แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้อัดวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๑๐ สำหรับพวกเรา ได้ล่วงมาแล้วถึงเวลา ๒๑.๓๐ น. เป็นเวลาที่เรากำหนดไว้สำหรับการพูดจาสนทนากันด้วยเรื่องใดเรื่องหนึ่ง สำหรับวันนี้จะได้พูดเรื่อง “เราเป็นคนรวย”
วันก่อนได้พูดว่าธรรมทูตจักต้องเป็นคนไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรคือเป็นคนจน มีทรัพย์สมบัติเปรียบเหมือนนกมีแต่ปีกสองข้างเป็นภาระเท่านั้นเอง แต่บัดนี้เราเป็นคนรวยขอให้ทำความเข้าใจในเรื่องนี้กันให้ดีๆ ตั้งแต่ต้นมาจนถึงวันนี้เราฝึกการเป็นอยู่อย่างที่เรียกว่าอยู่กลางพื้นดิน เป็นเกลอกับยุง อาบน้ำค้างก็นอนได้ และมีการกินการอยู่อย่างที่เรียกว่าตามแต่จะเป็นไป เรื่องที่ต้องคิดก็มีอยู่ว่า ถ้าเราฝึกอย่างนี้เสร็จไปเราจะได้อะไรจากการฝึกนี้ ผมขอตอบว่าเราเป็นคนรวย ต่อไปนี้โลกทั้งโลกจักเป็นของเราเพราะว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็ได้ทั่วทั้งโลกโดยที่ไม่มีอะไรเป็นปัญหาเลย ดังเช่นกลางสนามเราก็อยู่ได้ เหมือนกับที่เรากำลังอยู่การเป็นอยู่ในแบบนี้ เหมือนกับการพักแรมและยิ่งกว่าการพักแรม ถ้าเราอยู่อย่างนี้ได้ก็เป็นอันว่าหมดปัญหาที่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนในโลกนี้ก็ได้ ไม่มีใครจะทำให้เราเกิดปัญหาในเรื่องที่อยู่ได้ เพราะว่าที่เช่นนี้ก็จะมีให้เราธรรมทูตในทุกหนทุกแห่งในโลกเป็นแน่นอน
ที่ว่าเราเป็นคนรวยอย่างไรนั้น ถ้าใครยังนึกไม่ออกก็เป็นเพราะว่าไม่ได้นึกถึงพระพุทธภาษิตที่ว่า สนฺตุฏฺฐี ปรมํ ธนํ ความสันโดษเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง นี่เรากำลังฝึกความสันโดษเพื่อเป็นผู้อยู่อย่างสันโดษเราก็จะต้องมีทรัพย์อย่างยิ่ง เมื่อเรามีทรัพย์อย่างยิ่งแล้วจะไม่ให้เรียกว่าเราเป็นคนรวยได้อย่างไรกัน เราต้องเป็นคนรวยโดยแน่นอนเพราะว่าการฝึกทุกอย่างนี่เป็นไปเพื่อความสันโดษ ที่อยู่อาศัยเป็นไปเพื่อความสันโดษ อาหารการกินเป็นไปเพื่อความสันโดษ จีวรก็เป็นไปเพื่อความสันโดษ ยาแก้โรคก็เป็นไปเพื่อความสันโดษ แม้แต่เครื่องใช้ไม้สอย เช่น หมอนไม้ โคม ผ้า เหล่านี้ก็เป็นเรื่องของความสันโดษ เมื่อเต็มไปด้วยความสันโดษก็ต้องเต็มไปด้วยทรัพย์อย่างยิ่งดังนั้น เราจึงต้องเป็นคนรวย เมื่อกล่าวว่าเป็นคนรวยขึ้นมา มิขัดกันกับข้อที่กล่าวว่าธรรมทูตต้องไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรติดตัวเลยไปหรือ ผู้มีปัญญาจะมองเห็นได้ว่าไม่ขัดกัน คือเราไม่มีทรัพย์ในทางฝ่ายวัตถุแต่เรามีทรัพย์ในทางฝ่ายนามธรรม ข้อนี้เป็นสิ่งที่ต้องเข้าใจแจ่มแจ้งยิ่งขึ้นไปอีกเท่าตัว เพราะว่าเราจะต้องไปสอนสิ่งนี้ให้ทั่วไปทั้งโลก ถ้าโลกมีทรัพย์อย่างนี้กันแล้วโลกนี้จะไม่มีวิกฤตการณ์ใดๆซึ่งเป็นความเดือดร้อนหรือเป็นทุกข์ เดี๋ยวนี้โลกทั้งโลกเต็มไปด้วยวิกฤตการณ์ และเป็นการถาวร คือ มีความทุกข์ร้อนเดือดร้อนเป็นการถาวร เช่น มาจากการสงคราม เป็นต้น นี่ก็เพราะว่าโลกหรือชาวโลกเหล่านั้นไม่มีทรัพย์อย่างนี้ มีทรัพย์ในทางวัตถุและยังต้องการเพิ่มอีกมากมายไม่มีที่สิ้นสุด สงครามไม่ว่าที่ไหนและเมื่อไร เป็นไปเพื่อจะป้องกันวัตถุของตน และแสวงหาวัตถุเพิ่มเติม กะแผนการไว้อย่างยาวยืดไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้น จึงต้องรบกัน เอาลัทธินั่นลัทธินี่ขึ้นมาอ้างเป็นข้อบังหน้าเป็นเครื่องบังหน้า แต่เนื้อแท้นั้นก็เพื่อประโยชน์ในทางวัตถุนั่นเอง แต่ถ้าเป็นผู้มีทรัพย์ที่เป็นอริยทรัพย์ คือ ทรัพย์ในทางธรรมแล้ว มันจะเป็นเช่นนี้ไม่ได้ มีผู้ที่มีใจประกอบไปด้วยธรรมอิ่มเอิบไปด้วยทรัพย์อย่างยิ่งและชั้นสูงแล้วก็ไม่ไปมัวเมาหลงไหลในวัตถุตะกละตะกลามในวัตถุ จนมีแผนการที่จะหา รักษา คุ้มครองแต่ทรัพย์สมบัติทางวัตถุไม่มีที่สิ้นสุด จึงกลายเป็นคนยากจนไปทั้งที่มีทรัพย์สมบัติทางวัตถุมากมายมหาศาล กลายเป็นคนยากจนก็คือไม่มีความสงบใจ ไม่มีความผาสุกใจ เป็นคนอยากคอแห้งกระหายอยู่เสมอ แล้วยังเป็นการเบียดเบียนตนและผู้อื่นให้เป็นทุกข์เดือดร้อนนอนไม่หลับอยู่ด้วยกันทั้งนั้น แล้วจะเรียกว่าคนรวยได้อย่างไร สำหรับเราเป็นคนรวยก็เพราะมีอริยทรัพย์ อย่างน้อยก็คือความสันโดษที่เรากำลังฝึกกันอยู่
ทีนี้จะดูให้ละเอียดอีกต่อไป คือดูความแตกต่างตรงกันข้ามระหว่างทรัพย์ทางวัตถุ กับทรัพย์ทางนามธรรมคือคุณธรรม ซึ่งเรียกว่าอริยทรัพย์ กับทรัพย์ที่ไม่ใช่อริยทรัพย์ ของสองอย่างนี้ถ้ากล่าวโดยปกติสามัญหรือโดยทั่วๆไปแล้ว มันเป็นข้าศึกแก่กันมันอยู่ด้วยกันไม่ได้ ถ้าพอใจในอริยทรัพย์ก็จะขยะแขยงต่อทรัพย์ทางวัตถุ ถ้าไปหลงใหลในทรัพย์ทางวัตถุก็จะเกลียดและกลัวทรัพย์ที่เป็นอริยทรัพย์เป็นแน่นอน ดังนั้น มันจึงต้องแยกกันเป็นธรรมดา แต่ถ้าบุคคลมีปัญญา คือ มีอริยทรัพย์เต็มที่แล้ว ทรัพย์ทางวัตถุก็กลายเป็นของง่ายที่จะมีมา แต่เขาก็จะรับเอาไว้แต่เพียงเท่าที่จำเป็นเพื่อไม่ทำความยุ่งยาก การมีทรัพย์เกินกว่าจำเป็นนั่นก็เป็นการเพิ่มความลำบากยุ่งยากไม่สงบ แต่การมีมากเกินกว่าความจำเป็นนั่นเป็นบาปชนิดหนึ่ง คือ ทำให้ผู้อื่นขาดแคลน เป็นบาปได้โดยไม่รู้สึกตัวในข้อที่ว่าทำให้ผู้อื่นขาดแคลน ถ้าต่างคนต่างมีกันแต่พอเหมาะสมแล้ว ก็จะอยู่กันเป็นผาสุกไปทั้งโลกทีเดียว ทีนี้ทรัพย์ในทางวัตถุนั้นมันทำให้ไม่รู้จักอิ่มจักพอ สำหรับผู้ที่ไม่รู้จักมัน คือ คนธรรมดามีกิเลสหนาย่อมตะกละตะกลามทรัพย์ทางวัตถุไม่มีอิ่มไม่มีพอ มันจึงเผาผลาญบุคคลนั้น และทำให้ผู้อื่นพลอยลำบากเดือดร้อนไปด้วย ธรรมทูตในศาสนาคริสเตียนดังที่ได้เล่าให้ฟังแล้วว่าต้องประกอบไปด้วยคุณสำคัญข้อนี้ คือ ความจน หรือความไม่มีอะไรด้วยเหมือนกัน นั้นก็หมายความว่าต้องรวยด้วยอริยทรัพย์ คือ ความเสียสละ ความเห็นแก่ผู้อื่น แล้วก็เอาอริยทรัพย์นี้แหละไปแจกจ่าย ที่ว่ารับใช้พระเป็นเจ้าไปประกาศธรรมะก็คือ ไปประกาศให้คนเห็นแก่พระเป็นเจ้า อย่าไปเห็นแก่ทรัพย์ทางวัตถุ เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ เป็นต้น ก็จะทำให้โลกนี้ดีขึ้นได้เหมือนกัน ถึงพวกเราพวกธรรมทูตในฝ่ายพุทธศาสนาก็ไม่ค่อยจะมีอะไรผิดแปลกแตกต่างไปจากนี้ คือจะไปสอนเรื่องความไม่เห็นแก่ตัวให้ทุกคนไม่เห็นแก่ตัว ถึงกับเลิกมีตัวเสียได้ ก็ยิ่งเป็นการดี เมื่อไม่เห็นแก่ตัวแล้ว ก็ต้องเห็นแก่ธรรมะเป็นแน่นอน เมื่อไม่เห็นแก่โลกียทรัพย์แล้ว ก็ย่อมจะเห็นแก่โลกุตรทรัพย์ หรืออริยทรัพย์เป็นแน่นอน เมื่อเห็นแก่ธรรมะหรืออริยทรัพย์แล้วก็ไม่มีทางที่จะเบียดเบียนกันได้เลย ดังนั้นลัทธิที่ต้องการจะเผยแผ่นี้จึงเป็นลัทธิที่ประเสริฐที่จะทำโลกนี้ให้อยู่เป็นผาสุก ให้คนไม่ลุ่มหลงในโลกียทรัพย์ โลกียวัตถุ โลกียสุข โลกียอะไรอีกมากมาย แต่ให้อยู่เหนือวิสัยแห่งโลกียะเหล่านั้น เป็นอริยะ หรือเป็นโลกุตระขึ้นมาทีเดียว นั่นแหละเราเป็นคนรวย แล้ว มิหนำซ้ำยังแจกอีกด้วย คือ แจกไม่มีที่สิ้นสุดตามหน้าที่ของพระธรรมทูต ที่จะต้องเอาอริยทรัพย์ไปแจกให้ไม่มีที่สิ้นสุด แล้วเราก็ต้องเป็นคนรวยจริงด้วยเสียก่อน จึงจะมีแจกไม่มีที่สิ้นสุด เพราะเหตุเช่นนี้เองเราจะต้องสนใจในสิ่งที่เราจะรวยและจะเอาไปแจกให้ถูกต้องให้เพียงพอ
ทีนี้เกี่ยวกับเรื่องนี้เราจะนึกคิดกันอย่างไร ในทางโลกุตระหรือโวหารทางโลกุตระนั้นก็มีอยู่ชัดแล้วว่าคนที่ไม่เอาอะไรนั้นคือคนที่ได้ทั้งหมด คนที่ไม่เอานั่นแหละจะได้ หากคน ถ้าพูดอย่างสำนวนฝ่ายคริสเตียนก็ว่าคนที่ยอมเสียชีวิตนั่นแหละจะได้ชีวิต ชีวิตแรกหมายถึง โลกียะ ชีวิตหลังหมายถึง โลกุตระ จะต้องระวังดูให้ดีๆว่าแม้แต่ในฝ่ายอื่นเขาก็มีหลักเกณฑ์อย่างนี้ แล้วเราจะไปงมงาย คลานต้วมเตี้ยมอยู่ได้อย่างไรกัน มันต้องมีอะไรที่เสมอกัน หรือดีกว่าในสิ่งที่เป็นเนื้อหาของพระศาสนาหรือสิ่งที่จะต้องเผยแผ่นั่นเอง เรื่องที่ว่าไม่เอานั่นแหละจะได้หรือคนไม่เอาเลยเป็นคนได้ทั้งหมด คนที่เอากลับไม่ได้ อย่างนี้มีอยู่ด้วยกันในหลายๆลัทธิหรือในหลายๆศาสนา โดยเฉพาะในลัทธิเล่าจื้อก็ยิ่งมีสำนวนโวหารอย่างนี้มาก ในพุทธเรา ฝ่ายพุทธเราก็มีอย่างนี้ ฝ่ายคริสเตียนก็มีอย่างนี้ พอที่จะกล่าวได้ว่า นี้เป็นหลักที่สูงสุด และเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในหมู่ผู้มีปัญญาหรือในหมู่พระศาสดา หรือศาสดาแม้ในอันดับที่รองๆลงมา มีสำนวนโวหารประจำบ้านประจำเมืองนี้อยู่อย่างหนึ่งว่า ดีอยู่ที่สละ พระอยู่ที่จริง นิพพานอยู่ที่ตายเสียก่อนตาย หรือถ้าว่าให้หมดก็ต้องว่ามาตั้งแต่ต้นว่า ความงามนั้นอยู่ที่ซากผี ความดีอยู่ที่ละคือไม่เอา พระนั้นอยู่ที่จริง นิพพานนั้นอยู่ที่ตายเสียก่อนตาย นี้เป็นสำนวนโลกุตระ หรือเป็นสำนวนอริยะแท้ ความงามอยู่ที่ซากผีอันฝืนความรู้สึกของคนทั่วไป เข้าใจไม่ได้ ก็ยังตะกละในเรื่องของโลกียะ ผู้ที่รู้เรื่องของโลกุตระจะมองเห็นได้ทันทีว่าซากผีมีความงาม เพราะว่ามันแสดงความจริง มันไม่ปิดบังแต่ความจริง มันไม่หลอกลวง มันเปิดเผย เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่า ของงาม เพราะเป็นของจริง และของมีประโยชน์ เป็นของไม่ทำให้คนหลง แต่จะทำให้คนฉลาด จะนำคนให้พ้นจากทุกข์ ส่วนความงามที่อยู่ที่คนเป็นๆ แต่งเนื้อแต่งตาสวยๆ แต่งตัวสวยๆ ด้วยการตบแต่ง หรือเมคอัพมากขึ้นอย่างสมัยนี้นั้น คือ ความสกปรก ความหลอกลวง ความมายามดเท็จ เพราะฉะนั้นจึงไม่เรียกว่างาม ไปมองเห็นว่าซากผีนี้ประกอบไปด้วยความงาม ความจริง ความเป็นที่พึ่งได้อาศัยได้ ความมีประโยชน์ ส่วนความงามอย่างเมคอัพนั้น นั่นแหละเป็น ผียิ่งกว่าผี คือ หลอกลวงยิ่งกว่าผี อันนำมาซึ่งความโง่เขลาแล้วแหละเป็นทุกข์ในที่สุด จึงควรเห็นว่าที่กล่าวว่าความงามอยู่ที่ซากผีนี้เป็นการถูกต้องอย่างยิ่ง คิดดีอยู่ที่ละ คือไม่เอา คนสมัยนี้ดีอยู่ที่ได้ ได้มากๆยิ่งดี จนถือศาสนาได้เป็นศาสนากันไปเสียแล้ว แทนที่จะพูดว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ก็พูดว่า สตังค์ สรณัง คัจฉามิ ได้ยินกันมากหนาหูขึ้น นี่ก็ถือลัทธิได้ นั้นเป็นดีไม่ถือลัทธิที่ว่าสละออกไปนั้นเป็นดี มันต่างกันอย่างนี้ แล้วใครจะอยู่ต่ำสุด ใครจะอยู่สูงสุดก็ไปคิดดู มีพระอยู่ที่จริงนี้อย่าต้องพูดกันเลย ควรจะรู้กันดีว่าพระนั้นอยู่ที่บวชจริง เรียนจริง ปฎิบัติจริง รู้จริง ได้ผลจริง แล้วสอนสืบๆกันไปจริงๆ ให้มันจริงอย่างนี้ ส่วนนิพพานนั้นอยู่ที่ตายแล้วก่อนตาย เดี๋ยวนี้ยังไม่ทันจะร่างกายแตกดับนี่ เราก็หมดชีวิตแล้ว หมดตัวกูแล้ว หมดตัวตนแล้ว นี่สละหมดไม่เอาอะไรเลย แม้แต่ตัวตนก็ไม่เอาไว้ ดังนั้น จึงเป็นนิพพานหรือสิ่งสูงสุด นั่นแหละคือ ไม่มีอะไรเลยแต่กลับได้หมด ไม่เอาอะไรเลยกลับได้หมด ไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดแม้กระทั่งชีวิตว่าเป็นของตน แต่กลับได้ทั้งหมดของสิ่งที่ควรจะได้คือ พระนิพพาน จึงเรียกว่าเป็นคนที่รวยที่สุด
พวกเราก็อยู่ในลักษณะอย่างนี้กันอย่างเต็มที่ และพยายามที่จะเป็นอย่างนี้ และชักจูงกันให้เป็นอย่างนี้สรรเสริญความเป็นอย่างนี้ ไม่มีอะไรที่จะต้องเอา ต้องเป็น ไม่อยากจะเอาอะไร ไม่อยากจะเป็นอะไร เพราะว่าความอยากนั้นเป็นเรื่องของความโง่เขลามาแต่อวิชชา เรียกว่าตัณหา มีความอยากชนิดนี้มากเท่าไรก็ยิ่งเป็นคนจนมากขึ้นเท่านั้น คือ จะกระหาย จะกระวนกระวายเหมือนคนจนมากขึ้นเท่านั้น เพราะไม่อยาก เพราะมีปัญญารู้สิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง ไม่อยากเอาอะไรเลยก็เป็นคนมี เป็นคนมั่งมีขึ้นมาทันที และเป็นความมั่งมีที่สูงสุดด้วย ได้แก่ พระอรหันต์ผู้หมดอุปาทานในการที่จะยึดถือสิ่งใดว่าเป็นของตน นี้คือคนที่ร่ำรวยที่สุด มีพระพุทธเจ้าเป็นจอมประธานของบุคคลประเภทนี้ เราก็เป็นสาวกของท่าน มันจึงเป็นการแน่นอนที่ว่าเราจะต้องเดินตามอย่างไม่ขบถ ไม่ทรยศต่อท่าน เราจะต้องเป็นคนรวยอย่างของท่าน เป็นคนรวยชนิดของท่าน เป็นคนรวยเหมือนท่าน ซึ่งหมายถึงรวยอริยธรรม อริยทรัพย์ดังที่กล่าวแล้ว แต่อย่างต่ำที่สุดอย่างเลวที่สุด ก็จะมีสันโดษ ความสันโดษดังที่เรากำลังฝึกกันอยู่ด้วยธุดงค์ เพื่อเป็นอริยทรัพย์อย่างยิ่ง นี้ก็เป็นทรัพย์อย่างยิ่งด้วยเหมือนกันแม้จะยังไม่หมดกิเลสอุปาทานเป็นพระอรหันต์ ก็ยังเรียกว่าเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง ยิ่งถ้าได้หมดกิเลส หมดอุปาทานมีความเป็นพระอรหันต์แล้วก็เป็นทรัพย์สูงสุด ทั้งอย่างยิ่งและทั้งสูงสุดก็คือ เป็นยอดสุดของคนรวย ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมาทั้งหมดนี่แหละคือคำอธิบายที่ว่า เราเป็นคนรวยอย่างไร
เมื่อเราเป็นคนรวย เราก็ภาคภูมิใจที่จะไปแจกของ ถ้าเราไม่เป็นคนรวย เราก็ว้าเหว่ใจ ไม่รู้เอาอะไรไปแจก ที่เอาไปแจกก็คือ ของลมๆแล้งๆ ตามประสาคนจนไม่มีอะไรแล้วจะเผยอหยิ่ง จะเป็นผู้แจกกับเขาด้วย ถ้าจะเป็นผู้แจกกับเขาสักที ก็จะต้องมีอะไรที่ดีๆ ที่ควรจะแจกและให้มากพอกัน ดังนั้น เราไม่ต้องไปสนใจกับเรื่องโลกียทรัพย์ โลกียธรรมหรือวัตถุ เพราะว่ามันมีเฟ้อเต็มโลกทำโลกให้ยุ่งยากเต็มทีแล้ว เค้าก็สนใจในสิ่งที่ตรงกันข้ามคือ อริยทรัพย์ โลกุตรทรัพย์ โลกุตรธรรม ซึ่งเป็นของบริสุทธิ์แท้จริงไม่ทำอันตรายใคร ยิ่งมีมากเท่าไรก็ยิ่งเป็นการดีที่สุดเท่านั้น เพราะฉะนั้น ขอได้โปรดสนใจในวิธีที่จะนำมาซึ่งอริยทรัพย์ ที่จะพอกพูนอริยทรัพย์ อย่างเช่น อานาปานสติภาวนานี้เป็นต้น เพื่อจะพอกพูนอริยทรัพย์ให้ทวีมากขึ้นตามลำดับให้สูงขึ้นตามลำดับ แล้วก็จะนำไปแจกได้จริง เดี๋ยวนี้เราเป็นคนสันโดษแล้วเป็นอย่างน้อย แล้วก็ต้องเป็นคนรวยในระดับหนึ่ง และเมื่อเราประสบผลสำเร็จในเรื่องของอานาปานสติภาวนาเป็นต้น เราก็เป็นคนรวยถึงที่สุด เป็นสิ่งที่เราหวังอยู่ในอนาคต พยายามกระทำให้อยู่ในวิสัย ในความเป็นไปได้สำหรับเรา และมั่นใจว่าเราจักต้องได้ เราจึงมั่นใจว่าเราเป็นคนรวยแล้ว และจะเป็นคนรวยต่อไปจนถึงที่สุด เป็นคนรวยในสิ่งที่จะแจกเท่าไรก็ไม่รู้จักหมดจักสิ้น จะแจก จะจ่าย จะหว่าน จะโปรยเท่าไรก็ไม่รู้จักหมดสิ้น แถมกลับจะทำให้มีมากยิ่งขึ้นในโลกนี้ นี่แหละคือ ความประหลาดของอริยทรัพย์ ยิ่งให้ยิ่งมีมาก ยิ่งให้ยิ่งมีมาก ยิ่งใช้ยิ่งมีมาก ยิ่งไม่รู้จักหมดจักสิ้น เป็นสิ่งที่น่าสนใจ เป็นสิ่งที่น่าแสวงหา เป็นสิ่งที่น่าจะมี และใช้ให้เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น ก็จะไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ และพบพระพุทธศาสนา แล้วยังทำตนจะเป็นผู้จ่าย ผู้แจก หว่านโปรยทำนองเดียวกันกับพระศาสดา ในฐานะที่เป็นสาวกผู้ซื่อสัตย์สุจริตอย่างยิ่งต่อพระองค์ เป็นทาสที่จงรักภักดีอย่างไม่มีอะไรเปรียบได้ สมตามที่เราทุกๆรูปมีความตั้งใจไว้ ในเจตนารมณ์ของกิจการธรรมทูตดังที่กล่าวมาแล้วนั้นทุกประการ หวังว่าพวกเราจะได้นึกถึงข้อนี้กันไว้บ้าง เพื่อเป็นเครื่องจูงใจหรือกระตุ้นใจให้เราเพลิดเพลินสนุกสนานในหน้าที่ของเรา ถ้าจะพูดอย่างสำนวนคริสเตียนว่าต้องเป็นคนจนหมดไม่มีอะไรเลยก็ดูจะว้าเหว่ สู้เป็นคนรวยไม่ได้ ดังนั้น จึงเลือกเอาข้างความเป็นคนรวย โดยยอมสละทรัพย์ฝ่ายโลกียะให้หมดให้สิ้นเชิง ถึงกับว่าเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวในทางฝ่ายโลกียะ แล้วก็เป็นมหาเศรษฐีในฝ่ายโลกุตระหรืออริยะแล้วแต่จะเรียก ด้วยกันจงทุกคนเถิด
เป็นมหาเศรษฐีมีอริยทรัพย์ไว้สำหรับแจกผู้อื่นโดยทุกวิถีทาง มหาเศรษฐีฝ่ายโลกียทรัพย์มีแต่กักตุน สะสม มหาเศรษฐีฝ่ายโลกุตรทรัพย์มีแต่แจกจ่าย เพราะความแจกจ่ายนั่นเองจึงได้เป็นมหาเศรษฐียิ่งๆขึ้นไป ร่ำรวยและสมบูรณ์ด้วยคุณธรรมอย่างสูงสุดไม่มีอะไรจะเปรียบได้ จึงเป็นยิ่งกว่ามหาเศรษฐีจนไม่มีคำจะเรียก จะเรียกได้ด้วยคำสั้นๆคำเดียวว่า เป็นมนุษย์ที่เต็ม ตรงกันข้ามกับมนุษย์ที่พร่องหรือกลวง เราได้เป็นคนเต็มก็พอแล้ว ดังนั้นจึงหวังว่าเราทุกคนซึ่งอ้างตนเป็นพระธรรมทูตนี้ จะเป็นทูตที่ร่ำรวยด้วยธรรมแล้วก็จำแนกแจกจ่ายธรรม ถือตะเกียงเที่ยวส่องให้ทั่วโลก คือ แจกจ่ายแสงสว่างอันเป็นสิ่งซึ่งไม่รู้จักหมดจักสิ้น เหมือนกับโคมที่มีแสงสว่างส่องไปในที่ๆแสงอาทิตย์ส่องไม่ถึง ด้วยกันจงทุกๆรูปเถิด สิ่งต่างๆก็จะเป็นไปในทางที่ไม่ต้องเสียใจทีหลัง ไม่มีอะไรที่จะตำหนิติเตียนกันที่ตรงไหน มีแต่จะเป็นที่อนุโมทนาสาธุการทั้งของเทวดาและมนุษย์ เป็นพุทธบุตร เป็นธรรมบุตร เป็นสังฆบุตร เป็นอะไรในทำนองนี้ อย่างไม่มีอะไรที่จะเปรียบปาน คุ้มค่ากันแล้วทีเดียวกับการเสียสละทุกอย่างทุกประการเพื่อปฎิบัติหน้าที่อันนี้ เวลาของเรากำหนดไว้อย่างนี้จึงขอยุติเฉพาะคราวนี้