แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ วันที่ ๒๔ เมษายน ๑๐ สำหรับพวกเราก็ได้เลื่อนมาถึงเวลา ๒๐.๐๐ น.แล้ว เป็นระยะเวลาที่เรากำหนดกันไว้ว่าจะได้พูดจากันในเรื่องใดเรื่องหนึ่งตามที่เห็นว่าสมควร ในวันนี้จะได้พูดกันถึงเรื่องผีๆสางๆตามที่นักศึกษาธรรมทูตน่าจะสนใจและสังวรกันไว้บ้าง ข้อสำคัญที่สุดนั้นมีอยู่ว่า ถ้าเราเข้าใจเรื่องนี้ผิดแล้วก็จะทำพุทธศาสนาให้กลายเป็นลัทธิผีสางหรือวิญญาณ หรืออื่นๆเป็นต้นไป โดยไม่รู้สึกตัวก็เป็นได้และอาจจะทำให้พระพุทธองค์ได้กลายเป็นวิญญาณ หรือผีศักดิ์สิทธิ์ ก็เป็นไปก็ได้ในที่สุด ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่น่าจะสนใจกันบ้างให้ถูกทาง เมื่อเผลอไปเข้าใจผิดในเรื่องนี้แม้แต่ในบทสวดทำวัตรที่เราสวดกันเมื่อตะกี้นี้ ก็มีบทสวดที่ทำให้คนบางคนทำแล้วรู้สึกเหมือนกับว่าพระพุทธองค์ยังคงมีวิญญาณหรืออะไรเหลืออยู่สำหรับรับ หรือพูดจา หรือต่อรอง ขอขมา รับการขอขมาหรืออะไรกันกับพวกเรา ถ้าใครไปมีความคิดอย่างนี้เข้า ก็จะกลายเป็นเรื่องการทำพระพุทธองค์ให้เป็นวิญญาณ หรือจะกลายเป็นผีชนิดหนึ่งไปในที่สุด เป็นที่น่าสลดสังเวชยิ่งนัก นี่แหละถึงได้ชวน สั่งให้สนใจในเรื่องนี้ตามที่เห็นว่าจะเป็นผลดีอย่างไร สำหรับเรื่องผีนี่ มีปัญหามากที่ถกเถียงกันอยู่ตลอดกาลคล้ายกับว่าเป็นปัญหาโลกแตก ปัญหาที่มาก่อนปัญหาอื่น ก็คือปัญหาที่ว่าผีมีหรือไม่มี ถ้าถามอย่างนี้ พวกเราธรรมทูต หรือแม้พุทธบริษัททั่วไปก็จะต้องตอบว่ามี มีอย่างแน่นอนด้วย แต่แล้วมันเกิดเป็นผีเหมือนอย่างที่เขานึกคิดกันหรือไม่ นั่นมันเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก แต่ว่าสิ่งที่เรียกว่า ผี หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในทำนองที่เป็นผี ตามที่เขาเข้าใจกันนั่นมีอยู่แน่นอน แต่ตัวจริงของมันจะเป็นอย่างไรในทัศนะของพุทธบริษัทนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง สำหรับข้อนี้ ผมอยากจะแสดงทัศนะ เป็นเพียงทัศนะให้ไปนึกไปคิดไปใคร่ครวญกันดู สิ่งที่เรียกว่า ผี นั้นมีจริง แต่ผีนั้นคืออะไร ถ้าอยากจะเข้าใจก็ต้องมาคิดกันใหม่ก่อนว่ามันเกิดมาจากอะไร ผมเห็นว่าสิ่งที่เรียกว่าผีนี่ เกิดมาจากอำนาจของอวิชชา ของคนรวมกันมากๆนั่นเอง ที่แท้หาได้เป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ หรือจิต หรืออะไรที่คนนึกคิดกันไม่ หากแต่เป็นกระแสในทางนามธรรมชนิดหนึ่งที่อวิชชาของมนุษย์จำนวนมากมักจะมาได้ช่วยกันสร้างขึ้น ในขั้นแรกขอให้มองดูกันก่อนในข้อที่ว่า สิ่งที่เรียกว่า จิตนี้เป็นกระแสอย่างหนึ่งที่มีอำนาจ จะมีความหมายอย่างใดอย่างหนึ่งในกระแสนั้น ในกระแสจิตนั้นจะมีความเข้มข้นมากในเมื่อมนุษย์จำนวนมากได้เชื่อ และเชื่ออย่างแน่นแฟ้นจริงๆ สิ่งที่จะทำให้เชื่ออย่างแน่นแฟ้นจริงๆก็คือ อวิชชา ความโง่ ความหลงอย่างรุนแรง และคนพวกนี้ก็มีปริมาณมาก มีความเชื่ออย่างนั้นลงไปจริงๆ โดยไม่รู้สึกตัว ดังนั้น จึงไม่ใช่เป็นเรื่องแกล้งทำ แต่เป็นเรื่องทำจริงสุดชีวิตจิตใจ จึงเชื่อรวมกัน เหมือนกัน ด้วยอำนาจอวิชชานั้นจึงมีปริมาณมาก ดังนั้น กระแสจิตของมนุษย์ทุกคนนี้จึงเข้มข้นมากเกิดเป็นอำนาจอะไรอันหนึ่งขึ้นมา ซึ่งถูกสมมุติเรียกว่า ผี อำนาจกระแสจิตของคนโง่ๆเขลาๆรวมกันมากๆเช่นนี้มีมากพอที่จะครอบงำจิตใจของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เพียงคนเดียวหรือหลายคนก็ได้ เมื่อใดเมื่อหนึ่งก็ได้ กระทั่งเขาเกิดความรู้สึกเป็นไปตามนั้นจริงๆ ความเชื่อในเรื่องผีก็เกิดขึ้นอย่างแน่นแฟ้น และสมบูรณ์ สิ่งที่เรียกว่าอวิชชา สร้างความเชื่อขึ้นมาผิดๆแก่คนจำนวนมาก และความเชื่อนี้เองจะมีอยู่เพียงใดก็หล่อเลี้ยงสิ่งที่เรียกว่าผี จนกว่าเมื่อไรความเชื่อชนิดนี้จะหมดไปจากมนุษย์ และสิ่งที่เรียกว่า ผี ก็จะค่อยๆจางลงๆและหมดไปเองในที่สุด ไม่ต้องมีใครฆ่า ไม่ต้องมีใครปราบ นอกจากสิ่งที่เรียกว่า วิชชาหรือสัมมาทิฏฐิ คือความรู้ ความเข้าใจถูกต้องนั่นเอง นี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่าผีซึ่งแท้จริงยิ่งกว่าผีอย่างอื่นๆอำนาจจิตที่เหนือกว่า ที่สามารถครอบงำใจของคนบางคน และทำให้รู้สึกไปเช่นนั้นจริงๆนี้ มันก็มีขึ้นมาได้ด้วยเหตุนี้ เพราะคนตั้งหมื่น ตั้งแสน ตั้งล้าน หรือเป็นล้านๆเชื่อกันแบบนี้ และเป็นเวลานานแน่นแฟ้นเพียงพอ สิ่งที่เรียกว่ากระแสจิตชนิดนี้สิงสถิตอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งก็ได้ แล้วแต่ว่าคนนั้นจะเชื่อกันอย่างไร เมื่อไปรุมเชื่อกันในสิ่งนั้น หรือสถานที่ตรงนั้นว่าเป็นอย่างนั้น อำนาจลึกลับชนิดนี้ก็จะเกิดขึ้นที่นั่นและจะครอบงำจิตใจบุคคลใดบุคคลหนึ่งได้โดยง่ายดายให้มีความรู้สึกตามนั้น เช่นตามที่เขาเชื่อกันว่าตรงนี้จะต้องเห็นภาพอย่างนั้นเห็นภาพอย่างนี้ก็จะต้องเห็นจริงๆ ตรงนี้ถ้าใครไม่ทำความเคารพก็จะชักดิ้นชักงอ ก็จะชักดิ้นชักงอจริงๆ เป็นเรื่องจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าหากว่าความเชื่อนั้นรุนแรงมากก็ ถ้าหากว่ากระแสจิต ความเชื่อนั้นมีมากและรุนแรงมากก็อาจทำให้คนที่ถูกครอบงำด้วยความเชื่อนั้นถึงตายได้ เมื่อเป็นดังนี้เราก็อาจอธิบายสิ่งที่เรียกว่า พระภูมิ หรือผีเรือน หรือเทพารักษ์ หรือปู่เจ้า และอะไรอีกมากมายได้โดยไม่ยากเลย ว่าสถานที่นั้นเป็นอย่างนั้นๆมีเรื่องมีราวมีประวัติอย่างนั้น แล้วก็จะเป็นอย่างนั้นจริงถ้าหากว่าคนทั้งหมดยังเชื่อกันอยู่อย่างนั้น ทีนี้เราก็มีแจกเป็นประเภทผีดีหรือผีดุ ผีดีก็คือช่วยคน เมตตา กรุณา สงสารคน ผีดุก็ทำร้ายคน นั่นก็เหมือนกัน มันมาจากคนจำนวนมากมีความคิดแบ่งแยกกันอยู่เป็นอย่างนั้น ผีดีก็ถูกเรียกว่าเป็นเทวดาเป็นอะไรทำนองนั้น ผีเลวก็เรียกว่าเป็นผีไปตามเดิม แต่เมื่อความคิดนั่นหรือกระแสจิตอันนั้นมีสถานที่จำกัดมีเวลาจำกัด หรือมีอะไรจำกัด มันก็เป็นข้อปลีกย่อยอีกอย่างหนึ่งเข้ามา แม้แต่ว่าจอมปลวกจอมหนึ่ง ก็จะกลายเป็นของศักดิ์สิทธิ์ไปได้ ถ้าหากว่ามีคนโง่มากเป็นพันๆหมื่นๆแสนๆระดมขึ้นเทความเชื่อด้วยอำนาจอวิชชาลงไปในจอมปลวกนั้น สิ่งที่เรียกว่ากระแสจิตนี้เป็นสิ่งที่อธิบายยาก แต่ว่ามีอยู่อย่างแน่นอน และก็ impress คือสิงอยู่ในที่ใด บุคคลใด ก็ได้ และมันก็จะเป็นเช่นนี้แหละในหมู่คนโง่เขลาทั้งหลาย แม้แต่จอมปลวกก็กลายเป็นของศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้ด้วยเหตุนั้น ในเมื่อคนฉลาดขึ้นๆ ไม่มีความเชื่ออย่างนี้หล่อเลี้ยงไว้ จอมปลวกนั้นก็คลายความศักดิ์สิทธิ์ไปเอง ไม่มีปัญหาอะไร ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หรืออะไรศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นอย่างเดียวกัน ผีเกิดขึ้นมาเพราะความโง่ของคน แล้วก็กลับทำอันตรายคน น่าจะพูดว่าสมน้ำหน้าความโง่ของคนเพราะทำอันตรายคนโดยไม่มีทางที่จะเป็นอย่างอื่นได้
ทีนี้ เรามาดูกันต่อไปอีกนิดหน่อยในเรื่องนี้ว่าทำไมผีจึงไม่มีในโลกของสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานตัวไหนกลัวผี สัตว์เดรัจฉานตัวไหนถูกผีหลอกบ้าง ไม่มีทางที่จะค้นพบได้ เพราะฉะนั้น สัตว์เดรัจฉานเช่น สุนัข เป็นต้น ก็ย่อมจะดีกว่าคนเพราะว่าไม่มีผีมาคอยรบกวน และก็จะชนะผีเสียด้วยซ้ำไป นี้เป็นที่เห็นได้ว่าในโลกของสัตว์เดรัจฉานนั้น ไม่มีผี ผีเพิ่งจะมีในโลกก็ต่อเมื่อมีคนที่ฉลาดกว่าสัตว์เดรัจฉาน เพราะฉลาดโง่นั่นเอง เมื่อแรกมีสัตว์ขึ้นมาในโลกก็ต้องมีแต่สัตว์เดรัจฉานก่อนเป็นแน่นอน ก็ยังไม่มีผี พอมีคน ครึ่งคนครึ่งสัตว์ก็ยังไม่มีผี จนเมื่อมีคนป่าแท้ๆขึ้นมาก็ยังไม่มีผี แต่เมื่อคนป่าค่อยๆฉลาดขึ้นมาจึงจะเป็นคนบ้านนี่แหละจึงจะมีผี เพราะว่ามันรู้จักคิด รู้จักนึกมากกว่าใคร จนสามารถสร้างความเชื่อระบบใดระบบหนึ่งได้ สร้างความกลัวอันเป็นที่หล่อเลี้ยงความเชื่อระบบใดระบบหนึ่งได้ มีความคิดไปในทำนองที่ให้รู้สึกว่ามีอะไรลึกลับ และก็มีความเชื่อในความลึกลับนั้นตามความเห็นของตัวซึ่งเป็นลักษณะของอวิชชา ความคิดทำนองที่ว่ามีอะไรศักดิ์สิทธิ์ ผีก็เกิดขึ้น แล้วก็ค่อยสอนกันให้มากขึ้น และก็ดำรงความเชื่อกันมากขึ้น ผีก็เลยสร้างสถาบันขึ้นมาได้สำเร็จบนความโง่ของมนุษย์นั่นเอง นี่ลองคิดดูให้ดีเถอะว่า ในโลกของสัตว์เดรัจฉานไม่มีผี แล้วมามีขึ้นในโลกของมนุษย์อย่างนี้ มันน่าละอายสักกระไร ก็เราจะรับมติความคิดความเห็นในเรื่องนี้กันอย่างไร
ทีนี้ เราลองมองดูถึงสมัยนี้ ความรู้และการศึกษาเจริญก้าวหน้าไปมากขึ้น ความเชื่ออย่างที่เคยมีอยู่แต่ก่อนนั้นมันจางไปๆ แม้แต่ความเชื่อห้าสิบปีในชั่วอายุผมนี้ ก็รู้สึกว่ามันจางไปมากเหลือเกิน ความเชื่อยิ่งจางไปเท่าไร ผีก็ค่อยๆจางลงเท่านั้น ในที่สุดก็หมดไปหลายอย่างหลายประการ แต่เป็นที่แน่นอนว่าถ้าคนยุคจรวดปรมาณูนี้กลับไปโง่ซ้ำรอยประวัติศาสตร์ ผีก็จะกลับมาอีก จะเป็นผีสาง พระภูมิ ผีเรือน หรือผีเทพารักษ์หรืออะไรก็ตามจะกลับมาอย่างสมบูรณ์อีก แต่ถ้าการศึกษานำไปในทางที่ไม่ได้มีความเชื่ออย่างนี้ ผีก็จะตายไปเองไม่ต้องมีใครฆ่า ไม่ต้องมีใครปราบ สำหรับพวกเรานักศึกษาธรรมทูต ขอได้โปรดสังวรณ์ระวังให้ดีเมื่อจะต้องตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่ว่าในที่ไหนๆ ไม่ว่าในเมืองไทยหรือว่าในต่างประเทศ ขอให้ระมัดระวังข้อแรกที่สุดก็คือว่า อย่าได้ทำพระพุทธเจ้าให้กลายเป็นผีไปเสีย แม้ในประเทศไทยนี้ก็อย่าได้ทำพระแก้วมรกตให้กลายเป็นผี ที่ชอบฝังไข่กับปลาร้าไปเสีย เป็นที่น่าสลดสังเวชและน่าละอายอย่างยิ่งสำหรับพุทธบริษัทเรา ถ้าทำไปในลักษณะเช่นนั้น พระพุทธรูปบางองค์ศักดิ์สิทธิ์ แต่ศักดิ์สิทธิ์ในทำนองของผี ไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์ไปในทำนองของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ยิ่งเป็นพระสาวกของอวิชชาในนามของพุทธบริษัทนั่นได้ทำขึ้นมา แม้แต่เศียรของพระพุทธรูปก็กลายเป็นผีไปได้ พระเครื่องรางก็กลายเป็นผี ศักดิ์สิทธิ์ไปได้ทั้งที่เป็นรูปของพระพุทธรูป เพราะว่าได้ไปทำให้มีความศักดิ์สิทธิ์ในทำนองนั้นขึ้นมา เข้าใจไหมว่าคนสักสองสามร้อยคนมีความเชื่อว่าพระเครื่องรางองค์นี้มีความศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นอย่างนี้เข้าแล้ว วัตถุเล็กๆนั้นก็จะมีกระแสจิตที่โง่เขลาอย่างยิ่งนั้น ฝังอยู่จริงๆจังๆแล้วก็ไปทำให้ใครคนใดคนหนึ่งเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งในทางดีหรือทางร้ายก็ตามได้เช่นนั้นเหมือนกัน นี้คือการทำให้พระพุทธรูปให้กลายเป็นผีชนิดหนึ่งไปแล้ว แต่แล้วเขาก็เรียกว่า พระพุทธเจ้า เรียกว่า อานุภาพของพระพุทธเจ้า เรียกว่า พระพุทธคุณ นี้เป็นการกบฏทรยศซึ่งปล้นเอาไปซึ่งๆหน้า ไม่ใช่เรื่องของพุทธบริษัท ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าแต่ประการใด
หวังว่าพวกเรานักศึกษาธรรมทูตจะได้สนใจเป็นพิเศษด้วย อย่าให้เขาปล้นเอาพระพุทธเจ้าไปซึ่งๆหน้า และเอาไปทำให้เป็นผี เป็นเทวดา หรืออย่างใดอย่างอื่นไป เหมือนที่เห็นกันอยู่และเชื่อกันอยู่ อันนี้มันเป็นการทำให้พระพุทธรูปได้กลายเป็นผี หรือเป็นรูปเจว็ดในที่สุด พระพุทธรูปจะต้องเป็นวัตถุอนุสรณ์แห่งพระพุทธเจ้าแห่งพระพุทธองค์ สำหรับส่งกระแสจิตของเราผ่านสิ่งนี้ไปให้มันทะลุไปยังพระพุทธเจ้าพระองค์จริงซึ่งยังทรงอยู่ด้วยพระคุณจะเป็นผี เป็นเทพารักษ์ เป็นเจว็ดอะไรไปไม่ได้ แต่เราจะไม่ทำให้พุทธศาสนาอันประเสริฐสุดของเรานี้ กลายเป็นลัทธิที่เชื่อในวิญญาณอย่างคนที่โง่เขลางมงายก่อนพระพุทธกาลขึ้นมาอีก การเชื่อว่ามีผีมีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์หรืออะไรทำนองนั้น มันไม่ควรจะมีเข้ามาปะปนอยู่ในพุทธศาสนา อย่ามาเกี่ยวข้องกันพัวพันกับพระพุทธรูป หรือวัตถุศักดิ์สิทธิ์ในพุทธศาสนาแต่ประการใดเลย ถึงแม้ว่าเรื่องราวในพระไตรปิฏกของเรา จะมีกล่าวถึงผี ถึงอะไรทำนองนั้น ก็ขอให้เข้าใจว่าผีเป็นผลิตภัณฑ์ของความเชื่อที่เป็นไปอย่างรุนแรงด้วยอำนาจของอวิชชาดังที่กล่าวมาแล้ว มันแสดงออกมาในคนนั้นคนนี้ตามเรื่องตามราวของมัน จะขจัดไปได้ก็ต้องขจัดด้วยวิชชา หรือสัมมาทิฏฐิเสมอไป
สำหรับเรื่องเทวดาเป็นฝูงๆในสวรรค์ หรือที่อื่นที่จะมาเฝ้าพระพุทธเจ้าหรือจะมาเกี่ยวข้องกันกับมนุษย์นั้น เมื่ออธิบายอย่างไรไม่ได้ ก็ทิ้งเอาไว้เสียก่อน ถ้ามีทางที่จะอธิบายให้มีประโยชน์ได้จึงค่อยอธิบาย การอธิบายเดาๆสุ่มๆไปนั้นไม่ควรกระทำ และอาจจะเป็นเพียงเรื่องซึ่งไม่ได้มีตัวจริง หากแต่ว่าคนในอินเดียสมัยนั้นเขาเชื่อกันอยู่อย่างนั้น ไปลบล้างไม่ได้ ก็ต้องฉวยโอกาสนั้นเป็นเครื่องมือสำหรับเผยแผ่ธรรมะ หรือเป็นเครื่องมือสำหรับช่วยให้หันมาสู่พุทธศาสนา ให้หันมานับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งดีกว่าพวกเทวดาเหล่านั้นจนพวกเทวดาเหล่านั้นก็ยอมรับนับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จนบางคนไปประณามผู้ที่นำสูตร เช่นว่าด้วยเรื่องพระอาทิตย์ พระจันทร์ถูกราหูจับ และกล่าวคำศักดิ์สิทธิ์ เอ่ยชื่อ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทำให้ราหูถูกปล่อย นี้ว่าเป็นเรื่องเหลวไหลหรือว่าเรื่องแปลกปลอมเข้ามา ผมพิจารณาแล้วรู้สึกว่า นี้เป็นวิธีการเผยแผ่พุทธศาสนาต่างหาก คือแสดงในข้อที่ว่าแม้แต่เทพเจ้าที่เชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์แห่งสมัยนั้น คือพระอาทิตย์ก็ดี พระจันทร์ก็ดี พระราหูก็ดี ที่เชื่อกันในสมัยนั้นก็ล้วนแต่พ่ายแพ้แต่อำนาจของพระพุทธเจ้า ต้องพึ่งพระพุทธเจ้า ต้องยอมแก่พระพุทธเจ้าทั้งนั้น นี่เป็นความมุ่งหมายของการมีเรื่องนี้และจะมาให้ยืนยันว่ามีสิ่งเหล่านี้จริงๆ หรือมีเทพเจ้าเหล่านี้จริงๆนั้น มันเป็นอีกปัญหาหนึ่งต่างหาก ไม่อยู่ในขอบเขตของพวกเรา เพราะว่ามันเป็นกรรมสิทธิ์ของเดิมเขา คือ เขาเชื่อกันอยู่ก่อนแล้วก่อนพระพุทธเจ้า ถ้าเราจะฉวยประโยชน์จากความเชื่อของเขามาเป็นประโยชน์แก่พุทธศาสนาก็ต้องทำไปในรูปนี้ทั้งนั้น ให้เทพเจ้าเหล่านั้นมาเป็นข้าทาสบริวารในพุทธศาสนาให้หมด ที่จริงเรื่องเทวดาในพุทธศาสนานี้มีมากกว่าที่เรารู้จักกันเดี๋ยวนี้เสียอีก มักเห็นสลักที่เมืองภารหุต สลักรูปเทวดาไว้มากมายก็เป็นความสำคัญทั้งนั้นทั้งเทวดาผู้หญิง เทวดาผู้ชาย แต่ในที่สุดก็เป็นในลักษณะที่เรียกว่าเป็นส่วนประกอบหรือเป็นส่วนที่ปลีกย่อยเพื่อเทิดทูนพระพุทธศาสนาส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง มิได้มีความหมายมากถึงกับจะเป็นสถาบันของเทพเจ้าขึ้นมาได้ กลายเป็นของฝอยหรือของปลีกย่อยเพื่อสนับสนุนพระพุทธศาสนาไป เอาไปในทำนองนี้เกี่ยวกับเทวดา ลองคิดดูว่ามันมีข้อเท็จจริงอย่างไรที่เราจะต้องพูดถึงเรื่องนี้ หรือวิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ในลักษณะที่ไม่เป็นภัยแก่พุทธศาสนาเอง ถ้าขืนปนกันยุ่งหรือสับสนแล้ว พุทธบริษัทนั่นแหละที่จะทำลายพุทธศาสนาโดยทำให้กลายเป็นลัทธิโง่เขลางมงาย ทางด้านผีสาง ทางด้านวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อะไรทำนองนั้นไปโดยไม่รู้สึกตัว เหมือนที่ได้กล่าวมาแล้วนั่นเอง
เท่าที่กล่าวมานี้ ก็พอจะเป็นการชี้ให้เห็นได้แล้วว่าขอบเขตของพุทธบริษัทเรา หรือว่าเรื่องผีสางที่อยู่ในขอบเขตที่พุทธบริษัทเราจะเกี่ยวข้องด้วยในการที่จะพูด หรือจะอธิบาย หรือจะตอบปัญหานั้นมีอยู่อย่างไร มีอยู่เท่าไร เราอย่าทำให้เลยขอบเขต และอย่าทำให้เขวออกไปนอกทางของสัมมาทิฏฐิหรือของวิชชา เรามิได้ปฏิเสธว่าที่ศาลพระภูมินั้นไม่มีอำนาจอะไรเลย แต่เรารู้สึกว่าเป็นที่รวมของอำนาจที่ร้ายกาจอันหนึ่งที่เกิดมาจากอวิชชาและความโง่เขลาของมนุษย์ที่ไปใส่ๆสุมๆกันเข้าไว้ที่นั่น จนเกิดอำนาจศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้ แสดงเป็นปรากฏการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งออกมาได้ และเมื่อใดคนเหล่านั้นกลายเป็นคนมีสัมมาทิฏฐิและวิชชาไป อำนาจนั้นก็สูญหายไป และหมดความหมายทำอะไรใครไม่ได้ แม้แต่สุนัขก็เยี่ยวรดได้ นี่เป็นอันว่า เรายังคงถือหลักพระพุทธศาสนาไปตามเดิมว่าสิ่งทั้งหลายมีเหตุมีปัจจัย สิ่งทั้งหลายต้องเป็นไปตามอำนาจเหตุปัจจัย และเป็นไปตามอำนาจกฎนั้น กฎธรรมชาตินั้น แม้แต่คนแท้ๆก็ยังไม่มีตัวไม่มีตนอยู่แล้ว มนุษย์เราก็ยังไม่มีตัวไม่มีตนอยู่แล้ว จึงเป็นแต่เพียงกลุ่มแห่งเหตุแห่งปัจจัยไหลเรื่อยเอื่อยไปเท่านั้น และสิ่งที่เรียกว่าผีสางทำนองนั้นจะมามีตัวมีตนยิ่งไปกว่าคนกระไรได้ มันเป็นเพียงผลิตผลในทางนามธรรม หรือวิญญาณธาตุที่เกิดมาจากความโง่ หรืออวิชชาของมนุษย์เรียงๆกันเท่านั้น จะเป็นไปตามกระแสแห่งเหตุปัจจัยเกิดขึ้นมาได้ ก็ต้องดับไป เมื่อเกิดมาได้ด้วยอำนาจของอวิชชาก็ต้องดับไปด้วยอำนาจของวิชชาหรือสัมมาทิฏฐิอย่างแน่นอน จึงขอให้ระมัดระวัง อย่าได้เผลอทำตนไปเป็นสาวกของผีสางหรือเทวดาเหล่านั้นโดยไม่รู้สึกตัว ทั้งที่เราอยู่ในผ้ากาสาวพัสตร์อันเป็นเครื่องหมายของพระพุทธองค์ เผลอเมื่อไร เป็นได้ไปเป็นสาวกของผีสางเทวดาเหล่านั้นโดยไม่ต้องสงสัยเลย และก็จะหมดความเป็นพุทธบริษัทอย่างยิ่งนี่เป็นข้อที่ต้องระวัง อย่าให้พุทธศาสนานี้มีลัทธิเจตภูติ ลัทธิอัตตา ลัทธิชีโว อะไรเกิดขึ้นมา ให้พุทธศาสนายังคงเป็นลัทธิธาตุมัตตะโก นิสสัตโต นิชชีโวต่อไปอย่างเดิม แม้แต่คนก็ไม่ได้มีอัตตาชีโว เป็นธรรมชาติเป็นไปตามเหตุและปัจจัย ทีนี้ผีที่เป็นผลิตภัณฑ์ของอวิชชาก็เป็นเรื่องเล็กน้อยเกินไป ที่จะมาเป็นอะไร หรือเป็นคู่แข่งกับคนได้ ที่ให้คนต้องกลัว ดังนั้นเราจึงไม่ต้องกลัวผี หรือง้อเทวดา เราก็ต้องสอนให้ไม่กลัวผีจนได้ และไม่ต้องง้อเทวดาอีกต่อไป จึงจะสมกับหน้าที่ของพระธรรมทูตผู้ทำตนเป็นแสงสว่างอันส่องแสงสว่างไสวแด่ชาวโลกทั้งมวล นี้คือธรรมทูตคือ ทูตแห่งพระธรรมสำหรับกำจัดผี สำหรับปราบผีให้หมดไป แม้ในผืนแผ่นดินไทย ภาคไหนของประเทศไทยมีผีชุมก็รู้เลยว่าที่นั่นยังขาดสัมมาทิฏฐิ จงช่วยกันนำสัมมาทิฏฐิไปสู่ภาคนั้น ไปเผยแผ่สั่งสอนให้มาก ให้มีวิชชา สัมมาทิฏฐิเกิดขึ้น แล้วผีปอบ ผีปาบ ผีอะไรก็สุดแท้จะไม่มีเหลืออยู่ในถิ่นนั้น ในภาคนั้นอีกต่อไป นี่แหละคืองานของพระธรรมทูต ลองอ่านเรื่องการส่งพระสาวกไปแผ่พระศาสนาครั้งพระเจ้าอโศกเป็นสายๆไป แต่ละสายๆก็มีการกล่าวถึงเรื่องไปปราบผี ปราบยักษ์ ปราบรากษส ปราบอะไรทั้งนั้น ขอให้คิดว่านั่นก็เป็นเรื่องเดียวกันกับเรื่องนี้ ในถิ่นนั้นมีความโง่มาก มีผี มีรากษส มีอะไรต่างๆ พระสาวกที่ถูกส่งไปนั้น ได้ไปปราบให้หมดไป ด้วยอำนาจของพระพุทธศาสนา ด้วยวิชชาหรือสัมมาทิฏฐินั่นเอง ไปปราบ ในที่บางแห่งยังระบุสูตรเช่นกาลามสูตร เป็นต้นได้เลยว่าไปปราบผี ปราบยักษ์ ปราบอะไรได้ อันนี้เป็นเรื่องของสัมมาทิฏฐิไปปราบอวิชชาซึ่งเป็นต้นตอของผีสางเทวดาอะไรทำนองนั้นให้หายไปจากจิตใจของมนุษย์ ลัทธิอันซึ่งมีหลายๆแขนงได้สูญสิ้นไปจากจิตใจมนุษย์นับแต่นั้น นับว่าเขาได้รับประโยชน์ได้รับอานิสงค์เหลือประมาณ จากการเผยแผ่พุทธศาสนาของพระสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หวังว่าพวกเราทั้งหลายคงจะได้กระทำกันไปในทำนองนั้น ต่อไปด้วย ในเรื่องอันเกี่ยวกับผีๆสางๆ หรือเทวดาหรือว่าอะไรทำนองนี้ ให้กลายเป็นเรื่องดับทุกข์ของมนุษย์ไปในที่สุด ไม่มีปัญหาที่จะจมลงไปในทะเลของความโง่เขลาอีกครั้งหนึ่ง จึงหวังว่าจะเป็นที่สนใจของท่านพรหมจารีย์ทั้งหลาย นำไปคิดไปนึกแล้ว ทำให้สำเร็จประโยชน์โดยสมควรแก่ความสามารถของตนจงทุกองค์เทอญ เวลาสำหรับพูดจาของเราก็สิ้นสุดลงในตอนนี้