคนอยู่เหนืออายุ พูดตรงๆ ก็พูดว่า เรากำลังพูดกันถึงเรื่องที่ว่า ทำอย่างไรเราจึงจะอยู่เหนืออายุ อายุจะครอบงำเราไม่ได้ ถ้าเราต่ออายุ เราก็ต่อให้อายุมันยาวเป็นอนันตกาล เป็นอายุที่ไม่มีที่สิ้นสุด เป็นอายุที่คำนวณไม่ได้เหมือนที่กล่าวแล้ว ข้อนี้มันไม่สำเร็จได้ ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายแต่ละคนไม่มองดูจนรู้ว่ากำลังเป็นคนบ้า ถ้าใครไม่มองเห็นข้อที่ตนกำลังเป็นคนบ้า คนนั้นไม่มีวันที่จะชนะอายุได้เลย ต้องมองดูให้เห็นข้อที่ตนเป็นคนบ้าเสียก่อน แล้วรีบรักษาโรคที่เป็นคนบ้านี้ให้หายให้ทันกับเวลา ธรรมะเหล่าใดเป็นไปเพื่อความกำหนัดย้อมใจ เป็นไปเพื่อความสะสมกิเลส เป็นไปเพื่อประกอบทุกข์ เป็นไปเพื่อเลี้ยงญาติ เป็นไปเพื่ออะไรต่างๆ นี้ สิ่งเหล่านั้นเป็นธรรมะที่ทำให้คนเป็นบ้า คือเป็นสิ่งที่ทำให้คนเป็นบ้า ธรรมะเหล่าใดที่มันตรงกันข้าม ไม่เป็นไปเพื่อความกำหนัดย้อมใจ ไม่เป็นไปเพื่อความอยากใหญ่ ไม่เป็นไปเพื่อสะสมกิเลสนั้น มันจะเป็นธรรมะที่รักษาโรคบ้าให้หายไป พระเณรเรียนธรรมะเหล่านี้เหมือนกับหญ้าปากคอก หญ้าปากคอกก็คือ หญ้าที่ไม่มีวัวควายตัวไหนสนใจจะดูจะแล หรืออะไรทำนองนั้น มันจึงไม่มีประโยชน์อะไรมันจึงได้กลายเป็นคนบ้า ประโยชน์ของมันก็คือได้กลายเป็นคนบ้า หวัง หรืออยาก หรือปรารถนา อย่างนั้นอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา มากไปกว่านั้นก็ยกหูชูหางอยู่ตลอดเวลาด้วยเรื่องตัวกูของกู นี่เรียกว่าบ้าขนาดเดือด ขนาดคลั่ง ขนาดเดือดจัด คลั่งจัดทีเดียว ถ้ายังไม่ถึงกับยกหูชูหางก็คือยังกลัดกลุ้มอยู่ข้างใน ยังซ่อนอยู่ข้างใน แต่ก็เป็นความบ้าเต็มที่แล้วด้วยเหมือนกัน ฉะนั้นการที่จะรู้จักรักษาตัวเองให้หายโรคนี้ โดยอาศัยธรรมะ ซึ่งเป็นเหมือนมหรสพทางวิญญาณนั้น มันสำคัญอยู่ที่ข้อแรกที่สุด ที่จะต้องรู้ว่าเรากำลังเป็นคนบ้า เดี๋ยวนี้เรากำลังอวดดีว่าเรากำลังเป็นคนดีเป็นคนไม่บ้าเหมือนคนอื่น เรากำลังเป็นบ้า ถ้าเรากำลังด่าว่าคนอื่น เอ็ดตะโรคนอื่น ติเตียนคนอื่น เราไม่ได้เป็นคนบ้า อย่างนี้ถึงจะอยู่ไปอีกกี่ปี หรือทำบุญอายุไปอีกสักกี่คราว มันก็คงจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือดีขึ้น เพราะว่าโรคมันเดือดจัด โรคมันมากเกินไป มันหายไม่ได้ มันยังไม่รู้จักสร่าง ไม่รู้จักซา
ทีนี้มาดูกันที่ข้อนี้เสียก่อนว่ามันเป็นบ้าอยู่จริงหรือไม่ เป็นบ้ามากน้อยเท่าไร ดูเรื่องนี้ก็ดูที่ความหวัง ดูที่ความอยากใหญ่ ดูที่การสะสมกิเลส ดูที่การเลี้ยงยาก หรือดูที่ธรรมะที่ได้กล่าวไว้ในโคตมีสูตร ซึ่งเป็นหญ้าปากคอกอยู่ในนวโกวาท หนังสือที่ทุกคนต้องเรียน แรกเรียน เริ่มเรียน เมื่อเริ่มเรียนนักธรรมชั้นตรี เพราะว่าหลักธรรมนั้นชัดเจนดีแล้ว อธิบายไว้ชัดเจนดีแล้ว ไม่มีปัญหาอะไรอีกแล้ว พอมาจับดูวัดดูก็จะมองเห็นความเป็นบ้าของคนทันที เดี๋ยวนี้ปัญหามันมีอยู่แต่ว่าไม่สนใจ ไม่รู้ไม่ชี้ ไม่เอาอะไรมาวัดดู ไม่ยอมเป็นคนป่วย ไม่ยอมเป็นคนบ้า ไม่ยอมจะตรวจตราดูโรคภัยไข้เจ็บของตน นี่มันเป็นคนตาย หรือเป็นคนตายไปแล้วชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่าเป็นคนบ้า มีค่าเท่ากับคนตายไปแล้ว แต่ว่าการตายอย่างนี้มันเกิดใหม่เรื่อย มันเกิดใหม่เรื่อย มันเกิดใหม่เรื่อย มันไม่ได้สิ้นสุด ไม่ได้เป็นความตายที่ดับสนิทไม่มีเชื้อเหลือ มันจึงเกิดมาบ้ากันเรื่อย จะมีอายุอยู่ได้สัก ๑๐๐ ปี ๑๐๐๐ ปี ๑๐๐๐๐ปี มันก็ยังเป็นอย่างนี้อยู่เรื่อยไป อย่าว่าแต่จะมีเวลาพูดกันเพียง ๒๐ ปี ๑๐ ปี ๕ ปี ๑ ปี เหมือนที่กำลังหวังกันอยู่นี้ ฉะนั้นวันเช่นวันเกิดนั้น เป็นวันที่ควรจะตั้งต้นคิดบัญชีประจำปีเรื่องนี้กันทุกคน และทุกปี ตั้งต้นมาตั้งแต่ว่าไม่กินอะไร ก็หมายความว่ามันไม่มีเรื่องอะไร มันยังว่างอยู่ และมันเริ่มมีอะไรขึ้นมา มันเริ่มกินอะไรขึ้นมาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ และมันเริ่มเป็นบ้าอย่างไรขึ้นมา ก็ลองคิดดู สอดส่องดู คำนวณดู รวบรวมมาดูให้ดีๆ จะได้คิดบัญชีให้ถูกต้อง เดี๋ยวนี้มันลืมตัวมากี่เดือน กี่ปี หรือกี่สิบปีแล้วก็จะต้องคิดบัญชีกันให้ถูกต้อง ต้องชดใช้เวลาให้แก่มัน ให้พอเพียงกัน ถ้าเราเป็นโรคมา ๑๐ ปี เราก็ต้องรักษา ๑๐ ปี มันจึงจะพอดีกัน จึงจะหายโรค ถ้าเราเป็นโรคบ้ามา ๒๐ ปี เราก็ต้องใช้เวลารักษากัน ๒๐ ปี เป็นอย่างน้อย เดี๋ยวนี้เราไม่มีการรักษาเพราะว่าเราไม่รู้สึกเรื่องความประมาทเรื่องความตายแล้วทั้งเป็น หรือเรื่องอะไรๆ ที่รวมกันแล้วที่เรียกว่าความบ้าในที่นี้ วันนี้เป็นวันพิเศษสำหรับพูดเรื่องนี้โดยตรง จึงพูดถึงแต่เรื่องนี้
ทีนี้เราก็มองต่อไปอีกว่าคนบ้าที่อยู่ในหมู่คนบ้าด้วยกันนี้ ไม่มีใครตำหนิติเตียนกัน ถ้ามันบ้าเหมือนๆ กันทั้งหมดก็ไม่มีใครตำหนิติเตียนกัน ฉะนั้นก็เลยรู้สึกว่าเราไม่ๆ ไม่มี ไม่มีโรค ไม่มีโรคที่เป็นบ้า เพราะดูใครๆ ก็เหมือนกันหมด และใครๆ ก็ไม่เห็นว่าใครว่าเป็นอย่างไร นี้เป็นปัญหาที่กว้างออกไปของคนทั้งบ้านทั้งเมือง หรือคนทั้งโลก ที่จะเกิดเป็นคนบ้ากันทั้งโลกและโดยที่ไม่รู้สึกตัวเลยไม่มีโอกาสที่จะรู้สึกตัว หรือรักษาเยียวยา จะไปที่ไหนก็มีแต่คนรับรองว่าไม่บ้า และขอร้องให้ทำอย่างนั้นให้มากยิ่งๆ ขึ้นไปอีก ให้ทำอย่างนั้นให้มากยิ่งๆ ขึ้นไปอีก มีแต่รับรองกันอย่างนี้ ยิ่งไปที่กรุงเทพ แล้วก็จะยิ่งมีการรับรองให้ทำอย่างนั้นมากยิ่งขึ้นไปอีก นั่งอยู่ที่โคนไม้ในป่านี้ค่อยยังชั่ว ที่ไม่ค่อยมีใครคอยยุทำนองนั้น ต้นไม้ก้อนหินมันไม่ยุทำนองนั้น มันส่อแสดงลักษณะไปในทางให้หมุนกลับไปในทางตรงกันข้าม คือหยุดให้สงบ อย่างน้อยให้ชะงักอยู่ขณะหนึ่งแล้วหยุดมองดูตัวเองให้ดีๆ ว่าเป็นอย่างไร นี่คือประโยชน์ของต้นไม้ ของก้อนหิน หรือของป่าที่มีอยู่มากมายแต่คนไม่ค่อยชอบ จะมานั่งกับก้อนหิน หรือมานั่งกับต้นไม้ หรือมานั่งในป่า แต่พระพุทธเจ้าท่านชอบ ท่านจึงตรัสรู้ในป่า พระเยซูคริสต์ก็ตรัสรู้ในป่า พระโมฮัมหมัดก็ตรัสรู้ในภูเขาในป่า ในที่เงียบ ในที่สงัด ศาสดาองค์อื่นๆ อีกมากมายที่เรารู้จัก และไม่รู้จัก หรือพอจะรู้ประวัติอยู่บ้างก็ล้วนตรัสรู้ในป่า ไม่เคยมีศาสดาองค์ไหนตรัสรู้ในโรงหนัง โรงละคร หรือในตลาด ในบ้าน ในเมือง ยังไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ ข้อนี้คงจะเป็นพยานที่เพียงพอว่าป่า หรือต้นไม้ หรือป่าไม้นี้ คงจะมีอะไรดีสักอย่างเป็นแน่ พระศาสดาทุกองค์จึงตรัสรู้ในป่าและชอบป่า แต่เท่าที่ได้พิจารณาดูแล้วก็ไม่เห็นอะไร แง่ไหนที่น่านึกน่าคิดมากไปกว่าที่ว่าธรรมชาติแท้ๆ นี้มันช่วยชักจูงคนให้เป็นไปในกระแสของธรรมชาติ คนเราทิ้งธรรมชาติมาก จนกระทั่งไปพบสิ่งซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งความหลงใหลมัวเมาเป็นยาเสพติด และก็ไปเสพติดอยู่กับสิ่งเหล่านั้น อย่างนี้เขาเรียกว่าธรรมชาติปรุงแต่ง ไม่ใช่ธรรมชาติเดิมแท้ ความหรูหราสวยงาม ความสนุกสนาน เอร็ดอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายอะไรต่างๆ นานาที่ขยายกันให้มากขึ้นที่เรียกว่าบ้าในที่นี้นั้น ก็เป็นธรรมชาติเหมือนกัน แต่เป็นธรรมชาติปลอม ธรรมชาติปรุงแต่ง ธรรมชาติไม่แท้ ธรรมชาติแท้จริง ธรรมชาติดั้งเดิมนั้น หยุด หรือ สงบ หรือไม่ปรุงแต่ง คือมีอาการแห่งการที่ไม่ปรุงแต่ง นี่แหละเป็นข้อที่มันตอบปัญหาได้เองในตัวว่าที่เราจะไปในนั่งอยู่ในกลางตลาดนั้น มันปรุงแต่งไปในทางการปรุงแต่ง ถ้ามานั่งในป่านี้มันดึงดูดมาในทางที่จะหยุด หรือสงบ อย่างน้อยมันก็เป็นเครื่องระงับอาการบ้าที่เดือดจัดนั้นให้เพลาลงบ้าง พอจะสำนึกตัวเองได้ว่าเราเป็นคนบ้า ฉะนั้นการพูดเรื่องนี้กันที่นี่ดูจะเหมาะกว่าที่จะไปพูดกันในบ้านในเมือง เพราะว่าที่นี่ยังมีธรรมชาติ เช่นก้อนหิน เช่นต้นไม้ เช่นอะไรต่างๆ นานาซึ่งเป็นธรรมชาติที่ไม่ปรุงแต่งมากมายนั้น ให้เป็นสิ่งดึงดูดอยู่ หรือว่าเร้าอยู่ เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายควรจะถือเอาโอกาสนี้เป็นพิเศษ ให้ได้รับความแวดล้อมจากธรรมชาติที่นี่ในลักษณะที่เป็นที่พอใจ น่าพออกพอใจ เหมือนกับที่คนบ้าเขาพอใจในการยั่วยุของสิ่งยั่วยวน เรามีมหรสพทางธรรม หรือธรรมชาติ อยู่ในตัวธรรมชาติ แต่เราไม่ชอบ เราไปชอบมหรสพของคนบ้า ของพญามาร ของภูตผีปีศาจ คือมหรสพที่มอมคนให้มึนเมา ที่กำลังมาก เจริญมากมายดาษดื่นอยู่ในบ้านในเมือง ในประเทศที่เจริญแล้ว มีแต่มหรสพของภูตผีปีศาจ ของซาตาน ของพญามาร ของคนบ้า ซึ่งทุกคนก็รู้อยู่ดีแล้วว่าหมายถึงอะไร ส่วนมหรสพอันแท้จริงของธรรมชาติ หรือของธรรมะ คือความเงียบสงบแห่งป่าเป็นต้นนี้ ทุกคนไม่สนใจ และไม่มองไปในลักษณะที่เป็นมหรสพ ฉะนั้นขอบอกกล่าวซะเลยว่า ธรรมะที่แท้จริงนั้นเป็นมหรสพที่แท้จริงอยู่ในตัวธรรมะเอง ธรรมชาติที่สงบเยือกเย็นก็เป็นมหรสพที่แท้จริง อยู่ในตัวธรรมชาติเอง พยายามเข้าถึงมหรสพชนิดนี้กันให้มากที่สุดเถิด พวกเรากำลังเรียกมหรสพชนิดนี้ว่ามหรสพทางวิญญาณ คือความเย็นอกเย็นใจ สบายใจ เป็นสุขใจที่จะพึงได้รับจากธรรมชาติอันบริสุทธิ์ ไม่ใช่แต่ความสนุกสนานความสุขที่หลอกลวงที่จะได้รับจากธรรมชาติปรุงแต่งของพวกคนบ้า ถ้าใครรู้สึกว่ามานั่งกับก้อนหิน กับต้นไม้เหล่านี้ ไม่รู้สึกสนุก ไม่เหมือนไปในโรงหนังโรงละครที่ตลาดแล้ว ก็ต้องสังวรณ์ให้มาก หรือวัดดูความบ้าของตนให้ดีๆ ว่ามีมาก มีน้อยเท่าไหร่ มีมากถึงขนาดที่จะนั่งใกล้ธรรมชาติอันบริสุทธิ์ไม่ได้เสียเลยอย่างนี้ มันเป็นความบ้าที่มีมากน้อยเท่าไร นี้ถ้าผู้ใดสบายใจ พอใจ เย็นอกเย็นใจ ที่จะใกล้ชิดธรรมชาติ เป็นเกลอกับธรรมชาติอันบริสุทธิ์ ก็พึงรู้เถิดว่านี้ไม่บ้าเลย หรือบ้าน้อยที่สุด อย่างน้อยก็ขณะนั้น ไม่บ้า ขณะนั้นหยุดอาการเป็นบ้าเสียได้ขณะหนึ่ง จนกว่ามันจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น ถ้าหากว่าเราขยันที่จะเสพคบกับธรรมชาติอันบริสุทธิ์ หรือ มหรสพทางวิญญาณชนิดนี้ให้มากเข้า มากเข้า นั่นแหละมันจะเป็นยาวิเศษที่รักษาโรคบ้าในทางวิญญาณให้หายไป เหมือนกับที่เขาใช้หยูกยารักษาคนบ้าในทางร่างกายให้หายไป ฉันใดก็ฉันนั้น
ทีนี้ที่เกี่ยวกันกับการทำบุญอายุนี้มันก็มีความหมายอยู่ที่ตรงนี้อีกนิดหนึ่งว่า ปีนี้บ้ามากขึ้นหรือบ้าน้อยลง ปีนี้มันบ้ามากขึ้นหรือบ้าน้อยลง ขอจง ขอจงทำใจคอให้บริสุทธิ์ อย่าเข้าข้างตัว อย่าเข้าข้างกิเลส มาอยู่กับธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ของธรรมชาติอย่างนี้เสียก่อน เพื่อให้จิตใจมันไม่ถูกชัก ถูกจูงไปทางนู้น ทางนี้ ให้มีความลำเอียง ให้มีจิตใจที่มั่นคงพอสมควรเสียก่อน เป็นตัวเองมันเองพอเสียก่อน จึงจะมองดูตัวเองว่าบ้ามากหรือบ้าน้อย นี่มี นี่เป็นหนทางที่จะเข้าใจได้ถูกต้อง หรือแท้จริงว่าเรากำลังเป็นอยู่ในสภาพอย่างไร ปฏิบัติกรรมฐานวิปัสนามากี่ปี กี่ปีแล้ว มันแก้โรคบ้าได้มากน้อยเท่าไร แม้จะเป็นเรื่องย้อนหลังมากมายหลายปีก็พอที่จะมองดู เห็น มองเข้าใจ มองเห็นได้ หรือเข้าใจได้ ขอแต่ให้ขยันทำอย่างนี้ จะทำมากเป็นพิเศษในเมื่ออายุถูกกำหนดว่าล่วงมาอีกหนึ่งปี ตามวิธีนี้เราจะได้ชื่อว่าเป็นการซักฟอกอายุด้วย ซักฟอกให้มันสะอาด ให้มันหายจากการเป็นโรคบ้า อย่าให้เป็นอายุที่ระคนปนเจืออยู่กับอาการของบ้า
ทีนี้เรามองดูออกไป มองดูให้กว้างออกไปถึงว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เรากำลังกระทำอยู่ มันเป็นไปอย่างถูกต้องกับกฏเกณฑ์ที่กล่าวไว้ในโคตมีสูตรหรือไม่ ความจริงมันต้องเป็นความจริง คนที่เข้าใจความจริงผิด แล้วจะโทษว่าความจริงผิดนี้มันไม่ได้ มันเป็นเรื่องความเข้าใจผิดของคนที่ไม่เข้าใจความจริง หรือไปมองความจริงผิด อันนี้เป็นอุปสรรคอันสำคัญที่เรากำลังมีกันอยู่ หรือประสบกันอยู่ หรือที่มันขวางหน้าเราอยู่ ที่ไม่อาจจะเดินไปตามทางของพระพุทธเจ้าได้ เพราะว่าเราทำอะไรไปในทำนองที่เป็นความยึดมั่นถือมั่นมากเกินไปนั่นเอง ยึดมั่นตัวกูของกูอยู่เป็นประจำ และยึดมั่นทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเกิดขึ้น หรือมันเนื่องกันอยู่กับตัวกู แล้วไปสำคัญผิดว่าเป็นสิ่งที่ทำลายกิเลส ทั้งที่ที่แท้มันเป็นสิ่งที่ช่วยสะสมกิเลส นี่ต้องระวังให้ดีทุกอย่างที่ทำอยู่เป็นประจำวันนั้น ต้องไม่เป็นไปเพื่อสะสมกิเลส ไม่เป็นไปเพื่อความอยากใหญ่ ถ้าเราเผลอนิดเดียวที่ทำอยู่เป็นประจำวันนั้นจะเป็นไปเพื่อการสะสมกิเลส หรือเป็นไปเพื่อการอยากใหญ่โดยไม่รู้สึก ข้อนี้ได้พูดมาก ได้พูดละเอียดแล้วในการบรรยายคราวก่อนๆ ที่บรรยายที่หน้าตึก โรงมหรสพทางวิญญาณตอนเย็นๆ ก็ได้พูดถึงเรื่องนี้มาก ก็ให้ระวังให้ดี ในการที่เราต้องทำอะไร เราอยู่นิ่งไม่ได้ แล้วอะไรๆ ที่เราทำนั้นต้องตรวจดู ต้องควบคุมให้มันเป็นไปแต่ในทางที่จะตัดทอนกิเลส ตัดทอนความอยากใหญ่ ตัดทอนความทุกข์ ตัดทอนทุกๆ อย่างที่เป็นไปเพื่อความทุกข์ แต่ในที่นี้เราเรียกว่าตัดทอนทุกอย่างที่มันส่งเสริมให้มีอาการบ้ามากขึ้น มันบ้าได้มากถึงขนาดที่เขาเรียกว่าบ้าบุญ บ้าสวรรค์ บ้านิพพาน ใครเคยได้ยินคำเหล่านี้บ้างว่า บ้าบุญ บ้าสวรรค์ บ้านิพพาน บ้าทำบุญ บ้าเคร่งก็มี บ้าเคร่งก็คือเคร่งอวดคน บ้าทำบุญก็บ้าทำบุญอวดคน หรือว่าทำบุญให้ตัวเองเกิดความเชื่อว่าทำบุญไว้มากพอจะได้ไปสวรรค์ นั่นคือบ้าสวรรค์ และก็บ้านิพพานด้วยเหตุผลเพียงแต่ว่าเขาว่ามันวิเศษประเสริฐที่สุด ไม่มีสิ่งใดสูงสุดไปกว่านิพพาน ก็บ้านิพพาน โดยที่ไม่รู้จักว่านิพพานนี้คืออะไร เป็นแต่ความฝัน หรือความหวังเท่านั้น การบ้านิพพานในลักษณะอย่างนี้ แม้จะเป็นการบ้านิพพานก็ยังเป็นอันตราย คนที่บ้านิพพานมีตั้งแต่นั้น ต้องเป็นคนบ้าแน่ คนที่รู้จักนิพพานจริงๆ ไม่ต้องปรารถนานิพพานถึงขนาดที่เป็นบ้า ฉะนั้นจึงไม่มีใครที่เป็นบ้า เพราะว่าปรารถนาธรรมะที่ถูกต้อง แต่คนเป็นบ้ามากมายเหลือเกินเพราะปรารถนาธรรมะผิดวิธี ธรรมะที่เขาหวัง ที่เขาต้องการ ที่เขาปรารถนานั้น นั่นมันผิดวิธีเลยทำให้เป็นบ้าเพราะธรรมะนั่นเอง คนบ้าวิปัสนา หรือบ้าเพราะทำอานาปานสติ หรือบ้าเพราะศาสนา เคร่ง เคร่งศาสนา อย่างนี้ก็ล้วนแต่เป็นบ้า เพราะเข้าใจธรรมะไม่ถูกต้อง เข้าใจธรรมะผิดวิธี ถ้าเข้าใจธรรมะถูกต้องแล้วไม่มีทางที่จะเป็นบ้าเพราะธรรมะ ฉะนั้นถ้าใครเข้าวัดเป็นบ้า ก็พึงรู้เถิดว่ามันไม่ได้เข้าวัดอย่างถูกต้อง หรือว่าถ้าใครทำบุญเป็นบ้า ก็รู้สึกว่ามันไม่ได้ทำบุญอย่างถูกต้อง ถ้าใครทำกรรมฐานเป็นบ้า ก็แปลว่าไม่ได้ทำกรรมฐานอย่างถูกต้อง ใครเป็นบ้าเพราะทำจิตให้ว่าง ก็รู้เถิดว่าเพราะเขาไม่เข้าใจคำว่าจิตว่าง ไปเข้าใจความว่างแบบมิจฉาทิฐิอย่างผิดๆ นั้น เอามาประพฤติปฏิบัติ ก็มีคนเป็นบ้า เพราะสนใจเรื่องความว่างก็ได้เหมือนกัน เช่นเดียวกับเป็นบ้าเพราะหวังในนิพพานมากเกินไปก็ยังได้ เท่าที่พูดมานี้ก็เพื่อให้ท่านทั้งหลายทุกคนเลยทีเดียวมองเห็นว่า โรค โรคที่เป็นบ้า โรคบ้า หรืออาการของคนบ้านี้มันอยู่ใกล้ชิดตัวเราเท่าไร หรือได้เป็นอยู่แล้วในตัวเรามากน้อยเท่าไรด้วย หรือมันมีอยู่เป็นส่วนมาก เป็นอยู่เป็นส่วนมาก เวลาที่ไม่เป็นบ้านั้นมีน้อยเหลือเกิน เวลาที่เป็นบ้านี้มีมากเหลือเกิน รู้ได้อย่างนี้ก็ยังดี ถ้ามันมีอาการอย่างที่เรียกกันว่า ตกอบาย เราก็พึงรู้เถิดว่านั้นคือเป็นบ้า นรกคือร้อนใจ เดรัจฉานคือความโง่ เปรตคือความหิว อสุรกายคือความกลัว อบาย ๔ อย่างนี้เป็นสัญลักษณ์ของการเป็นบ้าได้ดีที่สุด เมื่อใดมีความร้อนใจ ร้อนใจเหมือนไฟเข้าไปสุมอยู่ในใจ คืออาการที่เป็นบ้าอย่างหนึ่งด้วย เมื่อใดโง่อย่างที่ไม่น่าจะเชื่อ ไม่น่าจะโง่ ก็เป็นอาการบ้าอย่างหนึ่งด้วย เมื่อใดหิว หรือหวัง หรือทะเยอทะยานในทางจิตทางวิญญาณอยู่เสมอ ก็เป็นอาการบ้าชนิดหนึ่งด้วย เมื่อใดขี้ขลาดอย่างไม่น่าเชื่อ อย่างไม่น่าขี้ขลาด ก็เป็นอาการบ้าชนิดหนึ่งด้วย มันมีอะไรๆ อยู่มากมาย มากพอที่จะใช้เป็นเครื่องวัดอาการของคนบ้าในทางวิญญาณ ที่พูดว่าบ้า บ้าในที่นี้คือบ้าทางวิญญาณ เมื่อเอาไปวัดไปจัด เข้าดูให้ดี ให้จริงๆ แล้วจะเห็นว่า โลกนี้เต็มไปด้วยคนบ้า เรื่องนี้ก็เคยพูดอธิบายไว้ในที่บางแห่งแล้วว่าโลกนี้เต็มไปด้วยคนบ้า เพราะคำว่าโลกนี่ หมายถึงอารมณ์ รูป เสียงกลิ่น รส สัมผัส ถ้าใครอยู่ในโลกก็คือคนที่จมอยู่ในอิทธิพลของอารมณ์ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ฉะนั้นทุกคนที่อยู่ในโลกคือคนบ้า คนที่ขึ้นมาจากโลกเสียก็เป็นพระอริยเจ้าในชั้นโลกุตรภูมิ ชั้นใดชั้นหนึ่งเท่านั้นที่จะไม่เป็นคนบ้า ถ้ายังจมอยู่ในโลกก็เป็นคนบ้าทั้งนั้น ไม่ยกเว้นแม้แต่สักคนเดียว ฉะนั้นจึงกล้าพูดว่าในโลกนี้มีแต่คนบ้า ใครไม่เชื่อก็ลองไปคิดดู แต่ต้องเข้าใจคำว่า โลก โลก โลก โลกนี้ให้ถูกต้อง โลกนี้ไม่ได้หมายถึงตัวพิภพ โลก วัตถุนี้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านก็อยู่ในโลก พระอรหันต์ก็อยู่ในโลก ปุถุชนก็อยู่ในโลก สัตว์นรกก็อยู่ในโลก สัตว์เดรัจฉานก็อยู่ในโลก ก็แล้วทำไมพูดว่าทุกคนที่อยู่ในโลกเป็นคนบ้า เพราะคำว่าโลกในที่นี้มันหมายความถึงสิ่งๆหนึ่ง คืออาการที่จิตใจมันหลงอยู่ในโลก โลกนี้คือรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อันเป็นที่ตั้งแห่งความยินดียินร้าย นั่นนะคือตัวโลก และความทุกข์นั่นนะคือตัวโลก กิเลสก็คือโลก ความทุกข์ก็คือโลก กิเลสกับความทุกข์ไม่แยกกัน มีกิเลสเมื่อไรมีความทุกข์เมื่อนั้น มีความทุกข์อยู่ที่ไหนมีกิเลสเป็นต้นเหตุ เป็นสมุฐานอยู่ที่นั่น มีกิเลสอยู่ที่ไหนมันก็ต้องมีรากฐานคือรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นรากฐานอยู่ที่นั่น นั้นคำว่าโลกจึงหมายถึง รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสก็ได้ หมายถึงกิเลสก็ได้ หมายถึงความทุกข์ก็ได้ ฉะนั้นคนที่อยู่ในโลกคือ ในกิเลส หรือในอารมณ์ หรือในกิเลส หรือในความทุกข์นี้เรียกว่าคนบ้าได้ทั้งนั้น พระพุทธเจ้าหรือพระอริยเจ้าท่านไม่อยู่ ในอารมณ์ หรือว่าในกิเลส หรือในความทุกข์อย่างนี้ เพราะฉะนั้นเขาจึงจัดพระพุทธเจ้าไว้ว่าอยู่เหนือโลก คือเป็นโลกุตระ เป็นสิ่งไม่บ้า คือพ้นจากความเป็นคนบ้า ส่วนคนที่จมอยู่ในอารมณ์ คือรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เดี๋ยวยินดี เดี๋ยวยินร้ายคือกิเลสนั่นแหละ คือคนที่ทนทุกข์อยู่ และก็นั่นแหละคือคนบ้า เดี๋ยวนี้มันก็จะชัดเจนรัดกุมพอแล้วกระมังที่พอจะตัดสินตัวเองดูเองว่าเป็นคนบ้า หรือไม่บ้า เป็นคนบ้ามาก หรือบ้าน้อย เป็นคนบ้าทั้งวันทั้งคืน หรือว่าหยุดบ้าบ้าง บางเวลา เรื่องนี้ไม่มีใครจะตัดสินให้แก่ใครได้ ล้วนแต่ต้องไปคิด ไปนึก ไปตัดสินดูเองเท่านั้น แล้วพระเณรแต่ละองค์ก็เรียนหลักเกณฑ์ในทางธรรมะมามากพอแล้ว ที่จะตัดสินตัวเอง ด้วยตัวเอง โดยยุติธรรมได้ ด้วยการขอร้องอยู่นี้ก็เพียงแต่ว่า จงอย่าได้ประมาท จงได้สนใจมาตรวจสอบดูตัวเอง โจทย์ ท้วงตัวเอง พิจารณาโทษตัวเองหรืออะไรสุดแต่ตัวเองนี้ ดูให้รู้ว่ามันมีอะไร อย่างไรซึ่งในที่นี้ใช้คำว่าเป็นบ้า เพราะกำลังไม่มีสติสัมปชัญญะ ไม่มีปัญญาอยู่กับเนื้อกับตัว มีแต่โมหะ มีแต่ความหลง มีแต่ความเดือดพล่านแห่งความยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทานอย่างนี้คือ อาการของคนบ้าแท้ เรียกว่าเป็นบ้าในทางวิญญาณ ไปรักษาที่โรงพยาบาลไหนก็ไม่ได้ ต้องรักษาที่โรงพยาบาลของพระพุทธเจ้า โรงพยาบาลของพระพุทธเจ้าแห่งเดียวเท่านั้นที่จะรักษาโรคบ้าชนิดนี้ได้ โรงพยาบาลของพระพุทธเจ้าคือ ธรรมะ ธรรมะนี้มีอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง เป็นโรงพยาบาลทางวิญญาณหาได้ง่ายในที่สงบสงัด ตามธรรมชาติที่บริสุทธิ์ หาได้ยากในธรรมชาติที่ปรุงแต่ง ที่ยั่วยวน ฉะนั้นเมื่อเรานั่งอยู่ที่นี่ ถ้านั่งอยู่ด้วยอารมณ์ที่สงบ ใจคอสงบ ก็พอที่จะมีแสงสว่างมองเห็นสภาพตามที่เป็นจริง ที่มีอยู่ในจิตในใจของตัวได้ ว่ามีอะไรมากน้อยเท่าไร เหมือนที่ได้กล่าวแล้วโดยอุปมาว่าเป็นบ้าหรือไม่ เป็นบ้ามากน้อยเท่าไร เป็นบ้าตลอดเวลา หรือว่าเป็นพักๆ อย่างนี้ก็เพื่อว่าจะจำง่าย เข้าใจง่าย ไปตรวจสอบดูได้ง่าย ใช้ความรู้ที่ศึกษามาแล้วจากโรงร่ำโรงเรียนนั้นให้เป็นประโยชน์จริงๆได้ ไม่ต้องมัวแต่ท่อง ท่องๆ ไว้แล้วก็ไปสอบไล่ได้ ท่องๆ ไว้แล้วก็ไปสอบไล่ได้ ท่องๆ ไว้แล้วก็ไปสอบไล่ได้ ไม่กี่ปีก็มีปริญญา มีวิทยฐานะมากมายยาวเป็นหางแล้วก็บ้ามากขึ้น เพราะหางมันยาวมากขึ้นอย่างนี้เป็นต้น ฉะนั้นระวังให้ดีๆ วิทยฐานะ หรือปริญญาอะไรที่มันเพิ่มมากขึ้นนั้น มันต้องดูดีๆ ว่ามันช่วยให้บ้ามากขึ้น หรือช่วยให้บ้าน้อยลง ทีนี้เราลองมองดูกันในแง่นี้บ้าง
เท่าที่มองมาแล้วสังเกตเห็นมาแล้วรู้สึกว่า ปริญญา วิทยฐานะ หรือปริญญาอะไรของโลก ชาวโลกอะไรสมัยนี้ที่เขามีการสอบไล่ได้แล้ว ให้ๆ กันนี้ ล้วนแต่เป็นปริญญาที่ทำให้บ้ามากขึ้นทั้งนั้น ที่ทำให้บ้ามากขึ้นทั้งนั้น เพราะว่าการศึกษา การค้นคว้า หรือความต้องการของโลกในสมัยปัจจุบันนี้ เป็นไปแต่ในทางวัตถุ เป็นไปแต่ในทางให้ลุ่มหลงในอารมณ์ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฐฐัพพะ มากขึ้นเป็นไปแต่ในทางอยากใหญ่ เพื่อสะสมกิเลส เพื่อกำหนัดย้อมใจ เพื่อเลี้ยงยาก เพื่อขี้เกียจในการที่จะชำระชะล้างกิเลส แล้วขยันในการที่จะตามใจตัวของตัวอย่างนี้ทั้งนั้น มากขึ้น เมื่อโลกมีความต้องการอย่างนี้ เขาก็นิยมส่งเสริมให้การศึกษากันแต่เพื่อให้ได้อย่างนี้ แล้วคนก็ยินดี เพราะว่ามันสนุก เพราะว่ามันเอร็ดอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ขยันเรียนให้ได้มาเป็นวิทยฐานะ เป็นปริญญาแขนงใดแขนงหนึ่ง ล้วนแต่เพื่อวัตถุนิยม ในที่สุดมันก็เป็นบ้ามากขึ้นกว่าแต่ก่อน พูดให้ตรงให้ชัดก็ว่าก่อนจะไปเรียนเมืองนอกยังบ้าน้อย พอไปเรียนเมืองนอกกลับมาก็ยิ่งบ้าใหญ่ เพราะไปเอาอะไรๆ ที่ทำให้หลงใหลในทางวัตถุนิยมมามากขึ้น นี่ ความพ่ายแพ้ได้เกิดขึ้นแล้วแก่จิตใจของพุทธบริษัทที่เมื่อก่อนยังไม่เคยพ่ายแพ้ เดี๋ยวนี้มันก็พ่ายแพ้มากขึ้น