แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ขอโอกาสแด่พระเดชพระคุณ ท่านผู้เป็นประธานในที่นี้ พระเถรานุเถระและเพื่อนสหธรรมิก ในโอกาสนี้ซึ่งเป็นโอกาสสุดท้าย ที่เราทั้งหลายได้มานั่งประชุมกันในที่นี้ พวกเราพระธรรมทูตทั้งหลาย รู้สึกซาบซึ้งในพระเดชพระคุณ ของท่านผู้เป็นประธานในที่นี้ ที่ได้ให้การต้อนรับ ให้การฝึกอบรม ตั้งแต่ต้นจนมาถึงทุกวันนี้ความผาสุกสบายที่ได้รับนั้น จะเป็นสิ่งประทับใจไปเป็นเวลานาน รวมทั้งข้อวัตรปฏิบัติ ที่พระเดชพระคุณได้แนะนำสั่งสอน ก็จะเป็นเนตติ แบบอย่างให้พระธรรมทูตทั้งหลายได้นำเอาไปประพฤติปฏิบัติในส่วนตัว และนำเอาไป เผยแผ่ แก่ผู้ที่ได้รับการเผยแผ่ในโอกาสต่อไป พวกเราทั้งหลายรู้สึกสำนึกในพระคุณที่พระเดชพระคุณได้เสียสละความสุขสบายส่วนตัว ได้มาร่วมฉัน ร่วมกิน ร่วมนอน ร่วมอิริยาบทกับพวกเราทั้งหลายในที่นี้ นับว่าท่านได้บำเพ็ญกรณียกิจที่ทำได้ยาก โดยเฉพาะพระเดชพระคุณก็มีอายุมากแล้ว ยังต้องมาลำบากตรากตรำรับภาระในส่วนนี้ พระคุณของท่านที่แสดงออกแก่พวกเราทั้งหลายนั้น เป็นที่ประทับใจแก่พวกเราทั้งหลายทุกคน กระผมเองเมื่อได้ประสบภาพนี้ก็ทำให้นึกถึงพระบาลีที่เคยอ่านในสามัญญผลสูตร ว่าในราตรีวันหนึ่ง พระเจ้าอชาตศัตรู ได้ประสงค์จะเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ที่ชีวกัมพวันอันเป็นสวนของ หมอชีวกโกมารภัจจ์ ราตรีนั้นเป็นราตรีที่มีพระจันทร์เพ็ญ สว่างไสวไปทั่วอารามแห่งนั้น ภาพที่ปรากฎต่อหน้าพระเจ้าอชาตศัตรูก็คือ มีพระภิกษุสงฆ์หมู่หนึ่ง นั่งอยู่เรียงรายอยู่ในพระอารามนั้น เป็นภาพที่สงบเสงี่ยมน่ารัก จนถึงพระเจ้าอาชาตศัตรูได้เปล่งวาจาออกมาว่า ช่างน่ารัก อะไรอย่างนี้ ถ้าพระราชโอรสของพระองค์สงบเสงี่ยมเหมือนอย่างภิกษุทั้งหลายเหล่านี้ ก็จะเป็นการดีไม่น้อย
ในราตรีวันนั้น พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในท่ามกลางภิกษุทั้งหลาย แต่พระเจ้าอชาตศัตรูไม่รู้จัก ตรัสถามหมอชีวกโกมารภัจจ์ว่า พระพุทธเจ้านั้นพระองค์ไหน ประทับนั่งอยู่ ณ ที่ตรงไหน หมอชีวกต้องเข้าไปกราบทูลชี้แจงว่า พระพุทธเจ้า ทรงประทับนั่งหิน หน้าไปทางนั้นอยู่ท่ามกลางภิกษุสงฆ์ พระเจ้าอชาตศัตรูได้รู้จัก อันนี้เป็นตัวอย่างที่พวกเราจะลืมเสียมิได้ว่า พระเดชพระคุณก็ได้ดำเนินตามพระจริยาของพระพุทธเจ้า ที่พระองค์ทรงประชุมภิกษุสงฆ์ในราตรีสม่ำเสมอ ทรงแสดงธรรมให้ภิกษุทั้งหลายได้ฟังในโอกาสต่างๆกัน ภาพที่เราทั้งหลายมาปรากฎอยู่ต่อหน้าพระเดชพระคุณในที่นี้ ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็น ต้องระลึกถึงวันเช่นนั้น สรุปความว่า ที่พระเดชพระคุณต้องลำบากตรากตรำ ตากน้ำค้าง ตากยุง เหลือบ ลม แดด ให้การอบรมอย่างดีแก่พวกพระธรรมทูตทั้งหลายนี้ จะเป็นเครื่องประกาศเกียรติคุณของพระสงฆ์ไทยในประเทศไทยว่า เรายังมีพระที่ได้ดำเนินตาม บุพพาจริยาจารย์ คือ อาจารย์ที่มีในปางก่อนที่ได้ทำตัวอย่างที่ดีไว้ ในปัจจุบันนี้เราก็ยังมีพระเถระที่น่าเคารพเลื่อมใสเช่นนั้นอยู่
ในโอกาสนี้ซึ่งที่พวกข้ากระผมทั้งหลายจะต้องจากที่นี้ไป เพราะว่าได้สิ้นสุดเวลาแห่งการอบรมแล้ว ไม่มีอะไรจะเป็นเครื่องตอบแทนพระเดชพระคุณ ในวันนี้จึงจะกล่าววาจาขอขมาลาโทษซึ่งเป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันมาตั้งแต่โบราณกาลเช่นเดียวกัน แต่ข้ากระผมทั้งหลายก็ไม่มีดอกไม้ ธูป เทียน แต่ได้อธิษฐานใจเป็นต่างดอกไม้ และเอามือสิบนิ้วของตัวเองเป็นเหมือนธูป เทียน ขึ้นบูชา กล่าวขมาแด่พระเดชพระคุณในที่นี้ ที่จริงธรรมเนียมการขอขมานี้ มีมาทีหลังการปวารณา คือหมายความว่า จะต้องปวารณาตัวให้ว่ากล่าวตักเตือนเสียก่อน การขอขมาจึงจะตามมา แต่ในที่นี้หมายความว่าเราทั้งหลายจะเปิดใจให้พระเดชพระคุณได้แนะนำตักเตือนพร่ำสอนอยู่ทุกโอกาสแล้ว และระหว่างที่พวกเราอยู่ที่นี่ อาจจะทำความผิดพลั้ง ทำความลำบากให้แก่พระเดชพระคุณ เพราะฉะนั้น ก็เป็นโอกาสที่จะได้ขอขมาลาโทษ หากจะมีความพลั้งพลาดอันใดอันหนึ่งที่ทำให้พระเดชพระคุณต้องเดือดร้อน ขอให้พวกเราทั้งหลายได้ขอขมาท่าน ณ บัดนี้ ขอให้พวกเราทั้งหลายจงพร้อมกัน
พระธรรมทูตสวดอย่างพร้อมเพรียง :อาจาริเย ปมาเทนะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง สัพพัง อะปะราธังขะมะตุ โน ภันเต
ท่านพุทธทาสภิกขุ : อะหัง ขะมามิ ตุมเหหิปิ ขะมิตัพพัง
พระธรรมทูต : ขะมามะ ภันเต
(เริ่มเสียงท่านพุทธทาส)
กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม มีโทษน่าติเตียนอันใด ถ้ามีอยู่ในระหว่างเราสองฝ่ายขอให้เป็นอโหสิกรรมด้วยอำนาจการทำสามีจิกรรมในวันนี้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จนตราบเท่าเข้าสู้พระนิพพานเทอญ พระธรรมทูต : สาธุ ภันเต
บัดนี้ เป็นการสมควร ที่ผมจะกล่าวท้อยคำบางอย่างแก่เพื่อน สหพรหมจารี ทั้งหลาย เนื่องในโอกาสที่ การอบรมของเราได้สิ้นสุดลงและจะต้องจากกันไปโดยร่างกาย เพื่อไปทำหน้าที่ต่างๆ ของตน สิ่งที่อยากจะกล่าวก็คือ เรื่องที่เนื่องๆ กันอยู่บ้าง บางอย่างกับการอบรม สิ่งที่อบรมด้วยความตั้งอกตั้งใจ ก็คือ เรื่องอานาปานสติภาวนา ๑๖ ขั้นแห่งอานาปานสติสูตร ซึ่งขอให้สนใจเป็นพิเศษ เพราะว่า จะได้อาศัย เป็นหลักทั้งในการประพฤติ ปฏิบัติของตนเองและการสั่งสอนผู้อื่น ดังที่ได้พร่ำบอกแล้วพร่ำบอกอีกว่า ไม่เห็นว่ามีแนวไหนที่จะดีกว่าแนวนี้ จึงถือว่าเป็นกรรมฐานหลัก ส่วนกรรมฐานอื่นๆ นั้น ก็เป็นเรื่องประกอบ เช่น พุทธานุสติ ก็ทำ เมตตาก็ทำ มรณะสติก็ทำ อสุภหรือปฏิกูลสัญญาก็กระทำ นั้นเป็นเรื่องประกอบทั้งนั้น ประกอบเข้าตามส่วนตามโอกาสตามเวลาที่จิตใจปั่นป่วน รวนเร ออกไปนอกลู่นอกทางบ้าง ไม่โปร่ง ไม่สดใส ไม่เหมาะสมที่จะทำอานาปานสติแล้ว ก็ใช้กรรมฐานเบ็ดเตล็ดเหล่านั้น เป็นเครื่องประกอบแก้ไข ให้สิ่งที่เป็นอุปสรรคเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นหายไป เมื่อใจคอปกติแล้วก็ทำกรรมฐานหลัก คือ อานาปานสตินั้น ไปตามเดิม
นี้เป็นการแสดงให้เห็นว่า กรรมฐานบทไหนก็ตามยังคงมีประโยชน์อยู่ทั้งนั้น สำหรับจะแก้ข้อขัดข้องเล็กๆ น้อยๆ ที่จะเกิดขึ้นแทรกแซงในการปฏิบัติกรรมฐานหลักตลอดกาล คือ อานาปานสตินั้น เราต้องถือว่ายังไม่ถึงที่สุดแห่งการประพฤติปฏิบัติ คือ ยังไม่จบกิจพรหมจรรย์อยู่เพียงใด สิ่งที่เรียกว่า อานาปานสตินั้น ก็จะยังจำเป็นอยู่เพียงนั้น เพราะฉะนั้นจึงต้องทำตลอดไป จนกว่าจะจบกิจหรือกว่าจะสิ้นชีวิต พอได้นึกไปในทำนองนี้ ก็ตระเตรียมให้ดี กระทำให้ดีอยู่เสมอ เวลามีน้อยไม่สามารถจะช่วยเหลือได้มากกว่านี้ คือ ไม่สามารถจะช่วยเหลือซักซ้อมในส่วนที่เป็นตัวการกระทำ หรือการปฏิบัติโดยตรงให้เต็มที่ได้ เพราะเพียงแต่ทำความเข้าใจในเรื่องหลัก ก็หมดเวลาเสียแล้ว เนื่องจาก มีเรื่องที่จะต้องทำความเข้าใจกันมาก เพราะปรากฎว่าไม่เคยสนใจกันมาก่อนเลย นี่ก็เป็นการคาดผิดของผมอยู่มากเหมือนกัน คือ คาดว่าคงจะมีความเข้าใจในเรื่องนี้ ในส่วนหลักมาพอสมควรแล้ว และลงมือปฏิบัติได้เลย แต่เมื่อได้ทราบว่าไม่เข้าใจกันมาก่อนเลย ก็ต้องเสียเวลาในส่วนหลัก เวลาก็หมดไป จึงช่วยได้ในเรื่องนี้แต่เพียงเท่านี้
ขอให้สนใจไปหาเวลาหาโอกาสต่อไปข้างหน้านี้ ที่ใดก็ได้ เมื่อไรก็ได้ เพื่อปฏิบัติต่อไป มีอะไรขัดข้องขึ้นก็ปรึกษา ไต่ถามกัน หรือถามท่านผู้รู้ การปฏิบัตินั้นๆ ก็จะเป็นไปได้ ที่นี้ก็มาถึงเรื่องเบ็ดเตล็ดปลีกย่อย คือ ข้อคิดเห็นต่างๆ ที่แสดงออกไปเป็นประจำวันนั้น จะผิดจะถูกจะเป็นที่พอใจหรือไม่พอใจอย่างไรนั้น ขอได้โปรดถือเสียว่า มันเป็นความตั้งใจ อย่างบริสุทธิ์หรือแท้จริง ที่จะทำประโยชน์แก่กันและกัน โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าจะเป็นที่พอใจ หรือ ไม่พอใจ คำนึงถึงแต่หน้าที่การงานของพวกเราทั้งนั้นเท่านั้น ว่ามีอยู่อย่างไรบ้าง จะต้องระมัดระวังอย่างไร จะต้องแก้ไขอย่างไร จะต้องช่วยกันอย่างไร ดังนั้น จึงพูดไปตามตรงทุกเรื่องทุกราว โดยเป็นการประหยัดเวลา ถ้ามัวแต่พูดอ้อมค้อมอยู่ก็จะได้เรื่องนิดเดียว เสียเวลามาก สู้พูดตรงๆไม่ได้ จะได้เรื่องหรือได้เนื้อเรื่องมากเกินกว่าเวลาจึงได้พูดอย่างนี้ ถ้าเป็นเรื่องกระเทือนใจบ้าง ผมก็ขออภัยด้วยเหมือนกัน แต่ความมุ่งหมายไม่ใช่อย่างนั้น มุ่งหมายก็เพื่อประหยัดเวลาและเพื่อจะไม่ลืม คือ ลืมยาก กระทบใจ ฝังใจ แล้วลืมยากนั่นเอง โดยที่ผมเห็นว่าสิ่งเหล่านี้จำเป็นอย่างยิ่งแก่ผู้ที่จะปฏิบัติหน้าที่ ธรรมทูต ขอให้เอาไปนึกทบทวนกันใหม่ทุกๆ องค์ ตามที่จดไว้อย่างไร ก็ขอให้ไปนึกทบทวนใหม่
ทีนี้ก็มีเรื่องถัดมา คือ เรื่องการเป็นอยู่ อย่างที่เรียกว่า ต่ำที่สุด คือ นอนกลางดิน ฉันกลางดิน หรืออะไรก็ในพวกกลางดิน มีหมอนไม้เป็นหลัก เรียกกันว่า ชีวิตหมอนไม้ หรือจะเรียกว่าพวกแกงค์หมอนไม้ก็ตามใจได้ทั้งนั้น เป็นเครื่องกำหนดจดจำได้อย่างดียิ่ง โดยเฉพาะเรื่องนี้อยากจะฝากถ้อยคำพิเศษไว้หน่อยหนึ่งว่า ผมจำใครไม่ค่อยได้เพราะเรื่องมันมาก ขี้ลืมหรือลืมเก่ง จำหน้าพอจะจำได้บ้าง แต่จำชื่อคงจะเหลว ฉะนั้น ถ้าพบกันในวันหน้าก็ต้องให้อภัยถ้าจำไม่ได้ แต่ถ้าอยากจะให้นึกได้แล้วก็พูดขึ้นว่า หมอนไม้ก็แล้วกัน ผมต้องนึกได้ทันที เป็นแกงค์หมอนไม้ สมาชิกแกงค์หมอนไม้ แล้วก็จะจำได้ทันทีไม่ว่าในรถไฟหรือว่าที่ไหน นี่เป็นเรื่องพิเศษที่ขอฝากไว้ และให้นึกต่อไปว่าเรื่องหมอนไม้นี้เป็น พระพุทธประสงค์ อย่างพระพุทธภาษิตที่ว่า กลิงฺครูปธานา ภิกฺขเว วิหรถ ในนิทานวรรค สังยุตตนิกาย ทรงขอร้องว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเป็นผู้มี ท่อนไม้เป็นหมอนเถิด เมื่อเธอมีท่อนไม้เป็นหมอนอยู่ มารจักไม่ได้โอกาส ซึ่งผมก็ได้เคยอธิบาย เรื่องนี้ให้ฟังแล้วโดยละเอียด สรุปความว่าอันนี้ เป็นชื่อพิเศษสำหรับเรียกการอบรมของเรา ไม่ได้เป็นการอบรมที่มีเกียรติมีอะไรหรูหรา แต่ว่ามีอะไรที่ขูดเกลาอย่างยิ่ง สมตามที่พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า พรหมจรรย์นี้เป็นของขูดเกลา คือพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนานี้ต้องเป็นของขูดเกลา ถ้าไม่เป็นการขูดเกลาก็ต้องไม่ใช่พรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนานี้ เหตุฉะนั้น จึงเป็นที่ที่ควรจะแน่ใจ และภาคภูมิใจอย่างยิ่งว่า เราทั้งหลายได้ทำตรงตามพระพุทธประสงค์แล้วในเรื่องนี้ แม้จะมีชื่อคำเดียวว่า หมอนไม้ แต่กินความไปทุกๆเรื่องที่เป็นเรื่องของความสันโดษมักน้อยอีกมากมายหลายเรื่องหลายสิบเรื่อง ขอให้สงเคราะห์รวมลงไป ในสิ่งที่เรียกว่า ธุดงค์ คือเครื่องมือสำหรับขูดเกลากำจัดสิ่ง ฟุ่มเฟือย ฟุ่งเฟ้อ ทุกอย่าง นานาประการ ให้หมดสิ้นไปให้เหลือแต่ที่จำเป็น และให้เป็นการสนับสนุนแก่การที่จะเอาชนะมารคือ กิเลสนั้นด้วย
เราได้ทำกันสุดความสามารถแล้วในเรื่องนี้ ดังที่เห็นๆกันอยู่ แม้แต่ไฟ โคม นี้ก็ให้เป็นเรื่องของความสันโดษ มักน้อย เหมาะสมกับบรรพชิต จัดไฟฉายเป็นเรื่องฟุ่มเฟือย จัดโคมชนิดนี้มีเทียนเล็กๆ น้อยๆนี้ เป็นเรื่องพอดี อย่างนี้เป็นต้น ขอได้โปรดนำไปคิดไปไตร่ตรองให้มากเป็นพิเศษ เพื่อจะได้พบหลักเกณฑ์อันอื่นสืบๆไปได้ด้วยตนเองทุกสิ่งทุกอย่าง พวกเรามาพักที่นี่ในค่ายลูกเสือ ซึ่งมีชื่อว่าค่าย ธรรมบุตร เผอิญมันตรงกันพอดีกับที่พวกเราทุกคนเป็นธรรมบุตร เราควรจะภาคภูมิใจว่าเป็นธรรมบุตรยิ่งกว่าพวกลูกเสือ พวกลูกเสือเหล่านั้นต้องขนหม้อ ขนไห ขนโอ่ง ขนอะไรมา ขนโต๊ะ ขนเก้าอี้มา นั่งโต๊ะกินอาหารด้วยช้อนส้อม พวกเราเปิบด้วยมือกลางดิน ฉะนั้น เราเป็นลูกเสือมากกว่าพวกนั้น เรามีหมอนไม้ ไม่ต้องเอาหมอนที่สวยงามหอบหิ้วกันมาไม่ต้องเอาเสื่อมา ไม่ต้องเอากระจก ไม่ต้องเอาหวีมา งั้นเราจึงเป็นลูกเสือมากกว่าลูกเสือพวกนั้น การกระทำเช่นนี้ก็เป็นการประกาศธรรม หรือแสดงบทบาทของธรรมทูตออกไปมากมายอยู่แล้วตั้งแต่ที่นี่และเดี๋ยวนี้ นี่แหละ คือ การกระทำที่ให้ถูกให้ตรงตามพุทธประสงค์ที่เป็นเรื่องของความสันโดษมักน้อย เป็นการประกาศบทบาททั้งธรรมทูตไว้ตั้งแต่ที่นี่และเดี๋ยวนี้และตลอดกาลไปทีเดียว จึงหวังว่าเราทุกคนจะได้สนใจการกระทำในลักษณะเช่นนี้ให้มากเป็นพิเศษ จะล้อเลียนท้าทาย ความฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อทุกอย่างทุกประการในโลก ซึ่งกระทำกันไปด้วยอำนาจความเขลา ความงมงาย ความอยาก ทะเยอะทะยานด้วยกิเลสตัณหา หวังว่าทุกองค์จะได้ใช้หลักเกณฑ์อันนี้เป็นหลักสำหรับดำเนินการต่อไปในภายภาคหน้า และหวังว่าคงจะนึกถึงคำว่า ธรรมบุตรนี้ประจำใจตลอดไปด้วย ทว่ามันไม่เป็นแต่เพียงที่ระลึกว่าครั้งหนึ่งเราได้พักที่ค่ายลูกเสือที่ชื่อว่าค่าย “ธรรมบุตร” แต่ว่ามันเป็นการบอกอยู่ในตัวว่า เราเป็นธรรมบุตร เป็นบุตรของพระธรรม เป็นบุตรของธรรม ธรรมนั่นแหละคือ องค์พระพุทธเจ้าแท้จริง อย่างที่พระพุทธองค์ตรัสว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ผู้ใดเห็นตถาคต ผู้นั้นเห็นธรรม” “ผู้ที่ไม่เห็นธรรมไม่ชื่อว่าเห็นตถาคต” ทั้งที่แม้ว่าผู้นั้นจะได้จับมุมจีวรของพระองค์มากำไว้ มากุมไว้ก็ไม่ชื่อว่าเห็นพระตถาคตเลย
ธรรมแท้ในที่นี้ก็หมายถึง ธรรมที่มีความมุ่งหมายเป็นความดับทุกข์ คือ ความสะอาด สว่าง สงบ ซึ่งเป็นภาวะอันสูงสุดของจิตใจ ผู้ใดมีความสะอาด สว่าง สงบเท่าไร ก็เรียกว่ามีธรรมะมากเท่านั้น มีอยู่ในตัวจึงจะมองเห็น ถ้ามันยังอยู่นอกตัวมันมองไม่เห็น ฉะนั้น ทุกคนจะต้องทำให้มีภาวะ สะอาด สว่าง สงบขึ้นในใจ ในภายในใจ จึงจะเห็นคือ รู้สึกได้ เห็นได้ด้วยตาข้างในนั่นแหละจึงจะเรียกว่าเห็นธรรม เมื่อเห็นธรรมนั่นแล้ว จึงจะชื่อว่าเห็นตถาคต เห็นตถาคตคือ เห็นธรรม เห็นธรรมคือเห็นตถาคต ฉะนั้น จงได้สนใจจะได้เป็นผู้เป็นธรรมบุตรอันแท้จริง คือเห็นพระตถาคตจริง เห็นธรรมะจริง เห็นพระสงฆ์จริง เครื่องมืออื่นไม่มี ผมแน่ใจว่าไม่มี นอกจากเครื่องมือคือ อานาปานสติภาวนาทั้ง ๑๖ ขั้น ที่เราได้รับการซักซ้อมทำความเข้าใจกันมาเป็นอย่างดีแล้วว่านั่นแหละเป็นเครื่องมือ เครื่องมือที่จะทำให้ถึงธรรม ให้เห็นธรรม และให้เห็นองค์พระตถาคตผู้เป็นเสมือนหนึ่งบิดาของผู้ที่เป็นธรรมบุตรทุกๆคน ทุกๆองค์ ทุกๆรูป ทุกๆนาม ไม่จำกัดว่าจะต้องเป็น ภิกษุสามเณร หรือเป็นฆราวาส เพราะว่าโดยจิตใจนั้นเหมือนกัน มีกิเลสก็มีอย่างเดียวกัน ไม่มีกิเลสก็ไม่มีอย่างเดียวกัน เห็นธรรมะก็ต้องเห็นธรรมะที่เหมือนกัน ผู้ใดมีจิตใจถึงธรรมะเห็นธรรมะอย่างนี้ ชื่อว่าเห็นองค์พระตถาคต แล้วมีความเป็นธรรมบุตรอยู่ในนั้นด้วยกันทุกคน นี้เรียกว่าเป็นเงินรองทุน หรือเดิมพัน ถ้าใครไม่มีก็เป็นคนกลวง คนเหลว คนล้มละลาย เพราะไม่มีความเป็นธรรมบุตรอยู่ในตน ไม่มีอะไรที่เนื่องกันกับพระพุทธเจ้าเลยโดยเนื้อแท้ มีแต่ลมๆแล้งๆที่ปากว่าเอาเอง อย่างนี้ใช้ไม่ได้ ต้องเป็นธรรมบุตรกันจริงๆด้วยเครื่องมือ คือ อานาปานสติภาวนาทั้งชุดนั้น
ทีนี้ก็มาถึงงานเฉพาะเจาะจงพิเศษเข้ามา คือ งานธรรมทูต คิดดูแล้วทุกคนจะเห็นได้ว่าเป็นสิ่งที่เนื่องกันแยกจากกันไม่ได้ เพราะพระพุทธองค์ทรงประสงค์อย่างยิ่งให้สาวกของพระองค์ทำหน้าที่อันนี้ ตั้งแต่ในวันที่ได้มีพระสาวกได้ครบ ๖๐ รูป ทรงกำชับ ทรงขอร้อง ทรงวิงวอน ว่าให้ทำหน้าที่อันนี้และพระองค์ก็ทรงกระทำด้วย ซึ่งเป็นการแสดงว่าพระองค์ไม่ทรงเอาเปรียบใคร ใช้ใครให้ทำอย่างไรแล้วพระองค์ก็ต้องทำอย่างนั้นด้วย เมื่อใช้พระสาวกทั้งหลายว่า เธอจงไป จงพยายามไป เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่มหาชน เพื่อความสุขทั้งแก่เทวดาและมนุษย์ จงไปในทิศทางต่างๆกัน อย่าไปแห่งเดียวกันสองรูป จงไปแต่เพียงแห่งละรูป เพื่อจะได้ไปได้มากแห่ง พระองค์ทรงกำชับอย่างนี้ แล้วก็ทรงตรัส ก็ได้ตรัสในที่สุดว่า แม้เราเองก็จะไปยังอุรุเวลาเสนานิคม คือไปทรมานพวกชฎิล นี่แหละคือหลักที่ผมถือเป็นเรื่องประจำใจว่าพระพุทธองค์นั้นไม่ทรงเอาเปรียบใครใช้ผู้อื่นทำอย่างไรพระองค์ก็ทรงทำอย่างนั้น เพราะฉะนั้นผมจึงกระทำเหมือนเพื่อนสหพรหมจารีทั้งหลาย กินอย่างไรก็กินด้วยกันอย่างนั้น นอนอย่างไรก็นอนด้วยกันอย่างนั้น หรือมีอะไรๆอย่างไรก็มีด้วยกันอย่างนั้น ตามตัวอย่างที่ดีที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้ ไม่เป็นการเอาเปรียบกันแต่อย่างไร ท่านอาจจะสงสัยว่า ผมจะเอาเปรียบไม่ไปเผยแผ่ธรรมะในต่างประเทศ ไม่เป็นธรรมทูตในต่างประเทศ ข้อนี้อย่าได้คิดอย่างนั้น เพราะว่าผมอยู่ที่นี่ก็ต้องรับหน้าชาวต่างประเทศ เค้าจู่โจมมาถึงรัง ขออภัยใช้คำโสกโดกหน่อย เค้าจู่โจมเข้ามาถึงรัง ถ้าไม่มีอะไรให้เขาได้ ไม่มีไรต้อนรับเขา มันก็ยิ่งจะขายหน้าห้าแต้ม มากไปกว่าที่จะไปทำล้มเหลวในต่างประเทศเสียด้วยซ้ำไป คิดดูเถิดเค้ามาโดยตั้งใจว่าประเทศไทยมีอะไรยิ่งกว่าประเทศใด ควรจะได้อะไรดีที่สุดมากที่สุด แต่ถ้ามาถึงเข้าจริงๆ เราไม่มีอะไรให้มันก็เป็นเรื่องห้าแต้มเต็มที ผมก็อายุมากแล้วและแก่แล้วไปเมืองนอกไม่ไหวจึงรับภาระหน้าที่ในส่วนนี้ ว่าถ้ามีอะไรมาถึงที่ มาถึงรังอย่างนี้แล้ว ผมจะสู้เอง เพราะฉะนั้น ผมก็ไม่ได้เป็นผู้ที่เอาเปรียบเพื่อนสหพรหมจารีทั้งหลายที่จะไปต่างประเทศเลยแม้แต่น้อย ภาระหน้าที่ต่างๆยังมีอยู่อีกมากมายที่จะปรับปรุงสถานที่นี้ไว้สำหรับรับหน้ากับชาวต่างประเทศที่จะจู่โจมมาถึงประเทศไทย และมาหาสถานที่นั่นที่นี่เป็นเรื่องๆไปเป็นรายๆไป จะได้ไม่ขายหน้าห้าแต้มแก่เขา เพราะฉะนั้นผมก็มีหน้าที่ หรือภาระหนักเท่ากันกับเพื่อนสหพรหมจารีทั้งหลายที่จะถูกส่งไปต่างประเทศ เป็นอันว่าเราไม่ได้เอาเปรียบกันแม้แต่อย่างไรเลย ต้องทนรับภาระหนักเท่ากันเหมือนกัน ท่านทั้งหลายลองนึกดูให้ดีว่า เมื่อตะกี้นี้และไม่รู้กี่ร้อยครั้งพันครั้งมาแล้ว ท่านทุกองค์ก็ตะโกนว่า พุทธัสสาหัสมิ ทาโสวะ ธัมมัสสาหัสมิ ทาโสวะ สังฆัสสาหัสมิ ทาโสวะ ทุกครั้งที่ทำวัตรเย็น ประกาศตัวออกมาว่าเป็นทาสของพระพุทธเจ้า เป็นทาสของพระธรรม เป็นทาสของพระสงฆ์ นี้เสมอเหมือนกันหมดไม่ยกเว้นใคร ไม่ใช่ว่าจะเป็นทาสของพระพุทธเจ้าแต่ผมคนเดียว ท่านทั้งหลายพูดจริง ไม่เป็นคนตลบตะแลง โลเลแล้ว ก็เป็นทาสของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เสมอหน้ากันหมดเท่ากันกับผม
เพราะฉะนั้น จะต้องเป็นเรื่องที่ไม่มีใครเอาเปรียบใคร ยอมบากบั่น กัดฟัน ก้มหน้า อดทน ปฏิบัติภาระหน้าที่ของตนสุดความสามารถแห่งตน โดยไม่ทิ้งอะไรเหลือไว้สำหรับเป็นเครื่องฟุ่มเฟือย เพ้อเจ้อ เหลวไหล ในเรื่องเล่นหัว เหลาะแหละ สูบบุหรี่ มีเครื่องสำอาง มีอะไรต่างๆซึ่งมีลักษณะของคฤหบดีมากกว่าธรรมบุตร เราต้องจริงจังกันในเรื่องนี้ จึงจะชื่อว่าเป็นทาส เป็นทาส เป็นบ่าวเป็นขี้ค่า ของพระพุทธองค์ ของพระธรรม ของพระสงฆ์ ไม่อย่างนั้นแล้วเป็นเรื่องตลบตะแลง หน้าไหว้หลังหลอกสิ้นดีที่สุด ขอได้โปรดจำ ชีวิตหมอนไม้นี้ไว้ให้มั่นคงว่ามันเหมาะสมกับผู้ที่เป็นทาสของพระพุทธองค์ พระธรรมพระสงฆ์ อย่างไม่มีอะไรจะเปรียบเสมอเหมือน เราได้มาชิมได้มาลองได้มากระทำทุกอย่างจนเรียกว่ามันเข้ารูปได้กับเราแล้ว แม้ว่าบางองค์จะอึกอัก จะกระอักกระอ่วนมาก เมื่อแรกมาชิมเข้า แต่เมื่อเวลาล่วงมาถึงสองอาทิตย์แล้ว สิ่งต่างๆหมดปัญหาไป เรื่องไม่มีอะไรจะฉันเพลก็หมดปัญหาไป เรื่องไม่มีหมอนไม่มีเสื่อดีๆอะไรก็หมดปัญหาไป เรื่องน้ำค้าง เหลือบ ยุง ลม แดด ก็หมดปัญหาไป อะไรๆก็หมดไปอีกมากมาย นี้เป็นการทำให้สมกับที่ร้องตะโกนว่า ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระธรรม ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระสงฆ์ มอบกายถวายชีวิตนี้แด่พระพุทธเจ้า มอบกายถวายชีวิตนี้แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ ซึ่งร้องตะโกนอยู่ทุกเวลานาทีที่มีการทำวัตรเย็นอย่างนี้ ก็เป็นอันว่าไม่ควรจะมีปัญหาอะไรเหลืออยู่ ในการที่จะไม่เสียสละ จะไม่อดกลั้นอดทน ไม่ทำหน้าที่ของตน ให้สมกับคำว่าพุทธบุตรแต่ประการใดเลย เมื่อเรามีอะไรๆ เท่าๆกัน เหมือนๆกัน คือเป็นทาสของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เหมือนกัน มีภาระหน้าที่เฉพาะหน้าเหมือนกัน และเท่ากันทั้งที่ผู้จะอยู่และเป็นผู้จะไป เรามีความรับผิดชอบเป็นตายกันอย่างนี้ ไม่ต้องขอโทษขอโพยอะไรกันก็ได้ ที่จริงเราก็มีโทษที่จะต้องขอกันอยู่ แน่นอน เพราะว่ามีความผิดพลั้ง พลั้งพลาดต่อกันบ้าง แต่ว่าเรื่องนั้นมันเป็นเรื่องเล็กเกินไปเสียแล้ว ในเมื่อมาเทียบกันกับการที่เราจะต้องทำหน้าที่อันใหญ่ร่วมกัน เป็นทาสของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เสมอหน้ากัน เสียสละชีวิตเพื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ได้อย่างนี้ มันก็เป็นการขอโทษและให้อภัยกันอยู่ในตัวแล้วเสร็จทุกทิพาราตรีกาล
ฉะนั้น ขอให้ถือเอาการกระทำนี้เป็นหลักใหญ่ ว่าการขออภัยและการให้อภัยนั้น มีอยู่พร้อมเสร็จแล้วในเนื้อหาแห่งการเสียสละและความอดกลั้นอดทนของเรา ดังที่ได้มาร่วมกันอยู่ในที่นี้ ขออภัยตามจารีตประเพณี ตามอริยวังสปฏิปทา นั้นก็เป็นการดี ควรกระทำอยู่เสมอ ไม่ใช่ผมจะติเตียนและคัดค้านการขออภัยและให้อภัยตามธรรมเนียม แต่ว่าขอให้ระลึกนึกถึงให้มาก ให้ที่สุดและให้เป็นอย่างยิ่งว่า เราจะต้องขออภัยและให้อภัยกันอยู่โดยไม่รู้สึกตัว โดยไม่ต้องขอนั่นเอง อยู่ตลอดเวลาทุกลมหายใจเข้าออก ถ้าเราจะต้องตายด้วยกันจะต้องเป็นด้วยกันแล้วจะมามัวเสียเวลาอย่างอื่นไม่ได้ จะต้องรีบทำหน้าที่ ที่พระพุทธองค์ทรงมอบหมายไว้ จะมามัวโกรธกันไม่ได้ถือเขาถือเราไม่ได้ เกี่ยงงอนกันไม่ได้ ฉะนั้น มันเป็นลูกที่สารเลวของบิดามารดา เพราะว่าการกระทำอย่างนั้น ทำให้หน้าที่การงานที่จะต้องประพฤติต่อบิดามารดานั้นเสียหายหมด เราจึงทำไม่ได้ เราจะต้องสละทุกสิ่งทุกอย่างทุกประการ ที่จะไม่ให้ความรู้สึกทำนองนั้นมาขัดขวางหน้าที่การงาน ที่เราจะต้องประพฤติและกระทำเพื่อสนองพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า ของพระธรรม ของพระสงฆ์ ซึ่งเรียกว่าเป็นชีวิตจิตใจของเรา เป็นผู้ที่สร้างเรามาสู่ความเป็นอย่างนี้ คือเป็นชีวิตที่ประเสริฐอย่างนี้ เราได้มาเพราะพระพุทธองค์ เพราะพระธรรม และพระสงฆ์ เราจึงเสียสละให้หมดได้ไม่ว่าอะไร จะเป็นชีวิตจิตใจ เลือดเนื้อร่างกาย สิ่งของ ทุกอย่างก็ต้องเสียสละได้ เพื่อทำแต่สิ่งที่พระพุทธองค์ประสงค์ให้ทำ คือหน้าที่ที่จะช่วยกันสืบอายุพระศาสนา ไม่ว่าจะไปเผยแผ่ถึงต่างประเทศหรือว่าจะอยู่รับหน้าคนที่จะเข้ามาในประเทศก็ตาม มันเป็นภาระที่เท่ากันและหนักเท่ากันไม่เสียเปรียบอะไรกัน เราจึงไม่มีอะไรที่จะต้องถือสาแก่กัน จงช่วยกัน รีบ รีบ รีบ รีบทุกอย่างทุกประการที่จะต้องทำ คือการศึกษาก็ดี การค้นคว้าก็ดี การปฏิบัติก็ดี อะไรก็ดี จะต้องรีบอย่างเดียว รีบให้ถูกวิธี ไม่ล้มลุกคลุกคลานด้วย จึงจะสำเร็จประโยชน์ตามที่มีความประสงค์มุ่งหมาย สิ่งใดยังไม่พอก็ต้องรีบ ความรู้ทางธรรมะไม่พอก็ต้องรีบ ความรู้ทางภาษาไม่พอก็ต้องรีบ สติปัญญาในทางปฏิภาณไม่พอก็ต้องรีบ ความรู้อย่างเดียวไม่พอต้องมีปฏิภาณในการใช้ความรู้นั้นด้วย ดังนั้น ต้องรีบสร้างปฏิภาณ อบรมให้เกิดปฏิภาณให้มากขึ้น ความอดกลั้นอดทนไม่พอก็ต้องฝึกให้พอ การเสียสละไม่พอก็ต้องทำให้พอ ตลอดถึงกำลังกาย กำลังใจยังมีไม่พอก็ต้องอบรมบ่มให้มันมากพอ ในที่สุด ก็จะพอที่จะทำหน้าที่ของพุทธบุตรตามคำสั่งของพุทธองค์ นี้เรียกว่า รีบอย่างยิ่ง รีบทำให้พอ รีบสร้างให้พอแล้วจะได้ทำหน้าที่ของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการไปต่างประเทศนั้นก็ต้องมีความรู้ในภาษาต่างประเทศ หรือความรู้อย่างอื่นๆที่จะไปเอาชนะชาวต่างประเทศได้ให้พอ มันเป็นเรื่องที่ใหญ่โตมากถ้าดูถึงความมุ่งหมายแล้วก็คือ เรื่องช่วยกันสร้างโลกทั้งโลกนี้ให้ดีขึ้น ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย ถ้าจะต้องเสียชีวิตไป ก็เป็นเรื่องที่สมควรกันอยู่นั่นเอง แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่จะต้องเสียชีวิตไป สักสิบคนหรือร้อยคน ก็ยังเป็นเรื่องที่สมควรอยู่นั่นเอง ฉะนั้น ขอได้ปลงใจและเสียสละไว้ล่วงหน้าในลักษณะเช่นนี้ ถ้าเป็นเรื่องทำให้โลกนี้ดีขึ้น
โลกนี้กำลังเอียงไป เหไป ในทางที่จะล่มจม คือไปมัวเมาในเรื่องทางวัตถุหรือวัตถุนิยมมากขึ้น รู้แต่เรื่องทางวัตถุคือ ทางเนื้อหนัง ไม่รู้เรื่องทางจิตทางวิญญาณ จึงได้เกิดการแย่งชิงประหัตประหารกันขึ้นมา เพราะว่าความสุขทางวัตถุนั้น เป็นสิ่งที่ทำให้ลุ่มหลง และเมื่อคนต้องการพร้อมๆกันก็ไม่พอ มันขึ้นอยู่กับวัตถุมันจำกัดมันจึงไม่พอ มันจึงต้องแย่งกันเหมือนสุนัขกัดกันเพื่อแย่งอะไรสักอย่างหนึ่ง แต่ถ้าหากมนุษย์หันไปในทางที่ตรงกันข้าม คือไปหาความสุขทางจิตใจแล้ว มันพอ มันมีให้พอ มันไม่ต้องแย่งกัน มันไม่ต้องอาศัยวัตถุ มันทำขึ้นมาได้เหลือเฟือเกินกว่าพอเสียอีก ดังนั้น จึงไม่ต้องแย่งกันและไม่ต้องกัดกัน ถ้ามนุษย์หันไปหาความสุขทางนามธรรมหรือจิตใจโลกมันก็สงบเท่านั้นเอง เพราะมันมีสิ่งนี้ให้เหลือเฟือเกินกว่าพอ เราไปสอนเขาให้รู้จักแสวงหาความสุขทางนามธรรม ทางจิตทางวิญญาณ ก็คือการไปสอนให้ได้สิ่งที่มีให้เพียงพอในโลกนี้แล้วก็ไม่ต้องแย่งกันไม่ต้องกัดกัน ถ้ายังหลงอยู่ในวัตถุนิยมอยู่เพียงใด ก็ยังจะต้องแย่งกันและกัดกันอยู่เพียงนั้นและจะยิ่งขึ้นทุกทีและจะเป็นการถาวรยิ่งขึ้นทุกที จนเรียกว่าโลกนี้มีแต่วิกฤตการที่ถาวรเท่านั่นเอง นั่นแหละ ขอให้เพื่อนสหพรหมจารีทั้งหลายมองดูให้ดีๆในแง่นี้อย่าอวดดีอย่าประมาท เมื่อเห็นจริงแล้วจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องสูงสุด เป็นเรื่องประเสริฐที่สุด ควรจะสละชีวิตสักสิบครั้ง ยี่สิบครั้ง ร้อยครั้ง พันครั้ง ก็เป็นการสมควร ทำกันเรื่อยไปเพื่อให้สิ่งนี้ประสบความสำเร็จ เหมือนที่พระพุทธองค์ได้ทรงตั้งปณิธาน สร้างสมบารมีถึง สี่ อสงไขยแสนกัลป์ ไปคิดเลขดูเถอะว่าพระพุทธองค์จะต้องตายแล้วตายอีกเกิดแล้วเกิดอีก ตายแล้วตายอีกเกิดแล้วเกิดอีกสักเท่าไร กี่สิบครั้ง กี่ร้อยครั้ง กี่พันครั้ง กี่หมื่นครั้ง กี่แสนครั้ง หรือกี่ล้านครั้ง จึงจะช่วยโลกได้สำเร็จตามความมุ่งหมายของพระองค์ และเรานี่จะเอากันสักกี่ครั้ง คิดดูให้ดีๆอย่าพูดแต่ปากอย่าเข้าข้างตัว ลองปักใจให้มั่นว่าจะเอาสักกี่ครั้ง กี่สิบครั้ง กี่ร้อยครั้ง ผมคิดว่าดูจะยังไม่เคยคิดกันถึงเรื่องนี้ ก็คิดถึงแต่เรื่องเกียรติบ้าง เรื่องกินบ้าง เรื่องอะไรบ้างมาเสียมากมาย แล้วต่อไปข้างหน้าก็ยังจะหวังเรื่องเกียรติ เรื่องความหรูหราได้รับงานที่มีเกียรติให้ไปทำอย่างนี้เสียมากกว่า ไม่ได้เคยไปคิดที่จะไปตายแล้วตายอีก เกิดแล้วเกิดอีก เพื่อทำหน้าที่ของตนเหมือนพระพุทธองค์ นั่นแหละ ถ้าอย่างไรลองไปคิดกันเสียใหม่ ลืมเรื่องเกียรติที่รัฐบาลมอบหมาย ที่คณะสงฆ์มอบหมาย ลืมเรื่องสำหรับเด็กเล่นอย่างนั้นเสียให้หมด แล้วก็ไปบากบั่นตั้งหน้า ที่จะทำเพื่อด้วยชีวิตจิตใจโดยไม่ต้องมีเกียรติจึงจะสำเร็จ
ขอได้โปรดถือภาษิตที่ว่า ปิดทองหลังพระเอาไว้ นั่นแหละประเสริฐที่สุด เพราะที่หลังพระนั่นไม่ค่อยมีใครชอบปิดมันว่างอยู่ ชอบปิดทองที่หน้าพระกันทั้งนั้น คือ พวกเอาหน้าเอาเกียรติ ที่หลังพระเลยว่างอยู่ไม่มีใครปิด เรานี่แหละจะเป็นผู้ไปปิดส่วนนั้นที่มันยังพร่องอยู่ คือความยากลำบากที่มนุษย์เขาไม่ชอบกัน ไม่ต้องการกันนั่นแหละ เราจะต้องชอบ และเราจะต้องทำหน้าที่ที่ยากลำบากที่เค้าไม่ค่อยจะทำกัน คือการต่อต้านหรือการประท้วงในสิ่งที่ไม่ควรจะมี ในสิ่งที่ไม่ควรจะเป็น การต่อต้านและการประท้วงนั้นมันหมายถึงความตาย มันหมายถึงการที่จะต้องถูกเขาฆ่าตาย พวกมิชชันนารีก็ดี พวกธรรมทูตก็ดีจะต้องอุทิศกันถึงอย่างนี้จึงจะทำงานได้สำเร็จ ขอได้โปรดระลึกนึกถึงที่ได้กล่าวถึงว่า พวกมิชชันนารีต้องมี องค์ประกอบสามประการที่มีความสำคัญที่สุด
พวกมิชชันนารีคริสตังถือหลักอย่างนี้ เค้าจึงทำงานสำเร็จ หนึ่งความไม่มีสมบัติอะไร Poverty สองความเป็นโสด Chastity หรืออะไรทำนองนี้และสามสำคัญที่สุด ความเชื่อฟัง Obedience เรามีทั้งสามอย่างนี้เต็มๆ จริงหรือเปล่า ความเชื่อฟังมีมากพอหรือเปล่า ดูให้ดีอย่าเข้าข้างตัวเอง ว่าความเชื่อฟังมีมากพอหรือเปล่า สั่งให้ทำอะไรทำอย่างนั้นจริงหรือเปล่า สั่งให้ไปในที่ลำบากก็ไปหรือเปล่า สั่งให้ไปตายหรือมีหวังว่าจะต้องตายจะยอมไปหรือเปล่า ถ้ายังก็ยังไม่มีความเชื่อฟัง ไม่มากพอที่จะเป็นมิชชันนารีหรือธรรมทูต จะต้องไปพ่ายแพ้พวกฝรั่งกลับมาเป็นแน่นอน ขอได้โปรดนึกถึงข้อนี้ ซึ่งเป็นองค์คุณประกอบที่จำเป็นที่สุดแห่งความสำเร็จของพวกธรรมทูตหรือพวกมิชชันนารี มีอะไร มีก็ยังไม่ดีไม่เท่ากับองค์คุณสามอย่างนี้ แม้จะมีความรู้มีสติปัญญาท่วมฟ้าท่วมดิน แต่ถ้าปราศจากองค์คุณสามอย่างนี้แล้ว มันก็เป็นหมัน ไม่มีสาระอะไรเลย ในหน้าที่ของธรรมทูต ฉะนั้น ต้องมีองค์ประกอบสามอย่างนี้สิ่งเหล่านั้น จึงจะเป็นประโยชน์ขึ้นมา
ขอให้นึกถึงข้อที่ว่าเมื่อพระศาสดา ตรัสรู้แล้วใหม่ๆ ได้มีสาวกขึ้นมา ๖๐ รูปแล้วส่งไปประกาศพระศาสนานั้น พวกสาวกเหล่านั้นรู้อะไร รู้ภาษาต่างประเทศหรือเปล่า แม้พวกที่พระเจ้าอโศกส่งไปในยุคหลังไปต่างประเทศทั่วโลกนั้น พวกเหล่านั้นรู้ภาษาต่างประเทศหรือเปล่า แล้วมาทำให้สำเร็จประโยชน์ได้อย่างไร โดยวิธีใด ไปศึกษาดู ข้อนี้ไม่เหลือวิสัยของนักศึกษาทั้งหลายจำนวนนี้ชุดนี้ที่จะไปหาเรื่อง อ่านดูในประวัติศาสตร์ส่วนนี้ เขาไม่รู้อะไรมาก และไม่มีรู้ภาษาต่างประเทศด้วย แต่เขาก็ไปทำสำเร็จ เพราะว่าประกอบไปด้วยองค์คุณ สามประการดังที่กล่าวมาแล้วนั่นเอง ขอให้สังวรในเรื่องนี้ และขอให้เอาเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ สำหรับปรับปรุงตัวเองให้เหมาะสมแก่งานธรรมทูตด้วย เอาเล่าว่า สมัยนี้มันผิดกับสมัยก่อนและเราก็มุ่งหมายที่จะไปยังต่างประเทศ มีเวลาเตรียมตัวล่วงหน้านาน ฉะนั้น เราก็เตรียมได้ทุกอย่างทุกประการ แต่ว่าสามอย่างนั้นอย่าได้ขาด คือต้องยอมเป็นคนจน เป็นคนไม่มีภาระผูกพัน และเป็นคนเชื่อฟัง ทำตามคำสั่งแม้ว่าจะต้องเสียชีวิตสามารถที่จะต่อต้านและประท้วงต่อสิ่งที่ไม่เป็นธรรม แม้ว่าตนจะต้องเสียชีวิต อย่างที่ผมเคยย้ำแล้วย้ำอีก ในการสนทนากันเป็นประจำวันที่แล้วๆมา การต่อต้านประท้วงผู้อื่นนั้นก็เป็นหน้าที่ของธรรมทูตด้วย แต่ว่าเราไม่ได้ไปประท้วงเขาด้วยลักษณะเอาหักด้ามพร้าด้วยหัวเข่า มันป่วยการ จะต้องประท้วงต่อต้านด้วยวิธีที่ฉลาดที่ให้สำเร็จประโยชน์ไปตามนั้น แต่แม้อย่างนั้นบางทีก็ต้องยอมเสียสละชีวิตด้วยเหมือนกัน มันเป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่สุดแล้ว ถ้าไม่ยินดี ไม่สมัคร หรือไม่กล้าในการต่อต้านประท้วงสิ่งที่ไม่เป็นธรรมในโลกนี้แล้ว งานธรรมทูตก็เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าจะต้องไปสอนเขาให้กลับหลัง เดินทางไปในทางที่ถูกต้อง มันขัดขวางกับความประสงค์ของเขา มันขัดกับความเคยชินของเขา ในเมื่อเขาบูชาความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนัง เราไปบอกว่ามันไม่มีสาระอะไรอย่างนี้ มันเป็นการต่อต้านกันอย่างยิ่ง ฉะนั้น ต้องต่อต้านด้วยวิธีที่ฉลาดที่สุด คือด้วยความรู้ ด้วยปฏิภาณ ด้วยโวหาร เหมือนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราได้ทรงใช้มาแล้ว ไม่มีลักษณะหักด้ามพร้าด้วยหัวเข่า แต่ว่ามีอะไรมากยิ่งกว่านั้น รุนแรงยิ่งกว่านั้น และทำได้สำเร็จด้วย อันเป็นการหักน้ำใจ ล้างสมองหรืออะไรทำนองนั้นกันได้ โดยไม่มีการกระทบกระเทือน นี่แหละงานธรรมทูตมันมีอยู่อย่างนี้ มันใหญ่หลวงอย่างนี้ มันยาก ประณีต ละเอียด ลำบากอย่างนี้ หวังว่าจะได้คิดดูให้ดี ให้เข้าใจพอ แล้วเตรียมตัว เตรียมกาย เตรียมใจ เตรียมชีวิต วิญญาณอะไรทุกอย่างไว้ให้พร้อม และให้เพียงพอ
ขออภัยผมอาจจะพูดมากไปก็ได้ แต่ด้วยเหตุที่ว่าเราอาจจะไม่ได้พบกันอีกเลยก็ได้ จึงต้องพูดมากหน่อย ในลักษณะที่ลืมยากด้วย เพราะว่าจะได้ติดไปในจิตใจของเพื่อนสหพรหมจารีทั้งหลาย อย่างที่ว่าไม่พบกันอีกก็ได้ ถ้าพบกันอีกก็เป็นโชคดี แต่ถ้าไม่พบกันอีกก็ยังได้ เพราะว่าสิ่งนี้จะต้องฝังใจไปตลอดกาล ไปเป็นเครื่องมือหรือเครื่องอุปกรณ์ที่จะช่วยเหลือให้งานของเราลุล่วงไปด้วยดีในฐานะเป็นผู้รับผิดชอบร่วมกัน ท่านทั้งหลายจะต้องรับหน้ากับคนในต่างประเทศ แต่ผมก็จะต้องรับหน้าคนที่จะจู่โจมเข้ามาในประเทศจนมาถึงรัง หมายความว่า ที่ที่เราไม่อาจจะบ่ายเบี่ยง หลีกเลี่ยงไปไหนอีกแล้ว จนตัวจนตรอกเต็มทีแล้ว แล้วเราก็จะต้องรับหน้าเขา ให้สำเร็จประโยชน์ ให้สมกับที่เป็นสมณศากยบุตรของพระพุทธองค์ ไม่ให้เสียทีที่พระพุทธองค์ทรงประสงค์ไว้ ว่าพวกเราจะต้องทำหน้าที่อันนี้ได้สำเร็จสุดความสามารถของตนด้วยกันทุกคน นี่แหละ ทั้งหมดนี้แหละ คือเรื่องที่ผมมี เรื่องอื่นไม่มี มีสำหรับจะกล่าวแก่เพื่อนสหพรหมจารีทั้งหลาย ในฐานะรับผิดชอบร่วมกัน พูดตรงๆ ตรงไปตรงมา เปิดเผยที่สุด ไม่ขยักอะไรไว้ เพราะว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะอ้อมแอ้ม อ้อมค้อม เราไม่มีเวลามากพอที่จะมามัว อ้อมแอ้ม อ้อมค้อม เกรงใจอะไรกันอยู่ มันไม่ใช่เรื่องของใครของผู้ใด ไม่ต้องมีใครขอบใจใคร โดยน้ำใจจริงของผมแล้ว ไม่ต้องมีใครจะต้องขอบใจหรือขอบคุณใคร ไม่มีอะไรเป็นหนี้บุญคุณกันอย่างนั้น เพราะว่าเราทุกคนเป็นทาสของพระพุทธองค์ ไม่ใช่แต่ผมคนเดียว ทุกคนเป็นทาสของพระพุทธองค์ ไม่ต้องมีการขอบใจกันในระหว่างพวกเรา ขอให้พุ่งสายตาไปยังพระพุทธองค์ผู้เป็นเจ้าของงาน ถ้าจะไปเอาขอบใจอะไรกันบ้างก็ไปเอากันกับพระพุทธเจ้า อย่ามาเอากันที่พวกเรา เราเล็กนิดเดียว เป็นทาสของพระพุทธองค์ ก้มหน้าก้มตากันทำหน้าที่ที่จะต้องทำ รับผิดชอบร่วมกันแท้ๆ แล้วจะต้องมาขอบใจอะไรกัน เขาไม่มีหรอก ไม่มีสองเรื่องสามเรื่อง สองฝักสองฝ่าย สามฝักสามฝ่ายอะไรมีเรื่องเดียว ทุกคนเป็นทาสของพระพุทธองค์ ต้องทำงานสิ่งนั้นให้สำเร็จ ถ้าไม่สำเร็จก็เสียที ที่เรียกตัวเองว่า สมณศากยบุตรบ้าง ธรรมทูตบ้าง หรืออะไรบ้างทำนองนั้น อย่านึกเป็นห่วงเรื่องว่าเป็นหนี้บุญคุณ จะต้องขอบคุณหรืออะไรทำนองนั้น ไม่ต้องนึกก็ได้ แต่ว่าจะทำไปตามทำเนียมประเพณีก็ได้ไม่มีใครว่า แต่ในใจนั้นต้องเรียกว่าให้อภัยอยู่ในตัวเสมอ อดโทษอยู่ในตัวเสมอ และทำนี้ไม่ต้องเอาบุญเอาคุณกับใคร ทำถวายพระพุทธเจ้า ไม่ต้องเอาบุญเอาคุณกับใคร ผมก็ไม่เอาบุญเอาคุณกับเพื่อนสหพรหมจารีทั้งหลาย เพื่อนสหพรหมจารีทั้งหลายจึงไม่ควรเอาบุญเอาคุณกับผม ฉะนั้น เลิกกัน ฉีกบัญชีทิ้งก็ได้ ถ้าไปจดไว้ทำนองรับจ่าย เจ้าหนี้ ลูกหนี้ อะไรทำนองนั้นไม่มีเรื่องที่จะต้องคิดอย่างนั้น มิจิตใจเกลี้ยงเกลาแต่จะสละชีวิตอุทิศเพื่อพระพุทธศาสนาแต่อย่างเดียว ใครจะด่า จะว่า จะทวง จะอะไรก็สุดแท้ตามใจเขาเราไม่รู้ไม่ชี้ เราจะทำแต่หน้าที่ที่เราเห็นว่าตรงตามพระพุทธประสงค์เท่านั้นเอง นี่แหละ ขอได้คิดดูเถอะว่ามันมีอะไรบ้าง มันไม่มีเรื่องอะไร มันมีแต่เรื่องเดียว เรื่องที่จะต้องมอบชีวิต จิตใจ กระทำไปอย่างซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีตลบตะแลงต่อพระพุทธองค์ ซึ่งเป็นบุคคลสูงสุดจนไม่มีปากจะกล่าวได้ว่าสูงสุดเท่าไร อย่างไร ประเสริฐอย่างไร เราไม่ต้องนึกถึงใครนอกจากพระพุทธองค์ ทำตามพระพุทธประสงค์แล้ว มันก็จะเหมือนกับการนึกถึงคนทุกคนในโลก และนึกไปในทางที่เป็นธรรมที่สุด ไม่มีเขา ไม่มีเรา ไม่มีหมู่คณะนิกาย ที่จะต้องเบ่งทับกัน มีเขามีเราไปในทางที่จะปัดแข้ง ปัดขากัน มันเป็นเพียงคนคนเดียวกัน และเป็นคนเดียวกันกับพระพุทธองค์ในที่สุดด้วย นี่คือ ความหมายอันแท้จริงของธรรมะ ที่เราจะต้องนำไปแผยแผ่ ในฐานะเป็นหน้าที่การงาน หรือว่าเผยแผ่อยู่ประจำถิ่น ในเมื่อเขาต้องการและเข้ามาหา
ในที่สุดนี้ หวังว่าพวกเราจะมีความเข้าใจซึ่งกันและกันเป็นอันดี มีความสมัครสมานสามัคคีแก่กันอย่างแท้จริง โดยบทว่า สังโฆ โหตุ สะมัคโควะ ขอพระสงฆ์จงพร้อมเพรียงกัน ฐาตุ จิรัง สะตัง ธัมโม ธัมมัทธะรา จะ ปุคคะลา ขอให้พระสัทธรรมนี้ตั้งอยู่ตลอดกาล รวมทั้งบุคคลผู้ทรงธรรมด้วย ให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ในโลกนี้ตลอดกาล รวมทั้งบุคคลผู้ทรงธรรมด้วย นั้นเป็นหมู่ทรง ซึ่งจะต้องพร้อมเพรียงกันไม่ว่าจะเป็น ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา หรืออยู่ในเพศไหน ขอให้พร้อมเพรียงกัน เพื่อความตั้งอยู่แห่งพระสัทธรรมและบุคคลผู้ประพฤติธรรมในโลกนี้ เลิกมีพวกนั้นพวกนี้ เลิกมีคนไทย คนต่างประเทศ เลิกมีชาตินั้น ชาตินี้ประเทศนั้นประเทศนี้ ขืนมี เป็นคนโง่ และเป็นขบฏต่อพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้าท่านสอนไม่ให้มีความรู้สึกอย่างนี้ เราขืนมีก็เป็นคนดื้อดึง ด้วยความโง่ด้วยเจตนา มีความโง่อย่างเจตนา ขอได้โปรดสังวร ในเรื่องนี้ไว้ในที่สุด แล้วสิ่งต่างๆ ก็จะเป็นไปด้วยดี สมตามความประสงค์อย่างยิ่ง ไม่มีล้มเหลวเลย ขอได้โปรดนึกคิดและกระทำสุดความสามารถเถิด การกระทำนั้นจะเป็นเครื่องบูชาพระองค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และทำให้เรากลายเป็นธรรมะ ถึงความเป็นอันเดียวกันกับพระพุทธองค์ ไม่มีอะไรเหลืออยู่นอกจากธรรมะ นอกนั้นก็มีแต่ เกิดเกิด ดับดับ ไม่มีสาระอะไร ผมขอฝากสิ่งนี้ไว้ในความทรงจำ ของเพื่อนสหพรหมจารีทั้งหลาย อย่าได้มีความลางเลือนและลืมเลย ขอยุติคำปราศรัยฝากไว้เป็นเรื่องสุดท้าย ในกิจการของเราที่นี่ แต่เพียงเท่านี้ เพราะว่าหมดเวลาหรือสมควรแก่เวลาแล้ว
อ้าว ถึงเวลาจะออกเดินทางแล้ว ไม่ต้องนั่งไม่ต้องกราบก็ได้ ยืนไหว้เพราะว่ากราบแล้ว แต่จะขอฝากความคิดครั้งสุดท้ายว่า ขอให้มีความก้าวหน้าในการศึกษา และในกิจการที่เราได้รับมอบหมายนี้ ขอให้ถือหลักสำคัญอย่างยิ่ง ของพระพุทธองค์คือว่า ให้มีแต่ให้ อย่ารับเอา มีแต่ให้อย่ารับอะไรตอบแทน แม้แต่คำว่าขอบใจ พระพุทธองค์ทรงกระทำเช่นนั้น คือพระองค์มีแต่ให้ ไม่มีรับตอบแทน ถ้าพวกเราทั้งหลายยังคิดถึงหมอนไม้อยู่เพียงไร สิ่งนี้ก็จะเป็นของที่ทำได้โดยง่าย คือ มีแต่ให้ไม่รับตอบแทน แม้แต่คำว่าขอบใจ ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วขอนิมนต์ไปขึ้นรถได้