แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันที่ ๑๘ เมษายน ๑๐ สำหรับพวกเราได้ล่วงมาถึงเวลา ๕ น. แล้ว ฉะนั้น จะได้สนทนากันในเรื่องบางอย่างตามที่กำหนดไว้ วันนี้อยากจะพูดถึงเรื่องชีวิตของนักเผยแผ่ หรือที่เรียกว่าธรรมทูต โดยกว้างๆ เราควรจะมองกันถึงแบบของการเป็นอยู่ที่มีอยู่ในหมู่มนุษย์ทุกชนิดกันดูเสียก่อน เช่นว่า อยู่ครองเรือนหรือไม่มีเรือน ไม่ครองเรือน พวกที่อยู่ครองเรือนก็ต้องมีบ้านเรือน ทรัพย์สมบัติหน้าที่การงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือบุตร ภรรยา ดูเหมือนว่าทำทุกสิ่งทุกอย่างก็เพื่อเรือน เพื่อบุตร เพื่อภรรยา ดังนั้น จึงมีใจอุทิศ หรือถึงกับมัวเมาอยู่แต่ในเรื่องของบุตร ภรรยา สามี จึงได้ชื่อว่าเป็นชีวิตครองเรือน ทีนี้ชีวิตนักบวชหรือบรรพชิต หรืออนาคาริกมันก็ต้องตรงกันข้าม ไม่ครองเรือน คือไม่ต้องมีเหย้าเรือน ไม่มีทรัพย์สมบัติ ไม่มีบุตรภรรยา เรียกว่าชีวิตไม่มีถิ่น ไม่มีที่ ไม่มีสำนักหลักแหล่ง ต่างจากชีวิตครองเรือนซึ่งมีอะไรมาก แล้วเป็นสำนักหลักแหล่งเหมือนกับว่าปักลงไปที่นั่นเพื่อที่จะได้ทำอะไรมากๆ เช่น มีที่นา ก็ต้องทำนาอย่างนี้เป็นต้น ก็มีเรื่องต่างกันมาก สำหรับนักบวชมีชีวิตเร่ร่อน ใช้คำว่า เร่ร่อน จะถูกกว่า แม้แต่ใช้คำว่าพักแรมก็ไม่ถูกนัก คำว่าพักแรมควรจะใช้กับวัดวาอารามที่เราอยู่อาศัย วัดวาอารามควรจะเป็นเพียงที่พักแรม คือไม่ใช่บ้านเรือนที่อยู่จริง ชีวิตการเป็นอยู่ในวัดวาอารามควรจะจัดให้เหมือนกับพักแรมไม่ใช่ถาวร ยกตัวอย่างเช่นมีอะไรในกุฏิหมด กระทั่งห้องส้วมห้องน้ำอย่างนี้ไม่ใช่ชีวิตพักแรม ไม่ต้องพูดถึงว่าจะเป็นชีวิตเร่ร่อนแต่จะเป็นชีวิตคฤหบดีครองเรือน ชีวิตพักแรมควรจะจัดให้มีอะไรชนิดที่ว่าไม่เหมือนกับคฤหบดีครองเรือน ให้เหมือนกับที่ว่าเราไปพักแรมในป่า ตั้งค่ายอยู่ในป่า มีอะไรเพียงเพื่อแก้ปัญหาขัดข้องประจำวันไปเท่านั้น ดังนั้น ขออภัยที่ยกตัวอย่างที่สวนโมกข์นี้ ด้วยวลีที่ว่า กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู อย่างนี้ก็เพื่อให้มันพอให้มันแล้วแล้วไปทีเท่านั้น อยู่ในแบบที่เรียกว่า พักแรม แม้ส้วมก็ไปทำไว้ในที่ไกล ไม่นิยมที่จะทำส้วมไว้ในที่อยู่หรือในห้องนอน เพื่อให้เป็นแบบพักแรมมากหน่อย จะเป็นเครื่องป้องกันไม่ให้คนเกิดนิสัยอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่มันจะหาความสบายแก่เนื้อแก่หนัง ไม่ค่อยระมัดระวังไม่ค่อยเป็นระเบียบเวลา ถ้าห้องส้วมห้องน้ำมันอยู่ไกลออกไปมันก็ต้องทำเป็นระเบียบเวลาเพราะถ้าผิดเวลามันทำยากมันไม่ชวนทำ ก็ต้องระมัดระวังเรื่องท้องเรื่องไส้เรื่องกินอย่าให้ต้องลำบากในเรื่องไปส้วมไกลๆ ค่ำๆคืนๆ อย่างนี้เป็นต้น มันมีผลดีอยู่บางอย่าง ถ้าเราจะจัดกันไปในแบบชีวิตพักแรม ทีนี้จะมองถึงชีวิตบรรพชิตโดยตรง คำว่า พักแรม ก็ยังจะมากไป ควรจะใช้คำว่าเร่ร่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับพวกเราธรรมทูตควรจะเป็นชีวิตเร่ร่อน ชีวิตเดินทาง จัดกระเป๋าเดินทางหรือ portable อยู่เรื่อยไม่มีอะไรจะลงหลักปักแน่นลงไปที่ไหน เรียกว่าชีวิตกระเป๋าหิ้วจะดีกว่า ฉะนั้น ขอให้เตรียมตัวอย่างที่จะมีชีวิตกระเป๋าหิ้วให้มากขึ้น โดยการทำความเข้าใจกันให้ดี และหวังว่าหลังจากที่กลับไปจากนี่ เพื่อนพรหมจารีทั้งหลายจะได้มีชีวิตกระเป๋าหิ้วมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เกี่ยวกับชีวิตธรรมทูตที่ถูกส่งออกไปประกาศลัทธิ ศาสนา หรือโดยเฉพาะของเราที่จะเรียกว่าพรหมจรรย์ คือ แบบแห่งการมีชีวิตอันประเสริฐนั้นก็ยิ่งสำคัญมาก เราลองนึกดูว่าเราจะทำได้อย่างไร จะทำได้เพียงไร หรือจะทำอยู่แล้วอย่างไรเพื่อเข้าใจได้ดีหรือเอาเป็นหนทางที่เราจะเข้าใจได้ดีต่อไป เราลองนึกถึงพวกที่เขาทำงานนี้จริงๆจังๆกว่าพวกเราดูเป็นตัวอย่างสักพวกหนึ่งก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็พวกมิชชันนารี missionary ของคริสเตียน เราจะต้องระบุคัดเฉพาะพวกโรมันคาทอริก พวกนี้มีหลักตายตัวแน่นอนประกาศตายตัวลงไปว่าพระจะต้องมีชีวิตประกอบไปด้วยองค์สาม ๑. ความไม่มีสมบัติอะไร เรียกว่าความจน poverty และ ๒. ความเป็นคนโสด ก็รู้กันดีอยู่แล้วว่าโสดหมายถึงอะไร ชีวิตเดี่ยว ชีวิตโสด chastity หรืออะไรทำนองนั้น ไปหาคำพูดเอาเองก็แล้วกันผมก็จำไม่ค่อยแน่ และ ๓. ความเชื่อฟัง เฉียบขาด obedience เมื่อครบสามอย่างนี้จึงจะถือว่าเป็นพระสาวกและเป็นสาวกที่พร้อมที่จะประกาศพระศาสนา ไม่มีสมบัติอะไรเลยก็ไม่มีห่วงเรียกว่าเป็นคนมือเปล่า ถ้าจะมีก็มีแต่หมวกกับไม้เท้ากับเครื่องนุ่งห่ม robe ชนิดที่กำลังสวมอยู่นั้นเท่านั้นเอง สตางค์สักสตางค์หนึ่งก็ไม่ต้องมี ไปแก้ปัญหาเอาข้างหน้าทั้งนั้น จะไปประกาศพระศาสนาในโลกอย่าง Saint Paul หรือ Saint อะไรก็ตามตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ของเค้ามา กระทั่งจนเดี๋ยวนี้ผู้ที่จะไปประกาศพระศาสนาต้องมีสมบัติเท่านี้ ไปแก้ปัญหาเอาข้างหน้าก็หมายความว่าเป็นความสามารถของตนเองที่จะหาสิ่งประทังชีวิตได้ไปวันหนึ่งวันหนึ่ง การเดินทางก็มีเท้าเป็นทุน อาหารการกินก็มีปัญญาแก้ไขเอาเฉพาะหน้าตามคำประเย (นาทีที่ 11.40) ใคร่จะสอนว่า แม้แต่นกกระจิบนกกระจอกก็ไม่อดตายแล้วทำไมคนจะต้องอดตาย ในพระพุทธศาสนาเราพระพุทธองค์ก็ตรัสว่าภิกษุมีทรัพย์สมบัติเหมือนกับนกมีเพียงปีก ๒ ข้างแล้วก็บินไป นี่มันเรื่องเดียวกันแท้คือเรื่องไม่มีทรัพย์สมบัติอะไร เรียกว่าความจน ถ้าไปเกิดมีทรัพย์สมบัติอะไรเข้าแล้วมันก็เป็นห่วงจะต้อง หอบต้องหิ้วไปแล้วจะต้องเกิดการสะสมกำลังกายกำลังใจก็จะถูกแบ่งมาอยู่กับเรื่องทรัพย์สมบัติ เพราะฉะนั้นจึงมีไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้ามีอะไรก็ให้จัดกระทำไปเหมือนอย่างกับว่าไม่มี ไม่มีดีกว่า เพราะว่าเราไม่จำเป็นต้องมี ถ้าจำเป็นต้องมีก็ต้องเป็นของสงฆ์ เครื่องใช้ไม้สอยทุกสิ่งทุกอย่างนั้นให้เป็นของสงฆ์ แม้แต่การเดินทางก็เป็นเรื่องที่ผู้อื่นออกให้ ไม่ต้องมีเงิน ไม่ต้องมีทรัพย์สมบัติที่เรียกได้ว่าเป็นสิทธิของบุคคลนั้นนี้เรียกว่าความจน
สิ่งที่เขาเรียกว่าชีวิตโสดนี่ก็เข้าใจกันได้ดี ไม่มีครอบครัวเลยคือเป็นนักบวช ดังนั้นพวกโรมันคาทอลิกจึงได้เปรียบพวกคริสเตียนซึ่งมีลูกมีเมีย บางทีเดินควงแขนกันด้วยซ้ำไป พวกโปรแตสแตนท์ พวกเราลองเปรียบเทียบคนสองนิกายนี้ดูว่าพวกโปรแตสแตนท์กับโรมันคาทอลิก พวกหนึ่งเป็นชีวิตโสด พวกหนึ่งเป็นชีวิตคู่ หรืออย่างน้อยก็ครึ่งชีวิตคู่ แม้จะมีภรรยาอย่างเพื่อน เหมือนพระมหายานบางนิกาย มันก็อดไม่วายที่จะเป็นชีวิตคู่หรือมีอะไรผูกพันทำนองกิเลส ผูกพันห่วงหน้าห่วงหลังไม่ได้ เลยต้องเอาไปด้วยกัน มาเมืองไทยก็มาด้วยกัน ไปเมืองไหนก็ไปด้วยกันอย่างนี้ไม่ใช่ชีวิตโสด พวกโรมันคาทอลิกไม่ยอมเป็นเด็ดขาด สำหรับพวกภิกษุเราก็ไม่ต้องพูดถึง อย่างน้อยก็ต้องไม่เลวกว่าพวกโรมันคาทอลิกในเรื่องชีวิตโสด ถึงไม่มีเรื่องอะไรที่จะต้องผูกพัน เกี่ยวกับอะไรทำนองนี้ที่เป็นที่ตั้งของตัณหากิเลสนานาประการ เรื่องราคะเรื่องทำนองเพศนั้นก็มี เรื่องที่ผูกพันด้วยความรักใคร่ยึดหน่วงอาลัยอาวรณ์ก็มี มันต้องไม่มีอย่างนี้ก่อน
ทีนี้อันสุดท้ายก็มาถึงความเชื่อฟัง obedience ก็หมายถึง เคร่งครัดเฉียบขาด เพราะเหตุที่เป็นชีวิตโสดและไม่มีทรัพย์สมบัติอยู่แล้วมันจึงสามารถมีความเชื่อฟังได้ทันที พอบอกว่าไปก็ลุกขึ้นเดินไปได้ทันทีเพราะไม่มีครอบครัว ไม่มีทรัพย์สมบัติ และเมื่อจะต้องไปในถิ่นที่แสนจะทุเรศกันดารหรืออันตรายแก่ชีวิตอย่างไปแอฟริกาอย่างนี้ก็ไปได้ทันที ไปด้วยน้ำใจทั้งหมดคือความเชื่อฟังนั่นเอง ถ้าไม่มีความเชื่อฟังก็จะต้องโต้แย้งขอร้องขอทุเลาผ่อนผันว่าที่นั่นอันตรายแก่ชีวิตขอไปที่โน่นเถิด หรือกว่าจะพร้อมที่จะออกเดินทางก็ยากที่จะทำได้ในเมื่อไม่มีความเชื่อฟัง ฉะนั้น จึงต้องมีลัทธิแห่งการเชื่อฟังเกิดขึ้นอย่างเฉียบขาด พวกเราในพุทธศาสนาก็ต้องเป็นอย่างนั้น เหมือนกับที่พระสาวก ๖๐ รูปพอได้รับพระพุทธดำรัสเรื่องให้ออกไปก็ได้ไปอย่างแท้จริงเหมือนกันกับที่กล่าวมาแล้วนี้ เพราะมีชีวิตโสด เพราะไม่มีอะไรเป็นทรัพย์สมบัติ เพราะเชื่อฟังสมเด็จพระบรมศาสดาอย่างยิ่งจึงออกไปและได้ผลสมตามความปรารถนา
ทีนี้ เราจะต้องพิจารณากันถึงพวกเราธรรมทูตสักหน่อย ข้อแรกเรื่องทรัพย์สมบัติมีอะไรเป็นเครื่องห่วง ถ้ามีอยู่ขอให้นึกว่าจะต้องสละ ทรัพย์สมบัตินี่ร้ายกาจมาก ถ้าลองรักลองพอใจแล้วก็จะต้องอาลัยอาวรณ์แม้ที่สุด จะเป็นของเล่นก็ยังอาลัยอาวรณ์ อุตส่าห์ไปซื้อไปหาไปพยายามขวนขวายมาจนได้ พูดง่ายๆก็บางทีอุตส่าห์ไปตบตาโยมจนเอาอะไรมาได้สักอย่างหนึ่ง ในฐานะเป็นทรัพย์สมบัติที่ไม่เกี่ยวไม่จำเป็นกับการประพฤติพรหมจรรย์เลยก็มี นี่แหล่ะลองพิจารณาดูเถอะว่ามันมีพิษสงค์ร้ายกาจเท่าไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ เราจะต้องเป็นผู้ที่ไม่มีอะไรห่วง ผู้ที่ได้รับหน้าที่เป็นสมภารก็มักจะมีอะไรห่วงมากเกินไปจนทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้าถือว่าหน้าที่สมภารก็เป็นหน้าที่ดูแลทรัพย์สมบัติของสงฆ์ไม่ใช่ของเรา มันก็ควรจะมีห่วงน้อยที่สุด หรือไม่มีห่วงเลยก็ได้มันเป็นเพียงทำงานตามหน้าที่ก็แล้วกัน ประเด็นนี้มีความคิดเลยเถิดไปเอง ไปยึดมั่นถือมั่นในลักษณะที่เป็นของตน เพราะว่าตนใช้สอยหรือบันดาลทำอะไรได้ต่างๆ ตามพอใจ ลืมไปว่าเป็นของสงฆ์ กลายเป็นของตนไปโดยไม่รู้สึก อย่างนี้มันก็มีสมบัติมหาศาลเท่ากับคฤหบดีบางคนไปก็ได้ มันไขว้กันอยู่อย่างนี้ แม้ที่เป็นลูกวัดก็มีอาการอย่างนี้ไปตามส่วน ฉะนั้นเรื่องชนิดนี้ทำนองนี้ไม่ควรจะมีแก่พวกเราธรรมทูตเลย ทีนี้เรื่องชีวิตคู่อย่าได้ไปคิดว่าคู่นี้หมายความแต่กับเพศตรงข้ามอย่างเดียว ถ้ามีอะไรเป็นที่รักที่อาลัยอาวรณ์มากแล้วก็เรียกว่าไม่ใช่ชีวิตโสดด้วยเหมือนกันเพราะมีบุคคลที่ต้องเลี้ยงดูด้วยความรักใคร่อาลัยอาวรณ์อย่างนี้ไม่ใช่ชีวิตโสด ขอได้นึกดูให้จริงๆโดยภายในโดยจิตใจที่แท้จริง บางทีอาจจะรักเด็กสักคนหนึ่งก็ได้จนถึงกับทำให้ไปไหนด้วยความอาลัยอาวรณ์ อย่างนี้ไม่ใช่ชีวิตโสด มันต้องเป็นชีวิตโสดที่ไม่มีอะไรเป็นเครื่องรักใคร่อาลัยอาวรณ์หรือผูกพัน ดังนั้นเราจะต้องเตรียมตัวเพื่อเอาชนะข้อนี้ด้วย ที่นี้เกี่ยวกับความเชื่อฟังต่อไปอีก เรามีความเชื่อฟัง ๑๐๐% หรือยัง ต้องพิจารณาดู ด้วยการเทียบส่วนกันกับกิเลสซึ่งเป็นเหตุให้เห็นแก่ตน ถ้าความเห็นแก่ตนมีมากเต็มที่แล้ว ความเชื่อฟังแทบจะไม่มี หรือมีอยู่อย่างหน้าไหว้หลังหลอกเป็นเรื่องตบตาทั้งนั้น ใช้ให้ไปทำอะไรที่ไหนก็จะทำอย่างตบตาทั้งนั้น ความเชื่อฟังนั้นไม่มีความหมาย ที่เราเชื่อฟังกันเพราะเห็นแก่ประโยชน์เพื่อจะได้แก่ตัวนั้นไม่ได้เรียกว่าความเชื่อฟังในที่นี้ กลัวจะถูกคัดบัญชีออกแล้วก็เชื่อฟังอย่างนี้ไม่ใช่ความเชื่อฟังในที่นี้ กลัวจะไม่ได้อะไรแล้วต้องเชื่อฟังอย่างนี้มันใช้ไม่ได้ มันต้องเชื่อฟังด้วยการอุทิศชีวิตต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือต่ออุดมคติ หรือต่อการงานหน้าที่ที่เรารู้สึกว่าเป็นสิ่งสูงสุดของมนุษย์แล้วก็เชื่อฟังเพื่อทำหน้าที่นั้น อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าความเชื่อฟัง ไม่มีการตบตา ไม่มีอาการหน้าไหว้หลังหลอกเหลืออยู่แม้แต่นิดเดียวจึงจะเป็นความเชื่อฟังที่บริสุทธิ์และเป็นองค์การ องค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของพวกเราธรรมทูต มิเช่นนั้นแล้วจักต้องล้มละลายเพราะว่ามีอยู่หลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่อาจจะทำได้ด้วยสติปัญญาของตนเองต้องอาศัยหัวหน้าทีมหรือผู้บังคับบัญชาจะเห็นได้ง่ายๆ ที่การปฏิบัติหน้าที่ทหารในสนามรบคนตั้งร้อยตั้งพันหรือบางทีก็ตั้งหมื่นที่จะต้องทำร่วมกัน ถ้าปราศจากความเชื่อฟังแล้วย่อมหมายถึงความตายหมดโดยแน่นอน ฉะนั้นในระเบียบทหารจึงต้องการความเชื่อฟังเฉียบขาดถึงที่สุดถึงกับว่าไม่เชื่อฟังเพียงนิดเดียวจักต้องลงโทษถึงชีวิต นี่ก็เพื่อให้เกิดการเชื่อฟังอย่างยิ่ง เพื่อจะรักษาเอาหมู่คณะไว้ให้รอดได้ ไม่มีคนใดคนหนึ่งทำผิดไป เพราะความดื้อดึงแล้วตายกันทั้งหมู่ทั้งกองอย่างนี้เป็นต้น สำหรับภิกษุเราไม่มีเรื่องที่จะต้องตายกันทั้งหมู่ทั้งกองอย่างนั้นก็จริงแต่ว่าก็ยังต้องหวังผลของการกระทำนั้นเพื่อให้เป็นไปอย่างที่เรียกว่ามีการประสบความสำเร็จตรงตามที่พระพุทธองค์ทรงประสงค์อย่างที่ผมได้กล่าวแล้วว่างานธรรมทูตนี้ไม่ใช่ความประสงค์ของรัฐบาลหรือของคณะสงฆ์แต่เป็นความประสงค์ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราเอง ท่านทรงประสงค์อย่างนั้นตั้ง ๒๐๐๐ กว่าปีมาแล้วทรงขอร้องหรือทรงสั่งก็แล้วแต่จะเรียกหรือรวมกันทั้งหมดก็ได้ว่าให้กระทำหน้าที่นี้ และเราต้องเชื่อฟังพระองค์เมื่อเราเชื่อฟังพระองค์เต็มที่แล้วไม่ต้องพูดถึงเชื่อฟังคณะสงฆ์หรือผู้บังคับบัญชาเพราะว่ามันไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นอีกแล้ว ฉะนั้นการเชื่อฟังของเราต้องสูงสุดต้องเฉียบขาดที่สุดเพราะว่าเราเชื่อฟังพระศาสดาซึ่งไม่มีบุคคลใดในโลกที่เราจะรักจะเคารพจะเชื่อฟังยิ่งไปกว่านี้
ฉะนั้น ขอให้มุ่งหน้าต่อองค์สมเด็จพระบรมศาสดาเพียงพระองค์เดียวการเชื่อฟังก็จักเป็นไปถึงที่สุดได้โดยแน่นอน เพราะการเชื่อฟังคณะสงฆ์หรือว่าผู้บังคับบัญชาเราโดยตรงก็เป็นไปได้โดยง่ายทีนี้สำหรับ team work การเชื่อฟังอาจจะมีปัญหาบ้างในเมื่อมีความคิดแตกต่างกันออกไปในระหว่างสมาชิกคนหนึ่งกับหัวหน้าทีมถ้าเป็นอย่างนี้ต้องระวังให้ดีต้องให้ความคิดที่แตกต่างนั้นไม่เป็นอันตรายแก่ความเชื่อฟังหรือไม่เป็นอันตรายแก่หมู่คณะเราจะต้องยินยอมตามมติของหมู่คณะหรือหัวหน้าทีม ทั้งที่ว่าบางกรณีเราไม่เห็นด้วยเราก็ทำไปได้โดยที่แสดงความคิดเห็นขัดแย้งแล้วแต่เมื่อมติส่วนใหญ่เป็นอย่างไรเราก็ทำไปอย่างนั้นได้เมื่อผลเกิดขึ้นก็ค่อยว่ากันทีหลังก็ได้อย่างนี้ก็ไม่เสียหายในส่วนที่เรียกว่าความเชื่อฟังและบางทีจะเป็นผลดีกว่าอย่างใดหมดเพราะว่าคนคนเดียวมีส่วนที่จะผิดมากกว่าแม้ว่ามีส่วนจะถูกเราก็ยังต้องรับผิดชอบร่วมกัน เพราะฉะนั้นความเชื่อฟังยังคงมีความจำเป็นอย่างยิ่งอยู่นั่นเองถ้ามันขัดกันถึงกับต้องลาออกก็เป็นเรื่องลาออกไปจากทีม ฉะนั้นก็ไม่เสียหายในส่วนความเชื่อฟังเพราะหมดความผูกพันกันแล้วอย่างนี้เป็นต้น ฉะนั้นจึงหวังว่าเราจะได้รักษาองค์ประกอบส่วนสำคัญคือความเชื่อฟังนี้ไว้ให้ดี เราจะสามารถทำสิ่งต่างๆให้ลุล่วงไปด้วยดีโดยเร็วที่สุดทั้งในส่วนที่จะต้องละ และในส่วนที่จะต้องกระทำให้มีขึ้น คนเราทุกคนประกอบอยู่ด้วยส่วนที่จะต้องละ และประกอบอยู่ด้วยส่วนที่จะต้องทำให้มีขึ้น ด้วยกันทั้งนั้นไม่ว่าใครหมด ไม่ว่าหน้าที่การงานชนิดไหน ภิกษุเราก็มีส่วนที่จะต้องละเกี่ยวกับสิกขาบทโดยตรงก็มีเกี่ยวกับที่มันเนื่องๆกันอยู่เช่นจะต้องละหมากพลู บุหรี่ ละสิ่งที่เป็นอุปสรรคหยุมหยิมเหล่านี้ก็มีเราก็จะต้องละ ทีนี้เราจะต้องอาศัยคุณธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งสำคัญมากที่จะทำให้ละได้อย่างน้อยที่สุดก็คือความเชื่อฟัง ส่วนที่จะทำให้ต้องเกิดมีนั้นมันก็จะแน่นอนยิ่งไปกว่าเพราะว่าเป็นเรื่องที่มากออกไปก้าวหน้าออกไปซึ่งเรายังไม่รู้ก็เป็นส่วนมากแล้วจะต้องร่วมกันเป็นหมู่เป็นคณะ ขาดความเชื่อฟังเสียอย่างเดียว หมู่คณะก็กระจายล้มละลายตั้งอยู่ไม่ได้เกิดขึ้นไม่ได้ ฉะนั้นความเชื่อฟังจึงมีความจำเป็นมากเป็นองค์ประกอบที่จะขาดไม่ได้หรือตั้งอยู่ในฐานะเป็นหัวใจขององค์อื่นๆ ของทั้งหมดก็ว่าได้ เพราะว่าแม้ว่าเราจะมีทรัพย์สมบัติหรือชีวิตไม่เป็นโสดแต่ถ้ามีความเชื่อฟังเด็ดขาดเค้าก็ไปได้เหมือนกัน แต่ทีนี้เพื่อไม่ให้ความเชื่อฟังนั้นเกิดเป็นพิษ หรือทรมานใจมากนักจึงมีองค์ประกอบอย่างอื่นเช่นว่าบรรพชิตไม่มีทรัพย์สมบัติและเป็นชีวิตโสดเป็นต้น ก็เป็นเรื่องที่เข้ารูปเข้ารอยกันดีหวังว่าเพื่อนพระพรหมจารีทั้งหลาย จะได้นำเอาองค์คุณสามประการนี้ไปพิจารณาดู แล้วขยับขยายปรับปรุงภาวะความเป็นอยู่ของตนให้ห่างไกลจากชีวิตครองเรือน จากชีวิตครึ่งครองเรือนเช่นพักแรมจนมาเป็นชีวิตแร่ร่อนไม่มีที่อยู่ไม่มีทรัพย์สมบัติไม่มีอะไร มีแต่ความอุทิศทั้งหมดนั้นเพื่อทำหน้าที่ตามพระพุทธประสงค์ก็จะเป็นเรื่องที่เรียกว่าถูกต้องและมีค่าสูงสุดได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ทำเพราะว่าเรามีแบบแห่งการครองชีวิตที่ถูกต้องตรงตามคำที่เรียกว่าพรหมจรรย์ทุกๆ ประการจะปฏิบัติกิจเพื่อประโยชน์ตนก็ต้องอาศัยองค์คุณสามประการนี้จะปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ผู้อื่นเช่นธรรมทูตเป็นต้นก็ต้องอาศัยองค์คุณสามประการนี้ จึงหวังว่าจะได้นำไปพิจารณาด้วยดีแล้วปรับปรุงภาวะแห่งตนให้เป็นผลที่ดีที่สุดจงทุกๆองค์เถิด เวลาสำหรับการพูดจาของเราในตอนนี้ก็มีอยู่เพียงเท่านี้และก็มากพอที่จะไปคิดไปนึกไปปฏิบัติได้เป็นปีๆด้วยเหมือนกัน