แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้วันที่ ๒๑ เมษายน ๑๐ สำหรับพวกเราได้ล่วงเข้ามาถึงเวลา ๒๐.๔๐ น. แล้ว
เป็นเวลาที่เราจะพูดจากัน ด้วยเรื่องใดเรื่องหนึ่งตามเคย สำหรับวันนี้จะได้กล่าวโดยหัวข้อว่า งานธรรมทูตคืองานต่อต้านผู้อื่น งานธรรมทูตคืองานต่อต้านผู้อื่น งานธรรมทูตจะต่อต้านผู้อื่นอย่างไร เราจะได้พิจารณากันต่อไป เพื่อนธรรมจารีทั้งหลายย่อมมองเห็นอยู่แล้วว่า งานธรรมทูตก็คืองานเที่ยวสั่งสอน ให้รู้เรื่องความดับทุกข์ ความดับทุกข์เป็นเรื่องละเอียดประณีต จนถึงกับพระพุทธองค์ ทรงท้อพระทัย จะไม่แสดงธรรมที่ตรัสรู้ แก่มหาชนมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่แล้วก็ทรงแสดงเพราะเห็นว่ามีบางคนจะเข้าใจได้ ข้อนี้แสดงว่าธรรมะนั้นยากแก่บุคคลทั่วไป ข้อที่ยากนั่นแหละเป็นการแสดงว่า ไม่เข้ารูปกันได้กับความรู้สึกของมหาชน นี้ก็ข้อหนึ่งแล้วที่แสดงให้เห็นว่ามันฝืนความรู้สึก เป็นการฝืนความรู้สึกของมหาชน ทีนี้ก็มาถึงสิ่งที่จะต้องสังเกตอีกสิ่งหนึ่งก็คือว่า แม้สมเด็จพระศาสดาเองก็ทรงถูกมหาชนต่อต้าน เนื่องด้วยคำสอนของพระองค์ เพราะว่าทรงสอนไปในทางที่ฝืนความรู้สึกของมหาชนนั่นเอง ในที่หลายแห่งพระพุทธองค์ทรงถูกเขาด่า เขาหาว่าพระสมณโคดมนี้ไม่มีอะไร ดีแต่จะเที่ยวทำให้คนเป็นหม้าย เช่นว่าสามีไปบวชเสีย ภรรยาก็เป็นหม้ายอย่างนี้เป็นต้น แต่ยังทรงถูกมนุษย์ กล่าวหาด่าว่าอย่างอื่นอีกมากมาย เช่นว่าทำให้สิ้นเนื้อประดาตัว นำไปทำให้ฉิบหายอย่างนี้ เป็นต้น ซึ่งเป็นการแสดงว่า ความรู้สึกไม่ตรงกัน จึงเป็นการต่อต้านกันอย่างยิ่ง นี่ขอสังเกตในข้อที่ว่า แม้แต่พระองค์เอง ก็ยังทรงถูกเขาต่อต้านอย่างนี้ เพราะว่าธรรมะนั้นมันเป็นไปเพื่อการฝืนนิสัยของคนธรรมดาสามัญที่ไม่รู้ธรรมะ เมื่อเริ่มสอนธรรมะก็ต้องประสบการต่อต้าน ดังนั้น เราจึงถือว่างานธรรมทูต คือ งานต่อต้านผู้อื่นหรือต่อต้านกับผู้อื่น แล้วเราจะเอาแต่ความสะดวกสบาย ให้ใครมาคอยนอบนบไปหมดอย่างนี้ ไม่มีหวัง ถ้าคิดอย่างนั้นก็เป็นความเขลาเต็มที และไม่ใช่ความคิดของพระธรรมทูตด้วย เป็นความคิดของบุคคลผู้ทำการค้า หรือแสวงหาลาภอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง ต่อเมื่อใดมองเห็น และคิดว่างานธรรมทูตเป็นงานต่อต้านผู้อื่นแล้ว รู้สึกว่าจะต้องเสียสละ จะต้องอดกลั้น อดทน จะต้องต่อสู้แม้กระทั่งสูญเสียชีวิตก็ยอมแล้ว นั่นแหล่ะจึงจะเป็นธรรมทูต เหมือนกับพระปุณณะที่จะไปแผ่ศาสนา หรือพรหมจรรย์ในแคว้นสุนาปรันตะ ซึ่งคนดุร้าย ท่านก็ยอมเสี่ยง ยอมเสียชีวิตไว้เป็นการล่วงหน้า พระศาสดาจึงทรงอนุโมทนาว่าสมควรแล้วที่จะเป็นธรรมทูตดังนี้
จึงหวังว่าเราทุกๆรูปจะมีความรู้สึกเช่นนี้ ไว้เป็นการล่วงหน้าด้วยเหมือนกัน ถ้าลองพิจารณาดูจะเห็นได้ว่ามันเป็นการต่อต้านอยู่มากมายหลายชั้น หลายระดับ ในชั้นแรกที่สุดก็จะมองเห็นได้ว่าเป็นการต่อต้านทั่วๆไป คือฝืนความรู้สึกของปุถุชนที่เห็นแก่ความสุขทางเนื้อทางหนังทั่วๆไปอย่างที่จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะว่าธรรมะนี้ไม่สนับสนุนความสุขทางเนื้อทางหนังซึ่งเป็นมายาหลอกลวงเป็นเหมือนเหยื่อติดเบ็ด แต่ว่าพวกปลาเหล่านั้นต้องการเหยื่อ ไม่มองเห็นเบ็ดจึงหวังในความสุขทางเนื้อหนัง การเผยแผ่ธรรมะจึงเป็นการต่อต้านกันอยู่ในตัวกับคนทั่วๆไป ทีนี้มองให้แคบเข้ามาอีกหน่อยก็จะเห็นได้ว่างานธรรมทูตนี้ เป็นงานต่อต้านต่อบุคคลผู้ที่รู้สึกว่าเขาได้เสียประโยชน์อะไรไป เช่นว่าเราสอนให้คนเลิกกินเหล้า คนที่ขายเหล้าเขาก็เสียประโยชน์ไป หรือว่าเราสอนให้คนไม่แสวงหาความสุขทางเนื้อหนัง ผู้ที่ทำหน้าที่ขายความสุขทางเนื้อหนังก็เป็นผู้เสียประโยชน์ไป ก็มีความรู้สึกต่อต้าน แม้ที่สุดแต่วัดวาอารามนี่เองก็ยังต่อต้านงานธรรมทูต ในที่บางแห่งที่ปรากฎมาแล้วมีอยู่เป็นตัวอย่างเช่น ท่านปัญญานันทะถูกต่อต้าน ด้วยการแกล้งทำให้ไฟฟ้าเสียอย่าให้พูดต่อไปได้ เพราะว่าคำพูดนั้นเป็นการขัดกับประโยชน์ของวัดวาอารามนั้นซึ่งจัดงานขึ้นเพื่อจะหาเงิน แต่คำพูดของท่านปัญญานันทะไปขัดกันเข้ากับวิธีหาเงิน เขาก็ต่อต้านด้วยการทำให้เครื่องไฟฟ้า หรือเครื่องขยายเสียงชะงักไป พูดไม่ได้ ต้องเลิกกันอย่างนี้ก็มี นี้เรียกว่าวัดวาอารามนั่นเองต่อต้านงานธรรมทูต เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วจะไปหวังอะไรจากคนทั่วไป ขอให้สนใจอย่างนี้กันบ้าง
ทีนี้มองดูอีกทีหนึ่งเราจะเห็นได้ว่า งานธรรมทูตของเราก็เป็นงานต่อต้านรัฐบาลของประเทศเราก็ยังมีอยู่ รัฐบาลต้องการจะขายของเมา เช่นเหล้า เช่นบุหรี่ แต่ธรรมะของเราหาว่าเรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องอบายมุข เมื่อเราจะสอนให้คนไม่กินเหล้า เพราะเป็นอบายมุขก็เป็นการต่อต้านรัฐบาลที่ต้องการจะขายเหล้า หาภาษีหรือกำไรจากเหล้า จากบุหรี่ให้มาก จนเงินภาษีนี้ไปช่วยกิจการของรัฐบาล มันก็กลายเป็นเรื่องที่น่าหัวเต็มที คือรัฐบาลขอร้องให้พระธรรมทูตทำงานเผยแผ่ศาสนาแต่แล้วก็ต้องไปเผยแผ่ในลักษณะที่ต่อต้านรัฐบาลเช่นนี้ เป็นต้น รัฐบาลเปิดโอกาสให้มีการยั่วยวนซึ่งเป็นอบายมุขยิ่งขึ้นไปอีก เช่น ไนต์คลับ เป็นต้น ซึ่งก็ถือว่าเป็นอบายมุขที่น่าขยะแขยงยิ่งขึ้นไปอีก แต่รัฐบาลก็อำนวยให้มีเพื่อต้องการภาษี เราก็มีหน้าที่ที่จะบอกว่านั่นเป็นอบายมุขแล้วก็ต่อต้านกันอยู่ในตัว ธรรมทูตกับรัฐบาลต่อต้านกันอยู่ในตัวอย่างนี้ จงพิจารณาดูเถิด น่าหัวหรือไม่น่าหัว ทั้งที่งานธรรมทูตอยู่ในอุปการะของรัฐบาล แต่ว่าเรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องที่แสวงหาภาษีมาบำรุงกิจการของรัฐบาลก็น่าเห็นใจอยู่ ทีนี้ก็มาถึงเรื่องเหลวๆ แหลกๆมันจะได้ภาษีอะไร เช่น เรื่องวิทยุที่ส่งเพลง อยากจะขอให้สังเกตว่าสถานีวิทยุส่งเพลงให้ประชาชนรับฟังได้ทั้งวันและทั้งคืน ไม่ว่าจะต้องการฟังเพลงเวลาไหนเป็นหาฟังได้ตลอดวันตลอดคืน ทีนี้มาดูถึงเพลงนั้นจะเห็นได้ว่าเนื้อหาของเพลงนั้นไม่มีอะไร เป็นเรื่องอบายมุขชัดๆ คือ ส่งเสริมให้เกิดความรู้สึกในทางมัวเมา ความสุขทางเนื้อทางหนังจนหลงใหล เคลิบเคลิ้มไปจนกระทำสิ่งที่ไม่ควรทำ เมื่อสักสองปีมานี้ผมได้ฟังเพลงที่ส่งทางสถานีวิทยุที่ดีที่สุดของรัฐบาลเพลงหนึ่ง ในเพลงนั้นมีคำที่โศกกระโดกน่าเกลียดน่าชัง เช่นคำว่าจูบ ตั้งยี่สิบครั้ง ช่วงเวลาสามนาทีมีคำว่าจูบตั้งสามตั้งยี่สิบครั้งขอให้คิดดูเถอะ มาพิจารณาดูแล้วก็เห็นว่าไม่มีแง่ที่จะให้อภัยว่ามันเป็นศิลปะหรือเป็นศิลปินที่ตรงไหนเพลงนั้น มีลักษณะเป็นคำฉอเลาะผู้ชายของหญิงโสเภณีดีๆนี่เอง เนื้อหาน้ำเสียงทำนองอะไรก็ตาม มีลักษณะเป็นหญิงโสเภณีฉอเลาะผู้ชาย มีคำว่าจูบยี่สิบครั้ง ก็รู้สึกสะดุ้ง หวาดเสียวว่าเด็กๆของเราจะเป็นอย่างไร แล้วก็เบื่อขี้เกียจจะฟังอีกต่อไปในเพลงของสถานีวิทยุของรัฐบาล ไม่ใช่เพลงปลุกใจ ไม่ใช่เพลงที่จะส่งเสริมจิตใจให้ดีขึ้น แต่ว่าเป็นเพลงชนิดที่เร้ากามารมณ์ไปทั้งหมด มีลักษณะเป็นอบายมุขชัดๆ แล้วก็ส่งอยู่ได้ทั้งวันทั้งคืน ทยอยกันไปสถานีนั้นสถานีนี้ที่ซึ่งล้วนแต่อยู่ในอำนาจของรัฐบาลทั้งนั้น ผมมารู้สึกว่าถ้ารัฐบาลกระทำสิ่งนี้ไปโดยไม่รู้สึกก็ยังจะต้องคิดว่าเป็นรัฐบาลที่สะเพร่าและงมงายที่สุด แล้วถ้ายิ่งทำไปด้วยความรู้สึกแล้วก็จะต้องพูดว่าเป็นรัฐบาลที่โง่โดยเจตนา จะเป็นรัฐบาลของประเทศไทยหรือของประเทศไหนก็ตาม แต่ต้องกล่าวอย่างนี้ ไม่กลัวคนของรัฐบาลจะมาฆ่าให้ตาย และยังได้ประท้วงโดยการได้บอกกล่าวประชาชนว่าถ้าขืนเปิดฟังเพลงทำนองนี้ทั้งกลางวันกลางคืนแล้ว ความเสนียดอัปรีย์ จัญไรก็จะคืบคลานขึ้นไปบนบ้านเรือนนั้น ขอให้ช่วยกันระมัดระวังเพลงของสถานีวิทยุให้ดีๆ ให้ฟังแต่ข้อความที่เป็นประโยชน์ ที่มีประโยชน์ แม้อย่างนี้ก็ยังไม่สำเร็จ คนส่วนมากก็ยังคอยแต่จะฟังเพลง พอส่งสารคดีหรือแม้แต่ข่าวขึ้นมาก็หมุนไปหาสถานีอื่นที่มีเพลง เป็นอันว่าเด็กที่กำลังคึกคะนองในเรื่องของความสุขทางเนื้อหนังนั้นมีโอกาสฟังเพลงตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงถ้าเขาต้องการ มันก็เป็นความเสียหายอย่างยิ่งในทางจิตทางวิญญาน เพิ่มภาระให้แก่พวกธรรมทูตมากขึ้น เพราะว่าผู้ที่หลงใหลไปในเรื่องเร้าอารมณ์ชนิดนี้มากมายมีจิตใจตกต่ำแล้ว นั่นแหละคือพวกที่จะประกอบอาชญากรรมไม่ว่าในประเทศไหน ในประเทศที่เรียกว่าประเทศผู้นำก็ยิ่งเป็นอย่างนี้จนมีอาชญากรรมเรื่องฉุด ฆ่า อนาจาร ทุกๆ เจ็ดนาทีอย่างนี้เป็นต้น ในประเทศนั้นทั้งประเทศ เพราะคิดดูเถิดว่ามันเป็นเรื่องอะไร มันไม่ได้อะไร ส่งเพลงชนิดนี้ไม่ได้ภาษีอะไรที่จะไปช่วยเหลือกิจการของรัฐบาล แต่อีกทางหนึ่งก็ทำคนให้เลวลงมีจิตใจเสื่อมทรามเป็นสัตว์เดรัจฉาน แม้แต่จะนั่งอยู่ก็ต้องกระดิกเท้า พอเพลงนี้ส่งขึ้นมาตัวก็เต้นระริกระริกไปตามทำนองเพลง แล้วจิตใจของเขาจะเป็นอย่างไรเราก็พอจะทายได้
เพราะเหตุฉะนี้แหละ จึงรู้สึกว่ามันเป็นการต่อต้านกันอย่างยิ่งในระหว่างธรรมทูตเรากับการกระทำชนิดนี้อย่างนี้ของรัฐบาลเอง แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี ขอให้ลองคิดดู มันมีอะไรอยู่อีกหลายๆอย่างซึ่งรัฐบาลปล่อยออกมา แล้วก็พร้อมกันนั้นขอให้ธรรมทูตช่วยเทศนาสั่งสอน เพื่อจะห้ามกันสิ่งเหล่านั้นอย่าให้เกิดมีขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เรื่องน้ำเมา เป็นต้น เรื่องอบายมุขอื่นๆเรื่องสิ่งที่ยั่วยวนกิเลสอย่างอื่นๆ มาคิดดูเถิดว่าธรรมทูตไม่กี่องค์จะไปต่อต้านสิ่งเหล่านี้ของคนนับล้านๆได้อย่างไร แล้วมันจะมีความสำเร็จที่ตรงไหน ใครจะเป็นคนเหนื่อยเปล่า แล้วรัฐบาลจะได้อะไรจากการสนับสนุนงานธรรมทูต ผมมีความรู้สึกอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ออกเทศนาสั่งสอนประชาชนตามจังหวัดต่างๆ พร้อมกันนั้นก็พิจารณาดู สังเกตดูการกระทำบางอย่างซึ่งตรงกันข้ามจากที่เราสั่งสอน แต่กลับไปเห็นเสียว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลแม้ที่เป็นเจ้าหน้าที่ช่วยเหลืองานเผยแผ่สั่งสอนเองก็มี กระทั่งพวกศาสนาจารย์ ของกรมการศาสนาเองก็มีที่เป็นผู้ทำการต่อต้านซะเอง คือมีอะไรอะไรที่เป็นไปในทำนองที่ส่งเสริมกิเลส พูดจาก็เล่นหัวไปหมด ในคำเทศน์คำสอนก็เป็นเรื่องสรวลเสเฮฮาไปหมด ไม่มีผลเป็นงานต่อต้านกิเลสแต่ส่งเสริมกิเลส ดูให้ดีแล้วจะเห็นได้ว่ายิ่งเป็นการช่วยเพิ่มกำลังให้แก่ฝ่ายพญามารไปเสีย แทนที่จะมาช่วยร่วมมือสนับสนุนหรือเพิ่มกำลังให้แก่ฝ่ายธรรมทูต ภาระหนักก็เพิ่มมากขึ้นแก่พวกธรรมทูต ถ้าหากว่าเราไปเทศน์แก่ประชาชนที่มีใจคอปกติ ไม่เป็นทาสของกิเลสของพญามาร มันก็เทศน์สั่งสอนกันได้โดยง่ายไม่ยากไม่ลำบาก พอจะพูดกันรู้เรื่อง พอจะมีศรัทธาความเคารพ และอื่นๆในการเทศน์ในการสอน แต่ถ้าไปเทศน์กับคนที่เป็นบ่าวเป็นทาสของพญามาร คือ เป็นบ่าวเป็นทาสของความสุขทางเนื้อทางหนัง หรือวัตถุนิยมเสียแล้วก็พูดกันไม่รู้เรื่อง ถูกเกณฑ์ให้มานั่งฟังเทศน์ก็มานั่งหลับ ข้าราชการจำนวนมากที่มานั่งฟังเทศน์ก็มานั่งหลับเพราะว่าเบื่อ แม้ว่ามันจะเป็นความบกพร่องของผู้เทศน์เองบ้างส่วนใหญ่มันก็มาจากความรู้สึกที่ฝืนกันอย่างยิ่ง มันจึงได้ง่วงนอนแล้วมานั่งหลับ และบางทีก็ส่งเสียงอื้อฉาวเป็นการประท้วงอยู่ก็มี
นี่แหละ ขอให้สังเกตดูเถอะว่างานของเราที่ได้รับมอบหมายมา หรือเป็นงานที่ประเสริฐนี้ เป็นงานต่อต้านโดยแท้ เป็นงานต่อต้านผู้อื่นโดยแท้ ขอให้นึกดูให้ดีเถิดว่าเราจะต้องเพิ่มอะไรอีกมาก จะต้องเพิ่มสมรรถภาพ เช่น วิชาความรู้ ความอดกลั้น ความอดทน ความพากเพียร ความเสียสละ อะไรๆอีกหลายอย่างและอีกมาก ขอให้เตรียมเนื้อเตรียมตัวกันในส่วนนี้ ถ้ามิฉะนั้นแล้วก็ยิ่งจะมีความเหลว ล้มละลายได้โดยง่ายยิ่งขึ้นอีกหลายเท่า ในที่สุดก็เป็นการกระทำสักว่ากระทำไปเท่านั้นเอง นี้เรามองดูว่ามันเป็นการต่อต้านรัฐบาลอย่างยิ่งอยู่ในตัว ให้มองดูต่อไปอีกให้ละเอียดลึกลงไป มันก็เป็นการต่อต้านกิเลสของเราเองหรือต่อต้านตัวเราเองอยู่โดยธรรมชาติด้วยเหมือนกัน เพราะว่าพระธรรมทูตเองก็ยังไม่ใช่พระอรหันต์อย่างที่พูดกันอยู่เสมอ ผมก็ได้ยิน เมื่อพระธรรมทูตไม่ใช่พระอรหันต์ก็ยังมีความเห็นแก่ตัว ยังมีกิเลสเป็นของตัว กิเลสกับธรรมะนี้ก็เป็นข้าศึกแก่กันอยู่เสมอไป ตัวตนเกิดขึ้นมาธรรมะก็หายไป ธรรมะเกิดขึ้นมาตัวตนก็หายไป มันเป็นข้าศึกแก่กันและกันอยู่อย่างนี้ ถ้าหากว่าพระธรรมทูตยังมีความเห็นแก่ตัวเมื่อไร เมื่อนั้นธรรมะก็หายไป การกระทำนั้นก็ไม่เป็นธรรมทูต แม้แต่คำที่พูดออกไปก็คงจะไม่ใช่ธรรม หรือจะเป็นธรรมก็ธรรมแต่ปาก ในใจไม่ได้เป็นธรรม ถ้าพิจารณาดูอาการอย่างนี้แล้วก็จะเห็นได้ว่างานธรรมทูตนั้นเป็นการต่อต้านตัวเองด้วย เป็นการย้อนกลับมาต่อต้านตัวเองด้วยในบางขณะ บางทีอาจจะรู้สึกเบื่อหรือขี้เกียจขึ้นมาก็มี บางทีก็ไปหวังความสนุกสนานอย่างอื่น หรือลาภสักการะเกียรติยศอย่างอื่นทำไปไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของพระธรรมก็มี อย่างนี้แหละขอให้ถือว่ามันเป็นการต่อต้านตัวเอง เป็นการย้อนกลับมาต่อต้านตัวเองเป็นสิ่งที่น่าเศร้าเป็นสิ่งที่น่าสลดสังเวชอย่างยิ่ง ขอได้โปรดรู้จักกับมันเสียให้ดีๆ ให้แจ่มแจ้งชัดเจนตั้งแต่บัดนี้ และเอาชนะมันให้ได้ เราชนะตัวเองได้ก่อนจึงจะชนะผู้อื่นได้ตามคำที่พระศาสดาได้ตรัสไว้ จงชนะตัวเองก่อนแล้วก็จะชนะผู้อื่นได้ ชนะตัวเองเพียงคนเดียวดีกว่าชนะผู้อื่นตั้งหมื่นตั้งแสน ดังนั้น จึงเป็นปัญหาสำคัญที่สุดที่เราจะต้องชนะตัวเองก่อน งานธรรมทูตจึงจะไม่ย้อนมาต่อต้านเราเข้า ถ้าไม่ทำเช่นนั้นเราจะถูกต่อต้านรอบด้าน ตัวเราเองก็ต่อต้านเรา รัฐบาลก็ต่อต้านเรา ประชาชนทั้งโลกก็ต่อต้านเรา แล้วทำไปได้อย่างไร
ขอให้ลองคิดดู และพร้อมกันนั้นก็ขอให้สำนึกสำเหนียกอะไรต่างๆทุกอย่างหละว่าเรากำลังได้รับมอบหมายภาระหน้าที่ที่ยากลำบากเท่าไร หรือว่าถ้าจะมองกลับในอีกแง่หนึ่งก็มองว่ายิ่งยากยิ่งลำบากเท่าไรก็ยิ่งประเสริฐสูงสุดเท่านั้น ยิ่งประเสริฐสูงสุดเท่าไรมันก็ยิ่งยากลำบากเท่านั้น มันเป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้ในข้อนี้ มันต้องเป็นอย่างนี้เป็นธรรมดา เราจึงตั้งหน้าอดกลั้นอดทนฟันฝ่าที่จะปฏิบัติงานที่แสนยากลำบากและแสนจะประเสริฐพร้อมกันไปในตัวนี้ให้ลุล่วงไปด้วยดี งานอบรมของพวกเราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอบรมในความรู้สึกข้อนี้มากกว่าอย่างอื่น เพราะความล้มเหลวมันอยู่ที่นี่มากกว่าที่จะอยู่ในข้อที่ว่าความรู้บางอย่างยังไม่พอ ความรู้ภาษาอังกฤษยังไม่พอนี้ก็ยังไม่ร้ายเท่ากับที่ว่าเราไม่สามารถชนะตัวเอง หรือความรู้ทางธรรมะบางอย่างยังไม่พอก็ยังไม่ทำให้งานล้มเหลวได้เท่ากับที่เราไม่สามารถชนะตัวเอง เพราะว่าการเผยแผ่ธรรมะนั้น ถ้าว่าโดยที่จริงแล้วก็ไม่ต้องใช้ความรู้อะไรมากมายเหมือนกับที่เรานึกๆกัน คือ ขอให้อยู่ ขอให้เป็นอยู่ให้ดีๆ ให้ถูกต้องเท่านั้น มันก็เป็นการเผยแผ่ธรรมะพร้อมกันไปในตัว มันเท่าๆกันกับที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ถ้าภิกษุทั้งหลายเหล่านี้จะเป็นอยู่โดยชอบแล้วไซร้ โลกก็จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ อิเมเจ ภิกขเวภิกขุ สัมมา วิหะเรยยุง อะสุญโญ โลโก อะระหันเตหิ อัสสะ อยู่ให้โดยชอบเท่านั้น โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์ หมายความว่า เมื่อเป็นอยู่โดยชอบนี้ กิเลสไม่มีโอกาสที่จะได้อาหารก็ผอมซูบตายไปเอง แล้วก็เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา การเผยแผ่ก็เป็นไปในทำนองนั้นขอให้อยู่ให้ชอบเป็นอยู่ให้ชอบ ประพฤติอยู่ให้ชอบไม่ต้องเอ่ยปากพูดสักคำก็ได้ การเป็นอยู่โดยชอบนั้นจะทำให้เกิดมีผู้สนใจและปฏิบัติตาม เพราะว่ามันเป็นเครื่องรับประกันดีกว่าพูดด้วยปาก พูดด้วยปากนั้นเขาอาจจะหาว่าพูดแต่ปากแล้วก็ไม่ได้ทำแต่ถ้าเราทำแสดงอาการอยู่ที่กายวาจาใจเป็นธรรมประกอบโดยธรรมเขาก็เชื่อและไว้ใจและเอาอย่างและสนใจเข้ามาติดต่อด้วย แล้วก็จะได้พูดจากันทำความเข้าใจกัน เลยได้รู้เต็มที่บริบูรณ์ นี่แหละการเผยแผ่ด้วยการทำอยู่จริงๆ ที่เนื้อที่ตัวนี้ก็เป็นการเผยแผ่สูงสุดอยู่แล้ว แต่ทีนี้มันทำอย่างนี้ไม่ได้ เพราะว่าทนการต่อต้านของกิเลสไม่ไหว ทนการต่อต้านของตัวเองไม่ไหวก็ล้มละลายไป เมื่อส่วนนี้ล้มละลายแล้ว ส่วนอื่นต้องล้มละลายเป็นแน่นอน และแม้ว่าจะพูดเก่ง มีความรู้ ทันสมัยอย่างอื่นๆอีกมากก็ยังจะต้องล้มละลายอยู่นั่นเอง ไม่ล้มละลายทันทีก็ต้องล้มละลายต่อมาในเวลาต่อมา
สรุปความแล้วก็ควรจะมองเห็นกันได้ว่างานธรรมทูตนั้นก็คือ งานต่อต้านผู้อื่น รวมทั้งตัวเอง เราต้องชนะตัวเองก่อนแล้วจึงจะชนะผู้อื่นได้ จึงต้องสนใจในวิธีที่จะชนะตัวเองด้วยการปฏิบัติธรรมะเพื่อตัวเองให้สำเร็จไป อาปานสติภาวนา ก็เป็นวิธีที่ประเสริฐที่สุดแล้วที่จะทำการต่อต้านตัวเองให้ชนะเสียก่อนดังที่เรากำลังสนใจกันอยู่นี้ ก็จงสนใจเพื่อนำไปต่อต้านตัวเองก่อน อย่าเพิ่งไปนึกถึงสอนผู้อื่นก่อน จงสนใจที่จะต่อต้านหรือสอนตัวเองก่อน ชนะตัวเองให้ได้แล้วย่อมจะชนะผู้อื่นได้โดยง่ายดาย เหมือนกับที่ได้กล่าวมาแล้วว่า พระอรหันต์ในครั้งพุทธกาลนั่นท่านเผยแผ่พระศาสนาด้วยเพียงแต่เดินให้ดูเท่านั้นเอง อย่างนี้เป็นต้น เราจึงรู้สึกในความจริงข้อนี้แล้วรีบต่อต้านตนเองให้ชนะก่อน แล้วก็จะต่อต้านผู้อื่นได้ หรือว่าเราจะมีความซื่อตรงจงรักภักดีต่อธรรมะแล้วไม่เข้าข้างใคร ไม่ลำเอียงข้างไหนพูดอะไรออกไปตรงๆได้ โดยไม่ต้องเกรงใจคนทั้งโลกหรือไม่ต้องเกรงใจรัฐบาลในการที่จะพูดความจริง งานธรรมทูตของเราจึงจะบริสุทธิ์ผ่องใสสมกับที่เป็นธรรมบุตรหรือเป็นพุทธบุตรหรือเป็นอะไรๆที่ไพเราะอย่างยิ่งในการเรียกในการพูดจา หวังว่าเพื่อนพระธรรมจารีทั้งหลายจะได้สำเหนียกในข้อนี้ให้มาก แล้วทำตนให้เป็นธรรมทูตที่ดี ลดกิเลสของตนชนะก่อนแล้วไปลดกิเลสของผู้อื่นเป็นการประกาศพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนาโดยวิธีนี้โดยทำนองนี้ ประสบความสำเร็จได้ทุกเมื่อเทอญ เวลาสำหรับการพูดจากันในตอนนี้ก็สิ้นสุดลงแล้ว