แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ วันที่ ๒๓ เมษายน ๑๐ สำหรับพวกเราก็ได้ล่วงมาถึงเวลาจวนจะห้านาฬิกาแล้ว เป็นเวลาที่เรากำหนดไว้สำหรับการพูดจาในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ในวันนี้จะได้กล่าวถึงเรื่อง ธรรมะจะต้องชนะวัตถุนิยม สิ่งที่เรียกว่าวัตถุนิยมคืออะไร ก็ได้พูดกันแล้วแต่วันก่อน โดยใจความก็คือความที่ลุ่มหลงนิยมในรสอันเกิดจากวัตถุที่ประณีตยิ่งๆขึ้นไป ตลอดถึงความคิดความเข้าใจไปว่า อะไรๆก็สำคัญอยู่แต่ที่วัตถุ ถ้าวัตถุสมบูรณ์หรือดีแล้วจิตใจก็จะดีไปเอง วัตถุนิยมเช่นนี้ไม่ว่าในปริยายไหนย่อมเป็นไปเพื่อทำให้ลุ่มหลงในวัตถุทั้งนั้น เมื่อกล่าวโดยที่แท้คนเรา มนุษย์เรา ก็มีความรู้สึกเป็นไปแต่ในทางของวัตถุอยู่ตามธรรมดา เพราะว่าเป็นสิ่งที่รู้จักได้ง่ายและเกี่ยวข้องกันอยู่กับชีวิตชีวาเป็นประจำวัน ที่นี้เมื่อไปขยายขอบเขตของวัตถุให้กว้างออกไปหรือกระทำให้ประณีตลึกซึ้งยิ่งขึ้น ความลุ่มหลงในวัตถุก็มีมากขึ้น จะเปรียบเทียบกันได้ง่ายๆ คนโบราณไม่มีความเจริญในทางวัตถุ ก็พอใจสิ่งที่เป็นวัตถุ แม้ในระดับที่ต่ำๆหรือง่ายๆ สมัยห้าสิบหรือหกสิบปีมานี้ ผมได้เคยเห็นคนแก่ๆ แม้ได้เศษกระดาษมาแผ่นหนึ่งก็ดีใจอย่างยิ่ง ถึงกับเก็บไว้เหมือนกับเก็บเงิน เพราะว่ากระดาษยังเป็นของแปลก พิเศษกว่าใบตอง ใช้กระดาษนั้นห่อของที่มีค่า กระทั่งห่อเงินห่อทองไปเลยทีเดียว พอมาถึงสมัยนี้ กระดาษเป็นของเกลื่อนทิ้งๆขว้างๆไม่มีความหมายอะไร เด็กๆสมัยก่อนได้กระดาษคาร์บอนที่เขาทิ้งตามข้างออฟฟิศมาเล่นสักแผ่นหนึ่งแล้วก็ดีใจแทบตาย เด็กสมัยนี้ไม่มีทางที่จะเป็นอย่างนั้น ล้วนแต่ทะเยอทะยานจะได้อะไรบ้างก็ลองคิดดูเถิด
ความก้าวหน้าของวัตถุนั้นทำให้คนเตลิดเปิดเปิงไปในเรื่องของวัตถุ ต้องกินต้องนอนอย่างนั้นอย่างนี้ อย่างที่เราพูดกันติดปากว่าสมัยนี้ต้องมีตู้เย็น ต้องมีโทรทัศน์เป็นต้น ในที่สุดก็ยังกลายเป็นของธรรมดาไปอีกต้องการอะไรที่มากไปกว่าตู้เย็นหรือโทรทัศน์ นี่แสดงว่าความนิยมวัตถุกำลัง กำลังครอบงำจิตใจของมนุษย์ แม้ที่เป็นชาวพุทธมากเพียงไร และครอบงำแม้กระทั่งชาวพุทธที่เป็นบรรพชิตด้วย และเมื่อบรรพชิตต้องอยู่ในฐานะที่เป็นที่เคารพสักการะ นั้นก็ยิ่งเป็นไปได้ง่ายในการที่จะทำให้ทายกทายิกาแสวงหาวัตถุที่ยิ่งขึ้นไป มาอำนวยให้แก่บรรพชิต ทั้งหมดก็เลยกลายเป็นวัตถุนิยมตามๆกันไปและยิ่งขึ้น มองออกไปนองวงของพุทธบริษัทก็เห็นได้ว่า คนส่วนใหญ่นั้นตั้งหน้าตั้งตาที่จะค้นคว้าและประดิษฐ์เรื่องทางวัตถุให้ประณีตยิ่งขึ้น จนถึงกับว่าคนจะต้องเปลี่ยนเครื่องใช้ไม้สอย เปลี่ยนรถยนต์ เปลี่ยนอะไรต่างๆกันเรื่อยไป ทุกๆแบบที่ออกมาใหม่จนกระทั่งเงินทองส่วนใหญ่หมดเปลืองไปกับเรื่องนี้ด้วยกันทั้งโลก แล้วคิดดูเถิดว่าส่วนที่มันฟุ่มเฟือยเกินจำเป็นนั้นมันจะมีมากเท่าไร และเมื่อมีความทะเยอทะยานที่จะได้ให้ดียิ่งๆขึ้นไปอีก ก็ต้องขวนขวายหาทางได้ ที่ไม่มีขอบเขตและการได้ไม่มีขอบเขตนั่นแหละ ย่อมทำให้เกิดการเสียหรือการขาดแคลนขึ้นอีกทางหนึ่งเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น พวกหนึ่งก็มีมากเกินไปพวกหนึ่งก็ขาดแคลน โลกนี้ก็ปั่นป่วนวุ่นวาย เป็นเหตุให้เกิดการต่อสู้แย่งชิงกันโดยตรงบ้างโดยอ้อมบ้าง เมื่อประโยชน์หรือความต้องการบีบบังคับมากเข้า คนเหล่านั้นก็จะต้องจับกลุ่มกันเป็นพวกๆไป ตามที่ประโยชน์ของตนจะบังคับให้ทำอย่างไร จึงเกิดแบ่งกลุ่มแบ่งพวกสำหรับต่อสู้กันแย่งชิงกัน โลกก็ประกอบไปด้วยวิกฤตการณ์อันถาวร แทนที่จะมีสันติภาพถาวรก็กลายเป็นมีวิกฤตการณ์ถาวร ติดต่อกันไปไม่มีขาดสายยิ่งขึ้นทุกที นี้คือผลของการที่วัตถุนิยมครองโลก ธรรมะไม่มีโอกาสที่จะครองโลกเพราะว่ามนุษย์ได้สลัดทิ้งออกไป ปัญหาจึงเกิดขึ้นทันทีและมากมายในการที่จะแสวงหาสันติภาพให้แก่โลก และข้อเท็จจริงนั้นมันเป็นไปไม่ได้ในการที่จะแสวงหาสันติภาพให้แก่โลกด้วยจิตใจที่เป็นวัตถุนิยม เพราะว่าวัตถุนิยมนี้มันเป็นสุดโต่งข้างหนึ่งของความรู้สึก คือความรู้สึกที่เป็นไปในทางกิเลส มันผิดหลักธรรมะที่ว่าจะต้องอยู่ตรงกลาง สิ่งที่เรียกว่าธรรมะโดยเฉพาะในพระพุทธศาสนานั้นต้องไม่เหวี่ยงไปสุดโต่งข้างใดข้างหนึ่ง และต้องอยู่ในลักษณะที่เป็นกลาง เพราะว่าการเหวี่ยงไปสุดโต่งข้างหนึ่งนั้นมันไปเป็นทาสของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ลัทธิใดลัทธิหนึ่ง หรือความรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่ง มันเสียดุลยภาพ มันจึงเป็นความวุ่นวาย ต่อเมื่อไม่มีการเสียดุลยภาพมันจึงจะมีความสงบ ธรรมะมีหวังที่จะชนะวัตถุนิยมได้ ก็ตรงที่สามารถทำให้เกิดดุลยภาพดังที่กล่าวนี่ มนุษย์เหยียบย่ำธรรมะ ธรรมะก็ตบหน้ามนุษย์ ธรรมะก็จะตบหน้ามนุษย์ยิ่งขึ้นทุกที ยิ่งขึ้นทุกที คือวิกฤตการณ์ที่มากขึ้นทุกทีในโลกนั้น
บัดนี้ ก็จะเริ่มเห็นกันได้แล้วว่า มันเป็นสิ่งที่น่าสังเวชหรือน่าเศร้าหรือน่าหวั่นวิตก มนุษย์จึงเริ่มสนใจในสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ หรือศาสนากันขึ้นบ้าง เพียงแต่บ้างเท่านั้น เพราะความบีบคั้นหรือการตบหน้าของธรรมะยังไม่มากพอ ยังไม่ถึงขีดสูงสุด จึงเหลียวมาดูธรรมะแต่คนประเภทที่เรียกว่าหน้าบาง ส่วนคนที่หน้าหนาเกินไปก็จมปลักอยู่ในวัตถุนิยมนั่น ยังไม่เหลียวแล และแม้ในส่วนพวกที่เหลียวแลจะเห็นความจริงข้อนี้อยู่บ้าง ก็ทนอิทธิพลของคนส่วนใหญ่ไม่ได้ ยังไม่สามารถจะดึงคนส่วนใหญ่มาให้สนใจในข้อเท็จจริงอันนี้ได้ โลกจึงยังจะต้องรีรอต่อธรรมะอยู่ระยะหนึ่ง จนกว่าเมื่อได้ความทนทรมานมีมากขึ้นเพียงพอ เมื่อนั้นการสนใจในธรรมะก็จะมีมากขึ้น กลับมาสู่ดุลยภาพในทางธรรมชาติกันอีกครั้งหนึ่ง เมื่อนั้นแหละธรรมะก็จะชนะวัตถุนิยม ทีนี้ปัญหาสำหรับพวกเราธรรมทูตก็มีอยู่ว่า เราจะช่วยให้มันเร็วเข้าได้บ้างอย่างไร ก็ดูเหมือนจะมองเห็นกันว่าจะต้องเผยแผ่ธรรมะให้เป็นที่เข้าใจให้มากขึ้นหรือเร็วขึ้น กิจการส่วนนี้จึงเริ่มฟักตัวขึ้นในที่ทั่วๆไป ก่อความสนใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อยเป็นวงกว้างออกไป เราไม่มัวสวดอ้อนวอนเหมือนชนบางหมู่บางเหล่า เพราะว่าการสวดอ้อนวอนนั่น มีอิทธิพลน้อยกว่ากันมาก การพูดให้เข้าใจกันและกันจะมีผลกว่า ดังนั้น พุทธบริษัทจึงไม่ทำพิธีสวดอ้อนวอน แต่มุ่งหมายที่จะพูดกันให้รู้เรื่อง คือการเผยแผ่ธรรมะ แม้จะมีการกระทำชนิดที่เป็นการแผ่เมตตา ตั้งจิตปรารถนาให้มนุษย์กลับใจหันมาสู่ความเมตตากรุณาหรือสันติภาพบ้าง ก็ยังไม่ถึงกับเป็นลักษณะของการอ้อนวอนเฉยๆ ความหวังและการแผ่เมตตาทำนองนี่ อย่างน้อยในทางหนึ่งก็เป็นการกระตุ้นผู้แผ่เมตตานั่นเองให้รีบเผยแผ่ธรรมะ พวกธรรมทูตเราตั้งเมตตาเป็นเบื้องหน้า จึงได้ทนความยากลำบากที่จะทำการเผยแผ่ธรรมะ ทั้งหมดนี้ย่อมหมายความว่า พวกธรรมทูตเหล่านั้นต้องไม่เป็นทาสของวัตถุนิยมเป็นข้อสำคัญ จะมัวนั่งแผ่เมตตาด้วยความเป็นทาสของวัตถุนิยมอย่างนี่ เป็นเรื่องล้มละลายเหลวแหลกไปแล้วตั้งแต่ทีแรก ผู้แผ่เมตตาให้โลกประสบสันติสุข แต่ตนไปบูชาวัตถุนิยมซึ่งเป็นต้นเหตุของวิกฤตการณ์ถาวรอย่างนี้ มันเป็นเรื่องที่น่าหัวสักเพียงไรขอจงได้คิดดู
ดังนั้น พวกธรรมทูตใจสิงห์ของพระพุทธองค์ จะต้องทำอย่างไรในเรื่องนี่ ก็ขอให้คิดดูเถิด การที่จะมัวอ่อนแอ ตกอยู่ภายใต้อำนาจความยั่วยวนหรือแม้แต่ความบีบคั้นของวัตถุนิยมนั้น มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับธรรมทูต และธรรมทูตใจสิงห์ของพระพุทธองค์ คำว่าใจสิงห์นี่ เป็นคำที่รู้กันดีเป็นคำธรรมดาที่ใช้กันอยู่ในโลก Lionhearted หมายความว่านักต่อสู้ นักเสียสละและจริงจัง เรียกว่าสู้จนตาย ไม่ยอมแพ้ไม่ยอมถอยหลัง เมื่อทำอย่างนั้นได้ ก็มีหวังที่จะชนะ คือตัวเองก็จะชนะวัตถุนิยมแล้วก็จะช่วยให้ผู้อื่นชนะวัตถุนิยม นั่นก็คือช่วยโลกให้พ้นจากการบีบคั้นของวัตถุนิยม ธรรมะมีลักษณะเป็นกลาง ไม่ชวนให้ตกไปเป็นทาสของวัตถุนิยม และอีกทางหนึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เกี่ยวข้องหรือไม่ใช้สอยวัตถุ มันอยู่ในระดับกลางที่จะเกี่ยวข้องหรือใช้วัตถุนั่นเป็นเครื่องยังชีพ และในที่สุดก็เป็นเครื่องมือที่จะช่วยปราบปรามความนิยมวัตถุนิยมอย่างหลับหูหลับตาไปด้วยพร้อมกันไปในตัวทีเดียว ที่นี้ ถ้าเราจะมองดูเนื้อแท้ของธรรมะ หรือธรรมชาติของธรรมะ เราก็มองเห็นอยู่แล้วว่า ธรรมชาติของธรรมะนั่น นั้นไม่หนักไปในทางวัตถุ และก็ไม่หนักไปทางจิตใจล้วน จนรังเกียจวัตถุเหมือนความคิดของคนบางพวก สิ่งที่เรียกว่า กายกับใจ หรือนามกับรูปนี่ต้องเป็นอันเดียวกันในสัดส่วนที่สมกันดังที่ได้เคยกล่าวมาแล้ว จึงจะอยู่ในสภาพที่เรียกว่ามีดุลยภาพ หรือที่เรียกว่า สมดุล ธรรมะทรงตัวอยู่ได้เพราะความมีดุลยภาพ สูญเสียดุลยภาพก็คือ ไม่มีธรรมะ ซึ่งคำว่า ธรรมะในที่นี่หมายถึง ธรรมะที่เป็นปกติ ที่เป็นความสงบสุข ความสูญเสียดุลยภาพตามธรรมชาติก็คือ ธรรมชาติธรรมะชนิดหนึ่งเหมือนกัน แต่เป็นธรรมะประเภทอธรรม ธรรมะหรืออธรรมในความหมายทั่วไปก็เป็นธรรมด้วยกันทั้งนั้น คือเป็นธรรมชาติ บาปก็เรียกว่า ธรรมะ บุญก็เรียกว่า ธรรมะ กุศลก็เรียกว่า ธรรมะ อกุศลก็เรียกว่า ธรรมะ นี่เป็นคำกลาง แต่คำว่าธรรมะที่จะเป็นที่พึ่งแก่มนุษย์นั่น เราหมายถึง ความสมดุล ไม่เอียงไปทางไหน ไม่เอียงไปทางวัตถุหรือทางใจ สุดโต่ง แต่อยู่ในสภาพที่สมดุลจึงจะเป็นความหยุดหรือความสงบ เกิดเสียสมดุลเมื่อไรมันก็วุ่นวายอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นเมื่อนั้น เราถือเอาความไม่สงบนั้นว่าเป็นอธรรม ถือเอาความสงบว่าเป็นธรรม สภาพของความสงบจึงได้แก่ความสมดุลในทางธรรม ตัวธรรมะจึงคือ ความสมดุลอยู่ในตัวมันเอง ธรรมะที่จะเป็นที่พึ่งแก่มนุษย์ได้มีลักษณะอย่างนี้ ทว่าโดยเนื้อแท้ให้ลึกลงไปอีกแล้ว ธรรมะจะต้องเป็นความสมดุลอยู่เสมอ แต่จิตใจของมนุษย์ต่างหากสูญเสียความสมดุล คือไปลุ่มหลงเข้าที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างใดอย่างหนึ่ง อย่างนี้จะไปโทษธรรมะไม่ได้ มันอยู่ที่มนุษย์โง่เขลาไปเอง ไปติดมั่นยึดมั่นส่วนใดส่วนหนึ่งเข้าจนเสียความสมดุล ถ้าหากมนุษย์ได้ปล่อยไปตามเรื่องของธรรมะ หรือให้ธรรมะจัดการหรือควบคุมแล้ว สภาพที่น่าทุเรศเช่นนั้นก็จะเกิดขึ้นไม่ได้ เราก็จะได้สภาพที่สมดุลอยู่เป็นปกติ เดี๋ยวนี้มนุษย์เกิดต่อต้านธรรมะ เหยียบย่ำธรรมะ ความสมดุลก็สูญหายไป เกิดความระส่ำระสายขึ้น นี่แหละคืออาการที่เรียกโดยสมมติว่าธรรมะได้ตบหน้ามนุษย์เข้าแล้ว คือความไม่สมดุลนั่นเองได้ตบหน้าเอามนุษย์เข้าแล้ว ความเข็ดหลาบของมนุษย์จะมีเมื่อไร เมื่อนั้นก็จะย้อนกลับมาหาธรรมะกันใหม่และเป็นชัยชนะของธรรมะเหนือมนุษย์ต่อไป
เดี๋ยวนี้มันมีสิ่งที่ควรจะคิดในข้อที่ว่า มนุษย์ทั้งหมดในโลกไม่ได้ตกไปเป็นเหยื่อของวัตถุนิยมไปทั้งหมด ยังมีคนที่ทรงตัวอยู่ได้ในสภาพที่สมดุล คือยังมีคนที่สนใจธรรมะ พอใจธรรมะ ฝากเนื้อฝากตัวไว้กับธรรมะ ก็ยังมีอยู่เป็นอันมาก แต่ว่ามันไม่มากเท่าหรือเทียบกันได้กับพวกที่ลุ่มหลงอย่างหลับหูหลับตาไปในทางของวัตถุจนยอมพลีชีวิตเพื่อสิ่งนั้น ตายกันวันละพัน วันละหมื่นก็ยังมีอยู่ เพื่อบูชาอุดมคติทางวัตถุ ไม่ยอมถือหรือปฏิบัติตามคำสั่งสอนของ Jesus Christ ที่ว่า เขาตบแก้มซ้ายแล้วจงตบให้เขาตบแก้มขวาเสียด้วยกัน แทนที่จะไปตบเขาเข้าอีก เขาขโมยเสื้อไปแล้วก็เอาเสื้อคลุมชั้นนอกตามไปให้เขาด้วยดีกว่าที่จะไปโกรธเขาหรือจับเขาไปส่งตำรวจอย่างนี้เป็นต้น ไม่มีใครถือลัทธิอย่างนี้ ทั้งที่เป็นลูกศิษย์ของ Jesus Christ โดยทะเบียน นี่แหละเราเห็นได้ว่าโลกนี้กำลังตกอยู่ในอำนาจของวัตถุนิยมมากเท่าไร วัดได้ด้วยการที่ลืมหรือละทิ้งพระศาสดาแห่งศาสนาของตน ของตน ของตน ด้วยกันทุกศาสนา แม้ในพุทธศาสนา พวกที่ขึ้นทะเบียนเป็นพุทธบริษัทก็เดินตามก้นพวกฝรั่งอยู่เป็นอันมากในทางที่จะหันหลังให้ศาสนาโดยไปลุ่มหลงบูชาวัตถุนิยม ซึ่งไม่เคยมีในคำสอนของพระพุทธองค์ ซึ่งไม่เคยมีในหมู่ของพุทธบริษัทในยุคแรกๆ แล้วก็ค่อยมีมากขึ้นในยุคที่พุทธบริษัทเริ่มลืมตัว เผลอมาสู่ขอบเขตของวัตถุนิยม ดังนั้น พวกเราธรรมทูตจะต้องนึกถึงข้อเท็จจริงข้อนี้ นึกแล้วก็พิจารณาจนเห็นแจ้ง แจ่มแจ้ง ชัดเจนยิ่งๆขึ้นไปทุกที ตามนัยยะแห่งวิธีการพิจารณา ๑๖ ขั้นเหมือนที่เราถกกันเมื่อวานนี้ นั่นแหละจึงจะมากพอที่จะรู้จักตัววัตถุนิยม มากพอที่จะเกลียดชังหรือเบื่อหน่ายระอา มีนิพพิทาต่อวัตถุนิยม เมื่อนั้นแหละเราจึงจะเป็นตัวของเรามากพอที่จะต่อต้านวัตถุนิยม ไม่เป็นธรรมทูตที่ตกอยู่ใต้ฝ่าเท้าของวัตถุนิยม เป็นธรรมทูตไปต่างประเทศแล้ว ก็ไปสึกแต่งงานกันเสียกับสตรีชาวต่างประเทศมีจำนวนมากมายมาแล้วในประวัติศาสตร์ของธรรมทูต สมัยปัจจุบัน ขอได้โปรดสังวรในเรื่องนี้ว่าอย่างนี้ไม่มีทางที่ธรรมะจะชนะวัตถุนิยม เว้นแต่เป็นไปในทางที่ตรงกันข้ามเท่านั้นเอง โดยเนื้อแท้แล้วธรรมะมีส่วนชนะวัตถุนิยมอยู่เสมอเพราะมีความสมดุลอยู่ในตัวมันเอง แต่เดี๋ยวนี้เราไม่ได้ฝากเนื้อฝากตัวไว้กับธรรมะโดยแท้จริง ฝากกันแต่ปาก ก็เลยพลัดไปในอำนาจของวัตถุนิยม เรื่องก็กลายเป็นล้มละลาย ขอให้เชื่อมั่นเถอะว่าธรรมะจะต้องชนะวัตถุนิยม ขอแต่ให้เราฝากเนื้อฝากตัวไว้กับธรรมะ ให้ธรรมะมีอยู่ที่เนื้อที่ตัวอย่างเต็มเนื้อเต็มตัว ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ เหมือนการสวดร้องท่องบ่นทำวัตรสวดมนต์ของเรานั้น วิธีนี้วิธีเดียวเท่านั้นที่ว่าธรรมะจะชนะวัตถุนิยม ถ้าผิดไปจากนี่แล้ววัตถุนิยมก็จะครองโลกตลอดกาล เราไม่มีโอกาสที่จะได้เห็นภาวะที่ธรรมะจะชนะวัตถุนิยม เราก็จะต้องตายไปเสียก่อน และตายไปแล้วไปอีก ไม่มีวันที่จะได้เห็น เว้นเสียแต่อย่างเดียวเท่านั้น คือว่าในส่วนตัวเราเองจะต้องตั้งอยู่ในธรรมะ ชนะวัตถุนิยมให้ได้ก่อนเป็นคนๆไป อย่างน้อยเราก็จะได้เห็นความชนะวัตถุนิยมของเราเอง ก็เป็นที่หวังได้ว่าในโลกนี้ยังมีคนที่ชนะวัตถุนิยมด้วยธรรมะ มีภาวะที่ธรรมะชนะวัตถุนิยมได้ที่บุคคลนั้นๆ พวกธรรมทูตก็ต้องเป็นพวกแรกที่จะต้องมีภาวะเช่นนี้อยู่ในตน เหมือนกับที่เรากำลังฝึกฝนอะไรบางอย่างอยู่ที่นี่ ในเวลานี้อย่างที่เรียกโดยสมมติว่าชีวิตหมอนไม้นี่ ก็คือ การต่อต้านวัตถุนิยมไม่ให้เราลุ่มหลงไปในทางของวัตถุนิยม เป็นการเตรียมเนื้อเตรียมตัวอยู่ตลอดไป เพื่อความเป็นผู้ไม่หลงใหลตกจมอยู่ในวัตถุนิยม เป็นการตั้งค่ายมั่นหรือแนวรบที่มั่นคงสำหรับต่อต้านวัตถุนิยมไปตั้งแต่ขั้นต้นหรือชั้นต่ำสุดไปทีเดียว หวังว่าเพื่อนสหพรหมจารีทั้งหลายจะคงยังมีสติสัมปชัญญะไม่เผลอตัว จะยังคงมีความพอใจในชีวิตที่เป็นการต่อต้านวัตถุนิยมนี้ตลอดไป ให้ธรรมะชนะวัตถุนิยมให้ได้ สมตามความปรารถนาจงทุกๆองค์เทิด เวลาสำหรับพูดจาเรื่องใดเรื่องหนึ่งกันเป็นประจำวันของเราก็สิ้นสุดลงตอนหนึ่ง
ต่อไปนี้ เราก็จะได้ทำวัตรสวดมนต์ตามวิธีของเราต่อไปอีก คือเหมือนกับไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ แสดงเนื้อตัวของเราที่สะอาดปราศจากความฉาบทาของวัตถุนิยม ประกาศตัวเองปฎิญญายืนยันต่อพระพักตร์พระพุทธองค์ว่าเราได้มอบกายถวายชีวิตนี้แด่พระองค์ มิได้มอบกายถวายชีวิตแด่วัตถุนิยม เราขอพระพรจากพระองค์เพื่อให้เรามีชัยชนะต่อวัตถุนิยม เราขออภัยโทษต่อพระองค์ ที่ในบางครั้งบางคราวเราเผลอไปแตะต้องวัตถุนิยมเข้าบ้าง และเราจะกรวดน้ำอุทิศแผ่ส่วนบุญให้แก่สรรพสัตว์ว่า อย่าได้หลงใหลไปในวัตถุนิยมเลย และว่าเรามีการตั้งมั่นอธิษฐานจิตดำรงกายไว้ในลักษณะที่จะเป็นไปเพื่อความสิ้นตัณหา อุปาทาน ไม่ตกเป็นบ่าวเป็นทาสของวัตถุนิยมแต่ประการใดด้วย ดังนั้นขอให้ตั้งอกตั้งใจสำรวมจิตใจ ใช้กำลังกายกำลังใจทั้งหมดในการที่จะทำวัตรสวดมนต์ให้มีความหมายในลักษณะที่กล่าวมาแล้วนี้อย่างสุดความสามารถของเราด้วย และเวลานั้นก็มาถึง