แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
คนที่สนใจกว่าก็จะเห็นๆ เห็นได้ พวกอังกฤษนั้น ตามที่เคยฟังมานานแล้ว มีทิฏฐิ มีทิฏฐิมาก ในการที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรนี่ มีทิฏฐิ แล้วพวกที่ชั้น ชั้นกรรมกร ชั้นอะไรนี้ก็ไม่สนใจอย่างยิ่งเลย ไอ้พวกที่เป็นนักศึกษาก็มีทิฏฐิมาก ในทางที่ถือว่าฝรั่งมีวัฒนธรรมสูงเกินกว่าที่จะรับไอ้ลัทธิอย่างนี้หรือพุทธศาสนาในรูปนี้ ทีนี้พวกแผ่นดินใหญ่นั้นเขามันมีมากแล้วหัวเก่ากว่า ถ้าพูดง่ายๆ ก็หัวเก่ากว่า โดยเฉพาะพวกเยอรมันก็มีหัวเก่าๆ กลางๆ ไม่ถือทิฏฐิว่าเราเป็นนักปราชญ์มากเหมือนพวกอังกฤษแล้วก็สนใจ ของแปลกของใหม่ แต่ นาย (เสียงไม่ชัดไม่ได้ถอดเสียง นาทีที่ 2:18) แกก็เคยพูดว่ายังอีกนานกว่าที่ ชาวอังกฤษจะปรับปรุงตัวเองให้เหมาะสำหรับรับพุทธศาสนาได้นี่อีกนาน และโดยเฉพาะพุทธศาสนาอย่างที่มันเป็นพิธีรีตองมาก รวมทั้งที่ว่าจะต้องบวช จะต้องถือศีลพิเศษ อันนี้ยิ่งใช้กันไม่ได้กับพวกอังกฤษ ที่จะไปแนะนำเรื่องอุโบสถศีลเรื่องอะไรต่างๆ มันไปกันไม่ได้แล้วมันก็เหมือนๆ ประเทศไทยนี่ ในประเทศไทยเรานี่ ผู้ที่จะสนใจศึกษาหรือปฏิบัติพุทธศาสนาที่เป็นเนื้อหาจริงๆ นั่นนะ ไม่มีเป็นกลุ่มเป็นก้อน มีเที่ยวกระจัดกระจายอยู่ทั่วๆ ประเทศ คล้ายๆ กับว่าซ่อนอยู่อย่างนั้นแห่งละคนสองคน รวมกันแล้วก็ไม่กี่คน ที่เป็นกลุ่มเป็นก้อน เป็นชิ้น เป็นจำนวนมากนี้คงยังอีกนาน เป็นไปได้ยาก เป็นเรื่อง อ้า, พิธี เรื่องธรรมเนียมอะไรพวกนี้
อย่างพวกพุทธสมาคมนี้อาตมาเคยต่อว่าคุณสัญญาบ่อย เห็นเรื่องทอดกฐิน เห็นเรื่องอะไรอย่างนี้ยิ่งกว่าเรื่องการศึกษา ถ้ารองลงมาก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับรัฐบาลเกี่ยวกับเอาหน้าเอาตาทางการเมืองทางอะไรอย่างนี้ แล้วเราก็ไม่เกรงใจ พูดๆ อย่างกับเพื่อนอย่างกันเองก็ดูแต่ไปคิดกันขึ้นเผื่อจะดีขึ้นคงจะดีขึ้นเท่าที่นั่นกว่า พุทธสมาคมก็ไม่มี พุทธสมาคมก็ยังต้วมเตี้ยมในเรื่องนี้ แต่นี้ก็เป็นเรื่องธุรการมาก เรื่องวิชาตัวพุทธศาสนาแท้ๆ ก็ยังไม่รู้หรือยังไม่ลงรอยกันว่าจะเอาอย่างไรเลยๆ ดำเนินงานก็ไม่ถูก สนับสนุนส่งเสริมก็ไม่ถูก ปล่อยเป็นตลาด เอ่อ, อิสระ ใครจะมาว่าอย่างไรก็ได้ ที่ต่างประเทศก็เหมือนกันที่เจริญ ที่เรียกที่เขาเรียกกันว่าเจริญ มีมาก มีสถิติมาก พวกมหายาน ตามธรรมเนียม ตามพิธีรีตอง แบบไหว้ แบบสวดมนต์ แบบ อย่างนี้ คือว่าในประเทศอเมริกาเขามีกันแล้วเป็นแสนแสนพุทธบริษัทก็แบบนี่ แบบจีน, แบบญี่ปุ่น, แบบศาลเจ้า เขาเอาพระพุทธรูปไปห่มผ้า ไปเปลี่ยนตามฤดูกาล ไปจุดตะเกียงตลอด ๒๔ ชั่วโมงอะไรอย่างนี้ ยังๆ ไปไม่รอด ไอ้เรื่องความรู้แท้ๆ เรื่องปฏิบัติทางจิตใจแท้ๆ ในประเทศอังกฤษ, สังเกตดูก็มีจำนวนหนึ่งเหมือนกันที่เขาสนใจ ทีนี้พวกเรานะให้ไม่ได้ พวกเถรวาทนี่ให้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงไปสนใจไอ้พวก เอ่อ, เซนอย่างญี่ปุ่นเสียมาก มันก็เรื่องเดียวกันนั่นแหละ เรื่องว่าด้วยสุญญตาแต่เขามันพูดสนุกกว่า เป็นที่สนใจกว่า ไอ้พวกฝรั่งเลยสนใจ เอ่อ, พวกญี่ปุ่น พุทธศาสนาอย่างญี่ปุ่นอย่างเซนมากกว่าที่จะสนใจเถรวาทเรา ซึ่งมีเรื่องอย่างเดียวกันที่จะให้ตามแบบฉบับของเถรวาท แต่เนื่องจากในเมืองไทยนี้ไม่สนใจ, ไม่เข้าใจ, ไม่รื้อฟื้น, ไม่สนใจ ก็เลยไม่มีอะไรจะให้ ก็ยังเหลือแต่ระเบียบพิธีรีตองอีกเหมือนกัน นี่มันดูๆ คล้ายกับว่ามันไขว้กันอยู่อย่างนี้ มันไขว้กันอยู่ไม่เจอกันได้สักที ดังนั้นก็ต้องอีกนาน ไอ้วิธีอย่างของพวกเซนของญี่ปุ่นของจีนนั้นมันๆ น่าสนุก แล้วสนุกจริงๆ สำหรับคนมีปัญญาทั้งยังเป็นโอกาสสำหรับจะขยายไปในทางศิลปะ, ทางวัฒนธรรมอะไรอย่างนี้ได้ง่ายกว่า นี่ตลอดเวลาที่คนยังไม่เข้าใจเรื่องหัวใจพุทธศาสนาคือเรื่องทำลายความรู้สึกว่า ตัวกู-ของกู นี้ก็ๆ เรียกว่ายังไม่รู้พุทธศาสนากันในโลกนี้ การเผยแผ่พุทธศาสนายังไม่ถึงขีดที่จะเรียกว่าเป็นพุทธศาสนาคือมันเป็นเหมือนๆ กันระดับเดียวกันกับศาสนาอื่นเสีย แต่มันก็มีหวัง, มีลู่ทาง, มีหวังที่จะดีขึ้นเรื่อยๆ ช้าๆ เร็วไปได้ แล้วมนุษย์ เอ่อ, สรุปความแล้วมนุษย์ยังไม่รู้ว่าเรามีชั้น มีชั้นดีกว่านะ มีระดับหรือมีชั้นอย่างไร? รวมแล้วก็ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไมนะ คุณเพียรเคยอ่านหนังสือไอ้มนูธรรมศาสตร์โดยตรงหรือไม่ ตัวไอ้ตัวมนู ไม่ๆ เคย ทั้งๆ ที่เป็นนักกฎหมาย เขาๆ มีเรื่องพูดถึงมนูธรรมศาสตร์ใช่หรือไม่ ไปหาอ่านดูบ้างนี้มันก็แพร่หลายเต็มที่ มันประหลาดอยู่เหมือนกันที่ว่าไอ้มนูธรรมศาสตร์นี่มันตั้งขึ้น มันๆ โดยใครหรือว่าใครก็ไม่ทราบ เราสมมติว่าพระมนู-ฤาษีองค์หนึ่งเอาเถิดใครก็ตามใจ จะเป็นใครก็ตามใจ เราเอาแต่ว่าไอ้ตัวมนูธรรมศาสตร์นั่นนะมันมีอะไรบ้าง มันเรียกได้ว่าเป็นของเก่าแก่ที่สุดในอินเดียแล้วก็เป็นนักปราชญ์เป็นผู้มีปัญญาที่สุด ไม่เฉพาะในแง่กฎหมาย มันในแง่ที่เกี่ยวกับมนุษย์ทั้งหมดมากกว่า ไอ้กฎหมายนี่เป็นส่วนหนึ่งที่มนุษย์จะต้องรู้ จะต้องมี จะต้องทำให้มันเป็นเรื่องเป็นราว มนูธรรมศาสตร์ก็มีพูดถึงไอ้ระดับชีวิตนั่นนะ ๔ ขั้นที่น่าสนใจมากให้มนุษย์รู้จักชั้นหรือลำดับของตัวเอง ให้ถูกต้องแล้วดำเนินไปให้สมบูรณ์
เมื่อเป็นเด็กๆ รุ่นหนุ่มรุ่นสาวอันนี้จนกระทั่งถึงรุ่นหนุ่มรุ่นสาว เขาเรียกว่า ระดับพรหมจารี พรหมจารีนี่ประพฤติอย่างพรหม นี่คือประพฤติระเบียบวินัยเคร่งครัดมากเกี่ยวกับการศึกษาการเล่าเรียน การเป็น การอยู่ ศึกษากันเต็มที่, ปฏิบัติกันเต็มที่เรียกว่าพรหมจารีนะขั้น ๑
ทีนี้พอถึงขั้นที่ ๒ เรียกว่า คฤหัสถ์ ก็ให้บริโภคผลของการงาน ระบุคำว่ากามลงไปเลย ให้บริโภคกาม ให้แสวงหา ให้ เอ่อ, กระทั่งทำหน้าที่เป็นบิดามารดา เป็นผู้รู้รส หรือว่าชิมหมดในความเป็นๆ คฤหัสถ์นะ นับตั้งแต่การบริโภคกามและการเป็นบิดามารดาที่ดี มันเป็นการศึกษา อ้า, ที่ผิดจากไอ้ระดับพรหมจารีมาก เขาให้ถือว่าเป็นการศึกษาเหมือนกัน การที่เราประกอบอาชีพ ได้ทรัพย์ ได้อำนาจมาบริโภคกาม มีลูกมีหลาน มีอะไรอย่างนี้ การศึกษาระดับหนึ่ง อ้า, ชั้นหนึ่ง
ทีนี้อายุก็เข้าไปขนาด อ้า, ๔๐ ๕๐ อย่างนี้ เอ่อ, ๕๐ ๖๐ อะไรอย่างนี้ ก็เลื่อนชั้นเป็นชั้น วานปรัสถ์ ปรัสถะ วานปรัสถะ ตัวนี้ตามตัวหนังสือแปลว่าอยู่ป่า เราก็เคยเข้าใจผิดว่าต้องออกไปอยู่ป่า เอ่อ, ไปดูไอ้ตัวธรรมศาสตร์ มนูธรรมศาสตร์มีคำอธิบาย ไม่ๆ หมายเฉพาะอยู่ป่า จะอยู่ป่าก็ได้ จะออกไปอยู่ป่าก็ได้ คงอยู่ในบ้านเรือนนี้ก็ได้วานปรัสถ์นี่แต่ว่าเก็บตัว เลยกลายเป็นคนเก็บตัวคือไอ้ๆๆ เรื่องเงิน เรื่องทอง เรื่องลูกเรื่องเมียนั้นสลัดไปเลยเหมือนกับที่คนแก่ๆ สลัดเรื่องนี้ไปเล่นกล้วยไม้ เล่นอะไรอย่างนี้ อย่างคุณเพียรเข้าใจดี เล่นไอ้ของเล่น ไปเล่นกล้วยไม้ แต่นี่เขาไม่ใช่อย่างนั้น แต่ให้สลัดไอ้สิ่งเหล่านั้นเก็บตัวอยู่ในลักษณะที่ศึกษาชีวิตด้านใน กลายเป็นนักศึกษาสูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง นี่คือศึกษา อ้า, คนเดียว มันเหมือนกับอยู่ป่า ตัดๆ ความสัมพันธ์ ตัดอะไรมากที่สุดสลัดได้แล้วมองดูชีวิตภายใน เงินคืออะไร? ลูกเมียคืออะไร? เกียรติยศชื่อเสียงคืออะไร? เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ คืออะไร? สังคมคืออะไร? เก็บตัว อ้า, อุดหูอุดตาเรื่องอื่น ศึกษาแต่เรื่องนี้, มันเป็นภายในมากที่สุดก็เรียกวานปรัสถ์
ถ้าอยู่ไปได้อีกและผ่านขั้นนี้ไปได้ก็ถึงขั้นสุดท้ายเรียกว่า สันยาส หรือสันยาสี สันยาสนี่คือจะแจกจ่ายไอ้ความรู้ที่ค้นได้อย่างลึกซึ้งนั่นนะเป็นผู้นำทางวิญญาณไปเลยระยะสันยาสนี่ ดังนั้นเป็นคนแก่อายุ ๘๐, ๙๐ อะไรก็ตามใจ นั่งทำตัวเป็นแสงสว่างแก่ อ้า, คนทุกคน, ทุกชนิด, ทุกประเภท, ทุกระดับ
นี่ฟังดูให้ดี, เป็นพรหมจารี เป็นเด็ก เป็นหนุ่ม เป็นสาวก็ต้องทำเคร่งครัดที่สุดอย่างวิธีการศึกษาของเด็ก ของหนุ่มสาว ตลอดถึงไอ้ศีลและวัตรต่างๆ ด้วยนะ ถือศีลถือวัตรกันอย่างเคร่งครัด เรื่องเกี่ยวกับเพศ เกี่ยวกับอะไรอย่างนี้เคร่งครัดมากไม่ปล่อยเลย พอถึงอันดับที่ ๒ เป็นคฤหัสถ์นี่ถึงจะปล่อย ; เรื่องระหว่างเพศ, เรื่องการงาน, เรื่องอาชีพ, เรื่องเป็นบิดามารดาขึ้นมาเลย คำว่าคฤหัสถ์ก็แปลว่าผู้อยู่เรือน ทีนี้ขั้นที่ ๓ อายุนี้ไม่แน่ จะเป็น ๖๐ ๗๐ อะไรก็สุดแท้เถิด ไอ้เรื่องนั้นมันจืดเองแล้วละมันจืดไปเองด้วย มันจึงจะเป็นผู้อยู่ป่าเป็นวานปรัสถ์ ถ้าพอใจออกไปอยู่หิมาลัยเป็นฤาษีชีไพรไปเลยก็ได้ ถ้าไม่ประสงค์อย่างนั้นจะอยู่ที่บ้านก็ได้ แต่มันเปลี่ยน เปลี่ยนชีวิต เช่นไปอยู่ตามกอไผ่ มุมบ้าน ปลูกกะต๊อบอยู่อย่างนี้ลูกหลานไม่เกี่ยวแล้วตอนนี้เป็นวานปรัสถ์ จิตใจหวนระลึกไปแต่ภายในแต่เรื่องหนหลังจนแตกฉานในสิ่งที่เรียกว่าชีวิต ถ้าไปอยู่ป่าอยู่ดงก็ไปเลยมันก็ไปทำอย่างเดียวกัน ทีนี้ไอ้ขั้นสันยาสนี้มันๆ สังคมอีกครั้งหนึ่ง มาในฐานะผู้ส่อง ส่องตะเกียง อ้า, ให้แสงสว่างทางชีวิตแก่ผู้อื่นแล้วแต่ใครจะไปติดต่อเด็กเล็กๆ ก็ได้ ไปถามเรื่องอะไรจะได้รับคำตอบที่มีประโยชน์ที่สุด คนหนุ่มคนสาวจะไปถามอะไร-ก็ได้รับคำตอบที่มีประโยชน์ที่สุด หรือคนแก่คนเฒ่าด้วยกันจะไปปรึกษาหารืออะไรกันก็มันเป็นเรื่องสว่างไสวที่สุด เรียกได้เป็นผู้นำทางวิญญาณได้แล้ว ถ้าเข้าไปอยู่ป่า เป็นฤาษี มุนี ทีนี้ตอนนี้ต้องกลับมาแล้ว ต้องกลับมาอยู่ตามหมู่บ้าน เที่ยวไปตามหมู่บ้าน ตามตำบล ตามที่จะให้ประชาชนติดต่อด้วยได้แต่ไม่ได้เอาอะไร ไม่มีอะไร, นอกจากให้คำตอบที่ดีแก่ปัญหาทุกอย่างเท่านั้น
นี่ถ้าว่ามนุษย์คนหนึ่งเกิดมาไม่ครบ ๔ อย่างนี้ก็เรียกว่าไม่ใช่มนุษย์ที่สมบูรณ์ อ้า, ไม่ใช่มนุษย์ที่สมบูรณ์แบบของมนุษย์ ทีนี้คุณเพียรสังเกตดูมนุษย์เดี๋ยวนี้มันๆ เป็นอย่างไรกัน? มนุษย์ที่ๆ นิยมกันว่าเจริญแล้วพวกฝรั่งนี่มันๆ ไม่มีๆๆ ไม่มีทางที่จะปรับกันได้กับระดับทั้ง ๔ นี้เลย มันบ้ากิน บ้ากาม บ้าเกียรติ จนแก่เฒ่าเข้าโลงไป แล้วมัน...เมื่อมันเป็นเด็กๆ มันก็ไม่อยู่ในระเบียบวินัยที่ดี เพราะเขาเปิดประชาธิปไตยมาตั้งแต่แรกเรื่องระหว่างเพศเดี๋ยวนี้ไม่มีศีลธรรม ไม่มีระเบียบ ที่อะไรที่จะต้องเคร่งครัดถือเป็นเรื่องธรรมดา เปิดให้เด็กๆ ฟรีเต็มที่ ทีนี้เป็นพ่อบ้านแม่เรือนแล้วมันก็ยังคิดแต่จะสนุกสนานเอร็ดอร่อยฟุ้งซ่านเหมือนกับเด็กๆ ก็ยังมัวเมาอย่างนี้จนถึงขั้นที่เขาจะเป็นวานปรัสถ์กันก็ไม่ได้เป็น ไอ้ที่จะเป็นสันยาสีเที่ยวส่องตะเกียงให้ผู้อื่นนั้นเหลวหมดเลย นี่มนุษย์เลวลงอย่างน่าใจหายถึงขนาดนี้ ทั้งมนุษย์ๆ ในโลกสมัยนี้มันปรับกันไม่ได้กับ ไอ้ๆๆ ชีวิต ๔ ขั้นของมนูธรรมศาสตร์ ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่มนุษย์สมัยนี้มันเข้าใจพุทธศาสนาไม่ได้ เข้าใจไอ้ธรรมะฮินดู ธรรมอันสูงสุดอะไรไม่ได้ มันไม่แปลก ถ้าเป็นอย่างครั้งพุทธกาล มันอยู่ในระดับ เอ่อ,ระบอบนี้กันทั้งหมด มันง่ายที่คนจะเป็นพระอรหันต์หรือเป็นอะไร มันๆ ง่ายมาก พอมาถึงสมัยนี้มันยากที่คนจะเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาได้ ชีวิตมันเปลี่ยนเป็นๆ สัตว์ที่ตะกละจนตลอดชีวิตไป ไม่มีพรหมจารี, ไม่มีคฤหัสถ์, ไม่มีวานปรัสถ์, ไม่มีสันยาส ไม่เหมือนระบอบชีวิตอย่างครั้งพุทธกาลซึ่งเหลืออยู่มาแต่เดิม ก่อนโน้นมันก็มีหลักอย่างนั้นกันแล้วคือว่าตั้งแต่มีมนูธรรมศาสตร์แล้ว จะกี่ปีกี่พันปีก็ตามใจถ้าถือตามมนูธรรมศาสตร์มันต้องมีชีวิตอย่างนี้ เพราะฉะนั้นพวกผู้พิพากษาตุลาการนี้มันต้องเป็นพวก เอ่อ, ผ่านวานปรัสถ์มาแล้วนะคิดดูเถิด แล้วเดี๋ยวนี้เราเอาเด็กๆ มาเป็นตุลาการนี่ดูมันจะ...มันจะฉลาดหรือสูง หรือจะลึกซึ้ง หรือจะเห็นแก่ผู้อื่นได้อย่างไร ไอ้เด็กๆ ที่ยังเห็นแก่เกียรติ แก่กาม แก่กิน แก่อะไรอย่างนี้ มันๆ ไปไม่รอด มนุษย์ๆ สมัยนี้จึงไปไม่รอด ดังนั้นไม่ใช่ว่าเฉพาะประเทศไทย ว่าทีเดียวทั้งโลกเลยไอ้ระบบชีวิต ๔ นี้มันมีไม่ได้เสียแล้วในฐานะเป็นวัฒนธรรมประจำมนุษย์ มันจะมีได้แต่เฉพาะคนบางคน หมื่นคน แสนคน จะมีสมัครอย่างนี้สักคนหนึ่ง มี, คงมี ไม่ใช่ไม่มี ในโลกเวลานี้แสนคนล้านคนจะมีคนสมัครดำเนินชีวิตในระบบ ๔ ขั้นตามมนูธรรมศาสตร์นี้สักคนหนึ่งต้องมีไอ้มนูธรรมศาสตร์นี้
ก็น่านึกอย่างยิ่งว่ามันทำไมฤาษีองค์นี้จึงคิดอย่างนี้ อาจจะมองเห็นได้ว่ามันๆ ไปตามธรรมชาติที่มนุษย์ควรจะได้ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ต้องเป็นอย่างนี้ มันจะซ้ำอยู่อย่างนี้ตั้งแต่เกิดมาจนตายมันไม่ได้เพราะว่าร่างกายมันก็ไม่ มันก็ไม่ยอม มันสมองก็ไม่ยอม อะไรมันก็ไม่ยอม มนุษย์ต้องเปลี่ยนไปเรื่อย จะซอยให้ถี่กว่านี้ก็ได้แต่นี้เขาไม่ ไม่ให้ถี่กว่านี้ เอา ๔ ขั้นนี้ก็พอ เกิดมาเป็นเด็กๆ อยู่ในกรอบในระเบียบในวินัยในอะไรที่เคร่งครัดทั้งผู้หญิงผู้ชายระยะหนึ่ง ยังไม่เป็นตัวเองยังอยู่ในระเบียบ ทีนี้ขั้นที่ ๒ ปล่อยให้ต่อสู้ อ้าว, ทำไป กินไป บริโภคกามไป ให้มันสอนไปอยู่ในตัวจนมันเรียกว่าอะไรละ ที่เขาเรียกกันว่าอะไร...ดื่มด่ำช่ำชองอะไรก็ตามใจ ไม่รู้คำนี้ว่าอะไรดี จนมาถึงไอ้ขั้นที่เรียกว่าวานปรัสถ์, พอกันทีโว้ย!!! ประโยชน์โลกนี้พอกันทีโว้ย!!! ประโยชน์โลกอื่นที่ลึกกว่าจึงเอาหงอกเส้นแรกเป็นเครื่องวัดอะไรกันนะ คือทำนองนี้มีในบาลีแล้วก็เปลี่ยนชีวิตเลื่อนชั้นเป็นชั้นที่ ๓ ไม่ๆๆ บ้า ไม่มัวเมาอย่างนั้นอีกต่อไป ระยะนี้ก็ยาวคงจะตั้ง ๒๐ ปีเหมือนกันเพราะว่าได้หาเงิน หาทอง หาทรัพย์ หาอะไรไว้เป็นหลักพอเลี้ยงชีวิตแล้ว ลูกหลานก็มีแล้ว เอื้อเฟื้อเคารพบิดามารดาด้วยความกตัญญูกตเวทีเพราะอบรมไว้ดีตั้งแต่เล็ก เพราะฉะนั้นบิดามารดาเป็นพระอยู่ในบ้านก็ได้ เพราะอบรมลูกหลานไว้ดีตั้งแต่เล็ก ทีนี้พอถึงขั้นหนึ่งซึ่งแน่ใจตัวเองก็ออกสั่งสอนหรือว่า จะนั่งอยู่ที่นั่นก็ได้ ทีนี้ก็เปิดๆ รับคำ อ้า, เปิดๆ รับตอบปัญหาเหมือนคุณคึกฤทธิ์ เปิดรับตอบปัญหาแล้วแต่จะถามอย่างไรมาหรือว่าจะเดินไปตามกระบวนต่างๆ ก็ได้ ยอมออกไปจากบ้าน ไปตายเลยอย่างนั้นนะ ทางนี้ไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว นี่ลองคิดดูว่าใครกำลังเป็นอย่างนี้ถือหลักอย่างนี้หรือสมัครจะเป็นอย่างนี้ นี่เรื่องๆ ที่น่าสนใจที่สุดของมนูธรรมศาสตร์เพราะว่าเขาได้วางหลักมนุษย์ไว้อย่างนี้แล้วนี่ เรื่องต่างๆ มันง่ายสิ-ไอ้เรื่องกฎหมาย เรื่องอะไรต่างๆ ไอ้เรื่องธรรมจรรยา สังคมต่างๆ มันง่ายสิ ถ้าคนยอมรับไอ้หลักการใหญ่เป็น ๔ ขั้นอย่างนี้เสียก่อนมันง่าย ทีนี้คนเดี๋ยวนี้ไม่ยอมรับ แม้แต่เด็กๆ ก็อยากจะเป็นอิสระ อยากจะเป็นตัวกู, เป็นประชาธิปไตย, เป็นอะไร
นี่เรื่อง อ้า, มนูธรรมศาสตร์ชีวิต ๔ ขั้น สรุปเสียทีว่าเป็น อ้า, (๑) พรหมจารีเคร่งครัดที่สุด แล้วเป็น(๒) คฤหัสถ์ต่อสู้กับโลกอย่างถึงพริกถึงขิง แล้วก็เป็น (๓) วานปรัสถ์เก็บตัวเงียบมองดูชีวิตในด้านลึก แล้วเป็น (๔) สันยาสตอบปัญหาชีวิตทุกแง่ทุกมุมแก่คนทุกขั้นทุกวัย
ทีนี้มันน่านึกอีกอย่างที่ว่า อ้า, ไอ้ภาพเซน ๑๐ ภาพที่เขียนทางนี้คุณเคยขึ้นไปดูแล้วเหรอ นี่มันๆ เข้ากันได้ดีเลย แต่นี้มันแบ่งเป็น ๑๐ ตั้ง ๑๐ ตอน ไอ้ตอนแรกเกิดมายังไม่รู้อะไรไม่รู้ว่ารอยวัวอยู่ที่ไหนนี่ กระทั่งเห็นรอยวัว กระทั่งตามไปจับวัวได้ กระทั่งฝึกวัว กระทั่งใช้ประโยชน์จากวัวก็ขี่วัวเป่าปี่ ในที่สุดมานั่งแหงนดูพระจันทร์อยู่นั่นแล้วก็ว่างเสียทีหนึ่ง ภาพที่ ๘ ว่างเลยไม่มีอะไร ไม่มีความหมายนั้น นั่นนะที่สุดของๆ วานปรัสถ์ ทีนี้ภาพที่ ๙ ที่ ๑๐ ก็เกิดใหม่ผลิดอกออกมาใหม่ เที่ยวส่องตะเกียง เที่ยวแจกของ ภาพสุดท้ายเหมือนกันเลย ความหมายเหมือนกันแท้กับไอ้ชีวิต ๔ ชั้นของมนูธรรมศาสตร์ ทีนี้มาถึง พวกพุทธเราบ้างเคยฟังเรื่องภูมิ ๔ หรือไม่
ภูมิ ๔ (๑) กามาวจรภูมิ (๒) รูปาวจรภูมิ (๓) อรูปาวจรภูมิ (๔) โลกุตตรภูมิ ๔ นั่นนะแล้วเคยนึกอย่างไร พวกอภิธรรมมันโง่ มันเอาไปทำเป็นเรื่องลึกลับเข้าใจไม่ได้เสีย ที่จริงเรื่องนี้ไม่ใช่พุทธภาษิตหรอก แต่มันดีที่สุดที่จะมาปรับเป็นมนูธรรมศาสตร์หรือว่าชีวิตแบบเซนสิบๆ ขั้นนี้
กันในๆๆ เรื่องของกาม เพราะเรารวบหมดในเรื่องพรหมจารีหรือคฤหัสถ์นี่เอามาไว้ตอนนี้หมด ให้ศึกษาให้เล่าเรียนยอมให้เกี่ยวข้องกันไปในทางกาม ให้มีกามเป็นสรณะนั้นก็ได้ แต่ขอให้มันทำให้ถึงที่สุดเถิด เด็กๆ ก็ให้ประพฤติให้ถูกต้องในเรื่องกาม ให้ประพฤติปฏิบัติไปในทางที่จะได้ผลเป็นกามารมณ์ที่ตนปรารถนา ที่เรียกว่าสวรรค์หรือเรียกอะไรก็สุดแท้ แต่ไม่ได้หมายความว่าให้สำมะเลเทเมา ให้หยาบโลน ลามกอนาจารอย่างตันตริ อย่างอะไรนั้น มันไม่ใช่อย่างนั้น ต้องประพฤติดี ต้องมีศีล ต้อง เอ่อ, ขยัน ต้องมีธรรมะมากมายหลายๆๆ ข้อ หลายสิบข้อเราจึงจะประสบความสำเร็จในการมีเงินในการมีกามคุณที่ต้องการ มีครอบครัว มีลูก มีหลานที่ดี นี่กามาวจรภูมิมันสิ้นสุดลงภูมิหนึ่ง
ทีนี้อายุมันก็ปาเข้าไปตั้ง ๔๐-๕๐ แล้ว ๕๐-๖๐ อะไรก็ตามใจ มันจะเลื่อนขึ้นชั้น (๒) รูปาวจรภูมิ คือเรื่องกามนั้นจืดไป เอาเรื่องวัตถุบริสุทธิ์เข้ามาแทน ธรรมชาติมันก็บังคับอย่างนั้นก็อายุเข้ามาขนาดนี้แล้ว ดังนั้นคนโดยมากจึงมาเล่นต้นไม้ เล่นอะไร อย่างคุณเพียรนี่มันๆ เข้าขั้นรูปาวจรภูมิ แต่เขาไม่ได้หมายว่าไปเล่นอย่างนั้นอย่างเดียว เขาหมายถึงว่าให้ศึกษาชีวิตในด้านรูปวัตถุ – ไม่เกี่ยวกามารมณ์, ไม่เกี่ยวกามคุณ เพราะฉะนั้นเราต้องเข้าใจอะไรต่างๆ ที่เราจะต้องเข้าใจนี่ หรือถ้าจะหาความสุขกันก็เถิด ต้องหาความสุขที่ไม่ใช่กามแล้ว หาความสุขที่เกี่ยวกับรูปบริสุทธิ์ (วัตถุบริสุทธิ์) แม้ๆ ที่สุดแต่จะเป็นศีล เป็น เอ่อ, อะไรนี่ แล้วก็ยังได้ จิตใจมันสูงอยู่แล้วที่ไม่ลุ่มหลงในกาม ยกขึ้นมาสู่ไอ้รูปบริสุทธิ์นี้
ทีนี้ถ้าไอ้เรื่องรูปนี่ โดยๆ อาศัยวัตถุเป็น เอ่อ, เป็นเครื่องช่วยนี้มันๆ จืดเข้าแล้ว มันก็ไปลึกในเรื่องอรูป เขาเรียกว่า (๓) อรูปาวจร คือเรื่องนาม, เรื่องจิต, เรื่องที่ไม่มีตัว เป็นๆ abstract ไปเลยนั้นนะคือขั้นวานปรัสถ์อย่างที่ว่า มองดูชีวิต, มองดูโลก, มองดูไอ้ทุกสิ่งในเรื่องที่ไม่ใช่กาม ไม่ใช่วัตถุ แต่เป็นเรื่องนาม, เรื่องความว่าง, เรื่องวิญญาณ, เรื่องอะไร ดูกันตอนนี้ อากาสานัญจายตนะ เรื่องความว่าง วิญญาณัญจายตนะ เรื่องวิญญาณ อากิญจัญญายตนะ เรื่องความไม่มีอะไร เนวสัญญานาสัญญายตนะ ความรู้สึกชนิดที่ตายแล้วก็ไม่ใช่ ยังอยู่ก็ไม่ ยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่ใช่ ละเอียดกันขนาดนั้นก็ได้ นี่มันรูปเดียวความหมายเดียวกับไอ้ชั้นวานปรัสถ์ที่มองสิ่งต่างๆ ในด้านลึกเป็นนามธรรมแล้วก็พอใจมีความสุขอยู่ด้วยสิ่งเหล่านี้ นี่มันสูงขึ้นมาถึงขั้นที่ ๓
ทีนี้ขั้นที่ ๔ ถ้าไปรอดก็คือขั้นที่ไม่มีตัวกู ไม่มีตัวเรา ไม่มีของเราที่เรียกว่า (๔) โลกุตตรภูมิ ภูมิที่ ๔ นี่จะเป็นภูมิพระอริยเจ้า ; นับตั้งแต่โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ กันไปเลย ภูมิที่ ๔ แล้วถ้ามนุษย์มาได้ถึงภูมิที่ ๔ ก็สมบูรณ์แบบอย่างเดียวกัน เกิดมาทีหนึ่งเป็นมนุษย์สมบูรณ์แบบผ่านกามาวจรภูมิมาสู่รูปาวจรภูมิ แล้วก็สู่อรูปาวจรภูมิ แล้วก็สู่โลกุตตรภูมิ ก็สำเร็จในชีวิตนี้
ทีนี้พวกอภิธรรมมันบ้า แม้แต่กามาวจรภูมิมันแยกไว้โลกนี้บ้าง ชีวิตชาติหน้าโน้นบ้าง แล้วถ้ารูปาวจรภูมิแล้วไปพรหมโลกอีกกี่สิบชาติก็ไม่รู้สอนกันเสียอย่างนั้น อาตมาไม่ๆๆๆ เห็นด้วยคำสอนชนิดนี้ เพราะฉะนั้นจึงเข้ากันไม่ได้กับพวกอภิธรรม มนุษย์คนหนึ่ง, ชีวิตหนึ่งนี่จะต้องเลื่อนจากกามาวจรภูมิขึ้นมาสู่รูปาวจรภูมิ สู่อรูปาวจรภูมิแล้วก็สู่โลกุตตรภูมิ ที่เรากำลังพูดเรื่องจิตว่าง เรื่องทำลายความรู้สึกว่าตัวกูของกูนี้ เราๆ กำลังชักชวนกันมาในขั้น อ้า,โลกุตตรภูมิ เพื่อให้มนุษย์คนหนึ่งมีความสมบูรณ์ในความเป็นมนุษย์ ไอ้ภูมิ ๔ นี้ไม่ใช่พุทธภาษิต มันอภิธรรมใหญ่รุ่นที่เขาแต่งกันขึ้น พ.ศ. ๖๐๐-๗๐๐ นี้อภิธรรมปิฎกนี้ก็อยู่ในพระไตรปิฎกนี้ ภูมิ ๔ นี้ คล้ายๆ ว่ามันเปิดช่องให้อธิบายกันได้กว้าง นี่ไปอธิบายกันเสียว่าชาติโน้นตัวตายแล้วเกิดโน้นจึงจะไปรูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ หรือไปโลกุตตรภูมิอะไรกันก็ไม่รู้ อีก ๑๐ ชาติ ๑๐๐ ชาติ ๑,๐๐๐ ชาติอะไรกันก็ไม่รู้ แต่เขาหมายถึงตายแล้วทั้งนั้นแหละ ที่เรามาแนะว่าให้ดูให้ดีว่าคำว่าเกิดนั้นไม่ใช่เกิดชนิดนั้น ไม่ใช่เกิดจากท้องแม่แล้วเข้าโลงเรียกว่าชาติหนึ่งนั้นนะ, ไม่ใช่ ไอ้ความรู้สึกคิดนึกที่สมบูรณ์ เป็นตัวกูของกูครั้งหนึ่งนั้นเรียกว่าชาติหนึ่ง เพราะฉะนั้นวันหนึ่งเราเกิดหลายชาติหลายสิบชาติก็ได้ อาจจะหลายร้อยชาติก็ได้ถ้าขยันเกิดๆ ทีนี้เกิดซ้ำๆ ซากๆ อย่างนี้มันฉลาดทุกทีๆๆ ภายในไม่กี่ปีมันก็...มันก็เท่ากับเกิดหลายร้อยชาติหลายพันชาติ หลายหมื่นชาติ แล้วมันเบื่อ เพราะฉะนั้นมันจึงมีโอกาสเบื่อจากกามาวจรภูมิ มาสู่รูปาวจรภูมิ จนคนแก่ๆ นี้ก็เบื่ออยู่ตามธรรมชาติที่จะๆ คลุกคลีอยู่กับกามาวจะ อ้า, กามคุณ สู้มาเล่นไอ้ของเล่นเฉยๆ อย่างนี้ไม่ได้ แล้วมันควรจะสูงขึ้นไปอีกว่าไอ้ของเล่นนี้ก็ยังหยาบ ยังเป็นของหยาบวัตถุนี้สู้เรื่องจิตใจไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงมาสนใจเรื่องเกียรติ เรื่องความดี เรื่องความดีแท้ๆ ความดีจริงๆ อะไรกันอย่างนี้ มันจึงเป็นตอนนี้ แต่ถ้าไปจำแนกอย่างที่เขาระบุไว้ อรูปาวจรภูมินั้นมันก็ละเอียดมากไป สนใจเรื่องความว่าง, สนใจเรื่องวิญญาณ, สนใจเรื่องความไม่มีอะไร ให้จิตใจ...เข้าใจสิ่งเหล่านั้น ทีนี้ก็มาถึงขึ้นที่ว่าบรรเทา...บรรเทาความเข้าใจว่ามีตัวกู, มีของกูกันเถิด มันจึงจะเป็นโลกุตตรภูมิ
ที่ว่าเด็กๆ อายุสิบกว่าปีบรรลุพระอรหันต์นี่มันก็ต้องเปลี่ยนเร็วมาก ถ้ามันจริงเหมือนกับที่ข้อความในอรรถกถาธรรมบทมีอยู่นั้นนะ เพราะว่าคนเป็นอรหันต์เมื่ออายุ ๕๐ เอ่อ, เมื่อ ๑๕ อายุ ๑๕ ปี ๑๗ ปีนี้ มีๆๆ หลายคน แต่ไม่ใช่สิบๆ คนนะ มี ๔-๕ คน ๗-๘ คน ในๆ ประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนามันต้องเปลี่ยนเร็วมาก ไอ้เด็กคนนี้มันต้องเปลี่ยนเร็วมาก มันจึงๆ มอง...มองลึก กระโดดข้ามกามาวจร, รูปาวจร, อรูปาวจรไปได้ภายในอายุ ๑๕ ปี พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ถือเอาอย่างนี้เป็นหลัก ถือว่ามันไปก็แล้วกัน มันจะกี่ปี กี่ปี กี่สิบปีก็ได้แต่ว่าควรจะไปนะ ควรจะเลื่อนขึ้นไปให้ได้อันดับสุดท้ายเสียก่อนแต่ที่จะตายอย่างเป็นพระอริยเจ้านี้ แม้ไม่เป็นพระอรหันต์ก็ขอให้เข้าร่องเข้ารอยของพระอริยเจ้าคือเป็นพระโสดาบัน โสดาบันแปลว่าถึงกระแส พูดเป็นธรรมดาก็เข้าร่องเข้ารอยของพระนิพพาน ดังนั้นถ้าเข้าร่องเข้ารอยเสียได้ตั้งแต่อายุ ๕๐-๖๐ ปีนี้มันดีนะ มันมีหวังว่าที่เหลือมันจะถึงพระอรหันต์ได้ ถ้ามันถึงไม่ได้มันจะต้องถึงได้ อ้า, ในวาระจิตสุดท้ายที่จะดับจิตนั่น ที่เขียนไว้ในเรื่องดับไม่เหลือ ไอ้อาการตกกะไดพลอยกระโจนนั่นนะไปอ่านดู ถ้ามันรู้ร่องรอยแล้วมันกระโจนเป็น ถ้ามันไม่รู้ร่องรอยมันก็ไม่รู้จะกระโจนไปทางไหนเพราะฉะนั้นเราควรจะผ่านมาตามลำดับในเวลาอันสมควร อายุ ๓๐-๔๐ นี้เป็นภูมิกามาวจรกันไปตามธรรมดาตามปกติ ทีนี้ไอ้ ๔๐, ๕๐, ๖๐ นี้ตอนนี้มันควรจะเป็นรูปาวจร อรูปาวจรอะไรขึ้นมาแล้ว ทีนี้ถ้าว่าไปทำวานปรัสถ์เก็บตัว เพ่งมองแต่ในด้านในอายุ ๖๐ เศษ มันจะเขยิบไปสู่โลกุตตรภูมิได้ เพราะเป็นผลของการที่นั่งมองดูตัวเองในภายในเป็นเวลานานพอ มันจับร่องรอยได้ มันก็ไม่ถอยหลังกลับแล้ว มันมีแต่ไปข้างหน้าเรื่อยไอ้ความ ...ไอ้ที่อยู่ในภาวะที่ไม่ถอยหลังกลับนั่นแหละเขาเรียกว่า พระโสดาบัน ถ้ายังถอยหลังกลับอยู่ก็ยังไม่ใช่พระโสดาบัน แม้จะมีความรู้เท่ากันอย่างเดียวกันแต่มันไม่ๆๆมั่นคง มันยังถอยหลังกลับ คือถ้ามันไม่ถอยหลังกลับก็เรียกว่าเป็นพระโสดาบัน
ทีนี้ไอ้เรื่องเป็นสกิทาคามี อนาคามี อรหันต์นั้น นั่นไม่มีปัญหาแล้ว เพราะมันลงๆ ร่องแล้ว มันก็ไปของมัน เพราะฉะนั้นไอ้เรื่องภูมิ ๔ นี่ก็คือเรื่องของชีวิตมนุษย์ ใน ๔ ขั้น ในๆๆ ๔ ชั้นตามหลักของพุทธศาสนา แม้ว่าเรื่องนี้พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสแต่ว่าผู้เขียนเรื่องนี้ ผู้ร้อยกรองรวบรวมเรื่องนี้ก็ๆๆ พูดไปตามหลักที่พระพุทธเจ้าได้วางไว้ หรือว่ายิ่งกว่านั้นก็คือตามหลักฮินดูธรรมดั้งเดิมของมนูธรรมศาสตร์เขารู้กัน ชีวิตขั้นต้นก็เอาเถิดเป็นเรื่องกาม เป็นเรื่องตามธรรมชาติของสัตว์ในเรื่องกาม ชีวิตในท่ามกลางนี้ก็จงเป็นเรื่องที่สูงขึ้นมาจากกามเป็นเรื่องรูปหรืออรูป ๒ อย่างนี้ ถ้าเอาวัตถุก็เป็นรูป ถ้าไม่เอาวัตถุก็เป็นอรูป ทีนี้ ขั้นสุดท้ายมันต้องเป็นโลกุตตระ คือเหนือโลก คือไม่ๆๆ เห็นว่ามีอะไรที่น่าเอาน่าเป็นนั่นนะ ทีนี้มันก็ขาดๆ อยู่คำหนึ่งที่ว่าจะเป็นแสงสว่างแก่ผู้อื่นนี้ เราไม่ได้มีรวมอยู่ในนี้ เพราะเป็นอันๆ พูดได้ว่าไอ้เรื่องภูมิ ๔ ภูมินี้ เขาๆ พูดเป็นเรื่องปัจเจกชนเฉพาะคนไม่เกี่ยวกับสังคม เพราะเราไม่ ไม่ได้ ไม่ได้เลยไปถึงขั้นที่ว่าจะเที่ยวสอนผู้อื่น ส่วนมนูธรรมศาสตร์ทั้งๆ หมดนั้นมันเป็นเรื่องสังคมเพื่อสังคมทั้งหมดเพราะฉะนั้นมันจึงมีขั้นสันยาสเที่ยวเป็นแสงสว่างให้ผู้อื่น หรือภาพเซน ๑๐ ภาพที่เขียนนี้, มันๆ มี ๒ ขั้นสุดท้าย เที่ยวเป็นแสงสว่างให้ผู้อื่น เที่ยวแจกของให้ผู้อื่น แต่ในภูมิทั้ง ๔ ของพวกอภิธรรมนี้หยุดอยู่แค่โลกุตตรภูมิเป็นอยู่เหนือโลกแล้วก็เรียกว่ามนุษย์นั้นมันได้ถึงที่สุดของการเกิดมาเป็นมนุษย์ ส่วนที่จะไปเที่ยวสอนใครหรือทำเป็นแสงสว่างแก่ใครนั้นดูจะปล่อยไว้เป็นเรื่องอีกเรื่องหนึ่งไม่ใช่ๆ เรื่องส่วนตัวบุคคลซึ่งควรจะทำกันทุกคน เป็นเรื่องว่าใครสมัครก็ได้หรือมิฉะนั้นก็อาจจะถือว่าคนนั้นมันมีปาก มีปากแล้วมันก็พูด ถ้าใครมาถามมันก็พูดเพราะมันเป็นคนที่รู้จริงแล้วมันก็พูดมีประโยชน์อยู่เอง หรืออ้า, ยิ่งไปกว่านั้นอีกก็ไม่ต้องพูด เพราะธรรมะนี้ลึกจนกระทั่งสอนด้วยการหุบปากเงียบนั่นแหละคือสอนที่แท้จริง ดังนั้นเราก็ไม่พูดก็ไม่ต้องพูด ก็กลายเป็นว่าอยู่ให้ดู มีชีวิตอยู่ในลักษณะหนึ่งให้คนดูแล้วให้ดูอยู่ที่ ให้ๆๆๆ เขาดูเอาเอง และการที่เราอยู่นั่นแหละคือ การสอน การที่เราทำอะไรอยู่ตามปกติของเรานั้นคือการสอนหรือการพูด เขาดูเอาเอง เขาฟังเอาเอง เขาเรียก thunderous silence อ้า, ของ วิมลเกียรติที่เรากำลังเขียนสุดทางโน้นเพราะมัญชุศรีมันบอกให้วิมลเกียรติแสดงทางไปนิพพาน อ้า, วิมลเกียรติก็หุบปากเหมือนปากคางคกไปเลย ทีนี้เขาเรียกอันนี้ว่า thunderous silence คือนิ่งอย่างฟ้าผ่าของมัญชุศรี การนิ่งอย่างฟ้าผ่าของมัญชุศรี ไอ้นิ่งอย่างนี้เป็นวิธีสอนของพวกเซน หลาย...มีอยู่หลายเรื่องหลายโกอานหลายบันทึก เพราะฉะนั้นพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าอาจจะมุ่งหมายอย่างนี้ไกลถึงอย่างนี้ ดังนั้นจึงไม่พูดอะไรมากนักเกี่ยวกับใครสอนเว้นไว้แต่เป็นพระนะ เข้าใจหรือไม่ไอ้ที่เรากำลังพูดนี้พูดถึงชีวิตทั่วไปของฆราวาสทั่วไปของมนุษย์ทั่วไปไม่ใช่พระนะ แต่พอถึงพระแล้วไม่ได้ ดูไอ้เรื่องส่งภิกษุไปประกาศศาสนาสิ พอได้กี่คนก็ไล่ไป พอได้กี่คนก็ไล่ไป พอเข้าใจธรรมะนี้แล้วก็ไล่ไป ไล่ไป ไปสอน ไปสอน ไปสอน อย่าไปทางเดียวกัน ๒ คน ให้แยกกันไปทางละคน มันจะได้มากๆ นี่เราก็รู้เจตนาของพระพุทธเจ้าดีใช่หรือไม่ ต้องการจะให้ภิกษุทำตนเป็นแสงสว่าง ไม่...ยังเป็น อ้า, ไม่ๆๆ ทันจะเป็นอรหันต์หรอกเพียงแต่เข้าร่องเข้ารอยคือเป็นพระโสดาบันนั้นก็ไล่ไปแล้ว ไล่ไปเลยให้ไปทำตนเป็นแสงสว่าง ให้ไปช่วยกันเผยแพร่ธรรมะนี้
ไม่ได้ตั้งใจจะพูดเรื่องนี้ ตั้งใจจะพูดเรื่องว่าชีวิตมนุษย์เกิดมามันควรจะได้อะไรกี่ชั้นกี่ระดับแล้วก็เลย อ้า, นึกถึงมนูธรรมศาสตร์เรื่องชีวิต ๔ ขั้นที่ดีที่สุด แล้วก็เรื่องพระอุมา, เรื่องเซน, เรื่องจับวัวของจีน ๑๐ ภาพ หรือว่าเรื่องภูมิ ๔ ของพวกอภิธรรม (๑) กามาวจรภูมิ (๒) รูปาวจรภูมิ (๓) อรูปาวจรภูมิ (๔) โลกุตตรภูมิ ๔ ภูมินี้ก็ต้องเป็นเรื่องในชั่วชีวิตนี้ อย่าๆๆ ไปหลงตามพวกนั้นว่าต้องตายเข้าโลงไปแล้วอีกกี่สิบครั้ง กี่ร้อยครั้งมันจึงจะเลื่อนไปโน้นนั่นนะ อาตมาอยากจะใช้คำหยาบๆ ยอมเป็นคนเลวนะพูดคำหยาบว่ามันบ้า มันสอนคำสอนของพระพุทธเจ้าผิด คุณเพียรลองไปฟังดูเถิด มันสอนกันอย่างนั้นทั้งนั้นแหละไอ้เรื่องภูมิ ๔ มันสอนไปอย่างนั้นทั้งนั้น เพราะคำว่าชาตินี่หมายถึงเกิดจากท้องแม่แล้วเข้าโลงนับเป็นชาติหนึ่งทั้งนั้น ชาติในภาษาธรรมะไม่ใช่อย่างนั้น มีความคิดเป็น ตัวกู-ของกู ยกหูชูหาง คือมีความโลภหรือความโกรธหรือความหลงขึ้นมาครั้งหนึ่งเรียกว่าชาติหนึ่งแล้ว เพราะฉะนั้นคนจะมีตัวกูจัด วันหนึ่งมันก็เกิดได้หลายร้อยชาติหลายพันชาติคือมันอึดอัดขัดใจได้ทุกเรื่องในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นมันอึดอัดขัดใจวันหนึ่ง ๒๐ ครั้งมันก็คือเกิด ๒๐ ชาติหรือหลายสิบชาติ มันคล้ายกับเป็นโรคเส้นประสาทอยู่ด้วยมันก็อึดอัดขัดใจได้มากเป็นหลายร้อยครั้งไปเลยวันหนึ่ง, วันหนึ่ง เขาให้ถือว่าชาติหนึ่งชาติหนึ่งนั้นนะคือบทเรียน เพราะฉะนั้นเมื่อหลายร้อยชาติ หลายพันชาติ หลายหมื่นชาติ ถ้ามันเจ็บแสบเจ็บปวด เอ่อ, มันก็นึกได้ ผลของการเกิดหลายร้อยชาติหลายพันชาติมันก็เลื่อนภูมิได้จากกามาวจรภูมิสู่ อ้า, อะไรภูมิขึ้นมาพวกรูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมินี้มีตัวกูจัดแรงขึ้นไปกว่าอีกทั้งที่ไม่เกี่ยวกับกาม อ้า, กามคุณ พวกนี้ดื้อแต่ด้านไม่ใช่เพื่อกามคุณ ดื้อแต่ด้านเพียงเพื่อตัวกู ตัวกูที่จะไม่ยอมใครทั้งนั้น เพราะฉะนั้นกิเลสของมันจึงเป็นไปในทางมานะทิฏฐิ ดื้อแต่ด้านเป็นตัวกู, ยกหูชูหาง มันต้องระวังให้ดี อ้า, กิเลสของรูปาวจรภูมิ, อรูปาวจรภูมิเป็นไปรูปนี้ ดังนั้นจึงเรียกว่า พรหมไม่เกี่ยวกับกามารมณ์เลยแต่มันกระด้างที่สุดเลย มานะทิฏฐิมากที่สุดเลยพวกพรหมนี่ ถ้าพวกกามาวจรก็เห็นแต่กาม...กามคุณเป็นสรณะ เพราะฉะนั้นยอมได้ง่ายๆ ถ้าจะได้กามารมณ์ แล้วก็ยอมได้ง่ายๆ ดังนั้น ตัวกู-ของกู มันก็ไม่ค่อยจัดอย่างพวกพรหม นี่คนหนุ่มคนสาวอาจจะยอมได้ง่ายๆ แต่คนแก่สูงอายุนี้อาจจะไม่ยอม ถือทิฏฐิมานะกระต่ายขาเดียวด้วยเรื่องความคิด, ความเห็น, ทิฏฐิอะไรเข้าไปก็เป็นไปได้ เพราะฉะนั้นมันต้องละไปอีกทีหนึ่ง มันต้องผ่านไปอีกทีหนึ่งมันจึงจะเป็นเรื่องหมด ตัวกู-ของกู เป็นโลกุตตรภูมิ
กามาวจรภูมิ กามะ + อวจระ แล้วก็ภูมิ กามะ แปลว่ากาม, อวจระ แปลว่าเที่ยวไป ลงๆๆ ไปเที่ยวในนั้น กระโจนลงไปเที่ยวในนั้น คำว่าอวจระ ; อวะแปลว่าลง + จระแปลว่าเที่ยว ทีนี้ภูมิแปลว่าชั้น เพราะฉะนั้นกามาวจรภูมิ แปลว่าภูมิหรือชั้นที่ท่องเที่ยวไปในกาม ทีนี้รูปาวจรภูมิก็ภูมิหรือชั้นที่ท่องเที่ยวไปในรูป รูปวัตถุไม่เกี่ยวกับกาม ทีนี้อรูปาวจรภูมิ ; ภูมิหรือชั้นจิตที่มันท่องเที่ยวไปในสิ่งที่ไม่มีรูป เช่น เกียรติยศนี่ไม่มีรูป หลงเกียรติยศ หลงตัวกู ยกหูชูหางกู กูดีกูเด่น มึงต้องเชื่อกูอย่างนี้ กูเรียนมามากกว่ามึง กูเป็นฆราวาสแม้มึงเป็นพระกูก็ยังดีกว่าอย่างนี้ก็มี นี้เรียกว่าอรูปาวจรภูมิหรืออย่างเลวมากคือหลงเกียรติอย่างเลวมาก ถ้าเป็นโลกุตตรภูมินี้เขาไม่ๆๆ มีอวจระ เห็นหรือไม่ โลกุตตรภูมิ โลกะ โลกอุตระ เหนือภูมิก็ชั้น ชั้นที่อยู่เหนือโลก ก็หมายความว่าเหนืออวจระ ๓ อันนั้น เหนือกาม เหนือรูป เหนืออรูป นี้จึงเป็นเรื่องลด บรรเทาตัวกู ลดตัวกู ลดอัสมิมานะ ลดอหังการ มมังการ พวกที่เป็นวานปรัสถ์ คือนั่งพิจารณาชีวิตในด้านในอยู่เป็นเวลานานนี้จะพบว่า อ้า, ไอ้ศัตรูตัวร้ายกาจที่สุดนี่คืออหังการนี่เอง ทำความรู้สึกว่าตัวกู อหังการ ; อหังการนี้มีมาสำหรับจับกู จับฉันใส่ลงไปในนรกทั้งเป็นๆ ถ้าเข้าใจข้อนี้ได้แล้วก็ใช้ได้ ตัวกูหรืออหังการนั่นนะมันมีมาสำหรับจับมนุษย์ใส่นรกทั้งเป็นๆ เร่าร้อนชนิดที่ว่าไม่มีที่สิ้นสุด ร้อนยิ่งกว่าไฟแต่ว่าเย็น เย็นเยือก ความร้อนที่เย็นมันเผา...มันเผาอย่างยิ่งกว่าไฟที่ร้อน คือแสงสว่างสีขาวนี่ ความมืดสีขาวนี่ปิดบังยิ่งกว่าความมืดสีดำ ให้ระวังความมืดสีขาวหรือไฟที่เปียกที่เย็น ดังนั้นคนอายุ ๖๐ ปีแล้วนั่งมองด้านในมองเห็นรู้จักตัวนี้แล้วก็เรียกว่าได้...จะได้รู้ร่องรอยของ โลกุตตรภูมิ ก็จะอยู่เหนือ อ้า, ความรู้สึก ตัวกู-ของกู นั่นนะจึงจะเป็นวานปรัสถ์, เป็นสันยาส ไปได้ในที่สุด คือถ้าเรียกพุทธศาสนาหรือเรียกอย่างพุทธศาสนาก็เรียกว่าเข้าขั้น ขึ้นๆๆ สู่ขั้นโลกุตตรภูมิ เด็กๆ ไปไม่รอด หนุ่มๆ สาวๆ ก็ไปไม่รอด ที่ว่าเป็นพระอรหันต์อายุ ๑๕ นั้น มันกรณีพิเศษอย่ามาพูดเลย แล้วมันจริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้ในพระไตรปิฎกไม่มี มีแต่ในอรรถกถา เช่น อรรถกถาธรรมบท เป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ไม่รู้แต่ถ้าเรายอมรับให้ว่าเด็กบางคนมันมีอะไร genious เอ่อ, พิเศษมา มันเข้าใจอะไรได้เข้าใจชีวิตได้ เข้าใจ อ้า, อารมณ์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อะไรได้ แล้วมันเฉยได้ในสิ่งทั้งปวงได้ก็ได้ อายุ ๑๗ ปีเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่ไม่ใช่มาตรฐานดังนั้นไม่ต้องพูดถึง พูดถึงควรจะเป็นอายุ ๔๐ ปีนี่ข้ามกามาวจรภูมิได้ ๕๐ ปีถึง ๖๐ ปีนี่ข้ามรูปาวจรภูมิ, อรูปาวจรภูมิไปได้ แล้ว ๖๐ ปีขึ้นไปนี้ก็พยายามให้มันเข้าไปในคลองของโลกุตตรภูมิก็พอแล้ว เพราะเกิดมาทีหนึ่งก็ไม่เสียชาติเกิด
เดี๋ยวนี้เรื่องนี้ไม่ใช่ตั้งใจจะพูด ตั้งใจจะพูดเรื่องที่ว่าทำไมคนในโลกสมัยนี้พวกฝรั่ง พวกอะไรที่เรานิยมยกย่องเขาว่ามีการศึกษามีความเจริญนั้นนะมันเข้าใจพุทธศาสนาไม่ได้ เพราะมันไม่ยอมรับระบบไอ้ ๔ ขั้นนี้เลย ไม่ประสีประสาไม่รู้ไม่ชี้ ถึงเราจะไปพูดให้ฟังก็เหมือนกับไปเป่าปี่ให้เต่าฟังหรืออะไรอย่างนี้ มันก็...มันก็พูดกันไม่รู้เรื่องนะ เพราะฉะนั้นถ้าไม่ยอมรับระบบชีวิตเลื่อนขั้นไปตามขั้นแล้ว การสอนพุทธศาสนานี่สอนยากเย็นที่สุดเลยสอนกันไม่ได้ เพราะมันเป็นสอนให้ละ ตัวกู-ของกู มันเป็นเรื่องโลกุตตรภูมิ มันเป็นเรื่องของพวกวานปรัสถ์ซึ่งนั่งมองชีวิตในด้านในอยู่เป็นชั่วโมงๆ มันเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นที่จะไปนั่งห่มผ้าให้พระพุทธรูป ไปนั่งจุดตะเกียงตลอด ๒๔ ชั่วโมง หรือพูดเพ้อไปตามนี้มันเป็นไปไม่ได้นะในทางที่จะเข้าถึงหัวใจของพุทธศาสนา
ทีนี้การบวชของพวกจีน – ศาลเจ้าพวกจีนมีแต่อย่างนี้ทั้งนั้นที่เรียกพุทธศาสนา จุดธูปจุดเทียนตลอด ๒๔ ชั่วโมง ห่มผ้าให้พระพุทธรูป มีเครื่อง ผลไม้ ดอกไม้วางอยู่ตรงหน้าแล้วก็แต่ง uniform เข้า แล้วก็เอาพระสูตรที่สูงสุด เช่น กิม กัง เก็ง มาอ่านๆๆๆ แล้วก็นั่งพนมมือฟังหลับตาฟัง แล้วก็นั่งทำสมาธิมุ่งหมายยังสุขาวดีอย่างนี้จนกระทั่งตายมันก็เป็นพุทธศาสนาแบบๆ ของพวกนี้ ไม่ใช่แบบของ...พระพุทธเจ้าที่เราเข้าใจ ทีนี้พวกฝรั่งก็เหมือนกัน มันไม่ๆๆๆๆ มองลึกถึงว่าชีวิตนี้ อ้า, ควรจะได้อะไรในวาระสุดท้าย มันก็เลยถือไอ้ความรู้ทางพุทธศาสนาเป็นเครื่องประดับเกียรติ เป็นความรู้แปลกๆ บ้าง เป็นเครื่องประดับเกียรติบ้าง ถ้าคน professor ก็จะสอนในวิชาที่แปลก ได้เกียรติบ้าง อะไรบ้าง เพราะฉะนั้นเขาจึงรับพุทธศาสนาไม่ได้ (เสียงขาดหาย นาทีที่ 56:20 ถึงนาทีที่ 56:30) แล้วให้เขา, ให้เขาเข้าใจไอ้ชีวิตในความหมายทั่วไปว่าเราเกิดมาต้องได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ เพราะฉะนั้นมนุษย์จะย่ำอยู่ในสภาพเดียวเดิมอย่างเดียวนั้นไม่ได้ มนุษย์ต้องเลื่อนชั้นตัวเอง เลื่อนชั้นสัก ๔ ชั้น ตามไอ้ code ของมนูธรรมศาสตร์นี้ก็ได้ หรือว่า ๑๐ ชั้นอย่างๆ แบบพวกเซนจับวัวนี้ก็ได้ หรือว่า ๔ ชั้นอย่างพวกอภิธรรมสอนภูมิ ๔ นี้ก็ได้ ขอให้เลื่อนเถิดแล้วมันก็จะได้ถึงจุดสูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้ อย่ามาปักหลักขุดหลุมฝังตัวเองด้วยทิฏฐิมานะเรื่อง ตัวกู-ของกู อยู่
พวกอังกฤษก็มีทิฏฐิ ตัวกู-ของกู จัดอย่างนี้ถือว่าเป็นชนชาติที่มีการศึกษาก้าวหน้ากว่าชนชาติไหนหมดในโลก ความเป็นนักปราชญ์ของเขาสูงกว่าชนชาติไหนหมดในโลก นั่นนะคือขุดหลุมฝังตัวเอง ไม่อาจจะเลื่อนชั้น อ้า, ไปตามลำดับที่ธรรมชาติกำหนดให้ ทีนี้อยากจะพูดถึงไอ้ที่ว่าธรรมชาติกำหนดให้ ก็ดูสิ ร่างกายคนเรานี้ คุณจะมีความคิดนึกพอใจในกามารมณ์ไปได้ก็ชั่วที่ธรรมชาติกำหนดให้อายุเท่านั้นเท่านี้ เหลือนั้นมันก็ถอยกำลัง, หรือว่ามันจืดชืด, หรือมันเบื่อไป มันก็ต้องเปลี่ยนเป็นเรื่องอื่น เป็นเรื่องของที่ อ้า, ไม่ใช่กามารมณ์ เพราะว่าชอบเปียกมานานนักแล้วมันก็ต้องชอบแห้ง ถึงชอบแห้งไปนานตามสมควรแล้ว มันก็ต้องชอบที่ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่ๆ เปียกหรือไม่แห้งอะไรทำนองนั้น ถ้าเราทำความเข้าใจกันไม่ได้ในเรื่องว่าชีวิตนี้ต้องเลื่อนชั้น และชั้นนั้นมันๆ ได้มีอยู่จริงตามที่ธรรมชาติกำหนดให้แล้ว พูดธรรมะสูงสุดในพระพุทธศาสนากันไม่รู้เรื่องแน่ ฟังไม่รู้เรื่องแน่ ทีนี้ไอ้ใครที่ทำเป็นว่ารู้เรื่องๆ มันก็เป็นเรื่องเล่นละครบ้าง เป็นเรื่องบ้าๆ บอๆ บ้าง เป็นเรื่องไม่รู้จักตัวเองถึงขนาดที่เป็นบ้าชนิดหนึ่งบ้างว่าตกอยู่ในฐานะที่เรียกว่าเป็นโมหะ, เป็นความประมาท, เป็นอะไรเหมือนกัน นั่นปัญหามันอยู่ที่ว่ามนุษย์เดี๋ยวนี้สมัยนี้พวกฝรั่งโดยเฉพาะนั้นนะมันยิ่งจมดิ่งลงไปในกามาวจรภูมิ อยากให้ลึกลงไป, ลึกลงไป, ลึกลงไป จมดิ่งลงไปอันดับหนึ่งนั่นแหละคือกามาวจรภูมิ ดังนั้นเรื่องรูปาวจรภูมิ, อรูปาวจรภูมิ, โลกุตตรภูมินี้ พูดกันไม่รู้เรื่อง ทีนี้เด็กหนุ่มสาวของไทยเรากำลังเดินตามก้นพวกเด็กหนุ่มสาวฝรั่งมันก็เลยไปกัน...ไปด้วยกันได้ ทีนี้น้อยคนที่จะมาเข้าใจเรื่องนี้และสนใจเรื่องนี้ เหมือนที่อาตมาบอกเมื่อสักครู่นี้ว่าทั้งประเทศไทยนี่มันมีอยู่ที่นั่นคน ที่นี่โน่นคน ที่โน่นคน แม้ในกรุงเทพฯ เองก็หาเป็นกลุ่มเป็นก้อนไม่ได้ อย่างตั้งสมาคมนั่นสมาคมนี่ของคนยุวพุทธอะไรขึ้นมันก็ยังไม่ถึง มันเป็นเรื่องเกียรติ เรื่องเครื่องมือของกามไปเสีย มันกลายเป็นหาเกียรติเพื่อเป็นเครื่องมือของกามไปเสีย มันยิ่งทรุดหนักลงไปอีกแต่มันมี อาตมามองเห็น ๆๆๆ ลู่ เห็นวี่แวว เห็นไอ้ประกายของบางคนว่าคนนี้อาจจะเข้าใจธรรมะได้แต่น้อยมากนะ แล้วก็ไม่มีเวลาที่ไปพร่ำพูดพร่ำสอน พร่ำชี้แจงกันได้ ก็ตามใจเขา ก็ไปตามยถากรรม ดังนั้นสินค้า อ้า, ของพระพุทธเจ้านี้ยิ่งไม่มีใครต้องการในสมัยที่โลกเป็นวัตถุนิยมจัดอย่างนี้ อาตมาถึงไม่เห่อในเรื่องไปสอนพุทธศาสนาต่างประเทศ ใครๆ มาชวนเดี๋ยวนี้ก็ไม่คิดอยากจะไป ๆ สอนพุทธศาสนาในต่างประเทศพวกฝรั่งนี่เพราะมองเห็นอยู่อย่างนี้ อยู่ที่นี่ก็ยังได้ผลดีกว่า ถ้าใครสนใจจริงก็มา เพื่อประเทศไทยจะได้มีอะไรที่ให้เขาบ้างถ้าเขามาถึง ไม่เปล่าเสียทีเดียว แต่ก็ไม่ใช่อวดดีคุยโตว่าเป็นผู้ทำได้ถึงที่สุดสมบูรณ์อะไรอย่างนี้ เพียงแต่ว่ามันคงจะได้บ้าง แล้วก็กำลังสนใจที่จะให้มันได้ยิ่งๆ ขึ้นไป เพราะฉะนั้นเราพยายามจัดวัดของเราให้เป็นอุปกรณ์แก่ชีวิตแบบวานปรัสถ์ คือผู้ที่เก็บตัวจากสังคม มองดูในด้านในตะพรึดนี่คือความมุ่งหมายของสวนโมกข์ แต่มันก็ยังทำได้ยากอย่างที่เห็นๆ อยู่อย่างนี้ พระ เณรก็ยังไม่ประสีประสา อ้า, ต่อชีวิต ต่อตัวเอง ไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักว่าตัวเองจะต้องเลื่อนชั้นตัวเองอย่างนี้ มันก็ยังหลงอยู่ในเรื่องกามาวจรภูมิ เราต้องรองรับ code ของมนูธรรมศาสตร์ว่าเป็นพรหมจารีกันระยะหนึ่ง, เป็นคฤหัสถ์กันระยะหนึ่ง, เป็นวานปรัสถ์กันระยะหนึ่ง, แล้วก็เป็นสันยาสกันด้วยถ้าจะเป็นได้ ถ้าเป็นไม่ได้ก็ไม่ต้อง ส่วนจะแบ่งชีวิตเป็นปีๆ นั้นไม่ต้องหรอกมันไม่เหมือนกันนะ บางคนมันเร็ว, บางคนมันช้า, บางคนไปมีหวังต่อวาระสุดท้ายที่จะดับจิตจึงจะเป็นได้ก็ยังดี ถ้ารู้ๆ ร่องรอยรู้ลู่ทางไว้ แต่ว่าทุกคนควรจะอยู่ในรูปของวานปรัสถ์ พยายามอยู่ในไอ้ที่ๆ จัดไว้เฉพาะ ตัดปัญหาสังคมออกไป ให้ตัวเองคุ้นเคยกับชีวิตในด้านของการงานในด้านของไอ้อารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ เพื่อศึกษากิเลส เพื่อศึกษาไอ้ ตัวกู-ของกู นี้อยู่เรื่อยๆ ไป เป็นระยะยาวระยะหนึ่ง นี่เป็นความหมายของวานปรัสถ์แท้ อยู่แถวๆ นี้ก็ได้ไม่ต้องไปถึงหิมาลัยเพราะว่า code ของพระมนูนั้นวางไว้ถึงว่าอยู่ที่บ้านก็ได้ แต่ต้องไปปลูกกระท่อมอยู่มุมบ้านริมกอไผ่อยู่คนเดียวไม่ยุ่งกับใครนั่นนะจึงจะเป็นวานปรัสถ์ ทีนี้มันไม่ใช่เพียงแต่สถานที่ มันยังเกี่ยวกับระยะกาลหรือเวลาด้วย เช่น ในพรรษาอย่างนี้เป็นวานปรัสถ์ได้มากกว่า
เอ่อ, ทีนี้ก็มาถึงเรื่องส่วนตัว อยากจะพูดหน่อย เพราะมันเผอิญพอดีมันเกิดเรื่องขึ้น อย่างน้องเขยที่บ้านดอนตายนี้ อาตมาไม่ไปเผาอย่างนี้มันก็เป็นเรื่องซู่ซ่ากันขึ้น ครั้งก่อนน้าตายที่บ้านดอนเหมือนกันไม่ไปเผาในพรรษานี่ก็ซู่ซ่าทีหนึ่งแล้ว ถึงคราวนี้เลยพูดโผงผางไปเลยบอกว่าให้รู้เลยว่ามันต้องการจะให้พรรษานี้เป็นพรรษา เป็นๆ พรรษาจริงๆ ขึ้นมา มันมีเรื่อง อ้า, สลดใจเมื่อ ๑๐ ปีมาแล้ว เมื่อ ๑๐ ปีมาแล้วอาตมาก็เป็นพระที่ไม่มีพรรษาเหมือนกัน หมายความว่าเข้าพรรษาแล้วก็ยังไปกรุงเทพฯ ยังนิมนต์ไปกรุงเทพฯ ยังไปพูด ไปเทศน์ ไปสอน ขอร้องกัน แล้วเป็นตายก็ไปเผา แล้วใครตายก็ต้องไปเทศน์ ศพก็ต้องไปเผา เขานิมนต์ไป เอ่อ, แม้แต่เพียงว่าเขาแต่งงานหรือว่าเขาขึ้นเรือนใหม่นี้ก็ต้องไป ในพรรษาก็ต้องไป มันเลยเหมือนกันเลยกับนอกพรรษา เมื่อ ๑๐ ปีมาแล้วก็สะดุดขึ้นมาวันหนึ่งว่านี้มันบ้าแล้วไอ้เรานี้บ้าแล้ว นี่ไปคำนึงดูว่าเราอ่านพระไตรปิฎกมาตั้งเยอะแยะหลายเที่ยวแล้วนี่ก็ไม่เคยพบว่าพระพุทธเจ้าสัตตาหะเลย นี่มันเป็นอย่างนี้ที่ดูในอรรถกาถามันก็ไม่มีว่าพระพุทธเจ้าเคยสัตตาหะไปไหนเลย ไอ้เรามันบ้าแล้ว ก็เลยสะดุ้งว่านี่เราก็จะไม่ไปแล้วทีนี้ ทีนี้ก็เริ่มต่อสู้, ต่อสู้, ตัดออกไป, ตัดออกไป ตั้งใจว่าจะประท้วง, ประท้วงตัวเองก่อน ประท้วงไอ้ความบ้าของตัวเอง ก็พร้อมกันนั้นก็ประท้วงภิกษุสงฆ์ทั้งประเทศไปในตัวด้วยที่เขาก็ทำอย่างนั้นเหมือนกัน ตั้งแต่พระเถระลงมาถึงพระเด็กๆ นี่ในพรรษาไปดูในรถไฟก็ยังมีพระแดงเถือกอยู่นั้นเหมือนกับนอกพรรษา จึงอธิษฐานใจว่าประท้วงๆ เกิดมาเพื่อประท้วง เพราะประท้วงอยู่หลายเรื่องแล้ว ดังนั้นต้องประท้วงเรื่องนี้และประท้วงตัวเองเป็นสำคัญจึงขอว่าไม่ไปไหนในพรรษา พวกอึดอัดๆ กันอยู่นั่น เสียใจบ้าง, น้อยใจบ้าง, อะไรบ้าง คือช่วยให้มันประท้วงเต็มที่ อ้า, หรือว่าให้มีความ...มีน้ำหนักเท่ากับที่พระพุทธเจ้าไม่เคยสัตตาหะนี้คิดว่าเราอย่าออกจากวัดดีกว่า อย่าพูดถึงเรื่องสัตตาหะเลยแม้แต่เรื่องออกจากวัดนี้ก็ไม่, ก็ไม่เอาแล้ว นี่เพิ่งจะทำได้มาเมื่อสัก ๕ ปี เมื่อสัก ๕ ปีมานี้ขอร้องว่าไม่ออกไปนอกวัดในพรรษาเริ่มเข้าใจกันขึ้น ก็เริ่มเห็นใจ เริ่มไม่น้อยใจ ไม่โกรธอะไรกันขึ้น นี่อาตมาไม่ใช่เกิดมาสำหรับญาติพี่น้องโดยเฉพาะ ญาติพี่น้องจะมาถือเป็นกรณีพิเศษก็ไม่ได้เพราะฉะนั้นน้าตายก็ไม่ไปเผา นี่น้องเขยตายนี่ก็ไม่ไปเผา ไอ้เด็กๆ พวกนี้ มันซู่ซ่ากันขึ้นก็เลยบอกกันเด็ดขาดโผงผางไปเลยว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ก่อนนี้ไม่เคยบอกโผงผางบอกแต่ขอตัว ขอร้อง เดี๋ยวนี้บอกโผงผางว่าเราทำนี้เพื่อประท้วงเพราะชีวิตนี้ยังเหลืออีกไม่กี่ปีจะต้องตายแล้ว เพราะนั้นจึงรีบ อ้า, ประท้วงตัวเองและประท้วงพระทั้งหมดนะ เอาเวลาที่เหลืออยู่ไม่กี่ปีจะตายนี้เป็นเดิมพัน เพราะฉะนั้นถ้าใครตายลงในขณะนี้ไม่ได้ไปเผาแล้วขอให้ถือว่าพวกเหล่านั้นมีโชคดีที่ได้ร่วมการกุศลกับอาตมาเพื่อประท้วงอย่างนั้นแหละ เพราะเป็นการเสียสละของเขาที่ว่าเราไม่ไป เขาต้องเสียสละไอ้เกียรติหรือไอ้ความน้อยใจอะไร แล้วให้ไอ้นั่นนะใช้เป็น เอ่อ, ส่วนๆ หุ้นเป็นเดิมพันร่วมกันเพื่อประท้วงภิกษุสงฆ์ทั้งหมดในประเทศไทย เพราะฉะนั้นถ้าใครตายลงในระหว่างพรรษาที่เป็นญาติแล้วอาตมาไม่ได้ไปให้ถือว่า คนนั้นนะมีโชคดีที่ได้ร่วมการกุศลอันนี้ ไปบอกไปอย่างนี้มันจะฟังถูกกันหรือไม่ฟังถูกกันก็ตามใจ พวกเด็กๆ หรือพวกผู้หญิง, พวกเหล่านี้ไม่ค่อยจะฟังถูกก็...มันก็ตามใจ บอกให้รู้ว่าระยะพรรษานี่จะขอเป็นวานปรัสถ์เต็มที่เก็บตัว อ้า, ขนาดไม่ออกจากวัด อย่าว่าแต่จะไปกรุงเทพฯ หรือไปไหนเลย ถ้ามันจะต้องถูกตำหนิติเตียน หรือถูกต่อว่า หรือราชการเขาจะถือว่าเป็นความผิดถูกสอบสวนก็ยินดีที่สุดเลย เอ่อ, รวมเป็นเดิมพันเพื่อประท้วงกันไปหมดเลย ดังนั้นเลยพูดกันไปเด็ดขาดไปเลย เมื่อวานนี้, วันนี้โดยทางจดหมายนี้
นี่ความหมายของคำว่าวานปรัสถ์ มันมีอยู่ว่าเราเก็บตัวในระยะพรรษาเป็นพิเศษ ให้มีเวลามองด้านในหรือ เอ่อ, ทำหน้าที่ชีวิตในขั้นนี้ให้ๆ ที่ ๓ ที่ ๔ นี้ให้มันๆ ได้เสียเร็วๆ ก่อนแต่จะแตกตายทำลายขันธ์ แม้ว่าตัวเองไม่ต้องการอะไร อ้า, ก็อยากจะทำให้เป็นแบบฉบับให้คนอื่นเขาเอาอย่างได้โดยง่าย นี่คือการประท้วง ถ้ามันไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ ไม่มี อ้า, ระเบียบเป็นแบบฉบับอยู่ มันก็ทำยาก แล้วใครจะทำก็ทำยาก ดูสิทั้งที่พระมนูวางระเบียบนี้ไว้เป็นพันๆ ปีมาแล้วก็ไม่มีใครที่จะสนใจ แล้วก็ยิ่งๆ ละเลย ยิ่งดูหมิ่นดูถูกว่าเป็นเรื่องพ้นสมัยเรื่องบ้าๆ บอๆ ไปเสียอีก ดังนั้นเราเป็นผู้ประท้วงให้ทุกคนแบ่งชีวิตเป็น ๔ ชั้น ตาม code ของมนู แล้วให้เดินไปให้ตลอดทั้ง ๔ ชั้นก่อนแต่จะตาย ส่วนสันยาสนี่สมัยนี้ทำได้ง่าย อย่างอาตมานี่อยู่ป่า ไม่พูด ไม่ไปไหนก็ยังทำสันยาสได้ เพราะมันมีหนังสือพิมพ์ มีวิทยุ มีอะไร การที่ส่งบทความไปลงหนังสือพิมพ์หรือไปออกวิทยุนั้นนะ คือทำหน้าที่อย่างสันยาส อ้า, พร้อมกันไปกับวานปรัสถ์ เราเก็บตัวได้มากที่สุดในที่เงียบสงัด ไม่ต้องไปไหนก็ทำหน้าที่ส่องแสงสว่างแก่ผู้อื่นได้ หรือว่าการอยู่อย่างนี้ยิ่งเป็นแสงสว่างที่ดี ถ้าใครได้เข้าใจ ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดได้มองเห็นและเข้าใจมันก็ยิ่งเป็นสันยาส อ้า, อย่างยิ่งอยู่เหมือนกัน ส่วนคนที่อวดดีและโง่เกินไปนั้นมันก็ช่วยไม่ได้ มันมีมานะทิฏฐิไม่เข้าใจอะไรได้ มันก็ช่วยไม่ได้ นี้เราเอาระดับเวไนยชนเป็นๆๆ มาตรฐาน ดังนั้นควรจะพูดกันรู้เรื่องว่าชีวิตมีชั้นมีระดับอยู่อย่างนี้แล้วพยายาม เลื่อนขึ้นไป เลื่อนขึ้นไป แล้วจะไม่เสียทีที่เกิดมาโดยเฉพาะเป็นมนุษย์ที่พบพระพุทธศาสนา
เรื่องที่น่านึกน่าคิดนะมีอยู่อย่างนี้ แล้วบางแผนก, กฎหมายโบราณมันมีคำ ๔ คำนี้หรือไม่ ตอนมนูธรรมศาสตร์นะมีคำว่า พรหมจารี, คฤหัสถ์, วานปรัสถ์ ,สันยาส หรือไม่? ไปเปิดดูใหม่สิ, มันน่าจะมีเพราะมันเป็นหลักการใหญ่ของมนูธรรมศาสตร์ซึ่งจะจำแนกเรื่องสังคมออกไปเป็นแขนงๆ แล้ววางกฎเฉพาะ เฉพาะๆ เรื่องพ่อแม่ปฏิบัติอย่างไรต่อลูก, ลูกปฏิบัติอย่างไรต่อพ่อแม่, เพื่อนบ้านปฏิบัติอย่างไรต่อเพื่อนบ้าน ในนั้นมันเป็นไอ้เรื่องปลีกย่อยจากที่ได้ ไอ้, ปันชีวิตไว้เป็น ๔ แบบเสียก่อน แล้วส่วนเรื่องกฎหมายเรื่องความยุติธรรมเรื่องนี้มันเป็นอีกๆ ส่วนหนึ่ง ตัวบทแท้ๆ ที่เป็นภาษาสันสกฤตแปลออกมาอ่านไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก เราอ่านในคำอธิบายของมันอีกทีหนึ่ง ทีนี้พวกๆ นักปราชญ์ในอินเดียก็ชอบอธิบายมนูธรรมศาสตร์ คือชี้ให้เห็น, ชี้ให้เห็นเป็นการ อ้า, แสดง ชี้ให้เห็นด้วยสภาพเป็นอยู่ของมนุษย์ในปัจจุบัน มันก็อ่านง่าย หนังสือก็ชื่ออย่างนี้แหละมนูธรรมศาสตร์ ลองๆ ไปหาซื้ออ่านดู ที่ร้านนิพนธ์ก็คงจะสั่งให้ได้ ดีมาก ก็เรื่องเซน ๑๐ ภาพ เรื่องภูมิ ๔ ภูมิของอภิธรรมนั้นเอามาคิดไปนึก ไอ้รูปภาพของเราที่เขียนนี้ คนที่ไม่รู้เรื่องก็หาว่าบ้า ภาพเลอะเทอะ เลอะเทอะ บ้าๆ บอๆ แต่ภาพแต่ละภาพนี้ไม่ใช่บ้า เป็น ไอ้, สัญลักษณ์ของวิชาความรู้ สัญลักษณ์ของแสงสว่างที่เขาเคยประสบกันมาแล้วก็บันทึกไว้ด้วยภาพ อ้าว, ค่ำแล้วคุณอรุณวดี เดี๋ยวกลับบ้านไม่ได้ เอาไปด้วยสิ ให้คุณถมยาไปบ้านคุณอรุณวดีบ้างจะมีประโยชน์ รู้แห่งหรือยังเรียกว่า สวนอุสมก็ลองไปเยี่ยมดู อย่างน้อยก็เอาต้นไม้ไปปลูกไว้สักต้น เขาชอบปลูกต้นไม้ ชอบไอ้, มีน้ำ มีอะไร มีที่ปลูกบัวมาก ยังมีที่ยังมี ไอ้ที่นั่นก็เป็นวานปรัสถ์สำหรับกรุงเทพฯ ได้ คือเมื่อเจ้าของบ้านเขาพยายามจะจัดบ้านนี้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมสำหรับเราจะเก็บตัว จะนั่งมองกันในด้านในอย่างนี้มันก็เป็นวานปรัสถ์ได้ ไม่ต้องไปถึงป่าถึงภูเขาที่ไหนก็ในกรุงเทพฯ มันก็ได้ ก็ได้พูดแล้วว่าแม้แต่ในบ้านของตัวก็ได้ หรือถ้าบ้านไม่มีที่กลางบ้านก็ห้องเฉพาะห้องใดห้องหนึ่งจัดไว้พิเศษเข้าไปในห้องนั้นก็เป็นวานปรัสถ์ไป บ้านมีหลายห้อง เป็นอยู่ป่าไป
มนูธรรมศาสตร์เขามีๆ เหตุผล ไม่ใช่ว่าถือไปตามอันนั้นว่าป่าก็ต้องเป็นป่าแล้ว ถ้าได้ผลเป็นเรื่องอยู่ป่าก็เรียกว่าป่าไปหมด นั่งในกลางโรงละครก็ได้ถ้าทำจิตใจให้ส่องเข้าไปแต่ในข้างในๆ ภายในแล้วก็ ในโรงละครนั้นก็เป็นป่าได้แต่มันทำยาก เพราะฉะนั้นก็เลือกเอาที่มันพอสะดวก ป่าอย่างนี้มันง่ายกว่าในโรงละคร ฝึกจิตในป่าง่ายกว่าใน...กว่าในโรงละคร ไอ้ๆ ไอ้โคลงกลอนของครูเทพยังจำได้นะตั้งนานแล้ว จำได้,ว่าอย่างนี้ ฝึกจิตในป่าง่ายกว่าในโรงละครแล้วก็เรื่อยไปจนจบบท
นี่ลงปาฏิโมกข์ธรรมะที่เรียกมานั่งพูดกันอย่างนี้เรียกว่าลงปาฏิโมกข์ธรรมะ ปาฏิโมกข์วินัยก็ลงไปที่ลงกันไอ้, อย่างที่วัดก็ลงที่ปาฏิโมกข์ ๑๕ วันครั้งหนึ่ง แต่นี้เราลงปาฏิโมกข์ธรรมะคือซักซ้อมเรื่องธรรมะ ถ้าไปในโบสถ์ลงอุโบสถอย่างนั้นก็เรียกซักซ้อมเรื่องวินัย ถ้าทั้งธรรมะ, ทั้งวินัยยังเป็นไปด้วยดีก็เรียกว่าพุทธศาสนายังอยู่ อ้าว, ปิด