แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วิโมกข์ธรรม เรียกว่า ปาฏิโมกข์ธรรม ในวันนี้อยากจะพูดถึงเรื่อง คนไม่ให้ความยุติธรรมแก่ธรรม แล้วกลับให้ความอยุติธรรมแก่ธรรมอย่างยิ่ง เนื่องจากระยะนี้ได้พบบ่อย ๆ มีคนมาหาบ่อย ๆ เป็นคนประเภทที่ให้ความอยุติธรรมแก่ธรรม แม้ว่าทำไปโดยไม่รู้สึกตัว คนเหล่านี้ก็คือคนที่เป็นทุกข์เป็นร้อน หรือเป็นโรคเส้นประสาท แล้วก็วิ่งมาที่นี่ ขอให้ช่วยที ให้ช่วยทีบ้าง มาขอบวชบ้าง อะไรบ้าง แต่แล้วก็ไม่ทันจะบวช รุ่งขึ้นก็บอกว่าไม่ไหว มันยิ่งยุ่งยากลำบากหรือว่าร่างกายเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ลากลับไปอย่างนี้ รวมความแล้วก็เป็นคนกำลังเดือดร้อนขนาดหนัก ด้วยจิตใจของตัวเอง ด้วยเรื่องราวต่าง ๆ ที่กำลังเกิดอยู่ กำลังจะเป็นบ้าตาย หรือเป็นโรคเส้นประสาทอย่างหนักอยู่ คนพวกนี้ผมมองเห็นดีเพราะสังเกตมานาน ก็เลยให้ชื่อว่าพวกที่ให้ความอยุติธรรมแก่ธรรม ถ้าจะพูดอย่างขนาดหนักก็แปลว่าเขามีแต่จะเอาข้างเดียว คนชนิดนี้มันมีแต่จะเอาข้างเดียว มันไม่มีให้ ไม่มีเสียสละ พอทุกข์ร้อนเข้ามาก็วิ่งมาหาวัด มาหาพระมาให้ช่วยสอน มาขอธรรมะดับทุกข์ที นี่มันวิ่งมาตามธรรมเนียมแหละ ก่อนนี้มันก็ไม่เคยรู้ว่าธรรมะจะช่วยได้ ถ้ารู้ว่าธรรมะช่วยได้มันคงจะสนใจบ้าง แต่นี้มันไม่สนใจเลย พอเกิดเรื่องขึ้นมาก็วิ่งมา มาหาตามธรรมเนียมให้ช่วยที มันก็ช่วยไม่ได้สิ เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่คนโรคเส้นประสาทจะฟังถูกง่าย ๆ เรื่องธรรมะ มันควรจะศึกษาตั้งแต่จิตใจยังดี ๆ ใจคอยังดี ๆ ให้รู้ธรรมะไว้เป็นเครื่องป้องกันตัว เป็นหลักสำหรับปฏิบัติ มันก็ป้องกันไม่ให้ อ้า, เสียใจ หรือไม่ให้น้อยใจ ไม่ให้ บางทีมันยิ่งกว่าเสียใจ มันถึงกับเป็นโรคเส้นประสาท โดยมากผิดหวังเรื่องผู้หญิงทั้งนั้นแหละ เรื่องครอบครัวอย่างนี้ พวกนี้โง่เขลาถึงขนาดที่ไม่รู้ว่าเรื่องครอบครัวเป็นอย่างนี้เอง แล้วธรรมะที่จะแก้ได้นั้นเป็นอย่างไรก็ไม่เอาใจใส่ อายุเข้าไปตั้ง ๓๐ ๔๐ แล้วก็มี ยังไม่รู้ว่าธรรมะ อ้า, มีอยู่สำหรับดับทุกข์ ไม่สนใจ นี่เรียกว่าให้ความอยุติธรรมแก่ธรรมะอย่างยิ่ง มันจะเอา ท่าเดียวแหละ มันจะเอาประโยชน์จากธรรมะท่าเดียว แล้วไม่ลงทุนให้แก่ธรรมะ คือ ไม่ลงทุนศึกษา นี่พูดถึงคนพวกนี้ที่ให้ความอยุติธรรมแก่ธรรมอย่างยิ่งโดยไม่มีการศึกษาเลย พอเดือดร้อนจึงจะวิ่งมาหา อ้า, หาธรรมะ ทีนี้ พวกชาววัดชาววา หรือว่าแม้ที่เป็นอุบาสก ทำตนเป็นอุบาสก คิดว่าจะพึ่งธรรมะ อยู่นั่นแหละ ก็ยังไม่ให้ความยุติธรรมแก่ธรรมะที่เพียงพออยู่นั่นเอง คือ สนใจแต่ตามธรรมเนียมประเพณี สนใจตามสะดวก แล้วก็สนใจนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่มากเท่าที่สนใจเรื่องลูก เรื่องเมีย เรื่องหลาน เรื่องเหลน เรื่องเงิน เรื่องของ อุบาสก อุบาสิกาเหล่านั้นสนใจเรื่องลูกเรื่องหลาน เรื่องเงินเรื่องของมากกว่าสนใจธรรมะ จิตใจสนใจธรรมะมีปริมาณมันน้อยกว่ากันมาก นี้ธรรมะก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน หรือไม่ช่วย เพราะมันไม่ยุติธรรม อย่าว่าแต่พวกที่จะไม่ อ้า, สนใจเลย แม้พวกที่ทำท่าว่าสนใจอยู่นี้ก็ยังไม่พอ จิตใจยังเอาไปใช้ในทางอื่นมากกว่าในทางธรรมะ ไปเทียบส่วนกันดู ถึงแม้พระ เณร เรานี่ก็เหมือนกัน เวลาที่สนใจ ในธรรมะมีกี่นาทีในหนึ่งวัน แล้วกำลังใจทั้งหมด ทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์นั้น สนใจในธรรมะกี่เปอร์เซ็นต์ สนใจในเรื่องอื่นกี่เปอร์เซ็นต์ สนใจเรื่องดี เรื่องเด่น เรื่องนั้นกี่เปอร์เซ็นต์ ถ้ามันใช้น้อยกว่าที่สนใจธรรมะ ก็แปลว่าไม่ยุติธรรมเหมือนกัน ดังนั้น ธรรมะไม่ช่วยก็ไม่ต้องโทษกัน ให้ความอยุติธรรมแก่ธรรมะอยู่ ไม่น้อยเหมือนกัน ทั้งที่เป็นพระเป็นเณร ทีนี้ไม่ต้องพูดถึงคนบางคนที่ไม่สนใจเลย ไม่ประสีประสา ไม่รู้ว่าธรรมะมีความจำเป็นกับชีวิตเลย ต่อเมื่อเกิดเดือดร้อน เอ่อ, เรื่อง เรื่องที่เขามั่นหมายมากนะ เช่น เรื่องภรรยา คู่รัก เรื่องอะไรก็ตาม จึงจะมาช่วยให้ดับทุกข์ซึ่งมีมากเสียแล้ว มันก็ดับไม่ได้ ดับกันไม่ทัน และเวลาที่จิตใจเขาเป็นอย่างนั้นนะ มันพูดกันรู้เรื่องยาก เพราะคนมันกำลังจะบ้าอยู่แล้วมันพูดกัน รู้เรื่องยาก นี่ผมขอให้ทุกคนตั้งข้อสังเกตไว้เรียกว่า ความอยุติธรรมที่ธรรมะได้รับ หรือถ้าพูดกันแล้วก็ ต้องพูดได้ว่า บรรดาผู้ที่ได้รับความอยุติธรรม หรือความอกตัญญู หรือความเนรคุณแล้วก็ไม่มีอะไรที่เป็นอย่างนั้นมากเท่ากับธรรมะ ไอ้คนบางคนที่เขาบ่นว่าเขาทำบุญคุณกับใครไม่ขึ้นมีแต่ได้รับความอยุติธรรมนี้ ก็ยังไม่เท่าธรรมะ ธรรมะได้รับมากกว่า เพราะฉะนั้นควรจะนึกกันให้ดี ๆ ในข้อที่ว่าทำไมธรรมะไม่ช่วย ทำไมธรรมะไม่ช่วย ไอ้พวกที่บ่นว่าธรรมะไม่ช่วยนะไม่เคยนึกถึงข้อนี้ ที่เราพูดกันถึงเรื่องที่ว่าสนใจธรรมะกันอย่างไร ในขณะที่ธรรมะจะช่วยได้ โดยมากก็คิดกันว่าถ้าว่าทำบุญตักบาตรให้ทานอยู่บ้างแล้วก็เป็นการสนใจธรรมะที่เพียงพอนี่ คนประเภทนี้เข้าใจเรื่องนี้ผิด ขยันทำบุญให้ทานแล้วเป็นการสนใจธรรมะพอ นี้มัน เข้าใจผิด สนใจธรรมะมันต้องรู้ธรรมะ หรือว่ากระทำอยู่อย่างถูกต้อง ชนิดที่ว่ากิเลสนั่นมันถูกทำลาย ทีนี้มาดูถึงการทำบุญให้ทานของคนส่วนมากเหล่านั้น ไม่ได้ทำบุญเพื่อทำลายกิเลสแต่ทำบุญเพื่อพอกกิเลส ทำบุญเพื่อพอกกิเลส และก็โดยไม่รู้สึกตัว เช่นว่า ให้ทานไปบาทหนึ่ง สองบาท ก็จะได้บุญได้กุศลชนิดที่ทำให้เกิดรวย เกิดสวย มีโชคดี บางคนคิดว่าตักบาตรช้อนหนึ่งก็ได้วิมานหลังหนึ่ง ได้สวรรค์วิมานด้วยการตักบาตรช้อนหนึ่งก็มี อย่างนี้มันทำบุญเพิ่มกิเลส คือ ความหวังที่เอากำไรมากเกินกว่าการค้ากำไรชนิดไหนหมด มันมีที่ไหนบ้างที่ทำบุญตักบาตรช้อนหนึ่งเป็นราคาไม่กี่สตางค์แล้วจะได้วิมานหลังหนึ่งนี่ ไม่มีการค้าขายที่ไหนจะได้กำไรมากขนาดนี้ เพราะฉะนั้นไปหวังอย่างนี้มันก็เรียกว่าละโมบอย่างยิ่ง ดังนั้น การทำบุญนั้นมันจึ่งเป็นการเพิ่มกิเลส เขาไม่เคยเลื่อนขึ้นมา เลื่อนขึ้นมาจนว่าทำบุญเพื่อให้เราหมดกิเลส ทำบุญเพื่อให้เราหมดความเห็นแก่ตัว ทำทานเพื่อให้เราหมดความตระหนี่ ให้มีจิตใจที่มีกิเลสน้อยลง ไม่เคยคิดอย่างนี้ เพราะฉะนั้นการที่ ทำบุญทำทานในรูปนั้นมันไม่ใช่เป็นเรื่องสนใจกับธรรมะอย่างถูกต้อง เพราะฉะนั้นพวกที่ทำบุญชนิดนั้นมาก ๆ กลับร้องไห้มากกว่าคนอื่น เป็นทุกข์มากกว่าคนอื่น เพราะเมื่ออะไรเกิดขึ้นก็แก้ไขไม่ได้ แก้ไขไม่ถูก แล้วก็เป็นโรคเส้นประสาทก็มี เป็นบ้าก็มี นี่ก็จะไปโทษว่าธรรมะไม่ช่วย ไปยกโทษให้ธรรมะว่าไม่มีประโยชน์ ทำบุญจนจะตายอยู่แล้วยังไม่เห็นช่วยอย่างนี้ ไอ้ธรรมะแท้ ๆ มันคนละเรื่องกันกับไอ้การทำอย่างนี้ นี่ธรรมะก็ถูกหาไปในแง่ผิดๆ อีก ซ้ำเข้าไปอีก ก็เรียกว่าไม่ยุติธรรมอย่างยิ่งอีกเหมือนกัน ด้วยการไม่ยุติธรรมแบบหนึ่งคือ อ้า, ไม่ยุติธรรมที่ถูกหาว่าเป็นของไม่มีประโยชน์ ช่วยไม่ได้ ไม่ช่วยใครจริง ๆ ไม่ซื่อตรงต่อผู้ที่จงรักภักดี แล้วคำว่าจงรักภักดีของเขามันไม่ถูกต้อง เป็นเรื่องจงรักภักดีต่อตัวเอง ไม่ได้จงรักภักดีต่อธรรมะ ไปลงทุนค้ากำไรเกินควรแบบนั้น นี่คือสภาพการณ์ที่ได้เป็นอยู่จริงในเวลานี้ นี่ผมได้ เอ่อ, ถูกเข้ากับตัวเอง คือว่าพบเห็นอยู่กับตัวเองเรื่อย ที่คนกลุ้มใจมาหา ให้ช่วยแล้วมันก็ช่วยกันไม่ได้ แล้วจะมาให้เราคอยรับบาปเอาไอ้คนชนิดนี้มาฝากไว้กับเรา เราก็ไม่รับ ใครจะว่าไม่เมตตากรุณา ไม่อะไรก็สุดแท้ เราก็ไม่รับ ทีนี้สำหรับพระ เณร ก็จะต้องระวัง เอ่อ, พระ เณร เราก็เหมือนกันที่จะต้องระวัง ระวังในข้อที่ว่าแม้จะอยู่ในวัดแล้วก็ยังต้องระวังว่ามันเกี่ยวข้องกับธรรมะถูกต้องหรือไม่ ถ้ายังเกี่ยวข้องกับธรรมะไม่ถูกต้อง มันก็จะมีผลพอ ๆ กัน คือธรรมะจะไม่ช่วย จะไม่ช่วยป้องกัน แม้แต่จะไม่ให้เป็นโรคประสาท โรคเส้นประสาท นั่นมันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แม้อยู่ในวัดแล้ว เป็นพระ เป็นเณรแล้ว ธรรมะก็ยังไม่ช่วยคุ้มครองให้แม้แต่ว่าจะพ้นจากไอ้โรคเส้นประสาทนี่ น่าหัวเราะก็น่าหัวเราะ น่าละอายก็น่าละอาย ดังนั้น ต้องคิดกันดูให้ดี ๆ อย่าไปมองแต่ว่าคนนอกที่เขาไม่ได้รับประโยชน์จากธรรมะ ให้ความอยุติธรรมกับธรรมะยิ่งกว่าเรา นี่มองดูกว้าง กว้างออกไปก็ยิ่งเห็นว่ามันยิ่งมีมากขึ้นนะ คนในโลกนี้ที่มีความกลุ้มใจเป็นโรคเส้นประสาทนี่มันมีมากขึ้น เที่ยวลองนั่นลองนี่ ไม่ ไม่แก้ได้ ก็มักจะหันมาหาวัด มาหาศาสนาว่าจะช่วยแก้ แล้วก็มักจะตาม ๆ ตามกันไปในเรื่องรดน้ำมนต์ หรือทำพิธีสะเดาะเคราะห์ เรื่องเหล่านี้ ว่านั่นนะคือธรรมะ ที่ไปทำเข้ามันก็ไม่ได้ผลก็โทษว่าธรรมะอีก ว่าธรรมะนี้ใช้ไม่ได้ ไม่มีประโยชน์ ไม่จริง ไม่ช่วยคนที่อ้อนวอน หรือคนที่อุตส่าห์ลงทุน ทำบุญ ให้ทาน นี่กำลังจะเป็นมากขึ้น ๆ ในประเทศไทยเรา คนที่ไม่รู้จักธรรมะแล้วก็จะให้ธรรมะช่วย เป็นคนที่ไม่รู้จักธรรมะเสียเลย แล้วก็จะให้ธรรมะช่วย นี่มีมากขึ้น ๆ เป็นเรื่องพิธีรีตองไปหมด เป็นเรื่องเพียงทำบุญให้ทานเพื่อเอาสวรรค์ เอากำไรเกินควรไปเสียหมด ธรรมะมันก็ไม่ช่วย จริงเหมือนกัน มันก็ยังเป็นโรคเส้นประสาทอยู่นั่นเอง ทีนี้ความไม่ยุติธรรมอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งละเอียดมากขึ้นไปอีกก็คือ ความที่ปฏิบัติธรรมะไม่สำเร็จ เพราะไม่รู้จัก ละอาย ไม่รู้จักกลัว และไม่รักธรรมะจริง ๆ ข้อแรกที่ว่านับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีความ มอบกายถวายชีวิตนี่ว่าแต่ปากเท่านั้นนะ มอบกายถวายชีวิตพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี้ว่าแต่ปาก พอจะมีเรื่องได้เงินได้ของ ก็ทิ้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เตลิดเปิดเปิง วิ่งไปหาไอ้ความที่จะได้นั่นได้นี่ แม้บางทีผิดศีล ผิดธรรมก็จะเอา อย่างนี้มันไม่ควรจะพูดว่ารักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อะไรที่ไหน ทีนี้เราต้องการให้รักธรรมะในฐานะเป็นเครื่อง เป็นผู้ช่วยชีวิต เป็นผู้ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บทางจิตทางใจ และก็ช่วยชีวิตให้มีความหมายเป็นมนุษย์ เป็นคนอยู่ นี่พวกอุบาสก อุบาสิกา พวกพระ พวกเณร เราก็ยังมีความรักในธรรมะไม่พอ รักกิเลส รักตัวเองก็มากกว่า บางทีรักของเล่นก็มากกว่า รักเงินก็มากกว่า รักไอ้อย่างนี้ยังมากกว่ารักธรรมะ นี่ไปพิสูจน์ดูจิตใจของตัวเอง นี่ก็เป็นข้อหนึ่งที่เรียกว่าให้ความอยุติธรรมแก่ธรรมะ ไม่ได้รักธรรมะอย่างแท้จริงและเพียงพอ อย่างที่เรียกว่า จะมอบกาย ถวายชีวิตอย่างนี้ ทีนี้อีกทีหนึ่งก็คือเป็นคนที่ไม่กลัว ไม่กลัวความทุกข์ ไม่ละอายต่อบาป ไม่กลัวบาป ไม่ละอายบาปที่เพียงพอ อย่างนี้มีปัญหามาก ที่มาถามนี่ มีคนถาม มาถามหรือเขียนมาถาม ทำไมจึงมันเผลอเรื่อย รู้อยู่ว่านี่เป็นกิเลส นี่เป็นความทุกข์แท้ ๆ มันก็ยังเผลอเรื่อย นี่เราก็ตอบว่าเพราะว่า แกมันไม่รักธรรมะจริง หรือไม่มีความละอาย ไม่มีความกลัวที่เพียงพอ ไม่มีความละอายที่เพียงพอหมายความว่า เมื่อ เมื่อกิเลสเกิดขึ้น แก่เรา หรือว่าเราเผลอให้กิเลสเกิดนั่นแหละ เมื่อเห็นรูป ฟัง เสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส อะไรก็ตาม เผลอให้กิเลสเกิดนี้ ถึงเราไม่ประสงค์ แต่เราก็ไม่ละอาย เราไม่เห็นเป็นของน่าละอาย และเราก็คิดว่าไม่มีใครรู้ของเรา เราก็ไม่ละอาย ดังนั้น จึงไม่มีความละอายต่อบาป หรือต่อการที่เรียกว่าพ่ายแพ้แก่กิเลส แต่ทีเรื่องอื่น ๆ ซึ่งเล็กน้อยกว่านั้นละอายมาก ใครด่าสักคำก็ละอายมาก โกรธมาก นั่นนี่ก็ปกปิดกันมากเพราะกลัวละอาย ไม่กล้าทำอะไรน่าละอายตามถนนหนทาง ตามไอ้ที่ชุมนุมชนนั้นก็ละอายมากแล้วก็รักษาไว้ได้จริงเหมือนกันคือ ไม่พลาด เช่น ไม่ทำผ้านุ่งหลุดกลางถนนอย่างนี้ พูดง่าย ๆ ไม่มีใครเผลอเลยเพราะมันละอาย เท่าภูเขาเลากา ละอาย ไม่รู้จะละอายกันอย่างไร แต่พอทีเผลอให้ตัวกูของกูเกิดขึ้นในใจ ให้โลภ โกรธ หลง เกิดขึ้นอย่างนี้ ไม่ละอาย ไม่ละอายสักนิดหนึ่ง บางทีกลับสนุกไปเลย บางทีก็คิดไปว่าไม่มีใครรู้ของเรา ก็ไม่ละอาย มันก็ได้สร้างแต่กิเลสเพราะไม่มีความละอายเพียงพอ ที่ว่าไม่มีความกลัวที่เพียงพอ คือ ไม่เห็นว่านี่เป็นของน่ากลัว ไม่เห็นว่าไอ้การที่กิเลสเกิดนี้เป็นของน่ากลัว แต่ทีของเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น จะตกร่องนอกชาน นี่กลัว ก็เลยไม่ตก กลัวมาก กลัวตกร่องนอกชาน ขาถลอกนี่มันกลัวมากกว่า กลัวที่กิเลสเกิด หรือว่าเดินลื่นหกล้มลง หัวฟาด อย่างนี้ก็กลัวมาก ยังระวังไว้ ยังไม่ลื่นไม่หกล้มลง แต่ทีจะเผลอให้กิเลสเกิดนั้นไม่ได้กลัว มันก็เกิดอยู่บ่อย ๆ อย่างนี้เรียกว่าไม่กลัว หรือกลัวน้อย หรือไม่กลัวต่อการเกิดของกิเลส มันก็เกิดได้เรื่อย มันก็เผลอได้เรื่อย เพราะเราไม่กลัวต่อกิเลสมันก็เผลอให้กิเลสเกิดได้เรื่อย เพราะฉะนั้นให้เปรียบเทียบกันไว้กับว่า อ้า, เหมือนกับว่าเรากลัว ไม่ตกร่องนอกชาน ร่องที่ตรงไหนก็สุดแท้ ไม่ตกร่อง ไม่ตกร่องคูถนน ฟุตบาทถนนที่เขามีอยู่บ่อย ๆ เพราะมันก็ระวัง มันก็ไม่ตกร่องเหล่านี้ เพราะมันกลัวมาก เพราะมันละอายมาก แต่ทีที่ตกร่องในทางจิต ทางใจ คือ ใจตกร่อง เพราะปล่อยให้กิเลสเกิดนี้ไม่กลัว ไม่ละอาย นี่ก็เรียกว่าเป็นความไม่ยุติธรรมอย่างยิ่งแก่ธรรมะด้วยเหมือนกัน คือ เราไม่มีความละอาย ไม่มีความกลัว ในกรณีของธรรมะนี่มาก เหมือนที่เราละอายและกลัวอย่างอื่น ๆ ข้างนอก กลัวผ้านุ่งหลุด กลัวล้มลง หัวแตก หรือว่ากลัวตกร่อง กลัวมาก ละอายมาก นี่ดูให้ดี ๆ คือความไม่ยุติธรรมที่มนุษย์เราให้แก่ธรรมะ เพราะฉะนั้นธรรมะก็ตอบให้ ตอบสนองให้พอสาสมกัน คือ มันเผลอเรื่อย คนนั้นจะเผลอเรื่อย จะมีกิเลส ตัวกูของกู ความโลภ ความโกรธ ความหลง เกิดเรื่อยไป ก็โทษอย่างเดียวคือ เขาไม่ให้ความยุติธรรมแก่ธรรมะ นี่เราพูดกันแต่เรื่องว่ามนุษย์ไม่ให้ความยุติธรรมแก่ธรรมะแล้วกลับให้ความอยุติธรรมก็มี หนักเข้าให้ความเนรคุณแก่ธรรมะก็มี ดูถูกดูหมิ่นธรรมะเสียเลย แต่แล้วพอเข้าที่ขับขันเข้าก็ร้องหาพระช่วย หาธรรมะช่วย หาศาสนาช่วย อย่างนี้เป็นคนตลบแตลง ฉะนั้นการที่ธรรมะไม่ช่วยมันก็ถูกแล้ว เพราะตัวเองไม่ทำให้ธรรมะช่วยได้ ตัวเองไม่ทำตัวให้อยู่ในสภาพที่ธรรมะจะช่วยได้ ก็เป็นอันว่า ในที่สุดก็คือ ไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากธรรมะ ทีนี้เราเห็นได้ว่ามีอยู่น้อยคนมากที่จะถือเอาประโยชน์จากธรรมะได้ เพราะเขาให้ความยุติธรรมแก่ธรรมะเพียงพอ อย่าเข้าใจว่าเป็นพระ เป็นเณรปฏิบัติหน้าที่อะไรอยู่แล้วก็จะเป็นการให้ ให้ความยุติธรรมแก่ธรรมะเพียงพอหรือสนใจธรรมะเพียงพอนี้ไม่แน่ ถ้าสมมุติว่าสมภารสักองค์หนึ่ง ทำการงานสร้างวัดสร้างวา สร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สารพัดอย่างที่จะสร้างลงไปในวัด แต่แล้วไม่สนใจกับธรรมะเลย ไม่เท่าไหร่สมภารองค์นั้นก็มีโรคเส้นประสาทรบกวนเกิดขึ้น เพราะทุกอย่างไม่เป็นไปตามต้องการ มีวิตกกังวลมาก กระทั่งมีความทุกข์หรือตาย อย่างนี้จะไปโทษธรรมะไม่ได้ จะไปโทษว่าเราสร้างความดีทุกอย่างแล้วยังต้องเป็นอย่างนี้ ดังนี้จะไปโทษธรรมะไม่ได้ มันต้องโทษไอ้ความที่ตนไม่ให้ ความยุติธรรมแก่ธรรมะ ทีนี้ถ้าไปดูที่โรงพยาบาลสงฆ์ ไปดูที่โรงพยาบาลสงฆ์แล้วจะมีความน่าสังเวช ตรงที่ว่าพระที่ไปนอนอยู่ที่โรงพยาบาลสงฆ์นั้นเป็นโรคเส้นประสาทมากเป็นนัมเบอร์ ๑ เป็นโรคกระเพาะมากเป็นนัมเบอร์ ๒ จนพวกหมอเขาลงมติ เขาเชื่อกันว่าพระนี่ ไม่ไหว ไม่ควรจะเป็นโรคเส้นประสาท ยิ่งกว่าฆราวาสก็เป็นมากยิ่งกว่าฆราวาส แล้วพระเป็นโรคกระเพาะกันมากก็เพราะกินไม่เป็น หรือกินมาก ก็ล้วนแต่เป็นเรื่อง เอ่อ, น่าขายหน้าทั้งนั้นเลย ถ้าไปดูที่โรงพยาบาลสงฆ์ ซึ่งล้วนแต่เป็นการแสดงว่าพระเราสนใจแก่ธรรมะน้อย จึงเป็นโรคประสาทมาก มากที่สุด มันเนื่องมาจากการดำรงจิตไว้ไม่ถูกวิธี ปล่อยให้ตัวกูของกูครอบงำ ปล่อยให้ความโลภ ความทะเยอทะยานครอบงำมากเกินไปอย่างนี้เป็นต้น นี่ก็เป็นพยานปรากฏชัดอยู่ เป็นการฟ้องให้รู้ว่าเป็นผู้ที่ไม่ให้ความเป็นธรรมแก่ธรรมะ ดังนั้น เราช่วยกันระวังให้ดี ๆ จะต้องรู้จักกินอยู่หลับนอน ให้ดี ๆ ไม่ ไม่มีโรค รู้จักทำจิตใจไว้ดี ๆ ไม่เป็นโรคเส้นประสาท แล้วปฏิบัติตัว ให้ถูกอนามัย ทั้งทางกาย ทั้งทางใจ จนมีร่างกายแข็งแรงปกติดี หรือว่าเป็นผู้ที่ เอ่อ, ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ คือ เรื่องที่ว่าพระเราไม่ควรจะเป็นโรคอะไรที่ไม่ควรจะเป็นนี่ยิ่งกว่าพวกฆราวาส เพราะเราให้ความสนใจแก่ธรรมะเพียงพอ เดี๋ยวนี้เท่าที่เราจะพอมองเห็นได้ก็เห็นอยู่ว่า หลักฐานต่าง ๆ มันแสดงอยู่ว่า แม้ในหมู่พระเณรเรา ก็ให้ความสนใจแก่ธรรมะนั้นน้อยเหมือนกัน จึงมีผล เอ่อ, ปรากฏเหมือนที่เห็น ๆ อยู่นี้ เหตุนี้ ผมถึงเห็นว่ามันสมควรแล้วที่จะพูดกันเรื่องนี้เสียที เรื่องไม่ให้ความยุติธรรมแก่ธรรมะที่เพียงพอนี่เอง แล้วก็ถูกธรรมะตอบแทนเอา ในลักษณะที่ อ้า, ไม่พึงปรารถนาที่สุด ไอ้เรื่องความยุติธรรม หรือไม่ยุติธรรมระหว่างคนกับธรรมะนี่ไม่ค่อยจะมีใครมอง มองข้ามกันไปเสียหมด เพราะว่าเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว มีแต่เรียกร้องเอา ไม่มีการลงทุน ไม่มีการให้ ไม่มีการเสียสละให้มันถูกวิธี หรือให้มันตรงกับเรื่อง ถ้าเสียสละมันกลายเป็นเพิ่มกิเลส ไม่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ตัดทอนกิเลส ถ้าเสียสละออกไปเพื่อเพิ่มกิเลสแล้วมันก็ไป ไปเป็นฝ่ายไม่ยุติธรรมแก่ธรรมะ ดังนั้น ถ้าเราจะให้ เราจะสละ จะบริจาคนี่ จึงว่าเราต้องบริจาคจริง ๆ ไม่ใช่ให้หรือบริจาคให้เขาสรรเสริญหรือเอาหน้า เอาตา หรือเอาผลแลกเปลี่ยนเป็นกำไรหลายร้อยหลายพันเท่า นี่คือความน่าละอายน่าขำ หรือความไม่ก้าวหน้าของพุทธบริษัทเรา ซ้ำซากอยู่แต่อย่างนี้ นี่ธรรมะก็เลย ไม่ช่วยโลกนี้มากขึ้น ธรรมะก็ไม่คุ้มครองโลกนี้มากขึ้น เพราะมนุษย์ส่วนมากในโลกให้ความอยุติธรรมแก่ธรรมะ ยิ่งดูจะยิ่งเห็นว่ามันรุนแรงขึ้น จนโลกนี้จะเป็นทุกข์เป็นร้อน จะเดือดระส่ำระสายนี่ เป็นทุกข์มากขึ้น ๆ เหมือนที่เคยพูดมาหลายหนแล้วว่า แทบทั้งหมดทุกศาสนาก็ต่างก็เล่นตลก เป็นลิงหลอกเจ้ากับศาสนาของตัวไปด้วยกันเป็นส่วนมาก นั่นก็คือไม่ให้ความเป็นธรรมแก่ธรรมะทุก ๆ ศาสนา ก็เลย ธรรมะก็ลงโทษ คนทั้งหมดเหล่านั้น ให้ได้รับความทุกข์ความเดือดร้อนยิ่งขึ้น ๆ แล้วมนุษย์สมัยนี้ก็ไม่ ๆ ไม่เคยคิดว่าเป็นเพราะเหตุนี้ก็ไปหาทางแก้ไขอย่างอื่น มันก็แก้ไม่ได้ มันเป็นเรื่องปลายเหตุไปหมด จึงไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาของโลกได้ เดี๋ยวนี้ที่ดู ๆ คล้าย ๆ กับว่าธรรมะไม่คุ้มครองโลกนี้ ไม่ถูก ที่จริงธรรมะก็ยังคงคุ้มครองโลกอยู่นั่นแหละ แต่ว่าคุ้มครองในลักษณะที่กำลังลงโทษ ธรรมะกำลังคุ้มครองโลกในลักษณะที่ลงโทษผู้ที่ไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมะ แล้วไปเหยียบย่ำดูหมิ่นธรรมะ ธรรมะจึงลงโทษ ธรรมะยังเอาใจใส่ในมนุษย์อยู่เต็มที่ตามเดิม แต่เมื่อมนุษย์หันเหไปอย่างนี้ ธรรมะก็ต้องตอบสนองอย่างนี้ ทำให้มีการรบราฆ่าฟัน ทำให้มีการขาดแคลน ทำให้มีการเบียดเบียน ไม่มีที่สิ้นสุด สมตาม ความเจริญก้าวหน้าของมนุษย์สมัยนี้ ซึ่งก้าวหน้าเจริญไปแต่ในทางเห็นแก่ตัว สนุกสนาน เอร็ดอร่อย ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายนี่ แล้วก็เป็นไปเพื่อความเห็นแก่ตัวยิ่งขึ้น นี่คือความก้าวหน้า ความเจริญของโลกสมัยนี้ ไม่ใช่ก้าวหน้าหรือเจริญไปในทางที่ให้รู้ธรรมะ แต่ก้าวหน้าเจริญไปในทางที่ หันหลังให้ธรรมะ แล้วเหยียบย่ำธรรมะ ตะลุยไปในที่สุด ไม่ถือเรื่องดี เรื่องชั่ว เรื่องผิด เรื่องถูก เรื่องบุญ เรื่องบาป ดังนั้น ธรรมะที่ปกครองโลกอยู่ก็เลยพิพากษาโทษให้อย่างนี้ ดังนั้น ต้องถือว่า อ้า, ธรรมะยังคงปกครองโลกอยู่เสมอ ต้องมองดูให้ดี ๆ อย่าให้เหมือนยายแก่คนหนึ่ง ที่มีเรื่องเล่าไว้ในอรรถกถาว่า ยายแก่คนนี้ลูกหลานไม่เลี้ยงดู ลูกหลานทอดทิ้งหมด ระหกระเหิน ไปเป็นคนระกำลำบาก ไปขอทาน ทีนี้แกคิดที่ว่าจะทวงสิทธิก็เลยหาอาหารมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ธรรมะที่ตายหมดแล้ว คือ ยายแก่คนนี้แกถือว่า ธรรมะตายหมดแล้วในโลกนี้ ไม่มีเหลือ ถ้าธรรมะยังมีอยู่ในโลกนี้ก็คงจะทำให้ลูกหลาน ทำให้ลูกหลานกตัญญูต่อบิดามารดา คงจะทำให้ลูกหลานเอาใจใส่บิดามารดา ถ้าลูกหลานไม่เอาใจใส่บิดามารดาควรจะได้รับโทษ นี้ลูกหลานก็ไม่เอาใจใส่บิดามารดาแล้วมันก็ยังสบายดีกันอยู่ ยายคนนี้เลยถือว่า ธรรมะตายหมดแล้วในโลกนี้ ไม่มีเหลืออยู่แล้วธรรมะ แกก็ทำบุญใหญ่อุทิศให้แก่ธรรมะที่ตายแล้ว เป็นการประชดธรรมะ ทีนี้ประชาชนเห็นการกระทำอย่างนี้เข้าก็เลยเล่าลือกันใหญ่ บางคนจะไปเล่นงานเอาไอ้ลูกหลานของยายคนนี้ ทีนี้ ไอ้พวกลูกหลาน พอถูกกระทำเข้าอย่างนี้ก็เลยนึกได้ เลยกลับใจทำกันเป็นการใหญ่ที่จะเอาใจใส่ต่อแม่ ต่อยาย ต่อย่า ที่ไป จะไปเป็นขอทานหรือว่ากำลังตักบาตรทำบุญให้กับธรรมะที่ตายแล้ว เรื่องนี้ฟังดูก็น่าขำ ยายคนนี้ก็รู้จักทวงสิทธิ แปลกดีอยู่ แล้วเผอิญมันเหมาะกันที่ว่าจะทำให้คนนึกได้หรือกลับตัว ที่จริงแกก็คงจะเข้าใจผิดที่ว่าธรรมะตายหมดแล้ว ไม่มีเหลืออยู่เลยในโลกแล้วนี่ มันเพียงแต่ยังไม่ทันจะให้ผล ให้เห็นเป็นที่ ที่ตรงกับความต้องการของแก หรือแกเองก็คงจะเคยเหยียบย่ำธรรมะมาก่อน มีบาปมีกรรม ทำให้ลูกหลานไม่เลี้ยงอย่างนี้ก็ได้ แต่แกไม่มองในแง่นั้น ไปมองในแง่ที่ว่าธรรมะไม่มีในโลก ไม่ช่วยทำความยุติธรรมในโลก แต่ในที่สุดมันก็พิสูจน์ให้เห็นว่ามันเป็นอย่างไร กลับมีมาอีกได้ กลับทำให้เด็ก ๆ เหล่านั้นนึกได้ นี่เป็นเรื่องที่มักจะไม่ค่อยพูดกัน เป็นเรื่องที่มักจะไม่ค่อยมองกันในแง่นี้ ผมเห็นว่าเรื่องอะไรที่เขามักจะลืมกันเสีย ไม่มองกันเสีย ก็คุ้ยเขี่ยมา พูดเตือนกันไว้ มาพูด ๆ เตือน ๆ กันไว้ เป็นเรื่องที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับสมัยนี้ที่เป็นอย่างนี้ แล้วก็ในวงที่แคบเข้ามานี่พวกพระ เณรเราก็ต้องระวัง อย่าไปหลงใหลให้ความอยุติธรรมแก่ธรรมะ ไปนอนเจ็บอยู่แล้วก็บ่นว่าธรรมะไม่ช่วย ที่จริงเป็นเพราะตนเองไม่เคารพธรรมะ ไม่สนใจ ในธรรมะ ไม่เสียสละในธรรมะ ไม่มีความกลัว ไม่มีความละอายที่มากพอ ในการที่ตนละเลยต่อธรรมะ ปล่อยให้กิเลสเกิด นี่ลองทบทวนมาดู ตั้งแต่ว่าคนที่เดือดร้อนนี่ขนาดหนัก เหมือนกับถูกราดด้วยน้ำร้อน เป็นโรคเส้นประสาท เป็นบ้า เป็นกระทั่งตายไปก็มี เข้าใจว่าธรรมะไม่ช่วย ที่จริงเขาก็เป็นคนที่ไม่รู้จักธรรมะ ไม่สนใจธรรมะ หรือเข้าใจธรรมะผิด ๆ กลับกันเสียหมด เพราะให้ ความอยุติธรรมแก่ธรรมะอย่างยิ่ง คือ เมื่อหนุ่ม ๆ แรก ๆ นี้ไม่ศึกษาธรรมะเลย แล้วจะมาให้ธรรมะช่วย ตอนจะตายนี้ มันช่วยไม่ทัน หรือว่าเมื่อเรื่องมันเกิดมากอย่างนี้แล้วจะมาหาธรรมะนี่มันช่วยไม่ทัน คนที่เป็นโรคเส้นประสาทนั้น เราจะพูดธรรมะให้เขาเข้าใจนั้นมันไม่ไหว เข้าใจไม่ได้ เขากำลังเป็นโรคเส้นประสาทขนาดหนักเสียแล้ว เรา แม้อยากจะช่วยก็ไม่สามารถช่วยให้เขาเข้าใจธรรมะได้ แล้วไม่สามารถจะให้ธรรมะช่วยเขาได้ เพราะเขาไม่สนใจเมื่อเขากำลังสบายดีอยู่ หรือว่าเมื่อเขาสบายดีอยู่ เขาไม่สนใจธรรมะ จะไปให้ธรรมะช่วยเมื่อเขาเจ็บไข้จะตายลงอย่างนี้มันก็ทำไม่ได้ แล้วมันก็ป้องกันไม่ได้เสียแล้ว ทางที่ดีเราต้องมีธรรมะให้เพียงพอ ป้องกันโรคทางจิต ป้องกันโรคทางประสาทได้แน่นอน แล้วก็เป็นคนที่มีสุขภาพดี ทางกาย ทางใจ แม้จะแก่แล้วก็ไม่ฟั่นเฟือน ไม่หลงใหล มีสติสัมปชัญญะดีจนกระทั่งดับจิตในวาระสุดท้ายอย่างนี้เป็นต้น และขอให้ เอ่อ, เข้าใจและเตรียมพร้อมให้ถูกต้อง และอย่าไปโพนทะนาว่าธรรมไม่ยุติธรรม ในเมื่อตัวเองนั่นแหละไม่ยุติธรรม และให้ อ้า, ให้ความไม่เป็นธรรมหรือว่าเนรคุณธรรมะ พูดกันอย่างนี้ดีกว่า นี่ปาฎิโมกข์ธรรมประจำสัปดาห์ของเราวันนี้ มีว่าด้วยเรื่อง คนกำลังทำความอยุติธรรมให้แก่ธรรมะ เพราะธรรมะนี่เป็นผู้ที่ได้รับความเนรคุณหรือความอยุติธรรมมากที่สุดกว่าสิ่งใด ๆ ในโลก ไอ้ที่คนได้รับความไม่เป็นธรรมนั้นยังไม่มากเท่าธรรมะนี่ ได้รับความไม่เป็นธรรมมากกว่า ในกรณีไหน ๆ หมด ดังนั้น จะต้องระวังให้ดีว่าโลกนี้จะเป็นไฟลุกขึ้นมาวันหนึ่งก็ได้ ในเมื่อคนยังให้ความอยุติธรรมแก่ธรรมะอยู่อย่างนี้ (ไม่มีเสียง นาทีที่ 44:00 - 44:50) มีคนมากพอไปจัดกันขึ้น แล้วคุณก็ไม่ค่อย แล้วคุณก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ เพราะฉะนั้นไอ้เรื่องบางเรื่องที่พูดไม่ได้ฟัง ไอ้เรื่องนั้นไม่พูดอีก บางเรื่องมันก็อาจจะไม่ตรงกับความประสงค์ต่อการที่จะฟังก็ได้ เมื่อได้ฟังอะไรบ้างก็เอาไปคิดดู ทีนี้ถ้าใครรู้สึกว่าธรรมะไม่ช่วย พระธรรมไม่ช่วย บุญไม่ช่วย แล้วก็ต้องนึกถึงตัวก่อนว่าตัวให้ความยุติธรรมแก่สิ่งเหล่านั้นเพียงพอหรือไม่ อย่าไปโทษบุญ โทษธรรมะข้างเดียว ต้องโทษตัวเองว่าให้ความยุติธรรมแก่ธรรมะ หรือแก่บุญนั่นแหละ ถูกต้องแล้วหรือยัง ทำบุญนี้ต้องรู้จักเลื่อนชั้นกันบ้าง ทำบุญเข้าข้างตัว เห็นแก่ตัวมันก็ไม่ช่วยอะไรได้มากนัก มันก็ช่วยได้นิดหน่อย ไม่ใช่ไม่ช่วยเลย แต่มันไม่พอ ไม่พอที่จะให้ดับกิเลส ดับความทุกข์ที่เป็นไฟอยู่ในจิตใจ ทำบุญเอาสวรรค์อย่างนี้ไม่ดับกิเลสได้มากเหมือนกับว่าทำบุญเพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว ถ้าเราทำบุญเพื่อทำลายความเห็นแก่ตัวแล้วมันก็ดับ ดับกิเลสได้มาก ดับร้อนได้มาก ถ้าเราทำบุญเอาสวรรค์วิมาน เอากาม อ้า, กามสุขในสวรรค์อย่างนี้มันก็ไม่ดับกิเลส เพราะฉะนั้นความร้อนในตัวมันก็ต้องมีมาก มันเพิ่มกิเลส จึงว่าให้รู้จักเลื่อนชั้นกันเสียบ้าง การทำบุญของทายกทายิกานี้ การทำบุญที่เป็นการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันนั้นนะก็เลื่อนขึ้นมา ทำบุญเพื่อเอาหน้าเอาตา มีเกียรติแล้วก็เลื่อนขึ้นมา การทำบุญเอาสวรรค์ แล้วก็เลื่อนขึ้นมาอีกทำบุญเพื่อทำลายกิเลสในภายใน ถ้ามาถึงขั้นนี้แล้วธรรมช่วยแน่ ธรรมะช่วยได้แน่ ทำบุญในถึงขั้นที่เรียกว่า ทำบุญเพื่อทำลายความเห็นแก่ตัวเองนั่นแหละเสีย อย่าให้มีเรื่องตัวกูของกูอะไรขึ้นมา ถ้าทำได้อย่างนี้ธรรมะช่วยแน่ แต่ถ้ายังเป็นเรื่องทำบุญเอาหน้า ทำบุญเอาสวรรค์นั้นมันไม่ได้ ถ้ามันไปเพิ่มกิเลสมากกว่าเดิม มันก็ต้องร้อนมากขึ้นกว่าเดิม และเมื่อไม่ได้อย่างใจก็ยิ่ง ยิ่งร้อนใหญ่ ยิ่งไปเพิ่มความทุกข์ขึ้นอีก เมื่อสิ่งต่าง ๆ ไม่เป็นไปสมใจ หวังว่าจะได้มาก กลับไม่ได้ คิดว่าทำบุญแล้วจะรวยแล้วกลับไม่รวย นี้ยิ่งเป็นทุกข์มากกว่าทีแรกอีก แต่ถ้าทำบุญทำลายเห็นแก่ตัว ทำลายกิเลสความเห็นแก่ตัว ยิ่งสบายใจมากขึ้น มากขึ้น มันไม่หวัง มันไม่อยาก มันไม่อะไรมากเกินกว่าที่จำเป็น มันก็ไม่ยุ่งมาก เรื่องมันไม่ยุ่งมาก ในที่สุดกล้าคิดว่าเราทำบุญนี่ไม่เอาอะไรเลย ทำบุญให้ผู้อื่น คือ ทำบุญนี้บำรุงศาสนาไว้ ศาสนามีอยู่เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นเถิด ถ้าไม่มีการศึกษาเล่าเรียนประพฤติปฏิบัติในศาสนานี้อยู่แล้วเป็นประโยชน์แก่คนทุกคนในโลกเถิด เราไม่ประสงค์อะไร มันก็ยิ่งสบาย แต่ไม่ค่อยมีใครกล้าคิด คิดแต่จะเอาอะไร เป็นผล เป็นกำไร เป็นไอ้วัตถุสิ่งของ เป็นความสุขทางโลก ๆ นี้ให้มากยิ่งขึ้น มากยิ่งขึ้นทั้งนั้น ฉะนั้น โลกนี้จึงไม่ดีขึ้น ความเป็นอยู่ทางจิตใจของอุบาสก อุบาสิกา ภิกษุ สามเณร ก็ไม่ดีขึ้น เรื่องร้าย ๆ ที่ไม่ควรจะมีในวัดก็มามีในวัด เหมือนกับที่มีอยู่แก่ชาวบ้าน ฆราวาสนอกวัดนี้ นี่พวกที่เขามีปัญญาเขาก็ดูหมิ่น ดูหมิ่นพวกพุทธบริษัทได้ เขาไม่อยากเป็นพุทธบริษัทชนิดนี้กัน นั่นก็แปลว่าเราช่วยกันทำลายศาสนาเสียเอง เหมือนกับที่ว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าศาสนาจะเสื่อมหรือศาสนาจะเจริญก็เพราะพุทธบริษัท ๔ นั่นแหละ ทำผิดหรือทำถูก ฉะนั้นควรจะทำให้ถูก นี่มันค่ำแล้วนะ เดี๋ยวจะไปไม่ได้นะ มีไฟฉายกันหรือ หรือว่าไปดูภาพสไลด์กันอีกก็ได้ คนเหล่านี้ไม่เคยดู ก็ไปดูที่กุฏิ ให้เณรฉายให้ดู