แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ต้องพูดอะไรหน่อยที่เกี่ยวกับออกพรรษา สึกๆ กันไปนี่ ไอ้ที่มันเป็นที่รวม เป็นใจความเป็นที่รวมของ หลักพุทธศาสนา แต่ไม่ได้อยู่ในคำ ที่เขาพูดกันในคัมภีร์ ในโรงเรียน ในอะไรอย่างนี้ คำเหล่านี้เข้าใจกันน้อย แล้วก็ไม่ค่อยสนใจกันด้วย เพราะเขาเห็นว่ามันไม่มีในคัมภีร์ ไม่มีในแบบเรียน ไม่ ไม่ขลัง ไม่ใช่คำสูง เพราะไปเข้าใจ เสียอย่างนี้ เลยทำให้ไม่รู้ ไม่เข้าใจไอ้ตัว ตัวพุทธศาสนาตรงๆ หรือถูกต้องลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นไอ้ตอนหลังนี้ผมเลย เปลี่ยนเป็นพูดเรื่องธรรมดาๆ คำธรรมดาให้เข้าใจ เอ่อ, กันง่ายๆ เช่นอย่างวันนี้ก็อยากจะพูดเรื่อง คำว่าความอิ่มนี่ ความอิ่ม ที่จริงถ้าเข้าใจเรื่องความอิ่มคำเดียวอย่างเพียงพอทั่วถึงแล้วก็ มันก็รู้พุทธศาสนาหมดเหมือนกัน เพราะว่าไอ้ธรรมะนี้มันมีค่าตรงที่ทำให้คนรู้สึกอิ่มนี้ ทำให้คนรู้สึกอิ่ม แต่ถ้าพูดอย่างนี้กลายเป็นไม่มีค่า สำหรับไอ้พวกที่ยึดติดในถ้อยคำ ก็เรียกพวกหัวเก่านั้นนะ ถ้าเราจะพูดแต่เพียงว่า พุทธศาสนาทำให้คนรู้สึกอิ่ม แล้วก็มีเท่านี้เอง ทีนี้คนพวกที่ยึดมั่นถือมั่นหัวเก่านั้นก็ว่าไร้สาระ ไอ้พูดอย่างนี้ไร้สาระ มันเลยไม่ค่อยได้พูดกันในลักษณะอย่างนี้ แล้วคนโดยมากก็โง่ดักดานจนขนาดไม่รู้ว่าอิ่มนั้นคืออะไรบ้าง ก็รู้แต่เรื่องกิน แล้วกินอิ่มแล้วก็รู้แต่ความอิ่มเรื่องกินนี่เลยไม่รู้ไอ้ความอิ่มอีกชนิดหนึ่งซึ่งไม่ต้องกิน ซึ่งเป็นเรื่องทางธรรมะ อ้า, ธรรมะ ความอิ่มทางธรรมะ ความอิ่มทางวิญญาณ นี่เป็นเหตุที่ให้ไม่ได้พูดกันถึงความอิ่มทางวิญญาณหรือทางธรรมะ ทีนี้ถ้าจะเข้าใจให้ง่ายขึ้นก็ลองนึกดูว่าไอ้ความอิ่มนี่มันมีอยู่กี่แบบ อย่างน้อยก็ ๒ แบบ คือ อิ่มที่ต้องกินแล้วจึงอิ่มนี้อย่างหนึ่ง แล้วอิ่มที่ไม่อยากเสีย เราไม่อยากเสียก็อิ่ม นี่ก็อีกแบบหนึ่งคือไม่ต้องกิน ไอ้อย่างหลังนี่แหละคือว่าอิ่มอย่างธรรมะ อย่างพุทธศาสนามีให้เรา แต่อิ่มอย่างที่ต้องกินเข้าไป ต้องกินเข้าไปให้อิ่มๆ แล้วเดี๋ยวก็หิวอีก แล้วกินให้อิ่มอีก แล้วก็หิวอีก กินให้อิ่มอีกนี้ นี้ไม่เกี่ยวกับพุทธศาสนา มันเป็นเรื่องธรรมดา เรื่องโลก เรื่องวัตถุ เรื่องสังขาร แล้วเห็นได้ง่าย พอพูดว่าอิ่มก็มักจะนึกถึงกันแต่อิ่มชนิดนี้ ทีนี้เรารู้แล้วว่าอิ่มนั้นคือ ไม่หิว ทีนี้ก็ทำอย่าให้หิวมันก็อิ่ม นี้เรื่องทางจิตทางวิญญาณนั้นนะ มันทำได้ ไม่ใช่เรื่องทางร่างกาย ทำให้จิตไม่รู้สึกหิวอะไรเลยนี้ได้ มันจึงเกิดความรู้สึกเหมือนกับอิ่มอยู่ตลอดเวลา พอใจอยู่ตลอดเวลา ภาษาบาลีว่าปิติ ปิติแปลว่าความอิ่ม ไม่ใช่คำว่าสันโดษ หรือคำอะไรทำนองนั้น อย่าไปเข้าใจผิดเรื่อง เรื่องคำ แล้วถ้าแปลเป็นภาษาฝรั่งก็ยิ่งยุ่ง ยุ่งใหญ่อีก ไม่รู้ว่าใช้อะไรดี คำว่าอิ่มในภาษาฝรั่งนั่น ดูจะไม่มีด้วยซ้ำไป ที่มาจะตรงกับคำว่าอิ่ม ที่มันคล้ายกันที่สุด ก็ไอ้ Contentment ตัวนี้ Content Contentment นี่ จะคล้ายคำว่าอิ่มที่สุด แต่เขาไปแปลเป็นพอใจ หรือสันโดษ หรืออะไรไปได้อีกเหมือนกัน แต่อิ่มนี่ไม่ใช่พอใจ มันหยุด มันหยุดหิว ในทางธรรมะนี้เราสามารถทำให้ความหิวหยุดลงไปได้ ระงับลงไปได้ แล้วก็มีความอิ่มอยู่เสมอ ส่วนความอิ่มทางร่างกาย ทางเนื้อหนังนั้นไว้ ไว้คนละเรื่อง หิวก็กินเข้าไปก็ได้ ตามสมควร ไม่มีก็หาเข้ามา แล้วหิวก็กิน ก็กินแต่พอที่มันให้อิ่มพอสมควร ไม่ใช่ตะกละ มันก็หมดปัญหาเรื่องนั้น เพราะว่าเราก็ต้องทำงาน อยู่นิ่งไม่ได้อยู่แล้ว แล้วทำงานคือ หาอาหาร แล้วก็กิน ก็อิ่ม ทีนี้เรื่องทางจิตใจ อ้า, แบ่งเป็น ๒ เรื่อง เรื่องที่เนื่องกับร่างกายมากๆ มันก็อย่างหนึ่ง อันนี้มันขึ้นอยู่กับร่างกาย มันก็ต้องแก้ไขทางร่างกายอยู่มาก ทางระบบประสาท ทางร่างกายอยู่มาก แล้วความต้องการเงินทอง หรือความที่ว่าถึงเขต ถึงขนาด ถึงขีดที่จะต้องมีการสืบพันธุ์หรือมีอะไรทำนองนี้ มันก็มี ความหิวไปตามแบบนั้น ถ้ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ ตามธรรมดาล้วนๆ มันก็ไม่ร้ายกาจอะไร ก็แก้ไขไปด้วยการหามาให้สนองความต้องการตามสมควร ดังนั้น ความหิวชนิดนี้ยังไม่ใช่เรื่องทางวิญญาณ ถ้าเป็นเรื่องทางวิญญาณ เราต้องการจะหยุดความหิวความต้องการเสียเลย แต่มันสูงกว่ากันมาก เลยต้องใช้คำว่าทางวิญญาณ ไม่ใช่ทางจิต เพราะคำว่าทางจิตนี้เขาเอาไปใช้ต่ำๆ เสียแล้วในภาษาไทย ภาษาบาลี ทางจิตเขาก็สูงสุด ไม่ต้องมีพูดทางวิญญาณก็ได้ แต่ในภาษาไทย ทางจิตเอาไปใช้ต่ำๆ เกี่ยวกับระบบประสาท เกี่ยวกับไอ้เรื่องมีร่างกายเป็นส่วนมาก มันต้องมีคำว่าทางวิญญาณ ซึ่งมันละเอียดออกไป ลึกซึ้งยิ่งไป ยิ่งขึ้นไป พุทธศาสนาทำให้คนไม่รู้สึกอยากทางจิต ทางวิญญาณ ดังนั้น จึงทำให้คนอิ่มทางจิตทางวิญญาณอยู่ตลอดเวลา แม้ทางร่างกายมันจะหิวแล้วกิน หิวแล้วกินอยู่ตลอดเวลาก็ช่างมัน แต่ในทางจิตใจ ให้มัน วิญญาณแท้ๆ มันอิ่มอยู่ตลอดเวลา หรือแม้ที่เป็นฆราวาส หรือที่จะไปเป็นฆราวาสก็ตาม ต้องรู้จักเคล็ดลับข้อนี้ที่สำคัญมาก ให้จิตใจมันอิ่มอยู่ตลอดเวลา ทีนี้มันทำยากหรือทำไม่ได้ ก็ต้องศึกษากันเป็นพิเศษ กำลังอยากได้เงินบ้าง กำลังอยากได้ยศ ได้เกียรติบ้าง แล้วทำอย่างไรจะให้จิตใจมันอิ่ม อยู่ตลอดเวลา มันมีปัญหาที่ ที่หนักมาก ปัญหาที่ยากมาก แต่ถ้ายังมีธรรมะในพุทธศาสนาพอมันทำได้ แต่ชาวบ้านเขาก็ไม่เชื่อว่าทำได้ เขาก็เลยไม่สนใจ ดังนั้น ไม่สนใจเรื่องจิตว่าง เรื่องอะไรต่างๆ นี่เขาไม่สนใจ เขาหาว่าทำไม่ได้ นี่ถ้าพุทธบริษัททำไม่ได้ หรือไม่ทำเสียเลย นี่ก็คือความล้มละลาย ความเหลว ความตกต่ำของพุทธบริษัทเอง พวกอื่นที่ไม่ใช่พุทธบริษัทเกิดมีทำได้ หรือทำได้บ้างขึ้นมาแล้วขายหน้าเขาตายเลย ความที่เขามีใจคอสงบเสงี่ยมคงที่ คงเส้นคงวาสม่ำเสมอ ไม่ทุกข์ไม่ร้อนอยู่เสมอ ก็มีเหมือนกันนะ ในๆ ในลัทธิอื่น หรือในวัฒนธรรมที่ดีๆ ของพวกฝรั่งนี่ ก็มีเหมือนกัน แต่ไม่ได้หมายถึงพวกฝรั่งวัตถุนิยมอย่างเดี๋ยวนี้ หมายถึงการศึกษาค้นคว้าของทางตะวันตกก็เคย ไปไกลถึงขนาดว่าเราควรจะมีใจคอปกติ ไม่หวั่นไหว ยิ้มได้ในทุกกรณีอยู่เหมือนกัน แต่สำหรับในพุทธศาสนาเรานี้มีคำสอนอยู่เต็มที่ มีความมุ่งหมายอยู่อย่างเต็มที่ เราก็ปล่อยให้เลือนไป ละเลยไปเสีย ดังนั้น ต้องตั้งปัญหาขึ้นมาใหม่ ว่าทำอย่างไร เราถึงจะมีความอิ่ม เราจะมีความอิ่มทางวิญญาณและทางจิตทางใจอยู่ตลอดเวลา นอกนั้นก็ทำไป ไม่ถือว่าหิวหรอก เมื่อใจมันอิ่มอยู่ตลอดเวลาแล้ว ถึงท้องมันหิวเข้ามันก็เป็นของขบขันไป ไปหามากินเสียก็แล้วกัน ถ้าไม่ๆ ไม่ ไม่มีจะกิน ก็ควรจะหัวเราะไปจนตายมากกว่า ที่จะไปเป็นทุกข์ เป็นกระวนกระวาย ถ้ามีกำลังใจเข้มแข็ง มีปัญญา มีญาณทัศนะอะไรเพียงพอนี้ก็ทำได้เหมือนกัน ไม่มี ไม่มีความทุกข์ เหมือนอย่างที่พูดว่า แม้เราจะกลัว เราจะวิ่งหนีเสือก็ไม่ต้องกลัว จะขึ้นต้นไม้ให้พ้นเสือก็ไม่ต้องกลัว ในทางจิตใจไม่ต้องกลัว หรือพลาดตกลงมา เสือกัดกินหมดไปเลยก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ มันจะมีจิตใจอย่างนี้ได้หรือไม่ มันก็เป็นจิตใจของพระอรหันต์อยู่มาก แต่ว่าเราก็ลองทำอย่างบ้าบิ่นดูบ้างสิ ก็ได้เหมือนกัน ปุถุชนเรานี่ทำมันอย่างบ้าบิ่น เราไม่กลัวมันก็แล้วกัน ยังไม่เป็นพระอรหันต์ แต่พยายามจะทำให้ได้รับผลประโยชน์คล้ายๆ กัน อย่างวิ่งหนีเสือก็วิ่งด้วยสติปัญญา สติสัมปชัญญะ ไม่ใช่วิ่งด้วยความขลาดกลัว จนล้มลุกคลุกคลาน อย่างนั้น หรือขึ้นต้นไม้ก็ขึ้นด้วยสติสัมปชัญญะ เห็นเป็นกีฬา ไปเสียเลย ไม่ต้องขึ้นด้วยความกลัว ซึ่งเป็นทุกข์ตัวสั่นขวัญหนี ตกลงมาพลาดอย่างไร เสือมันกัดได้ ให้มันกินไปเลย นี่ก็ไม่ต้องกลัว จนกระทั่งดับจิตไม่ต้องทุกข์ นี่เป็นเรื่องที่ทำได้ในทางจิต ทางวิญญาณ ที่อบรมฝึกฝนถึงขนาดหรือถึงที่ นี่แสดงให้เห็นว่า ไอ้เรื่องจิตเรื่องวิญญาณนี่เราอย่าไปเข้าใจว่าเรารู้ หรือเรารู้หมดแล้ว มันยังมีเหลืออยู่ ถึงขนาดที่ว่าไม่ต้องเป็นทุกข์กันเลย แต่ในทาง ทางบวก ทาง positive มันถึงกับว่าเราอิ่ม อิ่มอยู่เสมอ อิ่มอยู่เสมอ ไม่มีความขาดแคลนในทางวิญญาณ ถ้าแม้จะขาดแคลนทางวัตถุจนอดอาหารตาย ก็ไม่มีการขาดแคลนในทางวิญญาณ ทางจิตทางวิญญาณยังอิ่มอยู่เสมอ แล้วคงไม่มีที่ไหนในโลกนี้หรือในเมืองไทยนี่ ที่ว่าพระเราจะถึงขนาดอด อดตาย ไม่มีอะไรจะกิน นี่มีไม่ได้ แต่ถ้ามันจะมีได้มันก็ต้องอย่างนี้ ก็ต้องยังไม่ อ้า, ยังอิ่มอยู่ ยังมีอะไรอย่างหนึ่งซึ่งทำให้อิ่มอยู่ในทางจิต ทางวิญญาณในส่วนลึก นี่ถ้าเข้าใจเรื่องนี้ก็คือเข้าใจพุทธศาสนาอย่างยิ่ง อย่างลึกทั้งหมดเลย ธรรมะที่แท้จริงจะทำให้มนุษย์อิ่มอยู่เสมอ ในทางจิตใจ เดี๋ยวนี้ดูสิ ในทางจิตใจมันหิวอยู่เสมอ ไม่ใช่หิวอาหาร เพราะอาหารมีกิน ไม่ใช่หิวกามารมณ์ เพราะว่ามันเบื่อมันเฉื่อยไปแล้ว มันจะด้วยเหตุอะไรก็ตาม มันไม่หิวเรื่องกามารมณ์ แต่มันหิวอะไรชนิดหนึ่งซึ่งบอกไม่ถูก แต่ถ้าจะพูดกันตรงๆ ก็คือหิว อ้า, ความเด่น หิวความดี ความเด่นของตัวกูนั่นนะ ไอ้ตัวกูมันยังหิวความเด่นหรือความดี หรือความอะไรตามที่มันเข้าใจ แต่มันไม่รู้จักเหมือนกัน ยังไม่รู้จัก ดังนั้น มันเป็นความหิวอย่างร้ายของผู้ที่ไม่ ไม่หิวข้าว ไม่หิวกามารมณ์ ไม่หิวอะไรแล้ว แต่ยังหิว ยังทรมานอย่างสูงสุดอยู่ คือ ตัวกูมันหิวความเด่น มันเป็นเหตุพาลหาเรื่องหิวไปหมดนี้ จะเด่นทางโน้น จะเด่นทางนี้ จะเด่นทางนั้น กระทั่งเด่นทางกิน เด่นทางกามารมณ์ หรือว่าเด่นทางความเป็นใหญ่เป็นโต ความมีเกียรติ กระทั่งไม่รู้ว่าอะไร แต่รู้ว่าเป็นความเด่น ดังนั้น ส่วนใหญ่ที่เป็นได้ง่ายเป็นได้มาก ก็คือหิวที่จะให้ทุกคนเขายอมแพ้เรา ให้ทุกคนยอมนับถือบูชาเรา นี่หิวอย่างนี้ จริงหรือไม่ลองคิดดู หิวในข้อที่ว่าให้ทุกคนให้เกียรติเรา นับถือบูชาเรานี่ นี่ดูจะเป็นความหิวที่ไม่ขาดสาย เท่ากับหิวอย่างนี้มีหรือไม่ มีวันอิ่ม เมื่อไม่ต้องการมันก็อิ่มทันทีเหมือนกัน ดังนั้น จึงเรียกว่าเป็นความหิวที่ทรมานที่สุด อ้า, ถ้าทำลายเสียได้ก็มีความอิ่มทันที ไม่ต้องเอาอะไรมาให้มันกิน ความหิวชนิดนี้ไม่ต้องเอาอะไรมาสนอง มาป้อน มาเลี้ยง มาบำเรออะไรมัน มันเป็นความหิวที่ต้องทำลายความหิวเสียด้วยสติปัญญา แล้วมันก็อิ่มขึ้นมาทันที ไม่เหมือนหิว หิวข้าว ต้องกินข้าว หรือหิวไอ้ความรู้สึกทางเพศก็ต้องสนองด้วยความ เอ่อ, การกระทำอย่างนั้น มันคนละเรื่อง นั้นมันเป็นเรื่องของทิฏฐิ ของทิฏฐิ เรื่องทางวิญญาณนี่เป็นเรื่องของทิฏฐิ เรื่องทางวัตถุก็เป็นเรื่องของ ไม่ใช่ธรรมะหรอก เรื่องทางวัตถุนั่นไม่ใช่เรื่องธรรมะ เป็นเรื่องตามธรรมชาติ ดังนั้น หิวทางวัตถุนั้นก็หาให้มันกินก็แล้วกัน ทีนี้หิวทางจิตตามธรรมดาก็ต้องหาให้กินเหมือนกัน ก็ต้องหามาสนองเหมือนกัน แต่หิวทางทิฏฐินี่จะไปหามาสนอง มาเลี้ยงมันไม่ได้ต้อง ต้องฆ่ามัน ต้องฆ่าความหิวเสียเอง เพราะมันไม่ใช่เรื่องทางวัตถุที่จำเป็น ที่ต้องกินเข้าไปเลี้ยงร่างกาย นั้นมันคนละอย่าง มันเป็นเรื่องของทิฏฐิ ที่เข้าใจผิดเรียกว่า ภวทิฏฐิ ทิฏฐิในความเป็น ภวทิฏฐิ ทิฏฐิในความเป็น จึงจะเป็นดีเป็นเด่น จะยกหูชูหาง จะเป็นไอ้ทำนองอย่างนี้ เรียกว่า ภว แล้วก็ทิฏฐิ คือ ทิฏฐิเกี่ยวกับเรื่องนี้ พอมีเข้าแล้วมันก็เกิดตัณหา ชนิดภวตัณหา แล้วมันก็หิวอย่างไม่มีอะไรจะมาระงับได้ ให้กินจนอิ่มในทางปากทางท้อง ให้สมบูรณ์ด้วยกามารมณ์จนเป็นของทิพย์ของสวรรค์ไปแล้ว มันก็ยังไม่อิ่ม เพราะเป็นเรื่องของทิฏฐิหรือภวทิฏฐิ มันอยากเด่นอยากสูงอยู่เรื่อย อยากดีกว่าคนอื่นอยู่เรื่อย อยากให้ทุกคนยอมแพ้ ให้ทุกคนบูชาให้เกียรติอยู่เรื่อย มันก็ทำไม่ได้ก็ทรมานจนตาย ทีนี้จะไม่ให้มันหิว จะให้มันอิ่มก็ต้องฆ่าความหิวเสีย เมื่อความหิวไม่มีความอิ่มก็มีมาเอง เรื่องความอิ่มแบบที่ประหลาด ที่ไม่ค่อยสนใจกัน และที่เป็นหัวใจ เป็นเรื่องสำคัญของพุทธศาสนา ดังนั้น เมื่อเรานั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะทำงานที่ office อย่าหิวทางวิญญาณอย่างนี้ แล้วงานก็ทำไปๆ ทำไป มันก็เป็นผลดีพร้อมกันไป ทางร่างกายทางวัตถุก็มี มีความสำเร็จ ประสบความสำเร็จอยากได้เงินก็มีเงิน อยากได้เกียรติก็มีเกียรติ ในทางจิตใจก็ไม่หิวก็ไม่เป็นทุกข์ไม่ตกนรกทั้งเป็น โดยมากไม่รู้จักแบ่งแยกกันออกไปเป็นพวกๆ ไม่รู้ว่าพวกไหนจะต้องจัดการกับมันอย่างไร มันเลยปนกันยุ่ง ทีนี้ก็แก้ไม่ตก แก้ไม่ถูก นี้หมายถึง ฆราวาสนะ ฆราวาสต้องทำงานอย่างฆราวาสที่ office ที่ในไร่ ในนา ในสวน ในอะไรก็สุดแท้ แต่ที่ที่ทำงานของฆราวาส เขาก็ต้องรู้จักทำตนให้อิ่มในทางวิญญาณ แล้วก็ทำงานไปตามสติปัญญาปัญหามันก็หมด ก็เรียกว่าเป็นคนอิ่มอยู่ได้ ทีนี้ถ้าไม่ใช่เป็นคนทำงานอย่างนั้นคือ ไม่ใช่ฆราวาสนะ มันก็ยังมีปัญหาอย่างเดียวกันอีก เพราะพระเณรนี่ก็ยังทะเยอทะยาน ยังหิวอย่างเดียวกันนี้ หิวความดีความเด่น ดังนั้น ก็ต้องหยุดมันเสีย แล้วงานประจำวันที่ต้องทำทางกาย ทางอะไรอย่างนี้ก็ต้องทำมันไป ถึงเวลาก็ต้องไปฉันอาหาร ทุกเวลา ทุกขณะ ทุกอิริยาบถ นี่อย่า อย่าได้เกิดความหิวทางวิญญาณ เรื่องดี เรื่องเด่น เรื่องภวทิฏฐิ ภวตัณหา ก็เป็นคนอิ่ม ทีนี้เมื่ออิ่มแล้ว ก็ไม่ต้องพูด มันหมดปัญหา พุทธศาสนาหรือคำสอนของพระพุทธเจ้าทำให้คนมีความอิ่ม ได้รับความพอใจ อยู่ตลอดเวลา ความทุกข์ไม่มี ปัญหาไม่มี ความตายก็พลอยไม่มีปัญหาไปด้วย เพราะมันอิ่มอย่างนี้ได้จนกระทั่งตาย พอตายแล้วก็ไม่รู้สึกอะไรก็เลิกกัน ไม่มีความกระหายที่จะเกิดใหม่ ภพหน้าชาติหน้าก็ไม่มีอีก ดังนั้น มันหยุดอยู่ที่ความอิ่ม เพราะฉะนั้นธรรมะนี้เป็นความอิ่มที่ประหลาด อิ่มนิรันดร เรียกว่าอิ่ม อิ่มตลอดกาลนิรันดรเป็นของที่ไม่ดับ ไม่เกิด ดับ ไม่เหมือนกับหิวข้าว หิวกามารมณ์ อะไรอย่างนี้ มันเรื่องเกิดเรื่องดับ เรื่องเกิดเรื่องดับ แต่ถ้าอิ่มเพราะว่าตัดไอ้ภวตัณหา ภวทิฏฐิได้เลยเป็นอิ่มนิรันดร ความหมายของนิพพานนี้เป็นอิ่มนิรันดร ถ้ารู้จัก ถ้าอยากจะรู้จักนิรันดร หรืออมตะ หรืออะไรกันอย่างนี้บ้าง ก็ต้องสนใจเรื่องอย่างนี้ ทำอย่างไรจึงจะเป็นอมตะ Immortal Immortal อมตะ ทำอย่างไรถึงจะเป็นนิรันดร eternal eternity ทีนี้คนทั่วๆ ไปฟังไม่ถูกหรอก ไม่ๆ ไม่เข้าใจได้ว่า เรามีอายุไม่กี่ปี จะตาย หรือจะไม่ตายได้อย่างไร จะเป็นนิรันดรได้อย่างไร นั่นก็คือไม่เข้าใจคำว่า อมตธรรม ในพุทธศาสนา นั่นก็คือ ความโง่มาก ที่พูดกันอยู่ว่าออกนี้ออกเพื่อหาอมตธรรม ว่าพบอมตธรรมแล้วโว้ย เอามาบอกมาฟังมาแจกกัน เหมือนเรื่องอุปติส โกลิต พระสารีบุตร โมคคัลลาน์ นี่ก็เรียกว่าออกหา อมตธรรม พบแล้วมาบอกกันมาแจกกัน ฟังดูให้ดีเถิด เขาพบอมตธรรม พบความเป็นนิรันดรหรือชีวิตนิรันดรอย่างพระเยซูเรียก เขาพบกันได้ในบุคคลที่มีอายุ ไม่เกิน ๑๐๐ ปีนี่ ก็ต้องหมายความว่าไอ้ความอิ่มชนิดนี้มันเป็น มันเป็นนิรันดร หรือความเป็นอยู่ชนิดอิ่มนี่ คือ ชีวิตนิรันดร ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย ใครถึงก็ถึงนิรันดร ไอ้ดับมันดับร่างกายเท่านั้น ความอิ่มหรือชีวิตนิรันดร ยังอยู่ ยังอยู่เรื่อยไป ร่างกายแตกตายก็แตกตายไป ตัวเราก็มิได้มี แต่ว่าไอ้สิ่งที่เป็นอมตะหรือเป็นนิรันดร คงมี คงมีอยู่ แล้วทีนี้ก็อยากจะรวบรัดเรื่องให้มันเหลือแต่เพียงว่า จะสึกออกไปก็ตาม จะอยู่ต่อไปก็ตาม รู้จักทำตนให้เป็นคนมีความอิ่มในทางวิญญาณกันเสียบ้างอย่างน้อย ก็จะเป็นการได้ตัวพุทธศาสนาไปเรื่อยๆ ไม่เสียที ไม่เสียทีที่มีชีวิตอยู่ หรือบวชอยู่ ไม่เสียที มันได้ความอิ่มชนิดนี้อยู่แล้วก็เรียกว่าไม่เสียที แล้วปัญหามีเท่านั้นแหละ ความเป็นพระอรหันต์ที่เรียกว่าสูงสุด ก็สูงสุดเพียงเท่านี้ คือ ได้อิ่มนิรันดรโดยแท้จริง ถ้ายังไม่ถึง ไม่สมบูรณ์และแท้จริงก็ยัง ไม่เป็นพระอรหันต์ ยังเป็นรองรองลงมา ไม่ได้เสียเลยก็เป็นปุถุชนอย่างเลวมาก ได้บ้างก็เป็นปุถุชนอย่างดีหน่อย ดังนั้น ระวังว่าอย่ามีความหิวทางวิญญาณ จะเป็นตกนรกทั้งเป็น จะเป็นเปรตที่เรียกว่าเปรต ไม่มีอย่างอื่น เปรตก็มีอย่างท้องเท่าภูเขาปากเท่ารูเข็ม เพราะความหิวทางวิญญาณเพื่อดีเพื่อเด่นนะมันเท่าภูเขาแล้วโอกาสที่จะมีจะเป็นได้ มันเท่ารูเข็ม มันก็มีความอิ่มไม่ได้ ดังนั้น เปรตจึงหิวเรื่อย ก็ได้แก่ทุกคนในโลกนี้ที่กำลังหิวไม่ใช่โลกอื่นไม่ใช่ต่อตายแล้ว ไม่ใช่อุปปาติกะ หรือไม่ใช่อาทิตสะมานะกาย อะไรที่ไหน นั่นก็คือ คนที่หิวอยู่เรื่อยนี่เอง ถ้ามันเป็นสัตว์ชนิดอื่นไปนั้นมันก็ไม่มีแปลกประหลาดอะไร เป็นธรรมดาของสัตว์ชนิดนั้นไปเสียไม่เกี่ยวกับเรา ที่เกี่ยวกับเรา ก็คือว่าเรานี้จะเป็นเปรตโดยไม่รู้สึกตัว คือ หิวอะไรในทางจิตทางวิญญาณอยู่เรื่อย ไม่มีวันอิ่ม ดังนั้น ขอให้ทุกคนเข้าใจ คำใหม่คำว่าอิ่มนี่ขึ้นมาอีกสักคำหนึ่ง (ภาษาใต้ไม่ได้ถอดเสียง นาทีที่ 34:10-34:50) ทีนี้ก็อยากจะพูด อ้า, ย้อน ทบทวนเมื่อสักครู่นี้ที่ว่า ไม่มีใครสนใจเรื่องคำว่าอิ่ม หรือว่าพุทธศาสนามีให้สูงสุดแค่อิ่ม เข้าใจไม่ได้แล้วก็ไปถือ เสียว่าเป็นเรื่องต่ำเกินไป พูดนี้ไม่จริง เดี๋ยวนี้เราก็ถูกหาว่าพูดไม่จริง อยู่ๆ อยู่เรื่อยมากขึ้น เพราะพูดด้วยสำนวนที่เขาไม่เคยฟัง พุทธศาสนาไม่มีอะไรมากมีแค่อิ่มเท่านั้นเอง ทีนี้ถ้าเราจะเข้าใจกันได้บ้างก็เข้าใจอย่างว่านี้ ถ้ามันหยุดความกระหายหยุดอยากเสียได้มันก็อิ่ม ดับตัณหาเสียได้ด้วยประการทั้งปวงมันก็คืออิ่ม ไม่เป็นเปรตด้วย อย่าไปเรียนอะไรมากเลยกระมัง เรียนให้รู้จักทำให้อิ่มก็พอแล้ว หยุดความอยากเสียก็อิ่ม ไม่เหมือนกับเรื่องทางกายต้องไปหามาให้มันกินมันถึงจะอิ่ม แล้วหิวอีกก็กินอีก หิวอีกก็กินอีก อย่างนั้นเป็นเรื่องทางกาย แต่เรื่องทางวิญญาณไม่ทำอย่างนั้น ไม่มาหาสนองมันอย่างนั้น ไม่มัวไปเที่ยวสนองความต้องการของมันอย่างนั้น แต่ว่าหยุดความอยาก คือ หยุดตัวมันเสียมันก็อิ่ม ดังนั้น เรามี ๒ อิ่มก็พอแล้ว ทางร่างกายก็หาให้กินให้อิ่มๆ เป็นประจำวันไป ทางจิต ทางวิญญาณก็หยุดความกระหายเสียมันก็อิ่ม นี่เลยเป็นคนอิ่มทั้งทางกายและทางวิญญาณก็สบาย ปัญหาก็หมด พุทธศาสนาก็จบ มีเท่านั้นเอง แต่ได้ข่าวว่ามีคนเขาด่าผมอย่างรุนแรงว่าทำพุทธศาสนาให้หมดราคา ถ้าพูดอย่างนี้ ทำพุทธศาสนาให้เป็นของตกต่ำไป หมดราคา ไม่ใช่พุทธศาสนาไปด้วยซ้ำไอ้เรื่องที่พูดมาแล้วๆ เดี๋ยวนี้ก็พูดอย่างนี้อีก จึงจะมากไปอีกด้วยซ้ำไปว่าพุทธศาสนาไม่มีอะไร มีแค่อิ่มเท่านั้น แล้วพยายามเข้าใจให้ได้แล้วไปบอกต่อๆ กันให้ทำให้อิ่มทั้งทางกายและทางจิตก็พอแล้ว แล้วทีนี้จะใช้คำหยาบอีกแล้ว ที่เขาไหนๆ เขาอุปโลกน์เราเป็นคนพูดคำหยาบ ว่ามนุษย์เมื่อกินอิ่มทางปากทางท้องแล้วก็ยังหิวกระหายทางวิญญาณเช่น กระหายจะดีจะเด่น ตัวกูอยากจะยกหู ชูหาง ไม่ได้ยกหูชูหางก็หิวอย่างนี้ นี่เรียกว่ายังอิ่มแต่ทางกาย หิวทางวิญญาณ ดังนั้น จึงเลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน มนุษย์นี้เลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน ที่สัตว์เดรัจฉานไม่มีหิวทางวิญญาณมีแต่หิวทางร่างกาย พอได้กินอิ่มแล้วมันก็ ก็เสร็จเรื่อง เสร็จปัญหาไป ทางวิญญาณมันไม่หิว ส่วนมนุษย์นี้อิ่มทางร่างกายทางเนื้อหนังแล้วยังหิวทางวิญญาณเท่าภูเขาอยู่ ก็ได้มาเพียงเท่ารูเข็มนี้ก็หิวแรง ดังนั้น มนุษย์จึงเลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน ถ้าหากว่าไม่ทำให้รู้จักมีความอิ่มทางวิญญาณ ดังนั้น มนุษย์ต้องมีการรู้จักทำให้เกิดความอิ่มทางวิญญาณ จึงจะไม่เลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน แล้วจะ เก่งกว่า ดีกว่า สูงกว่า ประเสริฐกว่า ก็ทำได้ ไอ้สัตว์เดรัจฉานไม่หิวทางวิญญาณ เพราะธรรมชาติมันช่วย มันไม่ถือว่าเก่ง ไม่ถือว่าประเสริฐ วิเศษที่ไหนเพราะธรรมชาติมันให้ความโง่มาสำหรับไม่รู้จักหิวกระหายทางวิญญาณ ส่วนมนุษย์นี้ก็มีกรรมที่ธรรมชาติให้สติปัญญามาให้รู้จักดี จักชั่ว จักสุข จักทุกข์ กินผลไม้ต้นนั้นเข้าไปทำให้รู้จักดี จักชั่ว จักสุข จักทุกข์ อะไรทุกๆ อย่าง เพราะฉะนั้น จึงเกิดหิวทางวิญญาณขึ้นมา ก็เลยทนทรมานตลอดกาล ดังนั้น ต้องแก้ปัญหาข้อนี้ให้ได้ ให้สมกับที่เป็นมนุษย์จริงๆ มีปัญญาพอที่จะหยุดความหิวทางวิญญาณ ทีนี้ก็ดีกว่าสัตว์เดรัจฉานสมกับที่เรียกว่ามนุษย์ ถ้าไม่อย่างนั้นก็เป็นคนที่สู้สัตว์เดรัจฉานก็ไม่ได้ เพราะสัตว์เดรัจฉานไม่ทรมานทางวิญญาณ ทรมานแต่เรื่องทางกาย หรือว่าจิตใจเล็กๆ น้อยๆ ที่เกี่ยวกับร่างกาย ทางทิฏฐิ ทางวิญญาณ ทางส่วนลึกนั้นมันไม่ปัญหา ไม่มีความทุกข์ร้อนที่เผาอยู่ตลอดเวลาในส่วนลึกที่จะทำให้เป็นเปรต ไม่มี เพราะมันมีความเป็นสัตว์เดรัจฉานเสียแล้ว มันไม่ต้องมีความเป็นเปรตอีกแล้ว ทีนี้ปัญหามันก็เหลืออยู่ที่พวกเราที่เป็นมนุษย์นี่ ที่เรียกตัวเองว่ามนุษย์นี่ ว่าจะเป็นมนุษย์หรือยัง ถ้าเป็นมนุษย์ต้องแปลว่ามีใจสูง แปลง่ายๆ มีใจสูง คำว่ามนุษย์แปลว่า เหล่ากอของพระมนู ถ้าเป็นเหล่ากอของพระมนูจริง ก็ต้องมีใจสูงอีกนั่นแหละ มันเรียกว่ามีใจสูงเสียก็แล้วกัน สูงก็อย่าให้น้ำท่วม ไอ้น้ำคือ ความหิวทางวิญญาณ ก็เปรียบเหมือนน้ำเหมือนกัน อย่าให้มันท่วม ทีนี้ก็เป็นมนุษย์ ปัญหาก็หมดไปได้ ที่ว่ามีเท่านี้ พุทธศาสนาก็มีเท่านี้ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ มันก็เป็นคำอธิบายสำหรับทำให้เป็นอย่างนี้ เพียงเท่านี้แหละ พุทธศาสนา ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์ เป็นคำอธิบายว่าทำอย่างไรจึงจะอิ่มอย่างนี้ บอกให้รู้เรื่อง ให้สำเร็จประโยชน์ในการทำให้อิ่มคำเดียวเท่านั้น หยุดอยาก หยุดหิวทางวิญญาณเป็นผู้อิ่มอยู่ตลอดกาล และเป็นอมตะด้วย ดังนั้น ดูภาพ immortal อมตะที่พวกจีน พวกญี่ปุ่นเขียนนี่ เขียนเป็นตัวโตๆ อ้วนๆ ก็ได้ความอิ่ม ที่กำลังจะเขียนอีกตัว ๒ ตัว ฝาผนังด้านนี้ เขาเรียกตัว immortal ตัวโตเท่าๆ ตุ่ม รูปร่างเป็นตุ่ม มันมีความหมายที่ว่า มันได้ความสมบูรณ์ ความเต็ม ทีนี้เมื่อสักครู่นี้พูดว่า ออกพรรษาพูดสรุปเรื่องเกี่ยวกับ เกี่ยวกับออกพรรษาก็ต้องเรื่องความอิ่ม อยู่มาพรรษาหนึ่งแล้ว ออกพรรษาแล้ว ควรจะพบกับความอิ่มบ้าง หยุดหิวทางวิญญาณเสียบ้าง เป็นพรรษาหนึ่งมันก็เป็นพรรษาหนึ่งจริงๆ คือ ดีขึ้น มีความอิ่มทางวิญญาณเพิ่มขึ้น อย่าเอาไปปนกับอิ่มทางข้าวสุก พรุ่งนี้จะตักบาตรล้นบาตรกันหลายๆ บาตรอีก อย่าเอาไปปนกันกับไอ้อย่างนั้น มันเป็นอิ่มทางวิญญาณ ไม่มีวัตถุ ไม่มีข้าวสาร ไม่มีข้าวสุก ไม่มีขนม ไม่มี เพราะว่าหยุดความหิวเสีย กามตัณหา ก็หยุดไป ภวตัณหาก็หยุดไป วิภวตัณหาก็หยุดไป แม้ชั่วคราว ก็ยังดี ตลอดเวลาที่มันหยุดก็ไม่หิว ไม่หิวก็อิ่ม พอมันไม่หยุดมันเกิดมาอีกมันก็หิวอีก มันก็มีความทนทรมานเหมือนกับตกนรกเป็นเปรตอีก อย่าทำเล่นกับคำพูดเพียงคำเดียวว่าอิ่ม มีความหมายลึกหมด ลึกถึงความหมายของพุทธศาสนาทั้งหมด พระธรรมอันสูงสุดทำมนุษย์ให้อิ่ม เพราะหยุดอยากเสียได้ก็เลยอิ่ม ที่ว่าดับกิเลสให้หมดสิ้นก็คือหยุดอยาก มีกิเลสก็ยังโง่ ยังอยากอยู่ก็หิวเรื่อย หมดกิเลสก็หยุดอยาก ไม่มีอยากก็อิ่ม ดังนั้น คำว่าพระอรหันต์ควรจะแปลว่าผู้อิ่มมากกว่า เพราะแปลอย่างนี้เดี๋ยวมันเข้าใจเป็นไอ้คน เป็นเรื่องอาหารการกิน ไปเสียอีก เข้าใจผิดได้ทั้งนั้น คำพูดอย่างนี้ก็พูดตามภาษาธรรมดา ให้น่าปรารถนา ถ้าจะพูดว่าไม่อิ่ม ไม่หิว นี้มัน มันแห้งแล้ง มันไม่น่าปรารถนา สู้พูดว่าอิ่มไม่ได้ จึงใช้สำนวนว่าอิ่มตลอดกาลนิรันดรหรือเป็นมีชีวิตอยู่ตลอดกาลนิรันดร พูดในแง่ positive อย่างนี้ดีกว่าในแง่ negative แต่ที่จริงเรื่องนี้ไม่ใช่ negative ไม่ใช่ positive ไม่ใช่ทั้ง ๒ อย่าง แต่เราจะพูดกับมนุษย์ธรรมดาซึ่งพอใจใน positive ก็จะพูดว่าอิ่ม พูดว่าไม่ตาย พูดว่าอิ่ม รู้ความหมายของมันให้ดีๆ จะเข้าใจได้ถึงคำว่าอิ่ม เมื่อกินก็กินให้อิ่ม เมื่อนอนก็นอนให้อิ่ม เมื่อทำอะไรก็ทำให้อิ่ม ในทางวัตถุก็ทำไปได้ แต่ในทางวิญญาณต้องตัดต้องหยุดความกระหาย หรือความหิวเสียจึงจะอิ่ม แล้วก็เกิดมานี้ก็เพื่อให้อิ่มทั้งนั้นทั้งทางกายทั้งทางวิญญาณ ทีนี้ปัญหาทางร่างกายหาข้าวกินนั้นไม่มีปัญหา แต่ก็ไม่มีปัญหาได้เลย ปัญหายังเหลือทางอิ่ม อิ่มทางวิญญาณซึ่งยังอิ่มกันไม่ค่อยจะ จะได้ ได้น้อย ได้ยาก แล้วแถมยังไม่ค่อยรู้เรื่อง ดังนั้น พยายามเป็นผู้มีความอิ่มทางวิญญาณให้สุดความสามารถ แล้วการงานก็ทำไปเถิดเพื่อประโยชน์ผู้อื่น ไอ้ภาพจับวัว ๑๐ ภาพนี้ก็ใช้เป็นอุปมาได้อีกที่เขียนข้างบนนั้น พอหลังจากจับวัวได้ เป่าปี่ขี่วัว มีความอะไรตามต้องการแล้วมันก็ว่าง ว่างตัวตนไปเกิดมาใหม่ช่วยผู้อื่นทำประโยชน์ผู้อื่น เที่ยวส่องตะเกียงเที่ยวแจกของ นี่งานของคนอิ่ม สมกับที่ไอ้ ไอ้รูปที่ ๑๐ เขียนคนท้องโตเท่าโอ่ง เที่ยวได้แจกของกับส่องตะเกียง เพราะมันมี มันมีความอิ่ม จึงมีแจกมีให้ ไม่ใช่ท้องโตนั้น หิวเท่าภูเขา มันมีอะไรดีมากพอที่จะแจกคนอื่น ดังนั้น เราหยุดหิวเสียแล้วก็อิ่ม อิ่มแล้วก็ทำงานเพื่อคนอื่น เพื่อผู้อื่น เรื่องจบ พูดไปพูดมาก็วนอยู่ที่นี่ เหลือที่อิ่มคำเดียว อิ่มแล้วทำอะไรก็ได้ นั่นนะลองคิดดู จะเลิกแล้ว จะจบแล้วว่า เราใช้คำว่าอิ่มคำเดียวมันพอนี่เขาจะหาว่าเราทำลายพุทธศาสนาให้หมดค่าก็ตามใจกัน แต่ในที่นี้ผมอยากให้ทุกคนคิดและเข้าใจว่ามันเท่านี้จริงๆ ที่ไปเรียนให้มันมาก เรียนนั่นเรียนโน่น เรียนนี่ให้มันมากพวกบ้าหอบฟาง เขาเรียกบ้าหอบฟาง มันหอบไปไม่มีที่สิ้นสุด มันหอบฟางไปไม่มีที่สิ้นสุด ถ้ามันเรียนรู้เรื่องอิ่มคำเดียวมันก็พอแล้ว ให้มันอิ่มเสียก่อนเถิด จะหอบฟางเล่นบ้างก็ได้ ตลอดเวลาที่หอบฟางอยู่ให้มันอิ่ม ให้มันอิ่มอยู่เสมอเที่ยวหอบฟางเล่นบ้างก็ได้ เอาไปแจกเขา ทีนี้พูดถึงว่าวัดเรา เป็นโรงมหรสพทางวิญญาณอยู่ตลอดทั้งวัด ทั่วทั้งวัด มีต้นไม้ มีก้อนหิน มีธรรมชาติ มีความเงียบสงัดนี่ นี่ เช่นเดี๋ยวนี้เรา เราจะรู้สึกได้มันเงียบ เย็น หยุดไปหมดเลย ทำไมไม่ถือเอาอันนี้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของความอิ่ม นี่คือสัญลักษณ์ของความอิ่ม เย็นสบายเงียบสงบ สะอาดดี แจ่มใสสว่างดี ต้องให้เข้าใจต่อไปถึงว่า อิ่มนั้นคือมหรสพทางวิญญาณ ที่เรียกว่าอิ่ม อิ่มนี่คือมหรสพทางวิญญาณ ดังนั้น ถ้าใครไม่โง่ เข้ามาในวัดนี้ก็จะเห็นมหรสพทางวิญญาณทั่วไป ทั้งวัด ก้อนหินก็ตาม ต้นไม้ก็ตาม ไอ้ดอกไม้ก็ตาม แมลงก็ตาม ผม เช้าๆ เดินดูหญ้า ดูไอ้ใบไม้ ดู เท่านั้นนะ ก็รู้สึกว่ามันมีให้ดูมากจริง น่าดู แล้วชวนให้ดู แล้วพอใจไปทุกอย่าง แล้วมันก็อิ่มชนิดหนึ่งเหมือนกันนี่อยากจะพูด หรืออยากจะแนะหรือยืนยัน มันก็อิ่มชนิดหนึ่งเหมือนกัน เดินดู ไอ้เล่นอยู่สนามหญ้า ตอนเช้าๆ มันก็อิ่มประหลาดชนิดหนึ่งเหมือนกัน ถ้าเราได้ความอิ่มชนิดนี้แล้วเรายังต้องทำอะไรอีกทำไม แล้วมันก็เป็นความอิ่มชนิดหนึ่งซึ่งน่าพอใจอยู่เหมือนกัน จะต้องทำอะไรให้มันยุ่ง ให้มันยาก ให้มันลำบากไปทำไม มันก็หาได้ง่ายๆ เหมือนกัน ดังนั้น ผมจึงอยากจะแนะว่าควรจะสนใจกันบ้าง พระ เณร นี้ ควรจะสนใจลงไปถึงไอ้ธรรมชาติแท้ๆ ก้อนหิน ก้อนดิน ก้อนกรวด ใบหญ้า มด แมลง ดอกไม้ อะไรก็ตาม ลองลดลงไปสนใจกับมันบ้าง มันมีให้สนใจและมันมีให้อิ่ม ให้ไม่ต้องลำบากมาก ไม่ต้องไปหาอะไรลำบากมากมันก็อิ่มและพอใจได้เหมือนกัน พวกที่เขาเป็น นักธรรมชาติ นักเลงธรรมชาติ สนุก สบายพอใจอยู่กับธรรมชาติเหล่านี้ก็อย่าไปว่าเขา มันทำให้เขาอิ่มหรือว่าสบายโดยลงทุนน้อยที่สุด ไปที่ไหนก็มี ไอ้ทะเยอทะยานเพื่อกินดีอยู่ดี มีเกียรติ ให้ใครยอมแพ้ ให้ใครเทิดทูนบูชา นั้นมันบ้า นั้นมันเรื่องทำให้หิวไม่มีที่สิ้นสุด เช้าๆ เดินไปบิณฑบาต เดินชมก้อนดิน ก้อนหิน ก้อนกรวด ใบหญ้า น้ำค้าง มด แมลง ปู ปลา ไปเรื่อย ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเป็นมิตร เป็นเกลอกับไอ้พวกเหล่านี้ มันจะเต็มแต่ความสบายตา สบายใจ ความอิ่มไปหมดทุกหัวระแหง ไม่ว่าจะไปทางไหนก็ไม่มีความขาดแคลน คือมันมีสิ่งที่ช่วยทำให้จิตใจของเราอิ่มหรือสบายได้ทั่วไปหมด คือ พอใจก็แล้วกัน ในแง่ใดแง่หนึ่งก็พอใจ ไม่ต้องก้อนกรวดสวยๆ ก้อนกรวดธรรมดา ดินธรรมดา ไอ้ใบไม้ธรรมดา ของธรรมดาที่มีๆ อยู่นี่ ถ้าสนใจให้ถูกวิธีแล้วสนุกทั้งนั้น เพราะดูมันแปลกประหลาดกันไปทุกวันๆ ก็สังเกตดูไม่มีใครไปมองมันเลย ไม่มีใครมองมันเลย ถึงคนที่ปลูกดอกไม้สวยๆ นี่ ก็เอาไว้อวดคน ตัวเองไม่ได้มองไม่ได้สนใจที่ทำความอิ่มใจอะไรเลย ปลูกดอกไม้สวยๆ เอาไว้อวดคน สร้างความหิวไอ้การที่ตัวจะมีไอ้ของดีของเด่นอะไร มันก็หิวเรื่อยเหมือนกัน ดังนั้น จะปลูกดอกไม้อีกกี่แปลง กี่ร้อยต้น พันต้นมันก็หิวเรื่อย แต่ถ้าปลูกแล้วดู แล้วศึกษา พอใจกระทั่งใบ กระทั่งราก กระทั่งมันไม่มีดอกก็ยังเป็นที่พอใจ อย่างนี้ช่วยไปในทางอิ่มได้จากธรรมชาติ เป็นเกลอกับธรรมชาติได้รับความสบายใจจากธรรมชาติ ถ้าเราไปใช้มันสำหรับให้ ให้เราเป็นทาสปลูกมัน เป็นทาสกิเลสตัณหาอีกทีหนึ่งว่าเรามีของดีของสวยสำหรับอวดนี่ก็ ก็แย่เลย ยิ่งทำยิ่งแย่ ยิ่งทำยิ่งแย่ มันควรจะทำไปทางที่ให้หยุดและพอใจ และมีอะไรเป็นที่พอใจง่ายๆ ไม่ต้องวิ่งไปดูที่ไหนให้เสียเงิน ให้ลำบาก สิ่งที่จะเดินดู นั่งดู มีเต็มไปหมดในป่านี้ แล้วก็มีความเพลิดเพลินไปได้จนตลอดชีวิต อย่างนี้มันก็ดี คือ ไม่ลำบาก ไม่เสียเงินไม่ลำบาก ไม่ยุ่งยาก มันเป็นสิ่งที่ทำได้ มันมีแต่ว่าต้องการหรือไม่ต้องการเท่านั้นเอง ถ้าไม่ต้องการมันก็บอกไม่ถูก หรือพูดกันไม่ถูก ดังนั้น จึงว่าเราอาจจะอิ่มได้แม้ด้วยการดูการศึกษา การเป็นเกลอกับธรรมชาตินี่ทำให้อิ่มได้เหมือนกันยิ่งฉลาดมากขึ้นไปอีก คือลงทุนน้อยที่สุด แล้วอิ่มได้มากที่สุด ดีกว่าไปเรียนบาลีจนเป็นวัณโรคตาย เรียนภาษาอังกฤษจนเป็นโรคเส้นประสาทไม่หายอย่างนี้ มันดีกว่ากันมาก เรียนธรรมะที่ทำให้รู้จักอิ่ม นี้พอเรียนธรรมะรู้จักวิธีที่ทำให้อิ่มแล้ว ทีนี้ไปเรียนบาลี ก็ไม่เป็นวัณโรคตาย ไปเรียนภาษาอังกฤษก็ไม่ต้องเป็นโรคเส้นประสาท เพราะความอิ่มทางวิญญาณนี้เป็นไอ้เชื้อป้องกันโรค เป็นอำนาจต้านทานโรค รีบขวนขวาย รีบเอาใจใส่ รีบขวนขวายเรื่องความอิ่มทางวิญญาณเสียก่อน แล้วค่อยๆ ขวนขวายไอ้เรื่องนั้นเรื่องนี้ซึ่งหรูหรา ทำตามโลกนิยม แล้วก็จะไม่เป็นไร กิเลสก็ไม่ อ้า, รบกวน ไม่เป็นอันตราย ร่างกายก็ไม่เป็นอันตราย เมื่อจิตใจมันปกติหรือมันอิ่มนี้เรียนอะไรได้เร็วนะ ผมบอกและยืนยัน จิตใจในสภาพที่ปกติที่เรียกว่าอิ่มนี่เรียนอะไรก็เรียนเร็ว คนอื่นเรียนจนตายก็ไม่รู้ เราเรียนปีเดียวก็รู้ เราเรียนครึ่งปีก็รู้ ไอ้คนที่มีจิตใจหิวไม่รู้จักอิ่มเรียนจนตายก็ไม่รู้ เพราะจิตมันไม่เป็นจิต ไม่ๆ ไม่เป็นจิตที่ประกอบด้วยคุณสมบัติของจิต มันเป็นจิตที่หิวเรื่อยจนไม่ใช่จิต ดังนั้น อย่าทำอะไร อย่าเรียนอะไรด้วยความหิวทางวิญญาณ ให้ทำด้วยความอิ่มทางวิญญาณเรื่อย ถ้าเรื่องหิวก็ให้มันมีแต่หิวข้าว หิวก็กิน กินก็หาย แล้วก็ประคับประคองจิตใจ ให้มีความอิ่มทางวิญญาณอยู่เสมอ นี้สบายไปหมด ทำประโยชน์ตนก็สบาย ทำประโยชน์ผู้อื่นก็สบาย ไม่ทำอะไร ก็สบาย เป็นเรื่องสบายไปหมด และนี่ก็คือพุทธศาสนา เรียกได้ว่าไม่มากมายแต่มัน มันยิ่งกว่ามาก มันไม่มีอะไรมากมายแต่มันใหญ่โต ใหญ่โตมาก หรือมันลึกซึ้งมากในคำคำเดียว จะไปเผยแผ่พุทธศาสนาทั่วโลกกันก็ไปพูดเรื่องอิ่มกันดีกว่า เขาจะสนใจ แล้วก็บอกเรื่องอิ่มนี้ให้สมบูรณ์ ให้ถูกต้อง ให้เข้าใจให้ดี พุทธศาสนาจะช่วยให้เกิดความอิ่มที่แท้จริง แล้วมนุษย์ก็ไม่ต้องรบกันเหมือนที่รบอยู่เดี๋ยวนี้ เพราะความหิวทางวิญญาณ อยากดีอยากเด่น แล้วกลัวจะไม่ได้ดี ไม่ได้เด่นก็คิดทำลายผู้อื่น ป้องกันไว้ก่อน ก็ได้รบกันไปเรื่อย นี้ไม่รู้จะโทษใครเมื่อเป็นเสียกันอย่างนี้ทั้งโลก ก็ไม่รู้จะโทษใคร ไม่มีฝ่ายไหนถูก ฝ่ายไหนผิดหรอก มันเป็นหิวแล้วรบกันทั้ง ๒ ฝ่าย ก็ต้องโทษว่ากรรมของโลกนี่เอง บาปกรรมของโลกนี่เอง ที่มนุษย์เดินทางผิด มนุษย์ในโลกส่วนใหญ่เดินทางผิดก็ได้รบกันเรื่อย จนกว่าจะเอือมจะคิด กันใหม่ แล้วเดินทางถูกแล้วก็หยุดรบกันที พอนานเข้า นานเข้าเผลออีก เผลอๆ เผลอที่ละน้อย เผลอที่ละน้อย เผลอที่ละน้อย จนเดินผิดทางอีกก็เลยรบกันอีก ดังนั้น ดูจะเป็นปกติธรรมดาของมนุษย์อย่างนี้ ทีนี้ใครมีโชคดี ก็ใน ในเมื่อเขาเดินผิดทาง เราก็เดินให้ถูกทางเหมือนกัน เมื่อคนส่วนมากเขาเดินผิดทาง เราก็เดินให้ถูกทาง เราก็เป็นคนมีโชคดี ไม่มีใครมาทำอะไรเราได้ จะมาฆ่าเราให้ตายก็ยังไม่ทำให้เราเป็นทุกข์ได้ ดังนั้น ออกพรรษาแล้วก็ขอให้ออกพรรษาด้วยการที่มีอะไรดีขึ้น สูงขึ้น เต็มขึ้น มากขึ้น หรือเรียกว่าอิ่มขึ้นก็แล้วกัน คุณน้าเกษมเข้าใจ ที่ผมพูดนะเข้าใจหรือไม่ แต่ค้านก็ค้านสิ อยากจะค้านก็ค้านสิ ช่วยเอาไปเผยแผ่ที่อินเดีย เอาเรื่องอิ่มนี่ไปเผยแผ่ที่อินเดีย ทำให้ชาวอินเดียอิ่มเหมือนอย่างครั้งพระพุทธเจ้า ถึงไม่ได้กินข้าวเพราะอินเดียไม่มีข้าวจะกิน ก็ยังอิ่ม วินาทีสุดท้าย ตายก็อิ่ม เอาเถิดโกงก็โกงไปกิน ช่างมันเถิดก็ไม่ไปไหน แต่หิวทางวิญญาณนี่ต้องจัดการเป็นพิเศษ ตะโกนบอกพุทธศาสนามีแต่เรื่องอิ่มคำเดียวโว้ย สนใจไม่สนใจก็ตามใจ สนใจก็มาคุยกัน วิปัสสนาที่แท้จริงก็คือ ทำให้อิ่ม ถ้ายังทำให้อิ่มไม่ได้ก็ไม่ใช่วิปัสสนาที่แท้จริง นี่ฟังดูมันชักจะพูดทะลึ่ง ทะลึ่งมากขึ้นจนเขาด่ามากขึ้นเพราะว่าขืนพูดตามแบบฉบับอยู่มัน มันมากมายนัก มันอ้อมค้อม มันเยิ่นเย้อ มันตั้ง ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์ มันมากนัก พูดว่าไม่มีศาสนา พูดว่าไม่ต้องทำอะไรนี่ ก็ ก็อย่างเดียวกันนะ คือถูกด่า ทีนี้พูดให้เขาสนใจหน่อย พูดว่าไม่มีอะไรนอกจากอิ่ม ทำให้อิ่มให้เกิดความอิ่มทางวิญญาณขึ้นมา เป็นมหรสพทางวิญญาณอยู่ในความอิ่ม ใครรู้จักธรรมชาติคนนั้นก็อิ่ม พยายามทำวัดทั้งวัดนี่ให้เป็นเครื่องสอน อ้า, สอน สอนทำให้อิ่มหรือเป็นมหรสพทางวิญญาณ เอาละ พอกันทีสำหรับวันออกพรรษานี้ ได้เตือนว่าให้มันอิ่มกันบ้าง อ้าว, ไม่เป็นไรพรุ่งนี้เตรียมบาตรไว้ก็แล้วกัน ท่านน้าเกษมเคยไหม ไม่เคยเห็นหรือ พรุ่งนี้เตรียมบาตรไว้ เอากี่บาตรก็ได้ ท้องจะใส่ได้กี่บาตรก็เอาเถิด มีข้าว มี ข้าวต้ม บุญก็แปลว่าอิ่มได้ บุญนี่แปลว่าอิ่มได้เหมือนกัน แต่เขาไม่แปลว่าล้างบาป แปลว่าระงับหิว ก็คือ อิ่มก็ได้ ไอ้ธาตุตัวนี้ มันไอ้ปุญณ ปุญญ นี้ ธาตุเดียวก็มี มันเต็ม แปลว่าเต็ม ปุญณ หรือ ปุญญ ได้บุญก็ต้องอิ่ม แต่ต้องเป็นอิ่มทางวิญญาณ ไม่ใช่อิ่มทางปากทางท้อง