แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้วันที่ ๒๔ เมษายน ๑๐ สำหรับพวกเราได้ล่วงมาถึงเวลา ๕.00น.แล้ว เป็นเวลาที่เรากำหนดกันไว้ว่าจะพูดจาเรื่องใดเรื่องหนึ่งกันเป็นประจำวัน วันนี้จะได้กล่าวถึงเรื่องชาตินี้ชาติหน้า เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญแก่คนทุกคนในฐานะที่เป็นปัญหา และพวกธรรมทูตก็จำเป็นที่จะต้องสอนเรื่องนี้ นอกจากจะเป็นเรื่องที่จะถูกถามแล้ว ยังเป็นเรื่องที่จะถูกถามหรือไม่ถูกถาม ก็เป็นเรื่องที่จะต้องสอนให้รู้จักให้เข้าใจในการปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่แล้วมาได้สังเกตเห็นว่าความเข้าใจผิดในเรื่องนี้มีอยู่มากทีเดียว เมื่อเข้าใจผิดก็ทำให้การปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องนี้พลอยผิดไปด้วย หรือไปสนใจในทางหรือในแนวที่ผิดๆ การที่จะสันนิษฐานหรือแม้แต่ตัดสินลงไปว่าเรื่องใดถูกเรื่องใดผิด ก็มีปัญหาอยู่บางอย่าง คือถ้าเป็นเรื่องที่ไม่อาจจะเอามาแสดงกันได้โดยเปิดเผยชัดเจน มันก็กลายเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับเหตุผล และมักจะเป็นเหตุผลของการพูดจาเสียมากกว่า เช่น เรื่องโลกหน้า เป็นต้น ดังนั้น มันมีทางออกอีกทางหนึ่งที่จะวินิจฉัยหรือตัดสินเกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่ว่า ความเห็นหรือเหตุผลนั้นจะต้องฟังดูอีกทีหนึ่งว่า การกล่าวลงไปเช่นนั้นมันมีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ ถ้ามันมีประโยชน์ก็ต้องนับว่าเป็นการสันนิษฐานหรือความเข้าใจที่ถูกต้อง ถ้ามันเป็นประโยชน์กว่าก็ต้องถือว่าถูกต้อง ถ้ามันเป็นประโยชน์เต็มที่ ในเมื่อความเห็นอีกทางหนึ่งไม่มีประโยชน์อะไรเลยอย่างนี้ก็ต้องเอาอย่างที่เป็นประโยชน์เต็มที นี่แหละเรื่องเกี่ยวกับชาติหน้าหรือชาติอื่น ที่เอามาให้ดูไม่ได้ เพราะไม่ใช่เรื่องวัตถุจะต้องเป็นไปในทำนองที่ว่า ความคิดเห็นหรือหลักเกณฑ์อย่างไรเป็นประโยชน์ ความคิดเห็นหรือหลักเกณฑ์อันนั้นถูกต้อง การที่จะสอนเรื่องโลกหน้ากันไปตามตัวหนังสือหรือตามที่เข้าใจที่นำสืบๆ กันมาอย่างหลับหูหลับตานั้น อาจจะกลายเป็นผู้ทำผิดหรือเป็นผู้โง่เขลาเกี่ยวกับเรื่องนี้เสียเอง ดังนั้น เราในฐานะที่เป็นนักศึกษาธรรมทูตจะไม่ตกหลุมตกบ่อของตัวเอง ของความโง่เขลาของตัวเองมากเหมือนอย่างนั้น ยิ่งตั้งอยู่ในฐานะที่จะไปสอนเขาด้วยแล้ว ก็ต้องระวังให้ดีหรือควรจะรับผิดชอบให้เต็มที่ ให้มันเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ จึงจะเรียกได้ว่า ถูกต้อง
ที่นี้เราจะได้พูดกันถึงเรื่องชาตินี้ชาติหน้าโลกนี้โลกหน้าต่อไป ข้อนี้มันเกี่ยวกับคำว่าชาติ คือ ความเกิดเป็นส่วนใหญ่ สิ่งที่เรียกกว่าความเกิดนั้น มันต้องรู้กันด้วยว่า เป็นความเกิดของอะไร เป็นความเกิดของเนื้อหนัง ร่างกาย หรือว่าเป็นความเกิดของจิตใจ แน่นอนความเกิดนั้นต้องเป็นความเกิดของตัวเรา หรือตัวกู แต่มันยังมีสองอย่างอยู่ คือ เกิดทางร่างกาย หรือเกิดทางจิตใจ ตัวเราเกิดทางร่างกายคือเกิดจากท้องแม่ เกิดทีเดียวก็เสร็จไปตลอดชาติ แต่ว่าการเกิดทางจิตใจนั้นเกิดได้เรื่อยไป วันหนึ่งเกิดได้หลายๆหน หรือหลายสิบหน ปัญหาจึงมีขึ้นเป็นชั้นแรกว่า ความเกิดชนิดไหนเป็นความเกิดที่เป็นปัญหาสำหรับมนุษย์เรา ที่เราจะต้องรู้ ที่เราจะต้องเอาชนะให้ได้ โดยมีหลักอยู่ว่า ความเกิดเป็นทุกข์ หรือความเกิดทุกทีเป็นทุกข์ทุกที ถ้าเกี่ยวกับความเกิดจากท้องแม่มันก็เป็นเรื่องเสร็จสิ้นไปแล้ว ไม่มีปัญหาอะไรเหลืออยู่ แต่ถ้าเป็นการเกิดทางจิตใจ มันยังจะเกิดอยู่เรื่อยไป คือมันยังจะมีความทุกข์อยู่เรื่อยไป นี่เป็นการ เกิดทางใจ ทางนามธรรม เป็นการเกิดของอุปาทานว่า ตัวเรา ของเรา พระพุทธองค์ก็ได้ตรัสว่า เบญจขันธ์ที่ประกอบอยู่ด้วยอุปาทานนั้นเป็นทุกข์ เบญจขันธ์ที่ไม่ประกอบอยู่ด้วยอุปาทานไม่เป็นทุกข์ ด้วยเหตุนี้เราพอจะจับหลักได้ว่า เบญจขันธ์มีอุปาทานว่าตัวกู ของกูขึ้นในขณะใด ขณะนั้น เบญจขันธ์นั้นจะต้องมีความทุกข์ ด้วยมีการยึดถือเบญจขันธ์นั้นเอง ว่าเป็นตัวกู บ้างก็ว่าเป็นของกูบ้าง ในขณะใดเบญจขันธ์ปราศจากความรู้สึกว่าอุปาทาน ในขณะนั้นก็ไม่เป็นทุกข์ เบญจขันธ์ของพระอรหันต์เรียกว่า เบญจขันธ์บริสุทธิ์ ปราศจากกิเลสอุปาทานจึงไม่เป็นทุกข์ตลอดเวลาตลอดกาล ส่วนเบญจขันธ์ของคนตามธรรมดานั้น เดี๋ยวก็เกิดอุปาทาน เดี๋ยวก็เกิดอุปาทาน มีความรู้สึกไปในทำนองตัวกูของกู เกิดอยู่บ่อยๆ จึงเป็นทุกข์บ่อยๆ พร้อมที่จะเกิดและเป็นทุกข์ และง่ายดายที่จะเกิดและเป็นทุกข์ มันแตกต่างกันอยู่อย่างนี้ นี่คือการเกิด และเป็นการเกิดของตัวกู หรือของกูในทางนามธรรมหรือทางจิต
ดังนั้น สิ่งที่เรียกว่าชาตินี้หรือชาติหน้า ในทางฝ่ายร่างกายและทางฝ่ายนามธรรมมันจึงต่างกันอย่างยิ่งอีกเหมือนกัน ชาติหน้าฝ่ายร่างกายหรือฝ่ายวัตถุนั้นมันต้องเข้าโลงตาย เข้าโลงเน่าไปแล้วจึงจะมีชาติหน้า ส่วนเรื่องชาติหน้าของการเกิดฝ่ายนามธรรมหรือฝ่ายจิตมีสลับกันอยู่ในชาตินี้ และกระทั่งแม้ในวันนี้ มีชาตินี้ชาติหน้าสลับกันอยู่ จนกล่าวได้ว่า ในกรณีที่มีความรู้สึกว่า ตัวกู ของกูเกิดขึ้นครั้งหนึ่งนั้น ก็คือชาติหนึ่ง พอกรณีนั้นสิ้นสุดไปก็เรียกว่าชาตินั้นสิ้นไปพร้อมที่จะมีชาติหน้าใหม่ คือจะมีกรณีที่ทำให้เกิดตัวกูของกูต่อไปใหม่ นี่เรียกว่าระหว่างชาตินี้กับชาติหน้า แม้ภายในวันหนึ่งก็มีได้หลายชาติ ผลที่ทำไว้ในชาติที่แล้วมา คือในกรณีก่อนจะมีความทุกข์เกิดขึ้นในกรณีหลัง อย่างนี้เป็นสิ่งที่แน่นอน เห็นได้ชัดด้วยตาดัวยใจอย่างชัดแจ้ง เปิดเผย ซึ่งตัวกูเกิดขึ้นกระทำไปอย่างโจร เสร็จแล้วตัวกูก็เกิดขึ้นในลักษณะที่กลัวความผิดหรือร้อนใจ ก็คือตัวกูกระทำความชั่วไว้ในกรณีแรกที่กระทำอย่างโจร แล้วตัวกูก็เป็นทุกข์ในกรณีหลังที่เกิดตัวกูรู้สึกในเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วก็ร้อนใจและเป็นทุกข์อย่างนี้เป็นต้น เรียกว่าผลในชาติก่อนให้ผลแล้วในชาติถัดมา ดังนั้น ในวันหนึ่งจึงมีการเกิดตัวกู ของกูอย่างนี้ได้หลายๆ ชาติ มีทั้งชาตินี้มีทั้งชาติหน้า ถ้าจะเรียกอีกอย่างหนึ่งก็เรียกว่า เป็นกรณีๆไปทีเดียว กรณีหนึ่งก็คือชาติหนึ่ง แต่คำว่า กรณี กรณีในที่นี้ต้องสมบูรณ์จริงๆ คือ เป็นกรณีที่มีความรู้สึกเป็นตัวกู ของกูเกิดขึ้นมาอย่างสมบูรณ์เรียกว่า การเกิดขึ้น การตั้งอยู่ การดับไปโดยสมบูรณ์ ในกรณีของการที่อุปาทานได้เกิดขึ้น การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปของจิตในขณะจิตตามธรรมดานั้นไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้และไม่มีความหมายอะไร การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ของอุปาทานเนื่องด้วยตัวเรา เนื่องด้วยของเรานี้มีความหมายเต็มที่ และปัญหาอยู่ที่นี่ ดังนั้น จึงต้องจัดการเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ดีๆ ให้เห็นว่ามันอยู่ใกล้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ เราจึงจะกำจัดความทุกข์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ คนโง่ย่อมคิดไกลเกินไปจนไม่มีประโยชน์ คนโง่ก็ไปคิดเอาสิบเบี้ยไกลมือ คนฉลาดไปคิดเอาหนึ่งเบี้ยสองเบี้ยใกล้มือ นี่เป็นคำพูดพื้นบ้าน ซึ่งดูเหมือนจะมีอยู่ทั่วไป ว่าคนโง่คิดไกลอย่างนี้ เพราะฉะนั้นชาติหน้าของคนโง่จะต้องอยู่ไกล หลังจากตายเน่าเข้าโลงไปแล้วเสมอ แต่ชาติหน้าของคนฉลาดจะอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้ติดต่อกันไปทีเดียว จึงสามารถป้องกันมันได้ คนโง่จะเอาเรื่องเหตุไว้ที่ชาติอื่น เอาผลไว้ที่ชาติอื่น แล้วมันจะทำกันได้อย่างไร เช่นว่าเดี๋ยวนี้เราจะมีความทุกข์ เราต้องการจะตัดต้นเหตุของความทุกข์ ถ้าเราเอาเหตุของความทุกข์ไปไว้ที่ชาติอื่น หรือชาติที่แล้วมา อย่างนี้มันจะตัดต้นเหตุของความทุกข์ได้อย่างไร นี่พูดถึงชาติทางร่างกาย มันต้องอยู่ในชาติทางร่างกายเดียวกันนี้ทั้งเหตุและทั้งผล เราจึงจะสามารถตัดต้นเหตุแห่งความทุกข์นั้นได้ และได้รับผลเป็นความไม่ทุกข์ได้ สิ่งต่างๆต้องอยู่ในวิสัยที่เราจะเกี่ยวข้องได้ จัดการได้มันจึงจะเป็นประโยชน์ ถ้าเอาไปไว้เสียคนละชาติแล้วมันแทบจะไม่มีประโยชน์อะไร และในบางกรณีมันทำไม่ได้ เหมือนกับกรณีที่เราจะดับทุกข์ของชาตินี้แต่เหตุมันไปอยู่ที่ชาติก่อนนู้นแล้วมันจะไปดับได้อย่างไร
ที่นี้ เรามาคิดดูกันใหม่ว่าอะไรบ้างที่จะต้องนึกเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในฝ่ายชั่วฝ่ายเป็นทุกข์จะนึกถึงสิ่งที่เรียกว่า อบาย คือ ความทุกข์ หรือความเสื่อม ความไม่เจริญ ความทนทรมาน จำแนกเป็น นรก เดรัจฉาน เปรต อสูรกาย ความรู้ที่ได้มาจากภาพเขียนฝาผนังโบสถ์แสดงว่า ตายเน่าเข้าโลงไปแล้วจึงจะไปเป็น นรก เดระฉาน เปรต อสูรกาย อย่างใดอย่างหนึ่ง นั่นมันเป็นเรื่องทางร่างกาย เกี่ยวกับความเกิดทางร่างกาย อยู่ไกลเป็นวิสัยของคนโง่ คนโง่ที่จะต้องขู่ต้องหลอกด้วยเรื่องอย่างนี้จึงจะเชื่อจึงจะทำความดี นี่เป็นเรื่องของคนโง่ คนฉลาดไม่ต้องถูกขู่ ถูกหลอกเช่นนั้น ชี้ให้เห็นได้ว่ามันอยู่ใกล้ๆ กำลังจะมาให้ระวังให้ดี ข้อนี้หมายความว่านรกนั้น คือ ความร้อนใจเหมือนไฟเผา จะเป็นนรกชนิดไหนก็ต้องมีความหมายอย่างนี้ทั้งนั้น ถ้าไม่ใช่อย่างนี้แล้วไม่ใช่นรก เมื่อใดจะมีความร้อนใจอย่างไฟเผาแล้วให้รู้เถิดว่านั่นแหละจะตกนรก และเมื่อใดได้ร้อนใจเข้าแล้วก็เป็นการตกนรกแล้ว จะร้อนใจด้วยเหตุใดก็ตาม กระทำความชั่วหรือเพราะสิ่งต่างๆไม่เป็นไปตามความต้องการก็ตาม ความร้อนใจที่สุมเผาเหมือนกับไฟก็ต้องเรียกว่า นรก เช่น คู่ครองไม่ซื่อสัตย์มีความร้อนใจเป็นไฟเผา อย่างนี้มันเป็นนรกชนิดหนึ่ง ทำผิด กลัวอยู่ร้อนใจเป็นไฟเผานี่ก็เป็นนรกชนิดหนึ่ง เหมือนข้อความในคัมภีร์ที่กล่าวไว้ว่า นรกมีหลายชนิด ๑๘ ชนิดคืออะไรไปคิดเอาเอง มีอยู่ต่างๆ กัน ความหมายของนรกที่แท้จริงคือ ร้อนใจเหมือนไฟเผา แม้จะถูกจับไปต้มไปแกง แต่ถ้าไม่เป็นทุกข์เดือดร้อนมันก็ไม่ใช่นรก ถ้าร้อนใจเหมือนไฟเผาแล้วแม้นั่งอยู่ที่นี่เฉยๆ มันก็เป็นนรก ร้อนใจเมื่อไรเป็นตกนรกเมื่อนั้น ฉะนั้น วันหนึ่งอาจตกนรกได้หลายหน เพราะมันเกิดหลายชาติ มันมีการรับผลหลายๆ ชาติ
อบายที่สองคือ เดรัจฉาน เป็นเดรัจฉานได้เมื่อมีความคิดอย่างสัตว์เดรัจฉาน คนนี่แหละมีความคิดอย่างสัตว์เดรัจฉานเมื่อใดก็เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเมื่อนั้น ความหมายของสัตว์เดรัจฉานคือ ความโง่ เมื่อใดมีความโง่อย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อนั้นเป็นสัตว์เดรัจฉานแล้ว เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานแล้วระวังให้ดีๆ เมื่อใดมีความโง่อย่างไม่น่าจะโง่ โง่อย่างดักดานก็เป็นสัตว์เดรัจฉานขึ้นมา วันหนึ่งอาจจะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานได้หลายหนก็ได้ ที่นี่และเดี๋ยวนี้และใกล้ๆ นี่เอง
สำหรับอบายที่สามนั้น เปรต นี้มีความหมายเป็น ความหิว คอแห้งอยู่เสมอ อยากจะเป็นนักปราชญ์ อยากเป็นบัณฑิตมีชื่อเสียงด้วยความหิวกระหายคอแห้งอยู่เสมอ ก็คือเป็นเปรตชนิดหนึ่งด้วยเหมือนกัน อยากในเรื่องเงินเรื่องทองเรื่องกามารมณ์ หิวกระหายคอแห้งอยู่เสมอ ก็เป็นเปรตชนิดหนึ่งด้วยเหมือนกัน ถ้ามีอาการท้องเท่าภูเขาปากเท่ารูเข็ม มันสนองความอยากได้ไม่ทัน มันจึงต้องหิวเหมือนจะขาดใจอยู่เสมอ เมื่อใดใครมีอาการอย่างนี้ คนนั้นก็เป็นเปรตแล้ว วันหนึ่งอาจเป็นเปรตได้หลายหนก็ได้
อบายอันสุดท้ายต่อไปอีก อสูรกาย หมายถึง ความขลาด ความกลัวอย่างไม่น่าเชื่อ มีเรื่องที่ให้กลัวมากสำหรับคนเรา นับตั้งแต่กลัวจิ้งจก ตุ๊กแก นั่นแหละ คิดดูเถอะว่ามันเป็นความกลัวอย่างที่ไม่น่าจะกลัว กลัวอย่างโง่เขลามากมายเท่าไร คนตัวโตแล้วก็ยังกลัว ผู้หญิงก็กลัว ผู้ชายก็กลัว กลัวจะเสียนั่นกลัวจะเสียนี่ ไม่กล้าเข้ามาวัด ไม่กล้าเข้ามาสนใจต่อพุทธศาสนา กลัวจะสูญเสียความสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนัง เหมือนที่เป็นกันโดยมาก มีเงินก็มาก มีอะไรก็มากแต่แล้วก็ยังกลัว ต่อการที่จะมาสนใจในธรรมะ ด้วยกลัวว่ามันจะจืดชืดมันจะแห้งแล้งเกินไป นี่คือความกลัวอย่างโง่เขลาที่สุด เรียกว่า กลัวนิพพาน ว่านิพพานนั้นจะแห้งแล้งเกิดไป คนโง่เป็นอันมากกลัวความว่าง ไม่เข้าใจความว่าง ไม่กล้าจะเข้าใจความว่างในฐานะเป็นสิ่งพึงปรารถนา ก็เลยกีดกันออกไปเสีย ไกลทีเดียวไม่ให้เข้ามาใกล้ตัวด้วยความโง่ ความโง่ทั้งหมดนี้เรียกว่าอสูรกาย เมื่อใดมีความโง่อย่างนี้แล้วเมื่อนั้นก็มีความเป็นอสูรกาย
ทบทวนสั้นๆ ก็ว่า ความร้อนใจเป็นนรก ความโง่เป็นสัตว์เดรัจฉาน ความหิวเป็นเปรต ความกลัวเป็นอสูรกาย มีอยู่ใกล้ๆ นี้ ตกลงไปในอบายนี้เมื่อไรก็ได้ ถ้าไม่เชื่อลองไปทำดู ตามที่พระพุทธองค์เรียกว่า อบายมุข เช่นการดื่มเหล้า เช่นการเล่นการพนัน หรืออะไรก็ตามที่พระองค์ตรัสว่าเป็นอบายมุขหรือปากทางแห่งอบาย สมมุติว่าไปเล่นการพนันมันก็มีความรู้สึกต่างๆ กันครบได้ แม้ในการพนันนั้น เมื่อเสียขึ้นมามันก็ร้อนใจเหมือนไฟเผาคือ ตกนรก ขณะเล่นการพนันอยู่นั้นมีความหิวอย่างเปรตอยู่ตลอดเวลา และมีความกลัวว่าจะพ่ายแพ้หรือกลัวอะไรต่างๆ อยู่ตลอดเวลา และมีความโง่ดักดานที่ไปเล่นการพนันโดยหวังว่ามันจะนำมาซึ่งโชคดี อย่างนี้เห็นได้ชัดทีเดียวว่ามันเป็นอบายมุข คือปากทางแห่งอบาย ไปเล่นเข้า ก็ได้ตกอบายอย่างนั้นทีอย่างนี้ทีตลอดเวลาเมื่อเล่นการพนัน อบายมุขอย่างไหนก็มีลักษณะอย่างนี้ทั้งนั้น จึงเรียกว่า อบาย สมตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่าเป็นอบายมุข
ที่นี่เรามาคิดดูว่า อบาย อบายมุขของพระพุทธองค์นั้นมันเป็นอย่างไรกันแน่ ผมคิดว่า ต้องเป็นเรื่องของคนฉลาด เรื่องอบายของคนโง่เขลาถึงต่อตายเข้าโลงไปแล้วนี้มันมีมาแล้วก่อนพุทธกาล เขาพูดกันเกร่อไปหมดแล้วก่อนแต่พุทธกาล พระพุทธองค์ต้องทรงฉลาดกว่านั้น ต้องพูดเรื่องจริงกว่านั้น ต้องเป็น practical ยิ่งกว่าใดๆ หมด ทั้งในทางที่จะรู้ทั้งในทางที่จะทำ ทั้งในทางที่จะได้รับผลแห่งการกระทำ เพราะฉะนั้นจึงเข้าใจว่า ต้องเป็นเรื่องที่จะต้องมองเห็นชัด เป็นสันทิฏฐิโก เป็น ปัจจัตตังกันอย่างนี้ เรื่องอบายของพระพุทธองค์ ต้องเป็นอย่างนี้ ที่นี้เราจะไม่เถียงกันในปมอื่นในแง่อื่น เราจะเถียงกันในหลักเกณฑ์อันไหนที่จะปฏิบัติได้ หลักเกณฑ์อันไหนเป็นประโยชน์ที่สุด ถ้าเอาหลักเกณฑ์อันนี้มากล่าว มายึด มาถือ ก็จะต้องกล่าวว่า เรื่องอบายที่เห็นชัดๆ อยู่ใกล้ๆตัวนี้เป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุด ที่นี้ต่อไปอีก เราจะมองเห็นต่อไปว่า ถ้าเราไม่ตกอบายชนิดใกล้ๆนี้แล้ว อบายต่อตายแล้วเป็นไม่ตกแน่นอน เพราะฉะนั้น ตัดทิ้งไปเลยก็ได้ ระวังแต่อย่าให้ตกอบายที่นี่และเดี๋ยวนี้ อย่าให้มีอาการเป็นนรก เดรัจฉาน เปรต อสูรกาย ที่นี่และเดี๋ยวนี้ เป็นไม่มีตกอบายต่อไป อีกต่อไป ฉะนั้น จึงเชื่อว่าพระพุทธองค์คงจะทรงสอนในข้อนี้ อย่างนี้มากกว่า แต่คนไม่เข้าใจ เพราะโง่เกินไปตามวิสัยของคนโง่ชอบของไกล จึงไม่สามารถที่จะรับสิ่งใดเป็นส่วนใหญ่ คนฉลาดต้องเอาที่เห็นอยู่และที่กระทำได้ ที่ใกล้ๆที่อยู่ในวิสัยที่บังคับและควบคุม เมื่อบังคับควบคุมตนเองไม่ให้ตกอบายทั้งสี่ประการในทำนองนี้ได้แล้ว ก็เรียกว่าปลอดภัยไม่ว่าจะเข้าใจคำว่า ชาติ ชาตินี้ ชาติหน้าก็ตามในลักษณะไหน เป็นการปลอดภัยทั้งนั้น ดังนั้น จึงอยากจะให้พวกเรานักศึกษาธรรมทูตสนใจเรื่องนี้ให้มากเป็นพิเศษด้วยเรื่องหนึ่ง เพราะเป็นเรื่องที่จะต้องไปสอน แล้วต้องเผชิญสภาพปัญหาที่หนักแน่นและคมคายเต็มไปด้วยเหตุผล อย่าได้ไปจำนนห้าแต้มให้แก่ตัวเอง แล้วพลอยทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมเสียไปด้วย เพราะว่าสอนไม่ถูกตามที่เป็นจริง ตามหลักเกณฑ์ของพระพุทธศาสนาในเรื่องอันเกี่ยวกับชาตินี้และชาติหน้า ตัวอย่างที่จะยกยังมีอีกมากมาย ยังจะต้องยกในฝ่ายดี ฝ่ายบุญ ฝ่ายกุศลเกี่ยวกับสวรรค์พรหมโลกอะไรอีก เวลาไม่พอ แต่จะสรุปความว่า เมื่อใดมีความสุขตามวิสัยของกามคุณ เมื่อนั้นเป็นสวรรค์กามาวจร เมื่อใดมีความสุขไม่เกี่ยวกับกามคุณ เป็นของจืดสนิทบริสุทธิ์ คือความสุขเกิดมาจากสมาธิ คือความที่ใจสะอาด สว่าง สงบแล้ว เมื่อนั้นเป็นความสุขอย่างรูปาวจรบ้าง อรูปาวจรบ้าง อย่างโลกุตรบ้าง มันต้องเป็นเรื่องที่นี่ ในโลกนี้ ในวิสัยที่เราจะควบคุมบังคับได้จึงจะเป็นประโยชน์แก่เรา นี่เรียกว่า สุขติก็ตาม ทุกขติก็ตาม ต้องอยู่ในวิสัยที่เราจะเกี่ยวข้องด้วยได้ ควบคุมได้ บังคับได้ เห็นอยู่โดยประจักษ์ในลักษณะที่เป็นสันทิฎฐิโก เป็นปัจจัตตัง เวทิตัปโพ วิญญูหิเสมอไป และเมื่อทำในส่วนนี้ได้แล้วก็เป็นอันรับประกันได้ว่า แม้จะมีชาติหน้าอย่างไรอีกกี่ชาติกี่อะไรก็ตาม มันก็เป็นอันกระทำแล้วด้วยเหมือนกัน ไม่ต้องเป็นห่วง ให้สนใจทำที่นี่ด้วยสติปัญญาของตนเอง อย่าต้องให้กระทำไปด้วยการถูกขู่ให้กลัว หรือถูกล่อให้อยากได้ให้หลงใหล อย่างที่เรียกว่า เอานรกมาขู่ เอาสวรรค์มาล่อทำนองนั้นเลย มันไปไม่รอด แล้วมันไม่อยู่ในวิสัยที่นักศึกษาธรรมทูตจะเชื่ออย่างนี้และจะสอนอย่างนี้ เพราะมันไม่สบหลักวิทยาศาสตร์ เพราะมันไม่อยู่ในเหตุผล ไม่อยู่ในวิสัยที่ควบคุมได้บังคับได้ที่จะดับทุกข์ ได้เลย ต้องทำไปในลักษณะที่เห็นอยู่เข้าใจอยู่ กระทำได้อยู่ รู้สึกได้ด้วยตนเองอยู่ พร้อมไปด้วยเหตุผลเสมอ
เรื่องเกี่ยวกับชาตินี้หรือชาติหน้าจะต้องเป็นอย่างนี้ จึงจะมีประโยชน์และปลอดภัยจริงๆ ถ้าเป็นอย่างอื่นแล้วเป็นเรื่องคาดคะเน และเรื่องที่เหลวคว้างเป็นน้ำเหลวไปในที่สุด เป็นเพียงแต่เรื่องทางขู่ให้กลัวเพื่อผลดีทางศีลธรรมบ้างเท่านั้นเอง นี่เป็น motion อันหนึ่งคือ กำลังผลักดันให้คนประพฤติศีลธรรม แต่มันอาจจะใช้ได้แก่คนที่มีความเชื่อหรือความกลัวอย่างนั้น ในสมัยก่อน หรือในเวลาอื่น ในถิ่นอื่น หรือในยุคอื่นเสียมากกว่า สำหรับคนในยุควิทยาศาสตร์ หรือยุคดาวเทียมหรือยุคอะไรทำนองนี้ motion อันนี้ คงจะใช้ไม่ได้เสียแล้ว motive หรือ motion อันนี้ motive คือเครื่องที่ทำให้เกิดการไหว หรือผลักดันไปให้เป็น motion คือ การกระทำ คำสอนที่สอนให้เห็นให้เชื่อเกี่ยวกับชาตินี้ชาติหน้า เป็น motive อันสำคัญ แน่นอนจริงแท้ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่มันมีปัญหาอยู่ว่าสอนว่าอย่างไรนั่นต่างหาก จึงจะเป็น motive ที่ทำให้คนทำความดี ละความชั่ว และทำให้คนดำรงจิตใจอยู่ได้ในลักษณะที่ไม่เป็นทุกข์ ซึ่งเป็นผลส่วนตัวสูงขึ้นไป เรื่องทางสังคมนั้นก็มีความสำคัญ แต่ว่าไปไม่ได้สูงเหมือนกับเรื่องส่วนตัว เรื่องส่วนตัวไปได้ถึงนิพพาน เรื่องสังคมนั้นก็คลานต้วมเตี้ยมอยู่ในหมู่สังคมนั่นเอง แต่แล้วก็ต้องอาศัยความเข้าใจที่ถูกต้อง เกี่ยวกับชาตินี้และชาติหน้าอยู่ด้วยกันทั้งนั้น เป็นเรื่องที่นักศึกษาธรรมทูตต้องสนใจเป็นพิเศษเอาไปสอน เอาไปถก เอาไปวิพากย์ วิจารณ์กันให้ดีๆ หน้าที่ที่เราได้รับการมอบหมายจึงจะเป็นไปด้วยดี ไม่เสียทีที่ถูกยกย่องว่าเป็นกิจอันมีเกียรติและสำคัญ คำว่าชาตินี้คำว่าชาติหน้า มีความหมายเป็นสองอย่างอยู่อย่างนี้ คือความหมายทางภาษาคน คนโง่ คนไม่รู้ธรรมก็ดูจะเป็นเรื่องเนื้อหนังร่างกาย ตายแล้วเข้าโลงไปแล้วจึงจะเป็นชาติหน้า ส่วนชาติหน้าตามภาษาธรรม คือ ภาษาของคนที่รู้ธรรมนั้น จักไม่ใช่อย่างนั้น จะต้องเป็นเรื่องการเกิดตามทางธรรม เกิดได้เมื่อไรก็ได้ และเกิดได้มากๆ ในวันหนึ่ง และก็มีปัญหาเป็นเรื่องๆไป เป็นกรณีไป เขาจะต้องรู้จักจัด จัดทำในปัญหาประจำวัน ในชีวิตประจำวันนี้อย่าให้ตกอบาย ให้เป็นที่พอใจคือ เป็นสวรรค์อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ จนกว่าจะถึงขั้นสุดท้ายคือ ไม่เป็นอะไรหมด เพราะว่าการที่ต้องเป็นอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งนั้น มันเหมือนกับการแบกของอย่างใดอย่างหนึ่งไว้ เสมอไป สู้ไม่เป็นอะไรไม่ได้ คือเป็นโลกุตรหรือเป็นนิพพานเหนือสิ่งใดหมด เรื่องชาตินี้ชาติหน้านั้นเป็นเรื่องของความทุกข์ที่ต้องระมัดระวังทั้งนั้น เป็นทุกขติ ก็มีความทนทรมานไปตามแบบทุกขติ เป็นสุขติก็มีความทนทรมานอย่างปราณีตสุขุมแทบจะไม่รู้สึกตัวไปตามแบบของสุขติ สู้ไม่เป็นอะไรเลยไม่ได้ นี่เป็นการแก้ปัญหาเกี่ยวกับชาตินี้และชาติหน้าให้หมดไป ขอได้โปรดสนใจให้เป็นพิเศษเรื่องเกี่ยวกับชาตินี้และชาติหน้า มันมีหลักสำคัญอยู่อย่างนี้ เราจะไปสอนให้คนจมติดอยู่ที่ชาติใดชาติหนึ่งนั้นเป็นความโง่ของผู้สอนนั้นเอง และไม่เป็นพุทธศาสนาด้วย เพราะไม่สอนความหลุดรอดหรือความหลุดพ้นไปจากการเวียนว่ายในวัฏสงสาร ชาตินี้ชาติหน้าคือ วัฏสงสารทั้งนั้น ต่อเมื่อเหนือกว่าชาติจึงจะเป็นนิพพานหรือเป็นโลกุตร เรารู้เรื่องชาตินี้ชาติหน้าให้ถูกต้องให้อยู่ในวิสัยที่จะจัดการกับมันได้ แล้วให้ได้รับผลเป็นความหลุดพ้นไปจากชาติ ทันในปัจจุบันทันตาเห็นนี้ก่อนแต่จะเน่าเข้าโลงไป จึงจะได้ชื่อว่าเป็นสาวกผู้สั่งสอนถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนาขององค์สมเด็จพระบรมพระศาสดา หวังว่า จะมีการสังวรระวังในเรื่องนี้ให้มากเป็นพิเศษ ให้สมกับเป็นเรื่องหนึ่งเรื่องเดียวเรื่องสูงสุดในพระพุทธศาสนาคือ ความหลุดพ้นไปจากความทุกข์ทั้งปวงด้วยกันจงทุกๆคนเทอญ เวลาที่กำหนดไว้สำหรับการพูดจากัน ตอนหนึ่งนี้ก็สิ้นสุดลงแล้ว.