แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
หนังสือเล่มไหนก็ไม่ได้อธิบาย หรือชี้มาถึงลักษณะนี้หรือถึงขั้นนี้ แล้วแต่ว่าคุณจะไปฟัง ที่ไหน เคยฟังที่ไหน ที่คณะไหน สำนักไหน มันก็เรื่องใน ๆ ในตำรา ในพระไตรปิฎก เพียงแต่ว่ามันชี้ให้เห็นชัดลึกลงไปถึงความหมายของมันที่เป็นความหมายแท้จริง หรือลึก ดังนั้น ถ้าคุณไม่สนใจ หรือว่า รู้จับฉวยเอาไว้ไม่ได้ มันก็จะมีปัญหาคุณจะไปฟังที่ไหน จะไปอ่านจากที่ไหน จะไปฟังจากใครจากที่ไหนอีก มันคงจะยังอีกนานยังไกลมาก ดังนั้น จึงควรลองถามดูว่าฟังรู้เรื่องหรือไม่ เข้าใจหรือไม่ ว่าอย่างไร ทีแรกบอกให้รู้ว่า ไอ้คำ ๒ คำนี้ หรือภาวะ ๒ อย่างนี้มันเป็นต้นเรื่องต้นตอของทั้งหมดเพราะมันเป็นเรื่องรู้สึกตามสัญชาตญาณได้ แม้กระทั่งสัตว์หรือต้นไม้เรื่องได้เรื่องเสียนี้ นี่คนมีปัญญามากจึงขยายออกเป็นเรื่องผิด เรื่องถูก เรื่องดี เรื่องชั่ว เรื่องบุญ เรื่องบาป เรื่องสุข เรื่องทุกข์ เรื่องนรก เรื่องสวรรค์ อะไรที่มันเป็นคู่ตรงกันข้ามไปเรื่อย ไอ้คู่ทั้งหมดนั้นไม่มีความหมายหรอกในตัวมันเองนะ มันมีความหมายตรงที่มันได้หรือเสียนี่ ดังนั้น ต้องพูด พูดซ้ำ ทบทวนซ้ำเรื่องนี้ เพื่อให้ได้ว่าไม่ ไม่เข้าใจหรือจับฉวยเอาได้ไม่หมด หรือเพียงแต่เข้าใจก็ไม่ได้ ใช้ไม่ได้หรอก ต้องเห็นแจ้ง เห็นแจ้งยิ่งกว่าเข้าใจ แล้วก็ไปคิดทบทวน คอยสังเกต ไปทบทวน ไอ้เรื่องได้เรื่องเสียนั้นเป็นความจริง เป็นของจริง เกิดได้เห็นได้ด้วยสัญชาตญาณ ส่วนที่ว่า บุญ บาป ดี ชั่ว สุข ทุกข์ นี้มันเป็นความหมายของคำพูดที่พูดใหม่ พูดกันใหม่ พูดขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความรู้สึกสติปัญญาของมนุษย์ที่บัญญัตินี้ ว่าดี ว่าชั่ว ว่าผิด ว่าถูก ว่าบุญ ว่าบาป มนุษย์มันพูดทีหลังแต่เรื่องได้เรื่องเสียนี้ไม่ต้องพูด ไม่เกี่ยวกับคำพูดก็ได้ มันรู้สึกได้โดยไม่ต้องพูดไม่ต้องสอน ไอ้คำว่าสุข ทุกข์ นี้อาจจะรู้ได้โดยไม่ต้องพูดต้องสอนก็จริง แต่มันขึ้นอยู่กับคำว่าได้ ว่าเสีย ถ้าได้แล้วก็เป็นสุข ถ้าเสียแล้วก็เป็นทุกข์ ดังนั้น เรายกออกไปได้ ไอ้พูดว่าสุขว่าทุกข์นี่ ก็เอาไปพูดเรื่องได้เรื่องเสียก็พอ ถ้าได้แล้วก็เป็นสุข ความหมายของคำว่าได้มันทำให้เป็นสุข ถ้าเสียมันทำให้เป็นทุกข์ มันรู้สึกได้ตามสัญชาตญาณ ดังนั้น ผมจึงแนะ อ้า, ลงไปชั้นหนึ่งก่อน ว่าให้ดูที่สุนัข สุนัข มีความรู้สึกได้ชัดเจนว่า เรื่องได้เรื่องเสีย มันรู้ ได้กินกับไม่ได้กิน เรื่องได้เรื่องเสีย ได้นอนสบายกับได้ไม่นอนสบายอย่างนี้ เรื่องได้เรื่องเสีย มันรู้สึกโดยไม่ต้องมีใครสอน โดยที่มันไม่รู้จักชื่อเรียก แต่มันรู้สึกตัวจริงได้ ส่วนคำว่า ผิด ถูก ดี ชั่ว บุญ บาป นี้สุนัขไม่อาจจะรู้เพราะนี้ มันเป็นเรื่องคำพูด เป็นเรื่องพูด บัญญัติพูดในหมู่สัตว์ที่มีคำพูด แล้วก็บัญญัติคำพูด อ้าว, ทีนี้เราย้อนไปยังคนป่าที่คล้าย ๆ กับสัตว์ คนป่าสมัยอายุหินหลายพันปีหมื่นปีแล้ว ไม่ได้เรียนเรื่องธรรมะ เรื่องศึกษาอะไรต่ออะไร มันก็ไม่รู้เหมือนกันแหละ คนป่าเหล่านี้ ถ้าพูดว่า ดี ชั่ว บุญ บาป สุข ทุกข์ มันก็ไม่รู้ แต่มันรู้สิ่งหนึ่ง ซึ่งรู้ โดยไม่ต้องพูด ไม่รู้ ไม่รู้จักที่จะพูด คือ ได้หรือเสีย คนป่านั้นรู้ว่าได้เช่นโดยล่าเนื้อได้มาก็รู้ว่าได้ ไม่ได้ก็เรียกว่าไม่ได้ ไอ้ได้เสียนั้นมันมีความหมายตรงที่ว่า ถ้าได้มาแล้วก็ทำให้สบายเป็นสุข เสียก็คือไม่สบายเป็นทุกข์ ถ้าเราได้ปกติเราก็สบายเป็นสุข ถ้าไม่ได้ปกติก็คือเป็นทุกข์ จนเกิดเป็นไข้ อย่างนี้ ดังนั้น สัตว์เดรัจฉานก็ดี คนป่าที่ยังเป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์ก็ดี รู้จักภาวะที่เรียกว่าได้ว่าเสียนั้นอย่างแท้จริง แต่ถ้ามันไม่พูดมันก็ไม่มีคำพูด ทีนี้มนุษย์นั้นมาขยายคำพูดเรื่องเป็นผิดถูก ดี ชั่ว บุญ บาป สุข ทุกข์ เรื่องผิดก็คือไม่ได้ หรือเสีย ถูกก็คือได้ แต่ถ้าว่า ผิดถูกนี้มัน มันต้องหมายถึงได้เสียที่ ที่ตรงตามเรื่องของมัน เพราะคำว่าได้เสียนั้นมีหลายชั้น ไม่ใช่เพียงแต่ได้วัตถุได้เงินเท่านั้น มันมีหลายชั้น แต่ความหมายมัน มันแบ่งเป็นได้ว่า ถ้าเป็นฝ่ายได้ ได้เงิน ได้ของ ได้ชื่อเสียง ได้นิพพาน ได้ความสงบ ได้อะไรตามนี้ เรียกว่าฝ่ายได้ ฝ่ายเสียคือไม่ได้เหล่านั้น นั้นเราเรียกว่าผิด หรือ ถูก ดี หรือ ชั่ว บุญ หรือ บาป ไอ้ความได้ความเสียนี่ทำให้เกิดปัญหาขึ้นมา แล้วมันต้องคู่กันเสมอ ถ้าไม่มีได้ ก็ไม่มีเสียหรอก ถ้าไม่มีเสียมันก็ไม่มีได้หรอก คือมันไม่มาทำให้เกิดความหมายได้ มันมีเสียมาเป็นคู่เปรียบคู่เทียบ การได้ มันจึงมีความหมายหรือมีค่าขึ้นมา ไอ้ความได้ คือ ถ้าไม่มีความได้มาเปรียบ ไอ้ความเสียมันก็ไม่มีเหมือนกัน เราไม่รู้สึกได้เสีย แต่เดี๋ยวนี้มัน ตามธรรมชาติ มันต้องมีรู้สึกได้เสีย เช่น ไปหาอาหารกิน ได้ก็ได้กิน วันนี้ไม่ได้ หิว อด เดือดร้อน ความรู้สึกว่าได้ว่าเสียมันเกิดได้เองตามธรรมชาติ รู้สึกได้เองตามธรรมชาติ และ มีอยู่เองตามธรรมชาติ มนุษย์หรือสัตว์ก็ตามมันต้องการอะไรอย่างหนึ่งแหละ เสมอไป ถ้าได้ก็คือได้ ถ้าไม่ได้ก็คือเสีย ทีนี้ที่มันต่ำลงไปจากสัตว์เดรัจฉาน ก็คือ ต้นไม้ ต้นหญ้า ต้นบอน อะไรเหล่านี้ มันก็มีได้มีเสีย เพราะมันมีชีวิตเหมือนกัน ต้นหญ้านี่มีชีวิต มันอยากกินน้ำ อยากได้แสงแดด อยากกินอาหาร นั่นนี่ ถ้ามันได้ อ้า, มันก็รู้สึกว่ามันได้ ถ้ามันไม่ได้คือมันเสีย มันก็รู้สึกว่ามันไม่ได้ แล้วมันจึงต่อสู้เพื่อได้ มันจะเอารากไปทางนี้ รู้ว่าทางนี้มีอาหารมีน้ำ มันก็ส่งรากไปทางนี้ใหญ่เลย รู้ว่าทางนี้มีแสงแดด หาแสงแดดได้ไม่มีใครบัง ออกกิ่งไปทางนี้เพื่อได้แสงแดด มันกลัวเสีย มันอยากได้ แต่มันไม่อาจจะพูดได้ว่าไอ้ที่ได้นั้น คือ บุญ หรือ ดี หรือ สุข มันพูดไม่เป็น มันไม่มีความหมายทางคำพูด ดี ชั่ว บุญ บาป สุข ทุกข์ นี้เป็นเรื่องพูดบัญญัติทับลงไปบนเรื่องได้เรื่องเสีย เป็นเรื่องคำพูด เพราะฉะนั้น สัตว์ หรือ ต้นไม้ ไม่มี ไม่มีคำพูด ไม่มีความหมาย ดี ชั่ว บุญ บาป สุข ทุกข์ มีแต่ความหมายเรื่องได้เรื่องเสีย ถ้าได้เสียมาอย่างถูกต้อง หรือได้อย่างถูกต้องดีกว่า มันก็รอดชีวิตมา ถ้าไม่ได้อย่างถูกต้อง มันก็ตายแล้ว ก็สูญพันธ์แล้ว จะเป็นหญ้า บอน ต้นไม้ก็ตาม สัตว์เดรัจฉานก็ตาม หรืออะไรก็ตาม มันต้องตายแล้ว และสูญพันธ์แล้ว แล้วมันต้องได้สิ่งที่มันจะต้องได้นั่นแหละ และควรจะได้อย่างถูกต้องเรื่อยมา ได้อาหาร ได้ดินฟ้าอากาศ ได้สิ่งแวดล้อม ได้อะไรถูกต้อง แล้วมันรอดชีวิตมา หลายหมื่นปี หลายแสนปี หลายล้านปี ดังนั้น ดูความหมายของคำว่าได้สิ แต่ว่าไอ้คำพูดได้เสียนี้ก็ยังกำกวมได้ เราต้องระวังให้ดี ในขณะหนึ่งไอ้ความเสียอาจจะเป็นการได้ก็ได้ เช่นว่าเราต้องมีกินเข้าไป และมีถ่ายออกมา ถ้าเราพูดว่า กินนี้คือได้ ไอ้ถ่ายออกนี้คือเสีย อย่างนี้พูดอย่างธรรมดา อย่างเขลา ๆ อย่างไม่ฉลาด เว้นไว้จะพูดว่าได้กินเข้าไป แล้วก็ได้ถ่ายออกมานั่น คือการกินเข้าไปก็ได้ การถ่ายก็ได้นี่ นี่ได้ถูกต้อง ทั้งกินและถ่าย แล้วมันก็รอดชีวิตมา ดังนั้น ต้องมีการได้การเสียที่ถูกต้อง จนเรียกว่าเป็นการได้ที่ถูกต้อง ได้ก็ได้ถูกต้อง เสียก็เสียถูกต้อง เช่น เราได้แสงแดดถูกต้อง ได้อาหารถูกต้อง ได้ที่อยู่ถูกต้อง มันหมายความว่าเรามีการเสียที่ถูกต้อง คือ ส่วนที่ไม่ควรจะได้มันก็ต้องเสียไป มันต้องเสียไป เราต้องถ่ายอุจจาระ ต้องถ่ายปัสสาวะ เราต้องสูญเสียไอ้สิ่งที่ร่างกายไม่ต้องการ เช่น ขี้เหงื่อ ขี้ไคล อะไรก็ตาม ที่ต้องถ่ายออกไป ที่ต้องสละออกไป ชีวิตนี้จึงรอดมาได้ เพราะมีการได้การเสียที่ถูกต้อง รวมเรียกว่าการได้ที่ถูกต้อง จึงมีอายุสืบพันธ์กันมาได้เป็นล้าน ๆ ปี พอได้เสียไม่ถูกต้อง มันก็สูญพันธ์ แต่นี้มันเรื่องทางวัตถุเนื้อหนังร่างกายทั้งนั้น ไอ้ทางจิตใจมันก็อีกอย่างหนึ่ง ถ้าได้ทางจิตใจถูกต้องมันก็รอดตัวมา คือ เจริญวิวัฒนาการทางจิตใจมาอีกด้วย นี้เราเรียกว่าเป็นความรู้โดยสัญชาตญาณพื้นฐาน เพราะว่าต้นหญ้านั้นมันก็รู้ รู้ว่าได้เสียอย่างไร ทำอย่างไรถึงจะได้แสงแดด ทำอย่างไรถึงจะได้น้ำ ทำอย่างไรถึงจะได้อะไร ทำอย่างไรถึงจะได้สืบพันธ์ มันรู้ด้วยสัญชาตญาณอย่างน่าประหลาด ก็เพราะว่าสัญชาตญาณนั้น มันเกิดมาจากการปรุงของธรรมชาติ การปรุงของธรรมชาติ เราไม่รู้สึกตอนนี้ นายเอี้ยงนี่เขาไม่เชื่อว่าดอกชุมเห็ดมัน มันบอกไอ้ ไอ้ฝนจะแล้งหรือไม่แล้วไปดูเถอะ มันยังบอก นี่เมื่อเดือนก่อนคิดว่าฝนจะแล้ง ดอกชุมเห็ดมันยังตั้งขึ้น มันยังแล้งไม่ได้ และนี้มันยังเหลือประมาณ ๑ ใน ๔ เพราะไม่ใช่ดอกชุมเห็ด เป็นพระเจ้าที่บังคับฝน ไม่ใช่ ไอ้ดินฟ้าอากาศมันปรุงดอกชุมเห็ดขึ้นมาแล้วมันจึงบอกแน่นอน ดอกชุมเห็ดมันก็ไม่บานพร้อมกันทั้ง ทั้งโลกหรอก ไม่หมดพร้อมกันทั้งโลกหรอก ภาคใต้ ภาคเหนือ มันก็ไปตามไอ้ธรรมชาติ สัญชาตญาณอันนี้ มันคล้าย ๆ กับสัญลักษณ์ของพระเจ้า นี่พูดถึงเรื่องไอ้สัญชาตญาณกันก่อน เพราะไอ้เรื่องได้เสียนั้นเป็นเรื่องสัญชาตญาณพื้นฐาน ไอ้ปุกปุยก็ไปขุดโพรงที่โคนต้นไม้แล้วก็ออกลูก คิดดูเถิด ใครสอนมัน ใครสอนมัน ทำไมมันไม่ไปหาลัง หาไอ้ฝอย หาอะไรออกลูก มันก็พยายามที่จะไปขุดโพรง แล้วก็ออกลูกในโพรง ใครสอน หรือ ใครทำตัวอย่าง ก็เปล่าเลย นี่ถ้าปล่อยเขาตาม ตามความอิสระ เขาทำได้ เพราะสัญชาตญาณมันเหลืออยู่ใน ในจิต ถ่ายทอดกันมาทางพ่อแม่ ทางเลือดนะ เขาเรียกทาง ทางยีน หรือทางอะไร มัน มันครึ่งจิต ครึ่งวัตถุที่มันถ่ายมาทางเลือด อันนี้ก็เป็นบ่อเกิดของสัญชาตญาณ แล้วมันก็รู้ว่าขุดอย่างไร เอามือตะกุยตะกุยอย่างไร แล้วมันไม่ใช่เท่านั้น มันยังฉลาดกว่า กว่าคนด้วยกระมัง มันยังมีปัญหาทำอย่างไรน้ำจึงจะไม่ท่วมด้วยซ้ำ มันก็มีวิธีที่จะขุด ให้น้ำไม่ท่วม มันฟลุคด้วย เช่น ดินที่ตะกุยมานี่มันก็อยู่ ปากโพรงหมด ดังนั้น ปากโพรง ก็สูงโดยรอบน้ำข้างนอกก็ไหลเข้าไปไม่ได้ ทีนี้เพื่อนยังขุดเลี้ยวอีกเพื่อไม่ให้ใครเห็นนี่ ไอ้สัตว์ สัตว์อันตรายต่าง ๆ ที่มากินลูกของมัน มันก็ไม่เห็นสิ มันขุดอย่างนี้ลึกมากและมันยังมีเลี้ยวไปอีก แล้วมันยังฉลาดขึ้นมาอีกที่จะขุดชอนขึ้นบนอีกที ซึ่งน้ำไม่ท่วมแน่ นี่ใครเป็นครูมัน แล้วมันยังฉลาดกว่ามนุษย์ มนุษย์ยังไม่เคยคิดที่จะทำอย่างนี้ เพราะมนุษย์ไม่มีสัญชาตญาณออกลูกในโพรงอย่างนี้ แล้วมนุษย์นี่กำลังกำลังหลงทางที่สุดนะ คือ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ลืมหมด ยุ่งจนลืมหมด ไอ้สุนัขมันก็แน่นอน ๑๐๐ % ว่าต้องขุดใต้โพรงออกลูก ส่วนคน นี้ไม่รู้ว่าออกลูกอย่างไร เพราะว่ามันหลาย หลายหมื่นปีมาแล้ว มันออกลูกเรี่ยราดเหมือนกับ วัวควาย วัวควายท้องแก่ไปตามฝูงต้องการจะคลอดที่ไหน มันก็คลอดตรงนั้น ตอนที่เดินทางนั้นแหละ และมนุษย์ก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน หลายหมื่นปี หลายแสนปีมาแล้ว เพราะฉะนั้นมนุษย์ไม่มีการถ่ายทางสัญชาตญาณที่ว่าจะทำอย่างไรออกลูก ดังนั้น จึงทำไม่เป็นตามธรรมชาติ แต่มามีความรู้เรื่อง เอ่อ, เรื่องใหม่ที่ซึ่งไม่ใช่ธรรมชาติอยู่บ้านอยู่เรือนแล้วมีเรือนคลอดและมีอะไรนี่ นี่ไม่ใช่ธรรมชาติ มันก็เลยยุ่ง พิสูจน์ได้ง่าย ๆ ตรงที่ว่านก ไอ้พวกนกต่าง ๆ นี่ ไม่ต้องมีใครสอน ทำรังเป็น ทำรังได้ ทุกนกเลย ไอ้นกกระจาบก็ทำอย่างดี นกธรรมดาก็ทำอย่างธรรมดานี่ แต่ทำเป็น ไม่ต้องมีใครสอน ไม่ต้องเห็นตัวอย่าง ถ้าเราเอานกคู่หนึ่งมาเลี้ยงในที่ที่ไม่มีนกอื่นเลย มันก็ ทำรังเป็นแล้วเหมือนอีก เช่น นกกระจาบนี้ก็ทำรังเหมือนนกกระจาบทั้งหลายโดยไม่ต้องเห็นตัวอย่าง อ้าว, ทีนี้เอามนุษย์มาคู่หนึ่ง แล้วปล่อยให้มันโตขึ้น ให้มันทำเรือนดูสิ ทำไม่เป็น ทำไม่เป็น เพราะมันไม่เคยทำเรือน อย่างดีมันก็เคยซุกหัวอยู่ในถ้ำ มันคงจะเร่หาโพรงหาถ้ำ เหมือนอย่างสุนัข มันเป็นอย่างดีที่สุดแล้ว ทีนี้มันทิ้งไอ้การอยู่ถ้ำ มันก็เลยไม่รู้ เลยงง มนุษย์นี่กำลังหลงคือ ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรแน่ จะอยู่โพรงแน่ อยู่ถ้ำแน่ หรือ อยู่เรือนแน่ ไม่แน่ ไม่มีสัญชาตญาณ ที่ซ้ำซากจนตายตัวลงไป นี้เราก็เรียกว่ามนุษย์นี่กำลังหลงทางคือ เปลี่ยนเรื่อย เปลี่ยนไปได้เรื่อย จนกระทั่งอยู่บ้าน อยู่เรือน อยู่ตึก คลอดในโรงพยาบาลอย่างนี้ ซึ่งไม่ใช่สัญชาตญาณนั้นไม่ตายตัว ไม่แน่ ทำ ทำตามสัญชาตญาณไม่ได้ ดังนั้น มนุษย์ผู้ทิ้งธรรมชาตินี่จึงลำบาก คลอดลูกระหว่างการเดินทางเหมือนครั้งกระโน้นก็ไม่ได้ ออกลูกในโพรงก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ทั้งนั้นแหละ แล้วมันก็ยุ่งยาก เอ่อ, ตอนคลอดบุตร ตอนเลี้ยงบุตร ตอนอะไร ขนาดเกือบเป็นเกือบตายไปเลย เหมือนกับที่เราเคยพูดกันเรื่องไบเบิ้ล ที่พระเจ้าสาป สาปมนุษย์ว่าต่อนี้ไป แกต้องทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส เพราะแกอุตริทิ้งธรรมชาติไปรู้เรื่องดี เรื่องชั่ว เรื่องบุญ เรื่องบาป เรื่องสุข เรื่องทุกข์ อะไรเข้า คือเมื่ออดัมกับอีฟไปกินผลไม้ที่ทำให้รู้เรื่องดี เรื่องชั่ว เรื่องบุญ เรื่องบาปเข้า ต่อแต่นี้ แกต้องทนทรมาน ทุกข์ มีความทุกข์อย่างแสนสาหัส นี่คือปัญหาที่มนุษย์เพิ่งจะได้รับ แล้วไปในทางที่ให้เป็นทุกข์แสนสาหัส เมื่อก่อนเรื่องคลอดบุตรก็ไม่มีปัญหา เรื่องอาหารก็ไม่มีปัญหา เรื่องทำรังอยู่ก็ไม่มีปัญหา เดี๋ยวนี้มีปัญหาหมด ปัญหามากที่สุดด้วยที่จะมีบ้านอยู่อย่างไร ให้ดีที่สุด มีอาหารกินให้ดีที่สุด แล้วคลอดลูกออกมาก็ช่วยตัวเองไม่ได้ จะเป็นจะตาย ทีนี้สุนัขไม่มีปัญหาอะไร นี่สัตว์ทั้งหลาย นก หนู นี่ทำรังได้ ทำเรือนได้ และคลอดลูกได้ อะไรได้โดยไม่มีปัญหา นี่ความหมายของสัญชาตญาณเป็นอย่างนี้ ถ้ายังอย่างกับสัญชาตญาณ มันก็มีเรื่องน้อย ไม่มี ไอ้ความทุกข์อันใหม่เกิดขึ้นเหมือนที่พระเจ้าสาป ดังนั้น การที่พระเจ้าสาปให้มีความทุกข์มากนี้ สาปแต่คนเท่านั้น ไม่ได้สาปสัตว์เดรัจฉาน วัว ควาย แล้วก็ไม่ได้สาป ต้นหญ้า ต้นบอน พืชพันธุ์ พฤกษชาติ อะไรต่าง ๆ ไม่ถูกสาป ถูกสาปแต่คน เพราะว่าคนไปเริ่มรู้ มีความรู้ก้าวหน้า มีความคิดก้าวหน้าอย่างคนนี่ ไปรู้ดีรู้ชั่วเข้า ในยุคที่ไปกินผลไม้นั้นเข้า คือ เริ่มรู้ดี รู้ชั่ว รู้สุข รู้ทุกข์ รู้ใหญ่ รู้เล็ก รู้มีเกียรติ รู้ไม่มีเกียรติ อะไรเข้า มันก็มีปัญหา ละทิ้งสัญชาตญาณเท่าไรก็มีความทุกข์มากขึ้นเท่านั้น หันไปหาธรรมชาติมากขึ้นเท่าไร ก็มีความทุกข์น้อยลงเท่านั้น นี้เราเห็นได้ทันทีว่าเราก็ย้อนมาไอ้เรื่องที่ว่าได้เสียนี้อีกทีหนึ่ง เพราะอันนั้นมันตั้งอยู่บนสัญชาตญาณ เดี๋ยวนี้ สัตว์เดรัจฉานมันมีเรื่องได้เรื่องเสียเท่าที่สัญชาตญาณต้องการ ทีนี้หญ้าบอนนี้ ยิ่ง ๆ ยิ่งอย่างเดิมเลย ตามเดิมเลย รู้เรื่องได้เรื่องเสียแต่ตามเดิม ปัญหาไม่มีเลย เมื่อล้าน ๆ ปีมาแล้ว อ้า, มีปัญหาเท่าไร เดี๋ยวนี้ก็มีเท่านั้นแหละ สัตว์เดรัจฉานนี้ก็เหมือนกัน เมื่อหลายแสนปี หลายล้านปี มันมีปัญหาเท่าไรเดี๋ยวนี้ก็มีเท่านั้น ทีนี้คนสิ มันไปรู้อะไรมากเข้า มันก็มีปัญหามาก มีเรื่องมาก แล้วมันยิ่งต้องการมากกว่านั้นอีก จนเป็นเปรต ต้องการจะขยายเรื่องกิน เรื่องอยู่ เรื่องใช้ เรื่องกามารมณ์ เรื่องอะไรต่าง ๆ จะไม่มีขอบเขต ไม่มีที่สิ้นสุด มันมีลักษณะเป็นเปรต เกิดขึ้นมา ความเป็นเปรตไม่มีในสัตว์เดรัจฉาน เพราะมันไม่อยากมากกว่าธรรมชาติ เอาละ ทีนี้เราเปรียบคนกับสัตว์นี้ มัน มันไกลกันนัก ทีนี้เราเปรียบสัตว์กับสัตว์ดีกว่า โดยจะให้รู้ว่า สัญชาตญาณอย่างสัตว์นั้นนะมันยังอยู่ มันยังอยู่ มันยังใช้ ยังพอใช้ของมัน แต่มนุษย์สิเข้าไปแทรกแซงทำให้สัตว์นี่ไม่อาจจะใช้สัญชาตญาณ นี่ถ้าผมเอาไอ้ปุกปุยมาขังไว้ในห้องหนึ่ง แล้วก็รองลังให้มันคลอดอย่างนี้ คือว่าเราแทรกแซงเขา ไม่ปล่อยเขาไปตามสัญชาตญาณ ปัญหาจะต้องเกิดขึ้นซึ่งเราไม่รู้ได้เลยว่าความร้อน ความอบอุ่นจะพอหรือไม่ จะถูกต้องตามสัญชาตญาณหรือไม่ แล้วมันก็ทำไม่ถูก แล้วมันก็ไม่สมัครที่จะทำให้ผิดสัญชาตญาณ ดังนั้น ที่ทำลังกระดาษใหญ่ไว้ให้ ใส่ฝอยให้ มันไม่เอา มันมุดเข้าไปในโพรง ขุดดิน แล้วก็ออกลูกในโพรง นี่เขาทำฟรีและอิสระ ตามสัญชาตญาณแท้ ๆ แล้วมันก็เลยถูกต้อง ๑๐๐ % ก็แปลว่ามันยังมีดี หรือมีบุญกว่าคน ไม่มีความทุกข์เพราะเรื่องนี้ ไม่ ไม่ถูกพระเจ้าสาป มันไม่ต้องการจะคลอดที่โรงพยาบาล ไม่ต้องการอะไรให้ดีไปกว่าธรรมชาติ ไอ้มนุษย์นี้ทะเยอทะยานจะต้องคลอดที่โรงพยาบาล หรือทำอย่างนั้น หรือทำอย่างนี้ มันก็มีเรื่องเพิ่มขึ้นตามส่วนที่มันละทิ้งธรรมชาติ ละทิ้งสัญชาตญาณ คำว่าสัญชาตญาณนั้น อธิบายไว้ทีแล้ว คือมันรู้จักขุดเข้าไป ดินมันก็มาช่วยป้องกันไม่ให้น้ำไหล เข้าไปในรู แล้วมันก็เลี้ยวโพรงเสียไม่ให้สัตว์เห็น แล้วมันก็ชอนขึ้นอีกทีหนึ่งไม่ให้น้ำท่วมได้ และมันก็ระวังไม่ให้มดแมลงเข้าไปได้ นี้ถ้าความโง่ของคนมีอีกคือ เอาอาหารใส่เข้าไปในโพรงนี้ นี่คือไปทำให้มันลำบาก พวกมด แมลงก็จะเข้าไปกินอาหาร และกัดลูกมันตายหมดก็ได้ ความโง่ของคนต่างหากที่ทำให้มันเกิดความเสียหาย ดังนั้น ถ้าปล่อยไปตามเรื่องของมัน มันก็ไม่มี จนกว่า ไอ้ลูกของมันจะคลานได้ มันจะออกมาหากินได้ มันเตรียมพร้อม มันเตรียมอดอาหาร ๓ วัน ๕ วัน อะไร มัน มันเตรียมพร้อมที่จะเลี้ยงลูก จะประคับประคองลูกโดยไม่ต้องทำให้มันยุ่งไป ในระหว่างนี้ นี่มาลองเทียบกับดูกับคน คนได้รับบาป ได้รับคำสาปจากพระเจ้า ว่าต่อไป แกจะต้องเป็นทุกข์แสนสาหัสเพราะทิ้งธรรมชาติ เพราะทิ้งสัญชาตญาณ อย่างสัตว์เดรัจฉาน ชนะสิ่งเหล่านี้หมด ไม่มีปัญหาเรื่องนี้ เพราะเหตุว่า อ้า, คำว่าได้คำว่าเสียของมันไม่ถูกขยายความหมาย ไม่มีการขยายความหมายมาเป็น เรื่องบุญ เรื่องบาป เรื่องผิด เรื่องถูก เรื่องดี เรื่องชั่ว เรื่องสุข เรื่องทุกข์ เรื่องสวรรค์ เรื่องนรก อะไร มันไม่มี ดังนั้น เขาจึงอยู่ใกล้ธรรมชาติ แล้วมีความทุกข์น้อย แล้วไม่ถูกพระเจ้าสาป ไอ้ความเจริญของมนุษย์ก็คือ การถูกพระเจ้าสาป พระ เณร บางคนกำลังปวดหัว เป็นโรคเส้นประสาท เพราะเรียนภาษาอังกฤษจะดีจะเด่น นี้มันไม่เกี่ยวกันเลยกับธรรมชาติ ไม่เกี่ยวอะไรกับพระเจ้า แล้วรู้แล้วก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรอย่างนั้นแหละ มันไม่เกี่ยวกับการดับทุกข์เลย นี่ต้องดูส่วนนี้คือ ส่วนเกิน ส่วนเกินของการได้ แล้วมันกลายเป็นการเสียไปเลย คือ ต้องการจะเรียนมากเกิน เกินธรรมชาติ เกินสัญชาตญาณนี้ เป็นการได้ส่วนเฟ้อ หรือส่วนเกิน แล้วมันกลายเป็นทำลายผู้นั้นให้มีความทุกข์ตามแบบ อ้า, ตามคำสาปของพระเจ้า ทีนี้ มันก็พูดฟั่นเฝือยุ่งยากกันมากขึ้น พวกโน้นเรียนโน้น พวกนี้เรียนนี้ ผลสุดท้ายก็ไป ไปตามไอ้ ไอ้ความอยากจะได้มากกว่าผู้อื่น จะทับผู้อื่น จะแข่งขันผู้อื่น จะดีกว่าผู้อื่น จะอะไรกว่าผู้อื่น ดังนั้น ส่วนรวมมันจึงต้องรบกัน จนเดี๋ยวนี้ประเทศอเมริกามหาประเทศ มันย่อมมีประเทศเล็ก ๆ ชนิดที่ไม่มีทางจะสู้ได้โดยไม่ละอายอย่างนี้ เพราะมันไปติดเรื่องได้เรื่องเสีย เรื่องไอ้ธรรมชาติอย่างนี้มากเกินไปจนเห็นว่าทำอย่างนี้ คือถูก เมื่อคืนนี้ ผมได้ฟังวิทยุเองถึงเรื่องรองประธานาธิบดีอเมริกาว่าการที่ทำลายประเทศเวียดนามเหนืออย่างนี้คือศีลธรรม ถ้าอเมริกาหยุดทำลายเวียดนามเหนือเมื่อไร เมื่อนั้นผิดศีลธรรมนี่ นี่คำพูดอย่างนี้ตรง ๆ เลย ไม่ใช่ผมประดิษฐ์ ใหม่ เพราะว่าถ้าอเมริกาหยุดบอมบ์เวียดนามเหนือนั้นคือผิดศีลธรรม เพราะว่าเขาได้สอนเวียดนามเหนือหรือว่าบังคับเวียดนามเหนือ ให้เดินไปถูกทาง นั้นคือศีลธรรม ส่วนที่เขาจะตายกันกี่หมื่นกี่พันนั้นไม่รู้ ไม่ต้องรู้ ไอ้ความถูกศีลธรรม คือ เขาจะต้องเอาเวียดนามเหนือให้ล้มให้จงได้ มันจึงคือ การถูกศีลธรรม นี้มันไหลมามากแล้ว มันเดินมามากจนว่าไอ้ได้เสีย แล้วก็สร้างผิดถูกขึ้นมาตามได้ตามเสีย เขาต้องการอย่างไรนั้นคือถูก นั้นคือดี นั้นคือบุญ ไอ้ถูก ไอ้ดี ไอ้บุญ ตามแบบของเขา ก็เป็นอย่างนั้น ศีลธรรมเขาเป็นอย่างนั้น มันต้องเป็นเรื่องจริง ถูกจริง ผิดจริง บาป บุญ มันก็เป็นไอ้อย่างธรรมชาติมากกว่าคือ ได้ชนิดที่ไม่มีใคร เป็นทุกข์ มีความสงบมันจึงจะเรียกว่า ถูก หรือ ดี หรือ บุญ หรือ กุศล นี่เดี๋ยวจะงงหมด คือว่า ผมอธิบายคำว่าได้ว่าเสียนี่ให้ละเอียดยิ่งไปกว่าวันก่อน ให้รู้คำว่าได้ว่าเสียนี่ เป็นต้นตอของคำว่า ดี ชั่ว ผิด ถูก สุข ทุกข์ บุญ บาป นรก สวรรค์ อะไรก็ตามที่มันตรงกันข้าม ถ้าจะให้มันเลว มันก็คือ ได้อย่างเลวนั่นแหละ คือดี หรือ ถูก หรือบุญ ถ้าใจมันสูงมันก็ต้องได้อย่างดี อย่างสูง มันถึงจะเป็น บุญ เป็นกุศล เป็นถูก เป็นสวรรค์ อะไรขึ้นมาได้ ดังนั้น สวรรค์ของพวกอันธพาล ก็คือ การกระทำลามกอนาจารอย่างหนึ่ง ถ้าสวรรค์ของคนที่เป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นบัณฑิต นั้นคือ การกระทำที่ถูกต้องอย่างอื่น แต่ผลสุดท้ายมันมารวมอยู่ที่คำ ๒ คำ มารวมยอดอยู่ที่คำว่าได้ คำว่าเสีย ดังนั้น จึงบอกแล้วบอกอีก ย้ำแล้วย้ำอีกว่า ระวัง ๒ คำนี้ ระวัง ๒ อย่างนี้ คือได้กับเสียนี่ มันเป็นต้นตอของไอ้คำคู่อื่น ๆ หมด ทำให้เกิดคำว่า ผิด หรือ ถูก ดี หรือ ชั่ว บุญ หรือ บาป กุศล หรือ อกุศล นรก หรือ สวรรค์ สุขคติ หรือ ทุคติ อะไรขึ้นมา จากคำเพียง ๒ คำ คือ ได้ กับเสีย ซึ่งเป็นไปเองตามสัญชาตญาณ นี่เราพูดตรง ๆ ไม่ใช่ พูดจาบจ้วงนะ ไม่ใช่พูดจ้วงจาบว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีความหมายขึ้นมาก็เพราะคำว่าได้ว่าเสียนี้แหละ ที่เรา หรือว่า คนทั้งหมด ไปนับถือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็เพราะหวังว่าเราจะได้อะไร จากการที่เรานับถือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทำไม่มีหวังว่าได้อะไร แล้วก็จะไม่มีใครมานับถือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ดังนั้น คำว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่มีความหมายอะไรมากไปกว่า คำว่าได้ เช่น เราอยากได้ มรรคผลนิพพานก็ตาม ถ้าเราจะได้ด้วยการนับถือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ดังนั้น เราจึงนับถือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีค่าขึ้นมาเพราะทำให้เราได้ ถ้าคนหนึ่งต้องการได้ มรรคผลนิพพาน ก็หวังถึงมรรคผลนิพพาน ถ้าคนหนึ่งมันต้องการจะเกิดสวย เกิดรวย มันก็ได้ส่วนนี้ บางคนนับถือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพื่อถูกล็อตเตอรี่ มันก็เพราะส่วนนี้ ก็ส่วนจะได้เหมือนกัน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพิ่งมีค่า เพิ่งมีความหมายขึ้นมาหยก ๆ นี่ จากคำว่าได้ ซึ่งเป็นคำดั้งเดิม ดึกดำบรรพ์ หลายล้าน หลายล้าน ๆ ปีไม่รู้ว่าโลกนี้แตกออกมาจากดวงอาทิตย์เมื่อไร ไม่รู้กี่ล้าน ๆ ปี จนกระทั่งมีชีวิตขึ้นมาในโลกอันดับแรก เป็นสัตว์เซลล์เดียวมีชีวิต มีความรู้สึก ไอ้สัตว์นั้น ก็เริ่มรู้สึกเรื่องได้เรื่องเสียทันที ถ้าความร้อนมากไป มันจะตาย มันก็เป็นเรื่องเสีย เจริญไม่ได้ อุณหภูมิพอเหมาะมันก็เจริญวิวัฒนาการ จากเซลล์เดียว เป็น ๒ เซลล์ ๓ เซลล์ นี้มันก็เรื่องได้ ดังนั้น เรื่องได้ที่ถูกต้องนี่ ชีวิตมันก็ตั้งต้นมา วิวัฒนาการมาเป็นสัตว์ เป็นพืช เป็นสัตว์เล็ก ๆ เป็นสัตว์ใหญ่ จนเป็นคน เป็นคน มีคนอย่างเรา มันมาได้โดยการได้ที่ถูกต้อง ได้สิ่งแวดล้อมที่ถูกต้อง คือ อาหารถูกต้อง อากาศถูกต้อง สิ่งแวดล้อมเช่นที่อยู่อาศัยถูกต้อง แล้วมันก็ต้องปรับตัวมันให้เหมาะกับสิ่งแวดล้อมนั้นด้วย ถ้ามันปรับไม่เหมาะ มันก็ตายแล้ว เพราะธรรมชาติมันไม่อำนวย แก่สัตว์ สัตว์ต้องเกิดตามธรรมชาติ ที่ธรรมชาติอำนวย นั้นไอ้ ไอ้โลกมันเย็นลง อำนวยให้เกิดอะไร มันก็ต้องเกิดสิ่งนั้นขึ้นมา และสิ่งนั้นต้องเป็นไปตามความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ มันจึงอยู่มาจนบัดนี้ จนเป็นคน แบบนี้ เพราะฉะนั้น สัตว์หลายชนิดสูญพันธ์ไปแล้วตั้งหลายล้านปี เพราะมันไม่เปลี่ยนแปลงตามความต้องการของธรรมชาติ มันจึงสูญพันธ์ไปแล้ว เรารู้ได้แต่เพียงว่าครั้งหนึ่งมันเคยมี เพราะมันอยู่ในหิน มีซากอยู่ในหินซึ่งมีอายุหลายร้อยล้านปี หลายพันล้านปี เมื่อหินนั้นมาทุบออกมันก็พบซากสัตว์เหล่านี้เหลืออยู่ในนั้น แต่สัตว์นั้นเดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว เพราะว่ามันไม่เปลี่ยนมาตามธรรมชาติ มันจึงสูญพันธ์ไปแล้ว แต่ซากของมันตกลงไปในตะกอน แล้วตะกอนทับถม ทับถม ทับถม หลายล้านปีจนตะกอนนี้เป็นหิน เมื่อทุบหินนั้นออกจึงจะพบสัตว์เหล่านี้ ดังนั้น เขาจึงสำรวจพบสัตว์อีกหลายร้อยชนิดซึ่งสูญพันธ์ไปแล้วเพราะไม่เปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ ตัวใหญ่อย่างไดโนเสาร์อย่างอะไรก็ตาม จะต้องสูญพันธ์ไป ดังนั้น เขาจึงมีหลักที่ตายตัวว่า มันต้องทำตัวให้เหมาะกับธรรมชาติ จึงจะอยู่ จึงจะคงอยู่ ใครเหมาะที่สุดคนนั้นอยู่ ดังนั้น สัตว์ไหนมันเหมาะที่สุด มันก็ยังอยู่มากระทั่งเดี๋ยวนี้ อ้า, ใน ในซากหินอย่างเดียวกันนะ เขาพบสัตว์บางชนิด เช่นปลาชนิดหนึ่งนี่ ในหินยุคเดียวกันกับสัตว์ สมมติว่าพันล้านปีมาแล้วนี้ แล้วเดี๋ยวนี้ปลานั้นก็ยังอยู่ในทะเลในปัจจุบันนี้ และเขาสนใจที่จะไปจับปลาชนิดนี้ มาดูมาศึกษาว่าเหมือนกับที่อยู่ในซากหินพันล้านปีมาแล้วอย่างไร ในหนังสือพิมพ์ฮ่องกง ไอ้ภาพพิมพ์ที่เอามาเขียนกันนี้ ก็มีอยู่หน้าหนึ่ง เรื่องปลาชนิดหนึ่งซึ่งยังมีอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิคนี้ เป็นปลาชนิดเดียวกับซากหินเมื่อหลายพันล้านปีมาแล้ว อย่างนี้เป็นต้น นี้แสดงว่าปลาตระกูลนี้ทำตัวเหมาะกับธรรมชาติ แล้วอยู่กระทั่งเดี๋ยวนี้ แต่สัตว์บางชนิด เช่นไดโนเสาร์ เช่นอะไรอย่างนี้ มันหมดแล้วไม่มีเหลือให้เห็น หรือช้างบางชนิด หรืออะไรบางชนิดที่มันรูปร่าง ประหลาด ประหลาดนะ เหลือแต่ในซากหินทั้งนั้น นั้นมันได้ไม่ถูก มันเสียไม่ถูก มันได้ไม่ถูก มันเป็นการได้ที่ไม่ถูกตามธรรมชาติต้องการ มันจึงไม่อยู่ ส่วนสัตว์ตระกูลมนุษย์นี้มันเป็น ทีแรกมันก็จะต้องเป็นคล้าย ๆ กับสัตว์ ๔ เท้า เลื้อยคลานนี้ แล้วก็มาเป็นลิงเลว ๆ แล้วก็เป็นลิงที่ดีขึ้น เป็นลิงที่ใกล้คนมากขึ้น แล้วก็เป็นลิงที่เหมือนคน แล้วก็เป็นคนอย่างนี้ นี้มันถูก เพราะมันถูก มันจึงอยู่ แล้วมันอยู่มาด้วยสัญชาตญาณแท้ ๆ อยู่ด้วยธรรมชาติแท้ ๆ ไม่มีวิชาความรู้ ไม่มีการศึกษา ไม่มีโรงพยาบาล ไม่มีไอ้หมอตำแย ไม่มีอะไร มันก็อยู่มาได้ กระทั่งมีคนมันเคยอยู่ถ้ำ ระยะยาวเพราะฉะนั้นสัญชาตญาณ มันก็ชอบซุกเข้าไปในโพรงหรือในถ้ำ นี้ที่ผมว่าคนหลงทาง คนกำลังหลงทาง หมายความว่า ถ้าเราจับเอาเด็ก ๒ คน หญิงชายนี้ให้มันไปอยู่ ในที่อื่นที่ไม่มีมนุษย์อะไรเลย มันก็พูดไม่ได้อย่างหนึ่ง เพราะมันไม่รู้ จะทำลิ้นทำปากอย่างไรพูดเป็นภาษามันก็พูดไม่ได้ มันก็เป็นแต่ภาษานก ภาษาสัตว์ แล้วมันก็จะไม่สามารถทำเรือนอยู่อย่างนี้ได้นั่น นี่มันเลวกว่านกกระจาบ นกกระจาบมันจะต้องทำรังของมันถูกต้องตามภาษาของนกกระจาบจนอยู่ได้ เพราะคนกำลังหลงทางในสัญชาตญาณ ในยีนนี้ไม่มีอะไรเหลือว่าเราเคยอยู่รังเรือนอย่างไร อย่างมากมันก็จะซุกเข้าไปในโพรงไม้ โพรงดิน โพรงอะไร หน้าผาเป็นอย่างมาก จะทำเรือนรูปร่างอย่างนี้ขึ้นมาไม่ได้เป็นอันขาด ทำไม่เป็นแน่ แต่ว่า นกกระจาบ หรือ ผึ้ง หรือ สัตว์อื่น ๆ มันทำเป็น มันทำของมันเป็น เพราะมันซ้ำซากอยู่อย่างนี้มาเป็นเวลาไม่รู้นานเท่าไรต่อเท่าไรแล้ว เป็นสัญชาตญาณ เป็นยีนเหลืออยู่ในโลหิต ถ่ายทอดทาง พ่อแม่ ส่วนมนุษย์นี่กำลังฟั่นเฟือน หลงทางไม่รู้จะไปทางโน้น หรือไปทางนี้ แต่ถ้าเรื่องการสืบพันธุ์ ระหว่างตัวผู้ ตัวเมีย ตัวหญิง ตัวชายนี้มันซ้ำซาก มันไม่เปลี่ยน เพราะฉะนั้นทำเป็น ไม่เห็นตัวอย่าง ก็ทำเป็น แต่ทีทำเรือนอยู่ทำไม่เป็น หรือบางทีจะหุงข้าว ไปรู้ ไปรู้จักเก็บข้าวมาทำมาหุงกินนั้น ทำไม่เป็น เพราะมันไม่ได้ทำอย่างนั้น ซ้ำซาก มันจะต้องกินเหมือนกับไอ้สัตว์ เหมือนนกอะไรไปมากกว่า หรือ กิน ลูกไม้ เหมือนลิงมากกว่า ดังนั้น สังเกตดูให้ดีว่าไอ้เรื่องสัญชาตญาณได้เสียอย่างนี้ มันต้องได้ถูก ถูกกับเรื่องมันจึงจะรอดชีวิตมา ไม่ได้นั้นนะคือ ปัญหาที่จะต้องตาย ดังนั้น พอมีคำพูดพูดได้แล้วก็แยกคำพูดเป็นเรื่องนี้ผิดโว้ย นี้ถูกโว้ย นี้ผิดโว้ย อย่างนี้ดีโว้ย อย่างนี้ชั่วโว้ย อย่างนี้ไม่ดีโว้ย อย่างนี้บุญนะ อย่างนี้บาปนะ นี้มัน ๆ มันเมื่อเร็ว ๆ นี้เอง ไม่กี่พันปีนี้เอง คำว่าบุญว่าบาปว่าอะไรนี้ไม่กี่พันปี ไม่เกิน ๘,๐๐๐ ปี ตามที่พวกคริสเตียนว่าอดัมกับอีฟ กินผลไม้ เข้าไป เมื่อราว ๆ ประมาณ ๘,๐๐๐ ปีนี้เอง คำว่าดี ชั่ว บุญ บาป สุข ทุกข์ อะไรนี้ ผมจึงชอบไอ้ข้อความอย่างไบเบิ้ลที่พูดอุปมามาแบบนี้ ซึ่งคนไม่เข้าใจ มันมาตรงกับเรื่องของเรา เรื่องของธรรมชาติ เรื่องของพุทธศาสนานี้ ทีนี้มาชั่วระยะไม่กี่พันปีนี้ มันติด ติดแน่นเหนียว ติดในความดี ติดในความชั่ว ติดในบุญ ติดในบาป อะไร มันก็เป็นเรื่องยึดมั่นถือมั่น ในอุปาทาน ในเรื่อง ดี ชั่วบุญ บาป สุข ทุกข์ ซึ่งล้วนแต่มีรากฐานอยู่บนคำเพียง ๒ คำ ว่าได้ ว่าเสีย ไอ้พวกมนุษย์เรานั้น ไปกันลิบเลยไปกันไกลลิบเลย ไปเรื่องสวรรค์ เรื่องนรก เรื่องดี เรื่องชั่ว เรื่องสูง เรื่องต่ำ เรื่องมีเกียรติ ไม่มีเกียรติ อะไรอย่างนี้ แต่ของสุนัขยังเท่าเดิม ได้กับเสียมีความหมายเท่าเดิม ได้กินได้อะไรพอสมควรเท่าเดิม แต่ก็ยังมากไปนิดหนึ่งกว่า สำหรับเกี่ยวกับพวกหญ้า บอนอย่างนี้ พวกหญ้า พวกบอนนั้น ได้เสียอยู่เท่าเดิม ตามเดิม เมื่อหลายร้อยล้านปีมาแล้วเป็นอย่างไรมันก็เป็นอย่างนั้น แต่ส่วนมนุษย์นี้ไปใหญ่ ไปจนไม่รู้ว่าไปทางไหน จนไม่รู้ว่าตัวเองคืออะไร เช่น ปล่อยให้ทำเรือนตามสัญชาตญาณอยู่ก็ทำไม่ได้อย่างนี้เป็นต้น แต่สุนัขยังรู้จักขุดโพรงออกลูก เหมือนกับเมื่อ ล้าน ๆ ปีมาแล้วทำอย่างไรมันก็ยังคงทำอย่างนั้น นี่คนมันกำลังหลงทาง เพราะคนก้าวหน้าในทางจิตใจ ทางวิวัฒนาการ ซึ่งตั้งรากฐานอยู่บนคำว่าได้ว่าเสียนี่ เปลี่ยนมาเป็น ดี ชั่ว บุญ บาป สุขทุกข์ ผิด ถูก สูง ต่ำ ทั้งคำว่า พวกนรก สวรรค์ ทั้งนั้นเลย ดังนั้น ถ้าใครอยากรู้ ปรมัตถธรรม ชั้นสูงสุด ชั้นโลกุตตระ ชั้นมรรคผลนิพพานแล้ว ให้สนใจคำคู่ ๆ เหล่านี้ คำว่าดี ชั่ว ผิด ถูก สุขทุกข์ ได้ เสีย บุญ บาป อะไร คำคู่ ๆ เหล่านี้ ซึ่งเป็นคำหลอกลวงทั้งนั้น ถ้ายังเอียงไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ยัง ยังเป็นปรุงแต่ง ยังเป็นสังขารอย่างนี้ เป็นสังขารปรุงแต่งให้เวียนว่ายไปในกองทุกข์นี้ ต่อเมื่อไม่ไม่พ่ายแพ้แก้ความหมายเหล่านี้คือว่า ไม่เห็นว่ามันดี ชั่ว บุญ บาป สุข ทุกข์ น่ายึดมั่นถือมั่นอะไร คือได้หรือเสียก็ไม่มีปัญหาอย่างนี้ มันจึงจะว่าง ว่าง หรือว่าหลุดพ้น หรือว่าดับสนิท หรือว่านิพพาน หรือว่าหยุด แล้วแต่จะเรียก ดังนั้น มันจึงเป็นการยากอย่างยิ่งสำหรับมนุษย์ ที่มันหลงทางมาไกลจนไม่รู้ว่าอยู่อย่างไร เป็นอย่างไร ไปทางไหน มันหลงทางมาไกลมาก ที่จะกลับไปหาไอ้ความว่างตามธรรมชาติ ไม่มีได้ ไม่มีเสีย อยู่เหนือได้เหนือเสีย และเมื่ออยู่เหนือได้เหนือเสียเมื่อไหร่ ก็อยู่เหนือบุญเหนือบาป เหนือสุขเหนือทุกข์เมื่อนั้น ก็เป็นมรรคผลนิพพานเมื่อนั้น ความว่างอย่างนี้ อ้าว, ทีนี้จะย้อนมายังเรื่องพวกเรา ที่เตือนกันอยู่เสมอว่า ให้ทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง ดังนั้น ระวังให้ดีเมื่อทำงานอยู่ อย่ามีได้มีเสีย อย่ามีดีกว่าคนอื่น อย่ามีเลวกว่าคนอื่น อย่ามีเบ่งทับคนอื่น หรืออย่ามีน้อยใจว่าสู้คนอื่นไม่ได้ ให้มีสติสัมปชัญญะ ทำด้วยสติปัญญา ด้วยเหตุผล ว่าควรทำอย่างไรก็ให้ทำอย่างนั้นก็แล้วกัน ถ้าไปเกิดเป็นว่าดีชั่วขึ้นแล้วก็เป็นการปรุงแต่งที่เป็นความทุกข์ทันที แล้วผิดหลักธรรมชาติทันที คำสาปของพระเจ้า จะมาสุมกบาลคนนั้นทันทีนี่ ผมพูดหยาบ ๆ อย่างนี้ดีกว่า คำสาปของพระเจ้าที่สาปไว้ว่า มึงจะต้องเป็นทุกข์แสนสาหัสนั่นจะมาสุมกบาลคนนั้นทันที สมมติว่าคุณทุบหิน ผูกเหล็กอะไรอยู่นี่ ถ้าทำไปด้วยความรู้สึกตามธรรมดา ทำอย่างไร ควรทำอย่างไร จิตก็ทำไปเพียงเท่านั้น มันก็เป็นอิสระ ก็ชนะ ก็ใกล้ ใกล้ ใกล้ความจริงเข้าไป แต่ถ้ามันเกิดความคิดมันดันทุรังไปในทางดีกว่าคนอื่น เลวกว่าคนอื่น หรือ มีได้มีเสียอะไร มีความหมายขึ้นมาแล้วก็นั่นนะ คำสาปของพระเจ้าก็ครอบงำเข้ามาทันที เราก็มีความทุกข์ทันที ดีใจก็ทุกข์อย่างดีใจ เสียใจก็ทุกข์อย่างเสียใจ ฟังให้ดี ๆ รู้สึกว่าได้แล้วมีเกียรติ ยกหูชูหางอย่างนี้ เพราะคิดว่าได้ ที่จริงมันเสียอย่างยิ่งเลย ไอ้ตัวกูของกู ที่ทำให้ยกหูชูหางนั้นนะ มันเป็นกิเลสที่สกปรกที่ทรมานคนยิ่งกว่าไอ้ที่ไม่ยกหูชูหางเสียอีก ดังนั้น อย่าไปชอบไอ้เรื่องที่ว่ามันมีเกียรติได้ยกหูชูหาง ให้คนอื่นออกปากว่า แหมเก่งกว่าใคร ไม่ได้เขา อาศัยเขา แล้วก็ล้มละลายกันไปหมด เขาเป็นคนมีสติปัญญานี้ นั้นนะคือ ความถูกสาปของพระเจ้า อย่าระบุ องค์นั้นองค์นี้ คนนั้นคนนี้ แต่ถ้าใครเป็นอย่างนี้แล้วก็แย่ทั้งนั้นแหละ ดังนั้น ต้องระวังให้ดี ๆ ระวังจิตใจดี ๆ ไม่มีเรื่องอื่นหรอก มีเรื่องดำรงจิตไว้ให้ถูกต้องเท่านั้นแหละ วิปัสสนาที่แท้จริงมันอยู่ที่ตรงนี้ ไม่ใช่ห่มจีวรดำ ๆ ไปเที่ยวหลอกคน กินกาแฟ สูบบุหรี่ ให้เขานับถือ มันต้องดำรงจิตไว้ให้ถูกต้องตลอดเวลาเป็นพื้นฐาน ทีนี้พร้อมกันนั้น เรี่ยวแรงมีอยู่เวลายังมีอยู่ควรจะทำอย่างไร ก็จงทำให้เป็นประโยชน์ จะถากหญ้าก็ได้ จะทำงานดีกว่านั้นก็ได้ จะแปลพระไตรปิฎกสอนคนก็ได้ มันเป็นงานเหมือนกันทั้งนั้น มันเป็นงานที่มีประโยชน์เหมือนกันทั้งนั้น แต่ถ้าใครไปเกิดว่ากูดีกว่าเท่านั้นแหละ แย่เลย มันเลวที่สุดแล้ว มัน มันถูกสาปขึ้นมาทันที คิดว่ากูรู้ภาษาต่างประเทศหลายภาษาสอนคนได้กว้างขวางอย่างนี้ กูดีกว่า นี่มันเรื่องได้อย่างผิดเกิดขึ้นแล้ว นี้ก็ถูกสาป ถูกพระเจ้าสาปไปทันที จะต้องเป็นคนที่มีความกลัดกลุ้มรุ่มร้อน เพราะความคิดว่าตัวดี ยกหูชูหางขึ้นมา เพราะฉะนั้นการอยู่ที่สวนโมกข์นี้ไม่ควรจะมีบทอย่างอื่น มีแต่บทเดียวว่า ลิดหูลิดหางให้มันสั้น ๆ ลงไป อย่าให้มันยาวขึ้นมา อย่าให้มันยกขึ้นมา ไม่มีบทอย่างอื่น ดังนั้น ขณะที่ไปบิณฑบาตก็ดี ฉันอยู่ก็ดี สวดมนต์ภาวนาก็ดี ทุบหินอยู่ก็ดี ผูกเหล็กอยู่ก็ดี หาบน้ำอยู่ก็ดี มันก็มีบทเรียนอย่างเดียวกันหมด ระวังอย่าให้เผลอ อย่าให้จิตเผลอเป็นเรื่องยกหูชูหาง เป็นตัวกูเด่น เป็นของกูมากไป อันนั้นมันมีความทุกข์ตามแบบที่พระเจ้าสาป พวกสุนัข พวกแมว เหล่านี้ไม่ถูกเลย ไม่เป็นเลย ไอ้เราเป็นพระเป็นเณร กลับถูกกลับเป็น อย่างนี้ แต่นี้ไม่ได้หมายความว่าไม่ ไม่แนะนำให้แต่ละคน ๆ ทำอะไรให้ดีที่สุด มันกลับตรงกันข้าม คือว่าขอร้องให้ทุกคนทำอะไร ให้ดีที่สุด ให้ดีที่สุดไว้ ไว้เรื่อยไป แต่อย่าไปรู้สึกว่าเราดีที่สุด อย่าไปรู้สึกว่าเราดี ถ้าเราไม่มีอะไรดี เราก็ไม่มีโอกาสจะฝึกบทเรียนบทนี้หรอก คิดดูให้ดีสิ ถ้าเราไม่มีปัญญา ไม่มีฝีมือไม่มีอะไรที่จะทำให้ดีได้ เราก็ไม่มีทางที่จะรู้สึกว่าเราดีหรอก เราก็ไม่มีทางที่จะรบกับกิเลสข้อนี้เพราะเราไม่มีอะไรดี ดังนั้น เราต้องมีอะไรดีและดีมากและดีที่สุด แล้วเราจะสู้รบกับกิเลสที่ทำให้ยกหูชูหาง คือ เราจะไม่หลงในความดี และไม่หลงในความชั่วพร้อมกัน ถ้าไม่หลงในความดีหมายความว่าต้องไม่หลงความชั่วด้วย เพราะดีหรือชั่วต้องมาพร้อมกันจึงจะมีความหมาย ดีเพราะมันมีชั่วเทียบ ชั่วเพราะมันมีดีเทียบ ดังนั้น ให้ทุกคนพยายามที่จะเรียนให้ดี ทำให้ดี ประพฤติให้ดี ประกอบการงานให้ดี แต่อย่ามีความรู้สึกว่าดีเพราะมันเป็นความกระโดดออกไปในทางที่จะเป็นทุกข์ตามพระเจ้าสาปไว้ นับตั้งแต่วันที่รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว แกจะมีความทุกข์แสนสาหัสนี่ จำไว้เลย ไม่ใช่ของคริสเตียนหรอก ของธรรมชาติ เมื่อสุนัขมันไม่มีความคิดว่าดีว่าชั่ว มันก็ไม่มีความทุกข์ พอคนรู้ว่าดีว่าชั่วอย่างไร คนก็มีความทุกข์เมื่อนั้น และคนกำลังหลงทางเพราะมันดีกว่า กว่ามนุษย์ ไม่คลอดลูกในโพรงแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าจะคลอดลูกอย่างไรตามวิธีของคน มันก็เห่อไปตามที่ดีที่สุด มันก็เป็นทุกข์เพระการเห่อที่จะดีที่สุด ดังนั้น ก็รักษาธรรมชาติเดิม ๆ ไว้ให้ได้เถิด ไอ้คนก็คลอดลูกระหว่างเดินทางเหมือนกับวัวกับควายได้ ไม่มีปัญหาอะไร ไม่มีความทุกข์อะไร ดีกว่าสุนัขที่ต้องไปขุดโพรง แล้วก็ออกลูก เพราะมันมีคนทันเห็น พร้อมทั้งได้รับความยืนยันจากพวก จากคนนั้นเอง คือพวกเงาะป่า ที่เราฉายหนังดูบ่อย ๆ ที่พัทลุงนี้ ที่มีคนติดตามสอบถามดูว่าคลอดลูกอย่างไร เขาบอกว่าขอเวลา ๕ นาที ถ้าพูดอย่างภาษาเราขอเวลาครู่เดียว เขาก็แวะไปข้างทางคลอดลูกแล้วอุ้มมา แล้วตามฝูงไปเลย เงาะป่านี้ เงาะป่า แบบไอ้คนป่านี่ เพราะเขาต้องไปเรื่อย เดินทางเรื่อย ท้องแก่ก็เดินทางไปกับหมู่คณะเรื่อย ไม่ได้ว่าฉันจะต้องอยู่ที่นี่กว่าจะคลอดบุตรแล้วจึงจะไปนี่ คือ ลูก ๓ เดือน ๔ เดือน แล้วจึงจะไป ขอให้หยุดรอประมาณ ๕ นาที ๑๐ นาที ๒๐ นาที คลอดลูกแล้ว เสร็จเรื่องแล้ว ก็อุ้มเด็กแดง ๆ ตามฝูงไป นี้มันเคยเป็น มันเคยเป็นถึงอย่างนี้ มันยังดีกว่าสุนัข ที่จะต้องขุดโพรงออกลูก แต่ว่าเดี๋ยวนี้มันทิ้งกันไกลมันไปคนละทางเพราะมันเรื่อง ดี ชั่ว บุญ บาป สุข ทุกข์ สูง ต่ำ มีเกียรติ ไม่มีเกียรติ มันเลยหลงทางหมด ไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไรกันแน่ แต่แล้วก็ต้องการไอ้ที่ดี ที่ดีกว่าคนอื่น ที่สบายกว่าคนอื่น แล้วพร้อมกันนั้น มันก็ทำให้อ่อนแอลง อ่อนแอลง อ่อนแอลง แค่เพียงคลอดบุตรอย่างเดียวมันก็จะตายแล้ว ไม่ต้องมีอะไรมันก็จะตายแล้ว ส่วนสุนัขนี้ไม่เป็นไร คลอดบุตรเสร็จมันก็ยังสบายอยู่ ส่วนคนนั้นมันจะตายเพียงการคลอดบุตรนี่ คือว่าแต่ก่อนโน้นมันก็เก่งกว่าสุนัขเหมือนอย่างว่า นี้คนกำลังหลงทาง มนุษย์มันกำลังหลงทาง มันต้องการจะไปให้ดีที่สุด เพราะมันไปรู้เรื่องดีเรื่องชั่วเข้าแล้ว มันก็ทิ้งไอ้ของเดิมที่ทำตามธรรมชาติหมด แต่แล้วจึงไปให้ดีที่สุด ไกลธรรมชาติเท่าไหร่ มันยิ่งมีความทุกข์มากขึ้นเท่านั้น มันต้องมีบ้านเรือนมาก มีเครื่องนุ่งห่มมาก มีหยูกยามาก มีอะไรมาก มากจนไม่รู้ที่สิ้นสุด ไม่รู้จะตัดทอนอย่างไร นี่คือบาปของมนุษย์ที่พระเจ้าได้สาปไว้ แกจะมีความทุกข์แสนสาหัส นับตั้งแต่แกเริ่มกินผลไม้นี้เข้าไป รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว อะไรบุญ อะไรบาป อะไรสุข อะไรทุกข์ อะไรสูง อะไรต่ำ เป็นหญิงอย่างไร เป็นชายอย่างไร เป็นอะไรอย่างไร ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าเขาเป็นหญิง หรือเป็นชายกัน เหมือนกับสัตว์ไม่รู้ว่าหญิง หรือชาย มันทำไปตามธรรมชาติแท้ ๆ ดังนั้น คำว่า เจริญ ๆ หรือ วิวัฒนาการ ก็คือว่ามันเจริญมาจากความรู้สึกซึ่งมีแต่เพียงว่าได้ หรือเสีย ตามธรรมชาติ มาเป็นว่า ดี ชั่ว บุญ บาป สุข ทุกข์ สูง ต่ำ นรก สวรรค์ จนกระทั่งมีการค้ามา ค้า ๆ ค้าคำสอน เรื่องนรก เรื่องสวรรค์ เรื่องมรรคผล นิพพานขึ้นมานี้ เพราะคนมันอยากได้ แต่ทีนี้ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าจริง เป็นพระพุทธเจ้าที่แท้จริงนั้นนะ คือ ผู้ที่จะมาเพิกถอนคำสาปของพระเจ้า เช่น พระเยซูนี้เกิดขึ้นเพื่อจะเพิกถอนคำสาปของพระเจ้า ที่ว่าอดัมกับอีฟเขากินผลไม้เข้าไปแล้วต้องเป็นทุกข์นี่ พระเยซูก็มาสอนวิธีที่จะให้ละเรื่องดี เรื่องชั่ว เหมือนกัน แล้วก็ไปอยู่กับพระเจ้าในที่สุด ส่วนพระพุทธเจ้าของเราก็เหมือนกัน คือมาสอน สอนให้ละความยึดมั่นถือมั่น ในเรื่องดี เรื่องชั่ว เรื่องบุญ เรื่องบาป เรื่องสุข เรื่องทุกข์ เรื่องอกุศล เรื่องกุศล อะไรเสีย ให้สู่ ความเป็นวิมุติ หลุดพ้น คือ เหนือหมด เหนือดี เหนือชั่ว เหนือบุญ เหนือบาป เหนือสุข เหนือทุกข์ แต่แล้วทั้งหมดนั้นมันรวมอยู่ที่ว่า เหนือได้ เหนือเสีย ไม่มีการได้ ไม่มีการเสีย การได้การเสียเหมือนกัน ไม่มีได้ไม่มีเสีย เหมือนกลางวันกับกลางคืนนี้ ให้ดูแต่ในแง่ว่ามันเป็นเวลาที่ล่วงไปเหมือนกัน แล้วก็ไม่มีกลางวัน กลางคืน แต่ถ้าเด็ก ๆ มา มาดูแล้วก็ โอย, กลางคืนมันมืดโว้ย กลางวันมันสว่างโว้ย เล่นฟุตบอล สนุกโว้ย กลางวันต้องนอน ต้องซุกซ่อน มันก็ต่างกันสิ กลางวันกลางคืนก็ต่างกัน การที่จะรู้ว่าไอ้เรื่องได้กับเรื่องเสียอันนี้เท่ากันหรือเหมือนกัน นี้มันยากมาก ถ้าใครรู้ คนนั้น เป็นพระอรหันต์ ไม่ใช่เป็นพระโสดา สกิทาคา อะไรหรอก เป็นพระอรหันต์เลย ถ้าใครละความหมาย ของคำว่าได้ว่าเสีย เสียได้ ให้มีความหมายเหมือนกัน คนนั้นเป็น พระอรหันต์เลย มีจิตใจชนิดที่ไม่รู้สึกว่ามีได้มีเสีย มีแต่รู้สึกว่าไปตามธรรมชาติ ไปตามธรรมชาติ อย่างไรควร อย่างไรไม่ควร อย่างไรเป็นทุกข์ อย่างไรไม่เป็นทุกข์ ไม่นิยมบูชาฝ่ายนี้ และไม่หลงใหลเกลียดชังฝ่ายโน้น อย่างนี้เขาเรียกว่า เหนือสุข เหนือทุกข์ เหนือดี เหนือชั่ว เหนือบุญ เหนือบาป ไอ้เรื่องได้เรื่องเสียนี้ พูดกันสักปีหนึ่งก็ได้ ไม่จบได้หรอก เพราะมันมีแง่ พูดเป็นแง่ ๆ ไป ดังนั้น ผมจึงลองสอบถามดูเมื่อก่อน เมื่อวันก่อนนะ จับใจความได้อย่างไร แล้ววันนี้มันมีส่วนที่มันอย่างไร ชี้ให้เห็นในส่วนไหน ถ้าสมมติสุนัขได้คลอดในโพรงดินอย่างนั้น และสุนัขอีกตัวหนึ่งได้คลอดบนเบาะแพรอย่างนี้ มันจะรู้สึกว่าดีกว่าเลวกว่ากันอย่างไรได้ หรือจะรู้สึกว่าดีหรือชั่วอย่างไรได้ เพราะมันยัง ยังอยู่ตามไอ้สัญชาตญาณ ไม่รู้สึกอะไร ดังนั้น คลอดในโพรงดินมันดีกว่าจะคลอดบนเบาะแพร บนห้องหับที่ปรับอากาศอย่างนี้ อ้าว, มากันแล้วเหรอ เออ, รับประทานเร็วจริง วันพระ ๘ ค่ำ แล้วก็มาคุยกันบ้าง ซักซ้อมความเข้าใจอะไรบางอย่าง ประกัน รับประกันอย่าให้ ฟั่นเฝือในเรื่องหลักธรรมะ ดังนั้น บอกว่ายอดสุดของการปฏิบัติวิปัสสนาอะไรก็ตาม อยู่ที่ชนะ ชนะเรื่องได้เรื่องเสีย อย่ามีเรื่องได้เรื่องเสีย นี่เพราะฉะนั้นผมจึงซักซ้อมไว้เรื่อย ๆ เพราะว่ามันไม่มีเรื่องอื่นที่ดีกว่านี้ แล้วก็ไม่แน่ว่าคุณจะได้ฟังเรื่องชนิดนี้ที่ไหน มันไม่แน่ ดังนั้น จึงพูดเสีย เพราะว่าบางแห่งเขาอาจจะคิดว่าไอ้พูดอย่างนี้มันบ้าก็ได้ เป็นเรื่องบ้า เรื่องนอกรีต นอกคอก เขาจึงเรียนธรรมะท่องจำตามแบบตามหนังสือ ตามหลักสูตรสอบไล่ด้วยความจำ นี้มันก็จะไม่เข้าใจเรื่องอย่างนี้ และไม่ยอมฟังเรื่องอย่างนี้ แล้วก็จะเห็นเป็นเรื่องผิดแล้ว เป็นเรื่องพูดผิดแล้ว หรือว่าดีเกินไปหรือว่าเอาเอง แต่ว่าโดยที่แท้แล้วไอ้เรื่องชนิดนี้มันคือ หัวใจทั้งหมดของเรื่องทั้งหมด ของพุทธวัจนะทั้งหมด ว่าสิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ว่าเรา ว่าของเรา ไอ้ที่ดี ที่ ที่ดี ที่ถูก ที่กุศล ที่สุข เราจะยึดว่าเรา ว่าของเรา ไอ้ที่ไม่ ที่เราคิดว่าไม่ดี ไม่ถูก ไม่บุญ ไม่กุศล นั่นนะไม่ใช่ของเราดังนั้น ถ้ามองเห็นเสียว่ามันไม่มี ไม่มีที่จะเป็นคู่ ๆ ว่าดี ว่าชั่ว ว่าบุญ ว่าบาป ไอ้ความยึดมั่นมันก็ละลายไปเอง ไม่มีความยึดมั่น มันไม่เกิด ความยึดมั่นมันจะไม่เกิดขึ้นมา เดี๋ยวนี้มันเคยชิน แต่ในทางเกิดเพราะว่าพอคลอดออกมาจากท้องแม่แล้วมันก็จะเริ่มสอนให้ ยึดมั่นถือมั่น โดยไม่รู้สึกตัวเรื่อยมาเป็นดี เป็นชั่ว เป็นบุญ เป็นบาป เป็นสุข เป็นทุกข์ มันตอนปลายหมด เป็นระยะปลายหมด ดังนั้น เรายิ่งแก่ อายุมากเท่าไร เราก็ยิ่งยึดมั่นถือมั่นเก่งเข้า ง่ายเข้า ไวเข้า ลึกเข้าเท่านั้นเอง จนเขาเรียกว่า อนุสัย บ้าง สังโยชน์ บ้าง คือ มันดิ่งลงไปในสันดาน เคยชินมากเกินไป จนไม่มีทางจะเกิดอย่างอื่น นอกจากจะเกิดอย่างนี้ คือ ยึดมั่นถือมั่น ความเคยชินเป็นนิสัยเกิดสังโยชน์อนุสัย ทีนี้ที่โรงเรียนนักธรรมมันก็สอนกันผิด ๆ ว่าเรื่องกิเลส สังโยชน์ อนุสัย นั้น เป็นของแน่นอน นอนอยู่ ในสันดาน อย่างนี้มันบ้า มันสอนสัสสตทิฏฐิ กิเลสเป็นของเที่ยงนอนอยู่ ในสันดานนี่ ครูนั้นมันบ้าสอนผิด ๆ ในโรงเรียนนักธรรม กิเลสนี้จะเป็นของเที่ยงเป็นสัสสตะไม่ได้ มันก็เกิดดับ เกิดดับเหมือนกัน แต่ถ้าถามว่าทำไมมันยังเกิดอย่างนั้นทุกที เพราะมันเคยชินกับอย่างนั้น นับตั้งแต่คลอดมาจากท้องแม่ มันก็เคยชิน แต่เรื่องยึดมั่นถือมั่น ในเรื่องดี เรื่องชั่ว เรื่องผิด เรื่องถูก ดังนั้น เมื่ออนุสัยเกิด มันก็เกิดมาอย่างนี้ทั้งนั้นทุกทีไป ดังนั้น ตัวไปมองผิวเผิน ก็เลยคิดว่ามันเป็นของอย่างนั้นนอนอยู่ในสันดานเหมือนก้อนหินก้อนหนึ่งนอนอยู่ในสันดาน ไม่เปลี่ยนแปลง สอนอย่างนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิที่สอนกันอยู่ในโรงเรียนนักธรรม ทำให้นักเรียนเข้าใจผิดไปว่าสังโยชน์ อนุสัย นี้ไม่ได้เกิด ไม่ได้ดับ เป็นของนอนนิ่งอยู่ในสันดาน แล้วก็พร้อมที่จะให้เกิดกิเลส ชั้นกลาง ชั้นหยาบอะไรขึ้นมาอย่างนี้ มันเป็นวัตถุมากไป มันเป็นสัสสตะมากไป มันผิดหมด ถ้าอย่างนั้นมันละไม่ได้หรอก ยังเป็นพระอรหันต์ไม่ได้ ถ้ามันเป็นสัสสตะอย่างนั้น ดังนั้น ความที่เราหลงในเรื่องได้เรื่องเสีย เรื่องดี เรื่องชั่ว นี้ มันชินชินมากเกินไป จึงเป็นอนุสัย สังโยชน์ ซึ่งดู คล้าย ๆ กับว่ามันประจำอยู่ในสันดาน นอนประจำอยู่ในสันดาน ที่แท้มันก็เป็นของเพิ่งเกิดขึ้นทุกที ทุกทีที่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สัมผัส รับอะไรเข้ามา ถึงกับมีพระพุทธภาษิตที่ว่าแม้แต่อวิชชามันก็เพิ่งเกิด อันนี้เข้าใจยาก มันต้องอธิบายกันหลายชั่วโมง ไม่พูดหรอกวันนี้ แต่ให้คุณจำไว้เถอะว่าพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า แม้แต่อวิชชามันก็เพิ่งเกิด แล้วมันก็เกิดดับ เกิดดับเหมือนกัน อวิชชาไม่ใช่เป็นของเที่ยงของสัสสตะอยู่ในสันดาน อะไรอย่างนั้น มันเกิดดับ เกิดดับ ตามขณะที่ ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ รับอารมณ์เหมือนกัน ดังนั้น ถ้าใครสอนอวิชชามันเป็นของเที่ยง นอนประจำในสันดานอย่างนี้มันก็พูดอย่างภาษาคน ไม่ใช่ภาษาธรรมะ พูดอย่างเขลา ๆ ทำเรื่องจิตใจเป็นเรื่องวัตถุไปหมด แล้วเข้าใจผิดว่าวัตถุนี้ไม่เกิดดับ จริง ๆ แล้ววัตถุมันก็เกิดดับ แต่มันช้ามากนะ จิตมันเร็วกว่านั้นมากนัก จนดูไม่ทัน จนกลับเห็นเป็นว่าไม่เกิดไม่ดับไปเสียอีก เอาละ พอแล้ว ค่ำแล้ว เดี๋ยวกลับลำบากกัน นิมนต์ พูดเรื่องได้เรื่องเสีย ให้เป็นเรื่องเป็นราวให้มันเป็นต้น เป็นตอ เป็นกอ เป็นอะไรไปให้เข้าใจง่าย ๆ พูดเรื่องราก เรื่องโคนของมันก่อน แล้วก็พูด เรื่องลำต้น เรื่องกิ่ง เรื่องใบ เรื่องดอกนี้